Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā

    ๓๔. ปกิณฺณกวินิจฺฉยกถา

    34. Pakiṇṇakavinicchayakathā

    . อิทานิ ปกิณฺณกกถา จ เวทิตพฺพาฯ ‘‘คณโภชเน อญฺญตฺร สมยา ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๒๑๗) วุตฺตํ คณโภชนํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๑๗-๒๑๘) ทฺวีหิ อากาเรหิ ปสวติ วิญฺญตฺติโต วา นิมนฺตนโต วาฯ กถํ วิญฺญตฺติโต ปสวติ? จตฺตาโร ภิกฺขู เอกโต ฐิตา วา นิสินฺนา วา อุปาสกํ ทิสฺวา ‘‘อมฺหากํ จตุนฺนมฺปิ ภตฺตํ เทหี’’ติ วา วิญฺญาเปยฺยุํ, ปาเฎกฺกํ วา ปสฺสิตฺวา ‘‘มยฺหํ เทหิ, มยฺหํ เทหี’’ติ เอวํ เอกโต วา นานาโต วา วิญฺญาเปตฺวา เอกโต วา คจฺฉนฺตุ นานาโต วา, ภตฺตํ คเหตฺวาปิ เอกโต วา ภุญฺชนฺตุ นานาโต วาฯ สเจ เอกโต คณฺหนฺติ, คณโภชนํ โหติ, สเพฺพสํ อาปตฺติฯ ปฎิคฺคหณเมว เหตฺถ ปมาณํฯ เอวํ วิญฺญตฺติโต ปสวติฯ

    1. Idāni pakiṇṇakakathā ca veditabbā. ‘‘Gaṇabhojane aññatra samayā pācittiya’’nti (pāci. 217) vuttaṃ gaṇabhojanaṃ (pāci. aṭṭha. 217-218) dvīhi ākārehi pasavati viññattito vā nimantanato vā. Kathaṃ viññattito pasavati? Cattāro bhikkhū ekato ṭhitā vā nisinnā vā upāsakaṃ disvā ‘‘amhākaṃ catunnampi bhattaṃ dehī’’ti vā viññāpeyyuṃ, pāṭekkaṃ vā passitvā ‘‘mayhaṃ dehi, mayhaṃ dehī’’ti evaṃ ekato vā nānāto vā viññāpetvā ekato vā gacchantu nānāto vā, bhattaṃ gahetvāpi ekato vā bhuñjantu nānāto vā. Sace ekato gaṇhanti, gaṇabhojanaṃ hoti, sabbesaṃ āpatti. Paṭiggahaṇameva hettha pamāṇaṃ. Evaṃ viññattito pasavati.

    กถํ นิมนฺตนโต ปสวติ? จตฺตาโร ภิกฺขู อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, โอทเนน นิมเนฺตมิ, โอทนํ เม คณฺหถ อากงฺขถ โอโลเกถ อธิวาเสถ ปฎิมาเนถา’’ติ เอวํ เยน เกนจิ เววจเนน วา ภาสนฺตเรน วา ปญฺจนฺนํ โภชนานํ นามํ คเหตฺวา นิมเนฺตติฯ เอวํ เอกโต นิมนฺติตา ปริจฺฉินฺนกาลวเสน อชฺชตนาย วา สฺวาตนาย วา เอกโต คจฺฉนฺติ, เอกโต คณฺหนฺติ, เอกโต ภุญฺชนฺติ, คณโภชนํ โหติ, สเพฺพสํ อาปตฺติฯ เอกโต นิมนฺติตา เอกโต วา นานาโต วา คจฺฉนฺติ, เอกโต คณฺหนฺติ, เอกโต วา นานาโต วา ภุญฺชนฺติ, อาปตฺติเยวฯ เอกโต นิมนฺติตา เอกโต วา นานาโต วา คจฺฉนฺติ, นานาโต คณฺหนฺติ, เอกโต วา นานาโต วา ภุญฺชนฺติ, อนาปตฺติฯ จตฺตาริ ปริเวณานิ วา วิหาเร วา คนฺตฺวา นานาโต นิมนฺติตา, เอกฎฺฐาเน ฐิเตสุเยว วา เอโก ปุเตฺตน เอโก ปิตราติ เอวมฺปิ นานาโต นิมนฺติตา เอกโต วา นานาโต วา คจฺฉนฺตุ, เอกโต วา นานาโต วา ภุญฺชนฺตุ, สเจ เอกโต คณฺหนฺติ, คณโภชนํ โหติ, สเพฺพสํ อาปตฺติฯ เอวํ ตาว นิมนฺตนโต ปสวติฯ

    Kathaṃ nimantanato pasavati? Cattāro bhikkhū upasaṅkamitvā ‘‘tumhe, bhante, odanena nimantemi, odanaṃ me gaṇhatha ākaṅkhatha oloketha adhivāsetha paṭimānethā’’ti evaṃ yena kenaci vevacanena vā bhāsantarena vā pañcannaṃ bhojanānaṃ nāmaṃ gahetvā nimanteti. Evaṃ ekato nimantitā paricchinnakālavasena ajjatanāya vā svātanāya vā ekato gacchanti, ekato gaṇhanti, ekato bhuñjanti, gaṇabhojanaṃ hoti, sabbesaṃ āpatti. Ekato nimantitā ekato vā nānāto vā gacchanti, ekato gaṇhanti, ekato vā nānāto vā bhuñjanti, āpattiyeva. Ekato nimantitā ekato vā nānāto vā gacchanti, nānāto gaṇhanti, ekato vā nānāto vā bhuñjanti, anāpatti. Cattāri pariveṇāni vā vihāre vā gantvā nānāto nimantitā, ekaṭṭhāne ṭhitesuyeva vā eko puttena eko pitarāti evampi nānāto nimantitā ekato vā nānāto vā gacchantu, ekato vā nānāto vā bhuñjantu, sace ekato gaṇhanti, gaṇabhojanaṃ hoti, sabbesaṃ āpatti. Evaṃ tāva nimantanato pasavati.

    ตสฺมา สเจ โกจิ สงฺฆภตฺตํ กตฺตุกาเมน นิมนฺตนตฺถาย เปสิโต วิหารํ อาคมฺม ‘‘ภเนฺต, เสฺว อมฺหากํ ฆเร ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ อวตฺวา ‘‘ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วา ‘‘สงฺฆภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วา ‘‘สโงฺฆ ภตฺตํ คณฺหตู’’ติ วา วทติ, ภตฺตุเทฺทสเกน ปณฺฑิเตน ภวิตพฺพํฯ นิมนฺตนิกา คณโภชนโต, ปิณฺฑปาติกา จ ธุตงฺคเภทโต โมเจตพฺพาฯ กถํ? เอวํ ตาว วตฺตพฺพํ ‘‘เสฺว น สกฺกา อุปาสกา’’ติฯ ปุนทิวเส, ภเนฺตติฯ ปุนทิวเสปิ น สกฺกาติฯ เอวํ ยาว อฑฺฒมาสมฺปิ หริตฺวา ปุน วตฺตโพฺพ ‘‘กิํ ตฺวํ อวจา’’ติฯ สเจ ปุนปิ ‘‘สงฺฆภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ตโต ‘‘อิมํ ตาว อุปาสก ปุปฺผํ กปฺปิยํ กโรหิ, อิมํ ติณ’’นฺติ เอวํ วิเกฺขปํ กตฺวา ปุน ‘‘ตฺวํ กิํ กถยิตฺถา’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพฯ สเจ ปุนปิ ตเถว วทติ, ‘‘อาวุโส, ตฺวํ ปิณฺฑปาติเก วา มหลฺลกเตฺถเร วา น ลจฺฉสิ, สามเณเร ลจฺฉสี’’ติ วตฺตโพฺพฯ ‘‘นนุ, ภเนฺต, อสุกสฺมิํ อสุกสฺมิญฺจ คาเม ภทเนฺต โภเชสุํ, อหํ กสฺมา น ลภามี’’ติ จ วุเตฺต เต นิมนฺติตุํ ชานนฺติ, ตฺวํ น ชานาสีติฯ เต กถํ นิมเนฺตสุํ, ภเนฺตติ? เต เอวมาหํสุ ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติฯ สเจ โสปิ ตเถว วทติ, วฎฺฎติฯ

    Tasmā sace koci saṅghabhattaṃ kattukāmena nimantanatthāya pesito vihāraṃ āgamma ‘‘bhante, sve amhākaṃ ghare bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti avatvā ‘‘bhattaṃ gaṇhathā’’ti vā ‘‘saṅghabhattaṃ gaṇhathā’’ti vā ‘‘saṅgho bhattaṃ gaṇhatū’’ti vā vadati, bhattuddesakena paṇḍitena bhavitabbaṃ. Nimantanikā gaṇabhojanato, piṇḍapātikā ca dhutaṅgabhedato mocetabbā. Kathaṃ? Evaṃ tāva vattabbaṃ ‘‘sve na sakkā upāsakā’’ti. Punadivase, bhanteti. Punadivasepi na sakkāti. Evaṃ yāva aḍḍhamāsampi haritvā puna vattabbo ‘‘kiṃ tvaṃ avacā’’ti. Sace punapi ‘‘saṅghabhattaṃ gaṇhathā’’ti vadati, tato ‘‘imaṃ tāva upāsaka pupphaṃ kappiyaṃ karohi, imaṃ tiṇa’’nti evaṃ vikkhepaṃ katvā puna ‘‘tvaṃ kiṃ kathayitthā’’ti pucchitabbo. Sace punapi tatheva vadati, ‘‘āvuso, tvaṃ piṇḍapātike vā mahallakatthere vā na lacchasi, sāmaṇere lacchasī’’ti vattabbo. ‘‘Nanu, bhante, asukasmiṃ asukasmiñca gāme bhadante bhojesuṃ, ahaṃ kasmā na labhāmī’’ti ca vutte te nimantituṃ jānanti, tvaṃ na jānāsīti. Te kathaṃ nimantesuṃ, bhanteti? Te evamāhaṃsu ‘‘amhākaṃ, bhante, bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti. Sace sopi tatheva vadati, vaṭṭati.

    อถ ปุนปิ ‘‘ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ‘‘น ทานิ ตฺวํ, อาวุโส, พหู ภิกฺขู ลจฺฉสิ, ตโย เอว, อาวุโส, ลจฺฉสี’’ติ วตฺตโพฺพฯ ‘‘นนุ, ภเนฺต, อมุกสฺมิญฺจ อมุกสฺมิญฺจ คาเม สกลํ ภิกฺขุสงฺฆํ โภเชสุํ, อหํ กสฺมา น ลภามี’’ติฯ ‘‘ตฺวํ นิมนฺติตุํ น ชานาสี’’ติฯ เต กถํ นิมเนฺตสุํ, ภเนฺตติ? เต เอวมาหํสุ ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติฯ สเจ โสปิ ตเถว ‘‘ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ วทติ, วฎฺฎติฯ อถ ปุนปิ ‘‘ภตฺตเมวา’’ติ วทติ, ตโต วตฺตโพฺพ – ‘‘คจฺฉ ตฺวํ, นตฺถมฺหากํ ตว ภเตฺตนโตฺถ, นิพทฺธโคจโร เอส อมฺหากํ, มยเมตฺถ ปิณฺฑาย จริสฺสามา’’ติฯ ตํ ‘‘จรถ, ภเนฺต’’ติ วตฺวา อาคตํ ปุจฺฉนฺติ ‘‘กิํ โภ ลทฺธา ภิกฺขู’’ติ? กิํ เอเตน, พหุ เอตฺถ วตฺตพฺพํ, เถรา ‘‘เสฺว ปิณฺฑาย จริสฺสามา’’ติ อาหํสุ, มา ทานิ ตุเมฺห ปมชฺชิตฺถาติฯ ทุติยทิวเส เจติยวตฺตํ กตฺวา ฐิตภิกฺขู สงฺฆเตฺถเรน วตฺตพฺพา ‘‘อาวุโส, ธุรคาเม สงฺฆภตฺตํ, อปณฺฑิตมนุโสฺส ปน อคมาสิ, คจฺฉาม, ธุรคาเม ปิณฺฑาย จริสฺสามา’’ติฯ ภิกฺขูหิ เถรสฺส วจนํ กาตพฺพํ, น ทุพฺพเจหิ ภวิตพฺพํ, คามทฺวาเร อฎฺฐตฺวาว ปิณฺฑาย จริตพฺพํ, เตสุ ปตฺตานิ คเหตฺวา นิสีทาเปตฺวา โภเชเนฺตสุ ภุญฺชิตพฺพํฯ

    Atha punapi ‘‘bhattaṃ gaṇhathā’’ti vadati, ‘‘na dāni tvaṃ, āvuso, bahū bhikkhū lacchasi, tayo eva, āvuso, lacchasī’’ti vattabbo. ‘‘Nanu, bhante, amukasmiñca amukasmiñca gāme sakalaṃ bhikkhusaṅghaṃ bhojesuṃ, ahaṃ kasmā na labhāmī’’ti. ‘‘Tvaṃ nimantituṃ na jānāsī’’ti. Te kathaṃ nimantesuṃ, bhanteti? Te evamāhaṃsu ‘‘amhākaṃ, bhante, bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti. Sace sopi tatheva ‘‘bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti vadati, vaṭṭati. Atha punapi ‘‘bhattamevā’’ti vadati, tato vattabbo – ‘‘gaccha tvaṃ, natthamhākaṃ tava bhattenattho, nibaddhagocaro esa amhākaṃ, mayamettha piṇḍāya carissāmā’’ti. Taṃ ‘‘caratha, bhante’’ti vatvā āgataṃ pucchanti ‘‘kiṃ bho laddhā bhikkhū’’ti? Kiṃ etena, bahu ettha vattabbaṃ, therā ‘‘sve piṇḍāya carissāmā’’ti āhaṃsu, mā dāni tumhe pamajjitthāti. Dutiyadivase cetiyavattaṃ katvā ṭhitabhikkhū saṅghattherena vattabbā ‘‘āvuso, dhuragāme saṅghabhattaṃ, apaṇḍitamanusso pana agamāsi, gacchāma, dhuragāme piṇḍāya carissāmā’’ti. Bhikkhūhi therassa vacanaṃ kātabbaṃ, na dubbacehi bhavitabbaṃ, gāmadvāre aṭṭhatvāva piṇḍāya caritabbaṃ, tesu pattāni gahetvā nisīdāpetvā bhojentesu bhuñjitabbaṃ.

    สเจ อาสนสาลาย ภตฺตํ ฐเปตฺวา รถิกาสุ อาหิณฺฑนฺตา อาโรเจนฺติ ‘‘อาสนสาลายํ, ภเนฺต, ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ, น วฎฺฎติฯ อถ ปน ‘‘ภตฺตํ อาทาย ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทนฺติ, ปฎิกเจฺจว วา วิหารํ อติหริตฺวา ปติรูเป ฐาเน ฐเปตฺวา อาคตาคตานํ เทนฺติ, อยํ อภิหฎภิกฺขา นาม วฎฺฎติฯ สเจ ปน ภตฺตสาลาย ทานํ สเชฺชตฺวา ตํ ตํ ปริเวณํ ปหิณนฺติ ‘‘ภตฺตสาลาย ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ, วฎฺฎติฯ เย ปน มนุสฺสา ปิณฺฑจาริเก ภิกฺขู ทิสฺวา อาสนสาลํ สมฺมชฺชิตฺวา ตตฺถ นิสีทาเปตฺวา โภเชนฺติ, น เต ปฎิกฺขิปิตพฺพาฯ เย ปน คาเม ภิกฺขํ อลภิตฺวา คามโต นิกฺขมเนฺต ภิกฺขู ทิสฺวา ‘‘ภเนฺต, ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทนฺติ, เต ปฎิกฺขิปิตพฺพา, น นิวตฺติตพฺพํฯ สเจ ‘‘นิวตฺตถ, ภเนฺต, ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทนฺติ, ‘‘นิวตฺตถา’’ติ วุตฺตปเท นิวตฺติตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘นิวตฺตถ, ภเนฺต, ฆเร ภตฺตํ กตํ, คาเม ภตฺตํ กต’’นฺติ วทนฺติ, เคเห จ คาเม จ ภตฺตํ นาม ยสฺส กสฺสจิ โหติ, นิวตฺติตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘นิวตฺตถ ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ สมฺพนฺธํ กตฺวา วทนฺติ, นิวตฺติตุํ น วฎฺฎติฯ อาสนสาลาโต ปิณฺฑาย จริตุํ นิกฺขมเนฺต ทิสฺวา ‘‘นิสีทถ, ภเนฺต, ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ

    Sace āsanasālāya bhattaṃ ṭhapetvā rathikāsu āhiṇḍantā ārocenti ‘‘āsanasālāyaṃ, bhante, bhattaṃ gaṇhathā’’ti, na vaṭṭati. Atha pana ‘‘bhattaṃ ādāya tattha tattha gantvā bhattaṃ gaṇhathā’’ti vadanti, paṭikacceva vā vihāraṃ atiharitvā patirūpe ṭhāne ṭhapetvā āgatāgatānaṃ denti, ayaṃ abhihaṭabhikkhā nāma vaṭṭati. Sace pana bhattasālāya dānaṃ sajjetvā taṃ taṃ pariveṇaṃ pahiṇanti ‘‘bhattasālāya bhattaṃ gaṇhathā’’ti, vaṭṭati. Ye pana manussā piṇḍacārike bhikkhū disvā āsanasālaṃ sammajjitvā tattha nisīdāpetvā bhojenti, na te paṭikkhipitabbā. Ye pana gāme bhikkhaṃ alabhitvā gāmato nikkhamante bhikkhū disvā ‘‘bhante, bhattaṃ gaṇhathā’’ti vadanti, te paṭikkhipitabbā, na nivattitabbaṃ. Sace ‘‘nivattatha, bhante, bhattaṃ gaṇhathā’’ti vadanti, ‘‘nivattathā’’ti vuttapade nivattituṃ vaṭṭati. ‘‘Nivattatha, bhante, ghare bhattaṃ kataṃ, gāme bhattaṃ kata’’nti vadanti, gehe ca gāme ca bhattaṃ nāma yassa kassaci hoti, nivattituṃ vaṭṭati. ‘‘Nivattatha bhattaṃ gaṇhathā’’ti sambandhaṃ katvā vadanti, nivattituṃ na vaṭṭati. Āsanasālāto piṇḍāya carituṃ nikkhamante disvā ‘‘nisīdatha, bhante, bhattaṃ gaṇhathā’’ti vuttepi eseva nayo.

    ‘‘อญฺญตฺร สมยา’’ติ วจนโต คิลานสมโย จีวรทานสมโย จีวรการสมโย อทฺธานคมนสมโย นาวาภิรุหนสมโย มหาสมโย สมณภตฺตสมโยติ เอเตสุ สตฺตสุ สมเยสุ อญฺญตรสฺมิํ อนาปตฺติฯ ตสฺมา ยถา มหาจมฺมสฺส ปรโต มํสํ ทิสฺสติ, เอวํ อนฺตมโส ปาทาปิ ผาลิตา โหนฺติ, วาลิกาย วา สกฺขราย วา ปหฎมเตฺต ทุกฺขํ อุปฺปาเทนฺติ, น สกฺกา จ โหติ อโนฺตคาเม ปิณฺฑาย จริตุํ, อีทิเส เคลเญฺญ คิลานสมโยติ ภุญฺชิตพฺพํ, น เลสกปฺปิยํ กาตพฺพํฯ

    ‘‘Aññatra samayā’’ti vacanato gilānasamayo cīvaradānasamayo cīvarakārasamayo addhānagamanasamayo nāvābhiruhanasamayo mahāsamayo samaṇabhattasamayoti etesu sattasu samayesu aññatarasmiṃ anāpatti. Tasmā yathā mahācammassa parato maṃsaṃ dissati, evaṃ antamaso pādāpi phālitā honti, vālikāya vā sakkharāya vā pahaṭamatte dukkhaṃ uppādenti, na sakkā ca hoti antogāme piṇḍāya carituṃ, īdise gelaññe gilānasamayoti bhuñjitabbaṃ, na lesakappiyaṃ kātabbaṃ.

    จีวรทานสมโย นาม อนตฺถเต กถิเน วสฺสานสฺส ปจฺฉิโม มาโส, อตฺถเต กถิเน ปญฺจมาสาฯ เอตฺถนฺตเร ‘‘จีวรทานสมโย’’ติ ภุญฺชิตพฺพํฯ จีวเร กริยมาเน จีวรการสมโยติ ภุญฺชิตพฺพํฯ ยทา หิ สาฎกญฺจ สุตฺตญฺจ ลภิตฺวา จีวรํ กโรนฺติ, อยํ จีวรการสมโย นาม, วิสุํ จีวรการสมโย นาม นตฺถิ, ตสฺมา โย ตตฺถ จีวเร กตฺตพฺพํ ยํ กิญฺจิ กมฺมํ กโรติ, มหาปจฺจริยญฺหิ ‘‘อนฺตมโส สูจิเวธโก’’ติปิ วุตฺตํฯ เตน ‘‘จีวรการสมโย’’ติ ภุญฺชิตพฺพํฯ กุรุนฺทิยํ ปน วิตฺถาเรเนว วุตฺตํ ‘‘โย จีวรํ วิจาเรติ ฉินฺทติ, โมฆสุตฺตกํ ฐเปติ, อาคนฺตุกปตฺตํ ฐเปติ, ปจฺจาคตํ สิเพฺพติ, อาคนฺตุกปตฺตํ พนฺธติ, อนุวาตํ ฉินฺทติ ฆเฎติ อาโรเปติ, ตตฺถ ปจฺจาคตํ สิเพฺพติ, สุตฺตํ กโรติ วเลติ, ปิปฺผลิกํ นิเสติ, ปริวตฺตนํ กโรติ, สโพฺพปิ จีวรํ กโรติเยวาติ วุจฺจติฯ โย ปน สมีเป นิสิโนฺน ชาตกํ วา ธมฺมปทํ วา กเถติ, อยํ น จีวรการโก, เอตํ ฐเปตฺวา เสสานํ คณโภชเน อนาปตฺตี’’ติฯ

    Cīvaradānasamayo nāma anatthate kathine vassānassa pacchimo māso, atthate kathine pañcamāsā. Etthantare ‘‘cīvaradānasamayo’’ti bhuñjitabbaṃ. Cīvare kariyamāne cīvarakārasamayoti bhuñjitabbaṃ. Yadā hi sāṭakañca suttañca labhitvā cīvaraṃ karonti, ayaṃ cīvarakārasamayo nāma, visuṃ cīvarakārasamayo nāma natthi, tasmā yo tattha cīvare kattabbaṃ yaṃ kiñci kammaṃ karoti, mahāpaccariyañhi ‘‘antamaso sūcivedhako’’tipi vuttaṃ. Tena ‘‘cīvarakārasamayo’’ti bhuñjitabbaṃ. Kurundiyaṃ pana vitthāreneva vuttaṃ ‘‘yo cīvaraṃ vicāreti chindati, moghasuttakaṃ ṭhapeti, āgantukapattaṃ ṭhapeti, paccāgataṃ sibbeti, āgantukapattaṃ bandhati, anuvātaṃ chindati ghaṭeti āropeti, tattha paccāgataṃ sibbeti, suttaṃ karoti valeti, pipphalikaṃ niseti, parivattanaṃ karoti, sabbopi cīvaraṃ karotiyevāti vuccati. Yo pana samīpe nisinno jātakaṃ vā dhammapadaṃ vā katheti, ayaṃ na cīvarakārako, etaṃ ṭhapetvā sesānaṃ gaṇabhojane anāpattī’’ti.

    อทฺธานคมนสมเย อนฺตมโส อฑฺฒโยชนํ คนฺตุกาเมนปิ ‘‘อฑฺฒโยชนํ คจฺฉิสฺสามี’’ติ ภุญฺชิตพฺพํ, คจฺฉเนฺตน ภุญฺชิตพฺพํ, คเตน เอกทิวสํ ภุญฺชิตพฺพํฯ

    Addhānagamanasamaye antamaso aḍḍhayojanaṃ gantukāmenapi ‘‘aḍḍhayojanaṃ gacchissāmī’’ti bhuñjitabbaṃ, gacchantena bhuñjitabbaṃ, gatena ekadivasaṃ bhuñjitabbaṃ.

    นาวาภิรุหนสมเย ‘‘นาวํ อภิรุหิสฺสามี’’ติ ภุญฺชิตพฺพํ, อารุเฬฺหน อิจฺฉิตฎฺฐานํ คนฺตฺวาปิ ยาว น โอโรหติ, ตาว ภุญฺชิตพฺพํ, โอรุเฬฺหน เอกทิวสํ ภุญฺชิตพฺพํฯ

    Nāvābhiruhanasamaye ‘‘nāvaṃ abhiruhissāmī’’ti bhuñjitabbaṃ, āruḷhena icchitaṭṭhānaṃ gantvāpi yāva na orohati, tāva bhuñjitabbaṃ, oruḷhena ekadivasaṃ bhuñjitabbaṃ.

    มหาสมโย นาม ยตฺถ เทฺว ตโย ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา ยาเปนฺติ, อนฺตมโส จตุเตฺถปิ อาคเต น ยาเปนฺติ, อยํ มหาสมโยฯ ยตฺถ ปน สตํ วา สหสฺสํ วา สนฺนิปตนฺติ, ตตฺถ วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, ตสฺมา ตาทิเส กาเล ‘‘มหาสมโย’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ

    Mahāsamayo nāma yattha dve tayo bhikkhū piṇḍāya caritvā yāpenti, antamaso catutthepi āgate na yāpenti, ayaṃ mahāsamayo. Yattha pana sataṃ vā sahassaṃ vā sannipatanti, tattha vattabbameva natthi, tasmā tādise kāle ‘‘mahāsamayo’’ti adhiṭṭhahitvā bhuñjitabbaṃ.

    สมณภตฺตสมโย นาม โย โกจิ ปริพฺพาชกสมาปโนฺน ภตฺตํ กโรติ, อยํ สมณภตฺตสมโยวฯ ตสฺมา สหธมฺมิเกสุ วา ติตฺถิเยสุ วา อญฺญตเรน เยน เกนจิ กเต ภเตฺต ‘‘สมณภตฺตสมโย’’ติ ภุญฺชิตพฺพํฯ ‘‘อนาปตฺติ สมเย, เทฺว ตโย เอกโต ภุญฺชนฺติ, ปิณฺฑาย จริตฺวา เอกโต สนฺนิปติตฺวา ภุญฺชนฺติ, นิจฺจภตฺตํ, สลากภตฺตํ, ปกฺขิกํ, อุโปสถิกํ, ปาฎิปทิกํ, ปญฺจ โภชนานิ ฐเปตฺวา สพฺพตฺถ อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. ๒๒๐) วจนโต เยปิ อกปฺปิยนิมนฺตนํ สาทิยิตฺวา เทฺว วา ตโย วา เอกโต คเหตฺวา ภุญฺชนฺติ, เตสมฺปิ อนาปตฺติฯ

    Samaṇabhattasamayo nāma yo koci paribbājakasamāpanno bhattaṃ karoti, ayaṃ samaṇabhattasamayova. Tasmā sahadhammikesu vā titthiyesu vā aññatarena yena kenaci kate bhatte ‘‘samaṇabhattasamayo’’ti bhuñjitabbaṃ. ‘‘Anāpatti samaye, dve tayo ekato bhuñjanti, piṇḍāya caritvā ekato sannipatitvā bhuñjanti, niccabhattaṃ, salākabhattaṃ, pakkhikaṃ, uposathikaṃ, pāṭipadikaṃ, pañca bhojanāni ṭhapetvā sabbattha anāpattī’’ti (pāci. 220) vacanato yepi akappiyanimantanaṃ sādiyitvā dve vā tayo vā ekato gahetvā bhuñjanti, tesampi anāpatti.

    ตตฺถ อนิมนฺติตจตุตฺถํ ปิณฺฑปาติกจตุตฺถํ อนุปสมฺปนฺนจตุตฺถํ ปตฺตจตุตฺถํ คิลานจตุตฺถนฺติ ปญฺจนฺนํ จตุตฺถานํ วเสน วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ กถํ? อิเธกโจฺจ จตฺตาโร ภิกฺขู ‘‘ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ นิมเนฺตติฯ เตสุ ตโย คตา, เอโก น คโตฯ อุปาสโก ‘‘เอโก, ภเนฺต, เถโร กุหิ’’นฺติ ปุจฺฉติฯ นาคโต อุปาสกาติฯ โส อญฺญํ ตํขณปฺปตฺตํ กญฺจิ ‘‘เอหิ, ภเนฺต’’ติ ฆรํ ปเวเสตฺวา จตุนฺนมฺปิ ภตฺตํ เทติ , สเพฺพสํ อนาปตฺติฯ กสฺมา? คณปูรกสฺส อนิมนฺติตตฺตาฯ ตโย เอว หิ ตตฺถ นิมนฺติตา คณฺหิํสุ, เตหิ คโณ น ปูรติ, คณปูรโก จ อนิมนฺติโต, เตน คโณ ภิชฺชตีติฯ เอตํ อนิมนฺติตจตุตฺถํ

    Tattha animantitacatutthaṃ piṇḍapātikacatutthaṃ anupasampannacatutthaṃ pattacatutthaṃ gilānacatutthanti pañcannaṃ catutthānaṃ vasena vinicchayo veditabbo. Kathaṃ? Idhekacco cattāro bhikkhū ‘‘bhattaṃ gaṇhathā’’ti nimanteti. Tesu tayo gatā, eko na gato. Upāsako ‘‘eko, bhante, thero kuhi’’nti pucchati. Nāgato upāsakāti. So aññaṃ taṃkhaṇappattaṃ kañci ‘‘ehi, bhante’’ti gharaṃ pavesetvā catunnampi bhattaṃ deti , sabbesaṃ anāpatti. Kasmā? Gaṇapūrakassa animantitattā. Tayo eva hi tattha nimantitā gaṇhiṃsu, tehi gaṇo na pūrati, gaṇapūrako ca animantito, tena gaṇo bhijjatīti. Etaṃ animantitacatutthaṃ.

    ปิณฺฑปาติกจตุเตฺถ นิมนฺตนกาเล เอโก ปิณฺฑปาติโก โหติ, โส นาธิวาเสติ, คมนเวลายํ ปน ‘‘เอหิ ภเนฺต’’ติ วุเตฺต อนธิวาสิตตฺตา อนาคจฺฉนฺตมฺปิ ‘‘เอถ ภิกฺขํ ลจฺฉถา’’ติ คเหตฺวา คจฺฉนฺติ, โส ตํ คณํ ภินฺทติ, ตสฺมา สเพฺพสํ อนาปตฺติฯ

    Piṇḍapātikacatutthe nimantanakāle eko piṇḍapātiko hoti, so nādhivāseti, gamanavelāyaṃ pana ‘‘ehi bhante’’ti vutte anadhivāsitattā anāgacchantampi ‘‘etha bhikkhaṃ lacchathā’’ti gahetvā gacchanti, so taṃ gaṇaṃ bhindati, tasmā sabbesaṃ anāpatti.

    อนุปสมฺปนฺนจตุเตฺถ สามเณเรน สทฺธิํ นิมนฺติตา โหนฺติ, โสปิ คณํ ภินฺทติฯ

    Anupasampannacatutthe sāmaṇerena saddhiṃ nimantitā honti, sopi gaṇaṃ bhindati.

    ปตฺตจตุเตฺถ เอโก สยํ อาคนฺตฺวา ปตฺตํ เปเสติ, เอวมฺปิ คโณ ภิชฺชติ, ตสฺมา สเพฺพสํ อนาปตฺติฯ

    Pattacatutthe eko sayaṃ āgantvā pattaṃ peseti, evampi gaṇo bhijjati, tasmā sabbesaṃ anāpatti.

    คิลานจตุเตฺถ คิลาเนน สทฺธิํ นิมนฺติตา โหนฺติ, ตตฺถ คิลานเสฺสว อนาปตฺติ, อิตเรสํ ปน คณปูรโก โหติฯ น หิ คิลาเนน คโณ ภิชฺชติ, ตสฺมา เตสํ อาปตฺติฯ มหาปจฺจริยํ ปน อวิเสเสน วุตฺตํ ‘‘สมยลทฺธโก สยเมว มุจฺจติ, เสสานํ คณปูรกตฺตา อาปตฺติกโร โหตี’’ติฯ ตสฺมา จีวรทานสมยลทฺธกาทีนมฺปิ วเสน จตุกฺกานิ เวทิตพฺพานิฯ

    Gilānacatutthe gilānena saddhiṃ nimantitā honti, tattha gilānasseva anāpatti, itaresaṃ pana gaṇapūrako hoti. Na hi gilānena gaṇo bhijjati, tasmā tesaṃ āpatti. Mahāpaccariyaṃ pana avisesena vuttaṃ ‘‘samayaladdhako sayameva muccati, sesānaṃ gaṇapūrakattā āpattikaro hotī’’ti. Tasmā cīvaradānasamayaladdhakādīnampi vasena catukkāni veditabbāni.

    สเจ ปน อธิวาเสตฺวา คเตสุปิ จตูสุ ชเนสุ เอโก ปณฺฑิโต ภิกฺขุ ‘‘อหํ ตุมฺหากํ คณํ ภินฺทิสฺสามิ, นิมนฺตนํ สาทิยถา’’ติ วตฺวา ยาคุขชฺชกาวสาเน ภตฺตตฺถาย ปตฺตํ คณฺหนฺตานํ อทตฺวา ‘‘อิเม ตาว ภิกฺขู โภเชตฺวา วิสฺสเชฺชถ, อหํ ปจฺฉา อนุโมทนํ กตฺวา คมิสฺสามี’’ติ นิสิโนฺน, เตสุ ภุตฺวา คเตสุ ‘‘เทถ, ภเนฺต, ปตฺต’’นฺติ อุปาสเกน ปตฺตํ คเหตฺวา ภเตฺต ทิเนฺน ภุญฺชิตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา คจฺฉติ, สเพฺพสํ อนาปตฺติฯ ปญฺจนฺนญฺหิ โภชนานํเยว วเสน คณโภชเน วิสเงฺกตํ นตฺถิ, โอทเนน นิมเนฺตตฺวา กุมฺมาสํ คณฺหนฺตาปิ อาปชฺชนฺติ, ตานิ จ เตหิ เอกโต น คหิตานิ, ยาคุอาทีหิ ปน วิสเงฺกตํ โหติ, ตานิ เตหิ เอกโต คหิตานีติ เอวํ เอโก ปณฺฑิโต อเญฺญสมฺปิ อนาปตฺติํ กโรติฯ นิจฺจภตฺตนฺติ ธุวภตฺตํ วุจฺจติ, ‘‘นิจฺจภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทนฺติ, พหูนํ เอกโต คเหตุํ วฎฺฎติฯ สลากภตฺตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Sace pana adhivāsetvā gatesupi catūsu janesu eko paṇḍito bhikkhu ‘‘ahaṃ tumhākaṃ gaṇaṃ bhindissāmi, nimantanaṃ sādiyathā’’ti vatvā yāgukhajjakāvasāne bhattatthāya pattaṃ gaṇhantānaṃ adatvā ‘‘ime tāva bhikkhū bhojetvā vissajjetha, ahaṃ pacchā anumodanaṃ katvā gamissāmī’’ti nisinno, tesu bhutvā gatesu ‘‘detha, bhante, patta’’nti upāsakena pattaṃ gahetvā bhatte dinne bhuñjitvā anumodanaṃ katvā gacchati, sabbesaṃ anāpatti. Pañcannañhi bhojanānaṃyeva vasena gaṇabhojane visaṅketaṃ natthi, odanena nimantetvā kummāsaṃ gaṇhantāpi āpajjanti, tāni ca tehi ekato na gahitāni, yāguādīhi pana visaṅketaṃ hoti, tāni tehi ekato gahitānīti evaṃ eko paṇḍito aññesampi anāpattiṃ karoti. Niccabhattanti dhuvabhattaṃ vuccati, ‘‘niccabhattaṃ gaṇhathā’’ti vadanti, bahūnaṃ ekato gahetuṃ vaṭṭati. Salākabhattādīsupi eseva nayo.

    . ‘‘ปรมฺปรโภชเน อญฺญตฺร สมยา ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๒๒๒-๒๒๓, ๒๒๕) วุตฺตํ ปรมฺปรโภชนํ ปน นิมนฺตนโตเยว ปสวติฯ โย หิ ‘‘ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตเรน โภชเนน ภตฺตํ คณฺหถา’’ติอาทินา นิมนฺติโต ตํ ฐเปตฺวา อญฺญํ ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรโภชนํ ภุญฺชติ, ตเสฺสตํ โภชนํ ‘‘ปรมฺปรโภชน’’นฺติ วุจฺจติฯ เอวํ ภุญฺชนฺตสฺส ฐเปตฺวา คิลานสมยํ จีวรทานสมยํ จีวรการสมยญฺจ อญฺญสฺมิํ สมเย ปาจิตฺติยํ วุตฺตํ, ตสฺมา นิมนฺตนปฎิปาฎิยาว ภุญฺชิตพฺพํ, น อุปฺปฎิปาฎิยาฯ

    2. ‘‘Paramparabhojane aññatra samayā pācittiya’’nti (pāci. 222-223, 225) vuttaṃ paramparabhojanaṃ pana nimantanatoyeva pasavati. Yo hi ‘‘pañcannaṃ bhojanānaṃ aññatarena bhojanena bhattaṃ gaṇhathā’’tiādinā nimantito taṃ ṭhapetvā aññaṃ pañcannaṃ bhojanānaṃ aññatarabhojanaṃ bhuñjati, tassetaṃ bhojanaṃ ‘‘paramparabhojana’’nti vuccati. Evaṃ bhuñjantassa ṭhapetvā gilānasamayaṃ cīvaradānasamayaṃ cīvarakārasamayañca aññasmiṃ samaye pācittiyaṃ vuttaṃ, tasmā nimantanapaṭipāṭiyāva bhuñjitabbaṃ, na uppaṭipāṭiyā.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, วิกเปฺปตฺวา ปรมฺปรโภชนํ ภุญฺชิตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๒๒๖) วจนโต ปฐมนิมนฺตนํ อญฺญสฺส วิกเปฺปตฺวาปิ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ อยํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๒๖ อาทโย) วิกปฺปนา นาม สมฺมุขาปิ ปรมฺมุขาปิ วฎฺฎติฯ สมฺมุขา ทิสฺวา ‘‘มยฺหํ ภตฺตปจฺจาสํ ตุยฺหํ วิกเปฺปมี’’ติ วา ‘‘ทมฺมี’’ติ วา วตฺวา ภุญฺชิตพฺพํ, อทิสฺวา ปญฺจสุ สหธมฺมิเกสุ ยสฺส กสฺสจิ นามํ คเหตฺวา ‘‘มยฺหํ ภตฺตปจฺจาสํ อิตฺถนฺนามสฺส วิกเปฺปมี’’ติ วา ‘‘ทมฺมี’’ติ วา วตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ เทฺว ตีณิ นิมนฺตนานิ ปน เอกสฺมิํ ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา มิเสฺสตฺวา เอกํ กตฺวา ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อนาปตฺติ เทฺว ตโย นิมนฺตเน เอกโต ภุญฺชตี’’ติ (ปาจิ. ๒๒๙) หิ วุตฺตํฯ สเจ เทฺว ตีณิ กุลานิ นิมเนฺตตฺวา เอกสฺมิํ ฐาเน นิสีทาเปตฺวา อิโต จิโต จ อาหริตฺวา ภตฺตํ อากิรนฺติ, สูปพฺยญฺชนํ อากิรนฺติ, เอกมิสฺสกํ โหติ, เอตฺถาปิ อนาปตฺติฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, vikappetvā paramparabhojanaṃ bhuñjitu’’nti (pāci. 226) vacanato paṭhamanimantanaṃ aññassa vikappetvāpi paribhuñjituṃ vaṭṭati. Ayaṃ (pāci. aṭṭha. 226 ādayo) vikappanā nāma sammukhāpi parammukhāpi vaṭṭati. Sammukhā disvā ‘‘mayhaṃ bhattapaccāsaṃ tuyhaṃ vikappemī’’ti vā ‘‘dammī’’ti vā vatvā bhuñjitabbaṃ, adisvā pañcasu sahadhammikesu yassa kassaci nāmaṃ gahetvā ‘‘mayhaṃ bhattapaccāsaṃ itthannāmassa vikappemī’’ti vā ‘‘dammī’’ti vā vatvā bhuñjitabbaṃ. Dve tīṇi nimantanāni pana ekasmiṃ patte pakkhipitvā missetvā ekaṃ katvā bhuñjituṃ vaṭṭati. ‘‘Anāpatti dve tayo nimantane ekato bhuñjatī’’ti (pāci. 229) hi vuttaṃ. Sace dve tīṇi kulāni nimantetvā ekasmiṃ ṭhāne nisīdāpetvā ito cito ca āharitvā bhattaṃ ākiranti, sūpabyañjanaṃ ākiranti, ekamissakaṃ hoti, etthāpi anāpatti.

    สเจ ปน มูลนิมนฺตนํ เหฎฺฐา โหติ, ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมํ อุปริ, ตํ อุปริโต ปฎฺฐาย ภุญฺชนฺตสฺส อาปตฺติ, หตฺถํ ปน อโนฺต ปเวเสตฺวา ปฐมนิมนฺตนโต เอกมฺปิ กพฬํ อุทฺธริตฺวา ภุตฺตกาลโต ปฎฺฐาย ยถา ตถา วา ภุญฺชนฺตสฺส อนาปตฺติฯ ‘‘สเจปิ ตตฺถ ขีรํ วา รสํ วา อากิรนฺติ, เยน อโชฺฌตฺถตํ ภตฺตํ เอกรสํ โหติ, โกฎิโต ปฎฺฐาย ภุญฺชนฺตสฺส อนาปตฺตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน วุตฺตํ ‘‘ขีรภตฺตํ วา รสภตฺตํ วา ลภิตฺวา นิสินฺนสฺส ตเตฺถว อเญฺญปิ ขีรภตฺตํ วา รสภตฺตํ วา อากิรนฺติ, ขีรํ วา รสํ วา ปิวโต อนาปตฺติ, ภุญฺชเนฺตน ปฐมํ ลทฺธมํสขณฺฑํ วา ภตฺตปิณฺฑํ วา มุเข ปกฺขิปิตฺวา โกฎิโต ปฎฺฐาย ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ สปฺปิปายาเสปิ เอเสว นโย’’ติฯ

    Sace pana mūlanimantanaṃ heṭṭhā hoti, pacchimaṃ pacchimaṃ upari, taṃ uparito paṭṭhāya bhuñjantassa āpatti, hatthaṃ pana anto pavesetvā paṭhamanimantanato ekampi kabaḷaṃ uddharitvā bhuttakālato paṭṭhāya yathā tathā vā bhuñjantassa anāpatti. ‘‘Sacepi tattha khīraṃ vā rasaṃ vā ākiranti, yena ajjhotthataṃ bhattaṃ ekarasaṃ hoti, koṭito paṭṭhāya bhuñjantassa anāpattī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana vuttaṃ ‘‘khīrabhattaṃ vā rasabhattaṃ vā labhitvā nisinnassa tattheva aññepi khīrabhattaṃ vā rasabhattaṃ vā ākiranti, khīraṃ vā rasaṃ vā pivato anāpatti, bhuñjantena paṭhamaṃ laddhamaṃsakhaṇḍaṃ vā bhattapiṇḍaṃ vā mukhe pakkhipitvā koṭito paṭṭhāya bhuñjituṃ vaṭṭati. Sappipāyāsepi eseva nayo’’ti.

    มหาอุปาสโก ภิกฺขุํ นิมเนฺตติ, ตสฺส กุลํ อุปคตสฺส อุปาสโกปิ ตสฺส ปุตฺตทารภาตุภคินิอาทโยปิ อตฺตโน อตฺตโน โกฎฺฐาสํ อาหริตฺวา ปเตฺต ปกฺขิปนฺติ, ‘‘อุปาสเกน ปฐมํ ทินฺนํ อภุญฺชิตฺวา ปจฺฉา ลทฺธํ ภุญฺชนฺตสฺส อาปตฺตี’’ติ มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ‘‘วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ มหาปจฺจริยํ ‘‘สเจ ปาเฎกฺกํ ปจนฺติ, อตฺตโน อตฺตโน ปกฺกภตฺตโต อาหริตฺวา เทนฺติ, ตตฺถ ปจฺฉา อาหฎํ ปฐมํ ภุญฺชนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ ยทิ ปน สเพฺพสํ เอโกว ปาโก โหติ, ปรมฺปรโภชนํ น โหตี’’ติ วุตฺตํฯ มหาอุปาสโก นิมเนฺตตฺวา นิสีทาเปติ, อโญฺญ มนุโสฺส ปตฺตํ คณฺหาติ, น ทาตพฺพํฯ กิํ, ภเนฺต, น เทถาติฯ นนุ อุปาสก ตยา นิมนฺติตมฺหาติฯ ‘‘โหตุ, ภเนฺต, ลทฺธํ ลทฺธํ ภุญฺชถา’’ติ วทติ, ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อเญฺญน อาหริตฺวา ภเตฺต ทิเนฺน อาปุจฺฉิตฺวาปิ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ

    Mahāupāsako bhikkhuṃ nimanteti, tassa kulaṃ upagatassa upāsakopi tassa puttadārabhātubhaginiādayopi attano attano koṭṭhāsaṃ āharitvā patte pakkhipanti, ‘‘upāsakena paṭhamaṃ dinnaṃ abhuñjitvā pacchā laddhaṃ bhuñjantassa āpattī’’ti mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Kurundaṭṭhakathāyaṃ ‘‘vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Mahāpaccariyaṃ ‘‘sace pāṭekkaṃ pacanti, attano attano pakkabhattato āharitvā denti, tattha pacchā āhaṭaṃ paṭhamaṃ bhuñjantassa pācittiyaṃ. Yadi pana sabbesaṃ ekova pāko hoti, paramparabhojanaṃ na hotī’’ti vuttaṃ. Mahāupāsako nimantetvā nisīdāpeti, añño manusso pattaṃ gaṇhāti, na dātabbaṃ. Kiṃ, bhante, na dethāti. Nanu upāsaka tayā nimantitamhāti. ‘‘Hotu, bhante, laddhaṃ laddhaṃ bhuñjathā’’ti vadati, bhuñjituṃ vaṭṭati. ‘‘Aññena āharitvā bhatte dinne āpucchitvāpi bhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti kurundiyaṃ vuttaṃ.

