Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā

    ๔. ปญฺจปุพฺพนิมิตฺตสุตฺตวณฺณนา

    4. Pañcapubbanimittasuttavaṇṇanā

    ๘๓. จตุเตฺถ ยทาติ ยสฺมิํ กาเลฯ เทโวติ อุปปตฺติเทโวฯ ตโย หิ เทวา – สมฺมุติเทวา, อุปปตฺติเทวา, วิสุทฺธิเทวาติฯ เตสุ สมฺมุติเทวา นาม ราชาโน ขตฺติยาฯ อุปปตฺติเทวา นาม จาตุมหาราชิกโต ปฎฺฐาย ตทุปริเทวาฯ วิสุทฺธิเทวา นาม ขีณาสวาฯ อิธ ปน กามาวจรเทโว อธิเปฺปโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เทโวติ อุปปตฺติเทโว’’ติฯ เทวกายาติ เทวสมูหโต, เทวฎฺฐานโต วา, เทวโลกโตติ อโตฺถฯ สมูหนิวาสวาจโก หิ อยํ กายสโทฺทฯ จวนธโมฺมติ มรณธโมฺม, อายุกฺขเยน วา ปุญฺญกฺขเยน วา อุปฎฺฐิตมรโณติ อโตฺถฯ

    83. Catutthe yadāti yasmiṃ kāle. Devoti upapattidevo. Tayo hi devā – sammutidevā, upapattidevā, visuddhidevāti. Tesu sammutidevā nāma rājāno khattiyā. Upapattidevā nāma cātumahārājikato paṭṭhāya taduparidevā. Visuddhidevā nāma khīṇāsavā. Idha pana kāmāvacaradevo adhippeto. Tena vuttaṃ ‘‘devoti upapattidevo’’ti. Devakāyāti devasamūhato, devaṭṭhānato vā, devalokatoti attho. Samūhanivāsavācako hi ayaṃ kāyasaddo. Cavanadhammoti maraṇadhammo, āyukkhayena vā puññakkhayena vā upaṭṭhitamaraṇoti attho.

    ปญฺจสฺส ปุพฺพนิมิตฺตานิ ปาตุภวนฺตีติ อสฺส อุปฎฺฐิตมรณสฺส เทวปุตฺตสฺส ปญฺจ มรณสฺส ปุพฺพนิมิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติ, ปกาสานิ วา โหนฺติฯ มาลา มิลายนฺตีติ เตน ปิฬนฺธิตมาลา มชฺฌนฺหิกสมเย อาตเป ขิตฺตา วิย มิลาตา วิหตโสภา โหนฺติฯ

    Pañcassapubbanimittāni pātubhavantīti assa upaṭṭhitamaraṇassa devaputtassa pañca maraṇassa pubbanimittāni uppajjanti, pakāsāni vā honti. Mālā milāyantīti tena piḷandhitamālā majjhanhikasamaye ātape khittā viya milātā vihatasobhā honti.

    วตฺถานิ กิลิสฺสนฺตีติ สรทสมเย วิคตวลาหเก อากาเส อพฺภุสฺสกฺกมานพาลสูริยสทิสปฺปภานิ นานาวิราควณฺณานิ เตน นิวตฺถปารุตวตฺถานิ ตํ ขณํเยว กทฺทเม ขิปิตฺวา มทฺทิตานิ วิย วิหตปฺปภานิ มลินานิ โหนฺติฯ

    Vatthāni kilissantīti saradasamaye vigatavalāhake ākāse abbhussakkamānabālasūriyasadisappabhāni nānāvirāgavaṇṇāni tena nivatthapārutavatthāni taṃ khaṇaṃyeva kaddame khipitvā madditāni viya vihatappabhāni malināni honti.

    กเจฺฉหิ เสทา มุจฺจนฺตีติ สุปริสุทฺธชาติมณิ วิย สุสิกฺขิตสิปฺปาจริยรจิตสุวณฺณปฎิมา วิย จ ปุเพฺพ เสทมลชลฺลิการหิตสรีรสฺส ตสฺมิํ ขเณ อุโภหิ กเจฺฉหิ เสทธารา สนฺทนฺติ ปคฺฆรนฺติฯ น เกวลญฺจ กเจฺฉหิเยว, สกลสรีรโตปิ ปนสฺส เสทชลกณฺณิกา มุจฺจติเยว, เยน อามุตฺตมุตฺตาชาลควจฺฉิโต วิย ตสฺส กาโย โหติฯ

    Kacchehi sedā muccantīti suparisuddhajātimaṇi viya susikkhitasippācariyaracitasuvaṇṇapaṭimā viya ca pubbe sedamalajallikārahitasarīrassa tasmiṃ khaṇe ubhohi kacchehi sedadhārā sandanti paggharanti. Na kevalañca kacchehiyeva, sakalasarīratopi panassa sedajalakaṇṇikā muccatiyeva, yena āmuttamuttājālagavacchito viya tassa kāyo hoti.

