Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
ปกิณฺณกวณฺณนา
Pakiṇṇakavaṇṇanā
อปิเจตฺถ อิทํ ปกิณฺณกํ, เสยฺยถิทํ – อิทํ อนิยตกณฺฑํ นิปฺปโยชนํ อปุพฺพาภาวโตติ เจ? น, ครุกลหุกเภทภินฺนาปตฺติโรปนาโรปนกฺกมลกฺขณทีปนปฺปโยชนโตฯ เอตฺถ หิ ‘‘สา เจ เอวํ วเทยฺย ‘อโยฺย มยา ทิโฎฺฐ นิสิโนฺน มาตุคามสฺส เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวโนฺต’ติ, โส จ ตํ ปฎิชานาติ, อาปตฺติยา กาเรตโพฺพ…เป.… นิสชฺชาย กาเรตโพฺพ’’ติอาทินา (ปารา. ๔๔๖) อาปตฺติยา ครุกาย ลหุกาย จ โรปนกฺกมลกฺขณํ, กาเรตโพฺพติ อิมินา อนาโรปนกฺกมลกฺขณญฺจ ทสฺสิตํฯ ลกฺขณทีปนโต อาทิมฺหิ, อเนฺต วา อุทฺทิสิตพฺพนฺติ เจ? น, อสมฺภวโตฯ กถํ? น ตาว อาทิมฺหิ สมฺภวติ, เยสมิทํ ลกฺขณํ, เตสํ สิกฺขาปทานํ อทสฺสิตตฺตาฯ น อเนฺต, ครุกมิสฺสกตฺตา, ตสฺมา ครุกลหุกานํ มเชฺฌ เอว อุทฺทิสิตพฺพนฺติ อรหติ อุภยามิสฺสกตฺตาฯ ยา ตตฺถ ลหุกาปตฺติ ทสฺสิตา , สาปิ ครุกาทิกาฯ เตเนวาห ‘‘เมถุนธมฺมสนฺนิสฺสิตกิเลสสงฺขาเตน รหสฺสาเทนา’’ติอาทิ, ตสฺมา ครุกานํ เอว อนนฺตรํ อุทฺทิฎฺฐาติปิ เอเกฯ เอวํ สเนฺต ปฐมเมวาลํ ตาวตา ลกฺขณทีปนสิทฺธิโต, กิํ ทุติเยนาติ เจ? น, โอกาสนิยมปจฺจยมิจฺฉาคาหนิวารณปฺปโยชนโตฯ ‘‘ปฎิจฺฉเนฺน อาสเน อลํกมฺมนิเย’’ติ โอกาสนิยมโต หิ ตพฺพิปรีเต โอกาเส อิทํ ลกฺขณํ น วิกปฺปิตนฺติ มิจฺฉาคาโห โหติ, ตนฺนิวารณโต ทุติยมฺปิ สาตฺถกเมวาติ อธิปฺปาโยฯ กสฺมา? โอกาสเภทโต, รโหเภททีปนโต, รโหนิสชฺชสฺสาทเภททีปนโต ฯ โอกาสนิยมภาเว จ รโหนิสชฺชสฺสาทเภโท ชาโตฯ ทฺวินฺนํ รโหนิสชฺชสิกฺขาปทานํ นานตาชานนญฺจ สิยา, ตถา กายสํสคฺคเภททีปนโตฯ นาลํกมฺมนิเยปิ หิ โอกาเส อปฺปฎิจฺฉเนฺน, ปฎิจฺฉเนฺนปิ วา นิสินฺนาย วาตปานกวาฎฉิทฺทาทีหิ นิกฺขนฺตเกสาทิคฺคหเณน กายสํสโคฺค ลพฺภตีติ เอวมาทโยปิ นยา วิตฺถารโต เวทิตพฺพาฯ ‘‘ภิกฺขุปาติโมเกฺข อาคตนยตฺตา ภิกฺขุนีปาติโมเกฺข อิทํ กณฺฑํ ปริหีนนฺติ เวทิตพฺพ’’นฺติ วทนฺติฯ อตฺถุปฺปตฺติยา ตตฺถ อนุปนฺนตฺตาติ เอเกฯ ตํ อเนกตฺถภาวทีปนโต อยุตฺตํฯ สพฺพพุทฺธกาเล หิ ภิกฺขูนํ ปญฺจนฺนํ, ภิกฺขุนีนํ จตฺตาโร จ อุเทฺทสา สนฺติฯ ปาติโมกฺขุเทฺทสปญฺญตฺติยา อสาธารณตฺตา ตตฺถ นิทฺทิฎฺฐสงฺฆาทิเสสปาจิตฺติยานนฺติ เอเกฯ ตาสํ ภิกฺขุนีนํ อุพฺภชาณุมณฺฑลิกอฎฺฐวตฺถุกวเสน กายสํสคฺควิเสโส ปาราชิกวตฺถุ, ‘‘หตฺถคฺคหณํ วา สาทิเยยฺย, กายํ วา ตทตฺถาย อุปสํหเรยฺยา’’ติ (ปาจิ. ๖๗๔-๖๗๕) วจนโต สาทิยนมฺปิ, ‘‘สนฺติเฎฺฐยฺย วา’’ติ (ปาจิ. ๖๗๕) วจนโต ฐานมฺปิ, ‘‘สเงฺกตํ วา คเจฺฉยฺยา’’ติ (ปาจิ. ๖๗๕) วจนโต คมนมฺปิ, ‘‘ฉนฺนํ วา อนุปวิเสยฺยา’’ติ (ปาจิ. ๖๗๕) วจนโต ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐานปเวโสปิ, ตถา ‘‘รตฺตนฺธกาเร อปฺปทีเป ปฎิจฺฉเนฺน โอกาเส เอเกเนกา สนฺติเฎฺฐยฺย วา สลฺลเปยฺย วา’’ติ (ปาจิ. ๘๓๘) วจนโต ทุฎฺฐุลฺลวาจาปิ ปาจิตฺติยวตฺถุกนฺติ กตฺวา ตาสํ อญฺญถา อนิยตกณฺฑสฺส อวตฺตพฺพตาปตฺติโตปิ น วุตฺตนฺติ เตสํ อธิปฺปาโยฯ
Apicettha idaṃ pakiṇṇakaṃ, seyyathidaṃ – idaṃ aniyatakaṇḍaṃ nippayojanaṃ apubbābhāvatoti ce? Na, garukalahukabhedabhinnāpattiropanāropanakkamalakkhaṇadīpanappayojanato. Ettha hi ‘‘sā ce evaṃ vadeyya ‘ayyo mayā diṭṭho nisinno mātugāmassa methunaṃ dhammaṃ paṭisevanto’ti, so ca taṃ paṭijānāti, āpattiyā kāretabbo…pe… nisajjāya kāretabbo’’tiādinā (pārā. 446) āpattiyā garukāya lahukāya ca ropanakkamalakkhaṇaṃ, kāretabboti iminā anāropanakkamalakkhaṇañca dassitaṃ. Lakkhaṇadīpanato ādimhi, ante vā uddisitabbanti ce? Na, asambhavato. Kathaṃ? Na tāva ādimhi sambhavati, yesamidaṃ lakkhaṇaṃ, tesaṃ sikkhāpadānaṃ adassitattā. Na ante, garukamissakattā, tasmā garukalahukānaṃ majjhe eva uddisitabbanti arahati ubhayāmissakattā. Yā tattha lahukāpatti dassitā , sāpi garukādikā. Tenevāha ‘‘methunadhammasannissitakilesasaṅkhātena rahassādenā’’tiādi, tasmā garukānaṃ eva anantaraṃ uddiṭṭhātipi eke. Evaṃ sante paṭhamamevālaṃ tāvatā lakkhaṇadīpanasiddhito, kiṃ dutiyenāti ce? Na, okāsaniyamapaccayamicchāgāhanivāraṇappayojanato. ‘‘Paṭicchanne āsane alaṃkammaniye’’ti okāsaniyamato hi tabbiparīte okāse idaṃ lakkhaṇaṃ na vikappitanti micchāgāho hoti, tannivāraṇato dutiyampi sātthakamevāti adhippāyo. Kasmā? Okāsabhedato, rahobhedadīpanato, rahonisajjassādabhedadīpanato . Okāsaniyamabhāve ca rahonisajjassādabhedo jāto. Dvinnaṃ rahonisajjasikkhāpadānaṃ nānatājānanañca siyā, tathā kāyasaṃsaggabhedadīpanato. Nālaṃkammaniyepi hi okāse appaṭicchanne, paṭicchannepi vā nisinnāya vātapānakavāṭachiddādīhi nikkhantakesādiggahaṇena kāyasaṃsaggo labbhatīti evamādayopi nayā vitthārato veditabbā. ‘‘Bhikkhupātimokkhe āgatanayattā bhikkhunīpātimokkhe idaṃ kaṇḍaṃ parihīnanti veditabba’’nti vadanti. Atthuppattiyā tattha anupannattāti eke. Taṃ anekatthabhāvadīpanato ayuttaṃ. Sabbabuddhakāle hi bhikkhūnaṃ pañcannaṃ, bhikkhunīnaṃ cattāro ca uddesā santi. Pātimokkhuddesapaññattiyā asādhāraṇattā tattha niddiṭṭhasaṅghādisesapācittiyānanti eke. Tāsaṃ bhikkhunīnaṃ ubbhajāṇumaṇḍalikaaṭṭhavatthukavasena kāyasaṃsaggaviseso pārājikavatthu, ‘‘hatthaggahaṇaṃ vā sādiyeyya, kāyaṃ vā tadatthāya upasaṃhareyyā’’ti (pāci. 674-675) vacanato sādiyanampi, ‘‘santiṭṭheyya vā’’ti (pāci. 675) vacanato ṭhānampi, ‘‘saṅketaṃ vā gaccheyyā’’ti (pāci. 675) vacanato gamanampi, ‘‘channaṃ vā anupaviseyyā’’ti (pāci. 675) vacanato paṭicchannaṭṭhānapavesopi, tathā ‘‘rattandhakāre appadīpe paṭicchanne okāse ekenekā santiṭṭheyya vā sallapeyya vā’’ti (pāci. 838) vacanato duṭṭhullavācāpi pācittiyavatthukanti katvā tāsaṃ aññathā aniyatakaṇḍassa avattabbatāpattitopi na vuttanti tesaṃ adhippāyo.
ปกิณฺณกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pakiṇṇakavaṇṇanā niṭṭhitā.
อนิยตกณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ
Aniyatakaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.