    อนุโมทนํ กตฺวา คจฺฉนฺตํ ธมฺมํ โสตุกามา ‘‘เสฺวปิ, ภเนฺต, อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ สเพฺพ นิมเนฺตนฺติ, ปุนทิวเส อาคนฺตฺวา ลทฺธํ ลทฺธํ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ กสฺมา? สเพฺพหิ นิมนฺติตตฺตาฯ เอโกปิ ภิกฺขุ ปิณฺฑาย จรโนฺต ภตฺตํ ลภติ, ตมโญฺญ อุปาสโก นิมเนฺตตฺวา ฆเร นิสีทาเปติ, น จ ตาว ภตฺตํ สมฺปชฺชติ, สเจ โส ภิกฺขุ ปิณฺฑาย จริตฺวา ลทฺธภตฺตํ ภุญฺชติ, อาปตฺติฯ อภุญฺชิตฺวา นิสิเนฺน ‘‘กิํ, ภเนฺต, น ภุญฺชสี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตยา นิมนฺติตตฺตา’’ติ วตฺวา ‘‘ลทฺธํ ลทฺธํ ภุญฺชถ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ สกเลน คาเมน เอกโต หุตฺวา นิมนฺติตสฺส ยตฺถ กตฺถจิ ภุญฺชโต อนาปตฺติฯ ปูเคปิ เอเสว นโยฯ ‘‘อนาปตฺติ สกเลน คาเมน นิมนฺติโต ตสฺมิํ คาเม ยตฺถ กตฺถจิ ภุญฺชติ, สกเลน ปูเคน นิมนฺติโต ตสฺมิํ ปูเค ยตฺถ กตฺถจิ ภุญฺชติ, นิมนฺติยมาโน ‘ภิกฺขํ คเหสฺสามี’ติ ภณติ, นิจฺจภเตฺต สลากภเตฺต ปกฺขิเก อุโปสถิเก ปาฎิปทิเก ปญฺจ โภชนานิ ฐเปตฺวา สพฺพตฺถ อนาปตฺตี’’ติ (ปาจิ. ๒๒๙) วุตฺตํฯ

    Anumodanaṃ katvā gacchantaṃ dhammaṃ sotukāmā ‘‘svepi, bhante, āgaccheyyāthā’’ti sabbe nimantenti, punadivase āgantvā laddhaṃ laddhaṃ bhuñjituṃ vaṭṭati. Kasmā? Sabbehi nimantitattā. Ekopi bhikkhu piṇḍāya caranto bhattaṃ labhati, tamañño upāsako nimantetvā ghare nisīdāpeti, na ca tāva bhattaṃ sampajjati, sace so bhikkhu piṇḍāya caritvā laddhabhattaṃ bhuñjati, āpatti. Abhuñjitvā nisinne ‘‘kiṃ, bhante, na bhuñjasī’’ti vutte ‘‘tayā nimantitattā’’ti vatvā ‘‘laddhaṃ laddhaṃ bhuñjatha, bhante’’ti vutte bhuñjituṃ vaṭṭati. Sakalena gāmena ekato hutvā nimantitassa yattha katthaci bhuñjato anāpatti. Pūgepi eseva nayo. ‘‘Anāpatti sakalena gāmena nimantito tasmiṃ gāme yattha katthaci bhuñjati, sakalena pūgena nimantito tasmiṃ pūge yattha katthaci bhuñjati, nimantiyamāno ‘bhikkhaṃ gahessāmī’ti bhaṇati, niccabhatte salākabhatte pakkhike uposathike pāṭipadike pañca bhojanāni ṭhapetvā sabbattha anāpattī’’ti (pāci. 229) vuttaṃ.

    ตตฺถ นิมนฺติยมาโน ภิกฺขํ คเหสฺสามีติ ภณตีติ เอตฺถ ‘‘ภตฺตํ คณฺหา’’ติ นิมนฺติยมาโน ‘‘น มยฺหํ ตว ภเตฺตนโตฺถ, ภิกฺขํ คณฺหิสฺสามี’’ติ วทติ, อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ ปน มหาปทุมเตฺถโร อาห ‘‘เอวํ วทโนฺต อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท อนิมนฺตนํ กาตุํ สโกฺกติ, ภุญฺชนตฺถาย ปน โอกาโส กโต โหตีติ เนว คณโภชนโต, น จาริตฺตโต มุจฺจตี’’ติฯ มหาสุมเตฺถโร อาห ‘‘ยทเคฺคน อนิมนฺตนํ กาตุํ สโกฺกติ, ตทเคฺคน เนว คณโภชนํ, น จาริตฺตํ โหตี’’ติฯ

    Tattha nimantiyamāno bhikkhaṃ gahessāmīti bhaṇatīti ettha ‘‘bhattaṃ gaṇhā’’ti nimantiyamāno ‘‘na mayhaṃ tava bhattenattho, bhikkhaṃ gaṇhissāmī’’ti vadati, anāpattīti attho. Ettha pana mahāpadumatthero āha ‘‘evaṃ vadanto imasmiṃ sikkhāpade animantanaṃ kātuṃ sakkoti, bhuñjanatthāya pana okāso kato hotīti neva gaṇabhojanato, na cārittato muccatī’’ti. Mahāsumatthero āha ‘‘yadaggena animantanaṃ kātuṃ sakkoti, tadaggena neva gaṇabhojanaṃ, na cārittaṃ hotī’’ti.

    ตตฺถ จาริตฺตนฺติ –

    Tattha cārittanti –

    ‘‘โย ปน ภิกฺขุ นิมนฺติโต สภโตฺต สมาโน สนฺตํ ภิกฺขุํ อนาปุจฺฉา ปุเรภตฺตํ วา ปจฺฉาภตฺตํ วา กุเลสุ จาริตฺตํ อาปเชฺชยฺย อญฺญตฺร สมยา ปาจิตฺติยํฯ ตตฺถายํ สมโย จีวรทานสมโย จีวรการสมโยฯ อยํ ตตฺถ สมโย’’ติ (ปาจิ. ๒๙๙) –

    ‘‘Yo pana bhikkhu nimantito sabhatto samāno santaṃ bhikkhuṃ anāpucchā purebhattaṃ vā pacchābhattaṃ vā kulesu cārittaṃ āpajjeyya aññatra samayā pācittiyaṃ. Tatthāyaṃ samayo cīvaradānasamayo cīvarakārasamayo. Ayaṃ tattha samayo’’ti (pāci. 299) –

    เอวมาคตํ จาริตฺตสิกฺขาปทํ วุตฺตํฯ อิมินา หิ สิกฺขาปเทน โย ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตเรน ‘‘ภตฺตํ คณฺหถา’’ติอาทินา อกปฺปิยนิมนฺตเนน นิมนฺติโต, เตเนว นิมนฺตนภเตฺตน สภโตฺต สมาโน สนฺตํ ภิกฺขุํ ‘‘อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ฆรํ คจฺฉามี’’ติ วา ‘‘จาริตฺตํ อาปชฺชามี’’ติ วา อีทิเสน วจเนน อนาปุจฺฉิตฺวา เยน ภเตฺตน นิมนฺติโต, ตํ ภุตฺวา วา อภุตฺวา วา อวีติวเตฺตเยว มชฺฌนฺหิเก ยสฺมิํ กุเล นิมนฺติโต, ตโต อญฺญานิ กุลานิ ปวิเสยฺย, ตสฺส วุตฺตลกฺขณํ ทุวิธมฺปิ สมยํ ฐเปตฺวา อญฺญตฺถ ปาจิตฺติยํ วุตฺตํฯ ตสฺมา อกปฺปิยนิมนฺตเนน นิมนฺติยมาโน สเจ ‘‘ภิกฺขํ คณฺหิสฺสามี’’ติ วทติ, อิมินาปิ สิกฺขาปเทน อนาปตฺติฯ

    Evamāgataṃ cārittasikkhāpadaṃ vuttaṃ. Iminā hi sikkhāpadena yo pañcannaṃ bhojanānaṃ aññatarena ‘‘bhattaṃ gaṇhathā’’tiādinā akappiyanimantanena nimantito, teneva nimantanabhattena sabhatto samāno santaṃ bhikkhuṃ ‘‘ahaṃ itthannāmassa gharaṃ gacchāmī’’ti vā ‘‘cārittaṃ āpajjāmī’’ti vā īdisena vacanena anāpucchitvā yena bhattena nimantito, taṃ bhutvā vā abhutvā vā avītivatteyeva majjhanhike yasmiṃ kule nimantito, tato aññāni kulāni paviseyya, tassa vuttalakkhaṇaṃ duvidhampi samayaṃ ṭhapetvā aññattha pācittiyaṃ vuttaṃ. Tasmā akappiyanimantanena nimantiyamāno sace ‘‘bhikkhaṃ gaṇhissāmī’’ti vadati, imināpi sikkhāpadena anāpatti.

    . สนฺตํ ภิกฺขุํ อนาปุจฺฉาติ เอตฺถ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๙๘) ปน กิตฺตาวตา สโนฺต โหติ, กิตฺตาวตา อสโนฺต? อโนฺตวิหาเร ยตฺถ ฐิตสฺส กุลานิ ปยิรุปาสนจิตฺตํ อุปฺปนฺนํ, ตโต ปฎฺฐาย ยํ ปเสฺส วา อภิมุเข วา ปสฺสติ, ยสฺส สกฺกา โหติ ปกติวจเนน อาโรเจตุํ, อยํ สโนฺต นาม, อิโต จิโต จ ปริเยสิตฺวา อาโรจนกิจฺจํ ปน นตฺถิฯ โย หิ เอวํ ปริเยสิตโพฺพ, โส อสโนฺตเยวฯ อปิจ อโนฺตอุปจารสีมาย ภิกฺขุํ ทิสฺวา ‘‘อาปุจฺฉิสฺสามี’’ติ คจฺฉติฯ ตตฺถ ยํ ปสฺสติ, โส อาปุจฺฉิตโพฺพฯ โน เจ ปสฺสติ, อสนฺตํ ภิกฺขุํ อนาปุจฺฉา ปวิโฎฺฐ นาม โหติฯ วิกาลคามปฺปเวสเนปิ อยเมว นโยฯ

    3.Santaṃbhikkhuṃ anāpucchāti ettha (pāci. aṭṭha. 298) pana kittāvatā santo hoti, kittāvatā asanto? Antovihāre yattha ṭhitassa kulāni payirupāsanacittaṃ uppannaṃ, tato paṭṭhāya yaṃ passe vā abhimukhe vā passati, yassa sakkā hoti pakativacanena ārocetuṃ, ayaṃ santo nāma, ito cito ca pariyesitvā ārocanakiccaṃ pana natthi. Yo hi evaṃ pariyesitabbo, so asantoyeva. Apica antoupacārasīmāya bhikkhuṃ disvā ‘‘āpucchissāmī’’ti gacchati. Tattha yaṃ passati, so āpucchitabbo. No ce passati, asantaṃ bhikkhuṃ anāpucchā paviṭṭho nāma hoti. Vikālagāmappavesanepi ayameva nayo.

    สเจ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๑๒) ปน สมฺพหุลา เกนจิ กเมฺมน คามํ ปวิสนฺติ, ‘‘วิกาเล คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉามี’’ติ สเพฺพหิ อญฺญมญฺญํ อาปุจฺฉิตพฺพํฯ ตสฺมิํ คาเม ตํ กมฺมํ น สมฺปชฺชตีติ อญฺญํ คามํ คจฺฉนฺติ, คามสตมฺปิ โหตุ, ปุน อาปุจฺฉนกิจฺจํ นตฺถิฯ สเจ ปน อุสฺสาหํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา วิหารํ คจฺฉนฺตา อนฺตรา อญฺญํ คามํ ปวิสิตุกามา โหนฺติ, ปุน อาปุจฺฉิตพฺพเมวฯ กุลฆเร วา อาสนสาลาย วา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา เตลภิกฺขาย วา สปฺปิภิกฺขาย วา จริตุกาโม โหติ, สเจ ปเสฺส ภิกฺขุ อตฺถิ, อาปุจฺฉิตฺวา คนฺตพฺพํฯ อสเนฺต ภิกฺขุมฺหิ ‘‘นตฺถี’’ติ คนฺตพฺพํ, วีถิํ โอตริตฺวา ภิกฺขุํ ปสฺสติ, อาปุจฺฉนกิจฺจํ นตฺถิ, อนาปุจฺฉิตฺวาปิ จริตพฺพเมวฯ คามมเชฺฌน มโคฺค โหติ, เตน คจฺฉนฺตสฺส ‘‘เตลาทิภิกฺขาย จริสฺสามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปเนฺน สเจ ปเสฺส ภิกฺขุ อตฺถิ, อาปุจฺฉิตฺวา จริตพฺพํฯ มคฺคา อโนกฺกมฺม ภิกฺขาย จรนฺตสฺส ปน อาปุจฺฉนกิจฺจํ นตฺถิฯ สเจ สีโห วา พฺยโคฺฆ วา อาคจฺฉติ, เมโฆ วา อุเฎฺฐติ, อโญฺญ วา โกจิ อุปทฺทโว อุปฺปชฺชติ, เอวรูปาสุ อาปทาสุ อนาปุจฺฉาปิ พหิคามโต อโนฺตคามํ ปวิสิตุํ วฎฺฎติฯ

    Sace (pāci. aṭṭha. 512) pana sambahulā kenaci kammena gāmaṃ pavisanti, ‘‘vikāle gāmappavesanaṃ āpucchāmī’’ti sabbehi aññamaññaṃ āpucchitabbaṃ. Tasmiṃ gāme taṃ kammaṃ na sampajjatīti aññaṃ gāmaṃ gacchanti, gāmasatampi hotu, puna āpucchanakiccaṃ natthi. Sace pana ussāhaṃ paṭippassambhetvā vihāraṃ gacchantā antarā aññaṃ gāmaṃ pavisitukāmā honti, puna āpucchitabbameva. Kulaghare vā āsanasālāya vā bhattakiccaṃ katvā telabhikkhāya vā sappibhikkhāya vā caritukāmo hoti, sace passe bhikkhu atthi, āpucchitvā gantabbaṃ. Asante bhikkhumhi ‘‘natthī’’ti gantabbaṃ, vīthiṃ otaritvā bhikkhuṃ passati, āpucchanakiccaṃ natthi, anāpucchitvāpi caritabbameva. Gāmamajjhena maggo hoti, tena gacchantassa ‘‘telādibhikkhāya carissāmī’’ti citte uppanne sace passe bhikkhu atthi, āpucchitvā caritabbaṃ. Maggā anokkamma bhikkhāya carantassa pana āpucchanakiccaṃ natthi. Sace sīho vā byaggho vā āgacchati, megho vā uṭṭheti, añño vā koci upaddavo uppajjati, evarūpāsu āpadāsu anāpucchāpi bahigāmato antogāmaṃ pavisituṃ vaṭṭati.

    . ‘‘น จ, ภิกฺขเว, อภิเนฺน สรีเร ปํสุกูลํ คเหตพฺพํ, โย คเณฺหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๑๓๗) วจนโต อพฺภุเณฺห อลฺลสรีเร ปํสุกูลํ น คเหตพฺพํ, คณฺหโนฺต ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ อุปทฺทวา จ ตสฺส โหนฺติ, ภิเนฺน ปน คเหตุํ วฎฺฎติฯ

    4. ‘‘Na ca, bhikkhave, abhinne sarīre paṃsukūlaṃ gahetabbaṃ, yo gaṇheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 137) vacanato abbhuṇhe allasarīre paṃsukūlaṃ na gahetabbaṃ, gaṇhanto dukkaṭaṃ āpajjati. Upaddavā ca tassa honti, bhinne pana gahetuṃ vaṭṭati.

    กิตฺตาวตา ปน ภินฺนํ โหติ? กากกุลลโสณสิงฺคาลาทีหิ มุขตุณฺฑเกน วา ทาฐาย วา อีสกํ ผาลิตมเตฺตนปิฯ ยสฺส ปน ปตโต ฆํสเนน ฉวิมตฺตํ ฉินฺนํ โหติ, จมฺมํ อจฺฉินฺนํ, เอตํ อภินฺนเมว, จเมฺม ปน ฉิเนฺน ภินฺนํฯ ยสฺสปิ สชีวกาเลเยว ปภินฺนา คณฺฑกุฎฺฐปีฬกา วา วโณ วา โหติ, อิทมฺปิ ภินฺนํ, ตติยทิวสโต ปภุติ อุทฺธุมาตกาทิภาเวน กุณปภาวํ อุปคตมฺปิ ภินฺนเมวฯ สเพฺพน สพฺพํ ปน อภิเนฺนปิ สุสานโคปเกหิ วา อเญฺญหิ วา มนุเสฺสหิ คาหาเปตุํ วฎฺฎติฯ โน เจ อญฺญํ ลภติ, สตฺถเกน วา เกนจิ วา วณํ กตฺวา คเหตพฺพํฯ วิสภาคสรีเร ปน สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา สมณสญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา สีเส วา หตฺถปาทปิฎฺฐิยํ วา วณํ กตฺวา คเหตุํ วฎฺฎติฯ

    Kittāvatā pana bhinnaṃ hoti? Kākakulalasoṇasiṅgālādīhi mukhatuṇḍakena vā dāṭhāya vā īsakaṃ phālitamattenapi. Yassa pana patato ghaṃsanena chavimattaṃ chinnaṃ hoti, cammaṃ acchinnaṃ, etaṃ abhinnameva, camme pana chinne bhinnaṃ. Yassapi sajīvakāleyeva pabhinnā gaṇḍakuṭṭhapīḷakā vā vaṇo vā hoti, idampi bhinnaṃ, tatiyadivasato pabhuti uddhumātakādibhāvena kuṇapabhāvaṃ upagatampi bhinnameva. Sabbena sabbaṃ pana abhinnepi susānagopakehi vā aññehi vā manussehi gāhāpetuṃ vaṭṭati. No ce aññaṃ labhati, satthakena vā kenaci vā vaṇaṃ katvā gahetabbaṃ. Visabhāgasarīre pana satiṃ upaṭṭhapetvā samaṇasaññaṃ uppādetvā sīse vā hatthapādapiṭṭhiyaṃ vā vaṇaṃ katvā gahetuṃ vaṭṭati.

    . อจฺฉินฺนจีวรเกน ภิกฺขุนา กถํ ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ? ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อจฺฉินฺนจีวรสฺส วา นฎฺฐจีวรสฺส วา อญฺญาตกํ คหปติํ วา คหปตานิํ วา จีวรํ วิญฺญาเปตุํฯ ยํ อาวาสํ ปฐมํ อุปคจฺฉติ, สเจ ตตฺถ โหติ สงฺฆสฺส วิหารจีวรํ วา อุตฺตรตฺถรณํ วา ภูมตฺถรณํ วา ภิสิจฺฉวิ วา, ตํ คเหตฺวา ปารุปิตุํ ‘ลภิตฺวา โอทหิสฺสามี’ติฯ โน เจ โหติ สงฺฆสฺส วิหารจีวรํ วา อุตฺตรตฺถรณํ วา ภูมตฺถรณํ วา ภิสิจฺฉวิ วา, ติเณน วา ปเณฺณน วา ปฎิจฺฉาเทตฺวา อาคนฺตพฺพํ, น เตฺวว นเคฺคน อาคนฺตพฺพํ, โย อาคเจฺฉยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๕๑๗) วจนโต อิธ วุตฺตนเยน ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ

    5.Acchinnacīvarakena bhikkhunā kathaṃ paṭipajjitabbanti? ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, acchinnacīvarassa vā naṭṭhacīvarassa vā aññātakaṃ gahapatiṃ vā gahapatāniṃ vā cīvaraṃ viññāpetuṃ. Yaṃ āvāsaṃ paṭhamaṃ upagacchati, sace tattha hoti saṅghassa vihāracīvaraṃ vā uttarattharaṇaṃ vā bhūmattharaṇaṃ vā bhisicchavi vā, taṃ gahetvā pārupituṃ ‘labhitvā odahissāmī’ti. No ce hoti saṅghassa vihāracīvaraṃ vā uttarattharaṇaṃ vā bhūmattharaṇaṃ vā bhisicchavi vā, tiṇena vā paṇṇena vā paṭicchādetvā āgantabbaṃ, na tveva naggena āgantabbaṃ, yo āgaccheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 517) vacanato idha vuttanayena paṭipajjitabbaṃ.

    อยํ ปเนตฺถ อนุปุพฺพกถา (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๑๗)ฯ สเจ หิ โจเร ปสฺสิตฺวา ทหรา ปตฺตจีวรานิ คเหตฺวา ปลาตา, โจรา เถรานํ นิวาสนปารุปนมตฺตํเยว หริตฺวา คจฺฉนฺติ, เถเรหิ เนว ตาว จีวรํ วิญฺญาเปตพฺพํ, น สาขาปลาสํ ภญฺชิตพฺพํฯ อถ ทหรา สพฺพํ ภณฺฑกํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลาตา, โจรา เถรานญฺจ นิวาสนปารุปนํ ตญฺจ ภณฺฑกํ หริตฺวา คจฺฉนฺติ, ทหเรหิ อาคนฺตฺวา อตฺตโน นิวาสนปารุปนานิ น ตาว เถรานํ ทาตพฺพานิฯ น หิ เต อนจฺฉินฺนจีวรา อตฺตโน อตฺถาย สาขาปลาสํ ภญฺชิตุํ ลภนฺติ, อจฺฉินฺนจีวรานํ ปน อตฺถาย ลภนฺติฯ อจฺฉินฺนจีวราว อตฺตโนปิ ปเรสมฺปิ อตฺถาย ลภนฺติ, ตสฺมา เถเรหิ วา สาขาปลาสํ ภญฺชิตฺวา วากาทีหิ คเนฺถตฺวา ทหรานํ ทาตพฺพํ, ทหเรหิ วา เถรานํ อตฺถาย ภญฺชิตฺวา คเนฺถตฺวา เตสํ หเตฺถ ทตฺวา วา อทตฺวา วา อตฺตนา นิวาเสตฺวา อตฺตโน นิวาสนปารุปนานิ เถรานํ ทาตพฺพานิ, เนว ภูตคามปาตพฺยตาย ปาจิตฺติยํ โหติ, น เตสํ ธารเณ ทุกฺกฎํฯ

    Ayaṃ panettha anupubbakathā (pārā. aṭṭha. 2.517). Sace hi core passitvā daharā pattacīvarāni gahetvā palātā, corā therānaṃ nivāsanapārupanamattaṃyeva haritvā gacchanti, therehi neva tāva cīvaraṃ viññāpetabbaṃ, na sākhāpalāsaṃ bhañjitabbaṃ. Atha daharā sabbaṃ bhaṇḍakaṃ chaḍḍetvā palātā, corā therānañca nivāsanapārupanaṃ tañca bhaṇḍakaṃ haritvā gacchanti, daharehi āgantvā attano nivāsanapārupanāni na tāva therānaṃ dātabbāni. Na hi te anacchinnacīvarā attano atthāya sākhāpalāsaṃ bhañjituṃ labhanti, acchinnacīvarānaṃ pana atthāya labhanti. Acchinnacīvarāva attanopi paresampi atthāya labhanti, tasmā therehi vā sākhāpalāsaṃ bhañjitvā vākādīhi ganthetvā daharānaṃ dātabbaṃ, daharehi vā therānaṃ atthāya bhañjitvā ganthetvā tesaṃ hatthe datvā vā adatvā vā attanā nivāsetvā attano nivāsanapārupanāni therānaṃ dātabbāni, neva bhūtagāmapātabyatāya pācittiyaṃ hoti, na tesaṃ dhāraṇe dukkaṭaṃ.

    สเจ อนฺตรามเคฺค รชกตฺถรณํ วา โหติ, อเญฺญ วา ตาทิเส มนุเสฺส ปสฺสนฺติ, จีวรํ วิญฺญาเปตพฺพํฯ ยานิ จ เนสํ เต วา วิญฺญตฺตมนุสฺสา อเญฺญ วา สาขาปลาสนิวาสเน ภิกฺขู ทิสฺวา อุสฺสาหชาตา วตฺถานิ เทนฺติ, ตานิ สทสานิ วา โหนฺตุ อทสานิ วา นีลาทินานาวณฺณานิ วา, กปฺปิยานิปิ อกปฺปิยานิปิ สพฺพานิปิ อจฺฉินฺนจีวรฎฺฐาเน ฐิตตฺตา เตสํ นิวาเสตุญฺจ ปารุปิตุญฺจ วฎฺฎนฺติฯ

    Sace antarāmagge rajakattharaṇaṃ vā hoti, aññe vā tādise manusse passanti, cīvaraṃ viññāpetabbaṃ. Yāni ca nesaṃ te vā viññattamanussā aññe vā sākhāpalāsanivāsane bhikkhū disvā ussāhajātā vatthāni denti, tāni sadasāni vā hontu adasāni vā nīlādinānāvaṇṇāni vā, kappiyānipi akappiyānipi sabbānipi acchinnacīvaraṭṭhāne ṭhitattā tesaṃ nivāsetuñca pārupituñca vaṭṭanti.

    วุตฺตมฺปิเหตํ ปริวาเร –

    Vuttampihetaṃ parivāre –

    ‘‘อกปฺปกตํ นาปิ รชนาย รตฺตํ,

    ‘‘Akappakataṃ nāpi rajanāya rattaṃ,

    เตน นิวโตฺถ เยนกามํ วเชยฺย;

    Tena nivattho yenakāmaṃ vajeyya;

    น จสฺส โหติ อาปตฺติ,

    Na cassa hoti āpatti,

    โส จ ธโมฺม สุคเตน เทสิโต;

    So ca dhammo sugatena desito;

    ปญฺหาเมสา กุสเลหิ จินฺติตา’’ติฯ (ปริ. ๔๘๑);

    Pañhāmesā kusalehi cintitā’’ti. (pari. 481);

    อยญฺหิ ปโญฺห อจฺฉินฺนจีวรกภิกฺขุํ สนฺธาย วุโตฺตฯ อถ ปน ติตฺถิเยหิ สมาคจฺฉนฺติ, เต จ เนสํ กุสจีรวากจีรผลกจีรานิ เทนฺติ, ตานิปิ ลทฺธิํ อคฺคเหตฺวา นิวาเสตุํ วฎฺฎนฺติ, นิวาเสตฺวาปิ ลทฺธิ น คเหตพฺพาฯ

    Ayañhi pañho acchinnacīvarakabhikkhuṃ sandhāya vutto. Atha pana titthiyehi samāgacchanti, te ca nesaṃ kusacīravākacīraphalakacīrāni denti, tānipi laddhiṃ aggahetvā nivāsetuṃ vaṭṭanti, nivāsetvāpi laddhi na gahetabbā.

    ยํ อาวาสํ ปฐมํ อุปคจฺฉนฺติ, ตตฺถ วิหารจีวราทีสุ ยํ อตฺถิ, ตํ อนาปุจฺฉาปิ คเหตฺวา นิวาเสตุํ วา ปารุปิตุํ วา ลภติฯ ตญฺจ โข ‘‘ลภิตฺวา โอทหิสฺสามิ, ปุน ฐเปสฺสามี’’ติ อธิปฺปาเยน, น มูลเจฺฉชฺชายฯ ลภิตฺวา จ ปน ญาติโต วา อุปฎฺฐากโต วา อญฺญโต วา กุโตจิ ปากติกเมว กาตพฺพํฯ วิเทสคเตน ปน เอกสฺมิํ สงฺฆิเก อาวาเส สงฺฆิกปริโภเคน ภุญฺชนตฺถาย ฐเปตพฺพํฯ สจสฺส ปริโภเคเนว ตํ ชีรติ วา นสฺสติ วา, คีวา น โหติฯ สเจ ปน เอเตสํ วุตฺตปฺปการานํ คิหิวตฺถาทีนํ ภิสิจฺฉวิปริยนฺตานํ กิญฺจิ น ลภติ, เตน ติเณน วา ปเณฺณน วา ปฎิจฺฉาเทตฺวา อาคนฺตพฺพนฺติฯ

    Yaṃ āvāsaṃ paṭhamaṃ upagacchanti, tattha vihāracīvarādīsu yaṃ atthi, taṃ anāpucchāpi gahetvā nivāsetuṃ vā pārupituṃ vā labhati. Tañca kho ‘‘labhitvā odahissāmi, puna ṭhapessāmī’’ti adhippāyena, na mūlacchejjāya. Labhitvā ca pana ñātito vā upaṭṭhākato vā aññato vā kutoci pākatikameva kātabbaṃ. Videsagatena pana ekasmiṃ saṅghike āvāse saṅghikaparibhogena bhuñjanatthāya ṭhapetabbaṃ. Sacassa paribhogeneva taṃ jīrati vā nassati vā, gīvā na hoti. Sace pana etesaṃ vuttappakārānaṃ gihivatthādīnaṃ bhisicchavipariyantānaṃ kiñci na labhati, tena tiṇena vā paṇṇena vā paṭicchādetvā āgantabbanti.

    . ‘‘น, ภิกฺขเว, ปฎิภานจิตฺตํ การาเปตพฺพํ อิตฺถิรูปกํ ปุริสรูปกํ, โย การาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๙๙) วจนโต อิตฺถิปุริสรูปํ กาตุํ วา การาเปตุํ วา ภิกฺขุโน น วฎฺฎติฯ น เกวลํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๙๙) อิตฺถิปุริสรูปเมว, ติรจฺฉานรูปมฺปิ อนฺตมโส คณฺฑุปฺปาทรูปํ ภิกฺขุโน สยํ กาตุํ วา ‘‘กโรหี’’ติ วตฺตุํ วา น วฎฺฎติ, ‘‘อุปาสก ทฺวารปาลํ กโรหี’’ติ วตฺตุมฺปิ น ลภติฯ ชาตกปกรณอสทิสทานาทีนิ ปน ปสาทนียานิ นิพฺพิทาปฎิสํยุตฺตานิ วา วตฺถูนิ ปเรหิ การาเปตุํ ลภติ, มาลากมฺมาทีนิ สยมฺปิ กาตุํ ลภติฯ

    6. ‘‘Na, bhikkhave, paṭibhānacittaṃ kārāpetabbaṃ itthirūpakaṃ purisarūpakaṃ, yo kārāpeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 299) vacanato itthipurisarūpaṃ kātuṃ vā kārāpetuṃ vā bhikkhuno na vaṭṭati. Na kevalaṃ (cūḷava. aṭṭha. 299) itthipurisarūpameva, tiracchānarūpampi antamaso gaṇḍuppādarūpaṃ bhikkhuno sayaṃ kātuṃ vā ‘‘karohī’’ti vattuṃ vā na vaṭṭati, ‘‘upāsaka dvārapālaṃ karohī’’ti vattumpi na labhati. Jātakapakaraṇaasadisadānādīni pana pasādanīyāni nibbidāpaṭisaṃyuttāni vā vatthūni parehi kārāpetuṃ labhati, mālākammādīni sayampi kātuṃ labhati.

    . ‘‘น, ภิกฺขเว, วิปฺปกตโภชโน ภิกฺขุ วุฎฺฐาเปตโพฺพ, โย วุฎฺฐาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๑๖) วจนโต อนฺตรฆเร (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๑๖) วา วิหาเร วา อรเญฺญ วา ยตฺถ กตฺถจิ ภุญฺชมาโน ภิกฺขุ อนิฎฺฐิเต โภชเน น วุฎฺฐาเปตโพฺพ, อนฺตรฆเร ปจฺฉา อาคเตน ภิกฺขํ คเหตฺวา คนฺตพฺพํฯ สเจ มนุสฺสา วา ภิกฺขู วา ‘‘ปวิสถา’’ติ วทนฺติ, ‘‘มยิ ปวิสเนฺต ภิกฺขู อุฎฺฐหิสฺสนฺตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ ‘‘เอถ, ภเนฺต, อาสนํ อตฺถี’’ติ วุเตฺต ปน ปวิสิตพฺพํฯ สเจ โกจิ กิญฺจิ น วทติ, อาสนสาลํ คนฺตฺวา อติสมีปํ อคนฺตฺวา สภาคฎฺฐาเน ฐาตพฺพํฯ โอกาเส กเต ‘‘ปวิสถา’’ติ วุเตฺตน ปวิสิตพฺพํฯ สเจ ปน ยํ อาสนํ ตสฺส ปาปุณาติ, ตตฺถ อภุญฺชโนฺต ภิกฺขุ นิสิโนฺน โหติ, ตํ อุฎฺฐาเปตุํ วฎฺฎติฯ ยาคุขชฺชกาทีสุ ปน ยํ กิญฺจิ ปิวิตฺวา ขาทิตฺวา วา ยาว อโญฺญ อาคจฺฉติ, ตาว นิสินฺนํ ริตฺตหตฺถมฺปิ อุฎฺฐาเปตุํ น วฎฺฎติฯ วิปฺปกตโภชโนเยว หิ โส โหติฯ

    7. ‘‘Na, bhikkhave, vippakatabhojano bhikkhu vuṭṭhāpetabbo, yo vuṭṭhāpeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 316) vacanato antaraghare (cūḷava. aṭṭha. 316) vā vihāre vā araññe vā yattha katthaci bhuñjamāno bhikkhu aniṭṭhite bhojane na vuṭṭhāpetabbo, antaraghare pacchā āgatena bhikkhaṃ gahetvā gantabbaṃ. Sace manussā vā bhikkhū vā ‘‘pavisathā’’ti vadanti, ‘‘mayi pavisante bhikkhū uṭṭhahissantī’’ti vattabbaṃ. ‘‘Etha, bhante, āsanaṃ atthī’’ti vutte pana pavisitabbaṃ. Sace koci kiñci na vadati, āsanasālaṃ gantvā atisamīpaṃ agantvā sabhāgaṭṭhāne ṭhātabbaṃ. Okāse kate ‘‘pavisathā’’ti vuttena pavisitabbaṃ. Sace pana yaṃ āsanaṃ tassa pāpuṇāti, tattha abhuñjanto bhikkhu nisinno hoti, taṃ uṭṭhāpetuṃ vaṭṭati. Yāgukhajjakādīsu pana yaṃ kiñci pivitvā khāditvā vā yāva añño āgacchati, tāva nisinnaṃ rittahatthampi uṭṭhāpetuṃ na vaṭṭati. Vippakatabhojanoyeva hi so hoti.

    สเจ ปน อาปตฺติํ อติกฺกมิตฺวาปิ วุฎฺฐาเปติเยว, ยํ โส วุฎฺฐาเปติ, อยญฺจ ภิกฺขุ ปวาริโต โหติ, เตน วตฺตโพฺพ ‘‘คจฺฉ อุทกํ อาหราหี’’ติฯ วุฑฺฒตรํ ภิกฺขุํ อาณาเปตุํ อิทเมว เอกฎฺฐานํฯ สเจ โส อุทกมฺปิ น อาหรติ, สาธุกํ สิตฺถานิ คิลิตฺวา วุฑฺฒสฺส อาสนํ ทาตพฺพํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Sace pana āpattiṃ atikkamitvāpi vuṭṭhāpetiyeva, yaṃ so vuṭṭhāpeti, ayañca bhikkhu pavārito hoti, tena vattabbo ‘‘gaccha udakaṃ āharāhī’’ti. Vuḍḍhataraṃ bhikkhuṃ āṇāpetuṃ idameva ekaṭṭhānaṃ. Sace so udakampi na āharati, sādhukaṃ sitthāni gilitvā vuḍḍhassa āsanaṃ dātabbaṃ. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘สเจ วุฎฺฐาเปติ, ปวาริโต จ โหติ, ‘คจฺฉ อุทกํ อาหรา’ติ วตฺตโพฺพฯ เอวเญฺจตํ ลเภถ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ ลเภถ, สาธุกํ สิตฺถานิ คิลิตฺวา วุฑฺฒสฺส อาสนํ ทาตพฺพํฯ นเตฺววาหํ, ภิกฺขเว, ‘เกนจิ ปริยาเยน วุฑฺฒตรสฺส ภิกฺขุโน อาสนํ ปฎิพาหิตพฺพ’นฺติ วทามิ, โย ปฎิพาเหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๑๖)ฯ

    ‘‘Sace vuṭṭhāpeti, pavārito ca hoti, ‘gaccha udakaṃ āharā’ti vattabbo. Evañcetaṃ labhetha, iccetaṃ kusalaṃ. No ce labhetha, sādhukaṃ sitthāni gilitvā vuḍḍhassa āsanaṃ dātabbaṃ. Natvevāhaṃ, bhikkhave, ‘kenaci pariyāyena vuḍḍhatarassa bhikkhuno āsanaṃ paṭibāhitabba’nti vadāmi, yo paṭibāheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 316).

    . ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, นวเกน ภิกฺขุนา อุทฺทิสเนฺตน สมเก วา อาสเน นิสีทิตุํ อุจฺจตเร วา ธมฺมคารเวน, เถเรน ภิกฺขุนา อุทฺทิสาเปเนฺตน สมเก วา อาสเน นิสีทิตุํ นีจตเร วา ธมฺมคารเวนา’’ติ (จูฬว. ๓๒๐) วจนโต นวกตเรน ภิกฺขุนา อุทฺทิสเนฺตน อุจฺจตเรปิ อาสเน นิสีทิตุํ, วุฑฺฒตเรน ภิกฺขุนา อุทฺทิสาเปเนฺตน นีจตเรปิ อาสเน นิสีทิตุํ วฎฺฎติฯ

    8. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, navakena bhikkhunā uddisantena samake vā āsane nisīdituṃ uccatare vā dhammagāravena, therena bhikkhunā uddisāpentena samake vā āsane nisīdituṃ nīcatare vā dhammagāravenā’’ti (cūḷava. 320) vacanato navakatarena bhikkhunā uddisantena uccatarepi āsane nisīdituṃ, vuḍḍhatarena bhikkhunā uddisāpentena nīcatarepi āsane nisīdituṃ vaṭṭati.

    . ‘‘อนุชานามิ , ภิกฺขเว, ติวสฺสนฺตเรน สห นิสีทิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๐) วจนโต ติวสฺสนฺตเรน ภิกฺขุนา สทฺธิํ เอกาสเน นิสีทิตุํ วฎฺฎติฯ ติวสฺสนฺตโร (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๒๐) นาม โย ทฺวีหิ วเสฺสหิ มหนฺตตโร วา ทหรตโร วา โหติ, โย ปน เอเกน วเสฺสน มหนฺตตโร วา ทหรตโร วา, โย วา สมานวโสฺส, ตตฺถ วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, อิเม สเพฺพ เอกสฺมิํ มเญฺจ วา ปีเฐ วา เทฺว เทฺว หุตฺวา นิสีทิตุํ ลภนฺติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทุวคฺคสฺส มญฺจํ ทุวคฺคสฺส ปีฐ’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๐) หิ วุตฺตํฯ

    9. ‘‘Anujānāmi , bhikkhave, tivassantarena saha nisīditu’’nti (cūḷava. 320) vacanato tivassantarena bhikkhunā saddhiṃ ekāsane nisīdituṃ vaṭṭati. Tivassantaro (cūḷava. aṭṭha. 320) nāma yo dvīhi vassehi mahantataro vā daharataro vā hoti, yo pana ekena vassena mahantataro vā daharataro vā, yo vā samānavasso, tattha vattabbameva natthi, ime sabbe ekasmiṃ mañce vā pīṭhe vā dve dve hutvā nisīdituṃ labhanti. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, duvaggassa mañcaṃ duvaggassa pīṭha’’nti (cūḷava. 320) hi vuttaṃ.

    ๑๐. ยํ ปน ติณฺณํ ปโหติ, ตํ สํหาริมํ วา โหตุ อสํหาริมํ วา, ตถารูเป อปิ ผลกขเณฺฑ อนุปสมฺปเนฺนนปิ สทฺธิํ นิสีทิตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ยํ ติณฺณํ ปโหติ, เอตฺตกํ ปจฺฉิมํ ทีฆาสน’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๐) หิ วุตฺตํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ฐเปตฺวา ปณฺฑกํ มาตุคามํ อุภโตพฺยญฺชนกํ อสมานาสนิเกหิ สห ทีฆาสเน นิสีทิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๐) วจนโต ปน ทีฆาสเนปิ ปณฺฑกาทีหิ สห นิสีทิตุํ น วฎฺฎติฯ

    10. Yaṃ pana tiṇṇaṃ pahoti, taṃ saṃhārimaṃ vā hotu asaṃhārimaṃ vā, tathārūpe api phalakakhaṇḍe anupasampannenapi saddhiṃ nisīdituṃ vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, yaṃ tiṇṇaṃ pahoti, ettakaṃ pacchimaṃ dīghāsana’’nti (cūḷava. 320) hi vuttaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ṭhapetvā paṇḍakaṃ mātugāmaṃ ubhatobyañjanakaṃ asamānāsanikehi saha dīghāsane nisīditu’’nti (cūḷava. 320) vacanato pana dīghāsanepi paṇḍakādīhi saha nisīdituṃ na vaṭṭati.

    ๑๑. คิลานํ อุปฎฺฐหเนฺตน ‘‘นตฺถิ โว, ภิกฺขเว, มาตา, นตฺถิ ปิตา, เย โว อุปฎฺฐเหยฺยุํ, ตุเมฺห เจ, ภิกฺขเว, อญฺญมญฺญํ น อุปฎฺฐหิสฺสถ, อถ โก จรหิ อุปฎฺฐหิสฺสติฯ โย, ภิกฺขเว, มํ อุปฎฺฐเหยฺย, โส คิลานํ อุปฎฺฐเหยฺยา’’ติ (มหาว. ๓๖๕) อิมํ ภควโต อนุสาสนิํ อนุสฺสรเนฺตน สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐาตโพฺพฯ

    11. Gilānaṃ upaṭṭhahantena ‘‘natthi vo, bhikkhave, mātā, natthi pitā, ye vo upaṭṭhaheyyuṃ, tumhe ce, bhikkhave, aññamaññaṃ na upaṭṭhahissatha, atha ko carahi upaṭṭhahissati. Yo, bhikkhave, maṃ upaṭṭhaheyya, so gilānaṃ upaṭṭhaheyyā’’ti (mahāva. 365) imaṃ bhagavato anusāsaniṃ anussarantena sakkaccaṃ upaṭṭhātabbo.

    สเจ อุปชฺฌาโย โหติ, อุปชฺฌาเยน ยาวชีวํ อุปฎฺฐาตโพฺพ, วุฎฺฐานมสฺส อาคเมตพฺพํฯ สเจ อาจริโย โหติ, อาจริเยน ยาวชีวํ อุปฎฺฐาตโพฺพ, วุฎฺฐานมสฺส อาคเมตพฺพํฯ สเจ สทฺธิวิหาริโก โหติ, สทฺธิวิหาริเกน ยาวชีวํ อุปฎฺฐาตโพฺพ, วุฎฺฐานมสฺส อาคเมตพฺพํฯ สเจ อเนฺตวาสิโก โหติ, อเนฺตวาสิเกน ยาวชีวํ อุปฎฺฐาตโพฺพ, วุฎฺฐานมสฺส อาคเมตพฺพํฯ สเจ สมานุปชฺฌายโก โหติ, สมานุปชฺฌายเกน ยาวชีวํ อุปฎฺฐาตโพฺพ, วุฎฺฐานมสฺส อาคเมตพฺพํฯ สเจ สมานาจริยโก โหติ, สมานาจริยเกน ยาวชีวํ อุปฎฺฐาตโพฺพ, วุฎฺฐานมสฺส อาคเมตพฺพํฯ สเจ น โหติ อุปชฺฌาโย วา อาจริโย วา สทฺธิวิหาริโก วา อเนฺตวาสิโก วา สมานุปชฺฌายโก วา สมานาจริยโก วา, สเงฺฆน อุปฎฺฐาตโพฺพฯ โน เจ อุปฎฺฐเหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๖๕) –

    Sace upajjhāyo hoti, upajjhāyena yāvajīvaṃ upaṭṭhātabbo, vuṭṭhānamassa āgametabbaṃ. Sace ācariyo hoti, ācariyena yāvajīvaṃ upaṭṭhātabbo, vuṭṭhānamassa āgametabbaṃ. Sace saddhivihāriko hoti, saddhivihārikena yāvajīvaṃ upaṭṭhātabbo, vuṭṭhānamassa āgametabbaṃ. Sace antevāsiko hoti, antevāsikena yāvajīvaṃ upaṭṭhātabbo, vuṭṭhānamassa āgametabbaṃ. Sace samānupajjhāyako hoti, samānupajjhāyakena yāvajīvaṃ upaṭṭhātabbo, vuṭṭhānamassa āgametabbaṃ. Sace samānācariyako hoti, samānācariyakena yāvajīvaṃ upaṭṭhātabbo, vuṭṭhānamassa āgametabbaṃ. Sace na hoti upajjhāyo vā ācariyo vā saddhivihāriko vā antevāsiko vā samānupajjhāyako vā samānācariyako vā, saṅghena upaṭṭhātabbo. No ce upaṭṭhaheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 365) –

    วจนโต ยสฺส (มหาว. อฎฺฐ. ๓๖๕) เต อุปชฺฌายาทโย ตสฺมิํ วิหาเร นตฺถิ, อาคนฺตุโก โหติ เอกจาริกภิกฺขุ, สงฺฆสฺส ภาโร, ตสฺมา สเงฺฆน อุปฎฺฐาตโพฺพฯ โน เจ อุปฎฺฐเหยฺย, สกลสฺส สงฺฆสฺส อาปตฺติฯ วารํ ฐเปตฺวา ชคฺคเนฺตสุ ปน โย อตฺตโน วาเร น ชคฺคติ, ตเสฺสว อาปตฺติ, สงฺฆเตฺถโรปิ วารโต น มุจฺจติฯ สเจ สกโล สโงฺฆ เอกสฺส ภารํ กโรติ, เอโก วา วตฺตสมฺปโนฺน ภิกฺขุ ‘‘อหเมว ชคฺคิสฺสามี’’ติ ชคฺคติ, สโงฺฆ อาปตฺติโต มุจฺจติฯ

    Vacanato yassa (mahāva. aṭṭha. 365) te upajjhāyādayo tasmiṃ vihāre natthi, āgantuko hoti ekacārikabhikkhu, saṅghassa bhāro, tasmā saṅghena upaṭṭhātabbo. No ce upaṭṭhaheyya, sakalassa saṅghassa āpatti. Vāraṃ ṭhapetvā jaggantesu pana yo attano vāre na jaggati, tasseva āpatti, saṅghattheropi vārato na muccati. Sace sakalo saṅgho ekassa bhāraṃ karoti, eko vā vattasampanno bhikkhu ‘‘ahameva jaggissāmī’’ti jaggati, saṅgho āpattito muccati.

