Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๙. ปาลิเลยฺยสุตฺตวณฺณนา
9. Pālileyyasuttavaṇṇanā
๘๑. นวเม จาริกํ ปกฺกามีติ โกสมฺพิกานํ ภิกฺขูนํ กลหกาเล สตฺถา เอกทิวสํ ทีฆีติสฺส โกสลรโญฺญ วตฺถุํ อาหริตฺวา ‘‘น หิ เวเรน เวรานิ, สมฺมนฺตีธ กุทาจน’’นฺติอาทีหิ (ธ. ป. ๕) คาถาหิ โอวทติฯ ตํทิวสํ เตสํ กลหํ กโรนฺตานํเยว รตฺติ วิภาตาฯ ทุติยทิวเสปิ ภควา ตเมว วตฺถุํ กเถสิฯ ตํทิวสมฺปิ เตสํ กลหํ กโรนฺตานํเยว รตฺติ วิภาตาฯ ตติยทิวเสปิ ภควา ตเมว วตฺถุํ กเถสิฯ อถ นํ อญฺญตโร ภิกฺขุ เอวมาห – ‘‘อโปฺปสฺสุโกฺก, ภเนฺต, ภควา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารํ อนุยุโตฺต วิหรตุ, มยเมเตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน ปญฺญายิสฺสามา’’ติฯ สตฺถา ‘‘ปริยาทิณฺณรูปจิตฺตา โข อิเม โมฆปุริสา, น อิเม สกฺกา สญฺญาเปตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา – ‘‘กิํ มยฺหํ อิเมหิ, เอกจารวาสํ วสิสฺสามี’’ติ? โส ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา โกสมฺพิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา กญฺจิปิ อนามเนฺตตฺวา เอโกว อทุติโย จาริกํ ปกฺกามิฯ
81. Navame cārikaṃ pakkāmīti kosambikānaṃ bhikkhūnaṃ kalahakāle satthā ekadivasaṃ dīghītissa kosalarañño vatthuṃ āharitvā ‘‘na hi verena verāni, sammantīdha kudācana’’ntiādīhi (dha. pa. 5) gāthāhi ovadati. Taṃdivasaṃ tesaṃ kalahaṃ karontānaṃyeva ratti vibhātā. Dutiyadivasepi bhagavā tameva vatthuṃ kathesi. Taṃdivasampi tesaṃ kalahaṃ karontānaṃyeva ratti vibhātā. Tatiyadivasepi bhagavā tameva vatthuṃ kathesi. Atha naṃ aññataro bhikkhu evamāha – ‘‘appossukko, bhante, bhagavā diṭṭhadhammasukhavihāraṃ anuyutto viharatu, mayametena bhaṇḍanena kalahena viggahena vivādena paññāyissāmā’’ti. Satthā ‘‘pariyādiṇṇarūpacittā kho ime moghapurisā, na ime sakkā saññāpetu’’nti cintetvā – ‘‘kiṃ mayhaṃ imehi, ekacāravāsaṃ vasissāmī’’ti? So pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā kosambiyaṃ piṇḍāya caritvā kañcipi anāmantetvā ekova adutiyo cārikaṃ pakkāmi.
ยสฺมิํ, อาวุโส, สมเยติ อิทํ เถโร ยสฺมาสฺส อชฺช ภควา เอเกน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ปกฺกมิสฺสติ, อชฺช ทฺวีหิ, อชฺช สเตน, อชฺช สหเสฺสน, อชฺช เอกโกวาติ สโพฺพ ภควโต จาโร วิทิโต ปากโฎ ปจฺจโกฺข, ตสฺมา อาหฯ
Yasmiṃ, āvuso, samayeti idaṃ thero yasmāssa ajja bhagavā ekena bhikkhunā saddhiṃ pakkamissati, ajja dvīhi, ajja satena, ajja sahassena, ajja ekakovāti sabbo bhagavato cāro vidito pākaṭo paccakkho, tasmā āha.
อนุปุเพฺพนาติ คามนิคมปฎิปาฎิยา ปิณฺฑาย จรมาโน เอกจารวาสํ ตาว วสมานํ ภิกฺขุํ ปสฺสิตุกาโม หุตฺวา พาลกโลณการคามํ อคมาสิฯ ตตฺถ ภคุเตฺถรสฺส สกลปจฺฉาภตฺตเญฺจว ติยามรตฺติญฺจ เอกจารวาเส อานิสํสํ กเถตฺวา ปุนทิวเส เตน ปจฺฉาสมเณน ปิณฺฑาย จริตฺวา ตํ ตเตฺถว นิวเตฺตตฺวา ‘‘สมคฺควาสํ วสมาเน ตโย กุลปุเตฺต ปสฺสิสฺสามี’’ติ ปาจีนวํสมิคทายํ อคมาสิฯ เตสมฺปิ สกลปจฺฉาภตฺตเญฺจว ติยามรตฺติญฺจ เอกจารวาเส อานิสํสํ กเถตฺวา เต ตเตฺถว นิวเตฺตตฺวา เอกโกว ปาลิเลยฺย นคราภิมุโข ปกฺกมิตฺวา อนุปุเพฺพน ปาลิเลยฺยนครํ สมฺปโตฺตฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน ปาลิเลยฺยกํ, ตทวสรี’’ติฯ
Anupubbenāti gāmanigamapaṭipāṭiyā piṇḍāya caramāno ekacāravāsaṃ tāva vasamānaṃ bhikkhuṃ passitukāmo hutvā bālakaloṇakāragāmaṃ agamāsi. Tattha bhaguttherassa sakalapacchābhattañceva tiyāmarattiñca ekacāravāse ānisaṃsaṃ kathetvā punadivase tena pacchāsamaṇena piṇḍāya caritvā taṃ tattheva nivattetvā ‘‘samaggavāsaṃ vasamāne tayo kulaputte passissāmī’’ti pācīnavaṃsamigadāyaṃ agamāsi. Tesampi sakalapacchābhattañceva tiyāmarattiñca ekacāravāse ānisaṃsaṃ kathetvā te tattheva nivattetvā ekakova pālileyya nagarābhimukho pakkamitvā anupubbena pālileyyanagaraṃ sampatto. Tena vuttaṃ – ‘‘anupubbena cārikaṃ caramāno yena pālileyyakaṃ, tadavasarī’’ti.
ภทฺทสาลมูเลติ ปาลิเลยฺยวาสิโน ภควโต ทานํ ทตฺวา ปาลิเลยฺยโต อวิทูเร รกฺขิตวนสโณฺฑ นาม อตฺถิ, ตตฺถ ภควโต ปณฺณสาลํ กตฺวา ‘‘เอตฺถ วสถา’’ติ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา วาสยิํสุฯ ภทฺทสาโล ปน ตเตฺถโก มนาโป ลทฺธโก สาลรุโกฺขฯ ภควา ตํ นครํ อุปนิสฺสาย ตสฺมิํ วนสเณฺฑ ปณฺณสาลสมีเป ตสฺมิํ รุกฺขมูเล วิหรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ภทฺทสาลมูเล’’ติฯ
Bhaddasālamūleti pālileyyavāsino bhagavato dānaṃ datvā pālileyyato avidūre rakkhitavanasaṇḍo nāma atthi, tattha bhagavato paṇṇasālaṃ katvā ‘‘ettha vasathā’’ti paṭiññaṃ kāretvā vāsayiṃsu. Bhaddasālo pana tattheko manāpo laddhako sālarukkho. Bhagavā taṃ nagaraṃ upanissāya tasmiṃ vanasaṇḍe paṇṇasālasamīpe tasmiṃ rukkhamūle viharati. Tena vuttaṃ ‘‘bhaddasālamūle’’ti.
เอวํ วิหรเนฺต ปเนตฺถ ตถาคเต อญฺญตโร หตฺถินาโค หตฺถินีหิ หตฺถิโปตกาทีหิ โคจรภูมิติโตฺถคาหนาทีสุ อุพฺพาโฬฺห ยูเถ อุกฺกณฺฐิโต ‘‘กิํ เม อิเมหิ หตฺถีหี’’ติ? ยูถํ ปหาย มนุสฺสปถํ คจฺฉโนฺต ปาลิเลยฺยกวนสเณฺฑ ภควนฺตํ ทิสฺวา ฆฎสหเสฺสน นิพฺพาปิตสนฺตาโป วิย นิพฺพุโต หุตฺวา สตฺถุ สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย สตฺถุ วตฺตปฎิวตฺตํ กโรโนฺต มุขโธวนํ เทติ, นฺหาโนทกํ อาหรติ, ทนฺตกฎฺฐํ เทติ, ปริเวณํ สมฺมชฺชติ, อรญฺญโต มธุรานิ ผลาผลานิ อาหริตฺวา สตฺถุโน เทติฯ สตฺถา ปริโภคํ กโรติฯ
Evaṃ viharante panettha tathāgate aññataro hatthināgo hatthinīhi hatthipotakādīhi gocarabhūmititthogāhanādīsu ubbāḷho yūthe ukkaṇṭhito ‘‘kiṃ me imehi hatthīhī’’ti? Yūthaṃ pahāya manussapathaṃ gacchanto pālileyyakavanasaṇḍe bhagavantaṃ disvā ghaṭasahassena nibbāpitasantāpo viya nibbuto hutvā satthu santike aṭṭhāsi. So tato paṭṭhāya satthu vattapaṭivattaṃ karonto mukhadhovanaṃ deti, nhānodakaṃ āharati, dantakaṭṭhaṃ deti, pariveṇaṃ sammajjati, araññato madhurāni phalāphalāni āharitvā satthuno deti. Satthā paribhogaṃ karoti.
เอกทิวสํ สตฺถา รตฺติภาคสมนนฺตเร จงฺกมิตฺวา ปาสาณผลเก นิสีทิฯ หตฺถีปิ อวิทูเร ฐาเน อฎฺฐาสิฯ สตฺถา ปจฺฉโต โอโลเกตฺวา น กิญฺจิ อทฺทส, เอวํ ปุรโต จ อุภยปเสฺสสุ จฯ อถสฺส ‘‘สุขํ วตาหํ อญฺญตฺร เตหิ ภณฺฑนการเกหิ วสามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชิฯ หตฺถิโนปิ ‘‘มยา นามิตสาขํ อเญฺญ ขาทนฺตา นตฺถี’’ติอาทีนิ จิเนฺตตฺวา – ‘‘สุขํ วต เอกโกว วสามิ, สตฺถุ วตฺตํ กาตุํ ลภามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชิฯ สตฺถา อตฺตโน จิตฺตํ โอโลเกตฺวา – ‘‘มม ตาว อีทิสํ จิตฺตํ, กีทิสํ นุ โข หตฺถิสฺสา’’ติ ตสฺสาปิ ตาทิสเมว ทิสฺวา ‘‘สเมติ โน จิตฺต’’นฺติ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –
Ekadivasaṃ satthā rattibhāgasamanantare caṅkamitvā pāsāṇaphalake nisīdi. Hatthīpi avidūre ṭhāne aṭṭhāsi. Satthā pacchato oloketvā na kiñci addasa, evaṃ purato ca ubhayapassesu ca. Athassa ‘‘sukhaṃ vatāhaṃ aññatra tehi bhaṇḍanakārakehi vasāmī’’ti cittaṃ uppajji. Hatthinopi ‘‘mayā nāmitasākhaṃ aññe khādantā natthī’’tiādīni cintetvā – ‘‘sukhaṃ vata ekakova vasāmi, satthu vattaṃ kātuṃ labhāmī’’ti cittaṃ uppajji. Satthā attano cittaṃ oloketvā – ‘‘mama tāva īdisaṃ cittaṃ, kīdisaṃ nu kho hatthissā’’ti tassāpi tādisameva disvā ‘‘sameti no citta’’nti imaṃ udānaṃ udānesi –
‘‘เอตํ นาคสฺส นาเคน, อีสาทนฺตสฺส หตฺถิโน;
‘‘Etaṃ nāgassa nāgena, īsādantassa hatthino;
สเมติ จิตฺตํ จิเตฺตน, ยเทโก รมตี วเน’’ติฯ (มหาว. ๔๖๗);
Sameti cittaṃ cittena, yadeko ramatī vane’’ti. (mahāva. 467);
อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขูติ อถ เอวํ ตถาคเต ตตฺถ วิหรเนฺต ปญฺจสตา ทิสาสุ วสฺสํวุตฺถา ภิกฺขูฯ เยนายสฺมา อานโนฺทติ ‘‘สตฺถา กิร ภิกฺขุสงฺฆํ ปณาเมตฺวา อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ’’ติ อตฺตโน ธมฺมตาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตุํ อสโกฺกนฺตา เยนายสฺมา อานโนฺท, เตนุปสงฺกมิํสุฯ
Atha kho sambahulā bhikkhūti atha evaṃ tathāgate tattha viharante pañcasatā disāsu vassaṃvutthā bhikkhū. Yenāyasmā ānandoti ‘‘satthā kira bhikkhusaṅghaṃ paṇāmetvā araññaṃ paviṭṭho’’ti attano dhammatāya satthu santikaṃ gantuṃ asakkontā yenāyasmā ānando, tenupasaṅkamiṃsu.
อนนฺตรา อาสวานํ ขโยติ มคฺคานนฺตรํ อรหตฺตผลํฯ วิจยโสติ วิจเยน, เตสํ เตสํ ธมฺมานํ สภาววิจินนสมเตฺถน ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวาติ อโตฺถฯ ธโมฺมติ สาสนธโมฺมฯ จตฺตาโร สติปฎฺฐานาติอาทิ เย เย โกฎฺฐาเส ปริจฺฉินฺทิตฺวา ธโมฺม เทสิโต, เตสํ ปกาสนตฺถาย วุตฺตํฯ สมนุปสฺสนาติ ทิฎฺฐิสมนุปสฺสนาฯ สงฺขาโร โสติ ทิฎฺฐิสงฺขาโร โสฯ ตโตโช โส สงฺขาโรติ ตโต ตณฺหาโต โส สงฺขาโร ชาโตฯ ตณฺหาสมฺปยุเตฺตสุ จิเตฺตสุปิ จตูสุ จิเตฺตสุ เอส ชายติฯ สาปิ ตณฺหาติ สา ทิฎฺฐิสงฺขารสฺส ปจฺจยภูตา ตณฺหาฯ สาปิ เวทนาติ สา ตณฺหาย ปจฺจยภูตา เวทนาฯ โสปิ ผโสฺสติ โส เวทนาย ปจฺจโย อวิชฺชาสมฺผโสฺสฯ สาปิ อวิชฺชาติ สา ผสฺสสมฺปยุตฺตา อวิชฺชาฯ
Anantarāāsavānaṃ khayoti maggānantaraṃ arahattaphalaṃ. Vicayasoti vicayena, tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ sabhāvavicinanasamatthena ñāṇena paricchinditvāti attho. Dhammoti sāsanadhammo. Cattāro satipaṭṭhānātiādi ye ye koṭṭhāse paricchinditvā dhammo desito, tesaṃ pakāsanatthāya vuttaṃ. Samanupassanāti diṭṭhisamanupassanā. Saṅkhāro soti diṭṭhisaṅkhāro so. Tatojo so saṅkhāroti tato taṇhāto so saṅkhāro jāto. Taṇhāsampayuttesu cittesupi catūsu cittesu esa jāyati. Sāpi taṇhāti sā diṭṭhisaṅkhārassa paccayabhūtā taṇhā. Sāpi vedanāti sā taṇhāya paccayabhūtā vedanā. Sopi phassoti so vedanāya paccayo avijjāsamphasso. Sāpi avijjāti sā phassasampayuttā avijjā.
โน จสฺสํ , โน จ เม สิยาติ สเจ อหํ น ภเวยฺยํ, มม ปริกฺขาโรปิ น ภเวยฺยฯ นาภวิสฺสํ, น เม ภวิสฺสตีติ สเจ ปน อายติมฺปิ อหํ น ภวิสฺสามิ, เอวํ มม ปริกฺขาโรปิ น ภวิสฺสติฯ เอตฺตเก ฐาเน ภควา เตน ภิกฺขุนา คหิตคหิตทิฎฺฐิํ วิสฺสชฺชาเปโนฺต อาคโต ปุคฺคลชฺฌาสเยนปิ เทสนาวิลาเสนปิฯ ตโตโช โส สงฺขาโรติ ตณฺหาสมฺปยุตฺตจิเตฺต วิจิกิจฺฉาว นตฺถิ, กถํ วิจิกิจฺฉาสงฺขาโร ตณฺหาโต ชายตีติ? อปฺปหีนตฺตาฯ ยสฺส หิ ตณฺหาย อปฺปหีนาย โส อุปฺปชฺชติ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐิยาปิ เอเสว นโย ลพฺภติเยว จตูสุ หิ จิตฺตุปฺปาเทสุ สมฺปยุตฺตทิฎฺฐิ นาม นตฺถิฯ ยสฺมา ปน ตณฺหาย อปฺปหีนตฺตา สา อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ตํ สนฺธาย ตตฺราปิ อยมโตฺถ ยุชฺชติฯ อิติ อิมสฺมิํ สุเตฺต เตวีสติยา ฐาเนสุ อรหตฺตํ ปาเปตฺวา วิปสฺสนา กถิตาฯ นวมํฯ
No cassaṃ, no ca me siyāti sace ahaṃ na bhaveyyaṃ, mama parikkhāropi na bhaveyya. Nābhavissaṃ, na me bhavissatīti sace pana āyatimpi ahaṃ na bhavissāmi, evaṃ mama parikkhāropi na bhavissati. Ettake ṭhāne bhagavā tena bhikkhunā gahitagahitadiṭṭhiṃ vissajjāpento āgato puggalajjhāsayenapi desanāvilāsenapi. Tatojo so saṅkhāroti taṇhāsampayuttacitte vicikicchāva natthi, kathaṃ vicikicchāsaṅkhāro taṇhāto jāyatīti? Appahīnattā. Yassa hi taṇhāya appahīnāya so uppajjati, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Diṭṭhiyāpi eseva nayo labbhatiyeva catūsu hi cittuppādesu sampayuttadiṭṭhi nāma natthi. Yasmā pana taṇhāya appahīnattā sā uppajjati, tasmā taṃ sandhāya tatrāpi ayamattho yujjati. Iti imasmiṃ sutte tevīsatiyā ṭhānesu arahattaṃ pāpetvā vipassanā kathitā. Navamaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๙. ปาลิเลยฺยสุตฺตํ • 9. Pālileyyasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๙. ปาลิเลยฺยสุตฺตวณฺณนา • 9. Pālileyyasuttavaṇṇanā