Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๒๙] ๙. ปลายิตชาตกวณฺณนา
[229] 9. Palāyitajātakavaṇṇanā
คชคฺคเมเฆหีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปลายิตปริพฺพาชกํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร วาทตฺถาย สกลชมฺพุทีปํ วิจริตฺวา กญฺจิ ปฎิวาทิํ อลภิตฺวา อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข โกจิ มยา สทฺธิํ วาทํ กาตุํ สมโตฺถ’’ติ มนุเสฺส ปุจฺฉิฯ มนุสฺสา ‘‘ตาทิสานํ สหเสฺสนปิ สทฺธิํ วาทํ กาตุํ สมโตฺถ สพฺพญฺญู ทฺวิปทานํ อโคฺค มหาโคตโม ธมฺมิสฺสโร ปรปฺปวาทมทฺทโน, สกเลปิ ชมฺพุทีเป อุปฺปโนฺน ปรปฺปวาโท ตํ ภควนฺตํ อติกฺกมิตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ เวลนฺตํ ปตฺวา สมุทฺทอูมิโย วิย หิ สพฺพวาทา ตสฺส ปาทมูลํ ปตฺวา จุณฺณวิจุณฺณา โหนฺตี’’ติ พุทฺธคุเณ กเถสุํฯ ปริพฺพาชโก ‘‘กหํ ปน โส เอตรหี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เชตวเน’’ติ สุตฺวา ‘‘อิทานิสฺส วาทํ อาโรเปสฺสามี’’ติ มหาชนปริวุโต เชตวนํ คจฺฉโนฺต เชเตน ราชกุมาเรน นวโกฎิธนํ วิสฺสเชฺชตฺวา การิตํ เชตวนทฺวารโกฎฺฐกํ ทิสฺวา ‘‘อยํ สมณสฺส โคตมสฺส วสนปาสาโท’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ทฺวารโกฎฺฐโก อย’’นฺติ สุตฺวา ‘‘ทฺวารโกฎฺฐโก ตาว เอวรูโป, วสนเคหํ กีทิสํ ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา ‘‘คนฺธกุฎิ นาม อปฺปเมยฺยา’’ติ วุเตฺต ‘‘เอวรูเปน สมเณน สทฺธิํ โก วาทํ กริสฺสตี’’ติ ตโตว ปลายิฯ มนุสฺสา อุนฺนาทิโน หุตฺวา เชตวนํ ปวิสิตฺวา สตฺถารา ‘‘กิํ อกาเล อาคตตฺถา’’ติ วุตฺตา ตํ ปวตฺติํ กถยิํสุฯ สตฺถา ‘‘น โข อุปาสกา อิทาเนว, ปุเพฺพเปส มม วสนฎฺฐานสฺส ทฺวารโกฎฺฐกํ ทิสฺวา ปลายเตวา’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Gajaggameghehīti idaṃ satthā jetavane viharanto palāyitaparibbājakaṃ ārabbha kathesi. So kira vādatthāya sakalajambudīpaṃ vicaritvā kañci paṭivādiṃ alabhitvā anupubbena sāvatthiṃ gantvā ‘‘atthi nu kho koci mayā saddhiṃ vādaṃ kātuṃ samattho’’ti manusse pucchi. Manussā ‘‘tādisānaṃ sahassenapi saddhiṃ vādaṃ kātuṃ samattho sabbaññū dvipadānaṃ aggo mahāgotamo dhammissaro parappavādamaddano, sakalepi jambudīpe uppanno parappavādo taṃ bhagavantaṃ atikkamituṃ samattho nāma natthi. Velantaṃ patvā samuddaūmiyo viya hi sabbavādā tassa pādamūlaṃ patvā cuṇṇavicuṇṇā hontī’’ti buddhaguṇe kathesuṃ. Paribbājako ‘‘kahaṃ pana so etarahī’’ti pucchitvā ‘‘jetavane’’ti sutvā ‘‘idānissa vādaṃ āropessāmī’’ti mahājanaparivuto jetavanaṃ gacchanto jetena rājakumārena navakoṭidhanaṃ vissajjetvā kāritaṃ jetavanadvārakoṭṭhakaṃ disvā ‘‘ayaṃ samaṇassa gotamassa vasanapāsādo’’ti pucchitvā ‘‘dvārakoṭṭhako aya’’nti sutvā ‘‘dvārakoṭṭhako tāva evarūpo, vasanagehaṃ kīdisaṃ bhavissatī’’ti vatvā ‘‘gandhakuṭi nāma appameyyā’’ti vutte ‘‘evarūpena samaṇena saddhiṃ ko vādaṃ karissatī’’ti tatova palāyi. Manussā unnādino hutvā jetavanaṃ pavisitvā satthārā ‘‘kiṃ akāle āgatatthā’’ti vuttā taṃ pavattiṃ kathayiṃsu. Satthā ‘‘na kho upāsakā idāneva, pubbepesa mama vasanaṭṭhānassa dvārakoṭṭhakaṃ disvā palāyatevā’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต คนฺธารรเฎฺฐ ตกฺกสิลายํ โพธิสโตฺต รชฺชํ กาเรสิ, พาราณสิยํ พฺรหฺมทโตฺตฯ โส ‘‘ตกฺกสิลํ คณฺหิสฺสามี’’ติ มหเนฺตน พลกาเยน คนฺตฺวา นครโต อวิทูเร ฐตฺวา ‘‘อิมินา นิยาเมน หตฺถี เปเสถ, อิมินา อเสฺส, อิมินา รเถ, อิมินา ปตฺตี, เอวํ ธาวิตฺวา อาวุเธหิ ปหรถ, เอวํ ฆนวสฺสวลาหกา วิย สรวสฺสํ วสฺสถา’’ติ เตนํ วิจาเรโนฺต อิมํ คาถาทฺวยมาห –
Atīte gandhāraraṭṭhe takkasilāyaṃ bodhisatto rajjaṃ kāresi, bārāṇasiyaṃ brahmadatto. So ‘‘takkasilaṃ gaṇhissāmī’’ti mahantena balakāyena gantvā nagarato avidūre ṭhatvā ‘‘iminā niyāmena hatthī pesetha, iminā asse, iminā rathe, iminā pattī, evaṃ dhāvitvā āvudhehi paharatha, evaṃ ghanavassavalāhakā viya saravassaṃ vassathā’’ti tenaṃ vicārento imaṃ gāthādvayamāha –
๑๕๗.
157.
‘‘คชคฺคเมเฆหิ หยคฺคมาลิภิ, รถูมิชาเตหิ สราภิวเสฺสภิ;
‘‘Gajaggameghehi hayaggamālibhi, rathūmijātehi sarābhivassebhi;
ถรุคฺคหาวฎฺฎทฬฺหปฺปหาริภิ, ปริวาริตา ตกฺกสิลา สมนฺตโตฯ
Tharuggahāvaṭṭadaḷhappahāribhi, parivāritā takkasilā samantato.
๑๕๘.
158.
‘‘อภิธาวถ จูปธาวถ จ, วิวิธา วินาทิตา วทนฺติภิ;
‘‘Abhidhāvatha cūpadhāvatha ca, vividhā vināditā vadantibhi;
วตฺตตชฺช ตุมุโล โฆโส ยถา, วิชฺชุลตา ชลธรสฺส คชฺชโต’’ติฯ
Vattatajja tumulo ghoso yathā, vijjulatā jaladharassa gajjato’’ti.
ตตฺถ คชคฺคเมเฆหีติ อคฺคคชเมเฆหิ, โกญฺจนาทํ คชฺชเนฺตหิ มตฺตวรวารณวลาหเกหีติ อโตฺถฯ หยคฺคมาลิภีติ อคฺคหยมาลีหิ, วรสินฺธววลาหกกุเลหิ อสฺสานีเกหีติ อโตฺถฯ รถูมิชาเตหีติ สญฺชาตอูมิเวเคหิ สาครสลิเลหิ วิย สญฺชาตรถูมีหิ, รถานีเกหีติ อโตฺถฯ สราภิวเสฺสภีติ เตหิเยว รถานีเกหิ ฆนวสฺสเมโฆ วิย สรวสฺสํ วสฺสเนฺตหิ ฯ ถรุคฺคหาวฎฺฎทฬฺหปฺปหาริภีติ ถรุคฺคเหหิ อาวฎฺฎทฬฺหปฺปหารีหิ, อิโต จิโต จ อาวตฺติตฺวา ปริวตฺติตฺวา ทฬฺหํ ปหรเนฺตหิ คหิตขคฺครตนถรุทเณฺฑหิ ปตฺติโยเธหิ จาติ อโตฺถฯ ปริวาริตา ตกฺกสิลา สมนฺตโตติ ยถา อยํ ตกฺกสิลา ปริวาริตา โหติ, สีฆํ ตถา กโรถาติ อโตฺถฯ
Tattha gajaggameghehīti aggagajameghehi, koñcanādaṃ gajjantehi mattavaravāraṇavalāhakehīti attho. Hayaggamālibhīti aggahayamālīhi, varasindhavavalāhakakulehi assānīkehīti attho. Rathūmijātehīti sañjātaūmivegehi sāgarasalilehi viya sañjātarathūmīhi, rathānīkehīti attho. Sarābhivassebhīti tehiyeva rathānīkehi ghanavassamegho viya saravassaṃ vassantehi . Tharuggahāvaṭṭadaḷhappahāribhīti tharuggahehi āvaṭṭadaḷhappahārīhi, ito cito ca āvattitvā parivattitvā daḷhaṃ paharantehi gahitakhaggaratanatharudaṇḍehi pattiyodhehi cāti attho. Parivāritā takkasilā samantatoti yathā ayaṃ takkasilā parivāritā hoti, sīghaṃ tathā karothāti attho.
อภิธาวถ จูปธาวถ จาติ เวเคน ธาวถ เจว อุปธาวถ จฯ วิวิธา วินาทิตา วทนฺติภีติ วรวารเณหิ สทฺธิํ วิวิธา วินทิตา ภวถ, เสลิตคชฺชิตวาทิเตหิ นานาวิรวา โหถาติ อโตฺถฯ วตฺตตชฺช ตุมุโล โฆโสติ วตฺตตุ อชฺช ตุมุโล มหโนฺต อสนิสทฺทสทิโส โฆโสฯ ยถา วิชฺชุลตา ชลธรสฺส คชฺชโตติ ยถา คชฺชนฺตสฺส ชลธรสฺส มุขโต นิคฺคตา วิชฺชุลตา จรนฺติ, เอวํ วิจรนฺตา นครํ ปริวาเรตฺวา รชฺชํ คณฺหถาติ วทติฯ
Abhidhāvathacūpadhāvatha cāti vegena dhāvatha ceva upadhāvatha ca. Vividhā vināditā vadantibhīti varavāraṇehi saddhiṃ vividhā vinaditā bhavatha, selitagajjitavāditehi nānāviravā hothāti attho. Vattatajja tumulo ghosoti vattatu ajja tumulo mahanto asanisaddasadiso ghoso. Yathā vijjulatā jaladharassa gajjatoti yathā gajjantassa jaladharassa mukhato niggatā vijjulatā caranti, evaṃ vicarantā nagaraṃ parivāretvā rajjaṃ gaṇhathāti vadati.
อิติ โส ราชา คชฺชิตฺวา เสนํ วิจาเรตฺวา นครทฺวารสมีปํ คนฺตฺวา ทฺวารโกฎฺฐกํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ รโญฺญ วสนเคห’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อยํ นครทฺวารโกฎฺฐโก’’ติ วุเตฺต ‘‘นครทฺวารโกฎฺฐโก ตาว เอวรูโป, รโญฺญ นิเวสนํ กีทิสํ ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา ‘‘เวชยนฺตปาสาทสทิส’’นฺติ สุตฺวา ‘‘เอวํ ยสสมฺปเนฺนน รญฺญา สทฺธิํ ยุชฺฌิตุํ น สกฺขิสฺสามา’’ติ ทฺวารโกฎฺฐกํ ทิสฺวาว นิวตฺติตฺวา ปลายิตฺวา พาราณสิเมว อคมาสิฯ
Iti so rājā gajjitvā senaṃ vicāretvā nagaradvārasamīpaṃ gantvā dvārakoṭṭhakaṃ disvā ‘‘idaṃ rañño vasanageha’’nti pucchitvā ‘‘ayaṃ nagaradvārakoṭṭhako’’ti vutte ‘‘nagaradvārakoṭṭhako tāva evarūpo, rañño nivesanaṃ kīdisaṃ bhavissatī’’ti vatvā ‘‘vejayantapāsādasadisa’’nti sutvā ‘‘evaṃ yasasampannena raññā saddhiṃ yujjhituṃ na sakkhissāmā’’ti dvārakoṭṭhakaṃ disvāva nivattitvā palāyitvā bārāṇasimeva agamāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา พาราณสิราชา ปลายิตปริพฺพาชโก อโหสิ, ตกฺกสิลราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā bārāṇasirājā palāyitaparibbājako ahosi, takkasilarājā pana ahameva ahosi’’nti.
ปลายิตชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Palāyitajātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๒๙. ปลายิตชาตกํ • 229. Palāyitajātakaṃ