    คิลาเนน ปน –

    Gilānena pana –

    ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคโต คิลาโน ทูปโฎฺฐ โหติฯ อสปฺปายการี โหติ, สปฺปาเย มตฺตํ น ชานาติ, เภสชฺชํ น ปฎิเสวิตา โหติ, อตฺถกามสฺส คิลานุปฎฺฐากสฺส ยถาภูตํ อาพาธํ นาวิกตฺตา โหติ ‘อภิกฺกมนฺตํ วา อภิกฺกมตีติ, ปฎิกฺกมนฺตํ วา ปฎิกฺกมตีติ, ฐิตํ วา ฐิโต’ติ, อุปฺปนฺนานํ สารีริกานํ เวทนานํ ทุกฺขานํ ติพฺพานํ ขรานํ กฎุกานํ อสาตานํ อมนาปานํ ปาณหรานํ อนธิวาสกชาติโก โหตี’’ติ (มหาว. ๓๖๖) –

    ‘‘Pañcahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgato gilāno dūpaṭṭho hoti. Asappāyakārī hoti, sappāye mattaṃ na jānāti, bhesajjaṃ na paṭisevitā hoti, atthakāmassa gilānupaṭṭhākassa yathābhūtaṃ ābādhaṃ nāvikattā hoti ‘abhikkamantaṃ vā abhikkamatīti, paṭikkamantaṃ vā paṭikkamatīti, ṭhitaṃ vā ṭhito’ti, uppannānaṃ sārīrikānaṃ vedanānaṃ dukkhānaṃ tibbānaṃ kharānaṃ kaṭukānaṃ asātānaṃ amanāpānaṃ pāṇaharānaṃ anadhivāsakajātiko hotī’’ti (mahāva. 366) –

    เอวํ วุตฺตานิ ปญฺจ อยุตฺตงฺคานิ อารกา ปริวเชฺชตฺวา –

    Evaṃ vuttāni pañca ayuttaṅgāni ārakā parivajjetvā –

    ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคโต คิลาโน สูปโฎฺฐ โหติฯ สปฺปายการี โหติ, สปฺปาเย มตฺตํ ชานาติ, เภสชฺชํ ปฎิเสวิตา โหติ, อตฺถกามสฺส คิลานุปฎฺฐากสฺส ยถาภูตํ อาพาธํ อาวิกตฺตา โหติ ‘อภิกฺกมนฺตํ วา อภิกฺกมตีติ, ปฎิกฺกมนฺตํ วา ปฎิกฺกมตีติ, ฐิตํ วา ฐิโต’ติ, อุปฺปนฺนานํ สารีริกานํ เวทนานํ ทุกฺขานํ ติพฺพานํ ขรานํ กฎุกานํ อสาตานํ อมนาปานํ ปาณหรานํ อธิวาสกชาติโก โหตี’’ติ (มหาว. ๓๖๖) –

    ‘‘Pañcahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgato gilāno sūpaṭṭho hoti. Sappāyakārī hoti, sappāye mattaṃ jānāti, bhesajjaṃ paṭisevitā hoti, atthakāmassa gilānupaṭṭhākassa yathābhūtaṃ ābādhaṃ āvikattā hoti ‘abhikkamantaṃ vā abhikkamatīti, paṭikkamantaṃ vā paṭikkamatīti, ṭhitaṃ vā ṭhito’ti, uppannānaṃ sārīrikānaṃ vedanānaṃ dukkhānaṃ tibbānaṃ kharānaṃ kaṭukānaṃ asātānaṃ amanāpānaṃ pāṇaharānaṃ adhivāsakajātiko hotī’’ti (mahāva. 366) –

    เอวํ วุตฺตปญฺจงฺคสมนฺนาคเตน ภวิตพฺพํฯ

    Evaṃ vuttapañcaṅgasamannāgatena bhavitabbaṃ.

    คิลานุปฎฺฐาเกน จ –

    Gilānupaṭṭhākena ca –

    ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคโต คิลานุปฎฺฐาโก นาลํ คิลานํ อุปฎฺฐาตุํฯ น ปฎิพโล โหติ เภสชฺชํ สํวิธาตุํ, สปฺปายาสปฺปายํ น ชานาติ, อสปฺปายํ อุปนาเมติ, สปฺปายํ อปนาเมติ, อามิสนฺตโร คิลานํ อุปฎฺฐาติ, โน เมตฺตจิโตฺต, เชคุจฺฉี โหติ อุจฺจารํ วา ปสฺสาวํ วา เขฬํ วา วนฺตํ วา นีหาตุํ, น ปฎิพโล โหติ คิลานํ กาเลน กาลํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตุํ สมาทเปตุํ สมุเตฺตเชตุํ สมฺปหํเสตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๖๖) –

    ‘‘Pañcahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgato gilānupaṭṭhāko nālaṃ gilānaṃ upaṭṭhātuṃ. Na paṭibalo hoti bhesajjaṃ saṃvidhātuṃ, sappāyāsappāyaṃ na jānāti, asappāyaṃ upanāmeti, sappāyaṃ apanāmeti, āmisantaro gilānaṃ upaṭṭhāti, no mettacitto, jegucchī hoti uccāraṃ vā passāvaṃ vā kheḷaṃ vā vantaṃ vā nīhātuṃ, na paṭibalo hoti gilānaṃ kālena kālaṃ dhammiyā kathāya sandassetuṃ samādapetuṃ samuttejetuṃ sampahaṃsetu’’nti (mahāva. 366) –

    เอวํ วุตฺตานิ ปญฺจ อยุตฺตงฺคานิ อารกา ปริวเชฺชตฺวา –

    Evaṃ vuttāni pañca ayuttaṅgāni ārakā parivajjetvā –

    ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคโต คิลานุปฎฺฐาโก อลํ คิลานํ อุปฎฺฐาตุํฯ ปฎิพโล โหติ เภสชฺชํ สํวิธาตุํ, สปฺปายาสปฺปายํ ชานาติ, อสปฺปายํ อปนาเมติ, สปฺปายํ อุปนาเมติ, เมตฺตจิโตฺต คิลานํ อุปฎฺฐาติ, โน อามิสนฺตโร, อเชคุจฺฉี โหติ อุจฺจารํ วา ปสฺสาวํ วา เขฬํ วา วนฺตํ วา นีหาตุํ, ปฎิพโล โหติ คิลานํ กาเลน กาลํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตุํ สมาทเปตุํ สมุเตฺตเชตุํ สมฺปหํเสตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๖๖) –

    ‘‘Pañcahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgato gilānupaṭṭhāko alaṃ gilānaṃ upaṭṭhātuṃ. Paṭibalo hoti bhesajjaṃ saṃvidhātuṃ, sappāyāsappāyaṃ jānāti, asappāyaṃ apanāmeti, sappāyaṃ upanāmeti, mettacitto gilānaṃ upaṭṭhāti, no āmisantaro, ajegucchī hoti uccāraṃ vā passāvaṃ vā kheḷaṃ vā vantaṃ vā nīhātuṃ, paṭibalo hoti gilānaṃ kālena kālaṃ dhammiyā kathāya sandassetuṃ samādapetuṃ samuttejetuṃ sampahaṃsetu’’nti (mahāva. 366) –

    เอวํ วุตฺตปญฺจงฺคสมนฺนาคเตน ภวิตพฺพํฯ

    Evaṃ vuttapañcaṅgasamannāgatena bhavitabbaṃ.

    ๑๒. ธมฺมิํ กถํ กโรเนฺตน (มหาว. อฎฺฐ. ๒.๑๘๐) จ ‘‘สีลวา หิ ตฺวํ กตกุสโล, กสฺมา มียมาโน ภายสิ, นนุ สีลวโต สโคฺค นาม มรณมตฺตปฎิพโทฺธเยวา’’ติ เอวํ คิลานสฺส ภิกฺขุโน มรณวโณฺณ น สํวเณฺณตโพฺพฯ สเจ หิ ตสฺส สํวณฺณนํ สุตฺวา อาหารุปเจฺฉทาทินา อุปกฺกเมน เอกชวนวาราวเสเสปิ อายุสฺมิํ อนฺตรา กาลํ กโรติ, อิมินาว มาริโต โหติฯ ปณฺฑิเตน ปน ภิกฺขุนา อิมินา นเยน อนุสิฎฺฐิ ทาตพฺพา ‘‘สีลวโต นาม อนจฺฉริยา มคฺคผลุปฺปตฺติ, ตสฺมา วิหาราทีสุ อาสตฺติํ อกตฺวา พุทฺธคตํ ธมฺมคตํ สงฺฆคตํ กายคตญฺจ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา มนสิกาเร อปฺปมาโท กาตโพฺพ’’ติฯ มรณวเณฺณปิ สํวณฺณิเต โส ตาย สํวณฺณนาย กญฺจิ อุปกฺกมํ อกตฺวา อตฺตโน ธมฺมตาย ยถายุนา ยถานุสนฺธินาว มรติ, ตปฺปจฺจยา สํวณฺณโก อาปตฺติยา น กาเรตโพฺพฯ

    12. Dhammiṃ kathaṃ karontena (mahāva. aṭṭha. 2.180) ca ‘‘sīlavā hi tvaṃ katakusalo, kasmā mīyamāno bhāyasi, nanu sīlavato saggo nāma maraṇamattapaṭibaddhoyevā’’ti evaṃ gilānassa bhikkhuno maraṇavaṇṇo na saṃvaṇṇetabbo. Sace hi tassa saṃvaṇṇanaṃ sutvā āhārupacchedādinā upakkamena ekajavanavārāvasesepi āyusmiṃ antarā kālaṃ karoti, imināva mārito hoti. Paṇḍitena pana bhikkhunā iminā nayena anusiṭṭhi dātabbā ‘‘sīlavato nāma anacchariyā maggaphaluppatti, tasmā vihārādīsu āsattiṃ akatvā buddhagataṃ dhammagataṃ saṅghagataṃ kāyagatañca satiṃ upaṭṭhapetvā manasikāre appamādo kātabbo’’ti. Maraṇavaṇṇepi saṃvaṇṇite so tāya saṃvaṇṇanāya kañci upakkamaṃ akatvā attano dhammatāya yathāyunā yathānusandhināva marati, tappaccayā saṃvaṇṇako āpattiyā na kāretabbo.

    ๑๓. ‘‘น จ, ภิกฺขเว, อตฺตานํ ปาเตตพฺพํ, โย ปาเตยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๑๘๓) วจนโต คิลาเนน (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๘๒-๑๘๓) ภิกฺขุนาปิ เยน เกนจิ อุปกฺกเมน อนฺตมโส อาหารุปเจฺฉทเนนปิ อตฺตา น มาเรตโพฺพฯ โยปิ คิลาโน วิชฺชมาเน เภสเชฺช จ อุปฎฺฐาเกสุ จ มริตุกาโม อาหารํ อุปจฺฉินฺทติ, ทุกฺกฎเมวฯ ยสฺส ปน มหาอาพาโธ จิรานุพโนฺธ, ภิกฺขู อุปฎฺฐหนฺตา กิลมนฺติ ชิคุจฺฉนฺติ, ‘‘กทา นุ โข คิลานโต มุจฺจิสฺสามา’’ติ อฎฺฎียนฺติฯ สเจ โส ‘‘อยํ อตฺตภาโว ปฎิชคฺคิยมาโนปิ น ติฎฺฐติ, ภิกฺขู จ กิลมนฺตี’’ติ อาหารํ อุปจฺฉินฺทติ, เภสชฺชํ น เสวติ, วฎฺฎติฯ โย ปน ‘‘อยํ โรโค ขโร, อายุสงฺขารา น ติฎฺฐนฺติ, อยญฺจ เม วิเสสาธิคโม หตฺถปฺปโตฺต วิย ทิสฺสตี’’ติ อุปจฺฉินฺทติ, วฎฺฎติเยวฯ อคิลานสฺสปิ อุปฺปนฺนสํเวคสฺส ‘‘อาหารปริเยสนํ นาม ปปโญฺจ, กมฺมฎฺฐานเมว อนุยุญฺชิสฺสามี’’ติ กมฺมฎฺฐานสีเสน อุปจฺฉินฺทนฺตสฺส วฎฺฎติฯ วิเสสาธิคมํ พฺยากริตฺวา อาหารํ อุปจฺฉินฺทติ, น วฎฺฎติฯ สภาคานญฺหิ ลชฺชีภิกฺขูนํ กเถตุํ วฎฺฎติฯ

    13. ‘‘Na ca, bhikkhave, attānaṃ pātetabbaṃ, yo pāteyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 183) vacanato gilānena (pārā. aṭṭha. 2.182-183) bhikkhunāpi yena kenaci upakkamena antamaso āhārupacchedanenapi attā na māretabbo. Yopi gilāno vijjamāne bhesajje ca upaṭṭhākesu ca maritukāmo āhāraṃ upacchindati, dukkaṭameva. Yassa pana mahāābādho cirānubandho, bhikkhū upaṭṭhahantā kilamanti jigucchanti, ‘‘kadā nu kho gilānato muccissāmā’’ti aṭṭīyanti. Sace so ‘‘ayaṃ attabhāvo paṭijaggiyamānopi na tiṭṭhati, bhikkhū ca kilamantī’’ti āhāraṃ upacchindati, bhesajjaṃ na sevati, vaṭṭati. Yo pana ‘‘ayaṃ rogo kharo, āyusaṅkhārā na tiṭṭhanti, ayañca me visesādhigamo hatthappatto viya dissatī’’ti upacchindati, vaṭṭatiyeva. Agilānassapi uppannasaṃvegassa ‘‘āhārapariyesanaṃ nāma papañco, kammaṭṭhānameva anuyuñjissāmī’’ti kammaṭṭhānasīsena upacchindantassa vaṭṭati. Visesādhigamaṃ byākaritvā āhāraṃ upacchindati, na vaṭṭati. Sabhāgānañhi lajjībhikkhūnaṃ kathetuṃ vaṭṭati.

    ๑๔. ‘‘น จ, ภิกฺขเว, อปฺปฎิเวกฺขิตฺวา อาสเน นิสีทิตพฺพํ, โย นิสีเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๑๘๐) วจนโต อาสนํ อนุปปริกฺขิตฺวา น นิสีทิตพฺพํฯ กีทิสํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๘๐) ปน อาสนํ อุปปริกฺขิตพฺพํ, กีทิสํ น อุปปริกฺขิตพฺพํ? ยํ สุทฺธํ อาสนเมว โหติ อปจฺจตฺถรณกํ, ยญฺจ อาคนฺตฺวา ฐิตานํ ปสฺสตํเยว อตฺถรียติ, ตํ น ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ, นิสีทิตุํ วฎฺฎติฯ ยมฺปิ มนุสฺสา สยํ หเตฺถน อกฺกมิตฺวา ‘‘อิธ ภเนฺต นิสีทถา’’ติ เทนฺติ, ตสฺมิมฺปิ วฎฺฎติฯ สเจปิ ปฐมเมว อาคนฺตฺวาปิ นิสินฺนา ปจฺฉา อุทฺธํ วา อโธ วา สงฺกมนฺติ, ปฎิเวกฺขณกิจฺจํ นตฺถิฯ ยมฺปิ ตนุเกน วเตฺถน ยถา ตลํ ทิสฺสติ, เอวํ ปฎิจฺฉนฺนํ โหติ, ตสฺมิมฺปิ ปฎิเวกฺขณกิจฺจํ นตฺถิฯ ยํ ปน ปฎิกเจฺจว ปาวารโกชวาทีหิ อตฺถตํ โหติ, ตํ หเตฺถน ปรามสิตฺวา สลฺลเกฺขตฺวา นิสีทิตพฺพํฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘ฆนสาฎเกนปิ อตฺถเต ยสฺมิํ วลิ น ปญฺญายติ, ตํ น ปฎิเวกฺขิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ

    14. ‘‘Na ca, bhikkhave, appaṭivekkhitvā āsane nisīditabbaṃ, yo nisīdeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 180) vacanato āsanaṃ anupaparikkhitvā na nisīditabbaṃ. Kīdisaṃ (pārā. aṭṭha. 2.180) pana āsanaṃ upaparikkhitabbaṃ, kīdisaṃ na upaparikkhitabbaṃ? Yaṃ suddhaṃ āsanameva hoti apaccattharaṇakaṃ, yañca āgantvā ṭhitānaṃ passataṃyeva attharīyati, taṃ na paccavekkhitabbaṃ, nisīdituṃ vaṭṭati. Yampi manussā sayaṃ hatthena akkamitvā ‘‘idha bhante nisīdathā’’ti denti, tasmimpi vaṭṭati. Sacepi paṭhamameva āgantvāpi nisinnā pacchā uddhaṃ vā adho vā saṅkamanti, paṭivekkhaṇakiccaṃ natthi. Yampi tanukena vatthena yathā talaṃ dissati, evaṃ paṭicchannaṃ hoti, tasmimpi paṭivekkhaṇakiccaṃ natthi. Yaṃ pana paṭikacceva pāvārakojavādīhi atthataṃ hoti, taṃ hatthena parāmasitvā sallakkhetvā nisīditabbaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘ghanasāṭakenapi atthate yasmiṃ vali na paññāyati, taṃ na paṭivekkhitabba’’nti vuttaṃ.

    ๑๕. ‘‘น , ภิกฺขเว, ทวาย สิลา ปฎิวิชฺฌิตพฺพา, โย ปฎิวิเชฺฌยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๑๘๓) วจนโต หสาธิปฺปาเยน ปาสาโณ น ปวเฎฺฎตโพฺพฯ น เกวลญฺจ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๘๒-๑๘๓) ปาสาโณ, อญฺญมฺปิ ยํ กิญฺจิ ทารุขณฺฑํ วา อิฎฺฐกขณฺฑํ วา หเตฺถน วา ยเนฺตน วา ปฎิวิชฺฌิตุํ น วฎฺฎติฯ เจติยาทีนํ อตฺถาย ปาสาณาทโย หสนฺตา หสนฺตา ปวเฎฺฎนฺติปิ ขิปนฺติปิ อุกฺขิปนฺติปิ, ‘‘กมฺมสมโย’’ติ วฎฺฎติ, อญฺญมฺปิ อีทิสํ นวกมฺมํ วา กโรนฺตา ภณฺฑกํ วา โธวนฺตา รุกฺขํ วา โธวนทณฺฑกํ วา อุกฺขิปิตฺวา ปฎิวิชฺฌนฺติ, วฎฺฎติ, ภตฺตวิสฺสคฺคกาลาทีสุ กาเก วา โสเณ วา กฎฺฐํ วา กถลํ วา ขิปิตฺวา ปลาเปนฺติ, วฎฺฎติฯ

    15. ‘‘Na , bhikkhave, davāya silā paṭivijjhitabbā, yo paṭivijjheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 183) vacanato hasādhippāyena pāsāṇo na pavaṭṭetabbo. Na kevalañca (pārā. aṭṭha. 2.182-183) pāsāṇo, aññampi yaṃ kiñci dārukhaṇḍaṃ vā iṭṭhakakhaṇḍaṃ vā hatthena vā yantena vā paṭivijjhituṃ na vaṭṭati. Cetiyādīnaṃ atthāya pāsāṇādayo hasantā hasantā pavaṭṭentipi khipantipi ukkhipantipi, ‘‘kammasamayo’’ti vaṭṭati, aññampi īdisaṃ navakammaṃ vā karontā bhaṇḍakaṃ vā dhovantā rukkhaṃ vā dhovanadaṇḍakaṃ vā ukkhipitvā paṭivijjhanti, vaṭṭati, bhattavissaggakālādīsu kāke vā soṇe vā kaṭṭhaṃ vā kathalaṃ vā khipitvā palāpenti, vaṭṭati.

    ๑๖. ‘‘น, ภิกฺขเว, ทาโย อาลิมฺปิตโพฺพ, โย อาลิเมฺปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๘๓) วจนโต วเน อคฺคิ น ทาตโพฺพฯ สเจ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๙๐) ปน ‘‘เอตฺถนฺตเร โย โกจิ สโตฺต มรตู’’ติ อคฺคิํ เทติ, ปาราชิกานนฺตริยถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยวตฺถูนํ อนุรูปโต ปาราชิกาทีนิ อกุสลราสิ จ โหติฯ ‘‘อลฺลติณวนปฺปตโย ฑยฺหนฺตู’’ติ อคฺคิํ เทนฺตสฺส ปาจิตฺติยํ, ‘‘ทพฺพูปกรณานิ วินสฺสนฺตู’’ติ อคฺคิํ เทนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ ‘‘ขิฑฺฑาธิปฺปาเยนปิ ทุกฺกฎ’’นฺติ สเงฺขปฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ‘‘ยํ กิญฺจิ อลฺลสุกฺขํ สอินฺทฺริยานินฺทฺริยํ ฑยฺหตู’’ติ อคฺคิํ เทนฺตสฺส วตฺถุวเสน ปาราชิกถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยทุกฺกฎานิ เวทิตพฺพานิฯ

    16. ‘‘Na, bhikkhave, dāyo ālimpitabbo, yo ālimpeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 283) vacanato vane aggi na dātabbo. Sace (pārā. aṭṭha. 2.190) pana ‘‘etthantare yo koci satto maratū’’ti aggiṃ deti, pārājikānantariyathullaccayapācittiyavatthūnaṃ anurūpato pārājikādīni akusalarāsi ca hoti. ‘‘Allatiṇavanappatayo ḍayhantū’’ti aggiṃ dentassa pācittiyaṃ, ‘‘dabbūpakaraṇāni vinassantū’’ti aggiṃ dentassa dukkaṭaṃ. ‘‘Khiḍḍādhippāyenapi dukkaṭa’’nti saṅkhepaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. ‘‘Yaṃ kiñci allasukkhaṃ saindriyānindriyaṃ ḍayhatū’’ti aggiṃ dentassa vatthuvasena pārājikathullaccayapācittiyadukkaṭāni veditabbāni.

    ปฎคฺคิทานํ ปน ปริตฺตกรณญฺจ ภควตา อนุญฺญาตํ, ตสฺมา อรเญฺญ วนกมฺมิเกหิ วา ทินฺนํ สยํ วา อุฎฺฐิตํ อคฺคิํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘ติณกุฎิโย มา วินสฺสนฺตู’’ติ ตสฺส อคฺคิโน ปฎิอคฺคิํ ทาตุํ วฎฺฎติ, เยน สทฺธิํ อาคจฺฉโนฺต อคฺคิ เอกโต หุตฺวา นิรุปาทาโน นิพฺพาติฯ ‘‘ปริตฺตมฺปิ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ ติณกุฎิกานํ สมนฺตา ภูมิตจฺฉนํ ปริขาขณนํ วา, ยถา อาคโต อคฺคิ อุปาทานํ อลภิตฺวา นิพฺพาติ, เอตญฺจ สพฺพํ อุฎฺฐิเตเยว อคฺคิสฺมิํ อสติ อนุปสมฺปเนฺน สยมฺปิ กาตุํ วฎฺฎติฯ อนุฎฺฐิเต ปน อนุปสมฺปเนฺนหิ กปฺปิยโวหาเรน กาเรตพฺพํ, อุทเกน ปน นิพฺพาเปเนฺตหิ อปฺปาณกเมว อุทกํ อาสิญฺจิตพฺพํฯ

    Paṭaggidānaṃ pana parittakaraṇañca bhagavatā anuññātaṃ, tasmā araññe vanakammikehi vā dinnaṃ sayaṃ vā uṭṭhitaṃ aggiṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘tiṇakuṭiyo mā vinassantū’’ti tassa aggino paṭiaggiṃ dātuṃ vaṭṭati, yena saddhiṃ āgacchanto aggi ekato hutvā nirupādāno nibbāti. ‘‘Parittampi kātuṃ vaṭṭatī’’ti tiṇakuṭikānaṃ samantā bhūmitacchanaṃ parikhākhaṇanaṃ vā, yathā āgato aggi upādānaṃ alabhitvā nibbāti, etañca sabbaṃ uṭṭhiteyeva aggismiṃ asati anupasampanne sayampi kātuṃ vaṭṭati. Anuṭṭhite pana anupasampannehi kappiyavohārena kāretabbaṃ, udakena pana nibbāpentehi appāṇakameva udakaṃ āsiñcitabbaṃ.

    ๑๗. อสฺสเทฺธสุ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๘๑) มิจฺฉาทิฎฺฐิกุเลสุ สกฺกจฺจํ ปณีตโภชนํ ลภิตฺวา อนุปปริกฺขิตฺวา เนว อตฺตนา ปริภุญฺชิตพฺพํ, น ปเรสํ ทาตพฺพํฯ วิสมิสฺสมฺปิ หิ ตานิ กุลานิ ปิณฺฑปาตํ เทนฺติฯ ยมฺปิ อาภิโทสิกํ ภตฺตํ วา ขชฺชกํ วา ตโต ลภติ, ตมฺปิ น ปริภุญฺชิตพฺพํฯ อปิหิตวตฺถุมฺปิ หิ สปฺปวิจฺฉิกาทีหิ อธิสยิตํ ฉฑฺฑนียธมฺมํ ตานิ กุลานิ เทนฺติฯ คนฺธหลิทฺทาทิมกฺขิโตปิ ตโต ปิณฺฑปาโต น คเหตโพฺพฯ สรีเร โรคฎฺฐานานิ ปุญฺฉิตฺวา ฐปิตภตฺตมฺปิ หิ ตานิ ทาตพฺพํ มญฺญนฺตีติฯ

    17. Assaddhesu (pārā. aṭṭha. 2.181) micchādiṭṭhikulesu sakkaccaṃ paṇītabhojanaṃ labhitvā anupaparikkhitvā neva attanā paribhuñjitabbaṃ, na paresaṃ dātabbaṃ. Visamissampi hi tāni kulāni piṇḍapātaṃ denti. Yampi ābhidosikaṃ bhattaṃ vā khajjakaṃ vā tato labhati, tampi na paribhuñjitabbaṃ. Apihitavatthumpi hi sappavicchikādīhi adhisayitaṃ chaḍḍanīyadhammaṃ tāni kulāni denti. Gandhahaliddādimakkhitopi tato piṇḍapāto na gahetabbo. Sarīre rogaṭṭhānāni puñchitvā ṭhapitabhattampi hi tāni dātabbaṃ maññantīti.

    ๑๘. ‘‘อนาปตฺติ, ภิกฺขเว, โคปกสฺส ทาเน’’ติ (ปารา. ๑๕๖) วุตฺตํฯ ตตฺถ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๕๖) กตรํ โคปกทานํ วฎฺฎติ, กตรํ น วฎฺฎติ? มหาสุมเตฺถโร ตาว อาห ‘‘ยํ โคปกสฺส ปริจฺฉินฺทิตฺวา ทินฺนํ โหติ ‘เอตฺตกํ ทิวเส ทิวเส คณฺหา’ติ, ตเทว วฎฺฎติ, ตโต อุตฺตริ น วฎฺฎตี’’ติฯ มหาปทุมเตฺถโร ปนาห ‘‘กิํ โคปกานํ ปณฺณํ อาโรเปตฺวา นิมิตฺตสญฺญํ วา กตฺวา ทินฺนํ อตฺถิ, เอเตสํ หเตฺถ วิสฺสฎฺฐกสฺส เอเต อิสฺสรา, ตสฺมา ยํ เทนฺติ, ตํ พหุกมฺปิ วฎฺฎตี’’ติฯ กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ปน วุตฺตํ ‘‘มนุสฺสานํ อารามํ วา อญฺญํ วา ผลาผลํ ทารกา รกฺขนฺติ, เตหิ ทินฺนํ วฎฺฎติ, อาหราเปตฺวา ปน น คเหตพฺพํฯ สงฺฆิเก ปน เจติยสฺส สนฺตเก จ เกณิยา คเหตฺวา รกฺขนฺตเสฺสว ทานํ วฎฺฎติ, เวตเนน รกฺขนฺตสฺส อตฺตโน ภาคมตฺตํ วฎฺฎตี’’ติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘ยํ คิหีนํ อารามรกฺขกา ภิกฺขูนํ เทนฺติ, เอตมฺปิ วฎฺฎติฯ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อารามโคปกา ยํ อตฺตโน ภติยา ขณฺฑิตฺวา เทนฺติ, เอตํ วฎฺฎติฯ โยปิ อุปฑฺฒารามํ วา เกจิเทว รุเกฺข วา ภติํ ลภิตฺวา รกฺขติ, ตสฺสปิ อตฺตโน สมฺปตฺตรุกฺขโตเยว ทาตุํ วฎฺฎติ, เกณิยา คเหตฺวา รกฺขนฺตสฺส ปน สพฺพมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ เอตํ ปน สพฺพํ พฺยญฺชนโต นานํ, อตฺถโต เอกเมว, ตสฺมา อธิปฺปายํ ญตฺวา คเหตพฺพํฯ

    18. ‘‘Anāpatti, bhikkhave, gopakassa dāne’’ti (pārā. 156) vuttaṃ. Tattha (pārā. aṭṭha. 1.156) kataraṃ gopakadānaṃ vaṭṭati, kataraṃ na vaṭṭati? Mahāsumatthero tāva āha ‘‘yaṃ gopakassa paricchinditvā dinnaṃ hoti ‘ettakaṃ divase divase gaṇhā’ti, tadeva vaṭṭati, tato uttari na vaṭṭatī’’ti. Mahāpadumatthero panāha ‘‘kiṃ gopakānaṃ paṇṇaṃ āropetvā nimittasaññaṃ vā katvā dinnaṃ atthi, etesaṃ hatthe vissaṭṭhakassa ete issarā, tasmā yaṃ denti, taṃ bahukampi vaṭṭatī’’ti. Kurundaṭṭhakathāyaṃ pana vuttaṃ ‘‘manussānaṃ ārāmaṃ vā aññaṃ vā phalāphalaṃ dārakā rakkhanti, tehi dinnaṃ vaṭṭati, āharāpetvā pana na gahetabbaṃ. Saṅghike pana cetiyassa santake ca keṇiyā gahetvā rakkhantasseva dānaṃ vaṭṭati, vetanena rakkhantassa attano bhāgamattaṃ vaṭṭatī’’ti. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘yaṃ gihīnaṃ ārāmarakkhakā bhikkhūnaṃ denti, etampi vaṭṭati. Bhikkhusaṅghassa ārāmagopakā yaṃ attano bhatiyā khaṇḍitvā denti, etaṃ vaṭṭati. Yopi upaḍḍhārāmaṃ vā kecideva rukkhe vā bhatiṃ labhitvā rakkhati, tassapi attano sampattarukkhatoyeva dātuṃ vaṭṭati, keṇiyā gahetvā rakkhantassa pana sabbampi vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Etaṃ pana sabbaṃ byañjanato nānaṃ, atthato ekameva, tasmā adhippāyaṃ ñatvā gahetabbaṃ.

    อปิเจตฺถ อยมฺปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๕๖) – ยตฺถ อาวาสิกา อาคนฺตุกานํ น เทนฺติ, ผลวาเร จ สมฺปเตฺต อเญฺญสํ อภาวํ ทิสฺวา โจริกาย อตฺตนาว ขาทนฺติ, ตตฺถ อาคนฺตุเกหิ ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ภาเชตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ยตฺถ ปน อาวาสิกา รุเกฺข รกฺขิตฺวา ผลวาเร สมฺปเตฺต ภาเชตฺวา ขาทนฺติ, จตูสุ ปจฺจเยสุ สมฺมา อุปเนนฺติ, อนิสฺสรา ตตฺถ อาคนฺตุกาฯ เยปิ รุกฺขา จีวรตฺถาย นิยเมตฺวา ทินฺนา, เตสุปิ อาคนฺตุกา อนิสฺสราฯ เอส นโย เสสปจฺจยตฺถาย นิยเมตฺวา ทิเนฺนปิฯ เย ปน ตถา อนิยเมตฺวา อาวาสิกา จ เต รกฺขิตฺวา โคเปตฺวา โจริกาย ปริภุญฺชนฺติ, น เตสุ อาวาสิกานํ กติกาย ฐาตพฺพํฯ เย ผลปริโภคตฺถาย ทินฺนา, อาวาสิกา จ เน รกฺขิตฺวา โคเปตฺวา สมฺมา อุปเนนฺติ, เตสุเยว เตสํ กติกาย ฐาตพฺพํฯ มหาปจฺจริยํ ปน วุตฺตํ ‘‘จตุนฺนํ ปจฺจยานํ นิยเมตฺวา ทินฺนํ เถยฺยจิเตฺตน ปริภุญฺชโนฺต ภณฺฑํ อคฺฆาเปตฺวา กาเรตโพฺพ, ปริโภควเสน ภาเชตฺวา ปริภุญฺชนฺตสฺส ภณฺฑเทยฺยํฯ ยํ ปเนตฺถ เสนาสนตฺถาย นิยมิตํ, ตํ ปริโภควเสเนว ภาเชตฺวา ปริภุญฺชนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยญฺจ ภณฺฑเทยฺยญฺจา’’ติฯ

    Apicettha ayampi vinicchayo veditabbo (pārā. aṭṭha. 1.156) – yattha āvāsikā āgantukānaṃ na denti, phalavāre ca sampatte aññesaṃ abhāvaṃ disvā corikāya attanāva khādanti, tattha āgantukehi ghaṇṭiṃ paharitvā bhājetvā paribhuñjituṃ vaṭṭati. Yattha pana āvāsikā rukkhe rakkhitvā phalavāre sampatte bhājetvā khādanti, catūsu paccayesu sammā upanenti, anissarā tattha āgantukā. Yepi rukkhā cīvaratthāya niyametvā dinnā, tesupi āgantukā anissarā. Esa nayo sesapaccayatthāya niyametvā dinnepi. Ye pana tathā aniyametvā āvāsikā ca te rakkhitvā gopetvā corikāya paribhuñjanti, na tesu āvāsikānaṃ katikāya ṭhātabbaṃ. Ye phalaparibhogatthāya dinnā, āvāsikā ca ne rakkhitvā gopetvā sammā upanenti, tesuyeva tesaṃ katikāya ṭhātabbaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana vuttaṃ ‘‘catunnaṃ paccayānaṃ niyametvā dinnaṃ theyyacittena paribhuñjanto bhaṇḍaṃ agghāpetvā kāretabbo, paribhogavasena bhājetvā paribhuñjantassa bhaṇḍadeyyaṃ. Yaṃ panettha senāsanatthāya niyamitaṃ, taṃ paribhogavaseneva bhājetvā paribhuñjantassa thullaccayañca bhaṇḍadeyyañcā’’ti.

    โอทิสฺส จีวรตฺถาย ทินฺนํ จีวเรเยว อุปเนตพฺพํฯ สเจ ทุพฺภิกฺขํ โหติ, ภิกฺขู ปิณฺฑปาเตน กิลมนฺติ, จีวรํ ปน สุลภํ, สงฺฆสุฎฺฐุตาย อปโลกนกมฺมํ กตฺวา ปิณฺฑปาเตปิ อุปเนตุํ วฎฺฎติฯ เสนาสเนน คิลานปจฺจเยน วา กิลมเนฺตสุ สงฺฆสุฎฺฐุตาย อปโลกนกมฺมํ กตฺวา ตทตฺถายปิ อุปเนตุํ วฎฺฎติฯ โอทิสฺส ปิณฺฑปาตตฺถาย จ คิลานปจฺจยตฺถาย จ ทิเนฺนปิ เอเสว นโยฯ โอทิสฺส เสนาสนตฺถาย ทินฺนํ ปน ครุภณฺฑํ โหติ, ตํ รกฺขิตฺวา โคเปตฺวา ตทตฺถเมว อุปเนตพฺพํฯ สเจ ปน ทุพฺภิกฺขํ โหติ, ภิกฺขู ปิณฺฑปาเตน น ยาเปนฺติ, เอตฺถ ราชโรคโจรภยาทีหิ อญฺญตฺถ คจฺฉนฺตานํ วิหารา ปลุชฺชนฺติ, ตาลนาฬิเกราทิเก วินาเสนฺติ, เสนาสนปจฺจยํ ปน นิสฺสาย ยาเปตุํ สกฺกา โหติ, เอวรูเป กาเล เสนาสนํ วิสฺสเชฺชตฺวาปิ เสนาสนชคฺคนตฺถาย ปริโภโค ภควตา อนุญฺญาโตฯ ตสฺมา เอกํ วา เทฺว วา วรเสนาสนานิ ฐเปตฺวา อิตรานิ ลามกโกฎิยา ปิณฺฑปาตตฺถาย วิสฺสเชฺชตุํ วฎฺฎนฺติ, มูลวตฺถุเจฺฉทํ ปน กตฺวา น อุปเนตพฺพํฯ

    Odissa cīvaratthāya dinnaṃ cīvareyeva upanetabbaṃ. Sace dubbhikkhaṃ hoti, bhikkhū piṇḍapātena kilamanti, cīvaraṃ pana sulabhaṃ, saṅghasuṭṭhutāya apalokanakammaṃ katvā piṇḍapātepi upanetuṃ vaṭṭati. Senāsanena gilānapaccayena vā kilamantesu saṅghasuṭṭhutāya apalokanakammaṃ katvā tadatthāyapi upanetuṃ vaṭṭati. Odissa piṇḍapātatthāya ca gilānapaccayatthāya ca dinnepi eseva nayo. Odissa senāsanatthāya dinnaṃ pana garubhaṇḍaṃ hoti, taṃ rakkhitvā gopetvā tadatthameva upanetabbaṃ. Sace pana dubbhikkhaṃ hoti, bhikkhū piṇḍapātena na yāpenti, ettha rājarogacorabhayādīhi aññattha gacchantānaṃ vihārā palujjanti, tālanāḷikerādike vināsenti, senāsanapaccayaṃ pana nissāya yāpetuṃ sakkā hoti, evarūpe kāle senāsanaṃ vissajjetvāpi senāsanajagganatthāya paribhogo bhagavatā anuññāto. Tasmā ekaṃ vā dve vā varasenāsanāni ṭhapetvā itarāni lāmakakoṭiyā piṇḍapātatthāya vissajjetuṃ vaṭṭanti, mūlavatthucchedaṃ pana katvā na upanetabbaṃ.

    โย ปน อาราโม จตุปจฺจยตฺถาย นิยเมตฺวา ทิโนฺน, ตตฺถ อปโลกนกมฺมํ น กาตพฺพํฯ เยน ปจฺจเยน ปน อูนํ, ตทตฺถํ อุปเนตุํ วฎฺฎติ, อาราโม ปฎิชคฺคิตโพฺพ, เวตนํ ทตฺวาปิ ชคฺคาเปตุํ วฎฺฎติฯ เย ปน เวตนํ ลภิตฺวา อาราเมเยว เคหํ กตฺวา วสนฺตา รกฺขนฺติ, เต เจ อาคตานํ ภิกฺขูนํ นาฬิเกรํ วา ตาลปกฺกํ วา เทนฺติ, ยํ เตสํ สเงฺฆน อนุญฺญาตํ โหติ ‘‘ทิวเส ทิวเส เอตฺตกํ นาม ขาทถา’’ติ, ตเทว เต ทาตุํ ลภนฺติ, ตโต อุตฺตริ เตสํ เทนฺตานมฺปิ คเหตุํ น วฎฺฎนฺติฯ โย ปน อารามํ เกณิยา คเหตฺวา สงฺฆสฺส จตุปจฺจยตฺถาย กปฺปิยภณฺฑเมว เทติ, อยํ พหุกมฺปิ ทาตุํ ลภติฯ เจติยสฺส ปทีปตฺถาย วา ขณฺฑผุลฺลปฎิสงฺขรณตฺถาย วา ทินฺนอาราโมปิ ชคฺคิตโพฺพ, เวตนํ ทตฺวาปิ ชคฺคาเปตโพฺพฯ เวตนญฺจ ปเนตฺถ เจติยสนฺตกมฺปิ สงฺฆสนฺตกมฺปิ ทาตุํ วฎฺฎติฯ เอตมฺปิ อารามํ เวตเนน ตเตฺถว วสิตฺวา รกฺขนฺตานญฺจ เกณิยา คเหตฺวา กปฺปิยภณฺฑทายกานญฺจ ตตฺถชาตกผลทานํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Yo pana ārāmo catupaccayatthāya niyametvā dinno, tattha apalokanakammaṃ na kātabbaṃ. Yena paccayena pana ūnaṃ, tadatthaṃ upanetuṃ vaṭṭati, ārāmo paṭijaggitabbo, vetanaṃ datvāpi jaggāpetuṃ vaṭṭati. Ye pana vetanaṃ labhitvā ārāmeyeva gehaṃ katvā vasantā rakkhanti, te ce āgatānaṃ bhikkhūnaṃ nāḷikeraṃ vā tālapakkaṃ vā denti, yaṃ tesaṃ saṅghena anuññātaṃ hoti ‘‘divase divase ettakaṃ nāma khādathā’’ti, tadeva te dātuṃ labhanti, tato uttari tesaṃ dentānampi gahetuṃ na vaṭṭanti. Yo pana ārāmaṃ keṇiyā gahetvā saṅghassa catupaccayatthāya kappiyabhaṇḍameva deti, ayaṃ bahukampi dātuṃ labhati. Cetiyassa padīpatthāya vā khaṇḍaphullapaṭisaṅkharaṇatthāya vā dinnaārāmopi jaggitabbo, vetanaṃ datvāpi jaggāpetabbo. Vetanañca panettha cetiyasantakampi saṅghasantakampi dātuṃ vaṭṭati. Etampi ārāmaṃ vetanena tattheva vasitvā rakkhantānañca keṇiyā gahetvā kappiyabhaṇḍadāyakānañca tatthajātakaphaladānaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ.

    ๑๙. ธมฺมิกรกฺขํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๖๗๙) ยาจเนฺตน อตีตํ อนาคตํ วา อารพฺภ โอทิสฺส อาจิกฺขิตุํ น วฎฺฎติฯ อตีตญฺหิ อารพฺภ อตฺถิ โอทิสฺส อาจิกฺขนา, อตฺถิ อโนทิสฺส อาจิกฺขนา, อนาคตํ อารพฺภปิ อตฺถิ โอทิสฺส อาจิกฺขนา, อตฺถิ อโนทิสฺส อาจิกฺขนาฯ กถํ อตีตํ อารพฺภ โอทิสฺส อาจิกฺขนา โหติ? ภิกฺขูนํ วิหาเร คามทารกา วา ธุตฺตาทโย วา เย เกจิ อนาจารํ อาจรนฺติ, รุกฺขํ วา ฉินฺทนฺติ, ผลาผลํ วา หรนฺติ, ปริกฺขาเร วา อจฺฉินฺทนฺติ, ภิกฺขุ โวหาริเก อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อมฺหากํ วิหาเร อิทํ นาม กต’’นฺติ วทติฯ ‘‘เกนา’’ติ วุเตฺต ‘‘อสุเกน จ อสุเกน จา’’ติ อาจิกฺขติฯ เอวํ อตีตํ อารพฺภ โอทิสฺส อาจิกฺขนา โหติ, สา น วฎฺฎติฯ ตเญฺจ สุตฺวา เต โวหาริกา เตสํ ทณฺฑํ กโรนฺติ, สพฺพํ ภิกฺขุสฺส คีวา โหติ, ‘‘ทณฺฑํ คณฺหิสฺสนฺตี’’ติ อธิปฺปาเยปิ สติ คีวาเยว โหติฯ สเจ ปน ‘‘ตสฺส ทณฺฑํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ปญฺจมาสกมเตฺต คหิเต ปาราชิกํ โหติฯ ‘‘เกนา’’ติ วุเตฺต ปน ‘‘อสุเกนาติ วตฺตุํ อมฺหากํ น วฎฺฎติ, ตุเมฺหเยว ชานิสฺสถฯ เกวลญฺหิ มยํ รกฺขํ ยาจาม, ตํ โน เทถ, อวหฎภณฺฑญฺจ อาหราเปถา’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอวํ อโนทิสฺส อาจิกฺขนา โหติ, สา วฎฺฎติฯ เอวํ วุเตฺต สเจปิ เต โวหาริกา การเก คเวสิตฺวา เตสํ ทณฺฑํ กโรนฺติ, สพฺพสาปเตเยฺยปิ คหิเต ภิกฺขุโน เนว คีวา, น อาปตฺติฯ ปริกฺขารํ หรเนฺต ทิสฺวา เตสํ อนตฺถกามตาย ‘‘โจโร โจโร’’ติ วตฺตุมฺปิ น วฎฺฎติฯ เอวํ วุเตฺตปิ หิ ยํ เตสํ ทณฺฑํ กโรนฺติ, สพฺพํ ภิกฺขุโน คีวา โหติฯ อตฺตโน วจนกรํ ปน ‘‘อิมินา เม ปริกฺขาโร คหิโต, ตํ อาหราเปหิ, มา จสฺส ทณฺฑํ กโรหี’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ทาสทาสีวาปิอาทีนมฺปิ อตฺถาย อฑฺฑํ กโรนฺติ อยํ อกปฺปิยอโฑฺฑ นาม, น วฎฺฎติฯ

    19. Dhammikarakkhaṃ (pāci. aṭṭha. 679) yācantena atītaṃ anāgataṃ vā ārabbha odissa ācikkhituṃ na vaṭṭati. Atītañhi ārabbha atthi odissa ācikkhanā, atthi anodissa ācikkhanā, anāgataṃ ārabbhapi atthi odissa ācikkhanā, atthi anodissa ācikkhanā. Kathaṃ atītaṃ ārabbha odissa ācikkhanā hoti? Bhikkhūnaṃ vihāre gāmadārakā vā dhuttādayo vā ye keci anācāraṃ ācaranti, rukkhaṃ vā chindanti, phalāphalaṃ vā haranti, parikkhāre vā acchindanti, bhikkhu vohārike upasaṅkamitvā ‘‘amhākaṃ vihāre idaṃ nāma kata’’nti vadati. ‘‘Kenā’’ti vutte ‘‘asukena ca asukena cā’’ti ācikkhati. Evaṃ atītaṃ ārabbha odissa ācikkhanā hoti, sā na vaṭṭati. Tañce sutvā te vohārikā tesaṃ daṇḍaṃ karonti, sabbaṃ bhikkhussa gīvā hoti, ‘‘daṇḍaṃ gaṇhissantī’’ti adhippāyepi sati gīvāyeva hoti. Sace pana ‘‘tassa daṇḍaṃ gaṇhathā’’ti vadati, pañcamāsakamatte gahite pārājikaṃ hoti. ‘‘Kenā’’ti vutte pana ‘‘asukenāti vattuṃ amhākaṃ na vaṭṭati, tumheyeva jānissatha. Kevalañhi mayaṃ rakkhaṃ yācāma, taṃ no detha, avahaṭabhaṇḍañca āharāpethā’’ti vattabbaṃ. Evaṃ anodissa ācikkhanā hoti, sā vaṭṭati. Evaṃ vutte sacepi te vohārikā kārake gavesitvā tesaṃ daṇḍaṃ karonti, sabbasāpateyyepi gahite bhikkhuno neva gīvā, na āpatti. Parikkhāraṃ harante disvā tesaṃ anatthakāmatāya ‘‘coro coro’’ti vattumpi na vaṭṭati. Evaṃ vuttepi hi yaṃ tesaṃ daṇḍaṃ karonti, sabbaṃ bhikkhuno gīvā hoti. Attano vacanakaraṃ pana ‘‘iminā me parikkhāro gahito, taṃ āharāpehi, mā cassa daṇḍaṃ karohī’’ti vattuṃ vaṭṭati. Dāsadāsīvāpiādīnampi atthāya aḍḍaṃ karonti ayaṃ akappiyaaḍḍo nāma, na vaṭṭati.