    กาเย ทุพฺพณฺณิยํ โอกฺกมตีติ ปุเพฺพ ปฎิสนฺธิโต ปฎฺฐาย ยถานุภาวํ เอกโยชนํ ทฺวิโยชนํ ยาว ทฺวาทสโยชนมตฺตมฺปิ ปเทสํ อาภาย ผริตฺวา วิโชฺชตมาโน กาโย โหติ ขณฺฑิจฺจปาลิจฺจาทิวิรหิโต, น สีตํ น อุณฺหํ อุปฆาตกํ, เทวธีตา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา วิย โหติ, เทวปุโตฺต วีสติวสฺสุเทฺทสิโก วิย, ตํ ขณํเยว นิปฺปเภ นิเตฺตเช กาเย วิรูปภาโว อนุปวิสติ สณฺฐาติฯ

    Kāye dubbaṇṇiyaṃ okkamatīti pubbe paṭisandhito paṭṭhāya yathānubhāvaṃ ekayojanaṃ dviyojanaṃ yāva dvādasayojanamattampi padesaṃ ābhāya pharitvā vijjotamāno kāyo hoti khaṇḍiccapāliccādivirahito, na sītaṃ na uṇhaṃ upaghātakaṃ, devadhītā soḷasavassuddesikā viya hoti, devaputto vīsativassuddesiko viya, taṃ khaṇaṃyeva nippabhe nitteje kāye virūpabhāvo anupavisati saṇṭhāti.

    สเก เทโว เทวาสเน นาภิรมตีติ อตฺตโน อจฺฉราคเณหิ สทฺธิํ กีฬนปริจรณกทิพฺพาสเน น รมติ, น จิตฺตสฺสาทํ ลภติฯ ตสฺส กิร มนุสฺสคณนาย สตฺตหิ ทิวเสหิ มรณํ ภวิสฺสตีติ อิมานิ ปุพฺพนิมิตฺตานิ ปาตุภวนฺติฯ โส เตสํ อุปฺปตฺติยา ‘‘เอวรูปาย นาม สมฺปตฺติยา วินา ภวิสฺสามี’’ติ พลวโสกาภิภูโต โหติฯ เตนสฺส กาเย มหาปริฬาโห อุปฺปชฺชติ, เตน สพฺพโต คเตฺตหิ เสทา มุจฺจนฺติฯ จิรตรํ กาลํ อปริจิตทุโกฺข ตํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต เอกโจฺจ ‘‘ทยฺหามิ ทยฺหามี’’ติ กนฺทโนฺต ปริเทวโนฺต กตฺถจิ อสฺสาทํ อลภโนฺต วิชปฺปโนฺต วิลปโนฺต ตหิํ ตหิํ อาหิณฺฑติฯ เอกโจฺจ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา กายวาจาหิ วิการํ อกโรโนฺตปิ ปิยวิปฺปโยคทุกฺขํ อสหโนฺต วิหญฺญมาโน วิจรติฯ

    Sake devo devāsane nābhiramatīti attano accharāgaṇehi saddhiṃ kīḷanaparicaraṇakadibbāsane na ramati, na cittassādaṃ labhati. Tassa kira manussagaṇanāya sattahi divasehi maraṇaṃ bhavissatīti imāni pubbanimittāni pātubhavanti. So tesaṃ uppattiyā ‘‘evarūpāya nāma sampattiyā vinā bhavissāmī’’ti balavasokābhibhūto hoti. Tenassa kāye mahāpariḷāho uppajjati, tena sabbato gattehi sedā muccanti. Cirataraṃ kālaṃ aparicitadukkho taṃ adhivāsetuṃ asakkonto ekacco ‘‘dayhāmi dayhāmī’’ti kandanto paridevanto katthaci assādaṃ alabhanto vijappanto vilapanto tahiṃ tahiṃ āhiṇḍati. Ekacco satiṃ upaṭṭhapetvā kāyavācāhi vikāraṃ akarontopi piyavippayogadukkhaṃ asahanto vihaññamāno vicarati.

