Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จูฬวคฺค-อฎฺฐกถา • Cūḷavagga-aṭṭhakathā |
ปกฺขิกภตฺตาทิกถา
Pakkhikabhattādikathā
ปกฺขิกาทีสุ ปน ยํ อภิลกฺขิเตสุ จาตุทฺทสี ปญฺจทสี ปญฺจมี อฎฺฐมีติ อิเมสุ ปเกฺขสุ กมฺมปฺปสุเตหิ อุโปสถํ กาตุํ สติกรณตฺถาย ทิยฺยติ, ตํ ปกฺขิกํ นามฯ ตํ สลากภตฺตคติกเมว โหติ, คาเหตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ สเจ สลากภตฺตมฺปิ ปกฺขิกภตฺตมฺปิ พหุ สเพฺพสํ วินิวิชฺฌิตฺวา คจฺฉติ, เทฺวปิ ภตฺตานิ วิสุํ วิสุํ คาเหตพฺพานิฯ สเจ ภิกฺขุสโงฺฆ มหา, ปกฺขิกํ คาเหตฺวา ตสฺส ฐิติกาย สลากภตฺตํ คาเหตพฺพํ , สลากภตฺตํ วา คาหาเปตฺวา ตสฺส ฐิติกาย ปกฺขิกํ คาเหตพฺพํฯ เยสํ น ปาปุณาติ, เต ปิณฺฑาย จริสฺสนฺติฯ สเจ เทฺวปิ ภตฺตานิ พหูนิ, ภิกฺขู มนฺทา; สลากภตฺตํ นาม เทวสิกํ ลพฺภติ, ตสฺมา ตํ ฐเปตฺวา ‘‘ปกฺขิกํ อาวุโส ภุญฺชถา’’ติ ปกฺขิกเมว คาเหตพฺพํฯ ปกฺขิกํ ปณีตํ เทนฺติ, วิสุํ ฐิติกา กาตพฺพาฯ ‘‘เสฺว ปโกฺข’’ติ อชฺช ปกฺขิกํ น คาเหตพฺพํฯ สเจ ปน ทายกา วทนฺติ ‘‘เสฺว อมฺหากํ ฆเร ลูขภตฺตํ ภวิสฺสติ, อเชฺชว ปกฺขิกภตฺตํ อุทฺทิสถา’’ติ, เอวํ วฎฺฎติฯ
Pakkhikādīsu pana yaṃ abhilakkhitesu cātuddasī pañcadasī pañcamī aṭṭhamīti imesu pakkhesu kammappasutehi uposathaṃ kātuṃ satikaraṇatthāya diyyati, taṃ pakkhikaṃ nāma. Taṃ salākabhattagatikameva hoti, gāhetvā bhuñjitabbaṃ. Sace salākabhattampi pakkhikabhattampi bahu sabbesaṃ vinivijjhitvā gacchati, dvepi bhattāni visuṃ visuṃ gāhetabbāni. Sace bhikkhusaṅgho mahā, pakkhikaṃ gāhetvā tassa ṭhitikāya salākabhattaṃ gāhetabbaṃ , salākabhattaṃ vā gāhāpetvā tassa ṭhitikāya pakkhikaṃ gāhetabbaṃ. Yesaṃ na pāpuṇāti, te piṇḍāya carissanti. Sace dvepi bhattāni bahūni, bhikkhū mandā; salākabhattaṃ nāma devasikaṃ labbhati, tasmā taṃ ṭhapetvā ‘‘pakkhikaṃ āvuso bhuñjathā’’ti pakkhikameva gāhetabbaṃ. Pakkhikaṃ paṇītaṃ denti, visuṃ ṭhitikā kātabbā. ‘‘Sve pakkho’’ti ajja pakkhikaṃ na gāhetabbaṃ. Sace pana dāyakā vadanti ‘‘sve amhākaṃ ghare lūkhabhattaṃ bhavissati, ajjeva pakkhikabhattaṃ uddisathā’’ti, evaṃ vaṭṭati.
อุโปสถิกํ นาม อนฺวฑฺฒมาเส อุโปสถงฺคานิ สมาทิยิตฺวา ยํ อตฺตนา ภุญฺชติ, ตเทว ทิยฺยติฯ ปาฎิปทิกํ นาม ‘‘อุโปสเถ พหู สทฺธา ปสนฺนา ภิกฺขูนํ สกฺการํ กโรนฺติ, ปาฎิปเท ปน ภิกฺขู กิลมนฺติ, ปาฎิปเท ทินฺนํ ทุพฺภิกฺขทานสทิสํ มหปฺผลํ โหติ, อุโปสถกเมฺมน วา ปริสุทฺธสีลานํ ทุติยทิวเส ทินฺนํ มหปฺผลํ โหตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ปาฎิปเท ทิยฺยนกทานํ, ตมฺปิ อุภยํ สลากภตฺตคติกเมวฯ อิติ อิมานิ สตฺตปิ ภตฺตานิ ปิณฺฑปาติกานํ น วฎฺฎนฺติ, ธุตงฺคเภทํ กโรนฺติเยวฯ
Uposathikaṃ nāma anvaḍḍhamāse uposathaṅgāni samādiyitvā yaṃ attanā bhuñjati, tadeva diyyati. Pāṭipadikaṃ nāma ‘‘uposathe bahū saddhā pasannā bhikkhūnaṃ sakkāraṃ karonti, pāṭipade pana bhikkhū kilamanti, pāṭipade dinnaṃ dubbhikkhadānasadisaṃ mahapphalaṃ hoti, uposathakammena vā parisuddhasīlānaṃ dutiyadivase dinnaṃ mahapphalaṃ hotī’’ti sallakkhetvā pāṭipade diyyanakadānaṃ, tampi ubhayaṃ salākabhattagatikameva. Iti imāni sattapi bhattāni piṇḍapātikānaṃ na vaṭṭanti, dhutaṅgabhedaṃ karontiyeva.