    กถํ อนาคตํ อารพฺภ โอทิสฺส อาจิกฺขนา โหติ? วุตฺตนเยเนว ปเรหิ อนาจาราทีสุ กเตสุ ภิกฺขุ โวหาริเก เอวํ วทติ ‘‘อมฺหากํ วิหาเร อิทญฺจิทญฺจ กโรนฺติ, รกฺขํ โน เทถ อายติํ อกรณตฺถายา’’ติฯ ‘‘เกน เอวํ กต’’นฺติ วุเตฺต จ ‘‘อสุเกน จ อสุเกน จา’’ติ อาจิกฺขติฯ เอวํ อนาคตํ อารพฺภ โอทิสฺส อาจิกฺขนา โหติ, สาปิ น วฎฺฎติฯ เตสญฺหิ ทเณฺฑ กเต ปุริมนเยเนว สพฺพํ ภิกฺขุสฺส คีวา, เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ สเจ โวหาริกา ‘‘ภิกฺขูนํ วิหาเร เอวรูปํ อนาจารํ กโรนฺตานํ อิมํ นาม ทณฺฑํ กโรมา’’ติ เภริํ จราเปตฺวา อาณาย อติฎฺฐมาเน ปริเยสิตฺวา ทณฺฑํ กโรนฺติ, ภิกฺขุโน เนว คีวา, น อาปตฺติฯ วิหารสีมาย รุกฺขาทีนิ ฉินฺทนฺตานํ วาสิผรสุอาทีนิ คเหตฺวา ปาสาเณหิ โกเฎฺฎนฺติ, น วฎฺฎติฯ สเจ ธารา ภิชฺชติ, การาเปตฺวา ทาตพฺพาฯ อุปธาวิตฺวา เตสํ ปริกฺขาเร คณฺหนฺติ, ตมฺปิ น กาตพฺพํฯ ลหุปริวตฺตญฺหิ จิตฺตํ, เถยฺยเจตนาย อุปฺปนฺนาย มูลเจฺฉชฺชมฺปิ คเจฺฉยฺยฯ

    Kathaṃ anāgataṃ ārabbha odissa ācikkhanā hoti? Vuttanayeneva parehi anācārādīsu katesu bhikkhu vohārike evaṃ vadati ‘‘amhākaṃ vihāre idañcidañca karonti, rakkhaṃ no detha āyatiṃ akaraṇatthāyā’’ti. ‘‘Kena evaṃ kata’’nti vutte ca ‘‘asukena ca asukena cā’’ti ācikkhati. Evaṃ anāgataṃ ārabbha odissa ācikkhanā hoti, sāpi na vaṭṭati. Tesañhi daṇḍe kate purimanayeneva sabbaṃ bhikkhussa gīvā, sesaṃ purimasadisameva. Sace vohārikā ‘‘bhikkhūnaṃ vihāre evarūpaṃ anācāraṃ karontānaṃ imaṃ nāma daṇḍaṃ karomā’’ti bheriṃ carāpetvā āṇāya atiṭṭhamāne pariyesitvā daṇḍaṃ karonti, bhikkhuno neva gīvā, na āpatti. Vihārasīmāya rukkhādīni chindantānaṃ vāsipharasuādīni gahetvā pāsāṇehi koṭṭenti, na vaṭṭati. Sace dhārā bhijjati, kārāpetvā dātabbā. Upadhāvitvā tesaṃ parikkhāre gaṇhanti, tampi na kātabbaṃ. Lahuparivattañhi cittaṃ, theyyacetanāya uppannāya mūlacchejjampi gaccheyya.

    ๒๐. อุจฺจารํ วา ปสฺสาวํ วา สงฺการํ วา วิฆาสํ วา ติโรกุเฎฺฎ วา ติโรปากาเร วา ฉเฑฺฑตุํ วา ฉฑฺฑาเปตุํ วา น วฎฺฎติฯ จตฺตาริปิ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๒๖) วตฺถูนิ เอกปโยเคน ฉเฑฺฑนฺตสฺส เอกเมว ทุกฺกฎํ, ปาเฎกฺกํ ฉเฑฺฑนฺตสฺส วตฺถุคณนาย ทุกฺกฎานิฯ อาณตฺติยมฺปิ เอเสว นโยฯ ทนฺตกฎฺฐฉฑฺฑเนปิ ทุกฺกฎเมวฯ โอโลเกตฺวา วา อวลเญฺช วา อุจฺจาราทีนิ ฉเฑฺฑนฺตสฺส อนาปตฺติฯ ยมฺปิ มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ โรปิมํ เขตฺตํ โหตุ นาฬิเกราทิอาราโม วา, ตตฺถาปิ ยตฺถ กตฺถจิ โรปิมหริตฎฺฐาเน เอตานิ วตฺถูนิ ฉเฑฺฑตุํ น วฎฺฎติฯ ฉเฑฺฑนฺตสฺส ปุริมนเยเนว อาปตฺติเภโท เวทิตโพฺพฯ เขเตฺต วา อาราเม วา นิสีทิตฺวา ภุญฺชมาโน อุจฺฉุอาทีนิ วา ขาทมาโน คจฺฉโนฺต อุจฺฉิโฎฺฐทกจลกาทีนิ หริตฎฺฐาเน ฉเฑฺฑติ, อนฺตมโส อุทกํ ปิวิตฺวา มตฺถกจฺฉินฺนนาฬิเกรมฺปิ ฉเฑฺฑติ, ทุกฺกฎํฯ กสิตฎฺฐาเน นิกฺขิตฺตพีเช องฺกุเร อุฎฺฐิเตปิ อวุฎฺฐิเตปิ ทุกฺกฎเมวฯ อนิกฺขิตฺตพีเชสุ ปน เขตฺตโกณาทีสุ วา อสญฺชาตโรปิเมสุ เขตฺตมริยาทาทีสุ วา ฉเฑฺฑตุํ วฎฺฎติ, มนุสฺสานํ กจวรฉฑฺฑนฎฺฐาเนปิ วฎฺฎติฯ มนุเสฺสสุ สสฺสํ อุทฺธริตฺวา คเตสุ ฉฑฺฑิตเขตฺตํ นาม โหติ, ตตฺถ วฎฺฎติฯ ยตฺถ ปน ‘‘ลายิตมฺปิ ปุพฺพณฺณาทิ ปุน อุฎฺฐหิสฺสตี’’ติ รกฺขนฺติ, ตตฺถ น วฎฺฎติฯ

    20. Uccāraṃ vā passāvaṃ vā saṅkāraṃ vā vighāsaṃ vā tirokuṭṭe vā tiropākāre vā chaḍḍetuṃ vā chaḍḍāpetuṃ vā na vaṭṭati. Cattāripi (pāci. aṭṭha. 826) vatthūni ekapayogena chaḍḍentassa ekameva dukkaṭaṃ, pāṭekkaṃ chaḍḍentassa vatthugaṇanāya dukkaṭāni. Āṇattiyampi eseva nayo. Dantakaṭṭhachaḍḍanepi dukkaṭameva. Oloketvā vā avalañje vā uccārādīni chaḍḍentassa anāpatti. Yampi manussānaṃ upabhogaparibhogaṃ ropimaṃ khettaṃ hotu nāḷikerādiārāmo vā, tatthāpi yattha katthaci ropimaharitaṭṭhāne etāni vatthūni chaḍḍetuṃ na vaṭṭati. Chaḍḍentassa purimanayeneva āpattibhedo veditabbo. Khette vā ārāme vā nisīditvā bhuñjamāno ucchuādīni vā khādamāno gacchanto ucchiṭṭhodakacalakādīni haritaṭṭhāne chaḍḍeti, antamaso udakaṃ pivitvā matthakacchinnanāḷikerampi chaḍḍeti, dukkaṭaṃ. Kasitaṭṭhāne nikkhittabīje aṅkure uṭṭhitepi avuṭṭhitepi dukkaṭameva. Anikkhittabījesu pana khettakoṇādīsu vā asañjātaropimesu khettamariyādādīsu vā chaḍḍetuṃ vaṭṭati, manussānaṃ kacavarachaḍḍanaṭṭhānepi vaṭṭati. Manussesu sassaṃ uddharitvā gatesu chaḍḍitakhettaṃ nāma hoti, tattha vaṭṭati. Yattha pana ‘‘lāyitampi pubbaṇṇādi puna uṭṭhahissatī’’ti rakkhanti, tattha na vaṭṭati.

    ๒๑. ‘‘น , ภิกฺขเว, นหายมาเนน ภิกฺขุนา รุเกฺข กาโย อุคฺฆํเสตโพฺพ, โย อุคฺฆํเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๔๓) วจนโต นหายเนฺตน (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๔๓ อาทโย) รุเกฺข วา นหานติเตฺถ นิขนิตฺวา ฐปิตตฺถเมฺภ วา อิฎฺฐกสิลาทารุกุฎฺฎานํ อญฺญตรสฺมิํ กุเฎฺฎ วา กาโย น ฆํเสตโพฺพฯ

    21. ‘‘Na , bhikkhave, nahāyamānena bhikkhunā rukkhe kāyo ugghaṃsetabbo, yo ugghaṃseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 243) vacanato nahāyantena (cūḷava. aṭṭha. 243 ādayo) rukkhe vā nahānatitthe nikhanitvā ṭhapitatthambhe vā iṭṭhakasilādārukuṭṭānaṃ aññatarasmiṃ kuṭṭe vā kāyo na ghaṃsetabbo.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, อฎฺฎาเน นหายิตพฺพํ, โย นหาเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๔๓) วจนโต อฎฺฎาเนปิ นหายิตุํ น วฎฺฎติฯ อฎฺฎานํ นาม รุกฺขํ ผลกํ วิย ตเจฺฉตฺวา อฎฺฐปทากาเรน ราชิโย ฉินฺทิตฺวา นหานติเตฺถ นิขนนฺติ, ตตฺถ จุณฺณานิ อากิริตฺวา มนุสฺสา กายํ ฆํสนฺติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, aṭṭāne nahāyitabbaṃ, yo nahāyeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 243) vacanato aṭṭānepi nahāyituṃ na vaṭṭati. Aṭṭānaṃ nāma rukkhaṃ phalakaṃ viya tacchetvā aṭṭhapadākārena rājiyo chinditvā nahānatitthe nikhananti, tattha cuṇṇāni ākiritvā manussā kāyaṃ ghaṃsanti.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, คนฺธพฺพหตฺถเกน นหายิตพฺพํ, โย นหาเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬฺว. ๒๔๓) วจนโต นหานติเตฺถ ฐปิเตน ทารุมยหเตฺถน จุณฺณานิ คเหตฺวา มนุสฺสา สรีรํ ฆํสนฺติ, เตน นหายิตุํ น วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, gandhabbahatthakena nahāyitabbaṃ, yo nahāyeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷva. 243) vacanato nahānatitthe ṭhapitena dārumayahatthena cuṇṇāni gahetvā manussā sarīraṃ ghaṃsanti, tena nahāyituṃ na vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, กุรุวินฺทกสุตฺติยา นหายิตพฺพํ, โย นหาเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๔๓) วจนโต กุรุวินฺทกสุตฺติยาปิ นหายิตุํ น วฎฺฎติฯ กุรุวินฺทกสุตฺติ นาม กุรุวินฺทกปาสาณจุณฺณานิ ลาขาย พนฺธิตฺวา กตคุฬิกกลาปโก วุจฺจติ, ยํ อุโภสุ อเนฺตสุ คเหตฺวา สรีรํ ฆํสนฺติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, kuruvindakasuttiyā nahāyitabbaṃ, yo nahāyeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 243) vacanato kuruvindakasuttiyāpi nahāyituṃ na vaṭṭati. Kuruvindakasutti nāma kuruvindakapāsāṇacuṇṇāni lākhāya bandhitvā kataguḷikakalāpako vuccati, yaṃ ubhosu antesu gahetvā sarīraṃ ghaṃsanti.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, วิคฺคยฺห ปริกมฺมํ การาเปตพฺพํ, โย การาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๔๓) วจนโต อญฺญมญฺญํ สรีเรน ฆํสิตุํ น วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, viggayha parikammaṃ kārāpetabbaṃ, yo kārāpeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 243) vacanato aññamaññaṃ sarīrena ghaṃsituṃ na vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, มลฺลเกน นหายิตพฺพํ, โย นหาเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลานสฺส อกตมลฺลก’’นฺติ (จูฬว. ๒๔๓-๒๔๔) วจนโต มกรทณฺฑเก ฉินฺทิตฺวา มลฺลกมูลสณฺฐาเนน กตํ ‘‘มลฺลก’’นฺติ วุจฺจติ, อิทํ คิลานสฺสปิ น วฎฺฎติฯ อกตมลฺลกํ นาม ทเนฺต อจฺฉินฺทิตฺวา กตํ, อิทํ อคิลานสฺส น วฎฺฎติ, อิฎฺฐกขณฺฑํ ปน กปาลขณฺฑํ วา วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, mallakena nahāyitabbaṃ, yo nahāyeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, gilānassa akatamallaka’’nti (cūḷava. 243-244) vacanato makaradaṇḍake chinditvā mallakamūlasaṇṭhānena kataṃ ‘‘mallaka’’nti vuccati, idaṃ gilānassapi na vaṭṭati. Akatamallakaṃ nāma dante acchinditvā kataṃ, idaṃ agilānassa na vaṭṭati, iṭṭhakakhaṇḍaṃ pana kapālakhaṇḍaṃ vā vaṭṭati.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อุกฺกาสิกํ ปุถุปาณิก’’นฺติ (จูฬว. ๒๔๔) วจนโต อุกฺกาสิกํ ปุถุปาณิกญฺจ วฎฺฎติฯ อุกฺกาสิกํ นาม วตฺถวฎฺฎิ, ตสฺมา นหายนฺตสฺส ยสฺส กสฺสจิ นหานสาฎกวฎฺฎิยา ปิฎฺฐิํ ฆํสิตุํ วฎฺฎติฯ ปุถุปาณิกนฺติ หตฺถปริกมฺมํ วุจฺจติ, ตสฺมา สเพฺพสํ หเตฺถน ปิฎฺฐิปริกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ukkāsikaṃ puthupāṇika’’nti (cūḷava. 244) vacanato ukkāsikaṃ puthupāṇikañca vaṭṭati. Ukkāsikaṃ nāma vatthavaṭṭi, tasmā nahāyantassa yassa kassaci nahānasāṭakavaṭṭiyā piṭṭhiṃ ghaṃsituṃ vaṭṭati. Puthupāṇikanti hatthaparikammaṃ vuccati, tasmā sabbesaṃ hatthena piṭṭhiparikammaṃ kātuṃ vaṭṭati.

    อิทํ ปเนตฺถ นหานวตฺตํ – อุทกติตฺถํ คนฺตฺวา ยตฺถ วา ตตฺถ วา จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา เวเคน ฐิตเกเนว น โอตริตพฺพํ, สพฺพทิสา ปน โอโลเกตฺวา วิวิตฺตภาวํ ญตฺวา ขาณุคุมฺพลตาทีนิ ววตฺถเปตฺวา ติกฺขตฺตุํ อุกฺกาสิตฺวา อวกุชฺช ฐิเตน อุตฺตราสงฺคจีวรํ อปเนตฺวา ปสาเรตพฺพํ, กายพนฺธนํ โมเจตฺวา จีวรปิเฎฺฐเยว ฐเปตพฺพํฯ สเจ อุทกสาฎิกา นตฺถิ, อุทกเนฺต อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา นิวาสนํ โมเจตฺวา สเจ นินฺนฎฺฐานํ อตฺถิ, อาตเป ปสาเรตพฺพํฯ โน เจ อตฺถิ, สํหริตฺวา ฐเปตพฺพํฯ โอตรเนฺตน สณิกํ นาภิปฺปมาณมตฺตํ โอตริตฺวา วีจิํ อนุฎฺฐเปเนฺตน สทฺทํ อกโรเนฺตน นิวตฺติตฺวา อาคตทิสาภิมุเขน นิมุชฺชิตพฺพํ, เอวํ จีวรํ รกฺขิตํ โหติฯ อุมฺมุชฺชเนฺตนปิ สทฺทํ อกโรเนฺตน สณิกํ อุมฺมุชฺชิตฺวา นหานปริโยสาเน อุทกเนฺต อุกฺกุฎิเกน นิสีทิตฺวา นิวาสนํ ปริกฺขิปิตฺวา อุฎฺฐาย สุปริมณฺฑลํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวาว ฐาตพฺพํฯ

    Idaṃ panettha nahānavattaṃ – udakatitthaṃ gantvā yattha vā tattha vā cīvaraṃ nikkhipitvā vegena ṭhitakeneva na otaritabbaṃ, sabbadisā pana oloketvā vivittabhāvaṃ ñatvā khāṇugumbalatādīni vavatthapetvā tikkhattuṃ ukkāsitvā avakujja ṭhitena uttarāsaṅgacīvaraṃ apanetvā pasāretabbaṃ, kāyabandhanaṃ mocetvā cīvarapiṭṭheyeva ṭhapetabbaṃ. Sace udakasāṭikā natthi, udakante ukkuṭikaṃ nisīditvā nivāsanaṃ mocetvā sace ninnaṭṭhānaṃ atthi, ātape pasāretabbaṃ. No ce atthi, saṃharitvā ṭhapetabbaṃ. Otarantena saṇikaṃ nābhippamāṇamattaṃ otaritvā vīciṃ anuṭṭhapentena saddaṃ akarontena nivattitvā āgatadisābhimukhena nimujjitabbaṃ, evaṃ cīvaraṃ rakkhitaṃ hoti. Ummujjantenapi saddaṃ akarontena saṇikaṃ ummujjitvā nahānapariyosāne udakante ukkuṭikena nisīditvā nivāsanaṃ parikkhipitvā uṭṭhāya suparimaṇḍalaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā cīvaraṃ pārupitvāva ṭhātabbaṃ.

    ๒๒. ‘‘น, ภิกฺขเว, วลฺลิกา ธาเรตพฺพา… น ปามโงฺค ธาเรตโพฺพ… น กณฺฐสุตฺตกํ ธาเรตพฺพํ… น กฎิสุตฺตกํ ธาเรตพฺพํ… น โอวฎฺฎิกํ ธาเรตพฺพํ… น กายูรํ ธาเรตพฺพํ… น หตฺถาภรณํ ธาเรตพฺพํ… น องฺคุลิมุทฺทิกา ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๔๕) วจนโต กณฺณปิฬนฺธนาทิ ยํ กิญฺจิ อาภรณํ น วฎฺฎติฯ ตตฺถ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๔๕) วลฺลิกาติ กณฺณโต นิกฺขนฺตมุโตฺตลมฺพกาทีนํ เอตํ อธิวจนํฯ น เกวลญฺจ วลฺลิกา เอว, ยํ กิญฺจิ กณฺณปิฬนฺธนํ อนฺตมโส ตาลปณฺณมฺปิ น วฎฺฎติฯ ปามงฺคนฺติ ยํ กิญฺจิ ปลมฺพกสุตฺตํฯ กณฺฐสุตฺตกนฺติ ยํ กิญฺจิ คีวูปคํ อาภรณํฯ กฎิสุตฺตกนฺติ ยํ กิญฺจิ กฎิปิฬนฺธนํ, อนฺตมโส สุตฺตตนฺตุมตฺตมฺปิฯ โอวฎฺฎิกนฺติ วลยํฯ กายูราทีนิ ปากฎาเนวฯ

    22. ‘‘Na, bhikkhave, vallikā dhāretabbā… na pāmaṅgo dhāretabbo… na kaṇṭhasuttakaṃ dhāretabbaṃ… na kaṭisuttakaṃ dhāretabbaṃ… na ovaṭṭikaṃ dhāretabbaṃ… na kāyūraṃ dhāretabbaṃ… na hatthābharaṇaṃ dhāretabbaṃ… na aṅgulimuddikā dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 245) vacanato kaṇṇapiḷandhanādi yaṃ kiñci ābharaṇaṃ na vaṭṭati. Tattha (cūḷava. aṭṭha. 245) vallikāti kaṇṇato nikkhantamuttolambakādīnaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Na kevalañca vallikā eva, yaṃ kiñci kaṇṇapiḷandhanaṃ antamaso tālapaṇṇampi na vaṭṭati. Pāmaṅganti yaṃ kiñci palambakasuttaṃ. Kaṇṭhasuttakanti yaṃ kiñci gīvūpagaṃ ābharaṇaṃ. Kaṭisuttakanti yaṃ kiñci kaṭipiḷandhanaṃ, antamaso suttatantumattampi. Ovaṭṭikanti valayaṃ. Kāyūrādīni pākaṭāneva.

    ๒๓. ‘‘น, ภิกฺขเว, ทีฆา เกสา ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เทฺวมาสิกํ วา ทุวงฺคุลํ วา’’ติ (จูฬว. ๒๔๖) วจนโต สเจ เกสา อโนฺตเทฺวมาเส ทฺวงฺคุลํ ปาปุณนฺติ, อโนฺตเทฺวมาเสเยว ฉินฺทิตพฺพา, ทฺวงฺคุเลหิ อติกฺกาเมตุํ น วฎฺฎติฯ สเจปิ น ทีฆา, เทฺวมาสโต เอกทิวสมฺปิ อติกฺกาเมตุํ น ลภติเยวฯ อุภยถาปิ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉโทว วุโตฺต, ตโต โอรํ ปน น วฎฺฎนภาโว นาม นตฺถิฯ

    23. ‘‘Na, bhikkhave, dīghā kesā dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, dvemāsikaṃ vā duvaṅgulaṃ vā’’ti (cūḷava. 246) vacanato sace kesā antodvemāse dvaṅgulaṃ pāpuṇanti, antodvemāseyeva chinditabbā, dvaṅgulehi atikkāmetuṃ na vaṭṭati. Sacepi na dīghā, dvemāsato ekadivasampi atikkāmetuṃ na labhatiyeva. Ubhayathāpi ukkaṭṭhaparicchedova vutto, tato oraṃ pana na vaṭṭanabhāvo nāma natthi.

    ‘‘น , ภิกฺขเว, กตฺตริกาย เกสา เฉทาเปตพฺพา, โย เฉทาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาพาธปจฺจยา กตฺตริกาย เกเส เฉทาเปตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๕) วจนโต อาพาธํ วินา กตฺตริกาย เกเส เฉทาเปตุํ น วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na , bhikkhave, kattarikāya kesā chedāpetabbā, yo chedāpeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, ābādhapaccayā kattarikāya kese chedāpetu’’nti (cūḷava. 275) vacanato ābādhaṃ vinā kattarikāya kese chedāpetuṃ na vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, โกเจฺฉน เกสา โอสเณฺฐตพฺพา… น ผณเกน เกสา โอสเณฺฐตพฺพา… น หตฺถผณเกน เกสา โอสเณฺฐตพฺพา… น สิตฺถเตลเกน เกสา โอสเณฺฐตพฺพา… น อุทกเตลเกน เกสา โอสเณฺฐตพฺพา, โย โอสเณฺฐยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๔๖) วจนโต มณฺฑนตฺถาย โกจฺฉาทีหิ เกสา น โอสเณฺฐตพฺพา, อุทฺธโลเมน ปน อนุโลมนิปาตนตฺถํ หตฺถํ เตเมตฺวา สีสํ ปุญฺฉิตพฺพํ, อุณฺหาภิตตฺตรชสิรานมฺปิ อลฺลหเตฺถน ปุญฺฉิตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, kocchena kesā osaṇṭhetabbā… na phaṇakena kesā osaṇṭhetabbā… na hatthaphaṇakena kesā osaṇṭhetabbā… na sitthatelakena kesā osaṇṭhetabbā… na udakatelakena kesā osaṇṭhetabbā, yo osaṇṭheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 246) vacanato maṇḍanatthāya kocchādīhi kesā na osaṇṭhetabbā, uddhalomena pana anulomanipātanatthaṃ hatthaṃ temetvā sīsaṃ puñchitabbaṃ, uṇhābhitattarajasirānampi allahatthena puñchituṃ vaṭṭati.

    ๒๔. ‘‘น, ภิกฺขเว, อาทาเส วา อุทกปเตฺต วา มุขนิมิตฺตํ โอโลเกตพฺพํ, โย โอโลเกยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาพาธปจฺจยา อาทาเส วา อุทกปเตฺต วา มุขนิมิตฺตํ โอโลเกตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๔๗) วจนโต อาพาธํ วินา อาทาเส วา อุทกปเตฺต วา มุขํ น โอโลเกตพฺพํฯ เอตฺถ จ กํสปตฺตาทีนิปิ เยสุ มุขนิมิตฺตํ ปญฺญายติ, สพฺพานิ อาทาสสงฺขเมว คจฺฉนฺติ, กญฺชิยาทีนิปิ จ อุทกปตฺตสงฺขเมวฯ ตสฺมา ยตฺถ กตฺถจิ โอโลเกนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ อาพาธปจฺจยา ปน ‘‘สญฺฉวิ นุ โข เม วโณ, อุทาหุ น ตาวา’’ติ ชานนตฺถํ วฎฺฎติ, ‘‘ชิโณฺณ นุ โขมฺหิ, โน’’ติ เอวํ อายุสงฺขารํ โอโลกนตฺถมฺปิ วฎฺฎตีติ วุตฺตํฯ

    24. ‘‘Na, bhikkhave, ādāse vā udakapatte vā mukhanimittaṃ oloketabbaṃ, yo olokeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, ābādhapaccayā ādāse vā udakapatte vā mukhanimittaṃ oloketu’’nti (cūḷava. 247) vacanato ābādhaṃ vinā ādāse vā udakapatte vā mukhaṃ na oloketabbaṃ. Ettha ca kaṃsapattādīnipi yesu mukhanimittaṃ paññāyati, sabbāni ādāsasaṅkhameva gacchanti, kañjiyādīnipi ca udakapattasaṅkhameva. Tasmā yattha katthaci olokentassa dukkaṭaṃ. Ābādhapaccayā pana ‘‘sañchavi nu kho me vaṇo, udāhu na tāvā’’ti jānanatthaṃ vaṭṭati, ‘‘jiṇṇo nu khomhi, no’’ti evaṃ āyusaṅkhāraṃ olokanatthampi vaṭṭatīti vuttaṃ.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, มุขํ อาลิมฺปิตพฺพํ… น มุขํ อุมฺมทฺทิตพฺพํ… น มุขํ จุเณฺณตพฺพํ… น มโนสิลิกาย มุขํ ลเญฺฉตพฺพํ… น องฺคราโค กาตโพฺพ… น มุขราโค กาตโพฺพ… น องฺคราคมุขราโค กาตโพฺพ, โย กเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส ฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาพาธปจฺจยา มุขํ อาลิมฺปิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๔๗) วจนโต อาพาธํ วินา มุขวิลิมฺปนาทิ น กาตพฺพํฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, mukhaṃ ālimpitabbaṃ… na mukhaṃ ummadditabbaṃ… na mukhaṃ cuṇṇetabbaṃ… na manosilikāya mukhaṃ lañchetabbaṃ… na aṅgarāgo kātabbo… na mukharāgo kātabbo… na aṅgarāgamukharāgo kātabbo, yo kareyya, āpatti dukkaṭassa . Anujānāmi, bhikkhave, ābādhapaccayā mukhaṃ ālimpitu’’nti (cūḷava. 247) vacanato ābādhaṃ vinā mukhavilimpanādi na kātabbaṃ.

    ๒๕. ‘‘น, ภิกฺขเว, นจฺจํ วา คีตํ วา วาทิตํ วา ทสฺสนาย คนฺตพฺพํ, โย คเจฺฉยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๔๘) วจนโต นจฺจาทิํ ทสฺสนาย น คนฺตพฺพํฯ เอตฺถ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๘๓๕) จ นจฺจนฺติ นฎาทโย วา นจฺจนฺตุ โสณฺฑา วา อนฺตมโส โมรสูวมกฺกฎาทโยปิ, สพฺพเมตํ นจฺจเมว, ตสฺมา อนฺตมโส โมรนจฺจมฺปิ ทสฺสนาย คจฺฉนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ สยมฺปิ นจฺจนฺตสฺส วา นจฺจาเปนฺตสฺส วา ทุกฺกฎเมวฯ คีตนฺติ นฎาทีนํ วา คีตํ โหตุ อริยานํ ปรินิพฺพานกาเล รตนตฺตยคุณูปสญฺหิตํ สาธุกีฬิตคีตํ วา อสญฺญตภิกฺขูนํ ธมฺมภาณกคีตํ วา อนฺตมโส ทนฺตคีตมฺปิ, ‘‘ยํ คายิสฺสามา’’ติ ปุพฺพภาเค โอกูชนฺตา กโรนฺติ, สพฺพเมตํ คีตเมว, สยํ คายนฺตสฺสปิ คายาเปนฺตสฺสปิ ทุกฺกฎเมวฯ

    25. ‘‘Na, bhikkhave, naccaṃ vā gītaṃ vā vāditaṃ vā dassanāya gantabbaṃ, yo gaccheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 248) vacanato naccādiṃ dassanāya na gantabbaṃ. Ettha (pāci. aṭṭha. 835) ca naccanti naṭādayo vā naccantu soṇḍā vā antamaso morasūvamakkaṭādayopi, sabbametaṃ naccameva, tasmā antamaso moranaccampi dassanāya gacchantassa dukkaṭaṃ. Sayampi naccantassa vā naccāpentassa vā dukkaṭameva. Gītanti naṭādīnaṃ vā gītaṃ hotu ariyānaṃ parinibbānakāle ratanattayaguṇūpasañhitaṃ sādhukīḷitagītaṃ vā asaññatabhikkhūnaṃ dhammabhāṇakagītaṃ vā antamaso dantagītampi, ‘‘yaṃ gāyissāmā’’ti pubbabhāge okūjantā karonti, sabbametaṃ gītameva, sayaṃ gāyantassapi gāyāpentassapi dukkaṭameva.

    ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, อาทีนวา อายตเกน คีตสฺสเรน ธมฺมํ คายนฺตสฺสฯ อตฺตนาปิ ตสฺมิํ สเร สารชฺชติ, ปเรปิ ตสฺมิํ สเร สารชฺชนฺติ, คหปติกาปิ อุชฺฌายนฺติ, สรกุตฺติมฺปิ นิกามยมานสฺส สมาธิสฺส ภโงฺค โหติ, ปจฺฉิมา ชนตา ทิฎฺฐานุคติํ อาปชฺชติฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ อาทีนวา อายตเกน คีตสฺสเรน ธมฺมํ คายนฺตสฺสฯ น, ภิกฺขเว, อายตเกน คีตสฺสเรน ธโมฺม คายิตโพฺพ, โย คาเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๔๙) –

    ‘‘Pañcime, bhikkhave, ādīnavā āyatakena gītassarena dhammaṃ gāyantassa. Attanāpi tasmiṃ sare sārajjati, parepi tasmiṃ sare sārajjanti, gahapatikāpi ujjhāyanti, sarakuttimpi nikāmayamānassa samādhissa bhaṅgo hoti, pacchimā janatā diṭṭhānugatiṃ āpajjati. Ime kho, bhikkhave, pañca ādīnavā āyatakena gītassarena dhammaṃ gāyantassa. Na, bhikkhave, āyatakena gītassarena dhammo gāyitabbo, yo gāyeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 249) –

    วจนโต อายตเกน คีตสฺสเรน ธโมฺมปิ น คายิตโพฺพฯ

    Vacanato āyatakena gītassarena dhammopi na gāyitabbo.

    อายตโก (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๔๙) นาม คีตสฺสโร ตํ ตํ วตฺตํ ภินฺทิตฺวา อกฺขรานิ วินาเสตฺวา ปวโตฺตฯ ธเมฺม ปน สุตฺตนฺตวตฺตํ นาม อตฺถิ, ชาตกวตฺตํ นาม อตฺถิ, คาถาวตฺตํ นาม อตฺถิ, ตํ วินาเสตฺวา อติทีฆํ กาตุํ น วฎฺฎติ, จตุรเสฺสน วเตฺตน ปริมณฺฑลานิ ปทพฺยญฺชนานิ ทเสฺสตพฺพานิฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สรภญฺญ’’นฺติ (จูฬว. ๒๔๙) วจนโต ปน สเรน ธมฺมํ ภณิตุํ วฎฺฎติฯ สรภเญฺญ กิร ตรงฺควตฺตโธตกวตฺตคลิตวตฺตาทีนิ ทฺวตฺติํส วตฺตานิ อตฺถิ, เตสุ ยํ อิจฺฉติ, ตํ กาตุํ ลภติฯ สเพฺพสํ ปทพฺยญฺชนํ อวินาเสตฺวา วิการํ อกตฺวา สมณสารุเปฺปน จตุรเสฺสน นเยน ปวตฺตนํเยว ลกฺขณํฯ

    Āyatako (cūḷava. aṭṭha. 249) nāma gītassaro taṃ taṃ vattaṃ bhinditvā akkharāni vināsetvā pavatto. Dhamme pana suttantavattaṃ nāma atthi, jātakavattaṃ nāma atthi, gāthāvattaṃ nāma atthi, taṃ vināsetvā atidīghaṃ kātuṃ na vaṭṭati, caturassena vattena parimaṇḍalāni padabyañjanāni dassetabbāni. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sarabhañña’’nti (cūḷava. 249) vacanato pana sarena dhammaṃ bhaṇituṃ vaṭṭati. Sarabhaññe kira taraṅgavattadhotakavattagalitavattādīni dvattiṃsa vattāni atthi, tesu yaṃ icchati, taṃ kātuṃ labhati. Sabbesaṃ padabyañjanaṃ avināsetvā vikāraṃ akatvā samaṇasāruppena caturassena nayena pavattanaṃyeva lakkhaṇaṃ.

    วาทิตํ นาม ตนฺติพทฺธาทิวาทนียภณฺฑํ วาทิตํ วา โหตุ กุฎเภริวาทิตํ วา อนฺตมโส อุทกเภริวาทิตมฺปิ, สพฺพเมตํ น วฎฺฎติฯ ยํ ปน นิฎฺฐุภโนฺต วา สาสเงฺก วา ฐิโต อจฺฉริกํ วา โผเฎติ, ปาณิํ วา ปหรติ, ตตฺถ อนาปตฺติ, สพฺพํ อนฺตราราเม ฐิตสฺส ปสฺสโต อนาปตฺติ, ปสฺสิสฺสามีติ วิหารโต วิหารํ คจฺฉนฺตสฺส อาปตฺติเยวฯ อาสนสาลายํ นิสิโนฺน ปสฺสติ, อนาปตฺติฯ ปสฺสิสฺสามีติ อุฎฺฐหิตฺวา คจฺฉโต อาปตฺติ, วีถิยํ ฐตฺวา คีวํ ปริวเตฺตตฺวา ปสฺสโตปิ อาปตฺติเยวฯ สลากภตฺตาทีนํ วา อตฺถาย อเญฺญน วา เกนจิ กรณีเยน คนฺตฺวา คตฎฺฐาเน ปสฺสติ วา สุณาติ วา, อนาปตฺติฯ อาปทาสุ ตาทิเสน อุปทฺทเวน อุปทฺทุโต สมชฺชฎฺฐานํ ปวิสติ, เอวํ ปวิสิตฺวา ปสฺสนฺตสฺส สุณนฺตสฺส วา อนาปตฺติฯ ‘‘เจติยสฺส อุปหารํ เทถ อุปาสกา’’ติ วตฺตุมฺปิ, ‘‘ตุมฺหากํ เจติยสฺส อุปหารํ กโรมา’’ติ วุเตฺต สมฺปฎิจฺฉิตุมฺปิ น ลภติฯ ‘‘ตุมฺหากํ เจติยสฺส อุปฎฺฐานํ กโรมา’’ติ วุเตฺต ปน ‘‘อุปฎฺฐานกรณํ นาม สุนฺทร’’นฺติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ

    Vāditaṃ nāma tantibaddhādivādanīyabhaṇḍaṃ vāditaṃ vā hotu kuṭabherivāditaṃ vā antamaso udakabherivāditampi, sabbametaṃ na vaṭṭati. Yaṃ pana niṭṭhubhanto vā sāsaṅke vā ṭhito accharikaṃ vā phoṭeti, pāṇiṃ vā paharati, tattha anāpatti, sabbaṃ antarārāme ṭhitassa passato anāpatti, passissāmīti vihārato vihāraṃ gacchantassa āpattiyeva. Āsanasālāyaṃ nisinno passati, anāpatti. Passissāmīti uṭṭhahitvā gacchato āpatti, vīthiyaṃ ṭhatvā gīvaṃ parivattetvā passatopi āpattiyeva. Salākabhattādīnaṃ vā atthāya aññena vā kenaci karaṇīyena gantvā gataṭṭhāne passati vā suṇāti vā, anāpatti. Āpadāsu tādisena upaddavena upadduto samajjaṭṭhānaṃ pavisati, evaṃ pavisitvā passantassa suṇantassa vā anāpatti. ‘‘Cetiyassa upahāraṃ detha upāsakā’’ti vattumpi, ‘‘tumhākaṃ cetiyassa upahāraṃ karomā’’ti vutte sampaṭicchitumpi na labhati. ‘‘Tumhākaṃ cetiyassa upaṭṭhānaṃ karomā’’ti vutte pana ‘‘upaṭṭhānakaraṇaṃ nāma sundara’’nti vattuṃ vaṭṭati.

    ๒๖. ‘‘น, ภิกฺขเว, อตฺตโน องฺคชาตํ เฉตพฺพํ, โย ฉิเนฺทยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๑) วจนโต องฺคชาตํ (จูฬว. ๒๕๑) ฉินฺทนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยํ, อญฺญํ ปน กณฺณนาสาองฺคุลิอาทิํ ยํ กิญฺจิ ฉินฺทนฺตสฺส ตาทิสํ วา ทุกฺขํ อุปฺปาเทนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ อหิกีฎทฎฺฐาทีสุ ปน อญฺญาพาธปจฺจยา วา โลหิตํ วา โมเจนฺตสฺส ฉินฺทนฺตสฺส วา อนาปตฺติฯ

    26. ‘‘Na, bhikkhave, attano aṅgajātaṃ chetabbaṃ, yo chindeyya, āpatti thullaccayassā’’ti (cūḷava. 251) vacanato aṅgajātaṃ (cūḷava. 251) chindantassa thullaccayaṃ, aññaṃ pana kaṇṇanāsāaṅguliādiṃ yaṃ kiñci chindantassa tādisaṃ vā dukkhaṃ uppādentassa dukkaṭaṃ. Ahikīṭadaṭṭhādīsu pana aññābādhapaccayā vā lohitaṃ vā mocentassa chindantassa vā anāpatti.

    ๒๗. ‘‘น, ภิกฺขเว, คิหีนํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อิทฺธิปาฎิหาริยํ ทเสฺสตพฺพํ, โย ทเสฺสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๒) วจนโต คิหีนํ วิกุพฺพนิทฺธิํ ทเสฺสตุํ น วฎฺฎติ, อธิฎฺฐานิทฺธิ ปน อปฺปฎิกฺขิตฺตาฯ

    27. ‘‘Na, bhikkhave, gihīnaṃ uttarimanussadhammaṃ iddhipāṭihāriyaṃ dassetabbaṃ, yo dasseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 252) vacanato gihīnaṃ vikubbaniddhiṃ dassetuṃ na vaṭṭati, adhiṭṭhāniddhi pana appaṭikkhittā.

    ๒๘. ‘‘น, ภิกฺขเว, โสวณฺณมโย ปโตฺต ธาเรตโพฺพ…เป.… น รูปิยมโย…เป.… น มณิมโย…เป.… น เวฬุริยมโย…เป.… น ผลิกมโย…เป.… น กํสมโย…เป.… น กาจมโย…เป.… น ติปุมโย …เป.… น สีสมโย…เป.… น ตมฺพโลหมโย ปโตฺต ธาเรตโพฺพ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๒) วจนโต สุวณฺณมยาทิปโตฺต น วฎฺฎติฯ สเจปิ คิหี ภตฺตเคฺค สุวณฺณตฎฺฎิกาทีสุ พฺยญฺชนํ กตฺวา อุปนาเมนฺติ, อามสิตุมฺปิ น วฎฺฎติฯ ผลิกมยกาจมยกํสมยานิ ปน ตฎฺฎิกาทีนิ ภาชนานิ ปุคฺคลิกปริโภเคเนว น วฎฺฎนฺติ, สงฺฆิกปริโภเคน วา คิหิวิกฎานิ วา วฎฺฎนฺติฯ ตมฺพโลหมโยปิ ปโตฺตเยว น วฎฺฎติ, ถาลกํ ปน วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เทฺว ปเตฺต อโยปตฺตํ มตฺติกาปตฺต’’นฺติ (จูฬว. ๒๕๒) เทฺวเยว จ ปตฺตา อนุญฺญาตาฯ

    28. ‘‘Na, bhikkhave, sovaṇṇamayo patto dhāretabbo…pe… na rūpiyamayo…pe… na maṇimayo…pe… na veḷuriyamayo…pe… na phalikamayo…pe… na kaṃsamayo…pe… na kācamayo…pe… na tipumayo …pe… na sīsamayo…pe… na tambalohamayo patto dhāretabbo, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 252) vacanato suvaṇṇamayādipatto na vaṭṭati. Sacepi gihī bhattagge suvaṇṇataṭṭikādīsu byañjanaṃ katvā upanāmenti, āmasitumpi na vaṭṭati. Phalikamayakācamayakaṃsamayāni pana taṭṭikādīni bhājanāni puggalikaparibhogeneva na vaṭṭanti, saṅghikaparibhogena vā gihivikaṭāni vā vaṭṭanti. Tambalohamayopi pattoyeva na vaṭṭati, thālakaṃ pana vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, dve patte ayopattaṃ mattikāpatta’’nti (cūḷava. 252) dveyeva ca pattā anuññātā.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, ตุมฺพกฎาเห ปิณฺฑาย จริตพฺพํ, โย จเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๕) วจนโต ลาพุกฎาหํ ปริหริตุํ น วฎฺฎติ, ตํ ลภิตฺวา ปน ตาวกาลิกํ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ฆฎิกฎาเหปิ เอเสว นโยฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, tumbakaṭāhe piṇḍāya caritabbaṃ, yo careyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 255) vacanato lābukaṭāhaṃ pariharituṃ na vaṭṭati, taṃ labhitvā pana tāvakālikaṃ paribhuñjituṃ vaṭṭati. Ghaṭikaṭāhepi eseva nayo.