    อิมานิ ปน ปุพฺพนิมิตฺตานิ ยถา โลเก มหาปุญฺญานํ ราชราชมหามตฺตาทีนํเยว อุกฺกาปาตภูมิจาลจนฺทคฺคาหาทีนิ นิมิตฺตานิ ปญฺญายนฺติ, น สเพฺพสํ; เอวเมว มเหสกฺขเทวานํเยว ปญฺญายติฯ อุปฺปนฺนานิ จ ตานิ ‘‘อิมานิ มรณสฺส ปุพฺพนิมิตฺตานิ นามา’’ติ เกจิ เทวา ชานนฺติ, น สเพฺพฯ ตตฺถ โย มเนฺทน กุสลกเมฺมน นิพฺพโตฺต, โส ‘‘อิทานิ โก ชานาติ, ‘กุหิํ นิพฺพตฺติสฺสามี’’’ติ ภายติฯ โย ปน มหาปุโญฺญ, โส ‘‘พหุํ มยา ทานํ ทินฺนํ, สีลํ รกฺขิตํ, ปุญฺญํ อุปจิตํ, อิโต จุตสฺส เม สุคติเยว ปาฎิกงฺขา’’ติ น ภายติ น วิกมฺปติฯ เอวํ อุปฎฺฐิตปุพฺพนิมิตฺตํ ปน ตํ คเหตฺวา เทวตา นนฺทนวนํ ปเวเสนฺติ สพฺพเทวโลเกสุ นนฺทนวนํ อตฺถิเยวฯ

    Imāni pana pubbanimittāni yathā loke mahāpuññānaṃ rājarājamahāmattādīnaṃyeva ukkāpātabhūmicālacandaggāhādīni nimittāni paññāyanti, na sabbesaṃ; evameva mahesakkhadevānaṃyeva paññāyati. Uppannāni ca tāni ‘‘imāni maraṇassa pubbanimittāni nāmā’’ti keci devā jānanti, na sabbe. Tattha yo mandena kusalakammena nibbatto, so ‘‘idāni ko jānāti, ‘kuhiṃ nibbattissāmī’’’ti bhāyati. Yo pana mahāpuñño, so ‘‘bahuṃ mayā dānaṃ dinnaṃ, sīlaṃ rakkhitaṃ, puññaṃ upacitaṃ, ito cutassa me sugatiyeva pāṭikaṅkhā’’ti na bhāyati na vikampati. Evaṃ upaṭṭhitapubbanimittaṃ pana taṃ gahetvā devatā nandanavanaṃ pavesenti sabbadevalokesu nandanavanaṃ atthiyeva.

    ตีหิ วาจาหิ อนุโมเทนฺตีติ อิทานิ วุจฺจมาเนหิ ตีหิ วจเนหิ อนุโมเทนฺติ, โมทํ ปโมทํ อุปฺปาเทนฺติ, อสฺสาเสนฺติ, อภิวทนวเสน วา ตํขณานุรูปํ ปโมทํ กโรนฺติฯ เกจิ ปน ‘‘อนุโมเทนฺตี’’ติ ปทสฺส ‘‘โอวทนฺตี’’ติ วทนฺติฯ อิโตติ เทวโลกโตฯ โภติ อาลปนํฯ สุคตินฺติ สุนฺทรคติํ, มนุสฺสโลกํ สนฺธาย วทนฺติฯ คจฺฉาติ ปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน อุเปหิฯ

    Tīhi vācāhi anumodentīti idāni vuccamānehi tīhi vacanehi anumodenti, modaṃ pamodaṃ uppādenti, assāsenti, abhivadanavasena vā taṃkhaṇānurūpaṃ pamodaṃ karonti. Keci pana ‘‘anumodentī’’ti padassa ‘‘ovadantī’’ti vadanti. Itoti devalokato. Bhoti ālapanaṃ. Sugatinti sundaragatiṃ, manussalokaṃ sandhāya vadanti. Gacchāti paṭisandhiggahaṇavasena upehi.

    เอวํ วุเตฺตติ เอวํ ตทา เตหิ เทเวหิ ตสฺส ‘‘อิโต โภ สุคติํ คจฺฉา’’ติอาทินา วตฺตพฺพวจเน ภควตา วุเตฺต อญฺญตโร นามโคเตฺตน อปากโฎ ตสฺสํ ปริสายํ นิสิโนฺน อนุสนฺธิกุสโล เอโก ภิกฺขุ ‘‘เอเต สุคติอาทโย ภควตา อวิเสสโต วุตฺตา อวิภูตา, หนฺท เต วิภูตตเร การาเปสฺสามี’’ติ เอตํ ‘‘กิํนุ โข, ภเนฺต’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ สทฺธาทิคุณวิเสสปฎิลาภการณโต เทวูปปตฺติเหตุโต จ มนุสฺสตฺตํ เทวานํ อภิสมฺมตนฺติ อาห ‘‘มนุสฺสตฺตํ โข ภิกฺขุ เทวานํ สุคติคมนสงฺขาต’’นฺติฯ

    Evaṃ vutteti evaṃ tadā tehi devehi tassa ‘‘ito bho sugatiṃ gacchā’’tiādinā vattabbavacane bhagavatā vutte aññataro nāmagottena apākaṭo tassaṃ parisāyaṃ nisinno anusandhikusalo eko bhikkhu ‘‘ete sugatiādayo bhagavatā avisesato vuttā avibhūtā, handa te vibhūtatare kārāpessāmī’’ti etaṃ ‘‘kiṃnu kho, bhante’’tiādivacanaṃ avoca. Saddhādiguṇavisesapaṭilābhakāraṇato devūpapattihetuto ca manussattaṃ devānaṃ abhisammatanti āha ‘‘manussattaṃ kho bhikkhu devānaṃ sugatigamanasaṅkhāta’’nti.

