Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๒๑. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขโว’’ติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ – ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฎฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิวุตฺติปทานิ 3 อภิวทนฺติฯ ‘สญฺญี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา’ติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ; ‘อสญฺญี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา’ติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ; ‘เนวสญฺญีนาสญฺญี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา’ติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ; สโต วา ปน สตฺตสฺส อุเจฺฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ 4, ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา ปเนเก อภิวทนฺติฯ อิติ สนฺตํ วา อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ 5 ปรํ มรณา, สโต วา ปน สตฺตสฺส อุเจฺฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ, ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา ปเนเก อภิวทนฺติฯ อิติ อิมานิ ปญฺจ 6 หุตฺวา ตีณิ โหนฺติ, ตีณิ หุตฺวา ปญฺจ โหนฺติ – อยมุเทฺทโส ปญฺจตฺตยสฺสฯ
21. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tatra kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhavo’’ti. ‘‘Bhadante’’ti te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca – ‘‘santi, bhikkhave, eke samaṇabrāhmaṇā aparantakappikā aparantānudiṭṭhino aparantaṃ ārabbha anekavihitāni adhivuttipadāni 7 abhivadanti. ‘Saññī attā hoti arogo paraṃ maraṇā’ti – ittheke abhivadanti; ‘asaññī attā hoti arogo paraṃ maraṇā’ti – ittheke abhivadanti; ‘nevasaññīnāsaññī attā hoti arogo paraṃ maraṇā’ti – ittheke abhivadanti; sato vā pana sattassa ucchedaṃ vināsaṃ vibhavaṃ paññapenti 8, diṭṭhadhammanibbānaṃ vā paneke abhivadanti. Iti santaṃ vā attānaṃ paññapenti arogaṃ 9 paraṃ maraṇā, sato vā pana sattassa ucchedaṃ vināsaṃ vibhavaṃ paññapenti, diṭṭhadhammanibbānaṃ vā paneke abhivadanti. Iti imāni pañca 10 hutvā tīṇi honti, tīṇi hutvā pañca honti – ayamuddeso pañcattayassa.
๒๒. ‘‘ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปิํ นารูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เอกตฺตสญฺญิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, นานตฺตสญฺญิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, ปริตฺตสญฺญิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อปฺปมาณสญฺญิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เอตํ 11 วา ปเนเกสํ 12 อุปาติวตฺตตํ วิญฺญาณกสิณเมเก อภิวทนฺติ อปฺปมาณํ อาเนญฺชํ ฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติ 13ฯ เย โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปิํ นารูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เอกตฺตสญฺญิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, นานตฺตสญฺญิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, ปริตฺตสญฺญิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อปฺปมาณสญฺญิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา 14, ยา วา ปเนตาสํ สญฺญานํ ปริสุทฺธา ปรมา อคฺคา อนุตฺตริยา อกฺขายติ – ยทิ รูปสญฺญานํ ยทิ อรูปสญฺญานํ ยทิ เอกตฺตสญฺญานํ ยทิ นานตฺตสญฺญานํฯ ‘นตฺถิ กิญฺจี’ติ อากิญฺจญฺญายตนเมเก อภิวทนฺติ อปฺปมาณํ อาเนญฺชํฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
22. ‘‘Tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, arūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiñca arūpiñca vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, nevarūpiṃ nārūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, ekattasaññiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, nānattasaññiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, parittasaññiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, appamāṇasaññiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, etaṃ 15 vā panekesaṃ 16 upātivattataṃ viññāṇakasiṇameke abhivadanti appamāṇaṃ āneñjaṃ . Tayidaṃ, bhikkhave, tathāgato abhijānāti 17. Ye kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, arūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiñca arūpiñca vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, nevarūpiṃ nārūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, ekattasaññiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, nānattasaññiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, parittasaññiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, appamāṇasaññiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā 18, yā vā panetāsaṃ saññānaṃ parisuddhā paramā aggā anuttariyā akkhāyati – yadi rūpasaññānaṃ yadi arūpasaññānaṃ yadi ekattasaññānaṃ yadi nānattasaññānaṃ. ‘Natthi kiñcī’ti ākiñcaññāyatanameke abhivadanti appamāṇaṃ āneñjaṃ. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
๒๓. ‘‘ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปิํ นารูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณาฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฎิโกฺกสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สญฺญา โรโค สญฺญา คโณฺฑ สญฺญา สลฺลํ, เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ – ‘อสญฺญ’นฺติฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติ เย โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปิํ นารูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณาฯ โย หิ โกจิ, ภิกฺขเว, สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวํ วเทยฺย – ‘อหมญฺญตฺร รูปา, อญฺญตฺร เวทนาย, อญฺญตฺร สญฺญาย, อญฺญตฺร สงฺขาเรหิ, วิญฺญาณสฺส 19 อาคติํ วา คติํ วา จุติํ วา อุปปตฺติํ วา วุทฺธิํ วา วิรูฬฺหิํ วา เวปุลฺลํ วา ปญฺญเปสฺสามี’ติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
23. ‘‘Tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, arūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiñca arūpiñca vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, nevarūpiṃ nārūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā. Tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā tesamete paṭikkosanti. Taṃ kissa hetu? Saññā rogo saññā gaṇḍo saññā sallaṃ, etaṃ santaṃ etaṃ paṇītaṃ yadidaṃ – ‘asañña’nti. Tayidaṃ, bhikkhave, tathāgato abhijānāti ye kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, arūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiñca arūpiñca vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, nevarūpiṃ nārūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā. Yo hi koci, bhikkhave, samaṇo vā brāhmaṇo vā evaṃ vadeyya – ‘ahamaññatra rūpā, aññatra vedanāya, aññatra saññāya, aññatra saṅkhārehi, viññāṇassa 20 āgatiṃ vā gatiṃ vā cutiṃ vā upapattiṃ vā vuddhiṃ vā virūḷhiṃ vā vepullaṃ vā paññapessāmī’ti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
๒๔. ‘‘ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปิํ นารูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณาฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฎิโกฺกสนฺติ, เยปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฎิโกฺกสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สญฺญา โรโค สญฺญา คโณฺฑ สญฺญา สลฺลํ, อสญฺญา สโมฺมโห, เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ – ‘เนวสญฺญานาสญฺญ’นฺติฯ 21 ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ เย โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปิํ นารูปิํ วา เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณาฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา 22 ทิฎฺฐสุตมุตวิญฺญาตพฺพสงฺขารมเตฺตน เอตสฺส อายตนสฺส อุปสมฺปทํ ปญฺญเปนฺติ, พฺยสนเญฺหตํ, ภิกฺขเว, อกฺขายติ 23 เอตสฺส อายตนสฺส อุปสมฺปทาย ฯ น เหตํ, ภิกฺขเว, อายตนํ สงฺขารสมาปตฺติปตฺตพฺพมกฺขายติ; สงฺขาราวเสสสมาปตฺติปตฺตพฺพเมตํ, ภิกฺขเว, อายตนมกฺขายติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
24. ‘‘Tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, arūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiñca arūpiñca vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, nevarūpiṃ nārūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā. Tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā tesamete paṭikkosanti, yepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā tesamete paṭikkosanti. Taṃ kissa hetu? Saññā rogo saññā gaṇḍo saññā sallaṃ, asaññā sammoho, etaṃ santaṃ etaṃ paṇītaṃ yadidaṃ – ‘nevasaññānāsañña’nti. 24 Tayidaṃ, bhikkhave, tathāgato abhijānāti. Ye kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, arūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, rūpiñca arūpiñca vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā, nevarūpiṃ nārūpiṃ vā te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā. Ye hi keci, bhikkhave, samaṇā vā brāhmaṇā vā 25 diṭṭhasutamutaviññātabbasaṅkhāramattena etassa āyatanassa upasampadaṃ paññapenti, byasanañhetaṃ, bhikkhave, akkhāyati 26 etassa āyatanassa upasampadāya . Na hetaṃ, bhikkhave, āyatanaṃ saṅkhārasamāpattipattabbamakkhāyati; saṅkhārāvasesasamāpattipattabbametaṃ, bhikkhave, āyatanamakkhāyati. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
๒๕. ‘‘ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สโต สตฺตสฺส อุเจฺฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ , ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฎิโกฺกสนฺติ, เยปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฎิโกฺกสนฺติ, เยปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญิํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฎิโกฺกสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สเพฺพปิเม โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธํ สรํ 27 อาสตฺติํเยว อภิวทนฺติ – ‘อิติ เปจฺจ ภวิสฺสาม, อิติ เปจฺจ ภวิสฺสามา’ติฯ เสยฺยถาปิ นาม วาณิชสฺส วาณิชฺชาย คจฺฉโต เอวํ โหติ – ‘อิโต เม อิทํ ภวิสฺสติ, อิมินา อิทํ ลจฺฉามี’ติ, เอวเมวิเม โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา วาณิชูปมา มเญฺญ ปฎิภนฺติ – ‘อิติ เปจฺจ ภวิสฺสาม, อิติ เปจฺจ ภวิสฺสามา’ติฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ เย โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สโต สตฺตสฺส อุเจฺฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ เต สกฺกายภยา สกฺกายปริเชคุจฺฉา สกฺกายเญฺญว อนุปริธาวนฺติ อนุปริวตฺตนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม สา คทฺทุลพโทฺธ ทเฬฺห ถเมฺภ วา ขิเล 28 วา อุปนิพโทฺธ , ตเมว ถมฺภํ วา ขิลํ วา อนุปริธาวติ อนุปริวตฺตติ ; เอวเมวิเม โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา สกฺกายภยา สกฺกายปริเชคุจฺฉา สกฺกายเญฺญว อนุปริธาวนฺติ อนุปริวตฺตนฺติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
25. ‘‘Tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā sato sattassa ucchedaṃ vināsaṃ vibhavaṃ paññapenti , tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā saññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā tesamete paṭikkosanti, yepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā asaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā tesamete paṭikkosanti, yepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā nevasaññīnāsaññiṃ attānaṃ paññapenti arogaṃ paraṃ maraṇā tesamete paṭikkosanti. Taṃ kissa hetu? Sabbepime bhonto samaṇabrāhmaṇā uddhaṃ saraṃ 29 āsattiṃyeva abhivadanti – ‘iti pecca bhavissāma, iti pecca bhavissāmā’ti. Seyyathāpi nāma vāṇijassa vāṇijjāya gacchato evaṃ hoti – ‘ito me idaṃ bhavissati, iminā idaṃ lacchāmī’ti, evamevime bhonto samaṇabrāhmaṇā vāṇijūpamā maññe paṭibhanti – ‘iti pecca bhavissāma, iti pecca bhavissāmā’ti. Tayidaṃ, bhikkhave, tathāgato abhijānāti. Ye kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā sato sattassa ucchedaṃ vināsaṃ vibhavaṃ paññapenti te sakkāyabhayā sakkāyaparijegucchā sakkāyaññeva anuparidhāvanti anuparivattanti. Seyyathāpi nāma sā gaddulabaddho daḷhe thambhe vā khile 30 vā upanibaddho , tameva thambhaṃ vā khilaṃ vā anuparidhāvati anuparivattati ; evamevime bhonto samaṇabrāhmaṇā sakkāyabhayā sakkāyaparijegucchā sakkāyaññeva anuparidhāvanti anuparivattanti. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
๒๖. ‘‘เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฎฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิวุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ, สเพฺพ เต อิมาเนว ปญฺจายตนานิ อภิวทนฺติ เอเตสํ วา อญฺญตรํฯ
26. ‘‘Ye hi keci, bhikkhave, samaṇā vā brāhmaṇā vā aparantakappikā aparantānudiṭṭhino aparantaṃ ārabbha anekavihitāni adhivuttipadāni abhivadanti, sabbe te imāneva pañcāyatanāni abhivadanti etesaṃ vā aññataraṃ.