    ‘‘น , ภิกฺขเว, ฉวสีสปโตฺต ธาเรตโพฺพ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๕) วจนโต ฉวสีสมโยปิ ปโตฺต น วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na , bhikkhave, chavasīsapatto dhāretabbo, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 255) vacanato chavasīsamayopi patto na vaṭṭati.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปตฺตาธารก’’นฺติ (จูฬว. ๒๕๔) วจนโต ภูมิทารุทณฺฑวอลเวตฺตาทีหิ กเต ภูมิอาธารเก ทารุทณฺฑอาธารเก จ ปตฺตํ ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ เอตฺถ จ ‘‘ภูมิอาธารเก ตโย ทณฺฑาธารเก เทฺว ปเตฺต อุปรูปริ ฐเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน วุตฺตํ ‘‘ภูมิอาธารเก ติณฺณํ ปตฺตานํ อโนกาโส, เทฺว ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ ทารุอาธารกทณฺฑาธารเกสุปิ สุสชฺชิเตสุ เอเสว นโยฯ ภมโกฎิสทิโส ปน ทารุอาธารโก ตีหิ ทณฺฑเกหิ พโทฺธ, ทณฺฑาธารโก จ เอกสฺสปิ ปตฺตสฺส อโนกาโส, ตตฺถ ฐเปตฺวาปิ หเตฺถน คเหตฺวาว นิสีทิตพฺพํ, ภูมิยํ ปน นิกฺกุชฺชิตฺวา เอกเมว ฐเปตพฺพ’’นฺติฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pattādhāraka’’nti (cūḷava. 254) vacanato bhūmidārudaṇḍavaalavettādīhi kate bhūmiādhārake dārudaṇḍaādhārake ca pattaṃ ṭhapetuṃ vaṭṭati. Ettha ca ‘‘bhūmiādhārake tayo daṇḍādhārake dve patte uparūpari ṭhapetuṃ vaṭṭatī’’ti kurundiyaṃ vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana vuttaṃ ‘‘bhūmiādhārake tiṇṇaṃ pattānaṃ anokāso, dve ṭhapetuṃ vaṭṭati. Dāruādhārakadaṇḍādhārakesupi susajjitesu eseva nayo. Bhamakoṭisadiso pana dāruādhārako tīhi daṇḍakehi baddho, daṇḍādhārako ca ekassapi pattassa anokāso, tattha ṭhapetvāpi hatthena gahetvāva nisīditabbaṃ, bhūmiyaṃ pana nikkujjitvā ekameva ṭhapetabba’’nti.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, มิฑฺฒเนฺต ปโตฺต นิกฺขิปิตโพฺพ, โย นิกฺขิเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๔) วจนโต อาลินฺทกมิฑฺฒิกาทีนํ อเนฺต ฐเปตุํ น วฎฺฎติฯ สเจ ปน ปริวเตฺตตฺวา ตเตฺถว ปติฎฺฐาติ, เอวรูปาย วิตฺถิณฺณาย มิฑฺฒิกาย ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, miḍḍhante patto nikkhipitabbo, yo nikkhipeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 254) vacanato ālindakamiḍḍhikādīnaṃ ante ṭhapetuṃ na vaṭṭati. Sace pana parivattetvā tattheva patiṭṭhāti, evarūpāya vitthiṇṇāya miḍḍhikāya ṭhapetuṃ vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, ปริภณฺฑเนฺต ปโตฺต นิกฺขิปิตโพฺพ, โย นิกฺขิเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๔) วจนโต พาหิรปเสฺส กตาย ตนุกมิฑฺฒิกาย อเนฺตปิ เอเสว นโยฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, โจฬก’’นฺติ (จูฬว. ๒๕๔) วจนโต โจฬกํ ปตฺถริตฺวา ตตฺถ ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ ตสฺมิํ ปน อสติ กฎสารเก วา ตฎฺฎิกาย วา มตฺติกาย วา ปริภณฺฑกตาย ภูมิยา ยตฺถ น ทุสฺสติ, ตถารูปาย วาลิกาย วา ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ ปํสุรชาทีสุ ปน ขรภูมิยํ วา ฐเปนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, paribhaṇḍante patto nikkhipitabbo, yo nikkhipeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 254) vacanato bāhirapasse katāya tanukamiḍḍhikāya antepi eseva nayo. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, coḷaka’’nti (cūḷava. 254) vacanato coḷakaṃ pattharitvā tattha ṭhapetuṃ vaṭṭati. Tasmiṃ pana asati kaṭasārake vā taṭṭikāya vā mattikāya vā paribhaṇḍakatāya bhūmiyā yattha na dussati, tathārūpāya vālikāya vā ṭhapetuṃ vaṭṭati. Paṃsurajādīsu pana kharabhūmiyaṃ vā ṭhapentassa dukkaṭaṃ.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, ปโตฺต ลเคฺคตโพฺพ, โย ลเคฺคยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๔) วจนโต นาคทนฺตาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ ลเคฺคตุํ น วฎฺฎติ, จีวรวํเสปิ พนฺธิตฺวา ฐเปตุํ น วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, patto laggetabbo, yo laggeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 254) vacanato nāgadantādīsu yattha katthaci laggetuṃ na vaṭṭati, cīvaravaṃsepi bandhitvā ṭhapetuṃ na vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, มเญฺจ ปโตฺต นิกฺขิปิตโพฺพ, โย นิกฺขิเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๔) วจนโต ภณฺฑกฎฺฐปนตฺถเมว วา กตํ โหตุ นิสีทนสยนตฺถํ วา, ยตฺถ กตฺถจิ มเญฺจ วา ปีเฐ วา ฐเปนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, อเญฺญน ปน ภณฺฑเกน สทฺธิํ พนฺธิตฺวา ฐเปตุํ, อฎนิยํ พนฺธิตฺวา โอลมฺพิตุํ วา วฎฺฎติ, พนฺธิตฺวาปิ อุปริ ฐเปตุํ น วฎฺฎติเยวฯ สเจ ปน มโญฺจ วา ปีฐํ วา อุกฺขิปิตฺวา จีวรวํสาทีสุ อฎฺฎกจฺฉเนฺนน ฐปิตํ โหติ, ตตฺถ ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ อํสวฎฺฎนเกน อํสกูเฎ ลเคฺคตฺวา อเงฺก ฐเปตุํ วฎฺฎติ, ฉเตฺต ภตฺตปูโรปิ อํสกูเฎ ลคฺคิตปโตฺตปิ ฐเปตุํ น วฎฺฎติฯ ภณฺฑเกน ปน สทฺธิํ พนฺธิตฺวา อฎฺฎกํ กตฺวา วา ฐปิเต โย โกจิ ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, mañce patto nikkhipitabbo, yo nikkhipeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 254) vacanato bhaṇḍakaṭṭhapanatthameva vā kataṃ hotu nisīdanasayanatthaṃ vā, yattha katthaci mañce vā pīṭhe vā ṭhapentassa dukkaṭaṃ, aññena pana bhaṇḍakena saddhiṃ bandhitvā ṭhapetuṃ, aṭaniyaṃ bandhitvā olambituṃ vā vaṭṭati, bandhitvāpi upari ṭhapetuṃ na vaṭṭatiyeva. Sace pana mañco vā pīṭhaṃ vā ukkhipitvā cīvaravaṃsādīsu aṭṭakacchannena ṭhapitaṃ hoti, tattha ṭhapetuṃ vaṭṭati. Aṃsavaṭṭanakena aṃsakūṭe laggetvā aṅke ṭhapetuṃ vaṭṭati, chatte bhattapūropi aṃsakūṭe laggitapattopi ṭhapetuṃ na vaṭṭati. Bhaṇḍakena pana saddhiṃ bandhitvā aṭṭakaṃ katvā vā ṭhapite yo koci ṭhapetuṃ vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, ปตฺตหเตฺถน กวาฎํ ปณาเมตพฺพํ, โย ปณาเมยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๕) วจนโต ปตฺตหเตฺถน กวาฎํ น ปณาเมตพฺพํฯ เอตฺถ จ น เกวลํ ยสฺส ปโตฺต หเตฺถ, โส เอว ปตฺตหโตฺถฯ น เกวลญฺจ กวาฎเมว ปณาเมตุํ น ลภติ, อปิจ โข ปน หเตฺถ วา ปิฎฺฐิปาเท วา ยตฺถ ยตฺถจิ สรีราวยเว ปตฺตสฺมิํ สติ หเตฺถน วา ปาเทน วา สีเสน วา เยน เกนจิ สรีราวยเวน กวาฎํ วา ปณาเมตุํ ฆฎิกํ วา อุกฺขิปิตุํ สูจิํ วา กุญฺจิกาย อวาปุริตุํ น ลภติ, อํสกูเฎ ปน ปตฺตํ ลเคฺคตฺวา ยถาสุขํ อวาปุริตุํ ลภติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, pattahatthena kavāṭaṃ paṇāmetabbaṃ, yo paṇāmeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 255) vacanato pattahatthena kavāṭaṃ na paṇāmetabbaṃ. Ettha ca na kevalaṃ yassa patto hatthe, so eva pattahattho. Na kevalañca kavāṭameva paṇāmetuṃ na labhati, apica kho pana hatthe vā piṭṭhipāde vā yattha yatthaci sarīrāvayave pattasmiṃ sati hatthena vā pādena vā sīsena vā yena kenaci sarīrāvayavena kavāṭaṃ vā paṇāmetuṃ ghaṭikaṃ vā ukkhipituṃ sūciṃ vā kuñcikāya avāpurituṃ na labhati, aṃsakūṭe pana pattaṃ laggetvā yathāsukhaṃ avāpurituṃ labhati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, จลกานิ วา อฎฺฐิกานิ วา อุจฺฉิโฎฺฐทกํ วา ปเตฺตน นีหริตพฺพํ, โย นีหเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๕) วจนโต จลกาทีนิ ปเตฺตน นีหริตุํ น วฎฺฎติฯ เอตฺถ จ จลกานีติ จเพฺพตฺวา อปวิทฺธามิสานิฯ อฎฺฐิกานีติ มจฺฉมํสออกานิฯ อุจฺฉิโฎฺฐทกนฺติ มุขวิกฺขาลิโตทกํฯ เอเตสุ ยํ กิญฺจิ ปเตฺตน นีหรนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ ปตฺตํ ปฎิคฺคหํ กตฺวา หตฺถํ โธวิตุมฺปิ น ลภติฯ หตฺถโธตปาทโธตอุทกมฺปิ ปเตฺต อากิริตฺวา นีหริตุํ น วฎฺฎติ, อนุจฺฉิฎฺฐํ สุทฺธปตฺตํ อุจฺฉิฎฺฐหเตฺถน คณฺหิตุํ น วฎฺฎติ, วามหเตฺถน ปเนตฺถ อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา เอกํ อุทกคณฺฑุสํ คเหตฺวา อุจฺฉิฎฺฐหเตฺถน คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ เอตฺตาวตาปิ หิ โส อุจฺฉิฎฺฐปโตฺต โหติ, หตฺถํ ปน พหิอุทเกน วิกฺขาเลตฺวา คเหตุํ วฎฺฎติฯ มจฺฉมํสผลาผลาทีนิ จ ขาทโนฺต ยํ ตตฺถ อฎฺฐิํ วา จลกํ วา ฉเฑฺฑตุกาโม โหติ, ตํ ปเตฺต ฐเปตุํ น ลภติฯ ยํ ปน ปฎิขาทิตุกาโม โหติ, ตํ ปเตฺต ฐเปตุํ ลภติฯ อฎฺฐิกกณฺฎกาทีนิ ตเตฺถว กตฺวา หเตฺถน ลุญฺจิตฺวา ขาทิตุํ วฎฺฎติฯ มุขโต นีหฎํ ปน ยํ กิญฺจิ ปุน ขาทิตุกาโม ปเตฺต ฐเปตุํ น ลภติ, สิงฺคิเวรนาฬิเกรขณฺฑาทีนิ ฑํสิตฺวา ปุน ฐเปตุํ ลภติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, calakāni vā aṭṭhikāni vā ucchiṭṭhodakaṃ vā pattena nīharitabbaṃ, yo nīhareyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 255) vacanato calakādīni pattena nīharituṃ na vaṭṭati. Ettha ca calakānīti cabbetvā apaviddhāmisāni. Aṭṭhikānīti macchamaṃsaaakāni. Ucchiṭṭhodakanti mukhavikkhālitodakaṃ. Etesu yaṃ kiñci pattena nīharantassa dukkaṭaṃ. Pattaṃ paṭiggahaṃ katvā hatthaṃ dhovitumpi na labhati. Hatthadhotapādadhotaudakampi patte ākiritvā nīharituṃ na vaṭṭati, anucchiṭṭhaṃ suddhapattaṃ ucchiṭṭhahatthena gaṇhituṃ na vaṭṭati, vāmahatthena panettha udakaṃ āsiñcitvā ekaṃ udakagaṇḍusaṃ gahetvā ucchiṭṭhahatthena gaṇhituṃ vaṭṭati. Ettāvatāpi hi so ucchiṭṭhapatto hoti, hatthaṃ pana bahiudakena vikkhāletvā gahetuṃ vaṭṭati. Macchamaṃsaphalāphalādīni ca khādanto yaṃ tattha aṭṭhiṃ vā calakaṃ vā chaḍḍetukāmo hoti, taṃ patte ṭhapetuṃ na labhati. Yaṃ pana paṭikhāditukāmo hoti, taṃ patte ṭhapetuṃ labhati. Aṭṭhikakaṇṭakādīni tattheva katvā hatthena luñcitvā khādituṃ vaṭṭati. Mukhato nīhaṭaṃ pana yaṃ kiñci puna khāditukāmo patte ṭhapetuṃ na labhati, siṅgiveranāḷikerakhaṇḍādīni ḍaṃsitvā puna ṭhapetuṃ labhati.

    ๒๙. ‘‘น จ, ภิกฺขเว, สพฺพปํสุกูลิเกน ภวิตพฺพํ, โย ภเวยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๕) วจนโต สพฺพปํสุกูลิเกน น ภวิตพฺพํฯ เอตฺถ ปน จีวรญฺจ มญฺจปีฐญฺจ ปํสุกูลํ วฎฺฎติ, อโชฺฌหรณียํ ปน ทินฺนเมว คเหตพฺพํฯ

    29. ‘‘Na ca, bhikkhave, sabbapaṃsukūlikena bhavitabbaṃ, yo bhaveyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 255) vacanato sabbapaṃsukūlikena na bhavitabbaṃ. Ettha pana cīvarañca mañcapīṭhañca paṃsukūlaṃ vaṭṭati, ajjhoharaṇīyaṃ pana dinnameva gahetabbaṃ.

    ๓๐. ‘‘น , ภิกฺขเว, อทฺธานมคฺคปฺปฎิปเนฺนน ภิกฺขุนา ปริสฺสาวนํ ยาจิยมาเนน น ทาตพฺพํ, โย น ทเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๙) วจนโต อปริสฺสาวนกสฺส (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๕๙) ยาจมานสฺส ปริสฺสาวนํ อทาตุํ น วฎฺฎติฯ โย ปน อตฺตโน หเตฺถ ปริสฺสาวเน วิชฺชมาเนปิ ยาจติ, ตสฺส น อกามา ทาตพฺพํฯ

    30. ‘‘Na , bhikkhave, addhānamaggappaṭipannena bhikkhunā parissāvanaṃ yāciyamānena na dātabbaṃ, yo na dadeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 259) vacanato aparissāvanakassa (cūḷava. aṭṭha. 259) yācamānassa parissāvanaṃ adātuṃ na vaṭṭati. Yo pana attano hatthe parissāvane vijjamānepi yācati, tassa na akāmā dātabbaṃ.

    ‘‘น จ, ภิกฺขเว, อปริสฺสาวนเกน ภิกฺขุนา อทฺธานมโคฺค ปฎิปชฺชิตโพฺพ, โย ปฎิปเชฺชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๙) วจนโต อปริสฺสาวนเกน มโคฺค น คนฺตโพฺพฯ สเจปิ น โหติ ปริสฺสาวนํ วา ธมฺมกรณํ วา, สงฺฆาฎิกโณฺณ อธิฎฺฐาตโพฺพ ‘‘อิมินา ปริสฺสาเวตฺวา ปิวิสฺสามี’’ติฯ

    ‘‘Na ca, bhikkhave, aparissāvanakena bhikkhunā addhānamaggo paṭipajjitabbo, yo paṭipajjeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 259) vacanato aparissāvanakena maggo na gantabbo. Sacepi na hoti parissāvanaṃ vā dhammakaraṇaṃ vā, saṅghāṭikaṇṇo adhiṭṭhātabbo ‘‘iminā parissāvetvā pivissāmī’’ti.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทณฺฑปริสฺสาวน’’นฺติ (จูฬว. ๒๕๙) วจนโต ทณฺฑปริสฺสาวนมฺปิ วฎฺฎติฯ ทณฺฑปริสฺสาวนํ นาม ยตฺถ รชกานํ ขารปริสฺสาวนํ วิย จตูสุ ปาเทสุ พทฺธนิเสฺสณิกาย สาฎกํ พนฺธิตฺวา มเชฺฌ ทณฺฑเก อุทกํ อาสิญฺจนฺติ, ตํ อุโภปิ โกฎฺฐาเส ปูเรตฺวา ปริสฺสาวติฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, daṇḍaparissāvana’’nti (cūḷava. 259) vacanato daṇḍaparissāvanampi vaṭṭati. Daṇḍaparissāvanaṃ nāma yattha rajakānaṃ khāraparissāvanaṃ viya catūsu pādesu baddhanisseṇikāya sāṭakaṃ bandhitvā majjhe daṇḍake udakaṃ āsiñcanti, taṃ ubhopi koṭṭhāse pūretvā parissāvati.

    ‘‘อนุชานามิ , ภิกฺขเว, โอตฺถรก’’นฺติ (จูฬว. ๒๕๙) วจนโต โอตฺถรกํ ปริสฺสาวนมฺปิ วฎฺฎติฯ โอตฺถรกํ นาม ยํ อุทเก โอตฺถริตฺวา ฆฎเกน อุทกํ คณฺหนฺติ, ตญฺหิ จตูสุ ทณฺฑเกสุ วตฺถํ พนฺธิตฺวา อุทเก จตฺตาโร ขาณุเก นิขนิตฺวา เตสุ พนฺธิตฺวา สพฺพปริยเนฺต อุทกโต โมเจตฺวา มเชฺฌ โอตฺถริตฺวา ฆเฎน อุทกํ คณฺหนฺติฯ

    ‘‘Anujānāmi , bhikkhave, ottharaka’’nti (cūḷava. 259) vacanato ottharakaṃ parissāvanampi vaṭṭati. Ottharakaṃ nāma yaṃ udake ottharitvā ghaṭakena udakaṃ gaṇhanti, tañhi catūsu daṇḍakesu vatthaṃ bandhitvā udake cattāro khāṇuke nikhanitvā tesu bandhitvā sabbapariyante udakato mocetvā majjhe ottharitvā ghaṭena udakaṃ gaṇhanti.

    ๓๑. ‘‘น, ภิกฺขเว, นเคฺคน นโคฺค อภิวาเทตโพฺพ, โย อภิวาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิวจนโต (จูฬว. ๒๖๑) น นเคฺคน นโคฺค อภิวาเทตโพฺพ, น นเคฺคน อภิวาเทตพฺพํ, น นเคฺคน นโคฺค อภิวาทาเปตโพฺพ, น นเคฺคน อภิวาทาเปตพฺพํ, น นเคฺคน นคฺคสฺส ปริกมฺมํ กาตพฺพํ, น นเคฺคน นคฺคสฺส ทาตพฺพํ, น นเคฺคน ปฎิคฺคเหตพฺพํ, น นเคฺคน ขาทิตพฺพํ, น นเคฺคน ภุญฺชิตพฺพํ, น นเคฺคน สายิตพฺพํ, น นเคฺคน ปาตพฺพํฯ

    31. ‘‘Na, bhikkhave, naggena naggo abhivādetabbo, yo abhivādeyya, āpatti dukkaṭassā’’tiādivacanato (cūḷava. 261) na naggena naggo abhivādetabbo, na naggena abhivādetabbaṃ, na naggena naggo abhivādāpetabbo, na naggena abhivādāpetabbaṃ, na naggena naggassa parikammaṃ kātabbaṃ, na naggena naggassa dātabbaṃ, na naggena paṭiggahetabbaṃ, na naggena khāditabbaṃ, na naggena bhuñjitabbaṃ, na naggena sāyitabbaṃ, na naggena pātabbaṃ.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติโสฺส ปฎิจฺฉาทิโย ชนฺตาฆรปฎิจฺฉาทิํ อุทกปฎิจฺฉาทิํ วตฺถปฎิจฺฉาทิ’’นฺติ (จูฬว. ๒๖๑) วจนโต ติโสฺส ปฎิจฺฉาทิโย วฎฺฎนฺติฯ เอตฺถ จ ชนฺตาฆรปฎิจฺฉาทิ อุทกปฎิจฺฉาทิ จ ปริกมฺมํ กโรนฺตเสฺสว วฎฺฎติ, เสเสสุ อภิวาทนาทีสุ น วฎฺฎติฯ วตฺถปฎิจฺฉาทิ ปน สพฺพกเมฺมสุ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, tisso paṭicchādiyo jantāgharapaṭicchādiṃ udakapaṭicchādiṃ vatthapaṭicchādi’’nti (cūḷava. 261) vacanato tisso paṭicchādiyo vaṭṭanti. Ettha ca jantāgharapaṭicchādi udakapaṭicchādi ca parikammaṃ karontasseva vaṭṭati, sesesu abhivādanādīsu na vaṭṭati. Vatthapaṭicchādi pana sabbakammesu vaṭṭati.

    ๓๒. ‘‘น , ภิกฺขเว, ปุปฺผาภิกิเณฺณสุ สยเนสุ สยิตพฺพํ, โย สเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๖๔) วจนโต ปุเปฺผหิ สนฺถเตสุ สยเนสุ น สยิตพฺพํ, คนฺธคนฺธํ ปน คเหตฺวา กวาเฎ ปญฺจงฺคุลิํ ทาตุํ วฎฺฎติ ปุปฺผํ คเหตฺวา วิหาเร เอกมนฺตํ นิกฺขิปิตุํฯ

    32. ‘‘Na , bhikkhave, pupphābhikiṇṇesu sayanesu sayitabbaṃ, yo saseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 264) vacanato pupphehi santhatesu sayanesu na sayitabbaṃ, gandhagandhaṃ pana gahetvā kavāṭe pañcaṅguliṃ dātuṃ vaṭṭati pupphaṃ gahetvā vihāre ekamantaṃ nikkhipituṃ.

    ๓๓. ‘‘น, ภิกฺขเว, อาสิตฺตกูปธาเน ภุญฺชิตพฺพํ, โย ภุเญฺชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๖๔) วจนโต อาสิตฺตกูปธาเน ฐเปตฺวา น ภุญฺชิตพฺพํฯ อาสิตฺตกูปธานนฺติ ตมฺพโลเหน วา รชเตน วา กตาย เปฬาย เอตํ อธิวจนํ, ปฎิกฺขิตฺตตฺตา ปน ทารุมยาปิ น วฎฺฎติฯ

    33. ‘‘Na, bhikkhave, āsittakūpadhāne bhuñjitabbaṃ, yo bhuñjeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 264) vacanato āsittakūpadhāne ṭhapetvā na bhuñjitabbaṃ. Āsittakūpadhānanti tambalohena vā rajatena vā katāya peḷāya etaṃ adhivacanaṃ, paṭikkhittattā pana dārumayāpi na vaṭṭati.

    ๓๔. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, มโฬริก’’นฺติ (จูฬว. ๒๖๔) วจนโต มโฬริกาย ฐเปตฺวา ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ มโฬริกาติ ทณฺฑาธารโก วุจฺจติฯ ยฎฺฐิอาธารกปณฺณาธารกปจฺฉิกปีฐาทีนิปิ เอเตฺถว ปวิฎฺฐานิฯ อาธารกสเงฺขปคมนโต หิ ปฎฺฐาย ฉิทฺทํ วิทฺธมฺปิ อวิทฺธมฺปิ วฎฺฎติเยวฯ

    34. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, maḷorika’’nti (cūḷava. 264) vacanato maḷorikāya ṭhapetvā bhuñjituṃ vaṭṭati. Maḷorikāti daṇḍādhārako vuccati. Yaṭṭhiādhārakapaṇṇādhārakapacchikapīṭhādīnipi ettheva paviṭṭhāni. Ādhārakasaṅkhepagamanato hi paṭṭhāya chiddaṃ viddhampi aviddhampi vaṭṭatiyeva.

    ๓๕. ‘‘น , ภิกฺขเว, เอกภาชเน ภุญฺชิตพฺพํ, โย ภุเญฺชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ(จูฬว. ๒๖๔) อาทิวจนโต น เอกภาชเน ภุญฺชิตพฺพํ, น เอกถาลเก ปาตพฺพํฯ สเจ ปน เอโก ภิกฺขุ ภาชนโต ผลํ วา ปูปํ วา คเหตฺวา คจฺฉติ, ตสฺมิํ อปคเต อิตรสฺส เสสกํ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, อิตรสฺสปิ ตสฺมิํ ขีเณ ปุน คเหตุํ วฎฺฎติฯ

    35. ‘‘Na , bhikkhave, ekabhājane bhuñjitabbaṃ, yo bhuñjeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti(cūḷava. 264) ādivacanato na ekabhājane bhuñjitabbaṃ, na ekathālake pātabbaṃ. Sace pana eko bhikkhu bhājanato phalaṃ vā pūpaṃ vā gahetvā gacchati, tasmiṃ apagate itarassa sesakaṃ bhuñjituṃ vaṭṭati, itarassapi tasmiṃ khīṇe puna gahetuṃ vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, เอกมเญฺจ ตุวฎฺฎิตพฺพํ, โย ตุวเฎฺฎยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ(จูฬว. ๒๖๔) อาทิวจนโต น เอกมเญฺจ นิปชฺชิตพฺพํ, น เอกตฺถรเณ นิปชฺชิตพฺพํฯ ววตฺถานํ ปน ทเสฺสตฺวา มเชฺฌ กาสาวํ วา กตฺตรยฎฺฐิํ วา อนฺตมโส กายพนฺธนมฺปิ ฐเปตฺวา นิปชฺชนฺตานํ อนาปตฺติฯ เอกปาวุรเณหิ เอกตฺถรณปาวุรเณหิ จ น นิปชฺชิตพฺพํฯ เอกํ อตฺถรณเญฺจว ปาวุรณญฺจ เอเตสนฺติ เอกตฺถรณปาวุรณาฯ สํหาริมานํ ปาวารตฺถรณกฎสารกาทีนํ เอกํ อนฺตํ อตฺถริตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา นิปชฺชนฺตานเมตํ อธิวจนํฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, ekamañce tuvaṭṭitabbaṃ, yo tuvaṭṭeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti(cūḷava. 264) ādivacanato na ekamañce nipajjitabbaṃ, na ekattharaṇe nipajjitabbaṃ. Vavatthānaṃ pana dassetvā majjhe kāsāvaṃ vā kattarayaṭṭhiṃ vā antamaso kāyabandhanampi ṭhapetvā nipajjantānaṃ anāpatti. Ekapāvuraṇehi ekattharaṇapāvuraṇehi ca na nipajjitabbaṃ. Ekaṃ attharaṇañceva pāvuraṇañca etesanti ekattharaṇapāvuraṇā. Saṃhārimānaṃ pāvārattharaṇakaṭasārakādīnaṃ ekaṃ antaṃ attharitvā ekaṃ pārupitvā nipajjantānametaṃ adhivacanaṃ.

    ๓๖. ‘‘น, ภิกฺขเว, เจลปฺปฎิกา อกฺกมิตพฺพา, โย อกฺกเมยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๖๘) วจนโต น เจลสนฺถาโร อกฺกมิตโพฺพ, ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิหีนํ มงฺคลตฺถาย ยาจิยมาเนน เจลปฺปฎิกํ อกฺกมิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๖๘) วจนโต ปน กาจิ อิตฺถี (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๖๘) อปคตคพฺภา วา โหติ ครุคพฺภา วา, เอวรูเปสุ ฐาเนสุ มงฺคลตฺถาย ยาจิยมาเนน อกฺกมิตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, โธตปาทกํ อกฺกมิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๖๘) วจนโต ปาทโธวนฎฺฐาเน โธเตหิ ปาเทหิ อกฺกมนตฺถาย อตฺถตปจฺจตฺถรณํ อกฺกมิตุํ วฎฺฎติฯ

    36. ‘‘Na, bhikkhave, celappaṭikā akkamitabbā, yo akkameyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 268) vacanato na celasanthāro akkamitabbo, ‘‘anujānāmi, bhikkhave, gihīnaṃ maṅgalatthāya yāciyamānena celappaṭikaṃ akkamitu’’nti (cūḷava. 268) vacanato pana kāci itthī (cūḷava. aṭṭha. 268) apagatagabbhā vā hoti garugabbhā vā, evarūpesu ṭhānesu maṅgalatthāya yāciyamānena akkamituṃ vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, dhotapādakaṃ akkamitu’’nti (cūḷava. 268) vacanato pādadhovanaṭṭhāne dhotehi pādehi akkamanatthāya atthatapaccattharaṇaṃ akkamituṃ vaṭṭati.

    ๓๗. ‘‘น, ภิกฺขเว, กตกํ ปริภุญฺชิตพฺพํ, โย ปริภุเญฺชยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๖๙) วจนโต กตกํ น วฎฺฎติฯ กตกํ นาม ปทุมกณฺณิกาการํ ปาทฆํสนตฺถํ กณฺฎเก อุฎฺฐาเปตฺวา กตํฯ ตํ วฎฺฎํ วา โหตุ จตุรสฺสาทิเภทํ วา, พาหุลิกานุโยคตฺตา ปฎิกฺขิตฺตเมว, เนว ปฎิคฺคเหตุํ, น ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติโสฺส ปาทฆํสนิโย สกฺขรํ กถลํ สมุทฺทเผณก’’นฺติ (จูฬว. ๒๖๙) วจนโต สกฺขราทีหิ ปาทฆํสนํ วฎฺฎติฯ สกฺขราติ ปาสาโณ วุจฺจติ, ปาสาณเผณโกปิ วฎฺฎติเยวฯ

    37. ‘‘Na, bhikkhave, katakaṃ paribhuñjitabbaṃ, yo paribhuñjeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 269) vacanato katakaṃ na vaṭṭati. Katakaṃ nāma padumakaṇṇikākāraṃ pādaghaṃsanatthaṃ kaṇṭake uṭṭhāpetvā kataṃ. Taṃ vaṭṭaṃ vā hotu caturassādibhedaṃ vā, bāhulikānuyogattā paṭikkhittameva, neva paṭiggahetuṃ, na paribhuñjituṃ vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, tisso pādaghaṃsaniyo sakkharaṃ kathalaṃ samuddapheṇaka’’nti (cūḷava. 269) vacanato sakkharādīhi pādaghaṃsanaṃ vaṭṭati. Sakkharāti pāsāṇo vuccati, pāsāṇapheṇakopi vaṭṭatiyeva.

    ๓๘. ‘‘น , ภิกฺขเว, จามริพีชนี ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๖๙) วจนโต จามริวาเลหิ กตพีชนี น วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, มกสพีชนิํฯ อนุชานามิ ภิกฺขเว ติโสฺส พีชนิโย วากมยํ อุสีรมยํ โมรปิญฺฉมยํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, วิธูปนญฺจ ตาลวณฺฎญฺจา’’ติ (จูฬว. ๒๖๙) วจนโต มกสพีชนีอาทิ วฎฺฎติฯ ตตฺถ วิธูปนนฺติ พีชนี วุจฺจติฯ ตาลวณฺฎํ ปน ตาลปเณฺณหิ วา กตํ โหตุ เวฬุทนฺตวิลีเวหิ วา โมรปิเญฺฉหิ วา จมฺมวิกตีหิ วา, สพฺพํ วฎฺฎติฯ มกสพีชนี ทนฺตมยวิสาณมยทณฺฑกาปิ วฎฺฎติฯ วากมยพีชนิยา เกตกปาโรหกุนฺตาลปณฺณาทิมยาปิ สงฺคหิตาฯ

    38. ‘‘Na , bhikkhave, cāmaribījanī dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 269) vacanato cāmarivālehi katabījanī na vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, makasabījaniṃ. Anujānāmi bhikkhave tisso bījaniyo vākamayaṃ usīramayaṃ morapiñchamayaṃ. Anujānāmi, bhikkhave, vidhūpanañca tālavaṇṭañcā’’ti (cūḷava. 269) vacanato makasabījanīādi vaṭṭati. Tattha vidhūpananti bījanī vuccati. Tālavaṇṭaṃ pana tālapaṇṇehi vā kataṃ hotu veḷudantavilīvehi vā morapiñchehi vā cammavikatīhi vā, sabbaṃ vaṭṭati. Makasabījanī dantamayavisāṇamayadaṇḍakāpi vaṭṭati. Vākamayabījaniyā ketakapārohakuntālapaṇṇādimayāpi saṅgahitā.

    ๓๙. ‘‘น, ภิกฺขเว, ฉตฺตํ ธาเรตพฺพํ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลานสฺส ฉตฺต’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๐) วจนโต อคิลาเนน ฉตฺตํ น ธาเรตพฺพํฯ ยสฺส ปน กายฑาโห วา ปิตฺตโกโป วา โหติ จกฺขุ วา ทุพฺพลํ, อโญฺญ วา โกจิ อาพาโธ วินา ฉเตฺตน อุปฺปชฺชติ, ตสฺส คาเม วา อรเญฺญ วา ฉตฺตํ วฎฺฎติฯ วเสฺส ปน จีวรคุตฺตตฺถมฺปิ วาฬมิคโจรภเยสุ อตฺตคุตฺตตฺถมฺปิ วฎฺฎติ, เอกปณฺณจฺฉตฺตํ ปน สพฺพเตฺถว วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อคิลาเนนปิ อาราเม อารามูปจาเร ฉตฺตํ ธาเรตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๐) วจนโต ปน อคิลานสฺสปิ อารามอารามูปจาเรสุ ฉตฺตํ ธาเรตุํ วฎฺฎติฯ

    39. ‘‘Na, bhikkhave, chattaṃ dhāretabbaṃ, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, gilānassa chatta’’nti (cūḷava. 270) vacanato agilānena chattaṃ na dhāretabbaṃ. Yassa pana kāyaḍāho vā pittakopo vā hoti cakkhu vā dubbalaṃ, añño vā koci ābādho vinā chattena uppajjati, tassa gāme vā araññe vā chattaṃ vaṭṭati. Vasse pana cīvaraguttatthampi vāḷamigacorabhayesu attaguttatthampi vaṭṭati, ekapaṇṇacchattaṃ pana sabbattheva vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, agilānenapi ārāme ārāmūpacāre chattaṃ dhāretu’’nti (cūḷava. 270) vacanato pana agilānassapi ārāmaārāmūpacāresu chattaṃ dhāretuṃ vaṭṭati.

    ๔๐. ‘‘น, ภิกฺขเว, ทีฆา นขา ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ , ภิกฺขเว, มํสปฺปมาเณน นขํ ฉินฺทิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๔) วจนโต ทีฆา นขา ฉินฺทิตพฺพาฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, วีสติมฎฺฐํ การาเปตพฺพํ, โย การาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, มลมตฺตํ อปกฑฺฒิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๔) วจนโต วีสติปิ นเข ลิขิตมเฎฺฐ การาเปตุํ น วฎฺฎติ, นขโต มลมตฺตํ ปน อปกฑฺฒิตุํ วฎฺฎติฯ

    40. ‘‘Na, bhikkhave, dīghā nakhā dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi , bhikkhave, maṃsappamāṇena nakhaṃ chinditu’’nti (cūḷava. 274) vacanato dīghā nakhā chinditabbā. ‘‘Na, bhikkhave, vīsatimaṭṭhaṃ kārāpetabbaṃ, yo kārāpeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, malamattaṃ apakaḍḍhitu’’nti (cūḷava. 274) vacanato vīsatipi nakhe likhitamaṭṭhe kārāpetuṃ na vaṭṭati, nakhato malamattaṃ pana apakaḍḍhituṃ vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, สมฺพาเธ โลมํ สํหราเปตพฺพํ, โย สํหราเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาพาธปจฺจยา สมฺพาเธ โลมํ สํหราเปตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๕) วจนโต คณฺฑวณาทิอาพาธํ วินา สมฺพาเธ โลมํ สํหราเปตุํ น วฎฺฎติฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, ทีฆํ นาสิกาโลมํ ธาเรตพฺพํ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๗๕) วจนโต สณฺฑาเสน นาสิกาโลมํ สํหราเปตุํ วฎฺฎติฯ สกฺขราทีหิ นาสิกาโลมํ คาหาปเนปิ อาปตฺติ นตฺถิ, อนุรกฺขณตฺถํ ปน ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สณฺฑาส’’นฺติ (จูฬว. ๒๗๕) สณฺฑาโส อนุญฺญาโตฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, ปลิตํ คาหาเปตพฺพํ, โย คาหาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๗๕) วจนโต ปลิตํ คาหาเปตุํ น วฎฺฎติฯ ยํ ปน ภมุกาย วา นลาเฎ วา ทาฐิกาย วา อุคฺคนฺตฺวา พีภจฺฉํ หุตฺวา ฐิตํ, ตาทิสํ โลมํ ปลิตํ วา อปลิตํ วา คาหาเปตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, sambādhe lomaṃ saṃharāpetabbaṃ, yo saṃharāpeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, ābādhapaccayā sambādhe lomaṃ saṃharāpetu’’nti (cūḷava. 275) vacanato gaṇḍavaṇādiābādhaṃ vinā sambādhe lomaṃ saṃharāpetuṃ na vaṭṭati. ‘‘Na, bhikkhave, dīghaṃ nāsikālomaṃ dhāretabbaṃ, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 275) vacanato saṇḍāsena nāsikālomaṃ saṃharāpetuṃ vaṭṭati. Sakkharādīhi nāsikālomaṃ gāhāpanepi āpatti natthi, anurakkhaṇatthaṃ pana ‘‘anujānāmi, bhikkhave, saṇḍāsa’’nti (cūḷava. 275) saṇḍāso anuññāto. ‘‘Na, bhikkhave, palitaṃ gāhāpetabbaṃ, yo gāhāpeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 275) vacanato palitaṃ gāhāpetuṃ na vaṭṭati. Yaṃ pana bhamukāya vā nalāṭe vā dāṭhikāya vā uggantvā bībhacchaṃ hutvā ṭhitaṃ, tādisaṃ lomaṃ palitaṃ vā apalitaṃ vā gāhāpetuṃ vaṭṭati.

    ๔๑. ‘‘น, ภิกฺขเว, อกายพนฺธเนน คาโม ปวิสิตโพฺพ, โย ปวิเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๗๘) วจนโต อกายพนฺธเนน คาโม น ปวิสิตโพฺพ, อพนฺธิตฺวา นิกฺขมเนฺตน ยตฺถ สรติ, ตตฺถ พนฺธิตพฺพํฯ ‘‘อาสนสาลาย พนฺธิสฺสามี’’ติ คนฺตุํ วฎฺฎติ, สริตฺวา ยาว น พนฺธติ, น ตาว ปิณฺฑาย จริตพฺพํฯ

    41. ‘‘Na, bhikkhave, akāyabandhanena gāmo pavisitabbo, yo paviseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 278) vacanato akāyabandhanena gāmo na pavisitabbo, abandhitvā nikkhamantena yattha sarati, tattha bandhitabbaṃ. ‘‘Āsanasālāya bandhissāmī’’ti gantuṃ vaṭṭati, saritvā yāva na bandhati, na tāva piṇḍāya caritabbaṃ.

    ๔๒. ‘‘น, ภิกฺขเว, คิหินิวตฺถํ นิวาเสตพฺพํ, โย นิวาเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ(จูฬว. ๒๘๐) อาทิวจนโต หตฺถิโสณฺฑาทิวเสน คิหินิวตฺถํ น นิวาเสตพฺพํ, เสตปฎปารุตาทิวเสน น คิหิปารุตํ ปารุปิตพฺพํ, มลฺลกมฺมกราทโย วิย กจฺฉํ พนฺธิตฺวา น นิวาเสตพฺพํฯ เอวํ นิวาเสตุํ คิลานสฺสปิ มคฺคปฺปฎิปนฺนสฺสปิ น วฎฺฎติฯ ยมฺปิ มคฺคํ คจฺฉนฺตา เอกํ วา เทฺว วา โกเณ อุกฺขิปิตฺวา อนฺตรวาสกสฺส อุปริ ลคฺคนฺติ, อโนฺต วา เอกํ กาสาวํ ตถา นิวาเสตฺวา พหิ อปรํ นิวาเสนฺติ, สพฺพํ น วฎฺฎติฯ คิลาโน ปน อโนฺตกาสาวสฺส โอวฎฺฎิกํ ทเสฺสตฺวา อปรํ อุปริ นิวาเสตุํ ลภติ, อคิลาเนน เทฺว นิวาเสเนฺตน สคุณํ กตฺวา นิวาเสตพฺพานิฯ

    42. ‘‘Na, bhikkhave, gihinivatthaṃ nivāsetabbaṃ, yo nivāseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti(cūḷava. 280) ādivacanato hatthisoṇḍādivasena gihinivatthaṃ na nivāsetabbaṃ, setapaṭapārutādivasena na gihipārutaṃ pārupitabbaṃ, mallakammakarādayo viya kacchaṃ bandhitvā na nivāsetabbaṃ. Evaṃ nivāsetuṃ gilānassapi maggappaṭipannassapi na vaṭṭati. Yampi maggaṃ gacchantā ekaṃ vā dve vā koṇe ukkhipitvā antaravāsakassa upari lagganti, anto vā ekaṃ kāsāvaṃ tathā nivāsetvā bahi aparaṃ nivāsenti, sabbaṃ na vaṭṭati. Gilāno pana antokāsāvassa ovaṭṭikaṃ dassetvā aparaṃ upari nivāsetuṃ labhati, agilānena dve nivāsentena saguṇaṃ katvā nivāsetabbāni.

    ๔๓. ‘‘น , ภิกฺขเว, อุภโตกาชํ หริตพฺพํ, โย หเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๘๑) วจนโต อุภโตกาชํ หริตุํ น วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เอกโตกาชํ อนฺตรากาชํ สีสภารํ ขนฺธภารํ กฎิภารํ โอลมฺพก’’นฺติ วจนโต เอกโตกาชาทิํ หริตุํ วฎฺฎติฯ

    43. ‘‘Na , bhikkhave, ubhatokājaṃ haritabbaṃ, yo hareyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 281) vacanato ubhatokājaṃ harituṃ na vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ekatokājaṃ antarākājaṃ sīsabhāraṃ khandhabhāraṃ kaṭibhāraṃ olambaka’’nti vacanato ekatokājādiṃ harituṃ vaṭṭati.

    ๔๔. ‘‘น, ภิกฺขเว, ทีฆํ ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตพฺพํ, โย ขาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๘๒) วจนโต น ทีฆํ ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตพฺพํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อฎฺฐงฺคุลปรมํ ทนฺตกฎฺฐํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, จตุรงฺคุลปจฺฉิมํ ทนฺตกฎฺฐ’’นฺติ (จูฬว. ๒๘๒) วจนโต มนุสฺสานํ ปมาณงฺคุเลน อฎฺฐงฺคุลปรมํ จตุรงฺคุลปจฺฉิมญฺจ ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตพฺพํฯ

    44. ‘‘Na, bhikkhave, dīghaṃ dantakaṭṭhaṃ khāditabbaṃ, yo khādeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 282) vacanato na dīghaṃ dantakaṭṭhaṃ khāditabbaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, aṭṭhaṅgulaparamaṃ dantakaṭṭhaṃ. Anujānāmi, bhikkhave, caturaṅgulapacchimaṃ dantakaṭṭha’’nti (cūḷava. 282) vacanato manussānaṃ pamāṇaṅgulena aṭṭhaṅgulaparamaṃ caturaṅgulapacchimañca dantakaṭṭhaṃ khāditabbaṃ.

    ๔๕. ‘‘น, ภิกฺขเว, รุโกฺข อภิรุหิตโพฺพ, โย อภิรุเหยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สติ กรณีเย โปริสํ รุกฺขํ อภิรุหิตุํ อาปทาสุ ยาวทตฺถ’’นฺติ (จูฬว. ๒๘๔) วจนโต น รุกฺขํ อภิรุหิตพฺพํ, สุกฺขกฎฺฐคหณาทิกิเจฺจ ปน สติ ปุริสปฺปมาณํ อภิรุหิตุํ วฎฺฎติฯ อาปทาสูติ วาฬมิคาทโย วา ทิสฺวา มคฺคมูโฬฺห วา ทิสา โอโลเกตุกาโม หุตฺวา ทวฑาหํ วา อุทโกฆํ วา อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อติอุจฺจมฺปิ รุกฺขํ อาโรหิตุํ วฎฺฎติฯ

    45. ‘‘Na, bhikkhave, rukkho abhiruhitabbo, yo abhiruheyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, sati karaṇīye porisaṃ rukkhaṃ abhiruhituṃ āpadāsu yāvadattha’’nti (cūḷava. 284) vacanato na rukkhaṃ abhiruhitabbaṃ, sukkhakaṭṭhagahaṇādikicce pana sati purisappamāṇaṃ abhiruhituṃ vaṭṭati. Āpadāsūti vāḷamigādayo vā disvā maggamūḷho vā disā oloketukāmo hutvā davaḍāhaṃ vā udakoghaṃ vā āgacchantaṃ disvā atiuccampi rukkhaṃ ārohituṃ vaṭṭati.

    ๔๖. ‘‘น, ภิกฺขเว, พุทฺธวจนํ ฉนฺทโส อาโรเปตพฺพํ, โย อาโรเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สกาย นิรุตฺติยา พุทฺธวจนํ ปริยาปุณิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๘๕) วจนโต เวทํ วิย พุทฺธวจนํ สกฺกฎภาสาย วาจนามคฺคํ อาโรเจตุํ น วฎฺฎติ, สกาย ปน มาคธิกาย นิรุตฺติยา ปริยาปุณิตพฺพํฯ

    46. ‘‘Na, bhikkhave, buddhavacanaṃ chandaso āropetabbaṃ, yo āropeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, sakāya niruttiyā buddhavacanaṃ pariyāpuṇitu’’nti (cūḷava. 285) vacanato vedaṃ viya buddhavacanaṃ sakkaṭabhāsāya vācanāmaggaṃ ārocetuṃ na vaṭṭati, sakāya pana māgadhikāya niruttiyā pariyāpuṇitabbaṃ.

    ๔๗. ‘‘น, ภิกฺขเว, โลกายตํ ปริยาปุณิตพฺพํ, โย ปริยาปุเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ(จอูฬว. ๒๘๖) อาทิวจนโต โลกายตสงฺขาตํ ‘‘สพฺพํ อุจฺฉิฎฺฐํ, สพฺพํ อนุจฺฉิฎฺฐํ, เสโต กาโก, กาโฬ พโก อิมินา จ อิมินา จ การเณนา’’ติ เอวมาทินิรตฺถกการณปฎิสํยุตฺตํ ติตฺถิยสตฺถํ เนว ปริยาปุณิตพฺพํ, น ปรสฺส วาเจตพฺพํฯ น จ ติรจฺฉานวิชฺชา ปริยาปุณิตพฺพา, น ปรสฺส วาเจตพฺพาฯ

    47. ‘‘Na, bhikkhave, lokāyataṃ pariyāpuṇitabbaṃ, yo pariyāpuṇeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti(caūḷava. 286) ādivacanato lokāyatasaṅkhātaṃ ‘‘sabbaṃ ucchiṭṭhaṃ, sabbaṃ anucchiṭṭhaṃ, seto kāko, kāḷo bako iminā ca iminā ca kāraṇenā’’ti evamādiniratthakakāraṇapaṭisaṃyuttaṃ titthiyasatthaṃ neva pariyāpuṇitabbaṃ, na parassa vācetabbaṃ. Na ca tiracchānavijjā pariyāpuṇitabbā, na parassa vācetabbā.

    ๔๘. ‘‘น, ภิกฺขเว, ขิปิเต ‘ชีวา’ติ วตฺตโพฺพ, โย วเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ , ภิกฺขเว, คิหีนํ ‘ชีวถ ภเนฺต’ติ วุจฺจมาเนน ‘จิรํ ชีวา’ติ วตฺตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๘๘) วจนโต ขิปิเต ‘‘ชีวา’’ติ น วตฺตพฺพํ, คิหินา ปน ‘‘ชีวถา’’ติ วุจฺจมาเนน ‘‘จิรํ ชีวา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ

    48. ‘‘Na, bhikkhave, khipite ‘jīvā’ti vattabbo, yo vadeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi , bhikkhave, gihīnaṃ ‘jīvatha bhante’ti vuccamānena ‘ciraṃ jīvā’ti vattu’’nti (cūḷava. 288) vacanato khipite ‘‘jīvā’’ti na vattabbaṃ, gihinā pana ‘‘jīvathā’’ti vuccamānena ‘‘ciraṃ jīvā’’ti vattuṃ vaṭṭati.

    ๔๙. ‘‘น, ภิกฺขเว, ลสุณํ ขาทิตพฺพํ, โย ขาเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาพาธปจฺจยา ลสุณํ ขาทิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๒๘๙) วจนโต อาพาธํ วินา ลสุณํ ขาทิตุํ น วฎฺฎติ, สูปสมฺปากาทีสุ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๗๙๗) ปกฺขิตฺตํ ปน วฎฺฎติฯ ตญฺหิ ปจฺจมาเนสุ มุคฺคสูปาทีสุ วา มจฺฉมํสวิกติยา วา เตเล วา พทรสาฬวาทีสุ วา อมฺพิลสากาทีสุ วา อุตฺตริภเงฺคสุ วา ยตฺถ กตฺถจิ อนฺตมโส ยาคุภเตฺตปิ ปกฺขิตฺตํ วฎฺฎติฯ

    49. ‘‘Na, bhikkhave, lasuṇaṃ khāditabbaṃ, yo khādeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, ābādhapaccayā lasuṇaṃ khāditu’’nti (cūḷava. 289) vacanato ābādhaṃ vinā lasuṇaṃ khādituṃ na vaṭṭati, sūpasampākādīsu (pāci. aṭṭha. 797) pakkhittaṃ pana vaṭṭati. Tañhi paccamānesu muggasūpādīsu vā macchamaṃsavikatiyā vā tele vā badarasāḷavādīsu vā ambilasākādīsu vā uttaribhaṅgesu vā yattha katthaci antamaso yāgubhattepi pakkhittaṃ vaṭṭati.

    ๕๐. ‘‘น, ภิกฺขเว, อโธเตหิ ปาเทหิ เสนาสนํ อกฺกมิตพฺพํ, โย อกฺกเมยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๒๔) วจนโต อโธเตหิ ปาเทหิ มญฺจปีฐาทิเสนาสนํ ปริกมฺมกตา วา ภูมิ น อกฺกมิตพฺพาฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, อเลฺลหิ ปาเทหิ เสนาสนํ อกฺกมิตพฺพํ, โย อกฺกเมยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๒๔) วจนโต เยหิ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๒๔) อกฺกนฺตฎฺฐาเน อุทกํ ปญฺญายติ, เอวรูเปหิ อลฺลปาเทหิ ปริภณฺฑกตา ภูมิ วา เสนาสนํ วา น อกฺกมิตพฺพํฯ สเจ ปน อุทกสิเนหมตฺตเมว ปญฺญายติ, น อุทกํ, วฎฺฎติฯ ปาทปุญฺฉนิํ ปน อลฺลปาเทหิปิ อกฺกมิตุํ วฎฺฎติเยวฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, สอุปาหเนน เสนาสนํ อกฺกมิตพฺพํ, โย อกฺกเมยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๒๔) วจนโต โธตปาเทหิ อกฺกมิตพฺพฎฺฐานํ สอุปาหเนน อกฺกมิตุํ น วฎฺฎติฯ

    50. ‘‘Na, bhikkhave, adhotehi pādehi senāsanaṃ akkamitabbaṃ, yo akkameyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 324) vacanato adhotehi pādehi mañcapīṭhādisenāsanaṃ parikammakatā vā bhūmi na akkamitabbā. ‘‘Na, bhikkhave, allehi pādehi senāsanaṃ akkamitabbaṃ, yo akkameyya āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 324) vacanato yehi (cūḷava. aṭṭha. 324) akkantaṭṭhāne udakaṃ paññāyati, evarūpehi allapādehi paribhaṇḍakatā bhūmi vā senāsanaṃ vā na akkamitabbaṃ. Sace pana udakasinehamattameva paññāyati, na udakaṃ, vaṭṭati. Pādapuñchaniṃ pana allapādehipi akkamituṃ vaṭṭatiyeva. ‘‘Na, bhikkhave, saupāhanena senāsanaṃ akkamitabbaṃ, yo akkameyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 324) vacanato dhotapādehi akkamitabbaṭṭhānaṃ saupāhanena akkamituṃ na vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, ปริกมฺมกตาย ภูมิยา นิฎฺฐุภิตพฺพํ, โย นิฎฺฐุเภยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๒๔) วจนโต ปริกมฺมกตาย ภูมิยา น นิฎฺฐุภิตพฺพํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เขฬมลฺลก’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๔) เอวํ อนุญฺญาเต เขฬมลฺลเก นิฎฺฐุภิตพฺพํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, โจฬเกน ปลิเวเฐตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๔) วจนโต สุธาภูมิยา วา ปริภณฺฑภูมิยา วา มญฺจปีฐํ นิกฺขิปเนฺตน สเจ ตฎฺฎิกา วา กฎสารโก วา นตฺถิ, โจฬเกน มญฺจปีฐานํ ปาทา เวเฐตพฺพา, ตสฺมิํ อสติ ปณฺณมฺปิ อตฺถริตุํ วฎฺฎติ, กิญฺจิ อนตฺถริตฺวา ฐเปนฺตสฺส ปน ทุกฺกฎํฯ ยทิ ปน ตตฺถ เนวาสิกา อนตฺถตาย ภูมิยาปิ ฐเปนฺติ, อโธตปาเทหิปิ วฬเญฺชนฺติ, ตเถว วฬเญฺชตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, parikammakatāya bhūmiyā niṭṭhubhitabbaṃ, yo niṭṭhubheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 324) vacanato parikammakatāya bhūmiyā na niṭṭhubhitabbaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, kheḷamallaka’’nti (cūḷava. 324) evaṃ anuññāte kheḷamallake niṭṭhubhitabbaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, coḷakena paliveṭhetu’’nti (cūḷava. 324) vacanato sudhābhūmiyā vā paribhaṇḍabhūmiyā vā mañcapīṭhaṃ nikkhipantena sace taṭṭikā vā kaṭasārako vā natthi, coḷakena mañcapīṭhānaṃ pādā veṭhetabbā, tasmiṃ asati paṇṇampi attharituṃ vaṭṭati, kiñci anattharitvā ṭhapentassa pana dukkaṭaṃ. Yadi pana tattha nevāsikā anatthatāya bhūmiyāpi ṭhapenti, adhotapādehipi vaḷañjenti, tatheva vaḷañjetuṃ vaṭṭati.

    ‘‘น , ภิกฺขเว, ปริกมฺมกตา ภิตฺติ อปเสฺสตพฺพา, โย อปเสฺสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๓๒๔) วจนโต ปริกมฺมกตา ภิตฺติ เสตภิตฺติ วา โหตุ จิตฺตกมฺมกตา วา, น อปเสฺสตพฺพาฯ น เกวลญฺจ ภิตฺติเมว, ทฺวารมฺปิ วาตปานมฺปิ อปเสฺสนผลกมฺปิ ปาสาณตฺถมฺภมฺปิ รุกฺขตฺถมฺภมฺปิ จีวเรน วา เยน เกนจิ อปฺปฎิจฺฉาเทตฺวา อปสฺสิตุํ น ลภติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว , ปจฺจตฺถริตฺวา นิปชฺชิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๕) วจนโต ปน โธตปาเทหิ อกฺกมิตพฺพํ, ปริภณฺฑกตํ ภูมิํ วา ภูมตฺถรณํ เสนาสนํ วา สงฺฆิกมญฺจปีฐํ วา อตฺตโน สนฺตเกน ปจฺจตฺถรเณน ปจฺจตฺถริตฺวาว นิปชฺชิตพฺพํฯ สเจ นิทฺทายโตปิ ปจฺจตฺถรเณ สงฺกุฎิเต โกจิ สรีราวยโว มญฺจํ วา ปีฐํ วา ผุสติ, อาปตฺติเยว, โลเมสุ ปน ผุสเนฺตสุ โลมคณนาย อาปตฺติโยฯ ปริโภคสีเสน อปสฺสยนฺตสฺสปิ เอเสว นโยฯ หตฺถตลปาทตเลหิ ปน ผุสิตุํ อกฺกมิตุํ วา วฎฺฎติ, มญฺจํ วา ปีฐํ วา หรนฺตสฺส กาเย ปฎิหญฺญติ, อนาปตฺติฯ

    ‘‘Na , bhikkhave, parikammakatā bhitti apassetabbā, yo apasseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 324) vacanato parikammakatā bhitti setabhitti vā hotu cittakammakatā vā, na apassetabbā. Na kevalañca bhittimeva, dvārampi vātapānampi apassenaphalakampi pāsāṇatthambhampi rukkhatthambhampi cīvarena vā yena kenaci appaṭicchādetvā apassituṃ na labhati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave , paccattharitvā nipajjitu’’nti (cūḷava. 325) vacanato pana dhotapādehi akkamitabbaṃ, paribhaṇḍakataṃ bhūmiṃ vā bhūmattharaṇaṃ senāsanaṃ vā saṅghikamañcapīṭhaṃ vā attano santakena paccattharaṇena paccattharitvāva nipajjitabbaṃ. Sace niddāyatopi paccattharaṇe saṅkuṭite koci sarīrāvayavo mañcaṃ vā pīṭhaṃ vā phusati, āpattiyeva, lomesu pana phusantesu lomagaṇanāya āpattiyo. Paribhogasīsena apassayantassapi eseva nayo. Hatthatalapādatalehi pana phusituṃ akkamituṃ vā vaṭṭati, mañcaṃ vā pīṭhaṃ vā harantassa kāye paṭihaññati, anāpatti.

    ๕๑. ‘‘ทสยิเม, ภิกฺขเว, อวนฺทิยาฯ ปุเรอุปสมฺปเนฺนน ปจฺฉุปสมฺปโนฺน อวนฺทิโย, อนุปสมฺปโนฺน อวนฺทิโย, นานาสํวาสโก วุฑฺฒตโร อธมฺมวาที อวนฺทิโย, มาตุคาโม อวนฺทิโย, ปณฺฑโก อวนฺทิโย, ปาริวาสิโก อวนฺทิโย, มูลายปฎิกสฺสนารโห อวนฺทิโย, มานตฺตารโห อวนฺทิโย, มานตฺตจาริโก อวนฺทิโย, อพฺภานารโห อวนฺทิโย’’ติ (จูฬว. ๓๑๒) วจนโต อิเม ทส อวนฺทิยาติ เวทิตพฺพาฯ

    51. ‘‘Dasayime, bhikkhave, avandiyā. Pureupasampannena pacchupasampanno avandiyo, anupasampanno avandiyo, nānāsaṃvāsako vuḍḍhataro adhammavādī avandiyo, mātugāmo avandiyo, paṇḍako avandiyo, pārivāsiko avandiyo, mūlāyapaṭikassanāraho avandiyo, mānattāraho avandiyo, mānattacāriko avandiyo, abbhānāraho avandiyo’’ti (cūḷava. 312) vacanato ime dasa avandiyāti veditabbā.

    ‘‘ปจฺฉุปสมฺปเนฺนน ปุเรอุปสมฺปโนฺน วนฺทิโย, นานาสํวาสโก วุฑฺฒตโร ธมฺมวาที วนฺทิโย, ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วนฺทิโย’’ติ (จูฬว. ๓๑๒) – วจนโต อิเม ตโย วนฺทิตพฺพาฯ

    ‘‘Pacchupasampannena pureupasampanno vandiyo, nānāsaṃvāsako vuḍḍhataro dhammavādī vandiyo, tathāgato arahaṃ sammāsambuddho vandiyo’’ti (cūḷava. 312) – vacanato ime tayo vanditabbā.

    ๕๒. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตีณิ ตูลานิ รุกฺขตูลํ ลตาตูลํ โปฎกีตูล’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗) วจนโต อิมานิ ตีณิ ตูลานิ กปฺปิยานิฯ ตตฺถ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๙๗) รุกฺขตูลนฺติ สิมฺพลิรุกฺขาทีนํ เยสํ เกสญฺจิ รุกฺขานํ ตูลํฯ ลตาตูลนฺติ ขีรวลฺลิอาทีนํ ยาสํ กาสญฺจิ วลฺลีนํ ตูลํฯ โปฎกีตูลนฺติ โปฎกีติณาทีนํ เยสํ เกสญฺจิ ติณชาติกานํ อนฺตมโส อุจฺฉุนฬาทีนมฺปิ ตูลํฯ เอเตหิ ตีหิ สพฺพภูตคามา สงฺคหิตา โหนฺติฯ รุกฺขวลฺลิติณชาติโย หิ มุญฺจิตฺวา อโญฺญ ภูตคาโม นาม นตฺถิ, ตสฺมา ยสฺส กสฺสจิ ภูตคามสฺส ตูลํ พิโมฺพหเน วฎฺฎติฯ ภิสิํ ปน ปาปุณิตฺวา สพฺพเมตํ อกปฺปิยตูลนฺติ วุจฺจติฯ น เกวลญฺจ พิโมฺพหเน เอตํ ตูลเมว, หํสโมราทีนํ สพฺพสกุณานํ สีหาทีนํ สพฺพจตุปฺปทานญฺจ โลมมฺปิ วฎฺฎติ, ปิยงฺคุปุปฺผพกุลปุปฺผาทีนํ ปน ยํ กิญฺจิ ปุปฺผํ น วฎฺฎติฯ ตมาลปตฺตํ สุทฺธเมว น วฎฺฎติ, มิสฺสกํ ปน วฎฺฎติ, ภิสีนํ อนุญฺญาตํ ปญฺจวิธํ อุณฺณาทิตูลมฺปิ วฎฺฎติฯ

    52. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, tīṇi tūlāni rukkhatūlaṃ latātūlaṃ poṭakītūla’’nti (cūḷava. 297) vacanato imāni tīṇi tūlāni kappiyāni. Tattha (cūḷava. aṭṭha. 297) rukkhatūlanti simbalirukkhādīnaṃ yesaṃ kesañci rukkhānaṃ tūlaṃ. Latātūlanti khīravalliādīnaṃ yāsaṃ kāsañci vallīnaṃ tūlaṃ. Poṭakītūlanti poṭakītiṇādīnaṃ yesaṃ kesañci tiṇajātikānaṃ antamaso ucchunaḷādīnampi tūlaṃ. Etehi tīhi sabbabhūtagāmā saṅgahitā honti. Rukkhavallitiṇajātiyo hi muñcitvā añño bhūtagāmo nāma natthi, tasmā yassa kassaci bhūtagāmassa tūlaṃ bimbohane vaṭṭati. Bhisiṃ pana pāpuṇitvā sabbametaṃ akappiyatūlanti vuccati. Na kevalañca bimbohane etaṃ tūlameva, haṃsamorādīnaṃ sabbasakuṇānaṃ sīhādīnaṃ sabbacatuppadānañca lomampi vaṭṭati, piyaṅgupupphabakulapupphādīnaṃ pana yaṃ kiñci pupphaṃ na vaṭṭati. Tamālapattaṃ suddhameva na vaṭṭati, missakaṃ pana vaṭṭati, bhisīnaṃ anuññātaṃ pañcavidhaṃ uṇṇāditūlampi vaṭṭati.

    ๕๓. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจ ภิสิโย อุณฺณภิสิํ โจฬภิสิํ วากภิสิํ ติณภิสิํ ปณฺณภิสิ’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗) วจนโต ปญฺจหิ อุณฺณาทีหิ ปูริตา ปญฺจ ภิสิโย อนุญฺญาตาฯ ตูลคณนาย หิ เอตาสํ คณนา วุตฺตาฯ ตตฺถ อุณฺณคฺคหเณน น เกวลํ เอฬกโลมเมว คหิตํ, ฐเปตฺวา ปน มนุสฺสโลมํ ยํ กิญฺจิ กปฺปิยากปฺปิยมํสชาตีนํ ปกฺขิจตุปฺปทานํ โลมํ สพฺพํ อิธ อุณฺณคฺคหเณเนว คหิตํฯ ตสฺมา ฉนฺนํ จีวรานํ ฉนฺนํ อนุโลมจีวรานญฺจ อญฺญตเรน ภิสิจฺฉวิํ กตฺวา ตํ สพฺพํ ปกฺขิปิตฺวา ภิสิํ กาตุํ วฎฺฎติฯ เอฬกโลมานิ ปน อปกฺขิปิตฺวา กมฺพลเมว จตุคฺคุณํ ปญฺจคุณํ วา ปกฺขิปิตฺวา กตาปิ อุณฺณภิสิสงฺขฺยเมว คจฺฉติฯ

    53. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañca bhisiyo uṇṇabhisiṃ coḷabhisiṃ vākabhisiṃ tiṇabhisiṃ paṇṇabhisi’’nti (cūḷava. 297) vacanato pañcahi uṇṇādīhi pūritā pañca bhisiyo anuññātā. Tūlagaṇanāya hi etāsaṃ gaṇanā vuttā. Tattha uṇṇaggahaṇena na kevalaṃ eḷakalomameva gahitaṃ, ṭhapetvā pana manussalomaṃ yaṃ kiñci kappiyākappiyamaṃsajātīnaṃ pakkhicatuppadānaṃ lomaṃ sabbaṃ idha uṇṇaggahaṇeneva gahitaṃ. Tasmā channaṃ cīvarānaṃ channaṃ anulomacīvarānañca aññatarena bhisicchaviṃ katvā taṃ sabbaṃ pakkhipitvā bhisiṃ kātuṃ vaṭṭati. Eḷakalomāni pana apakkhipitvā kambalameva catugguṇaṃ pañcaguṇaṃ vā pakkhipitvā katāpi uṇṇabhisisaṅkhyameva gacchati.

    โจฬภิสิอาทีสุ ยํ กิญฺจิ นวโจฬํ วา ปุราณโจฬํ วา สํหริตฺวา อโนฺต ปกฺขิปิตฺวา วา กตา โจฬภิสิฯ ยํ กิญฺจิ วากํ ปกฺขิปิตฺวา กตา วากภิสิฯ ยํ กิญฺจิ ติณํ ปกฺขิปิตฺวา กตา ติณภิสิฯ อญฺญตฺร สุทฺธตมาลปตฺตา ยํ กิญฺจิ ปณฺณํ ปกฺขิปิตฺวา กตา ปณฺณภิสีติ เวทิตพฺพาฯ ตมาลปตฺตํ ปน อเญฺญน มิสฺสเมว วฎฺฎติฯ สุทฺธํ น วฎฺฎติฯ ยํ ปเนตํ อุณฺณาทิปญฺจวิธํ ตูลํ ภิสิยํ วฎฺฎติ, ตํ มสูรเกปิ วฎฺฎตีติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ เอเตน มสูรกํ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตีติ สิทฺธํ โหติฯ ภิสิยา ปมาณนิยโม นตฺถิ, มญฺจภิสิ ปีฐภิสิ ภูมตฺถรณภิสิ จงฺกมนภิสิ ปาทปุญฺฉนภิสีติ เอตาสํ อนุรูปโต สลฺลเกฺขตฺวา อตฺตโน รุจิวเสน ปมาณํ กาตพฺพํฯ พิโมฺพหนํ ปน ปมาณยุตฺตเมว วฎฺฎติฯ

    Coḷabhisiādīsu yaṃ kiñci navacoḷaṃ vā purāṇacoḷaṃ vā saṃharitvā anto pakkhipitvā vā katā coḷabhisi. Yaṃ kiñci vākaṃ pakkhipitvā katā vākabhisi. Yaṃ kiñci tiṇaṃ pakkhipitvā katā tiṇabhisi. Aññatra suddhatamālapattā yaṃ kiñci paṇṇaṃ pakkhipitvā katā paṇṇabhisīti veditabbā. Tamālapattaṃ pana aññena missameva vaṭṭati. Suddhaṃ na vaṭṭati. Yaṃ panetaṃ uṇṇādipañcavidhaṃ tūlaṃ bhisiyaṃ vaṭṭati, taṃ masūrakepi vaṭṭatīti kurundiyaṃ vuttaṃ. Etena masūrakaṃ paribhuñjituṃ vaṭṭatīti siddhaṃ hoti. Bhisiyā pamāṇaniyamo natthi, mañcabhisi pīṭhabhisi bhūmattharaṇabhisi caṅkamanabhisi pādapuñchanabhisīti etāsaṃ anurūpato sallakkhetvā attano rucivasena pamāṇaṃ kātabbaṃ. Bimbohanaṃ pana pamāṇayuttameva vaṭṭati.

    ๕๔. ‘‘น, ภิกฺขเว, อฑฺฒกายิกานิ พิโมฺพหนานิ ธาเรตพฺพานิ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๙๗) เยสุ กฎิโต ปฎฺฐาย ยาว สีสํ อุปทหนฺติ, ตาทิสานิ อุปฑฺฒกายปฺปมาณานิ พิโมฺพหนานิ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สีสปฺปมาณํ พิโมฺพหน’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗) สีสปฺปมาณํ อนุญฺญาตํฯ สีสปฺปมาณํ นาม ยสฺส วิตฺถารโต ตีสุ กเณฺณสุ ทฺวินฺนํ กณฺณานํ อนฺตรํ มินิยมานํ วิทตฺถิ เจว จตุรงฺคุลญฺจ โหติ, มชฺฌฎฺฐานํ มุฎฺฐิรตนํ โหติฯ ‘‘ทีฆโต ปน ทิยฑฺฒรตนํ วา ทฺวิรตนํ วา’’ติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ อยํ สีสปฺปมาณสฺส อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉโท, อิโต อุทฺธํ น วฎฺฎติ, เหฎฺฐา วฎฺฎติ ฯ อคิลานสฺส สีสูปธานญฺจ ปาทูปธานญฺจาติ ทฺวยเมว วฎฺฎติ, คิลานสฺส พิโมฺพหนานิ สนฺถริตฺวา อุปริ ปจฺจตฺถรณํ ทตฺวา นิปชฺชิตุมฺปิ วฎฺฎติฯ ‘‘ยานิ ปน ภิสีนํ อนุญฺญาตานิ ปญฺจ กปฺปิยตูลานิ, เตหิ พิโมฺพหนํ มหนฺตมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ ผุสฺสเทวเตฺถโร อาหฯ วินยธรอุปติสฺสเตฺถโร ปน ‘‘พิโมฺพหนํ กริสฺสามีติ กปฺปิยตูลํ วา อกปฺปิยตูลํ วา ปกฺขิปิตฺวา กโรนฺตสฺส ปมาณเมว วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ

    54. ‘‘Na, bhikkhave, aḍḍhakāyikāni bimbohanāni dhāretabbāni, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 297) yesu kaṭito paṭṭhāya yāva sīsaṃ upadahanti, tādisāni upaḍḍhakāyappamāṇāni bimbohanāni paṭikkhipitvā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sīsappamāṇaṃ bimbohana’’nti (cūḷava. 297) sīsappamāṇaṃ anuññātaṃ. Sīsappamāṇaṃ nāma yassa vitthārato tīsu kaṇṇesu dvinnaṃ kaṇṇānaṃ antaraṃ miniyamānaṃ vidatthi ceva caturaṅgulañca hoti, majjhaṭṭhānaṃ muṭṭhiratanaṃ hoti. ‘‘Dīghato pana diyaḍḍharatanaṃ vā dviratanaṃ vā’’ti kurundiyaṃ vuttaṃ. Ayaṃ sīsappamāṇassa ukkaṭṭhaparicchedo, ito uddhaṃ na vaṭṭati, heṭṭhā vaṭṭati . Agilānassa sīsūpadhānañca pādūpadhānañcāti dvayameva vaṭṭati, gilānassa bimbohanāni santharitvā upari paccattharaṇaṃ datvā nipajjitumpi vaṭṭati. ‘‘Yāni pana bhisīnaṃ anuññātāni pañca kappiyatūlāni, tehi bimbohanaṃ mahantampi vaṭṭatī’’ti phussadevatthero āha. Vinayadharaupatissatthero pana ‘‘bimbohanaṃ karissāmīti kappiyatūlaṃ vā akappiyatūlaṃ vā pakkhipitvā karontassa pamāṇameva vaṭṭatī’’ti āha.

    ๕๕. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อาสนฺทิก’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗) วจนโต จตุรสฺสปีฐสงฺขาโต อาสนฺทิโก วฎฺฎติ, โส จ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อุจฺจกมฺปิ อาสนฺทิก’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗) วจนโต อฎฺฐงฺคุลโต อุจฺจปาทโกปิ วฎฺฎติฯ เอกโตภาเคน ทีฆปีฐเมว หิ อฎฺฐงฺคุลโต อุจฺจปาทกํ น วฎฺฎติ, ตสฺมา จตุรสฺสปีฐํ ปมาณาติกฺกนฺตมฺปิ วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สตฺตงฺค’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗) วจนโต ตีสุ ทิสาสุ อปสฺสยํ กตฺวา กตมโญฺจปิ วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อุจฺจกมฺปิ สตฺตงฺค’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗) วจนโต อยมฺปิ ปมาณาติกฺกโนฺต จ วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ภทฺทปีฐ’’นฺติอาทินา (จูฬว. ๒๙๗) ปาฬิยํ อนุญฺญาตํ เวตฺตมยปีฐํ ปิโลติกาพทฺธปีฐํ ทารุปฎฺฎิกาย อุปริ ปาเท ฐเปตฺวา โภชนผลกํ วิย กตํ เอฬกปาทปีฐํ อามลกากาเรน โยชิตํ พหุปาทกํ อามณฺฑกวฎฺฎิกปีฐํ ปลาลปีฐํ ผลกปีฐญฺจ ปาฬิยํ อนาคตญฺจ อญฺญมฺปิ ยํ กิญฺจิ ทารุมยปีฐํ วฎฺฎติฯ

    55. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, āsandika’’nti (cūḷava. 297) vacanato caturassapīṭhasaṅkhāto āsandiko vaṭṭati, so ca ‘‘anujānāmi, bhikkhave, uccakampi āsandika’’nti (cūḷava. 297) vacanato aṭṭhaṅgulato uccapādakopi vaṭṭati. Ekatobhāgena dīghapīṭhameva hi aṭṭhaṅgulato uccapādakaṃ na vaṭṭati, tasmā caturassapīṭhaṃ pamāṇātikkantampi vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sattaṅga’’nti (cūḷava. 297) vacanato tīsu disāsu apassayaṃ katvā katamañcopi vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, uccakampi sattaṅga’’nti (cūḷava. 297) vacanato ayampi pamāṇātikkanto ca vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, bhaddapīṭha’’ntiādinā (cūḷava. 297) pāḷiyaṃ anuññātaṃ vettamayapīṭhaṃ pilotikābaddhapīṭhaṃ dārupaṭṭikāya upari pāde ṭhapetvā bhojanaphalakaṃ viya kataṃ eḷakapādapīṭhaṃ āmalakākārena yojitaṃ bahupādakaṃ āmaṇḍakavaṭṭikapīṭhaṃ palālapīṭhaṃ phalakapīṭhañca pāḷiyaṃ anāgatañca aññampi yaṃ kiñci dārumayapīṭhaṃ vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, อุเจฺจ มเญฺจ สยิตพฺพํ, โย สเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๙๗) วจนโต ปมณาติกฺกเนฺต มเญฺจ สยนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, ตํ ปน กโรนฺตสฺส การาเปนฺตสฺส จ เฉทนกํ ปาจิตฺติยํฯ อเญฺญน กตํ ปฎิลภิตฺวา ปริภุญฺชเนฺตน ฉินฺทิตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ สเจ น ฉินฺทิตุกาโม โหติ, ภูมิยํ นิขนิตฺวา ปมาณํ อุปริ ทเสฺสติ, อุตฺตานกํ วา กตฺวา ปริภุญฺชติ, อุกฺขิปิตฺวา ตุลาสงฺฆาเฎ ฐเปตฺวา อฎฺฎํ กตฺวา ปริภุญฺชติ, วฎฺฎติฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, อุจฺจา มญฺจปฎิปาทกา ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อฎฺฐงฺคุลปรมํ มญฺจปฎิปาทก’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗) วจนโต มนุสฺสานํ ปมาณงฺคุเลน อฎฺฐงฺคุลปรโมว มญฺจปฎิปาทโก วฎฺฎติ, ตโต อุทฺธํ น วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, ucce mañce sayitabbaṃ, yo sayeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 297) vacanato pamaṇātikkante mañce sayantassa dukkaṭaṃ, taṃ pana karontassa kārāpentassa ca chedanakaṃ pācittiyaṃ. Aññena kataṃ paṭilabhitvā paribhuñjantena chinditvā paribhuñjitabbaṃ. Sace na chinditukāmo hoti, bhūmiyaṃ nikhanitvā pamāṇaṃ upari dasseti, uttānakaṃ vā katvā paribhuñjati, ukkhipitvā tulāsaṅghāṭe ṭhapetvā aṭṭaṃ katvā paribhuñjati, vaṭṭati. ‘‘Na, bhikkhave, uccā mañcapaṭipādakā dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, aṭṭhaṅgulaparamaṃ mañcapaṭipādaka’’nti (cūḷava. 297) vacanato manussānaṃ pamāṇaṅgulena aṭṭhaṅgulaparamova mañcapaṭipādako vaṭṭati, tato uddhaṃ na vaṭṭati.

    ๕๖. ‘‘น , ภิกฺขเว, อุจฺจาสยนมหาสยนานิ ธาเรตพฺพานิ, เสยฺยถิทํ, อาสนฺทิ ปลฺลโงฺก โคนโก จิตฺตโก ปฎิกา ปฎลิกา ตูลิกา วิกติกา อุทฺทโลมิ เอกนฺตโลมิ กฎฺฎิสฺสํ โกเสยฺยํ กุตฺตกํ หตฺถตฺถรํ อสฺสตฺถรํ รถตฺถรํ อชินปเวณี กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณํ สอุตฺตรจฺฉทํ อุภโตโลหิตกูปธานํ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๕๔) วจนโต อุจฺจาสยนมหาสยนานิ น วฎฺฎนฺติฯ ตตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๕๔) อุจฺจาสยนํ นาม ปมาณาติกฺกนฺตํ มญฺจํฯ มหาสยนํ นาม อกปฺปิยตฺถรณํฯ อาสนฺทิอาทีสุ อาสนฺทีติ ปมาณาติกฺกนฺตาสนํฯ ปลฺลโงฺกติ ปาเทสุ วาฬรูปานิ ฐเปตฺวา กโตฯ โคนโกติ ทีฆโลมโก มหาโกชโวฯ จตุรงฺคุลาธิกานิ กิร ตสฺส โลมานิฯ จิตฺตโกติ รตนจิตฺรอุณฺณามยตฺถรโกฯ ปฎิกาติ อุณฺณามโย เสตตฺถรโกฯ ปฎลิกาติ ฆนปุปฺผโก อุณฺณามยโลมตฺถรโก, โย ‘‘อามลกปโฎ’’ติปิ วุจฺจติฯ ตูลิกาติ ปกติตูลิกาเยวฯ วิกติกาติ สีหพฺยคฺฆาทิรูปวิจิโตฺร อุณฺณามยตฺถรโกฯ อุทฺทโลมีติ เอกโต อุคฺคตโลมํ อุณฺณามยตฺถรณํฯ เอกนฺตโลมีติ อุภโต อุคฺคตโลมํ อุณฺณามยตฺถรณํฯ กฎฺฎิสฺสนฺติ รตนปริสิพฺพิตํ โกเสยฺยกฎฺฎิสฺสมยํ ปจฺจตฺถรณํฯ โกเสยฺยนฺติ รตนปริสิพฺพิตํ โกสิยสุตฺตมยํ ปจฺจตฺถรณํ, สุทฺธโกเสยฺยํ ปน วฎฺฎติฯ

    56. ‘‘Na , bhikkhave, uccāsayanamahāsayanāni dhāretabbāni, seyyathidaṃ, āsandi pallaṅko gonako cittako paṭikā paṭalikā tūlikā vikatikā uddalomi ekantalomi kaṭṭissaṃ koseyyaṃ kuttakaṃ hatthattharaṃ assattharaṃ rathattharaṃ ajinapaveṇī kadalimigapavarapaccattharaṇaṃ sauttaracchadaṃ ubhatolohitakūpadhānaṃ, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 254) vacanato uccāsayanamahāsayanāni na vaṭṭanti. Tattha (mahāva. aṭṭha. 254) uccāsayanaṃ nāma pamāṇātikkantaṃ mañcaṃ. Mahāsayanaṃ nāma akappiyattharaṇaṃ. Āsandiādīsu āsandīti pamāṇātikkantāsanaṃ. Pallaṅkoti pādesu vāḷarūpāni ṭhapetvā kato. Gonakoti dīghalomako mahākojavo. Caturaṅgulādhikāni kira tassa lomāni. Cittakoti ratanacitrauṇṇāmayattharako. Paṭikāti uṇṇāmayo setattharako. Paṭalikāti ghanapupphako uṇṇāmayalomattharako, yo ‘‘āmalakapaṭo’’tipi vuccati. Tūlikāti pakatitūlikāyeva. Vikatikāti sīhabyagghādirūpavicitro uṇṇāmayattharako. Uddalomīti ekato uggatalomaṃ uṇṇāmayattharaṇaṃ. Ekantalomīti ubhato uggatalomaṃ uṇṇāmayattharaṇaṃ. Kaṭṭissanti ratanaparisibbitaṃ koseyyakaṭṭissamayaṃ paccattharaṇaṃ. Koseyyanti ratanaparisibbitaṃ kosiyasuttamayaṃ paccattharaṇaṃ, suddhakoseyyaṃ pana vaṭṭati.

    กุตฺตกนฺติ โสฬสนฺนํ นาฎกิตฺถีนํ ฐตฺวา นจฺจนโยคฺคํ อุณฺณามยตฺถรณํฯ หตฺถตฺถรอสฺสตฺถรา หตฺถิอสฺสปิฎฺฐีสุ อตฺถรณกอตฺถรณา เอวฯ รถตฺถเรปิ เอเสว นโยฯ อชินปเวณีติ อชินจเมฺมหิ มญฺจปฺปมาเณน สิพฺพิตฺวา กตา ปเวณีฯ กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณนฺติ กทลิมิคจมฺมํ นาม อตฺถิ, เตน กตํ ปวรปจฺจตฺถรณนฺติ อโตฺถฯ ตํ กิร เสตวตฺถสฺส อุปริ กทลิมิคจมฺมํ ปตฺถริตฺวา สิพฺพิตฺวา กโรนฺติฯ สอุตฺตรจฺฉทนฺติ สห อุตฺตรจฺฉเทน, อุปริพเทฺธน รตฺตวิตาเนน สทฺธินฺติ อโตฺถฯ เสตวิตานมฺปิ เหฎฺฐา อกปฺปิยปจฺจตฺถรเณ สติ น วฎฺฎติ, อสติ ปน วฎฺฎติฯ อุภโตโลหิตกูปธานนฺติ สีสูปธานญฺจ ปาทูปธานญฺจาติ มญฺจสฺส อุภโตโลหิตกูปธานํ, เอตํ น กปฺปติฯ ยํ ปน เอกเมว อุปธานํ อุโภสุ ปเสฺสสุ รตฺตํ วา โหตุ ปทุมวณฺณํ วา วิจิตฺรํ วา, สเจ ปมาณยุตฺตํ, วฎฺฎติ, มหาอุปธานํ ปน ปฎิกฺขิตฺตํฯ โคนกาทีนิ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๒๐) สงฺฆิกวิหาเร วา ปุคฺคลิกวิหาเร วา มญฺจปีฐเกสุ อตฺถริตฺวา ปริภุญฺชิตุํ น วฎฺฎนฺติ, ธมฺมาสเน ปน คิหิวิกตนีหาเรน ลพฺภนฺติ, ตตฺราปิ นิปชฺชิตุํ น วฎฺฎติฯ

    Kuttakanti soḷasannaṃ nāṭakitthīnaṃ ṭhatvā naccanayoggaṃ uṇṇāmayattharaṇaṃ. Hatthattharaassattharā hatthiassapiṭṭhīsu attharaṇakaattharaṇā eva. Rathattharepi eseva nayo. Ajinapaveṇīti ajinacammehi mañcappamāṇena sibbitvā katā paveṇī. Kadalimigapavarapaccattharaṇanti kadalimigacammaṃ nāma atthi, tena kataṃ pavarapaccattharaṇanti attho. Taṃ kira setavatthassa upari kadalimigacammaṃ pattharitvā sibbitvā karonti. Sauttaracchadanti saha uttaracchadena, uparibaddhena rattavitānena saddhinti attho. Setavitānampi heṭṭhā akappiyapaccattharaṇe sati na vaṭṭati, asati pana vaṭṭati. Ubhatolohitakūpadhānanti sīsūpadhānañca pādūpadhānañcāti mañcassa ubhatolohitakūpadhānaṃ, etaṃ na kappati. Yaṃ pana ekameva upadhānaṃ ubhosu passesu rattaṃ vā hotu padumavaṇṇaṃ vā vicitraṃ vā, sace pamāṇayuttaṃ, vaṭṭati, mahāupadhānaṃ pana paṭikkhittaṃ. Gonakādīni (cūḷava. aṭṭha. 320) saṅghikavihāre vā puggalikavihāre vā mañcapīṭhakesu attharitvā paribhuñjituṃ na vaṭṭanti, dhammāsane pana gihivikatanīhārena labbhanti, tatrāpi nipajjituṃ na vaṭṭati.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ฐเปตฺวา ตีณิ อาสนฺทิํ ปลฺลงฺกํ ตูลิกํ คิหิวิกตํ อภินิสีทิตุํ, น เตฺวว อภินิปชฺชิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๓๑๔) – วจนโต อาสนฺทาทิตฺตยํ ฐเปตฺวา อวเสเสสุ โคนกาทีสุ คิหิวิกเตสุ ธมฺมาสเน วา ภตฺตเคฺค วา อนฺตรฆเร วา นิสีทิตุํ วฎฺฎติ, นิปชฺชิตุํ น วฎฺฎติฯ ตูโลนทฺธํ ปน มญฺจปีฐํ ภตฺตเคฺค อนฺตรฆเรเยว นิสีทิตุํ วฎฺฎติ, ตตฺถาปิ นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ตูโลนทฺธํ ปน มญฺจปีฐํ การาเปนฺตสฺสปิ อุทฺทาลนกํ ปาจิตฺติยํฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ṭhapetvā tīṇi āsandiṃ pallaṅkaṃ tūlikaṃ gihivikataṃ abhinisīdituṃ, na tveva abhinipajjitu’’nti (cūḷava. 314) – vacanato āsandādittayaṃ ṭhapetvā avasesesu gonakādīsu gihivikatesu dhammāsane vā bhattagge vā antaraghare vā nisīdituṃ vaṭṭati, nipajjituṃ na vaṭṭati. Tūlonaddhaṃ pana mañcapīṭhaṃ bhattagge antaraghareyeva nisīdituṃ vaṭṭati, tatthāpi nipajjituṃ vaṭṭati. Tūlonaddhaṃ pana mañcapīṭhaṃ kārāpentassapi uddālanakaṃ pācittiyaṃ.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, โอนทฺธมญฺจํ โอนทฺธปีฐ’’นฺติ (จูฬว. ๒๙๗) วจนโต ปน จมฺมาทีหิ โอนทฺธํ มญฺจปีฐํ วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปาวารํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, โกเสยฺยปาวารํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, โกชวํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, กมฺพล’’นฺติ (มหาว. ๓๓๗-๓๓๘) – วจนโต ปาวาราทีนิ สงฺฆิกานิ วา โหนฺตุ ปุคฺคลิกานิ วา, ยถาสุขํ วิหาเร วา อนฺตรฆเร วา ยตฺถ กตฺถจิ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎนฺติฯ โกชวํ ปเนตฺถ ปกติโกชวเมว วฎฺฎติ, มหาปิฎฺฐิยโกชวํ น วฎฺฎติฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, onaddhamañcaṃ onaddhapīṭha’’nti (cūḷava. 297) vacanato pana cammādīhi onaddhaṃ mañcapīṭhaṃ vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pāvāraṃ. Anujānāmi, bhikkhave, koseyyapāvāraṃ. Anujānāmi, bhikkhave, kojavaṃ. Anujānāmi, bhikkhave, kambala’’nti (mahāva. 337-338) – vacanato pāvārādīni saṅghikāni vā hontu puggalikāni vā, yathāsukhaṃ vihāre vā antaraghare vā yattha katthaci paribhuñjituṃ vaṭṭanti. Kojavaṃ panettha pakatikojavameva vaṭṭati, mahāpiṭṭhiyakojavaṃ na vaṭṭati.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สพฺพํ ปาสาทปริโภค’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๐) วจนโต สุวณฺณรชตาทิวิจิตฺรานิ (จูฬว. อฎฺฐ. ๓๒๐) กวาฎานิ มญฺจปีฐานิ ตาลวณฺฎานิ สุวณฺณรชตโยนิ ปานียฆฎปานียสราวานิ, ยํ กิญฺจิ จิตฺตกมฺมกตํ, สพฺพํ เสนาสนปริโภเค วฎฺฎติฯ ‘‘ปาสาทสฺส ทาสิทาสํ เขตฺตวตฺถุํ โคมหิํสํ เทมา’’ติ วทนฺติ, ปาเฎกฺกํ คหณกิจฺจํ นตฺถิ, ปาสาเท ปฎิคฺคหิเต ปฎิคฺคหิตเมว โหติฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sabbaṃ pāsādaparibhoga’’nti (cūḷava. 320) vacanato suvaṇṇarajatādivicitrāni (cūḷava. aṭṭha. 320) kavāṭāni mañcapīṭhāni tālavaṇṭāni suvaṇṇarajatayoni pānīyaghaṭapānīyasarāvāni, yaṃ kiñci cittakammakataṃ, sabbaṃ senāsanaparibhoge vaṭṭati. ‘‘Pāsādassa dāsidāsaṃ khettavatthuṃ gomahiṃsaṃ demā’’ti vadanti, pāṭekkaṃ gahaṇakiccaṃ natthi, pāsāde paṭiggahite paṭiggahitameva hoti.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เอกปลาสิกํ อุปาหนํ… น, ภิกฺขเว, ทิคุณา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น ติคุณา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น คุณงฺคุณูปาหนา ธาเรตพฺพา… โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๔๕) – วจนโต เอกปฎลาเยว อุปาหนา วฎฺฎติ, ทฺวิปฎลา ปน ติปฎลา น วฎฺฎติเยวฯ คุณงฺคุณูปาหนา (มหาว. อฎฺฐ. ๒๔๕) นาม จตุปฎลโต ปฎฺฐาย วุจฺจติ, สา ปน มชฺฌิมเทเสเยว น วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สพฺพปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ คุณงฺคุณูปาหน’’นฺติ (มหาว. ๒๕๙) – วจนโต ปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ คุณงฺคุณูปาหนา นวา วา โหตุ ปริภุตฺตา วา, วฎฺฎติฯ มชฺฌิมเทเส ปน ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, โอมุกฺกํ คุณงฺคุณูปาหนํฯ น, ภิกฺขเว, นวา คุณงฺคุณูปาหนา ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๔๗) วจนโต ปฎิมุญฺจิตฺวา อปนีตา ปริภุตฺตาเยว คุณงฺคุณูปาหนา วฎฺฎติ, อปริภุตฺตา ปฎิกฺขิตฺตาเยวฯ เอกปฎลา ปน ปริภุตฺตา วา โหตุ อปริภุตฺตา วา, สพฺพตฺถ วฎฺฎติฯ เอตฺถ จ มนุสฺสจมฺมํ ฐเปตฺวา เยน เกนจิ จเมฺมน กตา อุปาหนา วฎฺฎติฯ อุปาหนโกสกสตฺถกโกสกกุญฺจิกโกสเกสุปิ เอเสว นโยฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ekapalāsikaṃ upāhanaṃ… na, bhikkhave, diguṇā upāhanā dhāretabbā… na tiguṇā upāhanā dhāretabbā… na guṇaṅguṇūpāhanā dhāretabbā… yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 245) – vacanato ekapaṭalāyeva upāhanā vaṭṭati, dvipaṭalā pana tipaṭalā na vaṭṭatiyeva. Guṇaṅguṇūpāhanā (mahāva. aṭṭha. 245) nāma catupaṭalato paṭṭhāya vuccati, sā pana majjhimadeseyeva na vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sabbapaccantimesu janapadesu guṇaṅguṇūpāhana’’nti (mahāva. 259) – vacanato paccantimesu janapadesu guṇaṅguṇūpāhanā navā vā hotu paribhuttā vā, vaṭṭati. Majjhimadese pana ‘‘anujānāmi, bhikkhave, omukkaṃ guṇaṅguṇūpāhanaṃ. Na, bhikkhave, navā guṇaṅguṇūpāhanā dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 247) vacanato paṭimuñcitvā apanītā paribhuttāyeva guṇaṅguṇūpāhanā vaṭṭati, aparibhuttā paṭikkhittāyeva. Ekapaṭalā pana paribhuttā vā hotu aparibhuttā vā, sabbattha vaṭṭati. Ettha ca manussacammaṃ ṭhapetvā yena kenaci cammena katā upāhanā vaṭṭati. Upāhanakosakasatthakakosakakuñcikakosakesupi eseva nayo.

    ‘‘น , ภิกฺขเว, สพฺพนีลิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น สพฺพปีติกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น สพฺพโลหิติกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น สพฺพมญฺชิฎฺฐิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น สพฺพกณฺหา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น สพฺพมหารงฺครตฺตา อุปาหนา ธาเรตพฺพาฯ น สพฺพมหานามรตฺตา อุปาหนา ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๔๖) – วจนโต สพฺพนีลิกาทิ อุปาหนา น วฎฺฎติฯ เอตฺถ จ นีลิกา อุมาปุปฺผวณฺณา โหติฯ ปีติกา กณิการปุปฺผวณฺณา… โลหิติกา ชยสุมนปุปฺผวณฺณา… มญฺชิฎฺฐิกา มญฺชิฎฺฐวณฺณา เอว… กณฺหา อทฺทาริฎฺฐกวณฺณา… มหารงฺครตฺตา สตปทิปิฎฺฐิวณฺณา… มหานามรตฺตา สมฺภินฺนวณฺณา โหติ ปณฺฑุปลาสวณฺณาฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘ปทุมปุปฺผวณฺณา’’ติ วุตฺตํฯ เอตาสุ ยํ กิญฺจิ ลภิตฺวา รชนํ โจฬเกน ปุญฺฉิตฺวา วณฺณํ ภินฺทิตฺวา ธาเรตุํ วฎฺฎติ, อปฺปมตฺตเกปิ ภิเนฺน วฎฺฎติเยวฯ

    ‘‘Na , bhikkhave, sabbanīlikā upāhanā dhāretabbā… na sabbapītikā upāhanā dhāretabbā… na sabbalohitikā upāhanā dhāretabbā… na sabbamañjiṭṭhikā upāhanā dhāretabbā… na sabbakaṇhā upāhanā dhāretabbā… na sabbamahāraṅgarattā upāhanā dhāretabbā. Na sabbamahānāmarattā upāhanā dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 246) – vacanato sabbanīlikādi upāhanā na vaṭṭati. Ettha ca nīlikā umāpupphavaṇṇā hoti. Pītikā kaṇikārapupphavaṇṇā… lohitikā jayasumanapupphavaṇṇā… mañjiṭṭhikā mañjiṭṭhavaṇṇā eva… kaṇhā addāriṭṭhakavaṇṇā… mahāraṅgarattā satapadipiṭṭhivaṇṇā… mahānāmarattā sambhinnavaṇṇā hoti paṇḍupalāsavaṇṇā. Kurundiyaṃ pana ‘‘padumapupphavaṇṇā’’ti vuttaṃ. Etāsu yaṃ kiñci labhitvā rajanaṃ coḷakena puñchitvā vaṇṇaṃ bhinditvā dhāretuṃ vaṭṭati, appamattakepi bhinne vaṭṭatiyeva.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, นีลกวทฺธิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น ปีตกวทฺธิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น โลหิตกวทฺธิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น มญฺชิฎฺฐิกวทฺธิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น กณฺหวทฺธิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น มหารงฺครตฺตวทฺธิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น มหานามรตฺตวทฺธิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๔๖) – วจนโต ยาสํ วทฺธาเยว นีลาทิวณฺณา โหนฺติ, ตาปิ น วฎฺฎนฺติ, วณฺณเภทํ ปน กตฺวา ธาเรตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, nīlakavaddhikā upāhanā dhāretabbā… na pītakavaddhikā upāhanā dhāretabbā… na lohitakavaddhikā upāhanā dhāretabbā… na mañjiṭṭhikavaddhikā upāhanā dhāretabbā… na kaṇhavaddhikā upāhanā dhāretabbā… na mahāraṅgarattavaddhikā upāhanā dhāretabbā… na mahānāmarattavaddhikā upāhanā dhāretabbā… yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 246) – vacanato yāsaṃ vaddhāyeva nīlādivaṇṇā honti, tāpi na vaṭṭanti, vaṇṇabhedaṃ pana katvā dhāretuṃ vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, ขลฺลกพทฺธา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น ปุฎพทฺธา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น ปาลิคุณฺฐิมา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น ตูลปุณฺณิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น ติตฺติรปตฺติกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น เมณฺฑวิสาณวทฺธิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น อชวิสาณวทฺธิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น วิจฺฉิกาฬิกา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น โมรปิญฺฉปริสิพฺพิตา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น จิตฺรา อุปาหนา ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๔๖) – วจนโต ขลฺลกพทฺธาทิ อุปาหนาปิ น วฎฺฎติฯ ตตฺถ ขลฺลกพทฺธาติ ปณฺหิปิธานตฺถํ ตเล ขลฺลกํ พนฺธิตฺวา กตาฯ ปุฎพทฺธาติ โยนกอุปาหนา วุจฺจติ, ยา ยาว ชงฺฆโต สพฺพปาทํ ปฎิจฺฉาเทติฯ ปาลิคุณฺฐิมาติ ปลิคุณฺฐิตฺวา กตา, อุปริ ปาทมตฺตเมว ปฎิจฺฉาเทติ, น ชงฺฆํฯ ตูลปุณฺณิกาติ ตูลปิจุนา ปูเรตฺวา กตาฯ ติตฺติรปตฺติกาติ ติตฺติรปตฺตสทิสา วิจิตฺรพทฺธาฯ เมณฺฑวิสาณวทฺธิกาติ กณฺณิกฎฺฐาเน เมณฺฑกสิงฺคสณฺฐาเน วเทฺธ โยเชตฺวา กตาฯ อชวิสาณวทฺธิกาทีสุปิ เอเสว นโย, วิจฺฉิกาฬิกาปิ ตเตฺถว วิจฺฉิกนงฺคุฎฺฐสณฺฐาเน วเทฺธ โยเชตฺวา กตาฯ โมรปิญฺฉปริสิพฺพิตาติ ตเลสุ วา วเทฺธสุ วา โมรปิเญฺฉหิ สุตฺตกสทิเสหิ ปริสิพฺพิตาฯ จิตฺราติ วิจิตฺราฯ เอตาสุ ยํ กิญฺจิ ลภิตฺวา สเจ ตานิ ขลฺลกาทีนิ อปเนตฺวา สกฺกา โหนฺติ วฬญฺชิตุํ, วฬเญฺชตพฺพาฯ เตสุ ปน สติ วฬญฺชนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, khallakabaddhā upāhanā dhāretabbā… na puṭabaddhā upāhanā dhāretabbā… na pāliguṇṭhimā upāhanā dhāretabbā… na tūlapuṇṇikā upāhanā dhāretabbā… na tittirapattikā upāhanā dhāretabbā… na meṇḍavisāṇavaddhikā upāhanā dhāretabbā… na ajavisāṇavaddhikā upāhanā dhāretabbā… na vicchikāḷikā upāhanā dhāretabbā… na morapiñchaparisibbitā upāhanā dhāretabbā… na citrā upāhanā dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 246) – vacanato khallakabaddhādi upāhanāpi na vaṭṭati. Tattha khallakabaddhāti paṇhipidhānatthaṃ tale khallakaṃ bandhitvā katā. Puṭabaddhāti yonakaupāhanā vuccati, yā yāva jaṅghato sabbapādaṃ paṭicchādeti. Pāliguṇṭhimāti paliguṇṭhitvā katā, upari pādamattameva paṭicchādeti, na jaṅghaṃ. Tūlapuṇṇikāti tūlapicunā pūretvā katā. Tittirapattikāti tittirapattasadisā vicitrabaddhā. Meṇḍavisāṇavaddhikāti kaṇṇikaṭṭhāne meṇḍakasiṅgasaṇṭhāne vaddhe yojetvā katā. Ajavisāṇavaddhikādīsupi eseva nayo, vicchikāḷikāpi tattheva vicchikanaṅguṭṭhasaṇṭhāne vaddhe yojetvā katā. Morapiñchaparisibbitāti talesu vā vaddhesu vā morapiñchehi suttakasadisehi parisibbitā. Citrāti vicitrā. Etāsu yaṃ kiñci labhitvā sace tāni khallakādīni apanetvā sakkā honti vaḷañjituṃ, vaḷañjetabbā. Tesu pana sati vaḷañjantassa dukkaṭaṃ.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, สีหจมฺมปริกฺขฎา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น พฺยคฺฆจมฺมปริกฺขฎา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น ทีปิจมฺมปริกฺขฎา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น อชินจมฺมปริกฺขฎา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น อุทฺทจมฺมปริกฺขฎา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น มชฺชารจมฺมปริกฺขฎา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น กาฬกจมฺมปริกฺขฎา อุปาหนา ธาเรตพฺพา… น ลุวกจมฺมปริกฺขฎา อุปาหนา ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๔๖) – วจนโต สีหจมฺมาทิปริกฺขฎาปิ อุปาหนา น วฎฺฎติฯ ตตฺถ สีหจมฺมปริกฺขฎา นาม ปริยเนฺตสุ จีวเร อนุวาตํ วิย สีหจมฺมํ โยเชตฺวา กตาฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ลุวกจมฺมปริกฺขฎาติ ปกฺขิพิฬาลจมฺมปริกฺขฎาฯ เอตาสุปิ ยา กาจิ ตํ จมฺมํ อปเนตฺวา ธาเรตพฺพาฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, sīhacammaparikkhaṭā upāhanā dhāretabbā… na byagghacammaparikkhaṭā upāhanā dhāretabbā… na dīpicammaparikkhaṭā upāhanā dhāretabbā… na ajinacammaparikkhaṭā upāhanā dhāretabbā… na uddacammaparikkhaṭā upāhanā dhāretabbā… na majjāracammaparikkhaṭā upāhanā dhāretabbā… na kāḷakacammaparikkhaṭā upāhanā dhāretabbā… na luvakacammaparikkhaṭā upāhanā dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 246) – vacanato sīhacammādiparikkhaṭāpi upāhanā na vaṭṭati. Tattha sīhacammaparikkhaṭā nāma pariyantesu cīvare anuvātaṃ viya sīhacammaṃ yojetvā katā. Esa nayo sabbattha. Luvakacammaparikkhaṭāti pakkhibiḷālacammaparikkhaṭā. Etāsupi yā kāci taṃ cammaṃ apanetvā dhāretabbā.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, กฎฺฐปาทุกา ธาเรตพฺพา… น ตาลปตฺตปาทุกา… น เวฬุปตฺตปาทุกา, น ติณปาทุกา… น มุญฺชปาทุกา, น ปพฺพชปาทุกา… น หินฺตาลปาทุกา, น กมลปาทุกา… น กมฺพลปาทุกา… น โสวณฺณปาทุกา… น รูปิยมยา ปาทุกา… น มณิมยา… น เวฬุริยมยา… น ผลิกมยา … น กํสมยา… น กาจมยา… น ติปุมยา… น สีสมยา… น ตมฺพโลหมยา… น กาจิ สงฺกมนียา ปาทุกา ธาเรตพฺพา, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๕๐-๒๕๑) – วจนโต เยน เกนจิ ติเณน วา อเญฺญน วา กตา ยา กาจิ สงฺกมนียา ปาทุกา น ธาเรตพฺพาฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติโสฺส ปาทุกา ธุวฎฺฐานิยา อสงฺกมนียาโย, วจฺจปาทุกํ ปสฺสาวปาทุกํ อาจมนปาทุก’’นฺติ (มหาว. ๒๕๑) – วจนโต ปน ภูมิยํ สุปฺปติฎฺฐิตา นิจฺจลา อสํหาริยา วจฺจปาทุกาที ติโสฺส ปาทุกา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎนฺติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, kaṭṭhapādukā dhāretabbā… na tālapattapādukā… na veḷupattapādukā, na tiṇapādukā… na muñjapādukā, na pabbajapādukā… na hintālapādukā, na kamalapādukā… na kambalapādukā… na sovaṇṇapādukā… na rūpiyamayā pādukā… na maṇimayā… na veḷuriyamayā… na phalikamayā … na kaṃsamayā… na kācamayā… na tipumayā… na sīsamayā… na tambalohamayā… na kāci saṅkamanīyā pādukā dhāretabbā, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 250-251) – vacanato yena kenaci tiṇena vā aññena vā katā yā kāci saṅkamanīyā pādukā na dhāretabbā. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, tisso pādukā dhuvaṭṭhāniyā asaṅkamanīyāyo, vaccapādukaṃ passāvapādukaṃ ācamanapāduka’’nti (mahāva. 251) – vacanato pana bhūmiyaṃ suppatiṭṭhitā niccalā asaṃhāriyā vaccapādukādī tisso pādukā paribhuñjituṃ vaṭṭanti.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, สอุปาหเนน คาโม ปวิสิตโพฺพ, โย ปวิเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๕๙) วจนโต สอุปาหเนน คาโม น ปวิสิตโพฺพฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลาเนน ภิกฺขุนา สอุปาหเนน คามํ ปวิสิตุ’’นฺติ (มหาว. ๒๕๖) วจนโต ปน ยสฺส ปาทา วา ผาลิตา ปาทขีลา วา อาพาโธ ปาทา วา ทุกฺขา โหนฺติ, โย น สโกฺกติ อนุปาหโน คามํ ปวิสิตุํ, เอวรูเปน คิลาเนน สอุปาหเนน คามํ ปวิสิตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อชฺฌาราเม อุปาหนํ ธาเรตุํ อุกฺกํ ปทีปํ กตฺตรทณฺฑ’’นฺติ (มหาว. ๒๔๙) วจนโต อชฺฌาราเม อคิลานสฺสปิ อุปาหนํ ธาเรตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, saupāhanena gāmo pavisitabbo, yo paviseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 259) vacanato saupāhanena gāmo na pavisitabbo. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, gilānena bhikkhunā saupāhanena gāmaṃ pavisitu’’nti (mahāva. 256) vacanato pana yassa pādā vā phālitā pādakhīlā vā ābādho pādā vā dukkhā honti, yo na sakkoti anupāhano gāmaṃ pavisituṃ, evarūpena gilānena saupāhanena gāmaṃ pavisituṃ vaṭṭati. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ajjhārāme upāhanaṃ dhāretuṃ ukkaṃ padīpaṃ kattaradaṇḍa’’nti (mahāva. 249) vacanato ajjhārāme agilānassapi upāhanaṃ dhāretuṃ vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, อาจริเยสุ อาจริยมเตฺตสุ อุปชฺฌาเยสุ อุปชฺฌายมเตฺตสุ อนุปาหเนสุ จงฺกมมาเนสุ สอุปาหเนน จงฺกมิตพฺพํ, โย จงฺกเมยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๔๘) – วจนโต อาจริยาทีสุ อนุปาหเนสุ จงฺกมเนฺตสุ สอุปาหเนน น จงฺกมิตพฺพํฯ เอตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๔๘) จ ปพฺพชฺชาจริโย อุปสมฺปทาจริโย นิสฺสยาจริโย อุเทฺทสาจริโยติ อิเม จตฺตาโรปิ อิธ อาจริยา เอวฯ อวสฺสิกสฺส ฉพฺพโสฺส อาจริยมโตฺตฯ โส หิ จตุวสฺสกาเล ตํ นิสฺสาย วจฺฉติฯ เอวํ เอกวสฺสสฺส สตฺตวโสฺส, ทุวสฺสสฺส อฎฺฐวโสฺส, ติวสฺสสฺส นววโสฺส, จตุวสฺสสฺส ทสวโสฺสติ อิเมปิ อาจริยมตฺตา เอวฯ อุปชฺฌายสฺส สนฺทิฎฺฐสมฺภตฺตา ปน สหายภิกฺขู, เย วา ปน เกจิ ทสวเสฺสหิ มหนฺตตรา, เต สเพฺพปิ อุปชฺฌายมตฺตา นามฯ เอตฺตเกสุ ภิกฺขูสุ อนุปาหเนสุ จงฺกมเนฺตสุ สอุปาหนสฺส จงฺกมโต อาปตฺติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, ācariyesu ācariyamattesu upajjhāyesu upajjhāyamattesu anupāhanesu caṅkamamānesu saupāhanena caṅkamitabbaṃ, yo caṅkameyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 248) – vacanato ācariyādīsu anupāhanesu caṅkamantesu saupāhanena na caṅkamitabbaṃ. Ettha (mahāva. aṭṭha. 248) ca pabbajjācariyo upasampadācariyo nissayācariyo uddesācariyoti ime cattāropi idha ācariyā eva. Avassikassa chabbasso ācariyamatto. So hi catuvassakāle taṃ nissāya vacchati. Evaṃ ekavassassa sattavasso, duvassassa aṭṭhavasso, tivassassa navavasso, catuvassassa dasavassoti imepi ācariyamattā eva. Upajjhāyassa sandiṭṭhasambhattā pana sahāyabhikkhū, ye vā pana keci dasavassehi mahantatarā, te sabbepi upajjhāyamattā nāma. Ettakesu bhikkhūsu anupāhanesu caṅkamantesu saupāhanassa caṅkamato āpatti.

    ‘‘น , ภิกฺขเว, มหาจมฺมานิ ธาเรตพฺพานิ สีหจมฺมํ พฺยคฺฆจมฺมํ ทีปิจมฺมํ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส’’ฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, โคจมฺมํ ธาเรตพฺพํ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส’’ฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, กิญฺจิ จมฺมํ ธาเรตพฺพํ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๕๕) – วจนโต มชฺฌิมเทเส สีหจมฺมาทิ ยํ กิญฺจิ จมฺมํ คเหตฺวา ปริหริตุํ น วฎฺฎติฯ สีหจมฺมาทีนญฺจ ปริหรเณเยว ปฎิเกฺขโป กโตฯ ภูมตฺถรณวเสน ปน อญฺญตฺถ อนีหรเนฺตน ยํ กิญฺจิ จมฺมํ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na , bhikkhave, mahācammāni dhāretabbāni sīhacammaṃ byagghacammaṃ dīpicammaṃ, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassa’’. ‘‘Na, bhikkhave, gocammaṃ dhāretabbaṃ, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassa’’. ‘‘Na, bhikkhave, kiñci cammaṃ dhāretabbaṃ, yo dhāreyya, āpattidukkaṭassā’’ti (mahāva. 255) – vacanato majjhimadese sīhacammādi yaṃ kiñci cammaṃ gahetvā pariharituṃ na vaṭṭati. Sīhacammādīnañca pariharaṇeyeva paṭikkhepo kato. Bhūmattharaṇavasena pana aññattha anīharantena yaṃ kiñci cammaṃ paribhuñjituṃ vaṭṭati.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สพฺพปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ จมฺมานิ อตฺถรณานิ เอฬกจมฺมํ อชจมฺมํ มิคจมฺม’’นฺติ (มหาว. ๒๕๙) วจนโก ปน ปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ ยํ กิญฺจิ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๕๙) เอฬกจมฺมญฺจ อชจมฺมญฺจ อตฺถริตฺวา นิปชฺชิตุํ วา นิสีทิตุํ วา วฎฺฎติฯ มิคจเมฺม เอณิมิโค วาตมิโค ปสทมิโค กุรุงฺคมิโค มิคมาตุโก โรหิตมิโคติ เอเตสํเยว จมฺมานิ วฎฺฎนฺติ, อเญฺญสํ ปน –

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sabbapaccantimesu janapadesu cammāni attharaṇāni eḷakacammaṃ ajacammaṃ migacamma’’nti (mahāva. 259) vacanako pana paccantimesu janapadesu yaṃ kiñci (mahāva. aṭṭha. 259) eḷakacammañca ajacammañca attharitvā nipajjituṃ vā nisīdituṃ vā vaṭṭati. Migacamme eṇimigo vātamigo pasadamigo kuruṅgamigo migamātuko rohitamigoti etesaṃyeva cammāni vaṭṭanti, aññesaṃ pana –

    มกฺกโฎ กาฬสีโห จ, สรโภ กทลีมิโค;

    Makkaṭo kāḷasīho ca, sarabho kadalīmigo;

    เย จ วาฬมิคา เกจิ, เตสํ จมฺมํ น วฎฺฎติฯ

    Ye ca vāḷamigā keci, tesaṃ cammaṃ na vaṭṭati.

    ตตฺถ วาฬมิคาติ สีหพฺยคฺฆอจฺฉตรจฺฉาฯ น เกวลญฺจ เอเตเยว, เยสํ วา ปน จมฺมํ วฎฺฎตีติ วุตฺตํ, เต ฐเปตฺวา อวเสสา อนฺตมโส โคมหิํสสสพิฬาราทโยปิ สเพฺพ อิมสฺมิํ อเตฺถ ‘‘วาฬมิคา’’เตฺวว เวทิตพฺพาฯ เอเตสญฺหิ สเพฺพสํ ปน จมฺมํ น วฎฺฎติฯ

    Tattha vāḷamigāti sīhabyagghaacchataracchā. Na kevalañca eteyeva, yesaṃ vā pana cammaṃ vaṭṭatīti vuttaṃ, te ṭhapetvā avasesā antamaso gomahiṃsasasabiḷārādayopi sabbe imasmiṃ atthe ‘‘vāḷamigā’’tveva veditabbā. Etesañhi sabbesaṃ pana cammaṃ na vaṭṭati.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, ยาเนน ยายิตพฺพํ, โย ยาเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลานสฺส ยาน’’นฺติ (มหาว. ๒๕๓) วจนโต อคิลาเนน ภิกฺขุนา ยาเนน น คนฺตพฺพํฯ กตรํ ปน ยานํ กปฺปติ, กตรํ น กปฺปตีติ? ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปุริสยุตฺตํ หตฺถวฎฺฎกํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สิวิกํ ปาฎงฺกิ’’นฺติ (มหาว. ๒๕๓) วจนโต ปุริสยุตฺตํ หตฺถวฎฺฎกํ สิวิกา ปาฎงฺกี จ วฎฺฎติฯ เอตฺถ จ ปุริสยุตฺตํ อิตฺถิสารถิ วา โหตุ ปุริสสารถิ วา, วฎฺฎติ, เธนุยุตฺตํ ปน น วฎฺฎติฯ หตฺถวฎฺฎกํ ปน อิตฺถิโย วา วเฎฺฎนฺตุ ปุริสา วา, วฎฺฎติเยวฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, yānena yāyitabbaṃ, yo yāyeyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, gilānassa yāna’’nti (mahāva. 253) vacanato agilānena bhikkhunā yānena na gantabbaṃ. Kataraṃ pana yānaṃ kappati, kataraṃ na kappatīti? ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, purisayuttaṃ hatthavaṭṭakaṃ. Anujānāmi, bhikkhave, sivikaṃ pāṭaṅki’’nti (mahāva. 253) vacanato purisayuttaṃ hatthavaṭṭakaṃ sivikā pāṭaṅkī ca vaṭṭati. Ettha ca purisayuttaṃ itthisārathi vā hotu purisasārathi vā, vaṭṭati, dhenuyuttaṃ pana na vaṭṭati. Hatthavaṭṭakaṃ pana itthiyo vā vaṭṭentu purisā vā, vaṭṭatiyeva.

    ๕๗. ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อหตานํ ทุสฺสานํ อหตกปฺปานํ ทิคุณํ สงฺฆาฎิํ เอกจฺจิยํ อุตฺตราสงฺคํ เอกจฺจิยํ อนฺตรวาสกํ, อุตุทฺธฎานํ ทุสฺสานํ จตุคฺคุณํ สงฺฆาฎิํ ทิคุณํ อุตฺตราสงฺคํ ทิคุณํ อนฺตรวาสกํ, ปํสุกูเล ยาวทตฺถํ, ปาปณิเก อุสฺสาโห กรณีโย’’ติ (มหาว. ๓๔๘) วจนโต อโธตานํ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๔๘) เอกวารํ โธตานญฺจ วตฺถานํ ทุปฎฺฎา สงฺฆาฎิ กาตพฺพา, อุตฺตราสโงฺค อนฺตรวาสโก จ เอกปโฎฺฎ กาตโพฺพฯ อุตุทฺธฎานํ ปน หตวตฺถานํ ปิโลติกานํ สงฺฆาฎิ จตุคฺคุณา กาตพฺพา, อุตฺตราสโงฺค อนฺตรวาสโก จ ทุปโฎฺฎ กาตโพฺพ, ปํสุกูเล ปน ยถารุจิ กาตพฺพํฯ อนฺตราปณโต ปติตปิโลติกจีวเรปิ อุสฺสาโห กรณีโย, ปริเยสนา กาตพฺพา, ปริเจฺฉโท ปน นตฺถิ, ปฎฺฎสตมฺปิ วฎฺฎติฯ สพฺพมิทํ สาทิยนฺตสฺส ภิกฺขุโน วุตฺตํฯ ตีสุ ปน จีวเรสุ เทฺว วา เอกํ วา ฉินฺทิตฺวา กาตพฺพํฯ สเจ นปฺปโหติ, อาคนฺตุกปตฺตํ ทาตพฺพํฯ อาคนฺตุกปตฺตญฺหิ อปฺปโหนเก อนุญฺญาตํฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    57. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ahatānaṃ dussānaṃ ahatakappānaṃ diguṇaṃ saṅghāṭiṃ ekacciyaṃ uttarāsaṅgaṃ ekacciyaṃ antaravāsakaṃ, utuddhaṭānaṃ dussānaṃ catugguṇaṃ saṅghāṭiṃ diguṇaṃ uttarāsaṅgaṃ diguṇaṃ antaravāsakaṃ, paṃsukūle yāvadatthaṃ, pāpaṇike ussāho karaṇīyo’’ti (mahāva. 348) vacanato adhotānaṃ (mahāva. aṭṭha. 348) ekavāraṃ dhotānañca vatthānaṃ dupaṭṭā saṅghāṭi kātabbā, uttarāsaṅgo antaravāsako ca ekapaṭṭo kātabbo. Utuddhaṭānaṃ pana hatavatthānaṃ pilotikānaṃ saṅghāṭi catugguṇā kātabbā, uttarāsaṅgo antaravāsako ca dupaṭṭo kātabbo, paṃsukūle pana yathāruci kātabbaṃ. Antarāpaṇato patitapilotikacīvarepi ussāho karaṇīyo, pariyesanā kātabbā, paricchedo pana natthi, paṭṭasatampi vaṭṭati. Sabbamidaṃ sādiyantassa bhikkhuno vuttaṃ. Tīsu pana cīvaresu dve vā ekaṃ vā chinditvā kātabbaṃ. Sace nappahoti, āgantukapattaṃ dātabbaṃ. Āgantukapattañhi appahonake anuññātaṃ. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เทฺว ฉินฺนกานิ เอกํ อจฺฉินฺนกนฺติฯ เทฺว ฉินฺนกานิ เอกํ อจฺฉินฺนกํ นปฺปโหติฯ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เทฺว อจฺฉินฺนกานิ เอกํ ฉินฺนกนฺติฯ เทฺว อจฺฉินฺนกานิ เอกํ ฉินฺนกํ นปฺปโหติฯ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อนฺวาธิกมฺปิ อาโรเปตุํฯ น จ, ภิกฺขเว, สพฺพํ อจฺฉินฺนกํ ธาเรตพฺพํ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๖๐)ฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, dve chinnakāni ekaṃ acchinnakanti. Dve chinnakāni ekaṃ acchinnakaṃ nappahoti. Bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ. Anujānāmi, bhikkhave, dve acchinnakāni ekaṃ chinnakanti. Dve acchinnakāni ekaṃ chinnakaṃ nappahoti. Bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ. Anujānāmi, bhikkhave, anvādhikampi āropetuṃ. Na ca, bhikkhave, sabbaṃ acchinnakaṃ dhāretabbaṃ, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 360).

    ตสฺมา สเจ ปโหติ อาคนฺตุกปตฺตํ, น วฎฺฎติ, ฉินฺทิตพฺพเมวฯ

    Tasmā sace pahoti āgantukapattaṃ, na vaṭṭati, chinditabbameva.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, โปตฺถโก นิวาเสตโพฺพ, โย นิวาเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ น, ภิกฺขเว, สพฺพนีลกานิ จีวรานิ ธาเรตพฺพานิ… น สพฺพปีตกานิ… น สพฺพโลหิตกานิ… น สพฺพมญฺชิฎฺฐกานิ… น สพฺพกณฺหานิ… น สพฺพมหารงฺครตฺตานิ… น สพฺพมหานามรตฺตานิ… น อจฺฉินฺนทสานิ… น ทีฆทสานิ… น ปุปฺผทสานิ… น ผลทสานิ จีวรานิ ธาเรตพฺพานิ… น กญฺจุกํ… น ติรีฎกํ… น เวฐนํ ธาเรตพฺพํ, โย ธาเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๗๑-๓๗๒) – วจนโต โปตฺถกาทีนิ น ธาเรตพฺพานิฯ ตตฺถ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๗๑-๓๗๒) โปตฺถโกติ มกจิมโย วุจฺจติ, อกฺกทุสฺสกทลิทุสฺสเอรกทุสฺสานิปิ โปตฺถกคติกาเนวฯ สพฺพนีลกาทีนิ รชนํ โธวิตฺวา ปุน รชิตฺวา ธาเรตพฺพานิฯ น สกฺกา เจ โหนฺติ โธวิตุํ, ปจฺจตฺถรณานิ วา กาตพฺพานิฯ ติปฎฺฎจีวรสฺส วา มเชฺฌ ทาตพฺพานิฯ เตสํ วณฺณนานตฺตํ อุปาหนาสุ วุตฺตนยเมวฯ อจฺฉินฺนทสทีฆทสานิ ทสา ฉินฺทิตฺวา ธาเรตพฺพานิฯ กญฺจุกํ ลภิตฺวา ผาเลตฺวา รชิตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ เวฐเนปิ เอเสว นโยฯ ติรีฎกํ ปน รุกฺขจฺฉลฺลิมยํ, ตํ ปาทปุญฺฉนิํ กาตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, potthako nivāsetabbo, yo nivāseyya, āpatti dukkaṭassa. Na, bhikkhave, sabbanīlakāni cīvarāni dhāretabbāni… na sabbapītakāni… na sabbalohitakāni… na sabbamañjiṭṭhakāni… na sabbakaṇhāni… na sabbamahāraṅgarattāni… na sabbamahānāmarattāni… na acchinnadasāni… na dīghadasāni… na pupphadasāni… na phaladasāni cīvarāni dhāretabbāni… na kañcukaṃ… na tirīṭakaṃ… na veṭhanaṃ dhāretabbaṃ, yo dhāreyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 371-372) – vacanato potthakādīni na dhāretabbāni. Tattha (mahāva. aṭṭha. 371-372) potthakoti makacimayo vuccati, akkadussakadalidussaerakadussānipi potthakagatikāneva. Sabbanīlakādīni rajanaṃ dhovitvā puna rajitvā dhāretabbāni. Na sakkā ce honti dhovituṃ, paccattharaṇāni vā kātabbāni. Tipaṭṭacīvarassa vā majjhe dātabbāni. Tesaṃ vaṇṇanānattaṃ upāhanāsu vuttanayameva. Acchinnadasadīghadasāni dasā chinditvā dhāretabbāni. Kañcukaṃ labhitvā phāletvā rajitvā paribhuñjituṃ vaṭṭati. Veṭhanepi eseva nayo. Tirīṭakaṃ pana rukkhacchallimayaṃ, taṃ pādapuñchaniṃ kātuṃ vaṭṭati.

    ๕๘. ‘‘น, ภิกฺขเว, อธมฺมกมฺมํ กาตพฺพํ, โย กเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อธมฺมกเมฺม กยิรมาเน ปฎิโกฺกสิตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๕๔) วจนโต อธมฺมกมฺมํ น กาตพฺพํ, กยิรมานญฺจ นิวาเรตพฺพํฯ นิวาเรเนฺตหิ จ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, จตูหิ ปญฺจหิ ปฎิโกฺกสิตุํ, ทฺวีหิ ตีหิ ทิฎฺฐิํ อาวิกาตุํ, เอเกน อธิฎฺฐาตุํ ‘น เมตํ ขมตี’’ติ (มหาว. ๑๕๔) วจนโต ยตฺถ นิวาเรนฺตสฺส ภิกฺขุโน อุปทฺทวํ กโรนฺติ, ตตฺถ เอกเกน น นิวาเรตพฺพํฯ สเจ จตฺตาโร ปญฺจ วา โหนฺติ, นิวาเรตพฺพํฯ สเจ ปน เทฺว วา ตโย วา โหนฺติ, ‘‘อธมฺมกมฺมํ อิทํ, น เมตํ ขมตี’’ติ เอวํ อญฺญสฺส สนฺติเก อตฺตโน ทิฎฺฐิ อาวิกาตพฺพาฯ สเจ เอโกว โหติ, ‘‘น เมตํ ขมตี’’ติ อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สพฺพเญฺจตํ เตสํ อนุปทฺทวตฺถาย วุตฺตํฯ

    58. ‘‘Na, bhikkhave, adhammakammaṃ kātabbaṃ, yo kareyya, āpatti dukkaṭassa. Anujānāmi, bhikkhave, adhammakamme kayiramāne paṭikkositu’’nti (mahāva. 154) vacanato adhammakammaṃ na kātabbaṃ, kayiramānañca nivāretabbaṃ. Nivārentehi ca ‘‘anujānāmi, bhikkhave, catūhi pañcahi paṭikkosituṃ, dvīhi tīhi diṭṭhiṃ āvikātuṃ, ekena adhiṭṭhātuṃ ‘na metaṃ khamatī’’ti (mahāva. 154) vacanato yattha nivārentassa bhikkhuno upaddavaṃ karonti, tattha ekakena na nivāretabbaṃ. Sace cattāro pañca vā honti, nivāretabbaṃ. Sace pana dve vā tayo vā honti, ‘‘adhammakammaṃ idaṃ, na metaṃ khamatī’’ti evaṃ aññassa santike attano diṭṭhi āvikātabbā. Sace ekova hoti, ‘‘na metaṃ khamatī’’ti adhiṭṭhātabbaṃ. Sabbañcetaṃ tesaṃ anupaddavatthāya vuttaṃ.

    ๕๙. ‘‘น, ภิกฺขเว, อโนกาสกโต ภิกฺขุ อาปตฺติยา โจเทตโพฺพ, โย โจเทยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๕๓) วจนโต โจเทเนฺตน ‘‘กโรตุ เม อายสฺมา โอกาสํ, อหํ ตํ วตฺตุกาโม’’ติ เอวํ โอกาสํ การาเปตฺวา โจเทตโพฺพฯ อธิปฺปายเภโท ปเนตฺถ เวทิตโพฺพ (มหาว. อฎฺฐ. ๒.๓๘๙)ฯ อยญฺหิ อธิปฺปาโย นาม จาวนาธิปฺปาโย อโกฺกสาธิปฺปาโย กมฺมาธิปฺปาโย วุฎฺฐานาธิปฺปาโย อุโปสถปวารณฎฺฐปนาธิปฺปาโย อนุวิชฺชนาธิปฺปาโย ธมฺมกถาธิปฺปาโยติ อเนกวิโธฯ ตตฺถ ปุริเมสุ จตูสุ อธิปฺปาเยสุ โอกาสํ อการาเปนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, โอกาสํ การาเปตฺวาปิ สมฺมุขา อมูลเกน ปาราชิเกน โจเทนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโส, อมูลเกน สงฺฆาทิเสเสน โจเทนฺตสฺส ปาจิตฺติยํ, อมูลิกาย อาจารวิปตฺติยา โจเทนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, อโกฺกสาธิปฺปาเยน วทนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ อสมฺมุขา ปน สตฺตหิปิ อาปตฺติกฺขเนฺธหิ วทนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, อสมฺมุขา เอว สตฺตวิธมฺปิ กมฺมํ กโรนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘วุฎฺฐานาธิปฺปาเยน ‘ตฺวํ อิมํ นาม อาปตฺติํ อาปโนฺน, ตํ ปฎิกโรหี’ติ วทนฺตสฺส โอกาสกิจฺจํ นตฺถี’’ติ วุตฺตํฯ อุโปสถปวารณํ ฐเปนฺตสฺสปิ โอกาสกมฺมํ นตฺถิ, ฐปนเขตฺตํ ปน ชานิตพฺพํ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อชฺชุโปสโถ ปนฺนรโส, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อุโปสถํ กเร’’ติฯ

    59. ‘‘Na, bhikkhave, anokāsakato bhikkhu āpattiyā codetabbo, yo codeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 153) vacanato codentena ‘‘karotu me āyasmā okāsaṃ, ahaṃ taṃ vattukāmo’’ti evaṃ okāsaṃ kārāpetvā codetabbo. Adhippāyabhedo panettha veditabbo (mahāva. aṭṭha. 2.389). Ayañhi adhippāyo nāma cāvanādhippāyo akkosādhippāyo kammādhippāyo vuṭṭhānādhippāyo uposathapavāraṇaṭṭhapanādhippāyo anuvijjanādhippāyo dhammakathādhippāyoti anekavidho. Tattha purimesu catūsu adhippāyesu okāsaṃ akārāpentassa dukkaṭaṃ, okāsaṃ kārāpetvāpi sammukhā amūlakena pārājikena codentassa saṅghādiseso, amūlakena saṅghādisesena codentassa pācittiyaṃ, amūlikāya ācāravipattiyā codentassa dukkaṭaṃ, akkosādhippāyena vadantassa pācittiyaṃ. Asammukhā pana sattahipi āpattikkhandhehi vadantassa dukkaṭaṃ, asammukhā eva sattavidhampi kammaṃ karontassa dukkaṭameva. Kurundiyaṃ pana ‘‘vuṭṭhānādhippāyena ‘tvaṃ imaṃ nāma āpattiṃ āpanno, taṃ paṭikarohī’ti vadantassa okāsakiccaṃ natthī’’ti vuttaṃ. Uposathapavāraṇaṃ ṭhapentassapi okāsakammaṃ natthi, ṭhapanakhettaṃ pana jānitabbaṃ ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, ajjuposatho pannaraso, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho uposathaṃ kare’’ti.

    เอตสฺมิญฺหิ เร-กาเร อนติกฺกเนฺตเยว ฐเปตุํ ลพฺภติ, ตโต ปรํ ปน ยฺย-กาเร ปเตฺต น ลพฺภติฯ เอส นโย ปวารณายฯ

    Etasmiñhi re-kāre anatikkanteyeva ṭhapetuṃ labbhati, tato paraṃ pana yya-kāre patte na labbhati. Esa nayo pavāraṇāya.

    อนุวิชฺชกสฺสปิ โอสเฎ วตฺถุสฺมิํ ‘‘อเตฺถตํ ตวา’’ติ อนุวิชฺชนาธิปฺปาเยน วทนฺตสฺส โอกาสกมฺมํ นตฺถิฯ ธมฺมกถิกสฺสปิ ธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘โย อิทญฺจิทญฺจ กโรติ, อยํ ภิกฺขุ อสฺสมโณ’’ติอาทินา นเยน อโนทิสฺส ธมฺมํ กเถนฺตสฺส โอกาสกมฺมํ นตฺถิฯ สเจ ปน โอทิสฺส นิยเมตฺวา ‘‘อสุโก จ อสุโก จ อสฺสมโณ อนุปาสโก’’ติ กเถติ, ธมฺมาสนโต โอโรหิตฺวา อาปตฺติํ เทเสตฺวา คนฺตพฺพํฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, สุทฺธานํ ภิกฺขูนํ อนาปตฺติกานํ อวตฺถุสฺมิํ อการเณ โอกาโส การาเปตโพฺพ, โย การาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๕๓) วจนโต สุทฺธานํ ภิกฺขูนํ อการเณ วตฺถุสฺมิํ โอกาโส น กาเรตโพฺพฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปุคฺคลํ ตุลยิตฺวา โอกาสํ กาตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๕๓) วจนโต ‘‘ภูตเมว นุ โข อาปตฺติํ วทติ, อภูต’’นฺติ เอวํ อุปปริกฺขิตฺวา โอกาโส กาตโพฺพฯ

    Anuvijjakassapi osaṭe vatthusmiṃ ‘‘atthetaṃ tavā’’ti anuvijjanādhippāyena vadantassa okāsakammaṃ natthi. Dhammakathikassapi dhammāsane nisīditvā ‘‘yo idañcidañca karoti, ayaṃ bhikkhu assamaṇo’’tiādinā nayena anodissa dhammaṃ kathentassa okāsakammaṃ natthi. Sace pana odissa niyametvā ‘‘asuko ca asuko ca assamaṇo anupāsako’’ti katheti, dhammāsanato orohitvā āpattiṃ desetvā gantabbaṃ. ‘‘Na, bhikkhave, suddhānaṃ bhikkhūnaṃ anāpattikānaṃ avatthusmiṃ akāraṇe okāso kārāpetabbo, yo kārāpeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 153) vacanato suddhānaṃ bhikkhūnaṃ akāraṇe vatthusmiṃ okāso na kāretabbo. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, puggalaṃ tulayitvā okāsaṃ kātu’’nti (mahāva. 153) vacanato ‘‘bhūtameva nu kho āpattiṃ vadati, abhūta’’nti evaṃ upaparikkhitvā okāso kātabbo.

    ๖๐. ‘‘น, ภิกฺขเว, สทฺธาเทยฺยํ วินิปาเตตพฺพํ, โย วินิปาเตยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๖๑) วจนโต สทฺธาเทยฺยํ น วินิปาเตตพฺพํฯ ฐเปตฺวา มาตาปิตโร (มหาว. อฎฺฐ. ๓๖๑) เสสญาตีนํ เทโนฺตปิ วินิปาเตติเยว, มาตาปิตโร ปน รเชฺช ฐิตาปิ ปตฺถยนฺติ, ทาตพฺพํฯ

    60. ‘‘Na, bhikkhave, saddhādeyyaṃ vinipātetabbaṃ, yo vinipāteyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 361) vacanato saddhādeyyaṃ na vinipātetabbaṃ. Ṭhapetvā mātāpitaro (mahāva. aṭṭha. 361) sesañātīnaṃ dentopi vinipātetiyeva, mātāpitaro pana rajje ṭhitāpi patthayanti, dātabbaṃ.

    ๖๑. ‘‘น , ภิกฺขเว, สนฺตรุตฺตเรน คาโม ปวิสิตโพฺพ, โย ปวิเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๖๒) วจนโต สนฺตรุตฺตเรน คาโม น ปวิสิตโพฺพฯ

    61. ‘‘Na , bhikkhave, santaruttarena gāmo pavisitabbo, yo paviseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 362) vacanato santaruttarena gāmo na pavisitabbo.

    ๖๒. ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, ปจฺจยา สงฺฆาฎิยา นิเกฺขปายฯ คิลาโน วา โหติ, วสฺสิกสเงฺกตํ วา โหติ, นทีปารคตํ วา โหติ, อคฺคฬคุตฺติวิหาโร วา โหติ, อตฺถตกถินํ วา โหติฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ ปจฺจยา สงฺฆาฎิยา นิเกฺขปายา’’ติ (มหาว. ๓๖๒) – วจนโต ปน คเหตฺวา คนฺตุํ อสมโตฺถ คิลาโน วา โหติ, วสฺสิกสเงฺกตาทีสุ วา อญฺญตรํ การณํ, เอวรูเปสุ ปจฺจเยสุ สงฺฆาฎิํ อคฺคฬคุตฺติวิหาเร ฐเปตฺวา สนฺตรุตฺตเรน คนฺตุํ วฎฺฎติฯ สเพฺพเสฺวว หิ เอเตสุ คิลานวสฺสิกสเงฺกตนทีปารคมนอตฺถตกถินภาเวสุ อคฺคฬคุตฺติเยว ปมาณํ, คุเตฺต เอว วิหาเร นิกฺขิปิตฺวา พหิ คนฺตุํ วฎฺฎติ, นาคุเตฺตฯ อารญฺญกสฺส ปน วิหาโร น สุคุโตฺต โหติ, เตน ภณฺฑุกฺขลิกาย ปกฺขิปิตฺวา ปาสาณสุสิรรุกฺขสุสิราทีสุ สุปฎิจฺฉเนฺนสุ ฐเปตฺวา คนฺตพฺพํฯ อุตฺตราสงฺคอนฺตรวาสกานํ นิเกฺขเปปิ อิเมเยว ปญฺจ ปจฺจยา เวทิตพฺพาฯ

    62. ‘‘Pañcime, bhikkhave, paccayā saṅghāṭiyā nikkhepāya. Gilāno vā hoti, vassikasaṅketaṃ vā hoti, nadīpāragataṃ vā hoti, aggaḷaguttivihāro vā hoti, atthatakathinaṃ vā hoti. Ime kho, bhikkhave, pañca paccayā saṅghāṭiyā nikkhepāyā’’ti (mahāva. 362) – vacanato pana gahetvā gantuṃ asamattho gilāno vā hoti, vassikasaṅketādīsu vā aññataraṃ kāraṇaṃ, evarūpesu paccayesu saṅghāṭiṃ aggaḷaguttivihāre ṭhapetvā santaruttarena gantuṃ vaṭṭati. Sabbesveva hi etesu gilānavassikasaṅketanadīpāragamanaatthatakathinabhāvesu aggaḷaguttiyeva pamāṇaṃ, gutte eva vihāre nikkhipitvā bahi gantuṃ vaṭṭati, nāgutte. Āraññakassa pana vihāro na sugutto hoti, tena bhaṇḍukkhalikāya pakkhipitvā pāsāṇasusirarukkhasusirādīsu supaṭicchannesu ṭhapetvā gantabbaṃ. Uttarāsaṅgaantaravāsakānaṃ nikkhepepi imeyeva pañca paccayā veditabbā.

    ๖๓. ‘‘น, ภิกฺขเว, สมฺพาธสฺส สามนฺตา ทฺวงฺคุลา สตฺถกมฺมํ วา วตฺถิกมฺมํ วา การาเปตพฺพํ, โย การาเปยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๗๙) วจนโต ยถาปริจฺฉิเนฺน โอกาเส (มหาว. อฎฺฐ. ๒๗๙) เยน เกนจิ สเตฺถน วา สูจิยา วา กณฺฎเกน วา สตฺติกาย วา ปาสาณสกฺขลิกาย วา นเขน วา ฉินฺทนํ วา ผาลนํ วา วิชฺฌนํ วา เลขนํ วา น กาตพฺพํ, สพฺพเญฺหตํ สตฺถกมฺมเมว โหติฯ เยน เกนจิ ปน จเมฺมน วา วเตฺถน วา วตฺถิปีฬนมฺปิ น กาตพฺพํ, สพฺพเญฺหตํ วตฺถิกมฺมเมว โหติฯ เอตฺถ จ ‘‘สมฺพาธสฺส สามนฺตา ทฺวงฺคุลา’’ติ อิทํ สตฺถกมฺมํเยว สนฺธาย วุตฺตํ, วตฺถิกมฺมํ ปน สมฺพาเธเยว ปฎิกฺขิตฺตํฯ ตตฺถ ปน ขารํ วา ทาตุํ เยน เกนจิ รชฺชุเกน วา พนฺธิตุํ วฎฺฎติ, ยทิ เตน ฉิชฺชติ, สุจฺฉินฺนํฯ อณฺฑวุฑฺฒิโรเคปิ สตฺถกมฺมํ น วฎฺฎติ, ตสฺมา ‘‘อณฺฑํ ผาเลตฺวา พีชานิ อุทฺธริตฺวา อโรคํ กริสฺสามี’’ติ น กาตพฺพํ, อคฺคิตาปนเภสชฺชเลปเนสุ ปน ปฎิเกฺขโป นตฺถิฯ วจฺจมเคฺค เภสชฺชมกฺขิตา อาทานวฎฺฎิ วา เวฬุนาฬิกา วา วฎฺฎติ, ยาย ขารกมฺมํ วา กโรนฺติ, เตลํ วา ปเวเสนฺติฯ

    63. ‘‘Na, bhikkhave, sambādhassa sāmantā dvaṅgulā satthakammaṃ vā vatthikammaṃ vā kārāpetabbaṃ, yo kārāpeyya, āpatti thullaccayassā’’ti (mahāva. 279) vacanato yathāparicchinne okāse (mahāva. aṭṭha. 279) yena kenaci satthena vā sūciyā vā kaṇṭakena vā sattikāya vā pāsāṇasakkhalikāya vā nakhena vā chindanaṃ vā phālanaṃ vā vijjhanaṃ vā lekhanaṃ vā na kātabbaṃ, sabbañhetaṃ satthakammameva hoti. Yena kenaci pana cammena vā vatthena vā vatthipīḷanampi na kātabbaṃ, sabbañhetaṃ vatthikammameva hoti. Ettha ca ‘‘sambādhassa sāmantā dvaṅgulā’’ti idaṃ satthakammaṃyeva sandhāya vuttaṃ, vatthikammaṃ pana sambādheyeva paṭikkhittaṃ. Tattha pana khāraṃ vā dātuṃ yena kenaci rajjukena vā bandhituṃ vaṭṭati, yadi tena chijjati, succhinnaṃ. Aṇḍavuḍḍhirogepi satthakammaṃ na vaṭṭati, tasmā ‘‘aṇḍaṃ phāletvā bījāni uddharitvā arogaṃ karissāmī’’ti na kātabbaṃ, aggitāpanabhesajjalepanesu pana paṭikkhepo natthi. Vaccamagge bhesajjamakkhitā ādānavaṭṭi vā veḷunāḷikā vā vaṭṭati, yāya khārakammaṃ vā karonti, telaṃ vā pavesenti.

    ๖๔. ‘‘น, ภิกฺขเว, นหาปิตปุเพฺพน ขุรภณฺฑํ ปริหริตพฺพํ, โย ปริหเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๐๓) วจนโต นหาปิตปุเพฺพน (มหาว. อฎฺฐ. ๓๐๓) ขุรภณฺฑํ คเหตฺวา ปริหริตุํ น วฎฺฎติ, อญฺญสฺส สนฺตเกน ปน เกเส เฉเทตุํ วฎฺฎติฯ สเจ เวตนํ คเหตฺวา ฉินฺทติ, น วฎฺฎติฯ โย อนหาปิตปุโพฺพ, ตเสฺสว ปริหริตุํ วฎฺฎติ, ตํ วา อญฺญํ วา คเหตฺวา เกเส เฉเทตุมฺปิ วฎฺฎติฯ

    64. ‘‘Na, bhikkhave, nahāpitapubbena khurabhaṇḍaṃ pariharitabbaṃ, yo parihareyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 303) vacanato nahāpitapubbena (mahāva. aṭṭha. 303) khurabhaṇḍaṃ gahetvā pariharituṃ na vaṭṭati, aññassa santakena pana kese chedetuṃ vaṭṭati. Sace vetanaṃ gahetvā chindati, na vaṭṭati. Yo anahāpitapubbo, tasseva pariharituṃ vaṭṭati, taṃ vā aññaṃ vā gahetvā kese chedetumpi vaṭṭati.

    ๖๕. ‘‘สงฺฆิกานิ , ภิกฺขเว, พีชานิ ปุคฺคลิกาย ภูมิยา โรปิตานิ ภาคํ ทตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพานิฯ ปุคฺคลิกานิ พีชานิ สงฺฆิกาย ภูมิยา โรปิตานิ ภาคํ ทตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพานี’’ติ (มหาว. ๓๐๔) – วจนโต ปุคฺคลิกาย ภูมิยา สงฺฆิเกสุ พีเชสุ โรปิเตสุ สงฺฆิกาย ภูมิยา วา ปุคฺคลิเกสุ พีเชสุ โรปิเตสุ ทสมภาคํ ทตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ อิทํ กิร ชมฺพุทีเป โปราณกจาริตฺตํ, ตสฺมา ทส โกฎฺฐาเส กตฺวา เอโก โกฎฺฐาโส ภูมิสามิกานํ ทาตโพฺพฯ

    65. ‘‘Saṅghikāni , bhikkhave, bījāni puggalikāya bhūmiyā ropitāni bhāgaṃ datvā paribhuñjitabbāni. Puggalikāni bījāni saṅghikāya bhūmiyā ropitāni bhāgaṃ datvā paribhuñjitabbānī’’ti (mahāva. 304) – vacanato puggalikāya bhūmiyā saṅghikesu bījesu ropitesu saṅghikāya bhūmiyā vā puggalikesu bījesu ropitesu dasamabhāgaṃ datvā paribhuñjitabbaṃ. Idaṃ kira jambudīpe porāṇakacārittaṃ, tasmā dasa koṭṭhāse katvā eko koṭṭhāso bhūmisāmikānaṃ dātabbo.

    ๖๖. ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, มคฺคา กนฺตารา อโปฺปทกา อปฺปภกฺขา, น สุกรา อปาเถเยฺยน คนฺตุํฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปาเถยฺยํ ปริเยสิตุํฯ ตณฺฑุโล ตณฺฑุลตฺถิเกน, มุโคฺค มุคฺคตฺถิเกน, มาโส มาสตฺถิเกน, โลณํ โลณตฺถิเกน, คุโฬ คุฬตฺถิเกน, เตลํ เตลตฺถิเกน, สปฺปิ สปฺปิตฺถิเกนา’’ติ (มหาว. ๒๙๙) – วจนโต ตาทิสํ กนฺตารํ นิตฺถรเนฺตน ปาเถยฺยํ ปริเยสิตุํ วฎฺฎติฯ กถํ ปน ปริเยสิตพฺพนฺติ? สเจ (มหาว. อฎฺฐ. ๒๙๖) เกจิสยเมว ญตฺวา เทนฺติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ เทนฺติ, ญาติปวาริตฎฺฐานโต วา ภิกฺขาจารวเตฺตน วา ปริเยสิตพฺพํฯ ตถา อลภเนฺตน อญฺญาติกอปฺปวาริตฎฺฐานโต ยาจิตฺวาปิ คเหตพฺพํฯ เอกทิวเสน คมนีเย มเคฺค เอกภตฺตตฺถาย ปริเยสิตพฺพํฯ ทีเฆ อทฺธาเน ยตฺตเกน กนฺตารํ นิตฺถรติ, ตตฺตกํ ปริเยสิตพฺพํฯ

    66. ‘‘Santi, bhikkhave, maggā kantārā appodakā appabhakkhā, na sukarā apātheyyena gantuṃ. Anujānāmi, bhikkhave, pātheyyaṃ pariyesituṃ. Taṇḍulo taṇḍulatthikena, muggo muggatthikena, māso māsatthikena, loṇaṃ loṇatthikena, guḷo guḷatthikena, telaṃ telatthikena, sappi sappitthikenā’’ti (mahāva. 299) – vacanato tādisaṃ kantāraṃ nittharantena pātheyyaṃ pariyesituṃ vaṭṭati. Kathaṃ pana pariyesitabbanti? Sace (mahāva. aṭṭha. 296) kecisayameva ñatvā denti, iccetaṃ kusalaṃ. No ce denti, ñātipavāritaṭṭhānato vā bhikkhācāravattena vā pariyesitabbaṃ. Tathā alabhantena aññātikaappavāritaṭṭhānato yācitvāpi gahetabbaṃ. Ekadivasena gamanīye magge ekabhattatthāya pariyesitabbaṃ. Dīghe addhāne yattakena kantāraṃ nittharati, tattakaṃ pariyesitabbaṃ.

    ๖๗. ‘‘ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ น กปฺปตี’ติ อปฺปฎิกฺขิตฺตํ, ตเญฺจ อกปฺปิยํ อนุโลเมติ, กปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว น กปฺปติฯ ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ น กปฺปตี’ติ อปฺปฎิกฺขิตฺตํ, ตเญฺจ กปฺปิยํ อนุโลเมติ, อกปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว กปฺปติฯ ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ กปฺปตี’ติ อนนุญฺญาตํ, ตเญฺจ อกปฺปิยํ อนุโลเมติ, กปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว น กปฺปติฯ ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ กปฺปตี’ติ อนนุญฺญาตํ, ตเญฺจ กปฺปิยํ อนุโลเมติ, อกปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว กปฺปตี’’ติ (มหาว. ๓๐๕) – อิเม จตฺตาโร มหาปเทเส ภควา ภิกฺขูนํ นยคฺคหณตฺถาย อาหฯ ตตฺถ ธมฺมสงฺคาหกเตฺถรา สุตฺตํ คเหตฺวา ปริมทฺทนฺตา อิทํ อทฺทสํสุฯ ‘‘ฐเปตฺวา ธญฺญผลรส’’นฺติ สตฺต ธญฺญรสานิ ‘‘ปจฺฉาภตฺตํ น กปฺปตี’’ติ ปฎิกฺขิตฺตานิ ฯ ตาลนาฬิเกรปนสลพุชอลาพุกุมฺภณฺฑปุสฺสผลติปุสผลเอฬาลุกานิ นว มหาผลานิ สพฺพญฺจ อปรณฺณํ ธญฺญคติกเมวฯ ตํ กิญฺจาปิ น ปฎิกฺขิตฺตํ , อถ โข อกปฺปิยํ อนุโลเมติ, ตสฺมา ปจฺฉาภตฺตํ น กปฺปติฯ อฎฺฐ ปานานิ อนุญฺญาตานิ, อวเสสานิ เวตฺตตินฺติณิกมาตุลุงฺคกปิฎฺฐโกสมฺพกรมนฺทาทิขุทฺทกผลปานานิ อฎฺฐปานคติกาเนวฯ ตานิ กิญฺจาปิ น อนุญฺญาตานิ, อถ โข กปฺปิยํ อนุโลเมนฺติ, ตสฺมา กปฺปนฺติฯ ฐเปตฺวา หิ สานุโลมํ ธญฺญผลรสํ อญฺญํ ผลปานํ นาม อกปฺปิยํ นตฺถิ, สพฺพํ ยามกาลิกํเยวาติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ

    67. ‘‘Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ na kappatī’ti appaṭikkhittaṃ, tañce akappiyaṃ anulometi, kappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo na kappati. Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ na kappatī’ti appaṭikkhittaṃ, tañce kappiyaṃ anulometi, akappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo kappati. Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ kappatī’ti ananuññātaṃ, tañce akappiyaṃ anulometi, kappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo na kappati. Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ kappatī’ti ananuññātaṃ, tañce kappiyaṃ anulometi, akappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo kappatī’’ti (mahāva. 305) – ime cattāro mahāpadese bhagavā bhikkhūnaṃ nayaggahaṇatthāya āha. Tattha dhammasaṅgāhakattherā suttaṃ gahetvā parimaddantā idaṃ addasaṃsu. ‘‘Ṭhapetvā dhaññaphalarasa’’nti satta dhaññarasāni ‘‘pacchābhattaṃ na kappatī’’ti paṭikkhittāni . Tālanāḷikerapanasalabujaalābukumbhaṇḍapussaphalatipusaphalaeḷālukāni nava mahāphalāni sabbañca aparaṇṇaṃ dhaññagatikameva. Taṃ kiñcāpi na paṭikkhittaṃ , atha kho akappiyaṃ anulometi, tasmā pacchābhattaṃ na kappati. Aṭṭha pānāni anuññātāni, avasesāni vettatintiṇikamātuluṅgakapiṭṭhakosambakaramandādikhuddakaphalapānāni aṭṭhapānagatikāneva. Tāni kiñcāpi na anuññātāni, atha kho kappiyaṃ anulomenti, tasmā kappanti. Ṭhapetvā hi sānulomaṃ dhaññaphalarasaṃ aññaṃ phalapānaṃ nāma akappiyaṃ natthi, sabbaṃ yāmakālikaṃyevāti kurundiyaṃ vuttaṃ.

    ภควตา – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ฉ จีวรานิ โขมํ กปฺปาสิกํ โกเสยฺยํ กมฺพลํ สาณํ ภงฺค’’นฺติ (มหาว. ๓๓๙) ฉ จีวรานิ อนุญฺญาตานิ, ธมฺมสงฺคาหกเตฺถเรหิ เตสํ อนุโลมานิ ทุกูลํ ปตฺตุณฺณํ จีนปฎฺฎํ โสมารปฎฺฎํ อิทฺธิมยํ เทวทตฺติยนฺติ อปรานิ ฉ อนุญฺญาตานิฯ ตตฺถ ปตฺตุณฺณนฺติ ปตฺตุณฺณเทเส ปาณเกหิ สญฺชาตวตฺถํฯ เทฺว ปฎานิ เทสนาเมเนว วุตฺตานิฯ ตีณิ โกเสยฺยสฺส อนุโลมานิ, ทุกูลํ สาณสฺส, อิตรานิ เทฺว กปฺปาสิกสฺส วา สเพฺพสํ วาฯ

    Bhagavatā – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, cha cīvarāni khomaṃ kappāsikaṃ koseyyaṃ kambalaṃ sāṇaṃ bhaṅga’’nti (mahāva. 339) cha cīvarāni anuññātāni, dhammasaṅgāhakattherehi tesaṃ anulomāni dukūlaṃ pattuṇṇaṃ cīnapaṭṭaṃ somārapaṭṭaṃ iddhimayaṃ devadattiyanti aparāni cha anuññātāni. Tattha pattuṇṇanti pattuṇṇadese pāṇakehi sañjātavatthaṃ. Dve paṭāni desanāmeneva vuttāni. Tīṇi koseyyassa anulomāni, dukūlaṃ sāṇassa, itarāni dve kappāsikassa vā sabbesaṃ vā.

    ภควตา เอกาทส ปเตฺต ปฎิกฺขิปิตฺวา เทฺว ปตฺตา อนุญฺญาตา โลหปโตฺต จ มตฺติกาปโตฺต จฯ โลหถาลกํ มตฺติกาถาลกํ ตมฺพโลหถาลกนฺติ เตสํเยว อนุโลมานิฯ ภควตา ตโย ตุมฺพา อนุญฺญาตา โลหตุโมฺพ กฎฺฐตุโมฺพ ผลตุโมฺพติฯ กุณฺฑิกา กญฺจนโก อุทกตุโมฺพติ เตสํเยว อนุโลมานิฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘ปานียสงฺขปานียสราวกานํ เอเต อนุโลมา’’ติ วุตฺตํฯ ปฎฺฎิกา สูกรนฺตนฺติ เทฺว กายพนฺธนานิ อนุญฺญาตานิฯ ทุสฺสปเฎฺฎน รชฺชุเกน จ กตกายพนฺธนานิ เตสํเยว อนุโลมานิฯ เสตจฺฉตฺตํ กิลญฺชจฺฉตฺตํ ปณฺณจฺฉตฺตนฺติ ตีณิ ฉตฺตานิ อนุญฺญาตานิฯ เอกปณฺณจฺฉตฺตํ เตสํเยว อนุโลมนฺติ อิมินา นเยน ปาฬิญฺจ อฎฺฐกถญฺจ อนุเปกฺขิตฺวา อญฺญานิปิ กปฺปิยากปฺปิยานํ อนุโลมานิ วินยธเรน เวทิตพฺพานิฯ

    Bhagavatā ekādasa patte paṭikkhipitvā dve pattā anuññātā lohapatto ca mattikāpatto ca. Lohathālakaṃ mattikāthālakaṃ tambalohathālakanti tesaṃyeva anulomāni. Bhagavatā tayo tumbā anuññātā lohatumbo kaṭṭhatumbo phalatumboti. Kuṇḍikā kañcanako udakatumboti tesaṃyeva anulomāni. Kurundiyaṃ pana ‘‘pānīyasaṅkhapānīyasarāvakānaṃ ete anulomā’’ti vuttaṃ. Paṭṭikā sūkarantanti dve kāyabandhanāni anuññātāni. Dussapaṭṭena rajjukena ca katakāyabandhanāni tesaṃyeva anulomāni. Setacchattaṃ kilañjacchattaṃ paṇṇacchattanti tīṇi chattāni anuññātāni. Ekapaṇṇacchattaṃ tesaṃyeva anulomanti iminā nayena pāḷiñca aṭṭhakathañca anupekkhitvā aññānipi kappiyākappiyānaṃ anulomāni vinayadharena veditabbāni.

    ๖๘. วินยธโร (ปาจิ. อฎฺฐ. ๔๓๘) จ ปุคฺคโล วินยปริยตฺติมูลเก ปญฺจานิสํเส ฉานิสํเส สตฺตานิสํเส อฎฺฐานิสํเส นวานิสํเส ทสานิสํเส เอกาทสานิสํเส ลภติฯ กตเม ปญฺจานิสํเส ลภติ? อตฺตโน สีลกฺขนฺธคุตฺติอาทิเกฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    68. Vinayadharo (pāci. aṭṭha. 438) ca puggalo vinayapariyattimūlake pañcānisaṃse chānisaṃse sattānisaṃse aṭṭhānisaṃse navānisaṃse dasānisaṃse ekādasānisaṃse labhati. Katame pañcānisaṃse labhati? Attano sīlakkhandhaguttiādike. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, อานิสํสา วินยธเร ปุคฺคเลฯ อตฺตโน สีลกฺขโนฺธ สุคุโตฺต โหติ สุรกฺขิโต, กุกฺกุจฺจปกตานํ ปฎิสรณํ โหติ, วิสารโท สงฺฆมเชฺฌ โวหรติ, ปจฺจตฺถิเก สหธเมฺมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคณฺหาติ, สทฺธมฺมฎฺฐิติยา ปฎิปโนฺน โหตี’’ติ (ปริ. ๓๒๕)ฯ

    ‘‘Pañcime, bhikkhave, ānisaṃsā vinayadhare puggale. Attano sīlakkhandho sugutto hoti surakkhito, kukkuccapakatānaṃ paṭisaraṇaṃ hoti, visārado saṅghamajjhe voharati, paccatthike sahadhammena suniggahitaṃ niggaṇhāti, saddhammaṭṭhitiyā paṭipanno hotī’’ti (pari. 325).

    กถมสฺส อตฺตโน สีลกฺขโนฺธ สุคุโตฺต โหติ สุรกฺขิโต? อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ อาปตฺติํ อาปชฺชโนฺต ฉหากาเรหิ อาปชฺชติ อลชฺชิตา, อญฺญาณตา, กุกฺกุจฺจปกตตา, อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญิตา, กปฺปิเย อกปฺปิยสญฺญิตา, สติสโมฺมสาฯ กถํ อลชฺชิตาย อาปชฺชติ? อกปฺปิยภาวํ ชานโนฺตเยว มทฺทิตฺวา วีติกฺกมํ กโรติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Kathamassa attano sīlakkhandho sugutto hoti surakkhito? Idhekacco bhikkhu āpattiṃ āpajjanto chahākārehi āpajjati alajjitā, aññāṇatā, kukkuccapakatatā, akappiye kappiyasaññitā, kappiye akappiyasaññitā, satisammosā. Kathaṃ alajjitāya āpajjati? Akappiyabhāvaṃ jānantoyeva madditvā vītikkamaṃ karoti. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘สญฺจิจฺจ อาปตฺติํ อาปชฺชติ, อาปตฺติํ ปริคูหติ;

    ‘‘Sañcicca āpattiṃ āpajjati, āpattiṃ parigūhati;

    อคติคมนญฺจ คจฺฉติ, เอทิโส วุจฺจติ อลชฺชิปุคฺคโล’’ติฯ (ปริ. ๓๕๙);

    Agatigamanañca gacchati, ediso vuccati alajjipuggalo’’ti. (pari. 359);

    กถํ อญฺญาณตาย อาปชฺชติ? อญฺญาณปุคฺคโล หิ มโนฺท โมมูโห กตฺตพฺพากตฺตพฺพํ อชานโนฺต อกตฺตพฺพํ กโรติ, กตฺตพฺพํ วิราเธติฯ เอวํ อญฺญาณตาย อาปชฺชติฯ กถํ กุกฺกุจฺจปกตตาย อาปชฺชติ? กปฺปิยากปฺปิยํ นิสฺสาย กุกฺกุเจฺจ อุปฺปเนฺน วินยธรํ ปุจฺฉิตฺวา กปฺปิยํ เจ, กตฺตพฺพํ สิยา, อกปฺปิยํ เจ, น กตฺตพฺพํ, อยํ ปน ‘‘วฎฺฎตี’’ติ มทฺทิตฺวา วีติกฺกมติเยวฯ เอวํ กุกฺกุจฺจปกตตาย อาปชฺชติฯ

    Kathaṃ aññāṇatāya āpajjati? Aññāṇapuggalo hi mando momūho kattabbākattabbaṃ ajānanto akattabbaṃ karoti, kattabbaṃ virādheti. Evaṃ aññāṇatāya āpajjati. Kathaṃ kukkuccapakatatāya āpajjati? Kappiyākappiyaṃ nissāya kukkucce uppanne vinayadharaṃ pucchitvā kappiyaṃ ce, kattabbaṃ siyā, akappiyaṃ ce, na kattabbaṃ, ayaṃ pana ‘‘vaṭṭatī’’ti madditvā vītikkamatiyeva. Evaṃ kukkuccapakatatāya āpajjati.

    กถํ อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญิตาย อาปชฺชติ? อจฺฉมํสํ ‘‘สูกรมํส’’นฺติ ขาทติ, ทีปิมํสํ ‘‘มิคมํส’’นฺติ ขาทติ, อกปฺปิยโภชนํ ‘‘กปฺปิยโภชน’’นฺติ ภุญฺชติ, วิกาเล กาลสญฺญาย ภุญฺชติ, อกปฺปิยปานกํ ‘‘กปฺปิยปานก’’นฺติ ปิวติฯ เอวํ อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญิตาย อาปชฺชติฯ กถํ กปฺปิเย อกปฺปิยสญฺญิตาย อาปชฺชติ? สูกรมํสํ ‘‘อจฺฉมํส’’นฺติ ขาทติ, มิคมํสํ ‘‘ทีปิมํส’’นฺติ ขาทติ, กปฺปิยโภชนํ ‘‘อกปฺปิยโภชน’’นฺติ ภุญฺชติ, กาเล วิกาลสญฺญาย ภุญฺชติ, กปฺปิยปานกํ ‘‘อกปฺปิยปานก’’นฺติ ปิวติฯ เอวํ กปฺปิเย อกปฺปิยสญฺญิตาย อาปชฺชติฯ กถํ สติสโมฺมสา อาปชฺชติ? สหเสยฺยจีวรวิปฺปวาสเภสชฺชจีวรกาลาติกฺกมนปจฺจยา อาปตฺติํ สติสโมฺมสา อาปชฺชติฯ เอวมิเธกโจฺจ ภิกฺขุ อิเมหิ ฉหิ อากาเรหิ อาปตฺติํ อาปชฺชติฯ

    Kathaṃ akappiye kappiyasaññitāya āpajjati? Acchamaṃsaṃ ‘‘sūkaramaṃsa’’nti khādati, dīpimaṃsaṃ ‘‘migamaṃsa’’nti khādati, akappiyabhojanaṃ ‘‘kappiyabhojana’’nti bhuñjati, vikāle kālasaññāya bhuñjati, akappiyapānakaṃ ‘‘kappiyapānaka’’nti pivati. Evaṃ akappiye kappiyasaññitāya āpajjati. Kathaṃ kappiye akappiyasaññitāya āpajjati? Sūkaramaṃsaṃ ‘‘acchamaṃsa’’nti khādati, migamaṃsaṃ ‘‘dīpimaṃsa’’nti khādati, kappiyabhojanaṃ ‘‘akappiyabhojana’’nti bhuñjati, kāle vikālasaññāya bhuñjati, kappiyapānakaṃ ‘‘akappiyapānaka’’nti pivati. Evaṃ kappiye akappiyasaññitāya āpajjati. Kathaṃ satisammosā āpajjati? Sahaseyyacīvaravippavāsabhesajjacīvarakālātikkamanapaccayā āpattiṃ satisammosā āpajjati. Evamidhekacco bhikkhu imehi chahi ākārehi āpattiṃ āpajjati.

    วินยธโร ปน อิเมหิ ฉหากาเรหิ อาปตฺติํ น อาปชฺชติฯ กถํ ลชฺชิตาย นาปชฺชติ? โส หิ ‘‘ปสฺสถ โภ, อยํ กปฺปิยากปฺปิยํ ชานโนฺตเยว ปณฺณตฺติวีติกฺกมํ กโรตี’’ติ อิมํ ปรูปวาทํ รกฺขโนฺตปิ นาปชฺชติฯ เอวํ ลชฺชิตาย นาปชฺชติ, สหสา อาปนฺนมฺปิ เทสนาคามินิํ เทเสตฺวา วุฎฺฐานคามินิยา วุฎฺฐหิตฺวา สุทฺธเนฺต ปติฎฺฐาติฯ ตโต –

    Vinayadharo pana imehi chahākārehi āpattiṃ na āpajjati. Kathaṃ lajjitāya nāpajjati? So hi ‘‘passatha bho, ayaṃ kappiyākappiyaṃ jānantoyeva paṇṇattivītikkamaṃ karotī’’ti imaṃ parūpavādaṃ rakkhantopi nāpajjati. Evaṃ lajjitāya nāpajjati, sahasā āpannampi desanāgāminiṃ desetvā vuṭṭhānagāminiyā vuṭṭhahitvā suddhante patiṭṭhāti. Tato –

    ‘‘สญฺจิจฺจ อาปตฺติํ นาปชฺชติ, อาปตฺติํ น ปริคูหติ;

    ‘‘Sañcicca āpattiṃ nāpajjati, āpattiṃ na parigūhati;

    อคติคมนญฺจ น คจฺฉติ, เอทิโส วุจฺจติ ลชฺชิปุคฺคโล’’ติฯ (ปริ. ๓๕๙) –

    Agatigamanañca na gacchati, ediso vuccati lajjipuggalo’’ti. (pari. 359) –

    อิมสฺมิํ ลชฺชิภาเว ปติฎฺฐิโตว โหติฯ

    Imasmiṃ lajjibhāve patiṭṭhitova hoti.

    กถํ ญาณตาย นาปชฺชติ? โส หิ กปฺปิยากปฺปิยํ ชานาติ, ตสฺมา กปฺปิยํเยว กโรติ, อกปฺปิยํ น กโรติฯ เอวํ ญาณตาย นาปชฺชติฯ กถํ อกุกฺกุจฺจปกตตาย นาปชฺชติ? กปฺปิยากปฺปิยํ นิสฺสาย กุกฺกุเจฺจ อุปฺปเนฺน วตฺถุํ โอโลเกตฺวา มาติกํ ปทภาชนํ อนฺตราปตฺติํ อนาปตฺติํ โอโลเกตฺวา กปฺปิยํ เจ โหติ, กโรติ, อกปฺปิยํ เจ, น กโรติฯ เอวํ อกุกฺกุจฺจปกตตาย นาปชฺชติฯ กถํ อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญิตาทีหิ นาปชฺชติ? โส หิ กปฺปิยากปฺปิยํ ชานาติ, ตสฺมา อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญี น โหติ, กปฺปิเย อกปฺปิยสญฺญี น โหติ, สุปฺปติฎฺฐิตา จสฺส สติ โหติ, อธิฎฺฐาตพฺพํ อธิเฎฺฐติ, วิกเปฺปตพฺพํ วิกเปฺปติฯ อิติ อิเมหิ ฉหิ อากาเรหิ อาปตฺติํ นาปชฺชติฯ อนาปชฺชโนฺต อขณฺฑสีโล โหติ, ปริสุทฺธสีโล โหติฯ เอวมสฺส อตฺตโน สีลกฺขโนฺธ สุคุโตฺต โหติ สุรกฺขิโตฯ

    Kathaṃ ñāṇatāya nāpajjati? So hi kappiyākappiyaṃ jānāti, tasmā kappiyaṃyeva karoti, akappiyaṃ na karoti. Evaṃ ñāṇatāya nāpajjati. Kathaṃ akukkuccapakatatāya nāpajjati? Kappiyākappiyaṃ nissāya kukkucce uppanne vatthuṃ oloketvā mātikaṃ padabhājanaṃ antarāpattiṃ anāpattiṃ oloketvā kappiyaṃ ce hoti, karoti, akappiyaṃ ce, na karoti. Evaṃ akukkuccapakatatāya nāpajjati. Kathaṃ akappiye kappiyasaññitādīhi nāpajjati? So hi kappiyākappiyaṃ jānāti, tasmā akappiye kappiyasaññī na hoti, kappiye akappiyasaññī na hoti, suppatiṭṭhitā cassa sati hoti, adhiṭṭhātabbaṃ adhiṭṭheti, vikappetabbaṃ vikappeti. Iti imehi chahi ākārehi āpattiṃ nāpajjati. Anāpajjanto akhaṇḍasīlo hoti, parisuddhasīlo hoti. Evamassa attano sīlakkhandho sugutto hoti surakkhito.

    กถํ กุกฺกุจฺจปกตานํ ปฎิสรณํ โหติ? ติโรรเฎฺฐสุ ติโรชนปเทสุ จ อุปฺปนฺนกุกฺกุจฺจา ภิกฺขู ‘‘อสุกสฺมิํ กิร วิหาเร วินยธโร วสตี’’ติ ทูรโตว ตสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา กุกฺกุจฺจํ ปุจฺฉนฺติฯ โส เตหิ กตสฺส กมฺมสฺส วตฺถุํ โอโลเกตฺวา อาปตฺตานาปตฺติครุกลหุกาทิเภทํ สลฺลเกฺขตฺวา เทสนาคามินิํ เทสาเปตฺวา, วุฎฺฐานคามินิยา วุฎฺฐาเปตฺวา สุทฺธเนฺต ปติฎฺฐาเปติฯ เอวํ กุกฺกุจฺจปกตานํ ปฎิสรณํ โหติฯ

    Kathaṃ kukkuccapakatānaṃ paṭisaraṇaṃ hoti? Tiroraṭṭhesu tirojanapadesu ca uppannakukkuccā bhikkhū ‘‘asukasmiṃ kira vihāre vinayadharo vasatī’’ti dūratova tassa santikaṃ āgantvā kukkuccaṃ pucchanti. So tehi katassa kammassa vatthuṃ oloketvā āpattānāpattigarukalahukādibhedaṃ sallakkhetvā desanāgāminiṃ desāpetvā, vuṭṭhānagāminiyā vuṭṭhāpetvā suddhante patiṭṭhāpeti. Evaṃ kukkuccapakatānaṃ paṭisaraṇaṃ hoti.

    วิสารโท สงฺฆมเชฺฌ โวหรตีติ อวินยธรสฺส หิ สงฺฆมเชฺฌ กเถนฺตสฺส ภยํ สารชฺชํ โอกฺกมติ, วินยธรสฺส ตํ น โหติฯ กสฺมา? ‘‘เอวํ กเถนฺตสฺส โทโส โหติ, เอวํ น โทโส’’ติ ญตฺวา กถนโตฯ

    Visāradosaṅghamajjhe voharatīti avinayadharassa hi saṅghamajjhe kathentassa bhayaṃ sārajjaṃ okkamati, vinayadharassa taṃ na hoti. Kasmā? ‘‘Evaṃ kathentassa doso hoti, evaṃ na doso’’ti ñatvā kathanato.

    ปจฺจตฺถิเก สหธเมฺมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคณฺหาตีติ เอตฺถ ทฺวิธา ปจฺจตฺถิกา นาม อตฺตปจฺจตฺถิกา จ สาสนปจฺจตฺถิกา จฯ ตตฺถ เมตฺติยภูมชกา จ ภิกฺขู วโฑฺฒ จ ลิจฺฉวี อมูลเกน อนฺติมวตฺถุนา โจเทสุํ, อิเม อตฺตปจฺจตฺถิกา นามฯ เย ปน อเญฺญปิ ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา , สเพฺพเต อตฺตปจฺจตฺถิกาฯ วิปรีตทสฺสนา ปน อริฎฺฐภิกฺขุกณฺฎกสามเณรเวสาลิกวชฺชิปุตฺตกา ปรูปหารอญฺญาณกงฺขาวิตรณาทิวาทา มหาสงฺฆิกาทโย จ อพุทฺธสาสนํ ‘‘พุทฺธสาสน’’นฺติ วตฺวา กตปคฺคหา สาสนปจฺจตฺถิกา นามฯ เต สเพฺพปิ สหธเมฺมน สหการเณน วจเนน ยถา ตํ อสทฺธมฺมํ ปติฎฺฐาเปตุํ น สโกฺกนฺติ, เอวํ สุนิคฺคหิตํ กตฺวา นิคฺคณฺหาติฯ

    Paccatthike sahadhammena suniggahitaṃ niggaṇhātīti ettha dvidhā paccatthikā nāma attapaccatthikā ca sāsanapaccatthikā ca. Tattha mettiyabhūmajakā ca bhikkhū vaḍḍho ca licchavī amūlakena antimavatthunā codesuṃ, ime attapaccatthikā nāma. Ye pana aññepi dussīlā pāpadhammā , sabbete attapaccatthikā. Viparītadassanā pana ariṭṭhabhikkhukaṇṭakasāmaṇeravesālikavajjiputtakā parūpahāraaññāṇakaṅkhāvitaraṇādivādā mahāsaṅghikādayo ca abuddhasāsanaṃ ‘‘buddhasāsana’’nti vatvā katapaggahā sāsanapaccatthikā nāma. Te sabbepi sahadhammena sahakāraṇena vacanena yathā taṃ asaddhammaṃ patiṭṭhāpetuṃ na sakkonti, evaṃ suniggahitaṃ katvā niggaṇhāti.

    สทฺธมฺมฎฺฐิติยา ปฎิปโนฺน โหตีติ เอตฺถ ปน ติวิโธ สทฺธโมฺม ปริยตฺติปฎิปตฺติอธิคมวเสนฯ ตตฺถ เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ ปริยตฺติสทฺธโมฺม นามฯ เตรส ธุตคุณา จุทฺทส ขนฺธกวตฺตานิ เทฺวอสีติ มหาวตฺตานีติ อยํ ปฎิปตฺติสทฺธโมฺม นามฯ จตฺตาโร มคฺคา จ จตฺตาริ ผลานิ จ, อยํ อธิคมสทฺธโมฺม นามฯ

    Saddhammaṭṭhitiyā paṭipanno hotīti ettha pana tividho saddhammo pariyattipaṭipattiadhigamavasena. Tattha tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ pariyattisaddhammo nāma. Terasa dhutaguṇā cuddasa khandhakavattāni dveasīti mahāvattānīti ayaṃ paṭipattisaddhammo nāma. Cattāro maggā ca cattāri phalāni ca, ayaṃ adhigamasaddhammo nāma.

    ตตฺถ เกจิ เถรา ‘‘โย โว, อานนฺท, มยา ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ อิมินา สุเตฺตน (ที. นิ. ๒.๒๑๖) ‘‘สาสนสฺส ปริยตฺติ มูล’’นฺติ วทนฺติฯ เกจิ เถรา ‘‘อิเม จ สุภทฺท ภิกฺขู สมฺมา วิหเรยฺยุํ, อสุโญฺญ โลโก อรหเนฺตหิ อสฺสา’’ติ อิมินา สุเตฺตน (ที. นิ. ๒.๒๑๔) ‘‘สาสนสฺส ปฎิปตฺติ มูล’’นฺติ วตฺวา ‘‘ยาว ปญฺจ ภิกฺขู สมฺมาปฎิปนฺนา สํวิชฺชนฺติ, ตาว สาสนํ ฐิตํ โหตี’’ติ อาหํสุฯ อิตเร ปน เถรา ‘‘ปริยตฺติยา อนฺตรหิตาย สุปฺปฎิปนฺนสฺสปิ ธมฺมาภิสมโย นตฺถี’’ติ วตฺวา อาหํสุ ‘‘สเจปิ ปญฺจ ภิกฺขู จตฺตาริ ปาราชิกานิ รกฺขกา โหนฺติ, เต สเทฺธ กุลปุเตฺต ปพฺพาเชตฺวา ปจฺจนฺติเม ชนปเท อุปสมฺปาเทตฺวา ทสวคฺคํ คณํ ปูเรตฺวา มชฺฌิมชนปเท อุปสมฺปทํ กริสฺสนฺติ, เอเตนุปาเยน วีสติวคฺคํ สงฺฆํ ปูเรตฺวา อตฺตโนปิ อพฺภานกมฺมํ กตฺวา สาสนํ วุทฺธิํ วิรูฬฺหิํ คมยิสฺสนฺติฯ เอวมยํ วินยธโร ติวิธสฺสปิ สทฺธมฺมสฺส จิรฎฺฐิติยา ปฎิปโนฺน โหตี’’ติฯ เอวมยํ วินยธโร อิเม ตาว ปญฺจานิสํเส ปฎิลภตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha keci therā ‘‘yo vo, ānanda, mayā dhammo ca vinayo ca desito paññatto, so vo mamaccayena satthā’’ti iminā suttena (dī. ni. 2.216) ‘‘sāsanassa pariyatti mūla’’nti vadanti. Keci therā ‘‘ime ca subhadda bhikkhū sammā vihareyyuṃ, asuñño loko arahantehi assā’’ti iminā suttena (dī. ni. 2.214) ‘‘sāsanassa paṭipatti mūla’’nti vatvā ‘‘yāva pañca bhikkhū sammāpaṭipannā saṃvijjanti, tāva sāsanaṃ ṭhitaṃ hotī’’ti āhaṃsu. Itare pana therā ‘‘pariyattiyā antarahitāya suppaṭipannassapi dhammābhisamayo natthī’’ti vatvā āhaṃsu ‘‘sacepi pañca bhikkhū cattāri pārājikāni rakkhakā honti, te saddhe kulaputte pabbājetvā paccantime janapade upasampādetvā dasavaggaṃ gaṇaṃ pūretvā majjhimajanapade upasampadaṃ karissanti, etenupāyena vīsativaggaṃ saṅghaṃ pūretvā attanopi abbhānakammaṃ katvā sāsanaṃ vuddhiṃ virūḷhiṃ gamayissanti. Evamayaṃ vinayadharo tividhassapi saddhammassa ciraṭṭhitiyā paṭipanno hotī’’ti. Evamayaṃ vinayadharo ime tāva pañcānisaṃse paṭilabhatīti veditabbo.

    กตเม ฉานิสํเส ลภตีติ? ตสฺสาเธโยฺย อุโปสโถ ปวารณา สงฺฆกมฺมํ ปพฺพชฺชา อุปสมฺปทา, นิสฺสยํ เทติ, สามเณรํ อุปฎฺฐาเปติฯ เยปิ อิเม จาตุทฺทสิโก, ปนฺนรสิโก, สามคฺคิอุโปสโถ, สเงฺฆ อุโปสโถ, คเณ อุโปสโถ, ปุคฺคเล อุโปสโถ, สุตฺตุเทฺทโส, ปาริสุทฺธิ, อธิฎฺฐานอุโปสโถติ นว อุโปสถา, สเพฺพ เต วินยธรายตฺตา, ยาปิ จ อิมา จาตุทฺทสิกา, ปนฺนรสิกา, สามคฺคิปวารณา, สเงฺฆ ปวารณา, คเณ ปวารณา, ปุคฺคเล ปวารณา, เตวาจิกา ปวารณา , เทฺววาจิกา ปวารณา, สมานวสฺสิกา ปวารณาติ นว ปวารณา, ตาปิ วินยธรายตฺตา เอว, ตสฺส สนฺตกา, โส ตาสํ สามีฯ

    Katame chānisaṃse labhatīti? Tassādheyyo uposatho pavāraṇā saṅghakammaṃ pabbajjā upasampadā, nissayaṃ deti, sāmaṇeraṃ upaṭṭhāpeti. Yepi ime cātuddasiko, pannarasiko, sāmaggiuposatho, saṅghe uposatho, gaṇe uposatho, puggale uposatho, suttuddeso, pārisuddhi, adhiṭṭhānauposathoti nava uposathā, sabbe te vinayadharāyattā, yāpi ca imā cātuddasikā, pannarasikā, sāmaggipavāraṇā, saṅghe pavāraṇā, gaṇe pavāraṇā, puggale pavāraṇā, tevācikā pavāraṇā , dvevācikā pavāraṇā, samānavassikā pavāraṇāti nava pavāraṇā, tāpi vinayadharāyattā eva, tassa santakā, so tāsaṃ sāmī.

    ยานิปิ อิมานิ อปโลกนกมฺมํ ญตฺติกมฺมํ ญตฺติทุติยกมฺมํ ญตฺติจตุตฺถกมฺมนฺติ จตฺตาริ สงฺฆกมฺมานิ, ยา จายํ อุปชฺฌาเยน หุตฺวา กุลปุตฺตานํ ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ กาตพฺพา, อยมฺปิ วินยธรายตฺตาวฯ น หิ อโญฺญ ทฺวิปิฎกธโรปิ เอวํ กาตุํ ลภติ, โส เอว นิสฺสยํ เทติ, สามเณรํ อุปฎฺฐาเปติ, อโญฺญ เนว นิสฺสยํ ทาตุํ ลภติ, น สามเณรํ อุปฎฺฐาเปตุํฯ เตเนว ‘‘น, ภิกฺขเว, เอเกน เทฺว สามเณรา อุปฎฺฐาเปตพฺพา, โย อุปฎฺฐาเปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๑๐๑) ปฎิกฺขิปิตฺวา ปุน อนุชานเนฺตนปิ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา เอเกน เทฺว สามเณเร อุปฎฺฐาเปตุํ, ยาวตเก วา ปน อุสฺสหติ โอวทิตุํ อนุสาสิตุํ, ตาวตเก อุปฎฺฐาเปตุ’’นฺติ (มหาว. ๑๐๕) พฺยตฺตเสฺสว สามเณรุปฎฺฐาปนํ อนุญฺญาตํฯ สามเณรุปฎฺฐาปนํ ปจฺจาสีสโนฺต ปน วินยธรสฺส สนฺติเก อุปชฺฌํ คาหาเปตฺวา วตฺตปฎิปตฺติํ สาทิตุํ ลภติฯ เอตฺถ จ นิสฺสยทานเญฺจว สามเณรุปฎฺฐานญฺจ เอกมงฺคํฯ อิติ อิเมสุ ฉสุ อานิสํเสสุ เอเกน สทฺธิํ ปุริมานิ ปญฺจ ฉ โหนฺติฯ ทฺวีหิ สทฺธิํ สตฺต, ตีหิ สทฺธิํ อฎฺฐ, จตูหิ สทฺธิํ นว, ปญฺจหิ สทฺธิํ ทส, สเพฺพหิเปเตหิ สทฺธิํ เอกาทสาติ เอวํ วินยธโร ปุคฺคโล ปญฺจ ฉ สตฺต อฎฺฐ นว ทส เอกาทส จ อานิสํเส ลภตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Yānipi imāni apalokanakammaṃ ñattikammaṃ ñattidutiyakammaṃ ñatticatutthakammanti cattāri saṅghakammāni, yā cāyaṃ upajjhāyena hutvā kulaputtānaṃ pabbajjā ca upasampadā ca kātabbā, ayampi vinayadharāyattāva. Na hi añño dvipiṭakadharopi evaṃ kātuṃ labhati, so eva nissayaṃ deti, sāmaṇeraṃ upaṭṭhāpeti, añño neva nissayaṃ dātuṃ labhati, na sāmaṇeraṃ upaṭṭhāpetuṃ. Teneva ‘‘na, bhikkhave, ekena dve sāmaṇerā upaṭṭhāpetabbā, yo upaṭṭhāpeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 101) paṭikkhipitvā puna anujānantenapi ‘‘anujānāmi, bhikkhave, byattena bhikkhunā ekena dve sāmaṇere upaṭṭhāpetuṃ, yāvatake vā pana ussahati ovadituṃ anusāsituṃ, tāvatake upaṭṭhāpetu’’nti (mahāva. 105) byattasseva sāmaṇerupaṭṭhāpanaṃ anuññātaṃ. Sāmaṇerupaṭṭhāpanaṃ paccāsīsanto pana vinayadharassa santike upajjhaṃ gāhāpetvā vattapaṭipattiṃ sādituṃ labhati. Ettha ca nissayadānañceva sāmaṇerupaṭṭhānañca ekamaṅgaṃ. Iti imesu chasu ānisaṃsesu ekena saddhiṃ purimāni pañca cha honti. Dvīhi saddhiṃ satta, tīhi saddhiṃ aṭṭha, catūhi saddhiṃ nava, pañcahi saddhiṃ dasa, sabbehipetehi saddhiṃ ekādasāti evaṃ vinayadharo puggalo pañca cha satta aṭṭha nava dasa ekādasa ca ānisaṃse labhatīti veditabbo.

    มหานิสํสมิเจฺจวํ , โกสลฺลํ วินเย สทา;

    Mahānisaṃsamiccevaṃ , kosallaṃ vinaye sadā;

    ปเตฺถเนฺตเนตฺถ กาตโพฺพ, อภิโยโค ปุนปฺปุนนฺติฯ

    Patthentenettha kātabbo, abhiyogo punappunanti.

    อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห

    Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe

    ปกิณฺณกวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ

    Pakiṇṇakavinicchayakathā samattā.

    นิฎฺฐิโต จายํ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคโหฯ

    Niṭṭhito cāyaṃ pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgaho.

    นิคมนกถา

    Nigamanakathā

    อเชฺฌสิโต นริเนฺทน, โสหํ ปรกฺกมพาหุนา;

    Ajjhesito narindena, sohaṃ parakkamabāhunā;

    สทฺธมฺมฎฺฐิติกาเมน, สาสนุโชฺชตการินาฯ

    Saddhammaṭṭhitikāmena, sāsanujjotakārinā.

    เตเนว การิเต รเมฺม, ปาสาทสตมณฺฑิเต;

    Teneva kārite ramme, pāsādasatamaṇḍite;

    นานาทุมคณากิเณฺณ, ภาวนาภิรตาลเยฯ

    Nānādumagaṇākiṇṇe, bhāvanābhiratālaye.

    สีตลูทกสมฺปเนฺน, วสํ เชตวเน อิมํ;

    Sītalūdakasampanne, vasaṃ jetavane imaṃ;

    วินยสงฺคหํ สารํ, อกาสิ โยคินํ หิตํฯ

    Vinayasaṅgahaṃ sāraṃ, akāsi yoginaṃ hitaṃ.

    ยํ สิทฺธํ อิมินา ปุญฺญํ, ยญฺจญฺญํ ปสุตํ มยา;

    Yaṃ siddhaṃ iminā puññaṃ, yañcaññaṃ pasutaṃ mayā;

    เอเตน ปุญฺญกเมฺมน, ทุติเย อตฺตสมฺภเวฯ

    Etena puññakammena, dutiye attasambhave.

    ตาวติํเส ปโมเทโนฺต, สีลาจารคุเณ รโต;

    Tāvatiṃse pamodento, sīlācāraguṇe rato;

    อลโคฺค ปญฺจกาเมสุ, ปตฺวาน ปฐมํ ผลํฯ

    Alaggo pañcakāmesu, patvāna paṭhamaṃ phalaṃ.

    อนฺติเม อตฺตภาวมฺหิ, เมเตฺตยฺยํ มุนิปุงฺควํ;

    Antime attabhāvamhi, metteyyaṃ munipuṅgavaṃ;

    โลกคฺคปุคฺคลํ นาถํ, สพฺพสตฺตหิเต รตํฯ

    Lokaggapuggalaṃ nāthaṃ, sabbasattahite rataṃ.

    ทิสฺวาน ตสฺส ธีรสฺส, สุตฺวา สทฺธมฺมเทสนํ;

    Disvāna tassa dhīrassa, sutvā saddhammadesanaṃ;

    อธิคนฺตฺวา ผลํ อคฺคํ, โสเภยฺยํ ชินสาสนนฺติฯ

    Adhigantvā phalaṃ aggaṃ, sobheyyaṃ jinasāsananti.

    วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā niṭṭhitā.


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact