Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
๖. เภสชฺชกฺขนฺธกวณฺณนา
6. Bhesajjakkhandhakavaṇṇanā
ปญฺจเภสชฺชาทิกถาวณฺณนา
Pañcabhesajjādikathāvaṇṇanā
๒๖๐. ‘‘ยํ เภสชฺชเญฺจว อสฺสา’’ติ ปรโต ‘‘ตทุภเยน ภิโยฺยโส มตฺตาย กิสฺสา โหนฺตี’’ติอาทินา วิโรธทสฺสนโต นิทานานเปกฺขํ ยถาลาภวเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยถานิทานํ กสฺมา น วุตฺตนฺติ เจ? ตทญฺญาเปกฺขาธิปฺปายโตฯ สพฺพพุทฺธกาเลปิ หิ สปฺปิอาทีนํ สตฺตาหกาลิกภาวาเปกฺขาติ ตถา วจเนน ภควโต อธิปฺปาโย, เตเนว ‘‘อาหารตฺถญฺจ ผเรยฺย, น จ โอฬาริโก อาหาโร ปญฺญาเยยฺยา’’ติ วุตฺตํฯ ตถา หิ กาเล ปฎิคฺคเหตฺวา กาเล ปริภุญฺชิตุนฺติ เอตฺถ จ กาลปริเจฺฉโท น กโตฯ กุโตเยว ปน ลพฺภา ตทญฺญาเปกฺขาธิปฺปาโย ภควโต มูลเภสชฺชาทีนิ ตานิ ปฎิคฺคเหตฺวา ยาวชีวนฺติ กาลปริเจฺฉโทฯ ยํ ปน ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตานิ ปญฺจ เภสชฺชานิ กาเล ปฎิคฺคเหตฺวา กาเล ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ วจนํ, ตํ ‘‘สนฺนิธิํ กตฺวา อปราปรสฺมิํ ทิวเส กาเล เอว ปริภุญฺชิตุํ อนุชานามี’’ติ อธิปฺปายโต วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อญฺญถา อติสยตฺตาภาวโต ‘‘ยํ เภสชฺชเญฺจว อสฺสา’’ติอาทิ วิตกฺกุปฺปาโท น สมฺภวติฯ ปณีตโภชนานุมติยา ปสิทฺธตฺตา อาพาธานุรูปสปฺปายาเปกฺขาย วุตฺตานีติ เจ? ตญฺจ น, ภิโยฺยโส มตฺตาย กิสาทิภาวาปตฺติทสฺสนโตฯ ยถา ‘‘อุจฺฉุรสํ อุปาทาย ผาณิต’’นฺติ วุตฺตํ, ตถา ‘‘นวนีตํ อุปาทาย สปฺปิ’’นฺติ วตฺตพฺพโต นวนีตํ วิสุํ น วตฺตพฺพนฺติ เจ? น, วิเสสทสฺสนาธิปฺปายโตฯ ยถา ผาณิตคฺคหเณน สิเทฺธปิ ปรโต อุจฺฉุรโส วิสุํ อนุญฺญาโต อุจฺฉุสามญฺญโต คุโฬทกฎฺฐาเน ฐปนาธิปฺปายโตฯ ตถา นวนีเต วิเสสวิธิทสฺสนาธิปฺปายโต นวนีตํ วิสุํ อนุญฺญาตนฺติ เวทิตพฺพํฯ วิเสสวิธิ ปนสฺส เภสชฺชสิกฺขาปทฎฺฐกถาวเสน เวทิตพฺพํฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ‘‘ปจิตฺวา สปฺปิํ กตฺวา ปริภุญฺชิตุกาเมน อโธตมฺปิ ปจิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๒)ฯ ตตฺถ สปฺปิ ปกฺกาว โหติ, นาปกฺกาฯ ตถา ผาณิตมฺปิฯ นวนีตํ อปกฺกเมวฯ
260.‘‘Yaṃbhesajjañceva assā’’ti parato ‘‘tadubhayena bhiyyoso mattāya kissā hontī’’tiādinā virodhadassanato nidānānapekkhaṃ yathālābhavasena vuttanti veditabbaṃ. Yathānidānaṃ kasmā na vuttanti ce? Tadaññāpekkhādhippāyato. Sabbabuddhakālepi hi sappiādīnaṃ sattāhakālikabhāvāpekkhāti tathā vacanena bhagavato adhippāyo, teneva ‘‘āhāratthañca phareyya, na ca oḷāriko āhāro paññāyeyyā’’ti vuttaṃ. Tathā hi kāle paṭiggahetvā kāle paribhuñjitunti ettha ca kālaparicchedo na kato. Kutoyeva pana labbhā tadaññāpekkhādhippāyo bhagavato mūlabhesajjādīni tāni paṭiggahetvā yāvajīvanti kālaparicchedo. Yaṃ pana ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tāni pañca bhesajjāni kāle paṭiggahetvā kāle paribhuñjitu’’nti vacanaṃ, taṃ ‘‘sannidhiṃ katvā aparāparasmiṃ divase kāle eva paribhuñjituṃ anujānāmī’’ti adhippāyato vuttanti veditabbaṃ. Aññathā atisayattābhāvato ‘‘yaṃ bhesajjañceva assā’’tiādi vitakkuppādo na sambhavati. Paṇītabhojanānumatiyā pasiddhattā ābādhānurūpasappāyāpekkhāya vuttānīti ce? Tañca na, bhiyyoso mattāya kisādibhāvāpattidassanato. Yathā ‘‘ucchurasaṃ upādāya phāṇita’’nti vuttaṃ, tathā ‘‘navanītaṃ upādāya sappi’’nti vattabbato navanītaṃ visuṃ na vattabbanti ce? Na, visesadassanādhippāyato. Yathā phāṇitaggahaṇena siddhepi parato ucchuraso visuṃ anuññāto ucchusāmaññato guḷodakaṭṭhāne ṭhapanādhippāyato. Tathā navanīte visesavidhidassanādhippāyato navanītaṃ visuṃ anuññātanti veditabbaṃ. Visesavidhi panassa bhesajjasikkhāpadaṭṭhakathāvasena veditabbaṃ. Vuttañhi tattha ‘‘pacitvā sappiṃ katvā paribhuñjitukāmena adhotampi pacituṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.622). Tattha sappi pakkāva hoti, nāpakkā. Tathā phāṇitampi. Navanītaṃ apakkameva.
เอตฺถาห – นวนีตํ วิย อุจฺฉุรโสปิ สตฺตาหกาลิกปาฬิยํ เอว วตฺตโพฺพติ? น วตฺตโพฺพฯ กสฺมา? สตฺตาหกาลิกปาฬิยํ วุเตฺต อุจฺฉุรโส คุฬาปเทเสน ยถา อคิลานสฺส ผาณิตํ ปฎิสิทฺธํ, ตถา อุจฺฉุรโสปีติ อาปชฺชติ, อวุเตฺต ปน คุฬํ วิย โส ผาณิตสงฺขฺยํ น คจฺฉติฯ อิธ อวตฺวา ปจฺฉา วจเนน คุโฬทกฎฺฐาเนว ฐปิโต โหติฯ ตทตฺถเมว ปจฺฉาภตฺตํ วฎฺฎนกปานกาธิกาเร วุโตฺต, ตสฺมา เอว ยามกาลิโกติ เจ? น, อฎฺฐกถาวิโรธโตฯ น อุปาทายตฺถสฺส นิสฺสยตฺถตฺตาติ เจ? กิํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อุจฺฉุรสํ อุปาทาย อุจฺฉุวิกติ ผาณิตนฺติ เวทิตพฺพา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๓) ยเทตํ นิสฺสคฺคิยฎฺฐกถาวจนํ, ตตฺถ ‘‘อุปาทายา’’ติ อิมสฺส นิสฺสาย ปจฺจยํ กตฺวาติ อโตฺถติฯ น, ปรโต อปรกิริยาย อทสฺสนโตฯ ยถา ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๐๔, ๔๐๐; ๓.๔๒๑, ๔๒๕; สํ. นิ. ๒.๔๓) ‘‘ปฎิจฺจา’’ติ อิมสฺส อุสฺสุกฺกวจนสฺส ‘‘อุปฺปชฺชตี’’ติ อปรกิริยา ทิสฺสติ, น ตถา ‘‘อุจฺฉุรสํ อุปาทายา’’ติ เอตฺถ อปรกิริยา ทิสฺสตีติฯ อยุตฺตเมตํ ตตฺถ ตทภาเวปิ สิทฺธตฺตาฯ ยถา ‘‘จตฺตาโร จ มหาภูตา จตุนฺนญฺจ มหาภูตานํ อุปาทาย รูป’’นฺติ (ธ. ส. ๕๘๔) เอตฺถ อปรกิริยาย อภาเวปิ อุสฺสุกฺกวจนํ สิทฺธํ, ตถา เอตฺถาปิ สิยาติ? น, ตตฺถ ปาฐเสสาเปกฺขตฺตาฯ ยถา จตฺตาโร มหาภูตา อุปาทาย วุตฺตํ, ปวตฺตกํ วา รูปนฺติ อิมํ ปาฐเสสํ สา ปาฬิ อเปกฺขติ, น ตถา อิทํ อฎฺฐกถาวจนํ กญฺจิ ปาฐํ อเปกฺขติฯ ปริปุณฺณวาทิโน หิ อฎฺฐกถาจริยาฯ สญฺญากรณมตฺตํ วา ตสฺส รูปสฺสฯ ‘‘อตฺถิ รูปํ อุปาทายา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๕๘๔) หิ สญฺญากรณมตฺตํ, เอวมิธาปีติ เวทิตพฺพํฯ อิธ ปน ‘‘อุจฺฉุรสํ อุปาทายา’’ติ อุจฺฉุรสํ อาทิํ กตฺวา, ตโต ปฎฺฐายาติ อโตฺถ, ตสฺมา ‘‘อุจฺฉุรเสน สํสฎฺฐํ ภตฺตํ อคิลาโน ภิกฺขุ วิญฺญาเปตฺวา ภุญฺชโนฺต ปณีตโภชนสิกฺขาปเทน กาเรตโพฺพ, ภิกฺขุนี ปาฎิเทสนิเยนา’’ติ วุตฺตํ, ตํ อยุตฺตนฺติ เอเกฯ เต วิเสสเหตุโน อภาวํ ทเสฺสตฺวา ปญฺญาเปตพฺพาฯ
Etthāha – navanītaṃ viya ucchurasopi sattāhakālikapāḷiyaṃ eva vattabboti? Na vattabbo. Kasmā? Sattāhakālikapāḷiyaṃ vutte ucchuraso guḷāpadesena yathā agilānassa phāṇitaṃ paṭisiddhaṃ, tathā ucchurasopīti āpajjati, avutte pana guḷaṃ viya so phāṇitasaṅkhyaṃ na gacchati. Idha avatvā pacchā vacanena guḷodakaṭṭhāneva ṭhapito hoti. Tadatthameva pacchābhattaṃ vaṭṭanakapānakādhikāre vutto, tasmā eva yāmakālikoti ce? Na, aṭṭhakathāvirodhato. Na upādāyatthassa nissayatthattāti ce? Kiṃ vuttaṃ hoti – ‘‘ucchurasaṃ upādāya ucchuvikati phāṇitanti veditabbā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.623) yadetaṃ nissaggiyaṭṭhakathāvacanaṃ, tattha ‘‘upādāyā’’ti imassa nissāya paccayaṃ katvāti atthoti. Na, parato aparakiriyāya adassanato. Yathā ‘‘cakkhuñca paṭicca rūpe cā’’tiādīsu (ma. ni. 1.204, 400; 3.421, 425; saṃ. ni. 2.43) ‘‘paṭiccā’’ti imassa ussukkavacanassa ‘‘uppajjatī’’ti aparakiriyā dissati, na tathā ‘‘ucchurasaṃ upādāyā’’ti ettha aparakiriyā dissatīti. Ayuttametaṃ tattha tadabhāvepi siddhattā. Yathā ‘‘cattāro ca mahābhūtā catunnañca mahābhūtānaṃ upādāya rūpa’’nti (dha. sa. 584) ettha aparakiriyāya abhāvepi ussukkavacanaṃ siddhaṃ, tathā etthāpi siyāti? Na, tattha pāṭhasesāpekkhattā. Yathā cattāro mahābhūtā upādāya vuttaṃ, pavattakaṃ vā rūpanti imaṃ pāṭhasesaṃ sā pāḷi apekkhati, na tathā idaṃ aṭṭhakathāvacanaṃ kañci pāṭhaṃ apekkhati. Paripuṇṇavādino hi aṭṭhakathācariyā. Saññākaraṇamattaṃ vā tassa rūpassa. ‘‘Atthi rūpaṃ upādāyā’’tiādīsu (dha. sa. 584) hi saññākaraṇamattaṃ, evamidhāpīti veditabbaṃ. Idha pana ‘‘ucchurasaṃ upādāyā’’ti ucchurasaṃ ādiṃ katvā, tato paṭṭhāyāti attho, tasmā ‘‘ucchurasena saṃsaṭṭhaṃ bhattaṃ agilāno bhikkhu viññāpetvā bhuñjanto paṇītabhojanasikkhāpadena kāretabbo, bhikkhunī pāṭidesaniyenā’’ti vuttaṃ, taṃ ayuttanti eke. Te visesahetuno abhāvaṃ dassetvā paññāpetabbā.
เอตฺตาวตา ‘‘อุจฺฉุรสํ อุปาทายาติ อุจฺฉุรสํ อาทิํ กตฺวา’’ติอาทีนํ ปทานํ อตฺถํ มิจฺฉา คเหตฺวา ยทิ ‘‘อุจฺฉุรสํ อุปาทายา’’ติ วจเนน อุจฺฉุรโส ผาณิตํ สิยา, ‘‘อปกฺกา วา’’ติ วจนํ นิรตฺถกํ อปกฺกวจเนน อุจฺฉุรสสฺส คหิตตฺตาฯ อถ ‘‘ปกฺกา วา’’ติ วจเนน อุจฺฉุรโส ผาณิตนฺติ สิทฺธํ, ‘‘อุจฺฉุรสํ อุปาทายา’’ติ วจนํ นิรตฺถกนฺติ อุตฺตรํ วุตฺตํ, ตํ อนุตฺตรนฺติ สาธิตํ โหติฯ โส เจเตหิ อปกฺกา วาติ สามํ ภิกฺขุนา อปกฺกา วาฯ อวตฺถุกปกฺกา วาติ ภิกฺขุนาว สามํ วินา วตฺถุนา ปกฺกา วาติ อโตฺถฯ ตสฺมา อญฺญถา ‘‘สวตฺถุกปกฺกา วา’’ติ จ วตฺตพฺพนฺติ อโตฺถ ทสฺสิโต, โส ทุฎฺฐุ ทสฺสิโตฯ กสฺมา? มหาอฎฺฐกถายํ ‘‘ฌามอุจฺฉุผาณิตํ วา โกฎฺฎิตอุจฺฉุผาณิตํ วา ปุเรภตฺตเมว วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตตฺตา, ‘‘สวตฺถุกปกฺกา วา’’ติ วจนสฺส จ ลทฺธิวิโรธโต อวุตฺตตฺตาฯ ‘‘มหาปจฺจริยํ ปน ‘เอตํ สวตฺถุกปกฺกํ วฎฺฎติ โน วฎฺฎตี’ติ ปุจฺฉํ กตฺวา ‘อุจฺฉุผาณิตํ ปจฺฉาภตฺตํ โน วฎฺฎนกํ นาม นตฺถี’ติ วุตฺตํ, ตํ ยุตฺต’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๓) วุตฺตตฺตา จ สวตฺถุกปกฺกา วาติ อโตฺถ จ วุโตฺตเยว โหติ, ตสฺมา ทุทฺทสฺสิโตติ สิทฺธํฯ อาหารตฺถนฺติ อาหารปโยชนํฯ อาหารกิจฺจํ ยาปนนฺติ อโตฺถติ จฯ
Ettāvatā ‘‘ucchurasaṃ upādāyāti ucchurasaṃ ādiṃ katvā’’tiādīnaṃ padānaṃ atthaṃ micchā gahetvā yadi ‘‘ucchurasaṃ upādāyā’’ti vacanena ucchuraso phāṇitaṃ siyā, ‘‘apakkā vā’’ti vacanaṃ niratthakaṃ apakkavacanena ucchurasassa gahitattā. Atha ‘‘pakkā vā’’ti vacanena ucchuraso phāṇitanti siddhaṃ, ‘‘ucchurasaṃ upādāyā’’ti vacanaṃ niratthakanti uttaraṃ vuttaṃ, taṃ anuttaranti sādhitaṃ hoti. So cetehi apakkā vāti sāmaṃ bhikkhunā apakkā vā. Avatthukapakkā vāti bhikkhunāva sāmaṃ vinā vatthunā pakkā vāti attho. Tasmā aññathā ‘‘savatthukapakkā vā’’ti ca vattabbanti attho dassito, so duṭṭhu dassito. Kasmā? Mahāaṭṭhakathāyaṃ ‘‘jhāmaucchuphāṇitaṃ vā koṭṭitaucchuphāṇitaṃ vā purebhattameva vaṭṭatī’’ti vuttattā, ‘‘savatthukapakkā vā’’ti vacanassa ca laddhivirodhato avuttattā. ‘‘Mahāpaccariyaṃ pana ‘etaṃ savatthukapakkaṃ vaṭṭati no vaṭṭatī’ti pucchaṃ katvā ‘ucchuphāṇitaṃ pacchābhattaṃ no vaṭṭanakaṃ nāma natthī’ti vuttaṃ, taṃ yutta’’nti (pārā. aṭṭha. 2.623) vuttattā ca savatthukapakkā vāti attho ca vuttoyeva hoti, tasmā duddassitoti siddhaṃ. Āhāratthanti āhārapayojanaṃ. Āhārakiccaṃ yāpananti atthoti ca.
๒๖๒. เตลปริโภเคนาติ สตฺตาหกาลิกปริโภเคนฯ
262.Telaparibhogenāti sattāhakālikaparibhogena.
๒๖๓. สติ ปจฺจเยติ เอตฺถ สติปจฺจยตา คิลานาคิลานวเสน ทฺวิธา เวทิตพฺพาฯ วิกาลโภชนสิกฺขาปทสฺส หิ อนาปตฺติวาเร ยามกาลิกาทีนํ ติณฺณมฺปิ อวิเสเสน สติปจฺจยตา วุตฺตาฯ อิมสฺมิํ ขนฺธเก ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลานสฺส คุฬํ, อคิลานสฺส คุโฬทกํ, อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คิลานสฺส โลณโสวีรกํ, อคิลานสฺส อุทกสมฺภินฺน’’นฺติ วุตฺตํฯ ตสฺมา สิทฺธํ สติปจฺจยตา คิลานาคิลานวเสน ทุวิธาติฯ อญฺญถา อสติ ปจฺจเย คุโฬทกาทีสุ อาปชฺชติฯ ตโต จ ปาฬิวิโรโธฯ
263.Sati paccayeti ettha satipaccayatā gilānāgilānavasena dvidhā veditabbā. Vikālabhojanasikkhāpadassa hi anāpattivāre yāmakālikādīnaṃ tiṇṇampi avisesena satipaccayatā vuttā. Imasmiṃ khandhake ‘‘anujānāmi, bhikkhave, gilānassa guḷaṃ, agilānassa guḷodakaṃ, anujānāmi, bhikkhave, gilānassa loṇasovīrakaṃ, agilānassa udakasambhinna’’nti vuttaṃ. Tasmā siddhaṃ satipaccayatā gilānāgilānavasena duvidhāti. Aññathā asati paccaye guḷodakādīsu āpajjati. Tato ca pāḷivirodho.
ปิเฎฺฐหีติ ปิสิตเตเลหิฯ โกฎฺฐผลนฺติ โกฎฺฐรุกฺขสฺส ผลํฯ ‘‘มทนผลํ วา’’ติ จ ลิขิตํฯ หิงฺคุชตุ นาม หิงฺคุรุกฺขสฺส ทณฺฑปลฺลวปวาฬปากนิปฺผนฺนาฯ หิงฺคุสิปาฎิกา นาม ตสฺส มูลสาขปากนิปฺผนฺนาฯ ตกํ นาม ตสฺส รุกฺขสฺส ตจปาโกทกํฯ ตกปตฺตีติ ตสฺส ปตฺตปาโกทกํฯ ตกปณฺณีติ ตสฺส ผลปาโกทกํฯ อถ วา ‘‘ตกํ นาม ลาขาฯ ตกปตฺตีติ กิตฺติมโลมลาขาฯ ตกปณฺณีติ ปกฺกลาขา’’ติ ลิขิตํฯ อุพฺภิทํ นาม อูสปํสุมยํฯ
Piṭṭhehīti pisitatelehi. Koṭṭhaphalanti koṭṭharukkhassa phalaṃ. ‘‘Madanaphalaṃ vā’’ti ca likhitaṃ. Hiṅgujatu nāma hiṅgurukkhassa daṇḍapallavapavāḷapākanipphannā. Hiṅgusipāṭikā nāma tassa mūlasākhapākanipphannā. Takaṃ nāma tassa rukkhassa tacapākodakaṃ. Takapattīti tassa pattapākodakaṃ. Takapaṇṇīti tassa phalapākodakaṃ. Atha vā ‘‘takaṃ nāma lākhā. Takapattīti kittimalomalākhā. Takapaṇṇīti pakkalākhā’’ti likhitaṃ. Ubbhidaṃ nāma ūsapaṃsumayaṃ.
๒๖๔. ฉกณํ โคมยํฯ ปากติกจุณฺณํ นาม อปกฺกกสาวจุณฺณํ, เตน ‘‘ฐเปตฺวา คนฺธจุณฺณํ สพฺพํ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ จาลิเตหีติ ปริสฺสาวิเตหิฯ
264.Chakaṇaṃ gomayaṃ. Pākatikacuṇṇaṃ nāma apakkakasāvacuṇṇaṃ, tena ‘‘ṭhapetvā gandhacuṇṇaṃ sabbaṃ vaṭṭatī’’ti vadanti. Cālitehīti parissāvitehi.
๒๖๕. นานาสมฺภาเรหิ กตนฺติ นาโนสเธหิฯ
265.Nānāsambhārehi katanti nānosadhehi.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi
๑๖๐. ปญฺจเภสชฺชกถา • 160. Pañcabhesajjakathā
๑๖๑. มูลาทิเภสชฺชกถา • 161. Mūlādibhesajjakathā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / ปญฺจเภสชฺชาทิกถา • Pañcabhesajjādikathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ปญฺจเภสชฺชาทิกถาวณฺณนา • Pañcabhesajjādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปญฺจเภสชฺชาทิกถาวณฺณนา • Pañcabhesajjādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi
๑๖๐. ปญฺจเภสชฺชาทิกถา • 160. Pañcabhesajjādikathā
๑๖๑. มูลาทิเภสชฺชกถา • 161. Mūlādibhesajjakathā