๒๗. ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐิโน ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิวุตฺติปทานิ อภิวทนฺติฯ ‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘อสสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘สสฺสโต จ อสสฺสโต จ อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘เนวสสฺสโต นาสสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘อนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘อนนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘อนฺตวา จ อนนฺตวา จ อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘เนวนฺตวา นานนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘เอกตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘นานตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘ปริตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘อปฺปมาณสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘เอกนฺตสุขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘เอกนฺตทุกฺขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘สุขทุกฺขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติ, ‘อทุกฺขมสุขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ – อิเตฺถเก อภิวทนฺติฯ
27. ‘‘Santi, bhikkhave, eke samaṇabrāhmaṇā pubbantakappikā pubbantānudiṭṭhino pubbantaṃ ārabbha anekavihitāni adhivuttipadāni abhivadanti. ‘Sassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘asassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘sassato ca asassato ca attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘nevasassato nāsassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘antavā attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘anantavā attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘antavā ca anantavā ca attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘nevantavā nānantavā attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘ekattasaññī attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘nānattasaññī attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘parittasaññī attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘appamāṇasaññī attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘ekantasukhī attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘ekantadukkhī attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘sukhadukkhī attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti, ‘adukkhamasukhī attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti – ittheke abhivadanti.
๒๘. ‘‘ตตฺร , ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ , เตสํ วต อญฺญเตฺรว สทฺธาย อญฺญตฺร รุจิยา อญฺญตฺร อนุสฺสวา อญฺญตฺร อาการปริวิตกฺกา อญฺญตฺร ทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา ปจฺจตฺตํเยว ญาณํ ภวิสฺสติ ปริสุทฺธํ ปริโยทาตนฺติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ปจฺจตฺตํ โข ปน, ภิกฺขเว, ญาเณ อสติ ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต ยทปิ 31 เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา ตตฺถ ญาณภาคมตฺตเมว ปริโยทเปนฺติ ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อุปาทานมกฺขายติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
28. ‘‘Tatra , bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘sassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti , tesaṃ vata aññatreva saddhāya aññatra ruciyā aññatra anussavā aññatra ākāraparivitakkā aññatra diṭṭhinijjhānakkhantiyā paccattaṃyeva ñāṇaṃ bhavissati parisuddhaṃ pariyodātanti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Paccattaṃ kho pana, bhikkhave, ñāṇe asati parisuddhe pariyodāte yadapi 32 te bhonto samaṇabrāhmaṇā tattha ñāṇabhāgamattameva pariyodapenti tadapi tesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ upādānamakkhāyati. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
๒๙. ‘‘ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อสสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’นฺติ…เป.… 33 สสฺสโต จ อสสฺสโต จ อตฺตา จ โลโก จ… เนวสสฺสโต นาสสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ… อนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ… อนนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ… อนฺตวา จ อนนฺตวา จ อตฺตา จ โลโก จ… เนวนฺตวา นานนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ… เอกตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ… นานตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ… ปริตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ… อปฺปมาณสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ… เอกนฺตสุขี อตฺตา จ โลโก จ… เอกนฺตทุกฺขี อตฺตา จ โลโก จ… สุขทุกฺขี อตฺตา จ โลโก จ… อทุกฺขมสุขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺติ, เตสํ วต อญฺญเตฺรว สทฺธาย อญฺญตฺร รุจิยา อญฺญตฺร อนุสฺสวา อญฺญตฺร อาการปริวิตกฺกา อญฺญตฺร ทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา ปจฺจตฺตํเยว ญาณํ ภวิสฺสติ ปริสุทฺธํ ปริโยทาตนฺติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ปจฺจตฺตํ โข ปน, ภิกฺขเว, ญาเณ อสติ ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต ยทปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา ตตฺถ ญาณภาคมตฺตเมว ปริโยทเปนฺติ ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อุปาทานมกฺขายติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
29. ‘‘Tatra, bhikkhave, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘asassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamañña’nti…pe… 34 sassato ca asassato ca attā ca loko ca… nevasassato nāsassato attā ca loko ca… antavā attā ca loko ca… anantavā attā ca loko ca… antavā ca anantavā ca attā ca loko ca… nevantavā nānantavā attā ca loko ca… ekattasaññī attā ca loko ca… nānattasaññī attā ca loko ca… parittasaññī attā ca loko ca… appamāṇasaññī attā ca loko ca… ekantasukhī attā ca loko ca… ekantadukkhī attā ca loko ca… sukhadukkhī attā ca loko ca… adukkhamasukhī attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamaññanti, tesaṃ vata aññatreva saddhāya aññatra ruciyā aññatra anussavā aññatra ākāraparivitakkā aññatra diṭṭhinijjhānakkhantiyā paccattaṃyeva ñāṇaṃ bhavissati parisuddhaṃ pariyodātanti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Paccattaṃ kho pana, bhikkhave, ñāṇe asati parisuddhe pariyodāte yadapi te bhonto samaṇabrāhmaṇā tattha ñāṇabhāgamattameva pariyodapenti tadapi tesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ upādānamakkhāyati. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
๓๐. ‘‘อิธ , ภิกฺขเว, เอกโจฺจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฎฺฐานา, ปวิเวกํ ปีติํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ – ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ ปวิเวกํ ปีติํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ ตสฺส สา ปวิเวกา ปีติ นิรุชฺฌติฯ ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ โทมนสฺสํ, โทมนสฺสสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยํ ฉายา ชหติ ตํ อาตโป ผรติ, ยํ อาตโป ชหติ ตํ ฉายา ผรติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ โทมนสฺสํ, โทมนสฺสสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ อยํ โข ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา , อปรนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฎฺฐานา, ปวิเวกํ ปีติํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ – ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ ปวิเวกํ ปีติํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ ตสฺส สา ปวิเวกา ปีติ นิรุชฺฌติฯ ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ โทมนสฺสํ, โทมนสฺสสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
30. ‘‘Idha , bhikkhave, ekacco samaṇo vā brāhmaṇo vā pubbantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, aparantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, sabbaso kāmasaṃyojanānaṃ anadhiṭṭhānā, pavivekaṃ pītiṃ upasampajja viharati – ‘etaṃ santaṃ etaṃ paṇītaṃ yadidaṃ pavivekaṃ pītiṃ upasampajja viharāmī’ti. Tassa sā pavivekā pīti nirujjhati. Pavivekāya pītiyā nirodhā uppajjati domanassaṃ, domanassassa nirodhā uppajjati pavivekā pīti. Seyyathāpi, bhikkhave, yaṃ chāyā jahati taṃ ātapo pharati, yaṃ ātapo jahati taṃ chāyā pharati; evameva kho, bhikkhave, pavivekāya pītiyā nirodhā uppajjati domanassaṃ, domanassassa nirodhā uppajjati pavivekā pīti. Tayidaṃ, bhikkhave, tathāgato abhijānāti. Ayaṃ kho bhavaṃ samaṇo vā brāhmaṇo vā pubbantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā , aparantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, sabbaso kāmasaṃyojanānaṃ anadhiṭṭhānā, pavivekaṃ pītiṃ upasampajja viharati – ‘etaṃ santaṃ etaṃ paṇītaṃ yadidaṃ pavivekaṃ pītiṃ upasampajja viharāmī’ti. Tassa sā pavivekā pīti nirujjhati. Pavivekāya pītiyā nirodhā uppajjati domanassaṃ, domanassassa nirodhā uppajjati pavivekā pīti. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