    สุคติคมนสงฺขาตนฺติ ‘‘สุคติคมน’’นฺติ สมฺมา กถิตํ, วณฺณิตํ โถมิตนฺติ อโตฺถฯ ยํ มนุสฺสภูโตติ เอตฺถ นฺติ กิริยาปรามสนํ, เตน ปฎิลภตีติ เอตฺถ ปฎิลภนกิริยา อามสียติ, โย สทฺธาปฎิลาโภติ อโตฺถฯ มนุสฺสภูโตติ มนุเสฺสสุ อุปฺปโนฺน, มนุสฺสภาวํ วา ปโตฺตฯ ยสฺมา เทวโลเก อุปฺปนฺนานํ ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนา เยภุเยฺยน ทุลฺลภา สวนาย, น ตถา มนุสฺสานํ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘มนุสฺสภูโต’’ติฯ ตถาคตปฺปเวทิเต ธมฺมวินเยติ ตถาคเตน ภควตา เทสิเต สิกฺขตฺตยสงฺคเห สาสเนฯ ตญฺหิ ธมฺมโต อนเปตตฺตา ธโมฺม จ, อาสยานุรูปํ วิเนยฺยานํ วินยนโต วินโย จาติ ธมฺมวินโย, อุปนิสฺสยสมฺปตฺติยา วา ธมฺมโต อนเปตตฺตา ธมฺมํ อปฺปรชกฺขชาติกํ วิเนตีติ ธมฺมวินโยฯ ธเมฺมเนว วา วินโย, น ทณฺฑสเตฺถหีติ ธมฺมวินโย, ธมฺมยุโตฺต วา วินโยติ ธมฺมวินโย, ธมฺมาย วา สห มคฺคผลนิพฺพานาย วินโยติ ธมฺมวินโย, มหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิธมฺมโต วา ปวโตฺต วินโยติ ธมฺมวินโยฯ ธโมฺม วา ภควา ธมฺมภูโต ธมฺมกาโย ธมฺมสฺสามี, ตสฺส ธมฺมสฺส วินโย, น ตกฺกิยานนฺติ ธมฺมวินโย, ธเมฺม วา มคฺคผเล นิปฺผาเทตพฺพวิสยภูเต วา ปวโตฺต วินโยติ ธมฺมวินโยติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ ธมฺมวินเยฯ

    Sugatigamanasaṅkhātanti ‘‘sugatigamana’’nti sammā kathitaṃ, vaṇṇitaṃ thomitanti attho. Yaṃ manussabhūtoti ettha yanti kiriyāparāmasanaṃ, tena paṭilabhatīti ettha paṭilabhanakiriyā āmasīyati, yo saddhāpaṭilābhoti attho. Manussabhūtoti manussesu uppanno, manussabhāvaṃ vā patto. Yasmā devaloke uppannānaṃ tathāgatassa dhammadesanā yebhuyyena dullabhā savanāya, na tathā manussānaṃ, tasmā vuttaṃ ‘‘manussabhūto’’ti. Tathāgatappavedite dhammavinayeti tathāgatena bhagavatā desite sikkhattayasaṅgahe sāsane. Tañhi dhammato anapetattā dhammo ca, āsayānurūpaṃ vineyyānaṃ vinayanato vinayo cāti dhammavinayo, upanissayasampattiyā vā dhammato anapetattā dhammaṃ apparajakkhajātikaṃ vinetīti dhammavinayo. Dhammeneva vā vinayo, na daṇḍasatthehīti dhammavinayo, dhammayutto vā vinayoti dhammavinayo, dhammāya vā saha maggaphalanibbānāya vinayoti dhammavinayo, mahākaruṇāsabbaññutaññāṇādidhammato vā pavatto vinayoti dhammavinayo. Dhammo vā bhagavā dhammabhūto dhammakāyo dhammassāmī, tassa dhammassa vinayo, na takkiyānanti dhammavinayo, dhamme vā maggaphale nipphādetabbavisayabhūte vā pavatto vinayoti dhammavinayoti vuccati. Tasmiṃ dhammavinaye.

    สทฺธํ ปฎิลภตีติ ‘‘สฺวากฺขาโต ภควตา ธโมฺม’’ติอาทินา สทฺธํ อุปฺปาเทติฯ สโทฺธ หิ อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาโน ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถ อาราเธสฺสติฯ สุลทฺธลาภสงฺขาตนฺติ เอตฺถ ยถา หิรญฺญสุวณฺณเขตฺตวตฺถาทิลาโภ สตฺตานํ อุปโภคสุขํ อาวหติ, ขุปฺปิปาสาทิทุกฺขํ ปฎิพาหติ, ธนทาลิทฺทิยํ วูปสเมติ, มุตฺตาทิรตนปฎิลาภเหตุ โหติ, โลกสนฺตติญฺจ อาวหติ; เอวํ โลกิยโลกุตฺตรา สทฺธาปิ ยถาสมฺภวํ โลกิยโลกุตฺตรํ วิปากสุขมาวหติ, สทฺธาธุเรน ปฎิปนฺนานํ ชาติชราทิทุกฺขํ ปฎิพาหติ, คุณทาลิทฺทิยํ วูปสเมติ, สติสโมฺพชฺฌงฺคาทิรตนปฎิลาภเหตุ โหติ, โลกสนฺตติญฺจ อาวหติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Saddhaṃpaṭilabhatīti ‘‘svākkhāto bhagavatā dhammo’’tiādinā saddhaṃ uppādeti. Saddho hi imasmiṃ dhammavinaye yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāno diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthe ārādhessati. Suladdhalābhasaṅkhātanti ettha yathā hiraññasuvaṇṇakhettavatthādilābho sattānaṃ upabhogasukhaṃ āvahati, khuppipāsādidukkhaṃ paṭibāhati, dhanadāliddiyaṃ vūpasameti, muttādiratanapaṭilābhahetu hoti, lokasantatiñca āvahati; evaṃ lokiyalokuttarā saddhāpi yathāsambhavaṃ lokiyalokuttaraṃ vipākasukhamāvahati, saddhādhurena paṭipannānaṃ jātijarādidukkhaṃ paṭibāhati, guṇadāliddiyaṃ vūpasameti, satisambojjhaṅgādiratanapaṭilābhahetu hoti, lokasantatiñca āvahati. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘สโทฺธ สีเลน สมฺปโนฺน, ยโส โภคสมปฺปิโต;

    ‘‘Saddho sīlena sampanno, yaso bhogasamappito;

    ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ, ตตฺถ ตเตฺถว ปูชิโต’’ติฯ (ธ. ป. ๓๐๓);

    Yaṃ yaṃ padesaṃ bhajati, tattha tattheva pūjito’’ti. (dha. pa. 303);

    เอวํ สทฺธาปฎิลาภสฺส สุลทฺธลาภตา เวทิตพฺพาฯ ยสฺมา ปนายํ สทฺธาปฎิลาโภ อนุคามิโก อนญฺญสาธารโณ สพฺพสมฺปตฺติเหตุ, โลกิยสฺส จ หิรญฺญสุวณฺณาทิธนลาภสฺส การณํฯ สโทฺธเยว หิ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา อุฬารุฬารวิตฺตูปกรณานิ อธิคจฺฉติ, เตหิ จ อตฺตโน ปเรสญฺจ อตฺถเมว สมฺปาเทติฯ อสฺสทฺธสฺส ปน ตานิ อนตฺถาวหานิ โหนฺติ, อิธ เจว สมฺปราเย จาติ, เอวมฺปิ สทฺธาย สุลทฺธลาภตา เวทิตพฺพาฯ ตถา หิ –

    Evaṃ saddhāpaṭilābhassa suladdhalābhatā veditabbā. Yasmā panāyaṃ saddhāpaṭilābho anugāmiko anaññasādhāraṇo sabbasampattihetu, lokiyassa ca hiraññasuvaṇṇādidhanalābhassa kāraṇaṃ. Saddhoyeva hi dānādīni puññāni katvā uḷāruḷāravittūpakaraṇāni adhigacchati, tehi ca attano paresañca atthameva sampādeti. Assaddhassa pana tāni anatthāvahāni honti, idha ceva samparāye cāti, evampi saddhāya suladdhalābhatā veditabbā. Tathā hi –

    ‘‘สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ’’ฯ (สํ. นิ. ๑.๗๙)ฯ

    ‘‘Saddhā bandhati pātheyyaṃ’’. (Saṃ. ni. 1.79).

    ‘‘สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหตี’’ติ จฯ (สํ. นิ. ๑.๓๖, ๕๙)ฯ

    ‘‘Saddhā dutiyā purisassa hotī’’ti ca. (Saṃ. ni. 1.36, 59).

    ‘‘สทฺธีธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฎฺฐ’’นฺติ จฯ (สํ. นิ. ๑.๗๓; สุ. นิ. ๑๘๔)ฯ

    ‘‘Saddhīdha vittaṃ purisassa seṭṭha’’nti ca. (Saṃ. ni. 1.73; su. ni. 184).

    ‘‘สทฺธาหโตฺถ มหานาโค’’ติ จฯ (อ. นิ. ๖.๔๓; เถรคา. ๖๙๔)ฯ

    ‘‘Saddhāhattho mahānāgo’’ti ca. (A. ni. 6.43; theragā. 694).

    ‘‘สทฺธา พีชํ ตโป วุฎฺฐี’’ติ จฯ (สํ. นิ. ๑.๑๙๗; สุ. นิ. ๗๗)ฯ

    ‘‘Saddhā bījaṃ tapo vuṭṭhī’’ti ca. (Saṃ. ni. 1.197; su. ni. 77).

    ‘‘สเทฺธสิโก, ภิกฺขเว, อริยสาวโก’’ติ (อ. นิ. ๗.๖๗) จฯ

    ‘‘Saddhesiko, bhikkhave, ariyasāvako’’ti (a. ni. 7.67) ca.

    ‘‘สทฺธาย ตรติ โอฆ’’นฺติ จฯ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖) –

    ‘‘Saddhāya tarati ogha’’nti ca. (Saṃ. ni. 1.246) –

    อเนเกสุ ฐาเนสุ อเนเกหิ การเณหิ สทฺธา สํวณฺณิตาฯ

    Anekesu ṭhānesu anekehi kāraṇehi saddhā saṃvaṇṇitā.

    อิทานิ ยาย สทฺธาย สาสเน กุสลธเมฺมสุ สุปฺปติฎฺฐิโต นาม โหติ นิยาโมกฺกนฺติยา, ตํ สทฺธํ ทเสฺสตุํ ‘‘สา โข ปนสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อสฺสาติ อิมสฺส ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ นิวิฎฺฐาติ อภินิวิฎฺฐา จิตฺตสนฺตานํ อนุปวิฎฺฐาฯ มูลชาตาติ ชาตมูลาฯ กิํ ปน สทฺธาย มูลํ นาม? สเทฺธยฺยวตฺถุสฺมิํ โอกปฺปนเหตุภูโต อุปายมนสิกาโรฯ อปิจ สปฺปุริสเสวนา สทฺธมฺมสฺสวนํ โยนิโสมนสิกาโร ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปตฺตีติ จตฺตาริ โสตาปตฺติยงฺคานิ มูลานิ เวทิตพฺพานิฯ ปติฎฺฐิตาติ อริยมคฺคาธิคเมน เกนจิ อกมฺปนียภาเวน อวฎฺฐิตาฯ เตเนวาห ‘‘ทฬฺหา อสํหาริยา’’ติฯ ทฬฺหาติ ถิราฯ อสํหาริยาติ เกนจิ สํหริตุํ วา หาเปตุํ วา อปเนตุํ วา อสกฺกุเณยฺยาฯ อิติ เต เทวา ตสฺส โสตาปตฺติมคฺคสมธิคมํ อาสีสนฺตา เอวํ วทนฺติฯ อตฺตโน เทวโลเก กามสุขูปโภคารหเมว หิ อริยปุคฺคลํ เต อิจฺฉนฺติฯ เตนาห ‘‘เอหิ, เทว, ปุนปฺปุน’’นฺติฯ

    Idāni yāya saddhāya sāsane kusaladhammesu suppatiṭṭhito nāma hoti niyāmokkantiyā, taṃ saddhaṃ dassetuṃ ‘‘sā kho panassā’’tiādi vuttaṃ. Tattha assāti imassa bhaveyyāti attho. Niviṭṭhāti abhiniviṭṭhā cittasantānaṃ anupaviṭṭhā. Mūlajātāti jātamūlā. Kiṃ pana saddhāya mūlaṃ nāma? Saddheyyavatthusmiṃ okappanahetubhūto upāyamanasikāro. Apica sappurisasevanā saddhammassavanaṃ yonisomanasikāro dhammānudhammappaṭipattīti cattāri sotāpattiyaṅgāni mūlāni veditabbāni. Patiṭṭhitāti ariyamaggādhigamena kenaci akampanīyabhāvena avaṭṭhitā. Tenevāha ‘‘daḷhā asaṃhāriyā’’ti. Daḷhāti thirā. Asaṃhāriyāti kenaci saṃharituṃ vā hāpetuṃ vā apanetuṃ vā asakkuṇeyyā. Iti te devā tassa sotāpattimaggasamadhigamaṃ āsīsantā evaṃ vadanti. Attano devaloke kāmasukhūpabhogārahameva hi ariyapuggalaṃ te icchanti. Tenāha ‘‘ehi, deva, punappuna’’nti.

    คาถาสุ ปุญฺญกฺขยมรณมฺปิ ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉเทเนว โหตีติ อาห ‘‘จวติ อายุสงฺขยา’’ติฯ อนุโมทตนฺติ อนุโมทนฺตานํฯ มนุสฺสานํ สหพฺยตนฺติ มนุเสฺสหิ สหภาวํฯ สห เพฺยตีติ สหโพฺย, สหปวตฺตนโก, ตสฺส ภาโว สหพฺยตาฯ นิวิฎฺฐสฺสาติ นิวิฎฺฐา ภเวยฺยฯ ยาวชีวนฺติ ยาว ชีวิตปฺปวตฺติยา, ยาว ปรินิพฺพานาติ อโตฺถฯ

    Gāthāsu puññakkhayamaraṇampi jīvitindriyupacchedeneva hotīti āha ‘‘cavati āyusaṅkhayā’’ti. Anumodatanti anumodantānaṃ. Manussānaṃ sahabyatanti manussehi sahabhāvaṃ. Saha byetīti sahabyo, sahapavattanako, tassa bhāvo sahabyatā. Niviṭṭhassāti niviṭṭhā bhaveyya. Yāvajīvanti yāva jīvitappavattiyā, yāva parinibbānāti attho.

    อปฺปมาณนฺติ สกฺกจฺจํ พหุํ อุฬารํ พหุกฺขตฺตุญฺจ กรณวเสน ปมาณรหิตํฯ นิรูปธินฺติ กิเลสูปธิรหิตํ, สุวิสุทฺธํ นิมฺมลนฺติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปน เต เทวา มหคฺคตกุสลํ น อิจฺฉนฺติ กามโลกสมติกฺกมนโต, กามาวจรปุญฺญเมว อิจฺฉนฺติ, ตสฺมา เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพ – ‘‘อิโต เทวโลกโต จุโต มนุเสฺสสุ อุปฺปชฺชิตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต กายทุจฺจริตาทิํ สพฺพํ ทุจฺจริตํ ปหาย กายสุจริตาทิํ สพฺพํ สุจริตํ อุฬารํ วิปุลํ อุปจินิตฺวา อริยมเคฺคน อาคตสโทฺธ ภวาหี’’ติฯ ยสฺมา ปน โลกุตฺตเรสุ ปฐมมคฺคํ ทุติยมคฺคมฺปิ วา อิจฺฉนฺติ อตฺตโน เทวโลกูปปตฺติยา อนติวตฺตนโต, ตสฺมา เตสมฺปิ วเสน ‘‘อปฺปมาณํ นิรูปธิ’’นฺติปทานํ อโตฺถ เวทิตโพฺพ – ปมาณกรานํ ทิเฎฺฐกฎฺฐโอฬาริกกามราคาทิกิเลสานํ อุปเจฺฉเทน อปฺปมาณํ, สตฺตมภวโต วา อุปฺปชฺชนารหสฺส ขนฺธูปธิสฺส ตํนิพฺพตฺตกอภิสงฺขารูปธิสฺส ตํตํมคฺควชฺฌกิเลสูปธิสฺส จ ปหาเนน เตสํ อนิพฺพตฺตนโต นิรุปธิสงฺขาตนิพฺพานสนฺนิสฺสิตตฺตา จ นิรุปธีติฯ

    Appamāṇanti sakkaccaṃ bahuṃ uḷāraṃ bahukkhattuñca karaṇavasena pamāṇarahitaṃ. Nirūpadhinti kilesūpadhirahitaṃ, suvisuddhaṃ nimmalanti attho. Yasmā pana te devā mahaggatakusalaṃ na icchanti kāmalokasamatikkamanato, kāmāvacarapuññameva icchanti, tasmā evamettha attho veditabbo – ‘‘ito devalokato cuto manussesu uppajjitvā viññutaṃ patto kāyaduccaritādiṃ sabbaṃ duccaritaṃ pahāya kāyasucaritādiṃ sabbaṃ sucaritaṃ uḷāraṃ vipulaṃ upacinitvā ariyamaggena āgatasaddho bhavāhī’’ti. Yasmā pana lokuttaresu paṭhamamaggaṃ dutiyamaggampi vā icchanti attano devalokūpapattiyā anativattanato, tasmā tesampi vasena ‘‘appamāṇaṃ nirūpadhi’’ntipadānaṃ attho veditabbo – pamāṇakarānaṃ diṭṭhekaṭṭhaoḷārikakāmarāgādikilesānaṃ upacchedena appamāṇaṃ, sattamabhavato vā uppajjanārahassa khandhūpadhissa taṃnibbattakaabhisaṅkhārūpadhissa taṃtaṃmaggavajjhakilesūpadhissa ca pahānena tesaṃ anibbattanato nirupadhisaṅkhātanibbānasannissitattā ca nirupadhīti.