อปรานิปิ จีวรกฺขนฺธเก วิสาขาย วรํ ยาจิตฺวา ทินฺนานิ อาคนฺตุกภตฺตํ คมิยภตฺตํ คิลานภตฺตํ คิลานุปฎฺฐากภตฺตนฺติ จตฺตาริ ภตฺตานิ ปาฬิยํ อาคตาเนว, ตตฺถ อาคนฺตุกานํ ทินฺนํ ภตฺตํ ‘‘อาคนฺตุกภตฺตํ’’ฯ เอส นโย เสเสสุฯ สเจ ปเนตฺถ อาคนฺตุกภตฺตานิปิ อาคนฺตุกาปิ พหู โหนฺติ, สเพฺพสํ เอเกกํ คาเหตพฺพํ, ภเตฺตสุ อปฺปโหเนฺตสุ ฐิติกาย คาเหตพฺพํฯ เอโก อาคนฺตุโก ปฐมเมว อาคนฺตฺวา สพฺพํ อาคนฺตุกภตฺตํ อตฺตโน คาเหตฺวา นิสีทติ, สพฺพํ ตเสฺสว โหติ, ปจฺฉา อาคเตหิ อาคนฺตุเกหิ เตน ทินฺนานิ ปริภุญฺชิตพฺพานิฯ เตนปิ เอกํ อตฺตโน คเหตฺวา เสสานิ ทาตพฺพานิฯ อยํ อุฬาโรฯ
Aparānipi cīvarakkhandhake visākhāya varaṃ yācitvā dinnāni āgantukabhattaṃ gamiyabhattaṃ gilānabhattaṃ gilānupaṭṭhākabhattanti cattāri bhattāni pāḷiyaṃ āgatāneva, tattha āgantukānaṃ dinnaṃ bhattaṃ ‘‘āgantukabhattaṃ’’. Esa nayo sesesu. Sace panettha āgantukabhattānipi āgantukāpi bahū honti, sabbesaṃ ekekaṃ gāhetabbaṃ, bhattesu appahontesu ṭhitikāya gāhetabbaṃ. Eko āgantuko paṭhamameva āgantvā sabbaṃ āgantukabhattaṃ attano gāhetvā nisīdati, sabbaṃ tasseva hoti, pacchā āgatehi āgantukehi tena dinnāni paribhuñjitabbāni. Tenapi ekaṃ attano gahetvā sesāni dātabbāni. Ayaṃ uḷāro.
สเจ ปน โย ปฐมํ อาคนฺตฺวาปิ อตฺตโน อคฺคเหตฺวา ตุณฺหีภูโต นิสีทติ, ปจฺฉา อาคเตหิ สทฺธิํ ปฎิปาฎิยา คณฺหิตพฺพํฯ สเจ นิจฺจํ อาคนฺตุกา อาคจฺฉนฺติ, อาคตทิวเสเยว ภุญฺชิตพฺพํ, อนฺตรนฺตรา เจ อาคจฺฉนฺติ, เทฺว ตีณิ ทิวสานิ ภุญฺชิตพฺพํฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘สตฺต ทิวสานิ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ
Sace pana yo paṭhamaṃ āgantvāpi attano aggahetvā tuṇhībhūto nisīdati, pacchā āgatehi saddhiṃ paṭipāṭiyā gaṇhitabbaṃ. Sace niccaṃ āgantukā āgacchanti, āgatadivaseyeva bhuñjitabbaṃ, antarantarā ce āgacchanti, dve tīṇi divasāni bhuñjitabbaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘satta divasāni bhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ.
อาวาสิโก กตฺถจิ คนฺตฺวา อาคโต, เตนาปิ อาคนฺตุกภตฺตํ ปริภุญฺชิตพฺพํฯ สเจ ปน ตํ วิหาเร นิพนฺธาปิตํ โหติ, วิหาเร คาเหตพฺพํฯ อถ วิหาโร ทูเร โหติ, อาสนสาลาย นิพนฺธาปิตํ อาสนสาลาย คาเหตพฺพํฯ สเจ ปน ทายกา ‘‘อาคนฺตุเกสุ อสติ อาวาสิกาปิ ปริภุญฺชนฺตู’’ติ วทนฺติ, วฎฺฎติฯ
Āvāsiko katthaci gantvā āgato, tenāpi āgantukabhattaṃ paribhuñjitabbaṃ. Sace pana taṃ vihāre nibandhāpitaṃ hoti, vihāre gāhetabbaṃ. Atha vihāro dūre hoti, āsanasālāya nibandhāpitaṃ āsanasālāya gāhetabbaṃ. Sace pana dāyakā ‘‘āgantukesu asati āvāsikāpi paribhuñjantū’’ti vadanti, vaṭṭati.
คมิยภเตฺตปิ อยเมว กถามโคฺคฯ อยํ ปน วิเสโส – อาคนฺตุโก อาคนฺตุกภตฺตเมว ลภติ, คมิโก อาคนฺตุกภตฺตมฺปิ คมิยภตฺตมฺปิฯ อาวาสิโกปิ ปกฺกมิตุกาโม คมิโก โหติ; คมิยภตฺตํ ลภติฯ ยถา ปน อาคนฺตุกภตฺตํ; เอวมิทํ เทฺว วา ตีณิ วา สตฺต วา ทิวสานิ น ลพฺภติฯ ‘‘คมิสฺสามี’’ติ ภุโตฺต ตํทิวสํ เกนจิเทว การเณน น คโต, ปุนทิวเสปิ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, สอุสฺสาหตฺตาฯ ‘‘คมิสฺสามี’’ติ ภุตฺตสฺส โจรา วา ปนฺถํ รุนฺธนฺติ อุทกํ วา, เทโว วา วสฺสติ, สโตฺถ วา น คจฺฉติ, สอุสฺสาเหน ภุญฺชิตพฺพํฯ เอเต อุปทฺทเว โอโลเกเนฺตน ‘‘เทฺว ตโย ทิวเส ภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ ‘‘คมิสฺสามี’’ติ ปน เลสํ โอเฑฺฑตฺวา ภุญฺชิตุํ น ลภติฯ
Gamiyabhattepi ayameva kathāmaggo. Ayaṃ pana viseso – āgantuko āgantukabhattameva labhati, gamiko āgantukabhattampi gamiyabhattampi. Āvāsikopi pakkamitukāmo gamiko hoti; gamiyabhattaṃ labhati. Yathā pana āgantukabhattaṃ; evamidaṃ dve vā tīṇi vā satta vā divasāni na labbhati. ‘‘Gamissāmī’’ti bhutto taṃdivasaṃ kenacideva kāraṇena na gato, punadivasepi bhuñjituṃ vaṭṭati, saussāhattā. ‘‘Gamissāmī’’ti bhuttassa corā vā panthaṃ rundhanti udakaṃ vā, devo vā vassati, sattho vā na gacchati, saussāhena bhuñjitabbaṃ. Ete upaddave olokentena ‘‘dve tayo divase bhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. ‘‘Gamissāmī’’ti pana lesaṃ oḍḍetvā bhuñjituṃ na labhati.
คิลานภตฺตมฺปิ สเจ สเพฺพสํ คิลานานํ ปโหติ, สเพฺพสํ ทาตพฺพํ; โน เจ, ฐิติกํ กตฺวา คาเหตพฺพํฯ เอโก คิลาโน อโรครูโป สโกฺกติ อโนฺตคามํ คนฺตุํ, เอโก น สโกฺกติ, อยํ ‘‘มหาคิลาโน’’ นามฯ เอตสฺส คิลานภตฺตํ ทาตพฺพํฯ เทฺว มหาคิลานา – เอโก ลาภี อภิญฺญาโต พหุํ ขาทนียํ โภชนียํ ลภติ, เอโก อนาโถ อปฺปลาภตาย อโนฺตคามํ ปวิสติ – เอตสฺส คิลานภตฺตํ ทาตพฺพํฯ คิลานภเตฺต ปน ทิวสปริเจฺฉโท นตฺถิฯ ยาว โรโค น วูปสมฺมติ, สปฺปายโภชนํ อภุญฺชโนฺต น ยาเปติ, ตาว ภุญฺชิตพฺพํฯ ยทา ปน มิสฺสกยาคุํ วา มิสฺสกภตฺตํ วา ภุตฺตสฺสาปิ โรโค น กุปฺปติ, ตโต ปฎฺฐาย น ภุญฺชิตพฺพํฯ
Gilānabhattampi sace sabbesaṃ gilānānaṃ pahoti, sabbesaṃ dātabbaṃ; no ce, ṭhitikaṃ katvā gāhetabbaṃ. Eko gilāno arogarūpo sakkoti antogāmaṃ gantuṃ, eko na sakkoti, ayaṃ ‘‘mahāgilāno’’ nāma. Etassa gilānabhattaṃ dātabbaṃ. Dve mahāgilānā – eko lābhī abhiññāto bahuṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ labhati, eko anātho appalābhatāya antogāmaṃ pavisati – etassa gilānabhattaṃ dātabbaṃ. Gilānabhatte pana divasaparicchedo natthi. Yāva rogo na vūpasammati, sappāyabhojanaṃ abhuñjanto na yāpeti, tāva bhuñjitabbaṃ. Yadā pana missakayāguṃ vā missakabhattaṃ vā bhuttassāpi rogo na kuppati, tato paṭṭhāya na bhuñjitabbaṃ.
คิลานุปฎฺฐากภตฺตมฺปิ ยํ สเพฺพสํ ปโหติ, ตํ สเพฺพสํ ทาตพฺพํ; โน เจ ปโหติ, ฐิติกํ กตฺวา คาเหตพฺพํฯ อิทมฺปิ ทฺวีสุ คิลาเนสุ มหาคิลานุปฎฺฐากสฺส คาเหตพฺพํ, ทฺวีสุ มหาคิลาเนสุ อนาถคิลานุปฎฺฐากสฺสฯ ยํ กุลํ คิลานภตฺตมฺปิ เทติ คิลานุปฎฺฐากภตฺตมฺปิ, ตตฺถ ยสฺส คิลานสฺส ภตฺตํ ปาปุณาติ ตทุปฎฺฐากสฺสาปิ ตเตฺถว คาเหตพฺพํฯ คิลานุปฎฺฐากภเตฺตปิ ทิวสปริเจฺฉโท นตฺถิ, ยาว คิลาโน ลภติ, ตาวสฺส อุปฎฺฐาโกปิ ลภตีติฯ อิมานิ จตฺตาริ ภตฺตานิ สเจ เอวํ ทินฺนานิ โหนฺติ ‘‘อาคนฺตุกคมิกคิลานุปฎฺฐากา มม ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ, ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ สเจ ปน อาคนฺตุกาทีนํ ภตฺตํ นิพนฺธาเปมิ, ‘‘มม ภตฺตํ คณฺหนฺตู’’ติ เอวํ ทินฺนานิ โหนฺติ, ปิณฺฑปาติกานํ น วฎฺฎติฯ
Gilānupaṭṭhākabhattampi yaṃ sabbesaṃ pahoti, taṃ sabbesaṃ dātabbaṃ; no ce pahoti, ṭhitikaṃ katvā gāhetabbaṃ. Idampi dvīsu gilānesu mahāgilānupaṭṭhākassa gāhetabbaṃ, dvīsu mahāgilānesu anāthagilānupaṭṭhākassa. Yaṃ kulaṃ gilānabhattampi deti gilānupaṭṭhākabhattampi, tattha yassa gilānassa bhattaṃ pāpuṇāti tadupaṭṭhākassāpi tattheva gāhetabbaṃ. Gilānupaṭṭhākabhattepi divasaparicchedo natthi, yāva gilāno labhati, tāvassa upaṭṭhākopi labhatīti. Imāni cattāri bhattāni sace evaṃ dinnāni honti ‘‘āgantukagamikagilānupaṭṭhākā mama bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti, piṇḍapātikānampi vaṭṭati. Sace pana āgantukādīnaṃ bhattaṃ nibandhāpemi, ‘‘mama bhattaṃ gaṇhantū’’ti evaṃ dinnāni honti, piṇḍapātikānaṃ na vaṭṭati.
อปรานิปิ ‘‘ธุรภตฺตํ, กุฎิภตฺตํ, วารภตฺต’’นฺติ ตีณิ ภตฺตานิฯ ตตฺถ ธุรภตฺตนฺติ นิจฺจภตฺตํ วุจฺจติ, ตํ ทุวิธํ – สงฺฆิกํ ปุคฺคลิกญฺจฯ ตตฺถ ยํ ‘‘สงฺฆสฺส ธุรภตฺตํ เทมา’’ติ นิพนฺธาปิตํ, ตํ สลากภตฺตคติกํฯ ‘‘มม นิพทฺธํ ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ วตฺวา ทินฺนํ ปน ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ ปุคฺคลิเกปิ ‘‘ตุมฺหากํ ธุรภตฺตํ ทมฺมี’’ติ วุเตฺต ปิณฺฑปาติโก เจ, น วฎฺฎติฯ ‘‘มม นิพทฺธํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺต ปน วฎฺฎติ, สาทิตพฺพํฯ สเจปิ ปจฺฉา กติปาเห วีติวเตฺต ‘‘ธุรภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วทติ, มูเล สุฎฺฐุ สมฺปฎิจฺฉิตตฺตา วฎฺฎติฯ
Aparānipi ‘‘dhurabhattaṃ, kuṭibhattaṃ, vārabhatta’’nti tīṇi bhattāni. Tattha dhurabhattanti niccabhattaṃ vuccati, taṃ duvidhaṃ – saṅghikaṃ puggalikañca. Tattha yaṃ ‘‘saṅghassa dhurabhattaṃ demā’’ti nibandhāpitaṃ, taṃ salākabhattagatikaṃ. ‘‘Mama nibaddhaṃ bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti vatvā dinnaṃ pana piṇḍapātikānampi vaṭṭati. Puggalikepi ‘‘tumhākaṃ dhurabhattaṃ dammī’’ti vutte piṇḍapātiko ce, na vaṭṭati. ‘‘Mama nibaddhaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti vutte pana vaṭṭati, sāditabbaṃ. Sacepi pacchā katipāhe vītivatte ‘‘dhurabhattaṃ gaṇhathā’’ti vadati, mūle suṭṭhu sampaṭicchitattā vaṭṭati.
กุฎิภตฺตํ นาม ยํ สงฺฆสฺส อาวาสํ กาเรตฺวา ‘‘อมฺหากํ เสนาสนวาสิโน อมฺหากํเยว ภตฺตํ คณฺหนฺตู’’ติ เอวํ นิพนฺธาปิตํ, ตํ สลากภตฺตคติกเมว โหติ, คเหตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ ‘‘อมฺหากํ เสนาสนวาสิโน อมฺหากํเยว ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ วุเตฺต ปน ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติ ฯ ยํ ปน ปุคฺคเล ปสีทิตฺวา ตสฺส วา อาวาสํ กตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ เทมา’’ติ ทินฺนํ, ตํ ตเสฺสว โหติ, ตสฺมิํ กตฺถจิ คเต นิสฺสิตเกหิ ภุญฺชิตพฺพํฯ
Kuṭibhattaṃ nāma yaṃ saṅghassa āvāsaṃ kāretvā ‘‘amhākaṃ senāsanavāsino amhākaṃyeva bhattaṃ gaṇhantū’’ti evaṃ nibandhāpitaṃ, taṃ salākabhattagatikameva hoti, gahetvā bhuñjitabbaṃ. ‘‘Amhākaṃ senāsanavāsino amhākaṃyeva bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti vutte pana piṇḍapātikānampi vaṭṭati . Yaṃ pana puggale pasīditvā tassa vā āvāsaṃ katvā ‘‘tumhākaṃ demā’’ti dinnaṃ, taṃ tasseva hoti, tasmiṃ katthaci gate nissitakehi bhuñjitabbaṃ.
วารภตฺตํ นาม ทุพฺภิกฺขสมเย ‘‘วาเรน ภิกฺขู ชคฺคิสฺสามา’’ติ ธุรเคหโต ปฎฺฐาย ทินฺนํ, ตมฺปิ ภิกฺขาวจเนน ทินฺนํ ปิณฺฑปาติกานํ วฎฺฎติฯ ‘‘วารภตฺต’’นฺติ วุเตฺต ปน สลากภตฺตคติกํ โหติฯ สเจ ตณฺฑุลาทีนิ เปเสนฺติ, ‘‘สามเณรา ปจิตฺวา เทนฺตู’’ติ, ปิณฺฑปาติกานํ วฎฺฎติฯ อิติ อิมานิ จ ตีณิ อาคนฺตุกภตฺตาทีนิ จ จตฺตารีติ สตฺต, ตานิ สงฺฆภตฺตาทีหิ สห จุทฺทส ภตฺตานิ โหนฺติฯ
Vārabhattaṃ nāma dubbhikkhasamaye ‘‘vārena bhikkhū jaggissāmā’’ti dhuragehato paṭṭhāya dinnaṃ, tampi bhikkhāvacanena dinnaṃ piṇḍapātikānaṃ vaṭṭati. ‘‘Vārabhatta’’nti vutte pana salākabhattagatikaṃ hoti. Sace taṇḍulādīni pesenti, ‘‘sāmaṇerā pacitvā dentū’’ti, piṇḍapātikānaṃ vaṭṭati. Iti imāni ca tīṇi āgantukabhattādīni ca cattārīti satta, tāni saṅghabhattādīhi saha cuddasa bhattāni honti.
อฎฺฐกถายํ ปน วิหารภตฺตํ, อฎฺฐกภตฺตํ, จตุกฺกภตฺตํ, คุฬฺหกภตฺตนฺติ อญฺญานิปิ จตฺตาริ ภตฺตานิ วุตฺตานิฯ ตตฺถ วิหารภตฺตํ นาม วิหาเร ตตฺรุปฺปาทภตฺตํ, ตํ สงฺฆภเตฺตน คหิตํฯ ตํ ปน ติสฺสมหาวิหารจิตฺตลปพฺพตาทีสุ ปฎิสมฺภิทาปเตฺตหิ ขีณาสเวหิ ยถา ปิณฺฑปาติกานมฺปิ สกฺกา โหติ ปริภุญฺชิตุํ, ตถา ปฎิคฺคหิตตฺตา ตาทิเสสุ ฐาเนสุ ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ ‘‘อฎฺฐนฺนํ ภิกฺขูนํ เทม, จตุนฺนํ เทมา’’ติ เอวํ ทินฺนํ ปน อฎฺฐกภตฺตเญฺจว จตุกฺกภตฺตญฺจ; ตมฺปิ ภิกฺขาวจเนน ทินฺนํ ปิณฺฑปาติกานํ วฎฺฎติฯ มหาภิสงฺขาริเกน อติรสกปูเวน ปตฺตํ ปูเรตฺวา ถเกตฺวา ทินฺนํ คุฬฺหกภตฺตํ นามฯ อิมานิ ตีณิ สลากภตฺตคติกาเนวฯ
Aṭṭhakathāyaṃ pana vihārabhattaṃ, aṭṭhakabhattaṃ, catukkabhattaṃ, guḷhakabhattanti aññānipi cattāri bhattāni vuttāni. Tattha vihārabhattaṃ nāma vihāre tatruppādabhattaṃ, taṃ saṅghabhattena gahitaṃ. Taṃ pana tissamahāvihāracittalapabbatādīsu paṭisambhidāpattehi khīṇāsavehi yathā piṇḍapātikānampi sakkā hoti paribhuñjituṃ, tathā paṭiggahitattā tādisesu ṭhānesu piṇḍapātikānampi vaṭṭati. ‘‘Aṭṭhannaṃ bhikkhūnaṃ dema, catunnaṃ demā’’ti evaṃ dinnaṃ pana aṭṭhakabhattañceva catukkabhattañca; tampi bhikkhāvacanena dinnaṃ piṇḍapātikānaṃ vaṭṭati. Mahābhisaṅkhārikena atirasakapūvena pattaṃ pūretvā thaketvā dinnaṃ guḷhakabhattaṃ nāma. Imāni tīṇi salākabhattagatikāneva.
อปรมฺปิ คุฬกภตฺตํ นาม อตฺถิ, อิเธกเจฺจ มนุสฺสา มหาธมฺมสวนญฺจ วิหารปูชญฺจ กาเรตฺวา สกลสงฺฆสฺส ทาตุํ น สโกฺกมาติ, ‘‘เทฺว ตีณิ ภิกฺขุสตานิ อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ ภิกฺขุปริเจฺฉทชานนตฺถํ คุฬเก เทนฺติ, อิทํ ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ อิติ จีวรกฺขนฺธเก จีวรภาชนียํ, อิมสฺมิํ ปน เสนาสนกฺขนฺธเก เสนาสนภาชนียเญฺจว ปิณฺฑปาตภาชนียญฺจ วุตฺตํฯ
Aparampi guḷakabhattaṃ nāma atthi, idhekacce manussā mahādhammasavanañca vihārapūjañca kāretvā sakalasaṅghassa dātuṃ na sakkomāti, ‘‘dve tīṇi bhikkhusatāni amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti bhikkhuparicchedajānanatthaṃ guḷake denti, idaṃ piṇḍapātikānampi vaṭṭati. Iti cīvarakkhandhake cīvarabhājanīyaṃ, imasmiṃ pana senāsanakkhandhake senāsanabhājanīyañceva piṇḍapātabhājanīyañca vuttaṃ.
คิลานปจฺจยภาชนียํ ปน เอวํ เวทิตพฺพํ – สปฺปิอาทีสุ เภสเชฺชสุ ราชราชมหามตฺตา สปฺปิสฺส ตาว กุมฺภสตมฺปิ กุมฺภสหสฺสมฺปิ วิหารํ เปเสนฺติ, ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา เถราสนโต ปฎฺฐาย คหิตภาชนํ ปูเรตฺวา ทาตพฺพํ , ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติฯ สเจ อลสชาติกา มหาเถรา ปจฺฉา อาคจฺฉนฺติ, ‘‘ภเนฺต, วีสติวสฺสานํ ทิยฺยติ, ตุมฺหากํ ฐิติกา อติกฺกนฺตา’’ติ น วตฺตพฺพา, ฐิติกํ ฐเปตฺวา เตสํ ทตฺวา ปจฺฉา ฐิติกาย ทาตพฺพํฯ
Gilānapaccayabhājanīyaṃ pana evaṃ veditabbaṃ – sappiādīsu bhesajjesu rājarājamahāmattā sappissa tāva kumbhasatampi kumbhasahassampi vihāraṃ pesenti, ghaṇṭiṃ paharitvā therāsanato paṭṭhāya gahitabhājanaṃ pūretvā dātabbaṃ , piṇḍapātikānampi vaṭṭati. Sace alasajātikā mahātherā pacchā āgacchanti, ‘‘bhante, vīsativassānaṃ diyyati, tumhākaṃ ṭhitikā atikkantā’’ti na vattabbā, ṭhitikaṃ ṭhapetvā tesaṃ datvā pacchā ṭhitikāya dātabbaṃ.
‘‘อสุกวิหาเร พหุ สปฺปิ อุปฺปนฺน’’นฺติ สุตฺวา โยชนนฺตรวิหารโตปิ ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ, สมฺปตฺตสมฺปตฺตานํ ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ทาตพฺพํฯ อสมฺปตฺตานมฺปิ อุปจารสีมํ ปวิฎฺฐานํ อเนฺตวาสิกาทีสุ คณฺหเนฺตสุ ทาตพฺพเมวฯ ‘‘พหิอุปจารสีมาย ฐิตานํ เทถา’’ติ วทนฺติ, น ทาตพฺพํฯ สเจ ปน อุปจารสีมํ โอกฺกเนฺตหิ เอกาพทฺธา หุตฺวา อตฺตโน วิหารทฺวาเร วา อโนฺตวิหาเรเยว วา โหนฺติ, ปริสาวเสน วฑฺฒิตา นาม สีมา โหติ, ตสฺมา ทาตพฺพํฯ สงฺฆนวกสฺส ทิเนฺนปิ ปจฺฉา อาคตานํ ทาตพฺพเมวฯ ทุติยภาเค ปน เถราสนํ อารุเฬฺห ปจฺฉา อาคตานํ ปฐมภาโค น ปาปุณาติ, ทุติยภาคโต วสฺสเคฺคน ทาตพฺพํฯ อุปจารสีมํ ปวิสิตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ ทินฺนํ โหติ, สพฺพสนฺนิปาตฎฺฐาเนเยว ภาเชตพฺพํฯ
‘‘Asukavihāre bahu sappi uppanna’’nti sutvā yojanantaravihāratopi bhikkhū āgacchanti, sampattasampattānaṃ ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya dātabbaṃ. Asampattānampi upacārasīmaṃ paviṭṭhānaṃ antevāsikādīsu gaṇhantesu dātabbameva. ‘‘Bahiupacārasīmāya ṭhitānaṃ dethā’’ti vadanti, na dātabbaṃ. Sace pana upacārasīmaṃ okkantehi ekābaddhā hutvā attano vihāradvāre vā antovihāreyeva vā honti, parisāvasena vaḍḍhitā nāma sīmā hoti, tasmā dātabbaṃ. Saṅghanavakassa dinnepi pacchā āgatānaṃ dātabbameva. Dutiyabhāge pana therāsanaṃ āruḷhe pacchā āgatānaṃ paṭhamabhāgo na pāpuṇāti, dutiyabhāgato vassaggena dātabbaṃ. Upacārasīmaṃ pavisitvā yattha katthaci dinnaṃ hoti, sabbasannipātaṭṭhāneyeva bhājetabbaṃ.
ยสฺมิํ วิหาเร ทส ภิกฺขู, ทเสว จ สปฺปิกุมฺภา ทิยฺยนฺติ, เอเกกกุมฺภวเสเนว ภาเชตพฺพํฯ เอโก สปฺปิกุโมฺภ โหติ, ทส ภิกฺขูหิ ภาเชตฺวา คเหตพฺพํฯ สเจ ยถาฐิตํเยว ‘‘อมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ คณฺหนฺติ, ทุคฺคหิตํ; คตคตฎฺฐาเน สงฺฆิกเมว โหติฯ กุมฺภํ ปน อาวเชฺชตฺวา ถาลเก โถกํ สปฺปิํ กตฺวา ‘‘อิทํ มหาเถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสํ อมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ วตฺวา ตมฺปิ กุเมฺภเยว อากิริตฺวา ยถิจฺฉิตํ คเหตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ถินํ สปฺปิ โหติ, เลขํ กตฺวา ‘‘เลขโต ปรภาโค มหาเถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสํ อมฺหาก’’นฺติ คหิตมฺปิ สุคฺคหิตํ, วุตฺตปริเจฺฉทโต อูนาธิเกสุปิ ภิกฺขูสุ จ สปฺปิกุเมฺภสุ จ เอเตเนวุปาเยน ภาเชตพฺพํฯ
Yasmiṃ vihāre dasa bhikkhū, daseva ca sappikumbhā diyyanti, ekekakumbhavaseneva bhājetabbaṃ. Eko sappikumbho hoti, dasa bhikkhūhi bhājetvā gahetabbaṃ. Sace yathāṭhitaṃyeva ‘‘amhākaṃ pāpuṇātī’’ti gaṇhanti, duggahitaṃ; gatagataṭṭhāne saṅghikameva hoti. Kumbhaṃ pana āvajjetvā thālake thokaṃ sappiṃ katvā ‘‘idaṃ mahātherassa pāpuṇāti, avasesaṃ amhākaṃ pāpuṇātī’’ti vatvā tampi kumbheyeva ākiritvā yathicchitaṃ gahetvā gantuṃ vaṭṭati. Sace thinaṃ sappi hoti, lekhaṃ katvā ‘‘lekhato parabhāgo mahātherassa pāpuṇāti, avasesaṃ amhāka’’nti gahitampi suggahitaṃ, vuttaparicchedato ūnādhikesupi bhikkhūsu ca sappikumbhesu ca etenevupāyena bhājetabbaṃ.
สเจ ปเนโก ภิกฺขุ, เอโกปิ กุโมฺภ โหติ, ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ‘‘อยํ มยฺหํ ปาปุณาตี’’ติปิ คเหตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อยํ ปฐมภาโค มยฺหํ ปาปุณาติ, อยํ ทุติยภาโค’’ติ เอวํ โถกํ โถกมฺปิ ปาเปตุํ วฎฺฎติฯ เอส นโย นวนีตาทีสุปิฯ ยสฺมิํ ปน วิปฺปสเนฺน ติลเตลาทิมฺหิ เลขา น สนฺติฎฺฐติ, ตํ อุทฺธริตฺวา ภาเชตพฺพํฯ สิงฺคิเวรมริจาทิเภสชฺชมฺปิ อวเสสปตฺตถาลกาทิสมณปริกฺขาโรปิ สโพฺพ วุตฺตานุรูเปเนว นเยน สุฎฺฐุ สลฺลเกฺขตฺวา ภาเชตโพฺพติฯ
Sace paneko bhikkhu, ekopi kumbho hoti, ghaṇṭiṃ paharitvā ‘‘ayaṃ mayhaṃ pāpuṇātī’’tipi gahetuṃ vaṭṭati. ‘‘Ayaṃ paṭhamabhāgo mayhaṃ pāpuṇāti, ayaṃ dutiyabhāgo’’ti evaṃ thokaṃ thokampi pāpetuṃ vaṭṭati. Esa nayo navanītādīsupi. Yasmiṃ pana vippasanne tilatelādimhi lekhā na santiṭṭhati, taṃ uddharitvā bhājetabbaṃ. Siṅgiveramaricādibhesajjampi avasesapattathālakādisamaṇaparikkhāropi sabbo vuttānurūpeneva nayena suṭṭhu sallakkhetvā bhājetabboti.
ปาฬิํ อฎฺฐกถเญฺจว, โอโลเกตฺวา วิจกฺขโณ;
Pāḷiṃ aṭṭhakathañceva, oloketvā vicakkhaṇo;
สงฺฆิเก ปจฺจเย เอวํ, อปฺปมโตฺตว ภาชเยติฯ
Saṅghike paccaye evaṃ, appamattova bhājayeti.
อิติ สพฺพากาเรน ปจฺจยภาชนียกถา นิฎฺฐิตาฯ
Iti sabbākārena paccayabhājanīyakathā niṭṭhitā.
สมฺมนฺนิตฺวา ฐปิตยาคุภาชกาทีหิ ภาชนียฎฺฐานํ อาคตมนุสฺสานํ อนาปุจฺฉิตฺวาว อุปฑฺฒภาโค ทาตโพฺพ, อสมฺมเตหิ ปน อปโลเกตฺวา ทาตโพฺพฯ สมฺมเตน อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชนเกน ภิกฺขุนา จีวรกมฺมํ กโรนฺตสฺส ‘‘สูจิํ เทหี’’ติ วทโต เอกา ทีฆา, เอกา รสฺสาติ เทฺว สูจิโย ทาตพฺพาฯ ‘‘อวิภตฺตํ สงฺฆิกํ ภณฺฑ’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพกิจฺจํ นตฺถิฯ ปิปฺผลกตฺถิกสฺส เอโก ปิปฺผลโก, อทฺธานกนฺตารํ ปฎิปชฺชิตุกามสฺส อุปาหนยุคฬํ, กายพนฺธนตฺถิกสฺส กายพนฺธนํ, ‘‘อํสพทฺธโก เม ชิโณฺณ’’ติ อาคตสฺส อํสพทฺธโก, ปริสฺสาวนตฺถิกสฺส ปริสฺสาวนํ ทาตพฺพํฯ ธมฺมกรณตฺถิกสฺส ธมฺมกรโณฯ สเจ ปฎโก น โหติ, ธมฺมกรโณ ปฎเกน สทฺธิํ ทาตโพฺพฯ ‘‘อาคนฺตุกปฎฺฎํ อาโรเปสฺสามี’’ติ ยาจนฺตสฺส กุสิยา จ อฑฺฒกุสิยา จ ปโหนกํ ทาตพฺพํฯ ‘‘มณฺฑลํ นปฺปโหตี’’ติ อาคตสฺส มณฺฑลํ เอกํ ทาตพฺพํ, อฑฺฒมณฺฑลานิ เทฺว ทาตพฺพานิฯ เทฺว มณฺฑลานิ ยาจนฺตสฺส น ทาตพฺพานิฯ อนุวาตปริภณฺฑตฺถิกสฺส เอกสฺส จีวรสฺส ปโหนกํ ทาตพฺพํฯ สปฺปินวนีตาทิอตฺถิกสฺส คิลานสฺส เอกํ เภสชฺชํ นาฬิมตฺตํ กตฺวา ตโต ตติยโกฎฺฐาโส ทาตโพฺพฯ เอวํ ตีณิ ทิวสานิ ทตฺวา นาฬิยา ปริปุณฺณาย จตุตฺถทิวสโต ปฎฺฐาย สงฺฆํ ปุจฺฉิตฺวา ทาตพฺพํฯ คุฬปิเณฺฑปิ เอกทิวสํ ตติยภาโค ทาตโพฺพฯ เอวํ ตีหิ ทิวเสหิ นิฎฺฐิเต ปิเณฺฑ ตโต ปรํ สงฺฆํ ปุจฺฉิตฺวา ทาตพฺพํฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Sammannitvā ṭhapitayāgubhājakādīhi bhājanīyaṭṭhānaṃ āgatamanussānaṃ anāpucchitvāva upaḍḍhabhāgo dātabbo, asammatehi pana apaloketvā dātabbo. Sammatena appamattakavissajjanakena bhikkhunā cīvarakammaṃ karontassa ‘‘sūciṃ dehī’’ti vadato ekā dīghā, ekā rassāti dve sūciyo dātabbā. ‘‘Avibhattaṃ saṅghikaṃ bhaṇḍa’’nti pucchitabbakiccaṃ natthi. Pipphalakatthikassa eko pipphalako, addhānakantāraṃ paṭipajjitukāmassa upāhanayugaḷaṃ, kāyabandhanatthikassa kāyabandhanaṃ, ‘‘aṃsabaddhako me jiṇṇo’’ti āgatassa aṃsabaddhako, parissāvanatthikassa parissāvanaṃ dātabbaṃ. Dhammakaraṇatthikassa dhammakaraṇo. Sace paṭako na hoti, dhammakaraṇo paṭakena saddhiṃ dātabbo. ‘‘Āgantukapaṭṭaṃ āropessāmī’’ti yācantassa kusiyā ca aḍḍhakusiyā ca pahonakaṃ dātabbaṃ. ‘‘Maṇḍalaṃ nappahotī’’ti āgatassa maṇḍalaṃ ekaṃ dātabbaṃ, aḍḍhamaṇḍalāni dve dātabbāni. Dve maṇḍalāni yācantassa na dātabbāni. Anuvātaparibhaṇḍatthikassa ekassa cīvarassa pahonakaṃ dātabbaṃ. Sappinavanītādiatthikassa gilānassa ekaṃ bhesajjaṃ nāḷimattaṃ katvā tato tatiyakoṭṭhāso dātabbo. Evaṃ tīṇi divasāni datvā nāḷiyā paripuṇṇāya catutthadivasato paṭṭhāya saṅghaṃ pucchitvā dātabbaṃ. Guḷapiṇḍepi ekadivasaṃ tatiyabhāgo dātabbo. Evaṃ tīhi divasehi niṭṭhite piṇḍe tato paraṃ saṅghaṃ pucchitvā dātabbaṃ. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปกฺขิกภตฺตาทิกถา นิฎฺฐิตาฯ
Pakkhikabhattādikathā niṭṭhitā.
เสนาสนกฺขนฺธกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Senāsanakkhandhakavaṇṇanā niṭṭhitā.