๓๑. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฎฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา นิรามิสํ สุขํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ – ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ นิรามิสํ สุขํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ ตสฺส ตํ นิรามิสํ สุขํ นิรุชฺฌติฯ นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติ, ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํ ฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยํ ฉายา ชหติ ตํ อาตโป ผรติ, ยํ อาตโป ชหติ ตํ ฉายา ผรติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติ, ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ อยํ โข ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฎฺฐานา , ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสํ สุขํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ – ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ นิรามิสํ สุขํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ ตสฺส ตํ นิรามิสํ สุขํ นิรุชฺฌติฯ นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติ, ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
31. ‘‘Idha pana, bhikkhave, ekacco samaṇo vā brāhmaṇo vā pubbantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, aparantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, sabbaso kāmasaṃyojanānaṃ anadhiṭṭhānā, pavivekāya pītiyā samatikkamā nirāmisaṃ sukhaṃ upasampajja viharati – ‘etaṃ santaṃ etaṃ paṇītaṃ yadidaṃ nirāmisaṃ sukhaṃ upasampajja viharāmī’ti. Tassa taṃ nirāmisaṃ sukhaṃ nirujjhati. Nirāmisassa sukhassa nirodhā uppajjati pavivekā pīti, pavivekāya pītiyā nirodhā uppajjati nirāmisaṃ sukhaṃ . Seyyathāpi, bhikkhave, yaṃ chāyā jahati taṃ ātapo pharati, yaṃ ātapo jahati taṃ chāyā pharati; evameva kho, bhikkhave, nirāmisassa sukhassa nirodhā uppajjati pavivekā pīti, pavivekāya pītiyā nirodhā uppajjati nirāmisaṃ sukhaṃ. Tayidaṃ, bhikkhave, tathāgato abhijānāti. Ayaṃ kho bhavaṃ samaṇo vā brāhmaṇo vā pubbantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, aparantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, sabbaso kāmasaṃyojanānaṃ anadhiṭṭhānā , pavivekāya pītiyā samatikkamā, nirāmisaṃ sukhaṃ upasampajja viharati – ‘etaṃ santaṃ etaṃ paṇītaṃ yadidaṃ nirāmisaṃ sukhaṃ upasampajja viharāmī’ti. Tassa taṃ nirāmisaṃ sukhaṃ nirujjhati. Nirāmisassa sukhassa nirodhā uppajjati pavivekā pīti, pavivekāya pītiyā nirodhā uppajjati nirāmisaṃ sukhaṃ. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
๓๒. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฎฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสสฺส สุขสฺส สมติกฺกมา, อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ – ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ ตสฺส สา อทุกฺขมสุขา เวทนา นิรุชฺฌติฯ อทุกฺขมสุขาย เวทนาย นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํ, นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยํ ฉายา ชหติ ตํ อาตโป ผรติ, ยํ อาตโป ชหติ ตํ ฉายา ผรติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อทุกฺขมสุขาย เวทนาย นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํ, นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ อยํ โข ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา , อปรนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฎฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสสฺส สุขสฺส สมติกฺกมา, อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ – ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ ตสฺส สา อทุกฺขมสุขา เวทนา นิรุชฺฌติฯ อทุกฺขมสุขาย เวทนาย นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํ, นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
32. ‘‘Idha pana, bhikkhave, ekacco samaṇo vā brāhmaṇo vā pubbantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, aparantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, sabbaso kāmasaṃyojanānaṃ anadhiṭṭhānā, pavivekāya pītiyā samatikkamā, nirāmisassa sukhassa samatikkamā, adukkhamasukhaṃ vedanaṃ upasampajja viharati – ‘etaṃ santaṃ etaṃ paṇītaṃ yadidaṃ adukkhamasukhaṃ vedanaṃ upasampajja viharāmī’ti. Tassa sā adukkhamasukhā vedanā nirujjhati. Adukkhamasukhāya vedanāya nirodhā uppajjati nirāmisaṃ sukhaṃ, nirāmisassa sukhassa nirodhā uppajjati adukkhamasukhā vedanā. Seyyathāpi, bhikkhave, yaṃ chāyā jahati taṃ ātapo pharati, yaṃ ātapo jahati taṃ chāyā pharati; evameva kho, bhikkhave, adukkhamasukhāya vedanāya nirodhā uppajjati nirāmisaṃ sukhaṃ, nirāmisassa sukhassa nirodhā uppajjati adukkhamasukhā vedanā. Tayidaṃ, bhikkhave, tathāgato abhijānāti. Ayaṃ kho bhavaṃ samaṇo vā brāhmaṇo vā pubbantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā , aparantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, sabbaso kāmasaṃyojanānaṃ anadhiṭṭhānā, pavivekāya pītiyā samatikkamā, nirāmisassa sukhassa samatikkamā, adukkhamasukhaṃ vedanaṃ upasampajja viharati – ‘etaṃ santaṃ etaṃ paṇītaṃ yadidaṃ adukkhamasukhaṃ vedanaṃ upasampajja viharāmī’ti. Tassa sā adukkhamasukhā vedanā nirujjhati. Adukkhamasukhāya vedanāya nirodhā uppajjati nirāmisaṃ sukhaṃ, nirāmisassa sukhassa nirodhā uppajjati adukkhamasukhā vedanā. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
๓๓. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฎฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสสฺส สุขสฺส สมติกฺกมา, อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมติกฺกมา – ‘สโนฺตหมสฺมิ, นิพฺพุโตหมสฺมิ, อนุปาทาโนหมสฺมี’ติ สมนุปสฺสติฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ อยํ โข ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฎฺฐีนญฺจ ปฎินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฎฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสสฺส สุขสฺส สมติกฺกมา, อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมติกฺกมา – ‘สโนฺตหมสฺมิ, นิพฺพุโตหมสฺมิ, อนุปาทาโนหมสฺมี’ติ สมนุปสฺสติ; อทฺธา อยมายสฺมา นิพฺพานสปฺปายํเยว ปฎิปทํ อภิวทติฯ อถ จ ปนายํ ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐิํ วา อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, อปรนฺตานุทิฎฺฐิํ วา อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, กามสํโยชนํ วา อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, ปวิเวกํ วา ปีติํ อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, นิรามิสํ วา สุขํ อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, อทุกฺขมสุขํ วา เวทนํ อุปาทิยมาโน อุปาทิยติฯ ยญฺจ โข อยมายสฺมา – ‘สโนฺตหมสฺมิ, นิพฺพุโตหมสฺมิ, อนุปาทาโนหมสฺมี’ติ สมนุปสฺสติ ตทปิ อิมสฺส โภโต สมณสฺส พฺราหฺมณสฺส อุปาทานมกฺขายติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อเตฺถต’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวโตฺตฯ
33. ‘‘Idha pana, bhikkhave, ekacco samaṇo vā brāhmaṇo vā pubbantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, aparantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, sabbaso kāmasaṃyojanānaṃ anadhiṭṭhānā, pavivekāya pītiyā samatikkamā, nirāmisassa sukhassa samatikkamā, adukkhamasukhāya vedanāya samatikkamā – ‘santohamasmi, nibbutohamasmi, anupādānohamasmī’ti samanupassati. Tayidaṃ, bhikkhave, tathāgato abhijānāti. Ayaṃ kho bhavaṃ samaṇo vā brāhmaṇo vā pubbantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, aparantānudiṭṭhīnañca paṭinissaggā, sabbaso kāmasaṃyojanānaṃ anadhiṭṭhānā, pavivekāya pītiyā samatikkamā, nirāmisassa sukhassa samatikkamā, adukkhamasukhāya vedanāya samatikkamā – ‘santohamasmi, nibbutohamasmi, anupādānohamasmī’ti samanupassati; addhā ayamāyasmā nibbānasappāyaṃyeva paṭipadaṃ abhivadati. Atha ca panāyaṃ bhavaṃ samaṇo vā brāhmaṇo vā pubbantānudiṭṭhiṃ vā upādiyamāno upādiyati, aparantānudiṭṭhiṃ vā upādiyamāno upādiyati, kāmasaṃyojanaṃ vā upādiyamāno upādiyati, pavivekaṃ vā pītiṃ upādiyamāno upādiyati, nirāmisaṃ vā sukhaṃ upādiyamāno upādiyati, adukkhamasukhaṃ vā vedanaṃ upādiyamāno upādiyati. Yañca kho ayamāyasmā – ‘santohamasmi, nibbutohamasmi, anupādānohamasmī’ti samanupassati tadapi imassa bhoto samaṇassa brāhmaṇassa upādānamakkhāyati. ‘Tayidaṃ saṅkhataṃ oḷārikaṃ atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho attheta’nti – iti viditvā tassa nissaraṇadassāvī tathāgato tadupātivatto.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti.
ปญฺจตฺตยสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทุติยํฯ
Pañcattayasuttaṃ niṭṭhitaṃ dutiyaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๒. ปญฺจตฺตยสุตฺตวณฺณนา • 2. Pañcattayasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. ปญฺจตฺตยสุตฺตวณฺณนา • 2. Pañcattayasuttavaṇṇanā