    เอวํ อจฺจนฺตเมว อปายทฺวารปิธายกํ กมฺมํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สคฺคสมฺปตฺตินิพฺพตฺตกกมฺมํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตโต โอปธิก’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ โอปธิกนฺติ อุปธิเวปกฺกํ อตฺตภาวสมฺปตฺติยา เจว โภคสมฺปตฺติยา จ นิพฺพตฺตกนฺติ อโตฺถฯ อุปธีติ หิ อตฺตภาโว วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘สเนฺตกจฺจานิ ปาปกานิ กมฺมสมาทานานิ อุปธิสมฺปตฺติปฎิพาหิตานิ น วิปจฺจนฺตี’’ติ (วิภ. ๘๑๐)ฯ กามคุณาปิฯ ยถาห ‘‘อุปธีหิ นรสฺส โสจนา’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๒; สุ. นิ. ๓๔)ฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – อุปธียติ เอตฺถ สุขทุกฺขนฺติ อุปธิ, อตฺตภาโว กามคุณา จฯ อุปธิกรณํ สีลํ เอตสฺส, อุปธิํ วา อรหตีติ โอปธิกํ, ปุญฺญํ, ตํ พหุํ อุฬารํ กตฺวาฯ กถํ? ทาเนนฯ ทานญฺหิ อิตเรหิ สุกรนฺติ เอวํ วุตฺตํฯ ทาเนนาติ วา ปเทน อภยทานมฺปิ วุตฺตํ, น อามิสทานเมวาติ สีลสฺสาปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ยสฺมา ปน เต เทวา อสุรกายหานิํ เอกเนฺตเนว เทวกายปาริปูริญฺจ อิจฺฉนฺติ, ตสฺมา ตสฺส อุปายํ ทเสฺสนฺตา ‘‘อเญฺญปิ มเจฺจ สทฺธเมฺม, พฺรหฺมจริเย นิเวสยา’’ติ ธมฺมทาเน นิโยเชนฺติฯ ยทา วิทูติ ยสฺมิํ กาเล เทวา เทวํ จวนฺตํ วิทู วิชาเนยฺยุํ, ตทา อิมาย ยถาวุตฺตาย อนุกมฺปาย ทุกฺขาปนยนกมฺยตาย ‘‘เทว, อิเม เทวกาเย ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชนวเสน เอหิ อาคจฺฉาหี’’ติ จ อนุโมเทนฺตีติฯ

    Evaṃ accantameva apāyadvārapidhāyakaṃ kammaṃ dassetvā idāni saggasampattinibbattakakammaṃ dassetuṃ ‘‘tato opadhika’’ntiādi vuttaṃ. Tattha opadhikanti upadhivepakkaṃ attabhāvasampattiyā ceva bhogasampattiyā ca nibbattakanti attho. Upadhīti hi attabhāvo vuccati. Yathāha ‘‘santekaccāni pāpakāni kammasamādānāni upadhisampattipaṭibāhitāni na vipaccantī’’ti (vibha. 810). Kāmaguṇāpi. Yathāha ‘‘upadhīhi narassa socanā’’ti (saṃ. ni. 1.12; su. ni. 34). Tatrāyaṃ vacanattho – upadhīyati ettha sukhadukkhanti upadhi, attabhāvo kāmaguṇā ca. Upadhikaraṇaṃ sīlaṃ etassa, upadhiṃ vā arahatīti opadhikaṃ, puññaṃ, taṃ bahuṃ uḷāraṃ katvā. Kathaṃ? Dānena. Dānañhi itarehi sukaranti evaṃ vuttaṃ. Dānenāti vā padena abhayadānampi vuttaṃ, na āmisadānamevāti sīlassāpi saṅgaho daṭṭhabbo. Yasmā pana te devā asurakāyahāniṃ ekanteneva devakāyapāripūriñca icchanti, tasmā tassa upāyaṃ dassentā ‘‘aññepi macce saddhamme, brahmacariye nivesayā’’ti dhammadāne niyojenti. Yadā vidūti yasmiṃ kāle devā devaṃ cavantaṃ vidū vijāneyyuṃ, tadā imāya yathāvuttāya anukampāya dukkhāpanayanakamyatāya ‘‘deva, ime devakāye punappunaṃ uppajjanavasena ehi āgacchāhī’’ti ca anumodentīti.

    จตุตฺถสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Catutthasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๔. ปญฺจปุพฺพนิมิตฺตสุตฺตํ • 4. Pañcapubbanimittasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact