Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๒. ปญฺจตฺตยสุตฺตวณฺณนา
2. Pañcattayasuttavaṇṇanā
๒๑. เอเกติ เอตฺถ เอก-สโทฺท อญฺญโตฺถ, น คณนาทิอโตฺถติ ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอกเจฺจ’’ติ อาหฯ ยํ ปน ปาฬิยํ ‘‘สนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ เตน เตสํ ทิฎฺฐิคติกานํ วิชฺชมานตาย อวิจฺฉินฺนตา; ตโต จ เนสํ มิจฺฉาคหณโต สิถิลกรณวิเวจเนหิ อตฺตโน เทสนาย กิจฺจการิตา อวิตถตา จ ทีปิตา โหติฯ ปรมตฺถสมณพฺราหฺมเณสุ อปรนฺตกปฺปิกตาย เลโสปิ นตฺถีติ อาห ‘‘ปริพฺพชุปคตภาเวนา’’ติอาทิฯ สสฺสตาทิวเสน อปรนฺตํ กเปฺปนฺตีติ อปรนฺตกปฺปิโน, เต เอว อปรนฺตกปฺปิกาฯ ยสฺมา เตหิ อปรนฺตํ ปุริมตรสิเทฺธหิ ตณฺหาทิฎฺฐิกเปฺปหิ กเปฺปตฺวา อาเสวนพลวตาย จ วิกเปฺปตฺวา อปรภาคสิเทฺธหิ อภินิเวสภูเตหิ ตณฺหาทิฎฺฐิคฺคาเหหิ คณฺหนฺติ อภินิวิสนฺติ ปรามสนฺติ; ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘อปรนฺตํ กเปฺปตฺวา วิกเปฺปตฺวา คณฺหนฺตี’’ติฯ ตณฺหุปาทานวเสน กปฺปนคหณานิ เวทิตพฺพานิฯ ตณฺหาปจฺจยา หิ อุปาทานํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ มหานิเทฺทเส อุทฺทานโต สเงฺขปโตฯ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสนาติ ตณฺหาย ทิฎฺฐิยา จ วเสนฯ ทิฎฺฎิยา วา อุปนิสฺสยภูตาย สหชาตาย อภินนฺทนกาย จ ตณฺหาย สสฺสตาทิอากาเรน อภินิวิสนฺตสฺส มิจฺฉาคาหสฺส จ วเสนฯ อนาคตธมฺมวิสยาย อธิเปฺปตตฺตา อนาคตกาลวาจโก อิธ อปร-สโทฺทฯ รูปาทิขนฺธวินิมุตฺตสฺส กปฺปนวตฺถุโน อภาวา อนฺต-สโทฺท ภาควาจโกติ อาห – ‘‘อนาคตํ ขนฺธโกฎฺฐาส’’นฺติฯ กเปฺปตฺวาติ จ ตสฺมิํ อปรเนฺต ตณฺหาย นาภินิเวสานํ สมตฺตนํ ปรินิฎฺฐาปนมาหฯ ฐิตาติ ตสฺสา ลทฺธิยา อวิชหนํฯ
21.Eketi ettha eka-saddo aññattho, na gaṇanādiatthoti taṃ dassento ‘‘ekacce’’ti āha. Yaṃ pana pāḷiyaṃ ‘‘santī’’ti vuttaṃ. Tena tesaṃ diṭṭhigatikānaṃ vijjamānatāya avicchinnatā; tato ca nesaṃ micchāgahaṇato sithilakaraṇavivecanehi attano desanāya kiccakāritā avitathatā ca dīpitā hoti. Paramatthasamaṇabrāhmaṇesu aparantakappikatāya lesopi natthīti āha ‘‘paribbajupagatabhāvenā’’tiādi. Sassatādivasena aparantaṃ kappentīti aparantakappino, te eva aparantakappikā. Yasmā tehi aparantaṃ purimatarasiddhehi taṇhādiṭṭhikappehi kappetvā āsevanabalavatāya ca vikappetvā aparabhāgasiddhehi abhinivesabhūtehi taṇhādiṭṭhiggāhehi gaṇhanti abhinivisanti parāmasanti; tasmā vuttaṃ – ‘‘aparantaṃ kappetvā vikappetvā gaṇhantī’’ti. Taṇhupādānavasena kappanagahaṇāni veditabbāni. Taṇhāpaccayā hi upādānaṃ. Vuttampi cetaṃ mahāniddese uddānato saṅkhepato. Taṇhādiṭṭhivasenāti taṇhāya diṭṭhiyā ca vasena. Diṭṭiyā vā upanissayabhūtāya sahajātāya abhinandanakāya ca taṇhāya sassatādiākārena abhinivisantassa micchāgāhassa ca vasena. Anāgatadhammavisayāya adhippetattā anāgatakālavācako idha apara-saddo. Rūpādikhandhavinimuttassa kappanavatthuno abhāvā anta-saddo bhāgavācakoti āha – ‘‘anāgataṃ khandhakoṭṭhāsa’’nti. Kappetvāti ca tasmiṃ aparante taṇhāya nābhinivesānaṃ samattanaṃ pariniṭṭhāpanamāha. Ṭhitāti tassā laddhiyā avijahanaṃ.
อนุคตาติ อารมฺมณกรณวเสน อนุ อนุ คตา อปรเนฺต ปวตฺตาฯ อารพฺภาติ อาลมฺพิตฺวาฯ วิสโย หิ ตสฺสา ทิฎฺฐิยา อปรโนฺตฯ วิสยภาวโต เอว หิ โส ตสฺสา อาคมนฎฺฐานํ อารมฺมณปจฺจโย จาติ วุตฺตํ ‘‘อาคมฺม ปฎิจฺจา’’ติฯ อธิวจนปทานีติ ปญฺญตฺติปทานิ, ทาสาทีสุ สิริวฑฺฒกาทิสโทฺท วิย วจนมตฺตเมว อธิการํ กตฺวา ปวตฺติยา อธิวจนํ ปญฺญตฺติฯ อถ วา อธิ-สโทฺท อุปริภาเว, วุจฺจตีติ วจนํ, อุปริ วจนํ อธิวจนํ, อุปาทานภูตรูปาทีนํ อุปริ ปญฺญาปิยมานา อุปาทาปญฺญตฺตีติ อโตฺถ, ตสฺมา ปญฺญตฺติทีปกปทานีติ อโตฺถฯ ปญฺญตฺติมตฺตเญฺหตํ วุจฺจติ, ยทิทํ, ‘‘อตฺตา โลโก’’ติ จ, น รูปเวทนาทโย วิย ปรมโตฺถฯ อธิกวุตฺติตาย วา อธิมุตฺติโยติ ทิฎฺฐิโย วุจฺจนฺติฯ อธิกญฺหิ สภาวธเมฺมสุ สสฺสตาทิํ ปกติอาทิํ ทฺรพฺยาทิํ ชีวาทิํ กายาทิญฺจ อภูตมตฺถํ อชฺฌาโรเปตฺวา ทิฎฺฐิโย ปวตฺตนฺตีติฯ อภิวทนฺตีติ, ‘‘อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’’นฺติ อภินิวิสิตฺวา วทนฺติ, ‘‘อยํ ธโมฺม, นายํ ธโมฺม’’ติอาทินา วิวทนฺติฯ อภิวทนกิริยาย อชฺชาปิ อวิเจฺฉทภาวทสฺสนตฺถํ วตฺตมานกาลวจนํฯ
Anugatāti ārammaṇakaraṇavasena anu anu gatā aparante pavattā. Ārabbhāti ālambitvā. Visayo hi tassā diṭṭhiyā aparanto. Visayabhāvato eva hi so tassā āgamanaṭṭhānaṃ ārammaṇapaccayo cāti vuttaṃ ‘‘āgamma paṭiccā’’ti. Adhivacanapadānīti paññattipadāni, dāsādīsu sirivaḍḍhakādisaddo viya vacanamattameva adhikāraṃ katvā pavattiyā adhivacanaṃ paññatti. Atha vā adhi-saddo uparibhāve, vuccatīti vacanaṃ, upari vacanaṃ adhivacanaṃ, upādānabhūtarūpādīnaṃ upari paññāpiyamānā upādāpaññattīti attho, tasmā paññattidīpakapadānīti attho. Paññattimattañhetaṃ vuccati, yadidaṃ, ‘‘attā loko’’ti ca, na rūpavedanādayo viya paramattho. Adhikavuttitāya vā adhimuttiyoti diṭṭhiyo vuccanti. Adhikañhi sabhāvadhammesu sassatādiṃ pakatiādiṃ drabyādiṃ jīvādiṃ kāyādiñca abhūtamatthaṃ ajjhāropetvā diṭṭhiyo pavattantīti. Abhivadantīti, ‘‘idameva saccaṃ moghamañña’’nti abhinivisitvā vadanti, ‘‘ayaṃ dhammo, nāyaṃ dhammo’’tiādinā vivadanti. Abhivadanakiriyāya ajjāpi avicchedabhāvadassanatthaṃ vattamānakālavacanaṃ.
สญฺญา เอตสฺส อตฺถีติ สญฺญีติ อาห ‘‘สญฺญาสมงฺคี’’ติฯ นตฺถิ เอตสฺส โรโค ภโงฺคติ อโรโคติ อโรคสทฺทสฺส นิจฺจปริยายตา เวทิตพฺพาฯ โรครหิตตาสีเสน วา นิพฺพิการตาย นิจฺจตํ ปฎิชานาติ ทิฎฺฐิคติโกติ อาห ‘‘อโรโคติ นิโจฺจ’’ติฯ อิมินาติ, ‘‘สญฺญี อตฺตา อโรโค ปรํ มรณา’’ติ อิมินา วจเนนฯ โสฬส สญฺญีวาทาติ – รูปีจตุกฺกํ, อรูปีจตุกฺกํ, อนฺตวาจตุกฺกํ, เอกนฺตสุขีจตุกฺกนฺติ – อิเมสํ จตุนฺนํ จตุกฺกานํ วเสน โสฬส สญฺญีวาทา กถิตาฯ อิเมสุเยว ปุริมานํ ทฺวินฺนํ จตุกฺกานํ วเสน อฎฺฐ สญฺญีวาทา อฎฺฐ จ เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทา เวทิตพฺพาฯ สตฺต อุเจฺฉทวาทาติ มนุสฺสตฺตภาเว กามาวจรเทวตฺตภาเว รูปาวจรเทวตฺตภาเว จตุพฺพิธารุปฺปตฺตภาเว จวิตฺวา สตฺตสฺส อุเจฺฉทปญฺญาปนวเสน สตฺต อุเจฺฉทวาทา กถิตาฯ อสโต วินาสาสมฺภวโต อตฺถิภาวนิพนฺธโน อุเจฺฉทวาโทติ วุตฺตํ ‘‘สโตติ วิชฺชมานสฺสา’’ติฯ ยาวายํ อตฺตา น อุจฺฉิชฺชติ, ตาว วิชฺชติ เอวาติ คหณโต นิรุทยวินาโส อิธ อุเจฺฉโทติ อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘อุปเจฺฉท’’นฺติฯ วิเสเสน นาโส วินาโส, อภาโว, โส ปน มํสจกฺขุ-ปญฺญาจกฺขุ-ทสฺสนปถาติกฺกโมวาติ อาห ‘‘อทสฺสน’’นฺติฯ อทสฺสเน หิ นาส-สโทฺท โลเก นิรุโฬฺหฯ ภววิคมนฺติ สภาวาปคมนํ โย หิ นิรุทยวินาสวเสน อุจฺฉิชฺชติ, น โส อตฺตโน สภาเวเนว ติฎฺฐติฯ
Saññā etassa atthīti saññīti āha ‘‘saññāsamaṅgī’’ti. Natthi etassa rogo bhaṅgoti arogoti arogasaddassa niccapariyāyatā veditabbā. Rogarahitatāsīsena vā nibbikāratāya niccataṃ paṭijānāti diṭṭhigatikoti āha ‘‘arogoti nicco’’ti. Imināti, ‘‘saññī attā arogo paraṃ maraṇā’’ti iminā vacanena. Soḷasa saññīvādāti – rūpīcatukkaṃ, arūpīcatukkaṃ, antavācatukkaṃ, ekantasukhīcatukkanti – imesaṃ catunnaṃ catukkānaṃ vasena soḷasa saññīvādā kathitā. Imesuyeva purimānaṃ dvinnaṃ catukkānaṃ vasena aṭṭha saññīvādā aṭṭha ca nevasaññīnāsaññīvādā veditabbā. Satta ucchedavādāti manussattabhāve kāmāvacaradevattabhāve rūpāvacaradevattabhāve catubbidhāruppattabhāve cavitvā sattassa ucchedapaññāpanavasena satta ucchedavādā kathitā. Asato vināsāsambhavato atthibhāvanibandhano ucchedavādoti vuttaṃ ‘‘satoti vijjamānassā’’ti. Yāvāyaṃ attā na ucchijjati, tāva vijjati evāti gahaṇato nirudayavināso idha ucchedoti adhippetoti āha ‘‘upaccheda’’nti. Visesena nāso vināso, abhāvo, so pana maṃsacakkhu-paññācakkhu-dassanapathātikkamovāti āha ‘‘adassana’’nti. Adassane hi nāsa-saddo loke niruḷho. Bhavavigamanti sabhāvāpagamanaṃ yo hi nirudayavināsavasena ucchijjati, na so attano sabhāveneva tiṭṭhati.
ปญฺจ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทาติ ปญฺจกามคุณสุขมนุโภควเสน จตุพฺพิธรูปชฺฌานสุขปริโภควเสน จ ทิฎฺฐธเมฺม นิพฺพานปฺปตฺติปญฺญาปนวาทาฯ ทิฎฺฐธโมฺมติ ทสฺสนภูเตน ญาเณน อุปลทฺธธโมฺมฯ ตตฺถ โย อนินฺทฺริยวิสโย, โสปิ สุปากฎภาเวน อินฺทฺริยวิสโย วิย โหตีติ อาห – ‘‘ทิฎฺฐธโมฺมติ ปจฺจกฺขธโมฺม วุจฺจตี’’ติฯ เตเนว จ, ‘‘ตตฺถ ตตฺถ ปฎิลทฺธอตฺตภาวเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ วุตฺตํฯ สญฺญีติ อาทิวเสน ตีหากาเรหิ สนฺตนฺติ สญฺญี อสญฺญี เนวสญฺญีนาสญฺญีติ อิเมหิ อากาเรหิ วิชฺชมานํ, สทา อุปลพฺภมานํ สสฺสตนฺติ อโตฺถฯ สญฺญี อตฺตาติอาทีนิ ตีณิ ทสฺสนานิฯ สนฺตอตฺถวเสน เอกนฺติ สสฺสตสฺส อตฺตโน วเสน เอกํ ทสฺสนํฯ อิตรานิ เทฺวติ อุเจฺฉทวาท-ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทสญฺญิตานิ เทฺว ทสฺสนานิฯ ตีณิ หุตฺวา ปญฺจ โหนฺตีติ อิทํ, ‘‘สนฺตอตฺถวเสน เอก’’นฺติ สงฺคหวเสน วุตฺตสฺส สญฺญีติ อาทิวิภาควเสน วุตฺตตฺตา สุวิเญฺญยฺยนฺติ อฎฺฐกถายํ น อุทฺธฎํฯ
Pañca diṭṭhadhammanibbānavādāti pañcakāmaguṇasukhamanubhogavasena catubbidharūpajjhānasukhaparibhogavasena ca diṭṭhadhamme nibbānappattipaññāpanavādā. Diṭṭhadhammoti dassanabhūtena ñāṇena upaladdhadhammo. Tattha yo anindriyavisayo, sopi supākaṭabhāvena indriyavisayo viya hotīti āha – ‘‘diṭṭhadhammoti paccakkhadhammo vuccatī’’ti. Teneva ca, ‘‘tattha tattha paṭiladdhaattabhāvassetaṃ adhivacana’’nti vuttaṃ. Saññīti ādivasena tīhākārehi santanti saññī asaññī nevasaññīnāsaññīti imehi ākārehi vijjamānaṃ, sadā upalabbhamānaṃ sassatanti attho. Saññī attātiādīni tīṇi dassanāni. Santaatthavasena ekanti sassatassa attano vasena ekaṃ dassanaṃ. Itarāni dveti ucchedavāda-diṭṭhadhammanibbānavādasaññitāni dve dassanāni. Tīṇi hutvā pañca hontīti idaṃ, ‘‘santaatthavasena eka’’nti saṅgahavasena vuttassa saññīti ādivibhāgavasena vuttattā suviññeyyanti aṭṭhakathāyaṃ na uddhaṭaṃ.
๒๒. รูปีํ วาติ เอตฺถ (ที. นิ. ฎี. ๑.๗๖-๗๗) ยทิ รูปํ อสฺส อตฺถีติ รูปีติ อยมโตฺถ อธิเปฺปโตฯ เอวํ สติ รูปวินิมุเตฺตน อตฺตนา ภวิตพฺพํ สญฺญาย วิย รูปสฺสปิ อตฺตนิยตฺตาฯ น หิ สญฺญี อตฺตาติ เอตฺถ สญฺญา อตฺตาฯ ตถา หิ วุตฺตํ สุมงฺคลวิลาสินิยํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗๖-๗๗) ‘‘ตตฺถ ปวตฺตสญฺญญฺจสฺส สญฺญาติ คเหตฺวาติ วุตฺต’’นฺติฯ เอวํ สเนฺต, ‘‘กสิณรูปํ อตฺตาติ คณฺหาตี’’ติ อิทํ กถนฺติ? น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ – ‘‘รูปํ อสฺส อตฺถีติ รูปี’’ติ, อถ โข ‘‘รุปฺปนสีโล รูปี’’ติฯ รุปฺปนเญฺจตฺถ รูปสริกฺขตาย กสิณรูปสฺส วฑฺฒิตาวฑฺฒิตกาลวเสน วิเสสาปตฺติ, สา จ นตฺถีติ น สกฺกา วตฺตุํ ปริตฺตวิปุลตาทิวิเสสสพฺภาวโตฯ ยทิ เอวํ อิมสฺส วาทสฺส สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคโห น ยุชฺชตีติ? โน น ยุชฺชติ กายเภทโต อุทฺธํ อตฺตโน นิพฺพิการตาย เตน อธิเปฺปตตฺตาฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘อโรโค ปรํ มรณา’’ติฯ อถ วา ‘‘รูปํ อสฺส อตฺถีติ รูปี’’ติ วุจฺจมาเนปิ น โทโสฯ กปฺปนาสิเทฺธนปิ หิ เภเทน สามินิเทฺทสทสฺสนโต ยถา ‘‘สิลาปุตฺตกสฺส สรีร’’นฺติ ฯ รุปฺปนํ วา รุปฺปนสภาโว รูปํ, ตํ เอตสฺส อตฺถีติ รูปี, อตฺตา ‘‘รูปิโน ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๑ ทุกมาติกา) วิยฯ เอวญฺจ กตฺวา รูปสภาวตฺตา อตฺตโน ‘‘รูปํ อตฺตา’’ติ วจนํ ญายาคตเมวาติ ‘‘กสิณรูปํ อตฺตาติ คณฺหาตี’’ติ วุตฺตํฯ อรูปินฺติ เอตฺตาปิ วุตฺตนยานุสาเรน ยถารหํ อโตฺถ วตฺตโพฺพฯ สนฺตสุขุมํ มุญฺจิตฺวา ตพฺพิปรีตสฺส คหเณ การณํ นตฺถีติ ลาภี, ‘‘กสิณรูปํ อตฺตา’’ติ คณฺหาตีติ ลาภิตกฺกิโน ฐเปตฺวา, เสสตกฺกี ลาภิคฺคหเณเนว คหิตาฯ อนุสฺสุติตกฺกิโกปิ สุทฺธตกฺกิโกปิ วา นิรงฺกุสตฺตา ตกฺกนสฺส กสิณรูปมฺปิ อตฺตาติ กทาจิปิ คเณฺหยฺยาติ วุตฺตํ – ‘‘อุโภปิ รูปานิ คณฺหาติเยวา’’ติฯ สุทฺธตกฺกิกสฺส อุภยคฺคหณํ น กตํ, ตสฺมา สาสงฺกวจนํฯ
22.Rūpīṃvāti ettha (dī. ni. ṭī. 1.76-77) yadi rūpaṃ assa atthīti rūpīti ayamattho adhippeto. Evaṃ sati rūpavinimuttena attanā bhavitabbaṃ saññāya viya rūpassapi attaniyattā. Na hi saññī attāti ettha saññā attā. Tathā hi vuttaṃ sumaṅgalavilāsiniyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 1.76-77) ‘‘tattha pavattasaññañcassa saññāti gahetvāti vutta’’nti. Evaṃ sante, ‘‘kasiṇarūpaṃ attāti gaṇhātī’’ti idaṃ kathanti? Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ – ‘‘rūpaṃ assa atthīti rūpī’’ti, atha kho ‘‘ruppanasīlo rūpī’’ti. Ruppanañcettha rūpasarikkhatāya kasiṇarūpassa vaḍḍhitāvaḍḍhitakālavasena visesāpatti, sā ca natthīti na sakkā vattuṃ parittavipulatādivisesasabbhāvato. Yadi evaṃ imassa vādassa sassatadiṭṭhisaṅgaho na yujjatīti? No na yujjati kāyabhedato uddhaṃ attano nibbikāratāya tena adhippetattā. Tathā hi vuttaṃ ‘‘arogo paraṃ maraṇā’’ti. Atha vā ‘‘rūpaṃ assa atthīti rūpī’’ti vuccamānepi na doso. Kappanāsiddhenapi hi bhedena sāminiddesadassanato yathā ‘‘silāputtakassa sarīra’’nti . Ruppanaṃ vā ruppanasabhāvo rūpaṃ, taṃ etassa atthīti rūpī, attā ‘‘rūpino dhammā’’tiādīsu (dha. sa. 11 dukamātikā) viya. Evañca katvā rūpasabhāvattā attano ‘‘rūpaṃ attā’’ti vacanaṃ ñāyāgatamevāti ‘‘kasiṇarūpaṃ attāti gaṇhātī’’ti vuttaṃ. Arūpinti ettāpi vuttanayānusārena yathārahaṃ attho vattabbo. Santasukhumaṃ muñcitvā tabbiparītassa gahaṇe kāraṇaṃ natthīti lābhī, ‘‘kasiṇarūpaṃ attā’’ti gaṇhātīti lābhitakkino ṭhapetvā, sesatakkī lābhiggahaṇeneva gahitā. Anussutitakkikopi suddhatakkikopi vā niraṅkusattā takkanassa kasiṇarūpampi attāti kadācipi gaṇheyyāti vuttaṃ – ‘‘ubhopi rūpāni gaṇhātiyevā’’ti. Suddhatakkikassa ubhayaggahaṇaṃ na kataṃ, tasmā sāsaṅkavacanaṃ.
กสิณุคฺฆาฎิมากาส-ปฐมารุปฺปวิญฺญาณ-นตฺถิภาวอากิญฺจญฺญายตนานิ อรูปสมาปตฺตินิมิตฺตํฯ ฐเปตฺวา สญฺญากฺขนฺธนฺติ อิทํ สญฺญาย อตฺตนิยตํ หทเย กตฺวา วุตฺตํฯ ‘‘รูปิํ วา’’ติ เอตฺถ วุตฺตนเยน ปน อเตฺถ วุจฺจมาเน สญฺญากฺขนฺธํ พหิทฺธา อกตฺวา ‘‘อรูปธเมฺม’’อิเจฺจว วตฺตพฺพํ สิยาฯ มิสฺสกคฺคาหวเสนาติ รูปารูปสมาปตฺตีนํ นิมิตฺตานิ เอกชฺฌํ กตฺวา, ‘‘เอโก อตฺตา’’ติ, ตตฺถ ปวตฺตสญฺญญฺจสฺส, ‘‘สญฺญา’’ติ คหณวเสนฯ อยญฺหิ ทิฎฺฐิคติโก รูปารูปสมาปตฺติลาภิตาย ตํนิมิตฺตํ รูปภาเวน อรูปภาเวน จ คเหตฺวา อุปติฎฺฐติ, ตสฺมา, ‘‘รูปี อรูปี จา’’ติ อภินิเวสํ ชเนติ อชฺฌตฺตวาทิโน วิย ตกฺกมเตฺตเนว วา รูปารูปธเมฺม มิสฺสกวเสน คเหตฺวา, ‘‘รูปี จ อรูปีจ อตฺตา โหตี’’ติฯ ตกฺกคาเหเนวาติ สงฺขาราวเสสสุขุมภาวปฺปตฺตธมฺมา วิย จ อจฺจนฺตสุขุมภาวปตฺติยา สกิจฺจสาธนาสมตฺถตาย ถมฺภกุฎฺฎหตฺถปาทานํ สงฺฆาโต วิย เนว รูปี, รูปสภาวานติวตฺตนโต น อรูปีติ เอวํ ปวตฺตตกฺกคาเหนฯ ลาภิวเสนปิ วา อนฺตานนฺติกจตุตฺถวาเท วกฺขมานนเยน อญฺญมญฺญปฎิปกฺขวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เกวลํ ปน ตตฺถ เทสกาลเภทวเสน ตติยจตุตฺถวาทา อิจฺฉิตา; อิธ กาลวตฺถุ เภทวเสนาติ อยเมว วิเสโสฯ กาลเภทวเสน เจตฺถ ตติยวาทสฺส ปวตฺติ รูปารูปนิมิตฺตานํ สห อนุปฎฺฐานโต; จตุตฺถวาทสฺส ปน วตฺถุเภทวเสน ปวตฺติ รูปารูปธมฺมานํ สมูหโต, ‘‘เอโก อตฺตา’’ติ ตกฺกวเสนาติ ตตฺถ วกฺขมานนยานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ
Kasiṇugghāṭimākāsa-paṭhamāruppaviññāṇa-natthibhāvaākiñcaññāyatanāni arūpasamāpattinimittaṃ. Ṭhapetvā saññākkhandhanti idaṃ saññāya attaniyataṃ hadaye katvā vuttaṃ. ‘‘Rūpiṃ vā’’ti ettha vuttanayena pana atthe vuccamāne saññākkhandhaṃ bahiddhā akatvā ‘‘arūpadhamme’’icceva vattabbaṃ siyā. Missakaggāhavasenāti rūpārūpasamāpattīnaṃ nimittāni ekajjhaṃ katvā, ‘‘eko attā’’ti, tattha pavattasaññañcassa, ‘‘saññā’’ti gahaṇavasena. Ayañhi diṭṭhigatiko rūpārūpasamāpattilābhitāya taṃnimittaṃ rūpabhāvena arūpabhāvena ca gahetvā upatiṭṭhati, tasmā, ‘‘rūpī arūpī cā’’ti abhinivesaṃ janeti ajjhattavādino viya takkamatteneva vā rūpārūpadhamme missakavasena gahetvā, ‘‘rūpī ca arūpīca attā hotī’’ti. Takkagāhenevāti saṅkhārāvasesasukhumabhāvappattadhammā viya ca accantasukhumabhāvapattiyā sakiccasādhanāsamatthatāya thambhakuṭṭahatthapādānaṃ saṅghāto viya neva rūpī, rūpasabhāvānativattanato na arūpīti evaṃ pavattatakkagāhena. Lābhivasenapi vā antānantikacatutthavāde vakkhamānanayena aññamaññapaṭipakkhavasena attho veditabbo. Kevalaṃ pana tattha desakālabhedavasena tatiyacatutthavādā icchitā; idha kālavatthu bhedavasenāti ayameva viseso. Kālabhedavasena cettha tatiyavādassa pavatti rūpārūpanimittānaṃ saha anupaṭṭhānato; catutthavādassa pana vatthubhedavasena pavatti rūpārūpadhammānaṃ samūhato, ‘‘eko attā’’ti takkavasenāti tattha vakkhamānanayānusārena veditabbaṃ.
ยทิปิ อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน ทิฎฺฐิคติกสฺส วเสน สมาปตฺติเภเทน สญฺญานานตฺตสมฺภวโต ทุติยทิฎฺฐิปิ สมาปนฺนกวเสน ลพฺภติ; ตถาปิ สมาปตฺติยํ เอกรูเปเนว สญฺญาย อุปฎฺฐานโต, ‘‘ปฐมทิฎฺฐิ สมาปนฺนกวาเรน กถิตา’’ติ อาหฯ เตเนเวตฺถ สมาปนฺนกคฺคหณํ กตํฯ เอกสมาปตฺติลาภิโน เอว วา วเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สมาปตฺติ เภเทน สญฺญาเภทสมฺภเวปิ พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมเณ สญฺญานานเตฺตน โอฬาริเกน นานตฺตสญฺญีติ, ‘‘ทุติยทิฎฺฐิ อสมาปนฺนกวาเรนา’’ติ อาหฯ อวฑฺฒิตกสิณวเสน ปริตฺตสญฺญิตํ, วฑฺฒิตกสิณวเสน อปฺปมาณสญฺญิตํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ตติยทิฎฺฐิ สุปฺปมเตฺตน วา สราวมเตฺตน วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘องฺคุฎฺฐปฺปมาโณ วา อตฺตา ยวปฺปมาโณ, อณุมโตฺต วา อตฺตา’’ติอาทิทสฺสนวเสน (อุทา. อฎฺฐ. ๕๔; ที. นิ. ฎี. ๑.๗๖-๗๗) ปริโตฺต สญฺญีติ ปริตฺตสญฺญีฯ กปิลกณาทาทโย (วิภ. อนุฎี. ๑๘๙) วิย อตฺตโน สพฺพคตภาวปฎิชานนวเสน อปฺปมาโณ สญฺญีติ อปฺปมาณสญฺญีติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Yadipi aṭṭhasamāpattilābhino diṭṭhigatikassa vasena samāpattibhedena saññānānattasambhavato dutiyadiṭṭhipi samāpannakavasena labbhati; tathāpi samāpattiyaṃ ekarūpeneva saññāya upaṭṭhānato, ‘‘paṭhamadiṭṭhi samāpannakavārena kathitā’’ti āha. Tenevettha samāpannakaggahaṇaṃ kataṃ. Ekasamāpattilābhino eva vā vasena attho veditabbo. Samāpatti bhedena saññābhedasambhavepi bahiddhā puthuttārammaṇe saññānānattena oḷārikena nānattasaññīti, ‘‘dutiyadiṭṭhi asamāpannakavārenā’’ti āha. Avaḍḍhitakasiṇavasena parittasaññitaṃ, vaḍḍhitakasiṇavasena appamāṇasaññitaṃ dassetuṃ, ‘‘tatiyadiṭṭhi suppamattena vā sarāvamattena vā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Aṅguṭṭhappamāṇo vā attā yavappamāṇo, aṇumatto vā attā’’tiādidassanavasena (udā. aṭṭha. 54; dī. ni. ṭī. 1.76-77) paritto saññīti parittasaññī. Kapilakaṇādādayo (vibha. anuṭī. 189) viya attano sabbagatabhāvapaṭijānanavasena appamāṇo saññīti appamāṇasaññīti evampettha attho daṭṭhabbo.
เอตนฺติ, ‘‘รูปิํ วา’’ติอาทินา ยถาวุตฺตอตฺตวาทํฯ เอเกสนฺติ เอกจฺจานํฯ อุปาติวตฺตตนฺติ อติกฺกมนฺตานํฯ นิทฺธารเณ เจตํ สามิวจนํฯ วิญฺญาณกสิณเมเก อภิวทนฺตีติ โยชนาฯ เตนาห – ‘‘สญฺญํ…เป.… อภิวทนฺตี’’ติฯ ตตฺถ ‘‘สญฺญํ ฐเปตฺวา เสสานิ ตีณี’’ติ อิทํ สญฺญาย จตุกฺกมฺปิ ปริปุณฺณเมว คเหตฺวา, อปเร อฎฺฐกนฺติ วทนฺติฯ ตทุภยนฺติ ตํ สญฺญาอฎฺฐกนฺติ วุตฺตํ อุภยํฯ ปรโต อาวิ ภวิสฺสตีติ, ‘‘จตโสฺส รูปสญฺญี’’ติอาทินา อุปริ ปกาเสสฺสติฯ วกฺขติ หิ – ‘‘โกฎฺฐาสโต อฎฺฐ, อตฺถโต ปน สตฺต สญฺญา โหนฺตี’’ติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๒๒)ฯ เอตฺถาติ, ‘‘เอตํ วา ปนา’’ติ เอตสฺมิํ วาเกฺยฯ สมติกฺกมิตุํ สโกฺกนฺติ ตตฺถ อาทีนวทสฺสเนน ตทุทฺธํ อานิสํสทสฺสเนน จ พฺรูหิตสทฺธาทิ คุณตฺตา, วิปริยาเยน อสกฺกุณนํ เวทิตพฺพํฯ เย สโกฺกนฺติ, เตว คหิตา เตสํเยว วเสน วกฺขมานสฺส วิเสสสฺส วตฺตุํ สกฺกุเณยฺยตฺตาฯ สโกฺกนฺตานญฺจ เนสํ อุปาติวตฺตนํ อตฺตโน ญาณพลานุรูปนฺติ อิมมตฺถํ อุปมาย ทเสฺสตุํ, ‘‘เตสํ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อปฺปมาณนฺติ อปฺปมาณารมฺมโณ , อปฺปมาณารมฺมณตา จสฺส อาคมนวเสน เวทิตพฺพา อนนฺตารมฺมณโต วาฯ น หิ อารมฺมเณ อนนฺตนฺติ ปรมานนฺตสฺส ปมาณํ วา คณฺหาติฯ สุขทุเกฺขหิ อนิญฺชนโต รูปวิราคภาวนาวิเสสตาย จ อาเนญฺชํ ปตฺวา ติฎฺฐติ, อยํ โน อตฺตาติ อภิวทนฺตา ติฎฺฐนฺติฯ วิญฺญาณกสิณเมเกติ วิญฺญาณญฺจายตนํ เอเก ทิฎฺฐิคติกา อตฺตาติ วทนฺติฯ เตนาห – ‘‘วิญฺญาณญฺจายตนํ ตาว ทเสฺสตุ’’นฺติฯ ตสฺส ปน อารมฺมณภูตํ กสิณุคฺฆาฎิมากาเส ปวตฺตวิญฺญาณนฺติ อปเรฯ ตญฺหิ กสิณํ มนสิการวเสน, ‘‘วิญฺญาณกสิณ’’นฺติ, วิญฺญาณญฺจ ตํ อารมฺมณเฎฺฐน อายตนญฺจาติ, ‘‘วิญฺญาณญฺจายตน’’นฺติ จ วุจฺจติฯ อากิญฺจญฺญายตนเมเกติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ
Etanti, ‘‘rūpiṃ vā’’tiādinā yathāvuttaattavādaṃ. Ekesanti ekaccānaṃ. Upātivattatanti atikkamantānaṃ. Niddhāraṇe cetaṃ sāmivacanaṃ. Viññāṇakasiṇameke abhivadantīti yojanā. Tenāha – ‘‘saññaṃ…pe… abhivadantī’’ti. Tattha ‘‘saññaṃ ṭhapetvā sesāni tīṇī’’ti idaṃ saññāya catukkampi paripuṇṇameva gahetvā, apare aṭṭhakanti vadanti. Tadubhayanti taṃ saññāaṭṭhakanti vuttaṃ ubhayaṃ. Parato āvi bhavissatīti, ‘‘catasso rūpasaññī’’tiādinā upari pakāsessati. Vakkhati hi – ‘‘koṭṭhāsato aṭṭha, atthato pana satta saññā hontī’’ti (ma. ni. aṭṭha. 3.22). Etthāti, ‘‘etaṃ vā panā’’ti etasmiṃ vākye. Samatikkamituṃ sakkonti tattha ādīnavadassanena taduddhaṃ ānisaṃsadassanena ca brūhitasaddhādi guṇattā, vipariyāyena asakkuṇanaṃ veditabbaṃ. Ye sakkonti, teva gahitā tesaṃyeva vasena vakkhamānassa visesassa vattuṃ sakkuṇeyyattā. Sakkontānañca nesaṃ upātivattanaṃ attano ñāṇabalānurūpanti imamatthaṃ upamāya dassetuṃ, ‘‘tesaṃ panā’’tiādi vuttaṃ. Tattha appamāṇanti appamāṇārammaṇo , appamāṇārammaṇatā cassa āgamanavasena veditabbā anantārammaṇato vā. Na hi ārammaṇe anantanti paramānantassa pamāṇaṃ vā gaṇhāti. Sukhadukkhehi aniñjanato rūpavirāgabhāvanāvisesatāya ca āneñjaṃ patvā tiṭṭhati, ayaṃ no attāti abhivadantā tiṭṭhanti. Viññāṇakasiṇameketi viññāṇañcāyatanaṃ eke diṭṭhigatikā attāti vadanti. Tenāha – ‘‘viññāṇañcāyatanaṃ tāva dassetu’’nti. Tassa pana ārammaṇabhūtaṃ kasiṇugghāṭimākāse pavattaviññāṇanti apare. Tañhi kasiṇaṃ manasikāravasena, ‘‘viññāṇakasiṇa’’nti, viññāṇañca taṃ ārammaṇaṭṭhena āyatanañcāti, ‘‘viññāṇañcāyatana’’nti ca vuccati. Ākiñcaññāyatanameketi etthāpi eseva nayo.
ตยิทนฺติ ย-กาโร ปทสนฺธิกโรติ อาห ‘‘ตํ อิท’’นฺติฯ ทิฎฺฐิคตนฺติ ยถา วุตฺตํ ‘‘สญฺญี อตฺตา’’ติ เอวํ วุตฺตํ ทิฎฺฐิํฯ ทิฎฺฐิเยว หิ ทิฎฺฐิคตํ ‘‘มุตฺตคตํ (ม. นิ. ๒.๑๑๙; อ. นิ. ๙.๑๑), สงฺขารคต’’นฺติอาทีสุ (มหานิ. ๔๑) วิยฯ คนฺตพฺพาภาวโต วา ทิฎฺฐิยา คตมตฺตํ ทิฎฺฐิคตํ, ทิฎฺฐิยา คหณมตฺตนฺติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐิปกาโร วา ทิฎฺฐิคตํฯ โลกิยา หิ วิธยุตฺตคตปการสเทฺท สมานเตฺถ อิจฺฉนฺติฯ ทิฎฺฐิปจฺจโย ทิฎฺฐิการณํ, อวิชฺชาทิ ทิฎฺฐิฎฺฐานนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ อวิชฺชาปิ หิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ อุปนิสฺสยาทิภาวโตฯ ยถาห – ‘‘อสฺสุตวา, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน อริยานํ อทสฺสาวี อริยธมฺมสฺส อโกวิโท’’ติอาทิ (ธ. ส. ๑๐๐๗)ฯ ผโสฺสปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ ยถาห ‘‘ตทปิ ผสฺสปจฺจยา’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๑๘-๑๒๔)ฯ สญฺญาปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ ยถาห ‘‘สญฺญานิทานา หิ ปปญฺจสงฺขา’’ติ (สุ. นิ. ๘๘๐; มหานิ. ๑๐๙)ฯ วิตโกฺกปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ ยถาห – ‘‘ตกฺกญฺจ ทิฎฺฐีสุ ปกปฺปยิตฺวา, สจฺจํ มุสาติ ทฺวยธมฺมมาหู’’ติ (สุ. นิ. ๘๙๒; มหานิ. ๑๒๑)ฯ อโยนิโสมนสิกาโรปิ ทิฎฺฐิฎฺฐานํฯ ยถาห – ‘‘ตเสฺสวํ มนสิกโรโต ฉนฺนํ ทิฎฺฐีนํ อญฺญตรา ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชติ, อตฺถิ เม อตฺตาติ ตสฺส สจฺจโต เถตโต ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๙)ฯ ทิฎฺฐารมฺมณนฺติ ทิฎฺฐิอารมฺมณภูตํ อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกํฯ เตนาห – ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทิ (ปฎิ. ม. ๑.๑๓๐)ฯ รูปเวทนาทิวินิมุตฺตสฺส ทิฎฺฐิยา อารมฺมณสฺส อภาวโต อนาทิยิตฺวา อิทเมว ทเสฺสติ – ‘‘อิมินา ปจฺจเยน อิทํ นาม ทสฺสนํ คหิต’’นฺติฯ อิมินา ปจฺจเยนาติ วา เอตฺถ ปจฺจยคฺคหเณน อารมฺมณมฺปิ คหิตเมวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tayidanti ya-kāro padasandhikaroti āha ‘‘taṃ ida’’nti. Diṭṭhigatanti yathā vuttaṃ ‘‘saññī attā’’ti evaṃ vuttaṃ diṭṭhiṃ. Diṭṭhiyeva hi diṭṭhigataṃ ‘‘muttagataṃ (ma. ni. 2.119; a. ni. 9.11), saṅkhāragata’’ntiādīsu (mahāni. 41) viya. Gantabbābhāvato vā diṭṭhiyā gatamattaṃ diṭṭhigataṃ, diṭṭhiyā gahaṇamattanti attho. Diṭṭhipakāro vā diṭṭhigataṃ. Lokiyā hi vidhayuttagatapakārasadde samānatthe icchanti. Diṭṭhipaccayo diṭṭhikāraṇaṃ, avijjādi diṭṭhiṭṭhānanti attho. Tattha avijjāpi hi diṭṭhiṭṭhānaṃ upanissayādibhāvato. Yathāha – ‘‘assutavā, bhikkhave, puthujjano ariyānaṃ adassāvī ariyadhammassa akovido’’tiādi (dha. sa. 1007). Phassopi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Yathāha ‘‘tadapi phassapaccayā’’ti (dī. ni. 1.118-124). Saññāpi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Yathāha ‘‘saññānidānā hi papañcasaṅkhā’’ti (su. ni. 880; mahāni. 109). Vitakkopi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Yathāha – ‘‘takkañca diṭṭhīsu pakappayitvā, saccaṃ musāti dvayadhammamāhū’’ti (su. ni. 892; mahāni. 121). Ayonisomanasikāropi diṭṭhiṭṭhānaṃ. Yathāha – ‘‘tassevaṃ manasikaroto channaṃ diṭṭhīnaṃ aññatarā diṭṭhi uppajjati, atthi me attāti tassa saccato thetato diṭṭhi uppajjatī’’ti (ma. ni. 1.19). Diṭṭhārammaṇanti diṭṭhiārammaṇabhūtaṃ upādānakkhandhapañcakaṃ. Tenāha – ‘‘rūpaṃ attato samanupassatī’’tiādi (paṭi. ma. 1.130). Rūpavedanādivinimuttassa diṭṭhiyā ārammaṇassa abhāvato anādiyitvā idameva dasseti – ‘‘iminā paccayena idaṃ nāma dassanaṃ gahita’’nti. Iminā paccayenāti vā ettha paccayaggahaṇena ārammaṇampi gahitamevāti daṭṭhabbaṃ.
ตเทวาติ ทิฎฺฐิคตเญฺจว ทิฎฺฐิปจฺจยญฺจฯ รูปสญฺญานนฺติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถฯ เอวํ-สโทฺท ปการโตฺถ, ‘‘ยทิ รูปสญฺญาน’’นฺติอาทินา ปกาเรน วุตฺตสญฺญานนฺติ อโตฺถฯ นิรุปกฺกิเลสา นีวรณาทิ อุปกฺกิเลสวิมุตฺติโตฯ อุตฺตมา ปณีตภาวปฺปตฺติโต, ตโต เอว เสฎฺฐา, เสฎฺฐตฺตา เอว อุตฺตริตราภาวโต อนุตฺตริยาฯ อกฺขายตีติ อุปฎฺฐาติฯ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญาย วิสุํ วุจฺจมานตฺตา จตุตฺถารุปฺปสญฺญาย จ อิมสฺมิํ สญฺญีวาเท อโนตรณโต, ‘‘ยทิ อารุปฺปสญฺญานนฺติ อิมินา อากาสานญฺจายตน-วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญา’’อิเจฺจว วุตฺตํฯ อิตเรหิ ปน ทฺวีหีติ, ‘‘ยทิ เอกตฺตสญฺญานํ, ยทิ นานตฺตสญฺญาน’’นฺติ อิเมหิ ทฺวีหิ ปเทหิฯ สมาปนฺนกวาโร จ ตถา อิธ กถิโตติ อธิปฺปาโยฯ โกฎฺฐาสโต อฎฺฐ สญฺญา จตุกฺกทฺวยสงฺคหโตฯ เอกตฺตสญฺญีปทํ ฐเปตฺวา อตฺถโต ปน สตฺต สญฺญา โหนฺติ อคฺคหิตคฺคหเณนาติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห – ‘‘สมาปนฺนก…เป.… สงฺคหิโตเยวา’’ติฯ
Tadevāti diṭṭhigatañceva diṭṭhipaccayañca. Rūpasaññānanti ettha iti-saddo ādiattho. Evaṃ-saddo pakārattho, ‘‘yadi rūpasaññāna’’ntiādinā pakārena vuttasaññānanti attho. Nirupakkilesā nīvaraṇādi upakkilesavimuttito. Uttamā paṇītabhāvappattito, tato eva seṭṭhā, seṭṭhattā eva uttaritarābhāvato anuttariyā. Akkhāyatīti upaṭṭhāti. Ākiñcaññāyatanasaññāya visuṃ vuccamānattā catutthāruppasaññāya ca imasmiṃ saññīvāde anotaraṇato, ‘‘yadi āruppasaññānanti iminā ākāsānañcāyatana-viññāṇañcāyatanasaññā’’icceva vuttaṃ. Itarehi pana dvīhīti, ‘‘yadi ekattasaññānaṃ, yadi nānattasaññāna’’nti imehi dvīhi padehi. Samāpannakavāro ca tathā idha kathitoti adhippāyo. Koṭṭhāsato aṭṭha saññā catukkadvayasaṅgahato. Ekattasaññīpadaṃ ṭhapetvā atthato pana satta saññā honti aggahitaggahaṇenāti adhippāyo. Tenāha – ‘‘samāpannaka…pe… saṅgahitoyevā’’ti.
สญฺญาคตนฺติ สญฺญาวเสน คตํ, สญฺญาสงฺคหํ คตํ วาฯ ตสฺส ปน อทิฎฺฐิคตสฺสปิ อุปลพฺภมานตฺตา, ‘‘สทฺธิํ ทิฎฺฐิคเตนา’’ติ วุตฺตํฯ ปจฺจเยหิ สมาคนฺตฺวา กตนฺติ สห การณภูเตหิ ปจฺจเยหิ เตเนว สห การณภาเวน สมาคนฺตฺวา นิพฺพตฺติตํ; ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนนฺติ อโตฺถฯ สงฺขตตฺตา โอฬาริกํ อุปฺปาทวยญฺญถตฺตสพฺภาวโตฯ ยสฺส หิ อุปฺปาโท ปญฺญายติ, วโย ปญฺญายติ, ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ, ตํ ขเณ ขเณ ภิชฺชนสภาวโต ปสฺสนฺตสฺส ปากฎภูตวิการํ โอฬาริกํ สิยาฯ น เจตฺถ มคฺคผลธมฺมา นิทเสฺสตพฺพา เตสํ ตถา อนนุปสฺสิตพฺพโต; เตสมฺปิ สงฺขตภาเวน อิตเรหิ สมานโยคกฺขมตาย ทุนฺนิวารยภาวโตฯ ตถา หิ ‘‘อเสสวิราคนิโรธา’’ติ (อุทา. ๓) วจนโต มคฺคสฺสปิ นิสฺสรณภาเวน ‘‘อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ’’ติ นิพฺพานเมเวตฺถ ปฎิโยคภาเวน อุทฺธฎํ ‘‘นิรุชฺฌนฺติ เอตฺถา’’ติ กตฺวาฯ นิโรธสงฺขาตํ นิพฺพานํ นาม อตฺถีติ เอตฺถ, – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อชาตํ อภูตํ อสงฺขต’’นฺติ สุตฺตปทํ (อุทา. ๗๓) อาเนตฺวา วตฺตพฺพํฯ นิพฺพานทสฺสีติ สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน นิพฺพานทสฺสี, ตโต เอว อิตราภิสมยตฺถสิทฺธิยา ตํ สงฺขตํ อติกฺกโนฺตฯ
Saññāgatanti saññāvasena gataṃ, saññāsaṅgahaṃ gataṃ vā. Tassa pana adiṭṭhigatassapi upalabbhamānattā, ‘‘saddhiṃ diṭṭhigatenā’’ti vuttaṃ. Paccayehi samāgantvā katanti saha kāraṇabhūtehi paccayehi teneva saha kāraṇabhāvena samāgantvā nibbattitaṃ; paṭiccasamuppannanti attho. Saṅkhatattā oḷārikaṃ uppādavayaññathattasabbhāvato. Yassa hi uppādo paññāyati, vayo paññāyati, ṭhitassa aññathattaṃ paññāyati, taṃ khaṇe khaṇe bhijjanasabhāvato passantassa pākaṭabhūtavikāraṃ oḷārikaṃ siyā. Na cettha maggaphaladhammā nidassetabbā tesaṃ tathā ananupassitabbato; tesampi saṅkhatabhāvena itarehi samānayogakkhamatāya dunnivārayabhāvato. Tathā hi ‘‘asesavirāganirodhā’’ti (udā. 3) vacanato maggassapi nissaraṇabhāvena ‘‘atthi kho pana saṅkhārānaṃ nirodho’’ti nibbānamevettha paṭiyogabhāvena uddhaṭaṃ ‘‘nirujjhanti etthā’’ti katvā. Nirodhasaṅkhātaṃ nibbānaṃ nāma atthīti ettha, – ‘‘atthi, bhikkhave, ajātaṃ abhūtaṃ asaṅkhata’’nti suttapadaṃ (udā. 73) ānetvā vattabbaṃ. Nibbānadassīti sacchikiriyābhisamayavasena nibbānadassī, tato eva itarābhisamayatthasiddhiyā taṃ saṅkhataṃ atikkanto.
๒๓. อฎฺฐสุ อสญฺญีวาเทสูติ อิทํ พฺรหฺมชาเล (ที. นิ. ๑.๗๘-๘๐) อาคตนเยน วุตฺตเมว หิ สนฺธาย เหฎฺฐา, ‘‘สญฺญีติ อิมินา อฎฺฐ อสญฺญีวาทา กถิตา’’ติ วุตฺตํฯ อิธ ปน จตฺตาโร วาทา เอว อุทฺธฎาฯ เตนาห ‘‘อสญฺญี’’ติอาทิฯ เอส นโย ปรโต ‘‘อฎฺฐสุ เนวสญฺญีนาสญฺญีวาเทสู’’ติ เอตฺถาปิฯ สญฺญาย สติ ตาย เวทนาคาหสพฺภาวโต ‘‘อาพาธนเฎฺฐน สญฺญา โรโค’’ติ วุตฺตํฯ ทุกฺขตาสูลโยคโต กิเลสาสุจิปคฺฆรณโต อุปฺปาทชราภเงฺคหิ อุทฺธุมาตปกฺกปภิชฺชนโต จ สญฺญา คโณฺฑ; สฺวายมโตฺถ โทสทุฎฺฐตาย เอว โหตีติ อาห – ‘‘สโทสเฎฺฐน คโณฺฑ’’ติฯ ปีฬาชนนโต อโนฺตตุทนโต ทุรุทฺธรณโต จ สญฺญา สลฺลํ; สฺวายมโตฺถ อตฺตภาวํ อนุปวิสิตฺวา อวฎฺฐาเนนาติ อาห ‘‘อนุปวิฎฺฐเฎฺฐน สลฺล’’นฺติฯ ปฎิสนฺธิคฺคหเณ วิญฺญาณํ กุโตจิ อาคตํ วิย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ปฎิสนฺธิวเสน อาคติ’’นฺติฯ คตินฺติ ปวตฺติํฯ สา ปน ตาสุ ตาสุ คตีสุ วุตฺติ โหตีติ วุตฺตํ – ‘‘จุติวเสน คติ’’นฺติ; วฑฺฒนวเสน ฆนปพนฺธวเสนาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘อปราปร’’นฺติฯ อปราปรญฺหิ ปพนฺธวเสน ปวตฺตมานํ วิญฺญาณํ นนฺทูปเสจนํ; อิตรํ ขนฺธตฺตยํ วา นิสฺสาย อภิวุทฺธิํ ปติฎฺฐํ มหนฺตญฺจ ปาปุณาตีติฯ ปวฑฺฒวเสน วา คติํ, นิเกฺขปวเสน จุติํ, ตโต อปราปรญฺจ รูปปวตฺตนวเสน อุปปตฺติํ, อินฺทฺริยปริปากวเสน วุฑฺฒิํ ตสฺส ตสฺส กมฺมสฺส กตูปจิตภาเวน วิรุฬฺหิํ; ตสฺส กมฺมสฺส ผลนิพฺพตฺติยา เวปุลฺลนฺติ โยเชตพฺพํฯ
23.Aṭṭhasu asaññīvādesūti idaṃ brahmajāle (dī. ni. 1.78-80) āgatanayena vuttameva hi sandhāya heṭṭhā, ‘‘saññīti iminā aṭṭha asaññīvādā kathitā’’ti vuttaṃ. Idha pana cattāro vādā eva uddhaṭā. Tenāha ‘‘asaññī’’tiādi. Esa nayo parato ‘‘aṭṭhasu nevasaññīnāsaññīvādesū’’ti etthāpi. Saññāya sati tāya vedanāgāhasabbhāvato ‘‘ābādhanaṭṭhena saññā rogo’’ti vuttaṃ. Dukkhatāsūlayogato kilesāsucipaggharaṇato uppādajarābhaṅgehi uddhumātapakkapabhijjanato ca saññā gaṇḍo; svāyamattho dosaduṭṭhatāya eva hotīti āha – ‘‘sadosaṭṭhena gaṇḍo’’ti. Pīḷājananato antotudanato duruddharaṇato ca saññā sallaṃ; svāyamattho attabhāvaṃ anupavisitvā avaṭṭhānenāti āha ‘‘anupaviṭṭhaṭṭhena salla’’nti. Paṭisandhiggahaṇe viññāṇaṃ kutoci āgataṃ viya hotīti vuttaṃ ‘‘paṭisandhivasena āgati’’nti. Gatinti pavattiṃ. Sā pana tāsu tāsu gatīsu vutti hotīti vuttaṃ – ‘‘cutivasena gati’’nti; vaḍḍhanavasena ghanapabandhavasenāti attho. Tenāha ‘‘aparāpara’’nti. Aparāparañhi pabandhavasena pavattamānaṃ viññāṇaṃ nandūpasecanaṃ; itaraṃ khandhattayaṃ vā nissāya abhivuddhiṃ patiṭṭhaṃ mahantañca pāpuṇātīti. Pavaḍḍhavasena vā gatiṃ, nikkhepavasena cutiṃ, tato aparāparañca rūpapavattanavasena upapattiṃ, indriyaparipākavasena vuḍḍhiṃ tassa tassa kammassa katūpacitabhāvena viruḷhiṃ; tassa kammassa phalanibbattiyā vepullanti yojetabbaṃ.
กามญฺจาติอาทินา ‘‘อญฺญตฺร รูปา’’ติอาทิกา โจทนา ลกฺขณวเสน วุตฺตาติ ทเสฺสตฺวา อยญฺจ นโย โจทนาย อวิสิฎฺฐวิสยตาย สิยา; วิสิฎฺฐวิสยา ปนายํ โจทนาติ ทเสฺสตุํ, ‘‘อยํ ปน ปโญฺห’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอตฺตเก ขเนฺธติ ยถาวุเตฺต รูปเวทนาทิเก จตฺตาโร ขเนฺธฯ อญฺญตฺร รูปาติ อิมินา ยตฺถ กตฺถจิ รูเปน วินา วิญฺญาณสฺส ปวตฺติ นตฺถีติ ทีปิตํ โหติฯ ภววิเสสโจทนาย สภาวโต เอว วิญฺญาเณน วินา รูปสฺสปิ ปวตฺติ นตฺถีติ ทีปิตํ โหตีติ อาห – ‘‘อรูปภเวปิ รูปํ, อสญฺญาภเว จ วิญฺญาณํ อตฺถี’’ติฯ นิโรธสมาปนฺนสฺสาติ สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปนฺนสฺสปิ วิญฺญาณํ อตฺถิฯ พฺยญฺชนจฺฉายาย เจ อตฺถํ ปฎิพาหสีติ ยทิ สทฺทตฺถเมว คเหตฺวา อธิปฺปายํ น คณฺหสิ เนยฺยตฺถํ สุตฺตนฺติฯ เอตฺถ จ อสญฺญภเว นิพฺพตฺตสตฺตวเสน ปฐมวาโท; สญฺญํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ เอตฺถ วุตฺตนเยน สญฺญํเยว อตฺตาติ คเหตฺวา ตสฺส กิญฺจนภาเวน ฐิตาย อญฺญาย สญฺญาย อภาวโต อสญฺญีติ ปวโตฺต ทุติยวาโท; ตถา สญฺญาย สห รูปธเมฺม สเพฺพ เอว วา รูปารูปธเมฺม อตฺตาติ คเหตฺวา ปวโตฺต ตติยวาโท; ตกฺกคฺคาหวเสเนว ปวโตฺต จตุตฺถวาโทฯ เตสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เนวสญฺญีนาสญฺญีวาเทปิ อสญฺญภเว นิพฺพตฺตสฺส สตฺตสฺส จุติปฎิสนฺธีสุ; สพฺพตฺถ วา ปฎุสญฺญากิจฺจํ กาตุํ อสมตฺถาย สุขุมาย สญฺญาย อตฺถิภาวปฎิชานนวเสน ปฐมวาโท; อสญฺญีวาเท วุตฺตนเยน สุขุมาย สญฺญาย วเสน สญฺชานนสภาวตาปฎิชานนวเสน จ ทุติยวาทาทโย ปวตฺตาติฯ เอวเมตฺถ เอเตสํ วาทานํ สพฺภาโว เวทิตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Kāmañcātiādinā ‘‘aññatra rūpā’’tiādikā codanā lakkhaṇavasena vuttāti dassetvā ayañca nayo codanāya avisiṭṭhavisayatāya siyā; visiṭṭhavisayā panāyaṃ codanāti dassetuṃ, ‘‘ayaṃ pana pañho’’tiādi vuttaṃ. Ettake khandheti yathāvutte rūpavedanādike cattāro khandhe. Aññatra rūpāti iminā yattha katthaci rūpena vinā viññāṇassa pavatti natthīti dīpitaṃ hoti. Bhavavisesacodanāya sabhāvato eva viññāṇena vinā rūpassapi pavatti natthīti dīpitaṃ hotīti āha – ‘‘arūpabhavepi rūpaṃ, asaññābhave ca viññāṇaṃ atthī’’ti. Nirodhasamāpannassāti saññāvedayitanirodhaṃ samāpannassapi viññāṇaṃ atthi. Byañjanacchāyāya ce atthaṃ paṭibāhasīti yadi saddatthameva gahetvā adhippāyaṃ na gaṇhasi neyyatthaṃ suttanti. Ettha ca asaññabhave nibbattasattavasena paṭhamavādo; saññaṃ attato samanupassatīti ettha vuttanayena saññaṃyeva attāti gahetvā tassa kiñcanabhāvena ṭhitāya aññāya saññāya abhāvato asaññīti pavatto dutiyavādo; tathā saññāya saha rūpadhamme sabbe eva vā rūpārūpadhamme attāti gahetvā pavatto tatiyavādo; takkaggāhavaseneva pavatto catutthavādo. Tesu yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ. Nevasaññīnāsaññīvādepi asaññabhave nibbattassa sattassa cutipaṭisandhīsu; sabbattha vā paṭusaññākiccaṃ kātuṃ asamatthāya sukhumāya saññāya atthibhāvapaṭijānanavasena paṭhamavādo; asaññīvāde vuttanayena sukhumāya saññāya vasena sañjānanasabhāvatāpaṭijānanavasena ca dutiyavādādayo pavattāti. Evamettha etesaṃ vādānaṃ sabbhāvo veditabbo. Sesaṃ vuttanayameva.
๒๔. ยตฺถ น สญฺญา, ตตฺถ ญาณสฺส สมฺภโว เอว นตฺถีติ อาห – ‘‘อสญฺญา สโมฺมโห’’ติ, อสญฺญภาโว นาม สโมฺมหปฺปวตฺตีติ อโตฺถฯ ยถา นิยฺยนฺตีติ นิยฺยานิยาติ พหุลํ วจนโต กตฺตุสาธโน นิยฺยานิยสโทฺท, เอวํ อิธ วิญฺญาตพฺพสโทฺทติ อาห – ‘‘วิชานาตีติ วิญฺญาตพฺพ’’นฺติ, วิชานนํ วิญฺญาณนฺติ อโตฺถฯ เตน ทิฎฺฐสุตมุตวิญฺญาตพฺพมเตฺตนาติ ทิฎฺฐสุตมุตวิญฺญาณปฺปมาเณนาติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เตนาห – ‘‘ปญฺจทฺวาริกสญฺญาปวตฺติมเตฺตนา’’ติ, นิพฺพิกปฺปภาวโต ปญฺจทฺวาริกสญฺญาปวตฺติสเมน ภาวนาภินีหาเรนาติ อโตฺถฯ โอฬาริกสงฺขารปฺปวตฺติมเตฺตนาติ โอฬาริกานํ สงฺขารานํ ปวตฺติยาฯ โอฬาริกสงฺขาราติ เจตฺถ อากิญฺจญฺญายตนปริโยสานา สมาปตฺติธมฺมา อธิเปฺปตาฯ อุปสมฺปทนฺติ เย สญฺญาย, อสญฺญิภาเว จ โทสํ ทิสฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ วเณฺณนฺตาปิ รูปชฺฌานปฎิลาภมเตฺตน ตสฺส สมฺปาทนํ ปฎิลาภํ อธิคมํ ปญฺญเปนฺติ, เตสํ ตสฺส พฺยสนํ อกฺขายติ อนุปายภาวโตฯ เตนาห ‘‘วินาโส’’ติอาทิฯ วุฎฺฐานนฺติ สทิสสมาปชฺชนปุพฺพกํ ปริวุฎฺฐานํฯ สมาปตฺติ เอว เตสํ นตฺถิ อนธิคตตฺตาฯ โอฬาริกสงฺขารปฺปวตฺติยา อนฺตมโส อากิญฺจญฺญายตนสงฺขารปฺปวตฺติยาปิ ปตฺตพฺพนฺติ น อกฺขายติ เตปิ สมติกฺกมิตฺวา ปตฺตพฺพโตฯ สงฺขารานนฺติ นิทฺธารเณ สามิวจนํฯ อวเสสาติ อิโต ปรํ สุขุมภาโว นาม นตฺถีติ สุขุมภาวาปตฺติยา อวเสสาฯ เตนาห – ‘‘ภาวนาวเสน สพฺพสุขุมภาวํ ปตฺตา สงฺขารา’’ติฯ เอตนฺติ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ, ปตฺตพฺพํ นาม โหติ ตาทิสสงฺขารปฺปตฺติยํ ตโพฺพหารโตฯ สงฺขตํ สเมจฺจ สมฺภุยฺย ปจฺจเยหิ กตตฺตาฯ
24. Yattha na saññā, tattha ñāṇassa sambhavo eva natthīti āha – ‘‘asaññā sammoho’’ti, asaññabhāvo nāma sammohappavattīti attho. Yathā niyyantīti niyyāniyāti bahulaṃ vacanato kattusādhano niyyāniyasaddo, evaṃ idha viññātabbasaddoti āha – ‘‘vijānātītiviññātabba’’nti, vijānanaṃ viññāṇanti attho. Tena diṭṭhasutamutaviññātabbamattenāti diṭṭhasutamutaviññāṇappamāṇenāti attho daṭṭhabbo. Tenāha – ‘‘pañcadvārikasaññāpavattimattenā’’ti, nibbikappabhāvato pañcadvārikasaññāpavattisamena bhāvanābhinīhārenāti attho. Oḷārikasaṅkhārappavattimattenāti oḷārikānaṃ saṅkhārānaṃ pavattiyā. Oḷārikasaṅkhārāti cettha ākiñcaññāyatanapariyosānā samāpattidhammā adhippetā. Upasampadanti ye saññāya, asaññibhāve ca dosaṃ disvā nevasaññānāsaññāyatanaṃ vaṇṇentāpi rūpajjhānapaṭilābhamattena tassa sampādanaṃ paṭilābhaṃ adhigamaṃ paññapenti, tesaṃ tassa byasanaṃ akkhāyati anupāyabhāvato. Tenāha ‘‘vināso’’tiādi. Vuṭṭhānanti sadisasamāpajjanapubbakaṃ parivuṭṭhānaṃ. Samāpatti eva tesaṃ natthi anadhigatattā. Oḷārikasaṅkhārappavattiyā antamaso ākiñcaññāyatanasaṅkhārappavattiyāpi pattabbanti na akkhāyati tepi samatikkamitvā pattabbato. Saṅkhārānanti niddhāraṇe sāmivacanaṃ. Avasesāti ito paraṃ sukhumabhāvo nāma natthīti sukhumabhāvāpattiyā avasesā. Tenāha – ‘‘bhāvanāvasena sabbasukhumabhāvaṃ pattā saṅkhārā’’ti. Etanti nevasaññānāsaññāyatanaṃ, pattabbaṃ nāma hoti tādisasaṅkhārappattiyaṃ tabbohārato. Saṅkhataṃ samecca sambhuyya paccayehi katattā.
๒๕. ‘‘เย เต สมณพฺราหฺมณา สโต สตฺตสฺส อุเจฺฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๕) วกฺขมานตฺตา สพุทฺธิยํ วิปริวตฺตมาเน เอกชฺฌํ คเหตฺวา, ‘‘ตตฺรา’’ติ ภควตา วุตฺตนฺติ อาห – ‘‘ตตฺราติ สตฺตสุ อุเจฺฉทวาเทสุ ภุมฺม’’นฺติฯ อุทฺธํ สรนฺติ อุทฺธํ คตํ สรนฺตาติ ตํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อุทฺธํ วุจฺจตี’’ติอาทิฯ สรนฺตาติ ยตฺถ ปเตฺถนฺติ น ลภนฺติ, ตํ ชานนฺตาฯ อาสตฺตินฺติ อาสีสนํฯ เปจฺจาติ ปรโลเกฯ วาณิชูปมา วิยาติ ภวปริยาปนฺนผลวิเสสาเปกฺขาย ปฎิปชฺชนโตฯ สกฺกายสฺส ภยาติ สโนฺต กาโยติ สกฺกาโย, ปรมตฺถโต วิชฺชมาโน ธมฺมสมูโหติ กตฺวา อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกํ, ตโต ภายเนนฯ มา ขียิ มา ปริกฺขยํ อคมาสิฯ มา โอสีทิ มา เหฎฺฐา ภสฺสิฯ อพฺภนฺติ อากาสํ มา อุนฺทฺริยิ มา ภิชฺชิตฺวา ปติฯ คทฺทุเลน พโทฺธ คทฺทุลพโทฺธฯ ทฬฺหถโมฺภ วิย ขีโล วิย จ สกฺกาโย ทุโมฺมจนียโตฯ สา วิย ทิฎฺฐิคติโก ตสฺส อนุปริวตฺตนโตฯ ทณฺฑโก วิย ทิฎฺฐิ เฉทนกรณาย อสมตฺถภาวกรณโตฯ รชฺชุ วิย ตณฺหา พนฺธนโต จ, อารมฺมณกรณวเสน สมนฺนาคมนวเสน จ สมฺพทฺธภาวโตฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ทิฎฺฐิทณฺฑเก ปเวสิตาย ตณฺหารชฺชุยา’’ติฯ
25. ‘‘Ye te samaṇabrāhmaṇā sato sattassa ucchedaṃ vināsaṃ vibhavaṃ paññapentī’’ti (ma. ni. 3.25) vakkhamānattā sabuddhiyaṃ viparivattamāne ekajjhaṃ gahetvā, ‘‘tatrā’’ti bhagavatā vuttanti āha – ‘‘tatrāti sattasu ucchedavādesu bhumma’’nti. Uddhaṃ saranti uddhaṃ gataṃ sarantāti taṃ dassento āha ‘‘uddhaṃ vuccatī’’tiādi. Sarantāti yattha patthenti na labhanti, taṃ jānantā. Āsattinti āsīsanaṃ. Peccāti paraloke. Vāṇijūpamā viyāti bhavapariyāpannaphalavisesāpekkhāya paṭipajjanato. Sakkāyassa bhayāti santo kāyoti sakkāyo, paramatthato vijjamāno dhammasamūhoti katvā upādānakkhandhapañcakaṃ, tato bhāyanena. Mā khīyi mā parikkhayaṃ agamāsi. Mā osīdi mā heṭṭhā bhassi. Abbhanti ākāsaṃ mā undriyi mā bhijjitvā pati. Gaddulena baddho gaddulabaddho. Daḷhathambho viya khīlo viya ca sakkāyo dummocanīyato. Sā viya diṭṭhigatiko tassa anuparivattanato. Daṇḍako viya diṭṭhi chedanakaraṇāya asamatthabhāvakaraṇato. Rajju viya taṇhā bandhanato ca, ārammaṇakaraṇavasena samannāgamanavasena ca sambaddhabhāvato. Tena vuttaṃ – ‘‘diṭṭhidaṇḍake pavesitāya taṇhārajjuyā’’ti.
๒๖. ภควา อตฺตโน เทสนาวิลาเสน เวเนยฺยชฺฌาสยวเสน (จตุจตฺตารีส อปรนฺตกปฺปิกวาทา ตตฺถ ตตฺถ อโนฺตคธาติ) อุเทฺทสวเสน ปเญฺจว สงฺคเหตฺวา ยถุเทฺทสํ นิคเมโนฺต, ‘‘อิมาเนว ปญฺจายตนานี’’ติ อาหฯ ตตฺถ ทุกฺขสฺส นิมิตฺตภาวโต ทิฎฺฐิคตานํ การณเฎฺฐน อายตนโตฺถติ วุตฺตํ – ‘‘อิมาเนว ปญฺจ การณานี’’ติฯ สญฺญีอาทิวเสน ตีณิ อุเจฺฉทวาโทติ จตฺตาริ ภาชิตานิฯ อิตรํ ปน ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ กุหิํ ปวิฎฺฐํ? สรูปโต อภาชิตตฺตา ยถาภาชิเตสุ วาเทสุ กตฺถ อโนฺตคธนฺติ ปุจฺฉติฯ อุเทฺทเส ปน สรูปโต คหิตเมว, ‘‘ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา ปเนเก อภิวทนฺตี’’ติฯ อิตโร เอกตฺตสญฺญีวาเท นานตฺตสญฺญีวาเท อโนฺตคธนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอกตฺต…เป.… เวทิตพฺพ’’นฺติ อาห ยถาสุขเญฺจตํ วุตฺตํฯ ปฐโม หิ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาโท นานตฺตสญฺญีวาเท อโนฺตคโธ, อิตเร จตฺตาโร เอกตฺตสญฺญีวาเทฯ
26. Bhagavā attano desanāvilāsena veneyyajjhāsayavasena (catucattārīsa aparantakappikavādā tattha tattha antogadhāti) uddesavasena pañceva saṅgahetvā yathuddesaṃ nigamento, ‘‘imānevapañcāyatanānī’’ti āha. Tattha dukkhassa nimittabhāvato diṭṭhigatānaṃ kāraṇaṭṭhena āyatanatthoti vuttaṃ – ‘‘imāneva pañca kāraṇānī’’ti. Saññīādivasena tīṇi ucchedavādoti cattāri bhājitāni. Itaraṃ pana diṭṭhadhammanibbānaṃ kuhiṃ paviṭṭhaṃ? Sarūpato abhājitattā yathābhājitesu vādesu kattha antogadhanti pucchati. Uddese pana sarūpato gahitameva, ‘‘diṭṭhadhammanibbānaṃ vā paneke abhivadantī’’ti. Itaro ekattasaññīvāde nānattasaññīvāde antogadhanti dassento ‘‘ekatta…pe… veditabba’’nti āha yathāsukhañcetaṃ vuttaṃ. Paṭhamo hi diṭṭhadhammanibbānavādo nānattasaññīvāde antogadho, itare cattāro ekattasaññīvāde.
๒๗. อตีตโกฎฺฐาสสงฺขาตนฺติ อตีตํ ขนฺธโกฎฺฐาสสงฺขาตํ ปุพฺพนฺตํฯ ปุเพฺพ นิวุตฺถธมฺมวิสยา กปฺปนา อิธาธิเปฺปตา, ตสฺมา อตีตกาลวาจโก อิธ ปุพฺพสโทฺท, รูปาทิขนฺธวินิมุตฺตญฺจ กปฺปนาวตฺถุ นตฺถิ, อนฺตสโทฺท จ โกฎฺฐาสวาจโกฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อตีตโกฎฺฐาสสงฺขาตํ ปุพฺพนฺตํ กเปฺปตฺวา’’ติฯ ‘‘กเปฺปตฺวา’’ติ จ ตสฺมิํ ปุพฺพเนฺต ตณฺหายนาภินิวิสานํ สมตฺถนํ ปรินิฎฺฐาปนํ วทติฯ เสสมฺปีติ ‘‘ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐี’’ติ เอวมาทิกํฯ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการนฺติ ‘‘อปรนฺตานุทิฎฺฐิโน’’ติอาทีสุ วุตฺตปฺปการํฯ เอเกกสฺมิญฺจ อตฺตาติ อาหิโต อหํมาโน เอตฺถาติ กตฺวา, โลโกติ โลกิยนฺติ เอตฺถ ปุญฺญปาปานิ ตพฺพิปากา จาติ กตฺวา, ตํ ตํ คหณวิเสสํ อุปาทาย ปญฺญาปนํ โหตีติ อาห – ‘‘รูปาทีสุ อญฺญตรํ อตฺตาติ จ โลโกติ จ คเหตฺวา’’ติฯ สพฺพทาภาเวน สสฺสโตฯ อมโร นิโจฺจ ธุโวติ ตเสฺสว เววจนานิฯ มรณาภาเวน อมโร, อุปฺปาทาภาเวน สพฺพกาลํ วตฺตนโต นิโจฺจ, ถิรเฎฺฐน วิการาภาเวน ธุโว, ยถาหาติอาทินา ยถาวุตฺตมตฺถํ นิเทฺทสปฎิสมฺภิทาปาฬีหิ วิภาเวติฯ อยญฺจ อโตฺถ ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ, เวทนํ… สญฺญํ… สงฺขาเร… วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๓๐-๑๓๑) อิมิสฺสา ปญฺจวิธาย สกฺกายทิฎฺฐิยา วเสน วุโตฺตฯ ‘‘รูปวนฺต’’นฺติอาทิกาย (ปฎิ. ม. ๑.๑๓๐-๑๓๑) ปน ปญฺจทสวิธาย สกฺกายทิฎฺฐิยา วเสน จตฺตาโร จตฺตาโร ขเนฺธ, ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ตทญฺญํ – ‘‘โลโก’’ติ ปญฺญเปนฺตีติ อยมฺปิ อโตฺถ ลพฺภติ, ตถา เอกํ ขนฺธํ, ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ตทเญฺญ ‘‘โลโก’’ติ ปญฺญเปนฺตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอเสว นโยติ อิมินา ยถา ‘‘รูปาทีสุ อญฺญตรํ อตฺตาติ จ โลโกติ จ คเหตฺวา สสฺสโต…เป.… ธุโว’’ติ อโตฺถ วุโตฺต; เอวํ อสสฺสโต อนิโจฺจ อธุโว อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ น โหติ ปรํ มรณา; นิโจฺจ จ อนิโจฺจ จ เนวนิโจฺจ นานิโจฺจติ เอวมาทิมตฺถํ อติทิสติฯ
27.Atītakoṭṭhāsasaṅkhātanti atītaṃ khandhakoṭṭhāsasaṅkhātaṃ pubbantaṃ. Pubbe nivutthadhammavisayā kappanā idhādhippetā, tasmā atītakālavācako idha pubbasaddo, rūpādikhandhavinimuttañca kappanāvatthu natthi, antasaddo ca koṭṭhāsavācako. Tena vuttaṃ ‘‘atītakoṭṭhāsasaṅkhātaṃ pubbantaṃ kappetvā’’ti. ‘‘Kappetvā’’ti ca tasmiṃ pubbante taṇhāyanābhinivisānaṃ samatthanaṃ pariniṭṭhāpanaṃ vadati. Sesampīti ‘‘pubbantānudiṭṭhī’’ti evamādikaṃ. Pubbe vuttappakāranti ‘‘aparantānudiṭṭhino’’tiādīsu vuttappakāraṃ. Ekekasmiñca attāti āhito ahaṃmāno etthāti katvā, lokoti lokiyanti ettha puññapāpāni tabbipākā cāti katvā, taṃ taṃ gahaṇavisesaṃ upādāya paññāpanaṃ hotīti āha – ‘‘rūpādīsu aññataraṃ attāti ca lokoti ca gahetvā’’ti. Sabbadābhāvena sassato. Amaro nicco dhuvoti tasseva vevacanāni. Maraṇābhāvena amaro, uppādābhāvena sabbakālaṃ vattanato nicco, thiraṭṭhena vikārābhāvena dhuvo, yathāhātiādinā yathāvuttamatthaṃ niddesapaṭisambhidāpāḷīhi vibhāveti. Ayañca attho ‘‘rūpaṃ attato samanupassati, vedanaṃ… saññaṃ… saṅkhāre… viññāṇaṃ attato samanupassatī’’ti (paṭi. ma. 1.130-131) imissā pañcavidhāya sakkāyadiṭṭhiyā vasena vutto. ‘‘Rūpavanta’’ntiādikāya (paṭi. ma. 1.130-131) pana pañcadasavidhāya sakkāyadiṭṭhiyā vasena cattāro cattāro khandhe, ‘‘attā’’ti gahetvā tadaññaṃ – ‘‘loko’’ti paññapentīti ayampi attho labbhati, tathā ekaṃ khandhaṃ, ‘‘attā’’ti gahetvā tadaññe ‘‘loko’’ti paññapentīti evamettha attho daṭṭhabbo. Eseva nayoti iminā yathā ‘‘rūpādīsu aññataraṃ attāti ca lokoti ca gahetvā sassato…pe… dhuvo’’ti attho vutto; evaṃ asassato anicco adhuvo ucchijjati vinassati na hoti paraṃ maraṇā; nicco ca anicco ca nevanicco nāniccoti evamādimatthaṃ atidisati.
จตฺตาโร สสฺสตวาทาติ ลาภีวเสน ตโย, ตกฺกีวเสน เอโกติ เอวํ จตฺตาโรฯ ปุเพฺพนิวาสญาณลาภี ติตฺถิโย มนฺทปโญฺญ อเนกชาติสตสหสฺสมตฺตํ อนุสฺสรติ, มชฺฌิมปโญฺญ ทส สํวฎฺฎวิวฎฺฎกปฺปานิ, ติกฺขปโญฺญ จตฺตารีส สํวฎฺฎวิวฎฺฎกปฺปานิ, น ตโต ปรํฯ โส เอวํ อนุสฺสรโนฺต อตฺตา จ โลโก จาติ อภิวทติฯ ตกฺกี ปน ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภานํ สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จาติ อภิวทติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ลาภีวเสน ตโย, ตกฺกีวเสน เอโกติ เอวํ จตฺตาโร สสฺสตวาทา’’ติฯ เอเตเนว จ อธิจฺจสมุปฺปตฺติกวาโท วิย สสฺสตวาโท กสฺมา ทุวิเธน น วิภโตฺตติ เจ? ปฎิกฺขิตฺตตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Cattāro sassatavādāti lābhīvasena tayo, takkīvasena ekoti evaṃ cattāro. Pubbenivāsañāṇalābhī titthiyo mandapañño anekajātisatasahassamattaṃ anussarati, majjhimapañño dasa saṃvaṭṭavivaṭṭakappāni, tikkhapañño cattārīsa saṃvaṭṭavivaṭṭakappāni, na tato paraṃ. So evaṃ anussaranto attā ca loko cāti abhivadati. Takkī pana takkapariyāhataṃ vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhānaṃ sassato attā ca loko cāti abhivadati. Tena vuttaṃ – ‘‘lābhīvasena tayo, takkīvasena ekoti evaṃ cattāro sassatavādā’’ti. Eteneva ca adhiccasamuppattikavādo viya sassatavādo kasmā duvidhena na vibhattoti ce? Paṭikkhittattāti daṭṭhabbaṃ.
เอตฺถ จ, ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ วาเท อยมยุตฺตตาวิภาวนา – ยทิ หิ ปเรน ปริกปฺปิโต อตฺตา, โลโก วา สสฺสโต สิยา, ตสฺส นิพฺพิการตาย ปุริมรูปาวิชหนโต กสฺสจิ วิเสสาธานสฺส กาตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อหิตโต นิวตฺตนตฺถํ หิเต จ ปฎิปตฺติอตฺถํ อุปเทโส เอว นิปฺปโยชโน สิยา สสฺสตวาทิโนฯ กถํ วา โส อุปเทโส ปวตฺตียติ วิการาภาวโต; เอวญฺจ อตฺตโน อชฎากาสสฺส วิย ทานาทิกิริยา หิํสาทิกิริยา จ น สมฺภวติ; ตถา สุขสฺส ทุกฺขสฺส จ อนุภวนนิพโนฺธ เอว สสฺสตวาทิโน น ยุชฺชติ กมฺมพทฺธาภาวโต, ชาติอาทีนํ อสมฺภวโต กุโต วิโมโกฺขฯ อถ ปน ธมฺมมตฺตํ ตสฺส อุปฺปชฺชติ เจว วินสฺสติ จ, ยสฺส วเสนายํ กิริยาทิโวหาโรติ วเทยฺยฯ เอวมฺปิ ปุริมรูปาวิชหเนน อวฎฺฐิตสฺส อตฺตโน ธมฺมมตฺตนฺติ น สกฺกา สมฺภาเวตุํ; เต วา ปนสฺส ธมฺมา อวตฺถาภูตา ตโต อเญฺญ วา สิยุํ อนเญฺญ วา, ยทิ อเญฺญ, น ตาหิ ตสฺส อุปฺปนฺนาหิปิ โกจิ วิเสโส อตฺถิฯ โย หิ กโรติ ปฎิสํเวเทติ จวติ อุปปชฺชติ จาติ อิจฺฉิตํฯ ตสฺมา ตทวโตฺถ เอว ยถาวุตฺตโทโส, กิญฺจ ธมฺมกปฺปนาปิ นิรตฺถกา สิยาฯ อถ อนเญฺญ, อุปฺปาทวินาสวนฺตีหิ อวตฺถาหิ อนญฺญสฺส อตฺตโน ตาสํ วิย อุปฺปาทวินาสสมฺภวาปตฺติโต กุโต นิจฺจตาวกาโสฯ ตาสมฺปิ วา อตฺตโน วิย นิจฺจตาติ พนฺธนวิโมกฺขานํ อสมฺภโว เอวาติ น ยุชฺชติ เอว สสฺสตวาโท; น เจตฺถ โกจิ วาที ธมฺมานํ สสฺสตภาเว ปริสุทฺธํ ยุตฺติํ วตฺตุํ สมโตฺถ อตฺถิ; ยุตฺติรหิตญฺจ วจนํ น ปณฺฑิตานํ จิตฺตมาราเธตีติ วิญฺญูหิ ฉฑฺฑิโต เอวายํ สสฺสตวาโทติฯ
Ettha ca, ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti vāde ayamayuttatāvibhāvanā – yadi hi parena parikappito attā, loko vā sassato siyā, tassa nibbikāratāya purimarūpāvijahanato kassaci visesādhānassa kātuṃ asakkuṇeyyatāya ahitato nivattanatthaṃ hite ca paṭipattiatthaṃ upadeso eva nippayojano siyā sassatavādino. Kathaṃ vā so upadeso pavattīyati vikārābhāvato; evañca attano ajaṭākāsassa viya dānādikiriyā hiṃsādikiriyā ca na sambhavati; tathā sukhassa dukkhassa ca anubhavananibandho eva sassatavādino na yujjati kammabaddhābhāvato, jātiādīnaṃ asambhavato kuto vimokkho. Atha pana dhammamattaṃ tassa uppajjati ceva vinassati ca, yassa vasenāyaṃ kiriyādivohāroti vadeyya. Evampi purimarūpāvijahanena avaṭṭhitassa attano dhammamattanti na sakkā sambhāvetuṃ; te vā panassa dhammā avatthābhūtā tato aññe vā siyuṃ anaññe vā, yadi aññe, na tāhi tassa uppannāhipi koci viseso atthi. Yo hi karoti paṭisaṃvedeti cavati upapajjati cāti icchitaṃ. Tasmā tadavattho eva yathāvuttadoso, kiñca dhammakappanāpi niratthakā siyā. Atha anaññe, uppādavināsavantīhi avatthāhi anaññassa attano tāsaṃ viya uppādavināsasambhavāpattito kuto niccatāvakāso. Tāsampi vā attano viya niccatāti bandhanavimokkhānaṃ asambhavo evāti na yujjati eva sassatavādo; na cettha koci vādī dhammānaṃ sassatabhāve parisuddhaṃ yuttiṃ vattuṃ samattho atthi; yuttirahitañca vacanaṃ na paṇḍitānaṃ cittamārādhetīti viññūhi chaḍḍito evāyaṃ sassatavādoti.
สตฺต อุเจฺฉทวาทาติ เอตฺถ เต สรูปมตฺตโต เหฎฺฐา ทสฺสิตา เอว, ตตฺถ เทฺว ชนา อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหนฺติ ลาภี จ อลาภี จฯ ตตฺถ ลาภี นาม ทิพฺพจกฺขุญาณลาภี ทิเพฺพน จกฺขุนา อรหโต จุติํ ทิสฺวา อุปปตฺติํ อปสฺสโนฺตฯ โย วา ปุถุชฺชนานมฺปิ จุติมตฺตเมว ทฎฺฐุํ สโกฺกติ, ปุพฺพโยคาภาเวน ปริกมฺมากรเณน วา อุปปาตํ ทฎฺฐุํ น สโกฺกติฯ โส ‘‘ตตฺถ ตเตฺถว อตฺตา อุจฺฉิชฺชตี’’ติ อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ อลาภี – ‘‘โก ปรโลกํ ชานาติ, เอตฺตโก ชีววิสโย, ยาว อินฺทฺริยโคจโร’’ติ อตฺตโน ธีตุยา หตฺถคฺคณฺหนกราชา วิย กามสุขคิทฺธตาย วา, ‘‘ยถา รุกฺขปณฺณานิ รุกฺขโต ปติตานิ น ปฎิสนฺธิยนฺติ, เอวํ สเพฺพปิ สตฺตา อปฺปฎิสนฺธิกมรณเมว คจฺฉนฺติ, ชลพุพฺพุฬกูปมา สตฺตา’’ติ ตกฺกมตฺตวเสน วา อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ ตตฺถ ยํ เหฎฺฐา วุตฺตํ – ‘‘มนุสฺสตฺตภาเว กามาวจรเทวตฺตภาเว รูปาวจรเทวตฺตภาเว จตุพฺพิธอรูปตฺตภาเว จวิตฺวา สตฺตสฺส อุเจฺฉทปญฺญาปนวเสน สตฺต อุเจฺฉทวาทา กถิตา’’ติฯ ตตฺถ ยุตฺตํ ตาว ปุริเมสุ ตีสุ วาเทสุ ‘‘กายสฺส เภทา’’ติ วุตฺตํ; ปญฺจโวการภวปริยาปนฺนํ อตฺตภาวํ อารพฺภ ปวตฺตตฺตา เตสํ วาทานํ, น ยุตฺตํ จตุโวการภวปริยาปนฺนํ อตฺตภาวํ นิสฺสาย ปวเตฺตสุ จตุตฺถาทีสุ จตูสุ วาเทสุ, ‘‘กายสฺส เภทา’’ติ วุตฺตํฯ น หิ อรูปีนํ กาโย อตฺถีติ? สจฺจเมตํ, รูปภเว ปวตฺตโวหาเรเนว ทิฎฺฐิคติโก อรูปภเวปิ กายโวหารมาโรเปตฺวา อาห ‘‘กายสฺส เภทา’’ติฯ ยถา ทิฎฺฐิคติเกหิ ทิฎฺฐิโย ปญฺญตฺตา, ตเถว ภควา ทเสฺสสีติฯ อรูปกายภาวโต วา ผสฺสาทิธมฺมสมูหภูเต อรูปตฺตภาเว กายนิเทฺทโส ทฎฺฐโพฺพฯ
Satta ucchedavādāti ettha te sarūpamattato heṭṭhā dassitā eva, tattha dve janā ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhanti lābhī ca alābhī ca. Tattha lābhī nāma dibbacakkhuñāṇalābhī dibbena cakkhunā arahato cutiṃ disvā upapattiṃ apassanto. Yo vā puthujjanānampi cutimattameva daṭṭhuṃ sakkoti, pubbayogābhāvena parikammākaraṇena vā upapātaṃ daṭṭhuṃ na sakkoti. So ‘‘tattha tattheva attā ucchijjatī’’ti ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Alābhī – ‘‘ko paralokaṃ jānāti, ettako jīvavisayo, yāva indriyagocaro’’ti attano dhītuyā hatthaggaṇhanakarājā viya kāmasukhagiddhatāya vā, ‘‘yathā rukkhapaṇṇāni rukkhato patitāni na paṭisandhiyanti, evaṃ sabbepi sattā appaṭisandhikamaraṇameva gacchanti, jalabubbuḷakūpamā sattā’’ti takkamattavasena vā ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Tattha yaṃ heṭṭhā vuttaṃ – ‘‘manussattabhāve kāmāvacaradevattabhāve rūpāvacaradevattabhāve catubbidhaarūpattabhāve cavitvā sattassa ucchedapaññāpanavasena satta ucchedavādā kathitā’’ti. Tattha yuttaṃ tāva purimesu tīsu vādesu ‘‘kāyassa bhedā’’ti vuttaṃ; pañcavokārabhavapariyāpannaṃ attabhāvaṃ ārabbha pavattattā tesaṃ vādānaṃ, na yuttaṃ catuvokārabhavapariyāpannaṃ attabhāvaṃ nissāya pavattesu catutthādīsu catūsu vādesu, ‘‘kāyassa bhedā’’ti vuttaṃ. Na hi arūpīnaṃ kāyo atthīti? Saccametaṃ, rūpabhave pavattavohāreneva diṭṭhigatiko arūpabhavepi kāyavohāramāropetvā āha ‘‘kāyassa bhedā’’ti. Yathā diṭṭhigatikehi diṭṭhiyo paññattā, tatheva bhagavā dassesīti. Arūpakāyabhāvato vā phassādidhammasamūhabhūte arūpattabhāve kāyaniddeso daṭṭhabbo.
เอตฺถาห – ‘‘กามาวจรเทวตฺตภาวาทินิรวเสสวิภวปติฎฺฐาปกานํ ทุติยวาทาทีนํ ยุโตฺต อปรนฺตกปฺปิกภาโว อนาคตทฺธวิสยตฺตา เตสํ วาทานํ; น ปน ทิฎฺฐิคติก-ปจฺจกฺขภูต-มนุสฺสตฺตภาว-สมุเจฺฉทปติฎฺฐาปกสฺส ปฐมวาทสฺส ปจฺจุปฺปนฺนวิสยตฺตา’’ติฯ ยทิ เอวํ ยถา หิ ทุติยาทิวาทานํ, ปุริมปุริมวาทสงฺคหิตเสฺสว อตฺตโน อุตฺตรุตฺตรภโวปปตฺติยา สมุเจฺฉทนโต ยุชฺชติ อปรนฺตกปฺปิกตา, ตถา จ ‘‘โน จ โข, โภ, อยํ อตฺตา เอตฺตาวตา สมฺมา สมุจฺฉิโนฺน โหตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอวํ อนาคตเสฺสว มนุสฺสตฺตภาวสมุเจฺฉทสฺส อธิเปฺปตตฺตา ปฐมวาทสฺสปิ อปรนฺตกปฺปิกตา ยุชฺชติฯ เอวํ สพฺพสฺสปิ ปุพฺพนฺตโต อาคตสฺส อุเจฺฉทปญฺญาปนวเสน อิธ ปุพฺพนฺตกปฺปิเกสุ เทสนา คตาฯ เอเต อุเจฺฉทวาทา เหฎฺฐา อปรนฺตกปฺปิเกสุ เทสนา คตาฯ เอเต อุเจฺฉทวาทา เหฎฺฐา อปรนฺตกปฺปิเกสุ ตตฺถ ตเตฺถว อุจฺฉิชฺชติ, น ตโต อุทฺธํ ปวตฺติ อตฺถีติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตาฯ ชลพุพฺพุฬกูปมา หิ สตฺตาติ ตสฺส ลทฺธิฯ
Etthāha – ‘‘kāmāvacaradevattabhāvādiniravasesavibhavapatiṭṭhāpakānaṃ dutiyavādādīnaṃ yutto aparantakappikabhāvo anāgataddhavisayattā tesaṃ vādānaṃ; na pana diṭṭhigatika-paccakkhabhūta-manussattabhāva-samucchedapatiṭṭhāpakassa paṭhamavādassa paccuppannavisayattā’’ti. Yadi evaṃ yathā hi dutiyādivādānaṃ, purimapurimavādasaṅgahitasseva attano uttaruttarabhavopapattiyā samucchedanato yujjati aparantakappikatā, tathā ca ‘‘no ca kho, bho, ayaṃ attā ettāvatā sammā samucchinno hotī’’tiādi vuttaṃ. Evaṃ anāgatasseva manussattabhāvasamucchedassa adhippetattā paṭhamavādassapi aparantakappikatā yujjati. Evaṃ sabbassapi pubbantato āgatassa ucchedapaññāpanavasena idha pubbantakappikesu desanā gatā. Ete ucchedavādā heṭṭhā aparantakappikesu desanā gatā. Ete ucchedavādā heṭṭhā aparantakappikesu tattha tattheva ucchijjati, na tato uddhaṃ pavatti atthīti dassanatthaṃ vuttā. Jalabubbuḷakūpamā hi sattāti tassa laddhi.
อิธาติ ปุพฺพนฺตกปฺปิเกสุฯ อิเธว มนุสฺสตฺตภาวาทิเก อุจฺฉิชฺชติ วินฎฺฐวินาสวเสนฯ เอวํ อนาคเต อนุปฺปตฺติทสฺสนปรานํ อุเจฺฉทวาทานํ อปรนฺตกปฺปิเกสุ คหณํ; ปุพฺพนฺตโต ปน อาคตสฺส อตฺตโน อิเธว อุเจฺฉททสฺสนปรานํ ปุพฺพนฺตกปฺปิเกสุ คหณํฯ อิโต ปรํ น คจฺฉตีติ ปน อิทํ อตฺถโต อาปนฺนสฺส อตฺถสฺส ทสฺสนํฯ สเตฺตสุ สงฺขาเรสุ จ เอกจฺจสสฺสตนฺติ ปวโตฺต เอกจฺจสสฺสตวาโท ฯ โส ปน พฺรหฺมกายิก-ขิฑฺฑาปโทสิก-มโนปโทสิกตฺตภาวโต จวิตฺวา อิธาคตานํ ตกฺกิโน จ อุปฺปชฺชนวเสน จตุพฺพิโธติ อาห ‘‘จตฺตาโร เอกจฺจสสฺสตวาทา’’ติฯ ‘‘สงฺขาเรกจฺจสสฺสติกา’’ติ อิทํ เตหิ สสฺสตภาเวน คยฺหมานานํ ธมฺมานํ ยถาสภาวทสฺสนวเสน วุตฺตํ, น ปเนกจฺจสสฺสติกมตทสฺสนวเสนฯ ตสฺส หิ สสฺสตาภิมตํ อสงฺขตเมวาติ ลทฺธิฯ ตถา หิ วุตฺตํ (ที. นิ. ๑.๔๙) พฺรหฺมชาเล – ‘‘จิตฺตนฺติ วา มโนติ วา วิญฺญาณนฺติ วา อยํ อตฺตา นิโจฺจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธโมฺม สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสตี’’ติฯ น หิ ยสฺส ภาวสฺส ปจฺจเยหิ อภิสงฺขตภาวํ ปฎิชานาติ; ตเสฺสว นิจฺจธุวาทิภาโว อนุมฺมตฺตเกน น สกฺกา ปฎิญฺญาตุํฯ เอเตน, ‘‘อุปฺปาทวยธุวตายุตฺตภาวา สิยา นิจฺจา, สิยา อนิจฺจา, สิยา น วตฺตพฺพา’’ติอาทินา ปวตฺตสฺส สตฺตภงฺควาทสฺส อยุตฺตตา วิภาวิตา โหติฯ
Idhāti pubbantakappikesu. Idheva manussattabhāvādike ucchijjati vinaṭṭhavināsavasena. Evaṃ anāgate anuppattidassanaparānaṃ ucchedavādānaṃ aparantakappikesu gahaṇaṃ; pubbantato pana āgatassa attano idheva ucchedadassanaparānaṃ pubbantakappikesu gahaṇaṃ. Ito paraṃ na gacchatīti pana idaṃ atthato āpannassa atthassa dassanaṃ. Sattesu saṅkhāresu ca ekaccasassatanti pavatto ekaccasassatavādo . So pana brahmakāyika-khiḍḍāpadosika-manopadosikattabhāvato cavitvā idhāgatānaṃ takkino ca uppajjanavasena catubbidhoti āha ‘‘cattāro ekaccasassatavādā’’ti. ‘‘Saṅkhārekaccasassatikā’’ti idaṃ tehi sassatabhāvena gayhamānānaṃ dhammānaṃ yathāsabhāvadassanavasena vuttaṃ, na panekaccasassatikamatadassanavasena. Tassa hi sassatābhimataṃ asaṅkhatamevāti laddhi. Tathā hi vuttaṃ (dī. ni. 1.49) brahmajāle – ‘‘cittanti vā manoti vā viññāṇanti vā ayaṃ attā nicco dhuvo sassato avipariṇāmadhammo sassatisamaṃ tatheva ṭhassatī’’ti. Na hi yassa bhāvassa paccayehi abhisaṅkhatabhāvaṃ paṭijānāti; tasseva niccadhuvādibhāvo anummattakena na sakkā paṭiññātuṃ. Etena, ‘‘uppādavayadhuvatāyuttabhāvā siyā niccā, siyā aniccā, siyā na vattabbā’’tiādinā pavattassa sattabhaṅgavādassa ayuttatā vibhāvitā hoti.
ตตฺถายํ (ที. นิ. ฎี. ๑.๓๘) อยุตฺตตาวิภาวนา – ยทิ, ‘‘เยน สภาเวน โย ธโมฺม อตฺถีติ วุจฺจติ, เตเนว สภาเวน โส ธโมฺม นตฺถี’’ติอาทินา วุเจฺจยฺย, สิยา อเนกนฺตวาโท; อถ อเญฺญน, สิยา น อเนกนฺตวาโท; น เจตฺถ เทสนฺตราทิสมฺพทฺธภาโว ยุโตฺต วตฺตุํ ตสฺส สพฺพโลกสิทฺธตฺตา วิวาทาภาวโตฯ เย ปน วทนฺติ – ‘‘ยถา สุวณฺณฆเฎ มกุเฎ กเต ฆฎภาโว นสฺสติ, มกุฎภาโว อุปฺปชฺชติ, สุวณฺณภาโว ติฎฺฐติเยว, เอวํ สพฺพภาวานํ โกจิ ธโมฺม นสฺสติ, โกจิ อุปฺปชฺชติ, สภาโว ปน ติฎฺฐตี’’ติฯ เต วตฺตพฺพา – กิํ ตํ สุวณฺณํ, ยํ ฆเฎ มกุเฎ จ อวฎฺฐิตํ? ยทิ รูปาทิ, โส สโทฺท วิย อนิโจฺจ, อถ รูปาทิสมูโห, สมูโห นาม สมฺมุติมตฺตํฯ ตสฺส โวหารมตฺตสฺส อตฺถิตา นตฺถิตา นิจฺจตา วา น วตฺตพฺพาฯ ตสฺส ปรมตฺถสภาเวน อนุปลพฺภนโตติ อเนกนฺตวาโท น สิยาฯ ธมฺมา จ ธมฺมิโต อเญฺญ วา สิยุํ อนเญฺญ วาฯ ยทิ อเญฺญ, น เตสํ อนิจฺจตาย ธมฺมี อนิโจฺจ อญฺญตฺตาฯ น หิ รูปา จกฺขุวิญฺญาณํ อญฺญตฺตา, น จ รูเป จกฺขุวิญฺญาณสโทฺท โหติ; กิญฺจ ธมฺมกปฺปนาปิ นิรตฺถิกา สิยา ธมฺมิโน นิจฺจานิจฺจตาย อสิชฺฌนโต อถ อนเญฺญ; อุปฺปาทวินาสวเนฺตหิ อนญฺญสฺส ธมฺมิโน เตสํ วิย อุปฺปาทวินาสสพฺภาวโต กุโต นิจฺจตาวกาโส, เตสมฺปิ วา ธมฺมิโน วิย นิจฺจตาปตฺติ สิยาฯ อปิจ นิจฺจานิจฺจนวตฺตพฺพรูโป อตฺตา จ โลโก จ ปรมตฺถโต วิชฺชมานตาปฎิชานนโต ยถา นิจฺจาทีนํ อญฺญตรํ รูปํ, ยถา วา ทีปาทโยฯ น หิ ทีปาทีนํ อุทยพฺพยสภาวานํ นิจฺจานิจฺจนวตฺตพฺพสภาวตา สกฺกา วตฺตุํ ชีวสฺส นิจฺจาทีสุ อญฺญตรํ รูปํ วิยาติ เอวํ สตฺตภงฺคสฺส วิย เสสภงฺคานมฺปิ อสมฺภโวเยวาติ สตฺตภงฺควาทสฺส อยุตฺตตา เวทิตพฺพาติฯ
Tatthāyaṃ (dī. ni. ṭī. 1.38) ayuttatāvibhāvanā – yadi, ‘‘yena sabhāvena yo dhammo atthīti vuccati, teneva sabhāvena so dhammo natthī’’tiādinā vucceyya, siyā anekantavādo; atha aññena, siyā na anekantavādo; na cettha desantarādisambaddhabhāvo yutto vattuṃ tassa sabbalokasiddhattā vivādābhāvato. Ye pana vadanti – ‘‘yathā suvaṇṇaghaṭe makuṭe kate ghaṭabhāvo nassati, makuṭabhāvo uppajjati, suvaṇṇabhāvo tiṭṭhatiyeva, evaṃ sabbabhāvānaṃ koci dhammo nassati, koci uppajjati, sabhāvo pana tiṭṭhatī’’ti. Te vattabbā – kiṃ taṃ suvaṇṇaṃ, yaṃ ghaṭe makuṭe ca avaṭṭhitaṃ? Yadi rūpādi, so saddo viya anicco, atha rūpādisamūho, samūho nāma sammutimattaṃ. Tassa vohāramattassa atthitā natthitā niccatā vā na vattabbā. Tassa paramatthasabhāvena anupalabbhanatoti anekantavādo na siyā. Dhammā ca dhammito aññe vā siyuṃ anaññe vā. Yadi aññe, na tesaṃ aniccatāya dhammī anicco aññattā. Na hi rūpā cakkhuviññāṇaṃ aññattā, na ca rūpe cakkhuviññāṇasaddo hoti; kiñca dhammakappanāpi niratthikā siyā dhammino niccāniccatāya asijjhanato atha anaññe; uppādavināsavantehi anaññassa dhammino tesaṃ viya uppādavināsasabbhāvato kuto niccatāvakāso, tesampi vā dhammino viya niccatāpatti siyā. Apica niccāniccanavattabbarūpo attā ca loko ca paramatthato vijjamānatāpaṭijānanato yathā niccādīnaṃ aññataraṃ rūpaṃ, yathā vā dīpādayo. Na hi dīpādīnaṃ udayabbayasabhāvānaṃ niccāniccanavattabbasabhāvatā sakkā vattuṃ jīvassa niccādīsu aññataraṃ rūpaṃ viyāti evaṃ sattabhaṅgassa viya sesabhaṅgānampi asambhavoyevāti sattabhaṅgavādassa ayuttatā veditabbāti.
เอตฺถ จ, ‘‘อิสฺสโร นิโจฺจ, อเญฺญ สตฺตา อนิจฺจา’’ติ เอวํ ปวตฺตวาทา สเตฺตกจฺจสสฺสตวาทา; เสยฺยถาปิ อิสฺสรวาทาทโยฯ ‘‘ปรมาณโว นิจฺจา ธุวา, ทฺวิอณุกาทโย อนิจฺจา’’ติ เอวํ ปวตฺตวาทา สงฺขาเรกจฺจสสฺสตวาทา; เสยฺยถาปิ กณาทวาทาทโยฯ นนุ จ ‘‘เอกเจฺจ ธมฺมา สสฺสตา, เอกเจฺจ อสสฺสตา’’ติ; เอตสฺมิํ วาเท จกฺขาทีนํ อสสฺสตตาสนฺนิฎฺฐานํ ยถาสภาวาวโพโธ เอว, ตยิทํ กถํ มิจฺฉาทสฺสนนฺติ, โก เอวมาห – ‘‘จกฺขาทีนํ อสสฺสตภาวสนฺนิฎฺฐานํ มิจฺฉาทสฺสน’’นฺติ? อสสฺสเตสุเยว ปน เกสญฺจิ ธมฺมานํ สสฺสตภาวาภินิเวโส อิธ มิจฺฉาทสฺสนํ; เตน ปน เอกวาเร ปวตฺตมาเนน จกฺขาทีนํ อสสฺสตภาวาวโพโธ วิทูสิโต สํสฎฺฐภาวโต; วิสสํสโฎฺฐ วิย สปฺปิมโณฺฑ สกิจฺจการณาสมตฺตตาย สมฺมาทสฺสนปเกฺข ฐเปตพฺพตํ นารหติฯ อถ วา อสสฺสตภาเวน นิจฺฉิตาปิ จกฺขุอาทโย สมาโรปิตชีวสภาวา เอว ทิฎฺฐิคติ เกหิ คยฺหนฺตีติ ตทวโพธสฺส มิจฺฉาทสฺสนภาโว น สกฺกา นิวาเรตุํฯ ตถา หิ วุตฺตํ พฺรหฺมชาเล (ที. นิ. ๑.๔๙) – ‘‘จกฺขุนฺติ วา…เป.… กาโยติ วา อยํ เม อตฺตา’’ติอาทิฯ เอวญฺจ กตฺวา อสงฺขตาย สงฺขตาย จ ธาตุยา วเสน ยถากฺกมํ เอกเจฺจ ธมฺมา สสฺสตา; เอกเจฺจ อสสฺสตาติ เอวํ ปวโตฺต วิภชฺชวาโทปิ เอกจฺจสสฺสตวาโท อาปชฺชตีติ เอวํปการา โจทนา อโนกาสา โหติ อวิปรีตธมฺมสภาวสมฺปฎิปตฺติภาวโตฯ
Ettha ca, ‘‘issaro nicco, aññe sattā aniccā’’ti evaṃ pavattavādā sattekaccasassatavādā; seyyathāpi issaravādādayo. ‘‘Paramāṇavo niccā dhuvā, dviaṇukādayo aniccā’’ti evaṃ pavattavādā saṅkhārekaccasassatavādā; seyyathāpi kaṇādavādādayo. Nanu ca ‘‘ekacce dhammā sassatā, ekacce asassatā’’ti; etasmiṃ vāde cakkhādīnaṃ asassatatāsanniṭṭhānaṃ yathāsabhāvāvabodho eva, tayidaṃ kathaṃ micchādassananti, ko evamāha – ‘‘cakkhādīnaṃ asassatabhāvasanniṭṭhānaṃ micchādassana’’nti? Asassatesuyeva pana kesañci dhammānaṃ sassatabhāvābhiniveso idha micchādassanaṃ; tena pana ekavāre pavattamānena cakkhādīnaṃ asassatabhāvāvabodho vidūsito saṃsaṭṭhabhāvato; visasaṃsaṭṭho viya sappimaṇḍo sakiccakāraṇāsamattatāya sammādassanapakkhe ṭhapetabbataṃ nārahati. Atha vā asassatabhāvena nicchitāpi cakkhuādayo samāropitajīvasabhāvā eva diṭṭhigati kehi gayhantīti tadavabodhassa micchādassanabhāvo na sakkā nivāretuṃ. Tathā hi vuttaṃ brahmajāle (dī. ni. 1.49) – ‘‘cakkhunti vā…pe… kāyoti vā ayaṃ me attā’’tiādi. Evañca katvā asaṅkhatāya saṅkhatāya ca dhātuyā vasena yathākkamaṃ ekacce dhammā sassatā; ekacce asassatāti evaṃ pavatto vibhajjavādopi ekaccasassatavādo āpajjatīti evaṃpakārā codanā anokāsā hoti aviparītadhammasabhāvasampaṭipattibhāvato.
น มรตีติ อมราฯ กา สา? ‘‘เอวนฺติปิ เม โน’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๖๒) นเยน ปริยนฺตรหิตา ทิฎฺฐิคติกสฺส ทิฎฺฐิ จ วาจา จ, อมราย ทิฎฺฐิยา วาจาย วิวิโธ เขโปติ อมราวิเกฺขโปฯ โส เอตสฺส อตฺถีติ อมราวิเกฺขโปฯ อถ วา อมราติ เอกา มจฺฉชาติ, สา อุมฺมุชฺชนนิมฺมุชฺชนาทิวเสน อุทเก สนฺธาวมานา คาหํ น คจฺฉติ; เอวเมวํ อยมฺปิ วาโท อิโต จิโต จ สนฺธาวติ, คาหํ นาคจฺฉตีติ อมราวิเกฺขโป, โส เอว อมราวิเกฺขปิโกฯ สฺวายํ วาโท มุสาวาทอนุโยคฉนฺทราคโมหเหตุกตาย จตุธา ปวโตฺตติ อาห – ‘‘จตฺตาโร อมราวิเกฺขปิกา วุตฺตา’’ติฯ นนุ เจตฺถ (ที. นิ. ฎี. ๑.๖๕-๖๖) จตุพฺพิโธปิ อมราวิเกฺขปิโก กุสลาทิเก ธเมฺม ปรโลกตฺติกาทีนิ จ ยถาภูตํ อนวพุชฺฌมาโน, ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ ปุจฺฉาย วิเกฺขปนมตฺตํ อาปชฺชตีติ ตสฺส กถํ ทิฎฺฐิคติกภาโวฯ น หิ อวตฺตุกามสฺส วิย ปุจฺฉิตมตฺถํ อชานนฺตสฺส วิเกฺขปกรณมเตฺตน ทิฎฺฐิคติกตา ยุตฺตาติ? น เหวํ ปุจฺฉาวิเกฺขปกรณมเตฺตน ตสฺส ทิฎฺฐิคติกตา อิจฺฉิตา, อถ โข มิจฺฉาภินิเวเสนฯ สสฺสตวเสน มิจฺฉาภินิวิโฎฺฐเยว หิ มนฺทพุทฺธิตาย กุสลาทิธเมฺม ปรโลกตฺติกาทีนิ จ, ยาถาวโต อปฺปฎิปชฺชมาโน อตฺตนา อวิญฺญาตสฺส อตฺถสฺส ปรํ วิญฺญาเปตุํ อสมตฺถตาย มุสาวาทาทิภเยน จ วิเกฺขปํ อาปชฺชตีติฯ ตถา หิสฺส วาทสฺส สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคโห วุโตฺตฯ อถ วา ปุญฺญปาปานํ, ตพฺพิปากานญฺจ อนวโพเธน, อสทฺทหเนน จ, ‘‘ตพฺพิสยาย ปุจฺฉาย วิเกฺขปกรณํเยว ยุตฺตํ สุนฺทรญฺจา’’ติ, ขนฺติํ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา อภินิวิสนฺตสฺส อุปฺปนฺนา วิสุํเยเวกา เอสา ทิฎฺฐิ สตฺตภงฺคทิฎฺฐิ วิยาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ตถา เจว วุตฺตํ – ‘‘ปริยนฺตรหิตา ทิฎฺฐิคติกสฺส ทิฎฺฐิ เจว วาจา จา’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖๑)ฯ กถํ ปนสฺสา สสฺสตทิฎฺฐิสงฺคโห? อุเจฺฉทวเสน อนภินิเวสโตฯ ‘‘นตฺถิ โกจิ ธมฺมานํ ยถาภูตเวที วิวาทพหุลตฺตา โลกสฺส; ‘เอวเมว’นฺติ ปน สทฺทนฺตเรน ธเมฺม นิชฺฌานนา อนาทิกาลิกา โลเก’’ติ คาหวเสน สสฺสตเลโสเปตฺถ ลพฺภติเยวฯ
Na maratīti amarā. Kā sā? ‘‘Evantipi me no’’tiādinā (dī. ni. 1.62) nayena pariyantarahitā diṭṭhigatikassa diṭṭhi ca vācā ca, amarāya diṭṭhiyā vācāya vividho khepoti amarāvikkhepo. So etassa atthīti amarāvikkhepo. Atha vā amarāti ekā macchajāti, sā ummujjananimmujjanādivasena udake sandhāvamānā gāhaṃ na gacchati; evamevaṃ ayampi vādo ito cito ca sandhāvati, gāhaṃ nāgacchatīti amarāvikkhepo, so eva amarāvikkhepiko. Svāyaṃ vādo musāvādaanuyogachandarāgamohahetukatāya catudhā pavattoti āha – ‘‘cattāro amarāvikkhepikā vuttā’’ti. Nanu cettha (dī. ni. ṭī. 1.65-66) catubbidhopi amarāvikkhepiko kusalādike dhamme paralokattikādīni ca yathābhūtaṃ anavabujjhamāno, tattha tattha pañhaṃ puṭṭho pucchāya vikkhepanamattaṃ āpajjatīti tassa kathaṃ diṭṭhigatikabhāvo. Na hi avattukāmassa viya pucchitamatthaṃ ajānantassa vikkhepakaraṇamattena diṭṭhigatikatā yuttāti? Na hevaṃ pucchāvikkhepakaraṇamattena tassa diṭṭhigatikatā icchitā, atha kho micchābhinivesena. Sassatavasena micchābhiniviṭṭhoyeva hi mandabuddhitāya kusalādidhamme paralokattikādīni ca, yāthāvato appaṭipajjamāno attanā aviññātassa atthassa paraṃ viññāpetuṃ asamatthatāya musāvādādibhayena ca vikkhepaṃ āpajjatīti. Tathā hissa vādassa sassatadiṭṭhisaṅgaho vutto. Atha vā puññapāpānaṃ, tabbipākānañca anavabodhena, asaddahanena ca, ‘‘tabbisayāya pucchāya vikkhepakaraṇaṃyeva yuttaṃ sundarañcā’’ti, khantiṃ ruciṃ uppādetvā abhinivisantassa uppannā visuṃyevekā esā diṭṭhi sattabhaṅgadiṭṭhi viyāti daṭṭhabbā. Tathā ceva vuttaṃ – ‘‘pariyantarahitā diṭṭhigatikassa diṭṭhi ceva vācā cā’’ti (dī. ni. aṭṭha. 1.61). Kathaṃ panassā sassatadiṭṭhisaṅgaho? Ucchedavasena anabhinivesato. ‘‘Natthi koci dhammānaṃ yathābhūtavedī vivādabahulattā lokassa; ‘evameva’nti pana saddantarena dhamme nijjhānanā anādikālikā loke’’ti gāhavasena sassatalesopettha labbhatiyeva.
อมติ คจฺฉติ เอตฺถ สภาโว โอสานนฺติ อโนฺต, มริยาโท, โส เอตสฺส อตฺถีติ อนฺตวาฯ เตนาห ‘‘สปริยโนฺต’’ติฯ อวฑฺฒิตกสิณสฺส ปุคฺคลสฺส เอวํ โหตีติ โยชนาฯ ทุติยวาโท ‘‘อนนฺตวา โลโก’’ติ วาโทฯ ตติยวาโท ‘‘อนฺตวา จ อนนฺตวา จา’’ติ วาโทฯ จตุตฺถวาโท ‘‘เนวนฺตวา นานนฺตวา’’ติ วาโทฯ เอเต เอว จตฺตาโร วาทิโน สนฺธาย พฺรหฺมชาเล (ที. นิ. ๑.๕๓) – ‘‘อนฺตานนฺติกา อนฺตานนฺตํ โลกสฺส ปญฺญเปนฺติ จตูหิ วตฺถูหี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ (ที. นิ. ฎี. ๑.๕๓) ยุตฺตํ ตาว ปุริมานํ ติณฺณํ วาทีนํ อนฺตตฺตญฺจ อนนฺตตฺตญฺจ อนฺตานนฺตตฺตญฺจ อารพฺภ ปวตฺตวาทตฺตา อนฺตานนฺติกตฺตํฯ ปจฺฉิมสฺส ปน ตทุภยปฎิเสธวเสน ปวตฺตวาทตฺตา กถมนฺตานนฺติกตฺตนฺติ? ตทุภยปฎิเสธวเสน ปวตฺตวาทตฺตา เอวฯ ยสฺมา ปฎิเสธวาโทปิ อนฺตานนฺตวิสโย เอว ตํ อารพฺภ ปวตฺตตฺตาฯ อปเร อาหุ – ‘‘ยถา ตติยวาเท สเมฺภทวเสน เอตเสฺสว อนฺตวนฺตตา อนนฺตตา จ สมฺภวติ, เอวํ ตกฺกีวาเทปิ กาลเภทวเสน อุภยสมฺภวโต อญฺญมญฺญปฎิเสเธน อุภยเญฺญว วุจฺจติฯ กถํ? อนฺตวนฺตตาปฎิเสเธน หิ อนนฺตตา วุจฺจติ, อนนฺตตาปฎิเสเธน จ อนฺตวนฺตตา, อนฺตานนฺตานญฺจ ตติยวาทภาโว กาลเภทสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ยสฺมา อยํ โลกสญฺญิโต อตฺตา ฌายีหิ อธิคตวิเสเสหิ อนโนฺต กทาจิ สกฺขิ ทิโฎฺฐ อนุสุยฺยติ; ตสฺมา เนวนฺตวาฯ ยสฺมา ปน เตหิ เอว กทาจิ อนฺตวา สกฺขิ ทิโฎฺฐ อนุสุยฺยติ, ตสฺมา น ปน อนนฺตวา’’ติฯ ยถา จ อนุสฺสุติตกฺกีวเสน, เอวํ ชาติสฺสรตกฺกิอาทีนญฺจ วเสน ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพํฯ อยญฺหิ ตกฺกิโก อวฑฺฒิตภาวปุพฺพกตฺตา ปฎิภาคนิมิตฺตานํ วฑฺฒิตภาวสฺส วฑฺฒิตกาลวเสน อปจฺจกฺขการิตาย อนุสฺสวาทิมเตฺต ฐตฺวา – ‘‘เนวนฺตวา’’ติ ปฎิกฺขิปติ, อวฑฺฒิตกาลวเสน ปน ‘‘นานโนฺต’’ติฯ น ปน อนฺตวนฺตตานนฺตตานํ อจฺจนฺตมภาเวน ยถา ตํ ‘‘เนวสญฺญีนาสญฺญี’’ติ, อวสฺสญฺจ เอตํ เอวํ วิญฺญาตพฺพํ, อญฺญถา วิเกฺขปปกฺขํเยว ภเชยฺย จตุตฺถวาโทฯ น หิ อนฺตวนฺตตานนฺตตาตทุภยวินิมุโตฺต อตฺตโน ปกาโร อตฺถิ, ตกฺกีวาที จ ยุตฺติมคฺคโก, กาลเภทวเสน จ ตทุภยมฺปิ เอกสฺมิํ น น ยุชฺชตีติฯ อนนฺตรจตุกฺกนฺติ เอกตฺตสญฺญีติ อาคตสญฺญีจตุกฺกํฯ
Amati gacchati ettha sabhāvo osānanti anto, mariyādo, so etassa atthīti antavā. Tenāha ‘‘sapariyanto’’ti. Avaḍḍhitakasiṇassa puggalassa evaṃ hotīti yojanā. Dutiyavādo ‘‘anantavā loko’’ti vādo. Tatiyavādo ‘‘antavā ca anantavā cā’’ti vādo. Catutthavādo ‘‘nevantavā nānantavā’’ti vādo. Ete eva cattāro vādino sandhāya brahmajāle (dī. ni. 1.53) – ‘‘antānantikā antānantaṃ lokassa paññapenti catūhi vatthūhī’’ti vuttaṃ. Tattha (dī. ni. ṭī. 1.53) yuttaṃ tāva purimānaṃ tiṇṇaṃ vādīnaṃ antattañca anantattañca antānantattañca ārabbha pavattavādattā antānantikattaṃ. Pacchimassa pana tadubhayapaṭisedhavasena pavattavādattā kathamantānantikattanti? Tadubhayapaṭisedhavasena pavattavādattā eva. Yasmā paṭisedhavādopi antānantavisayo eva taṃ ārabbha pavattattā. Apare āhu – ‘‘yathā tatiyavāde sambhedavasena etasseva antavantatā anantatā ca sambhavati, evaṃ takkīvādepi kālabhedavasena ubhayasambhavato aññamaññapaṭisedhena ubhayaññeva vuccati. Kathaṃ? Antavantatāpaṭisedhena hi anantatā vuccati, anantatāpaṭisedhena ca antavantatā, antānantānañca tatiyavādabhāvo kālabhedassa adhippetattā. Idaṃ vuttaṃ hoti yasmā ayaṃ lokasaññito attā jhāyīhi adhigatavisesehi ananto kadāci sakkhi diṭṭho anusuyyati; tasmā nevantavā. Yasmā pana tehi eva kadāci antavā sakkhi diṭṭho anusuyyati, tasmā na pana anantavā’’ti. Yathā ca anussutitakkīvasena, evaṃ jātissaratakkiādīnañca vasena yathāsambhavaṃ yojetabbaṃ. Ayañhi takkiko avaḍḍhitabhāvapubbakattā paṭibhāganimittānaṃ vaḍḍhitabhāvassa vaḍḍhitakālavasena apaccakkhakāritāya anussavādimatte ṭhatvā – ‘‘nevantavā’’ti paṭikkhipati, avaḍḍhitakālavasena pana ‘‘nānanto’’ti. Na pana antavantatānantatānaṃ accantamabhāvena yathā taṃ ‘‘nevasaññīnāsaññī’’ti, avassañca etaṃ evaṃ viññātabbaṃ, aññathā vikkhepapakkhaṃyeva bhajeyya catutthavādo. Na hi antavantatānantatātadubhayavinimutto attano pakāro atthi, takkīvādī ca yuttimaggako, kālabhedavasena ca tadubhayampi ekasmiṃ na na yujjatīti. Anantaracatukkanti ekattasaññīti āgatasaññīcatukkaṃ.
เอกนฺตสุขีติ เอกเนฺตเนว สุขีฯ ตํ ปนสฺส สุขํ ทุเกฺขน อโวมิสฺสํ โหตีติ อาห ‘‘นิรนฺตรสุขี’’ติฯ เอกนฺตสุขเมวาติ อิทํ สุขพหุลตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อตีตาสุ สตฺตสุ ชาตีสูติ อิทํ ตโต ปรํ ชาติสฺสรญาเณน อนุสฺสริตุํ น สกฺกาติ กตฺวา วุตฺตํฯ ตาทิสเมวาติ สุขสมงฺคิเมว อตฺตภาวํฯ ‘‘เอวํ สุขสมงฺคี’’ติ ตํ อนุสฺสรนฺตสฺส ชาติสฺสรสฺส อตีตชาติยมฺปิ อิธ วิย ทุกฺขผุฎฺฐสฺส ตํ อนุสฺสรนฺตสฺสฯ
Ekantasukhīti ekanteneva sukhī. Taṃ panassa sukhaṃ dukkhena avomissaṃ hotīti āha ‘‘nirantarasukhī’’ti. Ekantasukhamevāti idaṃ sukhabahulataṃ sandhāya vuttaṃ. Atītāsu sattasu jātīsūti idaṃ tato paraṃ jātissarañāṇena anussarituṃ na sakkāti katvā vuttaṃ. Tādisamevāti sukhasamaṅgimeva attabhāvaṃ. ‘‘Evaṃ sukhasamaṅgī’’ti taṃ anussarantassa jātissarassa atītajātiyampi idha viya dukkhaphuṭṭhassa taṃ anussarantassa.
สเพฺพสมฺปีติ ลาภีนํ ตกฺกีนมฺปิฯ ตถาติ อิมินา ‘‘สเพฺพสมฺปี’’ติ อิทํ ปทํ อากฑฺฒติฯ กามาวจรํ นาม อทุกฺขมสุขํ อนุฬารํ อวิภูตนฺติ อาห ‘‘จตุตฺถชฺฌานวเสนา’’ติฯ จตุตฺถชฺฌานํ การณภูตํ เอตสฺส อตฺถิ, เตน วา นิพฺพตฺตนฺติ จตุตฺถชฺฌานิกํฯ มชฺฌตฺตสฺสาติ มชฺฌตฺตภูตสฺส มชฺฌตฺตเวทนาพหุลสฺสฯ มชฺฌตฺตภูตฎฺฐานเมว อตฺตโน มชฺฌตฺตตาปตฺตเมว ภูตปุพฺพํ อนุสฺสรนฺตสฺสฯ เอกจฺจสสฺสติกาติ เอกจฺจสสฺสตวาทิโน วุตฺตาฯ ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน หิ เอกจฺจสสฺสติกาฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ อธิจฺจสมุปฺปนฺนวาโท สสฺสตวาทสมุทฺทิโฎฺฐติ กตฺวา ‘‘เทฺว อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกา’’ติ จ วุตฺตํฯ
Sabbesampīti lābhīnaṃ takkīnampi. Tathāti iminā ‘‘sabbesampī’’ti idaṃ padaṃ ākaḍḍhati. Kāmāvacaraṃ nāma adukkhamasukhaṃ anuḷāraṃ avibhūtanti āha ‘‘catutthajjhānavasenā’’ti. Catutthajjhānaṃ kāraṇabhūtaṃ etassa atthi, tena vā nibbattanti catutthajjhānikaṃ. Majjhattassāti majjhattabhūtassa majjhattavedanābahulassa. Majjhattabhūtaṭṭhānameva attano majjhattatāpattameva bhūtapubbaṃ anussarantassa. Ekaccasassatikāti ekaccasassatavādino vuttā. Puggalādhiṭṭhānena hi ekaccasassatikā. Esa nayo sesesupi. Adhiccasamuppannavādo sassatavādasamuddiṭṭhoti katvā ‘‘dve adhiccasamuppannikā’’ti ca vuttaṃ.
๒๘. ทิฎฺฐุทฺธารนฺติ ยถาวุตฺตานํ ทิฎฺฐีนํ อนิยฺยานิกภาวทสฺสนวเสน ปทุทฺธรณํฯ ปจฺจตฺตํเยว ญาณนฺติ อปรปฺปจฺจยํ อตฺตนิเยว ญาณํฯ ตํ ปน อตฺตปจฺจกฺขํ โหตีติ อาห ‘‘ปจฺจกฺขญาณ’’นฺติฯ สุวณฺณสฺส วิย โทสาปคเมน อุปกฺกิเลสวิคเมน ญาณสฺส วิสุทฺธนฺติ อาห ‘‘ปริสุทฺธนฺติ นิรุปกฺกิเลส’’นฺติฯ กิเลสนฺธการวิคมโต สปฺปภาสมุชฺชลเมว โหตีติ วุตฺตํ – ‘‘ปริโยทาตนฺติ ปภสฺสร’’นฺติ พาหิรสมยสฺมิมฺปิ โหนฺติ ฌานสฺส สมิชฺฌนโตฯ มยมิทํ ชานามาติ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’’นฺติ จ มิจฺฉาคาหวเสน อญฺญาณภาคเมว ปริพฺรูเหตฺวา ตโต เอว ยถาคหิตํ คาหํ สนฺธาย – ‘‘มยมิทํ อตฺถํ ตตฺถ ชานามา’’ติ เอวํ ตตฺถ มิจฺฉาคาเห อวิชฺชมานํ ญาณโกฎฺฐาสํ โอตาเรนฺติเยว อนุปฺปเวเสนฺติเยวฯ น ตํ ญาณํ, มิจฺฉาทสฺสนํ นาเมตํ, กิํ ปน ตํ มิจฺฉาทสฺสนํ นาม? สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จาติอาทินา มิจฺฉาภินิเวสภาวโตฯ เตนาห ‘‘ตทปิ…เป.… อโตฺถ’’ติฯ ยํ ตํ ทิฎฺฐิยา อุปนิสฺสยภูตํ ญาณํ, ตํ สนฺธายาห – ‘‘ชานนมตฺตลกฺขณตฺตา ญาณภาคมตฺตเมวา’’ติฯ ญาณมฺปิ หิ ทิฎฺฐิยา อุปนิสฺสโย โหติเยว ลาภิโน อิตรสฺส จ ตถา ตถา มิจฺฉาภินิเวสโตฯ อนุปาติวตฺตนโต อนติกฺกมนโตฯ อสาธารณโต น อุปาติวตฺตนฺติ เอเตนาติ อนุปาติวตฺตนํ, ตโตฯ อุปาทานปจฺจยโตติ อุปาทานสฺส ปจฺจยภาวโตฯ เอเตน ผลูปจาเรเนว อุปาทานมาหฯ ยทิ พฺรหฺมชาเล อาคตา สพฺพาปิ ทิฎฺฐิโย อิธ กถิตา โหนฺติ, เอวํ สเนฺต อิทํ สุตฺตํ พฺรหฺมชาลสุเตฺตน เอกสทิสนฺติ อาห – ‘‘พฺรหฺมชาเล ปนา’’ติอาทิฯ ‘‘อญฺญตฺร รูปํ อญฺญตฺร เวทนา สกฺกายํเยว อนุปริธาวนฺตี’’ติ วจนโต อิธ สกฺกายทิฎฺฐิ อาคตาฯ พฺรหฺมชาลํ กถิตเมว โหติ ตตฺถ อาคตานํ ทฺวาสฎฺฐิยาปิ ทิฎฺฐีนํ อิธาคตตฺตาฯ สสฺสตุเจฺฉทาภินิเวโส อตฺตาภินิเวสปุพฺพโก, ‘‘อตฺตา สสฺสโต อตฺตา อุเจฺฉโท’’ติ ปวตฺตนโตฯ
28.Diṭṭhuddhāranti yathāvuttānaṃ diṭṭhīnaṃ aniyyānikabhāvadassanavasena paduddharaṇaṃ. Paccattaṃyeva ñāṇanti aparappaccayaṃ attaniyeva ñāṇaṃ. Taṃ pana attapaccakkhaṃ hotīti āha ‘‘paccakkhañāṇa’’nti. Suvaṇṇassa viya dosāpagamena upakkilesavigamena ñāṇassa visuddhanti āha ‘‘parisuddhanti nirupakkilesa’’nti. Kilesandhakāravigamato sappabhāsamujjalameva hotīti vuttaṃ – ‘‘pariyodātanti pabhassara’’nti bāhirasamayasmimpi honti jhānassa samijjhanato. Mayamidaṃ jānāmāti ‘‘sassato attā ca loko ca idameva saccaṃ moghamañña’’nti ca micchāgāhavasena aññāṇabhāgameva paribrūhetvā tato eva yathāgahitaṃ gāhaṃ sandhāya – ‘‘mayamidaṃ atthaṃ tattha jānāmā’’ti evaṃ tattha micchāgāhe avijjamānaṃ ñāṇakoṭṭhāsaṃ otārentiyeva anuppavesentiyeva. Na taṃ ñāṇaṃ, micchādassanaṃ nāmetaṃ, kiṃ pana taṃ micchādassanaṃ nāma? Sassato attā ca loko cātiādinā micchābhinivesabhāvato. Tenāha ‘‘tadapi…pe… attho’’ti. Yaṃ taṃ diṭṭhiyā upanissayabhūtaṃ ñāṇaṃ, taṃ sandhāyāha – ‘‘jānanamattalakkhaṇattā ñāṇabhāgamattamevā’’ti. Ñāṇampi hi diṭṭhiyā upanissayo hotiyeva lābhino itarassa ca tathā tathā micchābhinivesato. Anupātivattanato anatikkamanato. Asādhāraṇato na upātivattanti etenāti anupātivattanaṃ, tato. Upādānapaccayatoti upādānassa paccayabhāvato. Etena phalūpacāreneva upādānamāha. Yadi brahmajāle āgatā sabbāpi diṭṭhiyo idha kathitā honti, evaṃ sante idaṃ suttaṃ brahmajālasuttena ekasadisanti āha – ‘‘brahmajāle panā’’tiādi. ‘‘Aññatra rūpaṃ aññatra vedanā sakkāyaṃyeva anuparidhāvantī’’ti vacanato idha sakkāyadiṭṭhi āgatā. Brahmajālaṃ kathitameva hoti tattha āgatānaṃ dvāsaṭṭhiyāpi diṭṭhīnaṃ idhāgatattā. Sassatucchedābhiniveso attābhinivesapubbako, ‘‘attā sassato attā ucchedo’’ti pavattanato.
๓๐. ทฺวาสฎฺฐิ…เป.… ทเสฺสตุนฺติ กถํ ปนายมโตฺถ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ’’ติอาทิปาฬิยา ทสฺสิโต โหตีติ? อปฺปหีนสกฺกายทิฎฺฐิกสฺส ปุพฺพนฺตาปรนฺตทิฎฺฐิอุปาทิยนโชตนโตฯ ปริจฺจาเคนาติ วิกฺขมฺภเนนฯ จตุตฺถชฺฌานนิโรธา ตติยชฺฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ เอตฺถ น ปริหีนจตุตฺถชฺฌานสฺส ตติยชฺฌานํ ภวติ, ตติยชฺฌานา วุฎฺฐิตสฺส ปน จตุตฺถชฺฌานา วุฎฺฐิตสฺส จ ตติยํ ปฎิโลมนเยน สมฺภวติฯ เตนาห ‘‘อยํ ปเนตฺถา’’ติอาทิฯ เอวํสมฺปทมิทํ เวทิตพฺพนฺติ ‘‘ปวิเวกา ปีติ นิรุชฺฌตี’’ติ อิทํ, ‘‘นิรามิสสุขสฺสนิโรธา’’ติ เอตฺถ วิย วุฎฺฐานนิโรธวเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ หีนชฺฌานปริยาทานกโทมนสฺสนฺติ นีวรณสหคตโทมนสฺสมาหฯ ตญฺหิ ฌานปริยาทานกรํฯ กมฺมนียภาโวติ สมาปตฺติํ ปโตฺต วิย สมาปตฺติสมาปชฺชนภาเว กมฺมกฺขมภาโวฯ โสมนสฺสวิธุรตฺตา โทมนสฺสํ วิยาติ โทมนสฺสนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีตี’’ติ ปุน วุตฺตา ปีติ ฌานทฺวยปีติฯ ยํ ฐานํ ฉายา ชหตีติ ยํ ปเทสํ อาตเปน อภิภุยฺยมานํ ฉายา ชหติฯ ตตฺถ อาตเป ฉายาติ ปเทเสน อาตปสญฺญิตานํ ภูตสงฺขตานํ ปหานฎฺฐานมาหฯ เตนาห ‘‘ยสฺมิํ ฐาเน’’ติอาทิฯ
30.Dvāsaṭṭhi…pe… dassetunti kathaṃ panāyamattho ‘‘idha, bhikkhave, ekacco’’tiādipāḷiyā dassito hotīti? Appahīnasakkāyadiṭṭhikassa pubbantāparantadiṭṭhiupādiyanajotanato. Pariccāgenāti vikkhambhanena. Catutthajjhānanirodhā tatiyajjhānaṃ upasampajja viharatīti ettha na parihīnacatutthajjhānassa tatiyajjhānaṃ bhavati, tatiyajjhānā vuṭṭhitassa pana catutthajjhānā vuṭṭhitassa ca tatiyaṃ paṭilomanayena sambhavati. Tenāha ‘‘ayaṃpanetthā’’tiādi. Evaṃsampadamidaṃ veditabbanti ‘‘pavivekā pīti nirujjhatī’’ti idaṃ, ‘‘nirāmisasukhassanirodhā’’ti ettha viya vuṭṭhānanirodhavasena vuttanti veditabbanti attho. Hīnajjhānapariyādānakadomanassanti nīvaraṇasahagatadomanassamāha. Tañhi jhānapariyādānakaraṃ. Kammanīyabhāvoti samāpattiṃ patto viya samāpattisamāpajjanabhāve kammakkhamabhāvo. Somanassavidhurattā domanassaṃ viyāti domanassanti vuttaṃ. ‘‘Uppajjati pavivekā pītī’’ti puna vuttā pīti jhānadvayapīti. Yaṃ ṭhānaṃ chāyā jahatīti yaṃ padesaṃ ātapena abhibhuyyamānaṃ chāyā jahati. Tattha ātape chāyāti padesena ātapasaññitānaṃ bhūtasaṅkhatānaṃ pahānaṭṭhānamāha. Tenāha ‘‘yasmiṃ ṭhāne’’tiādi.
๓๑. นิรามิสํ สุขนฺติ ตติยชฺฌานสุขํ ทูรสมุสฺสาริตกามามิสตฺตาฯ
31.Nirāmisaṃ sukhanti tatiyajjhānasukhaṃ dūrasamussāritakāmāmisattā.
๓๒. อทุกฺขมสุขนฺติ จตุตฺถชฺฌานเวทนํ, น ยํ กิญฺจิ อุเปกฺขาเวทนํฯ
32.Adukkhamasukhanti catutthajjhānavedanaṃ, na yaṃ kiñci upekkhāvedanaṃ.
๓๓. นิคฺคหโณติ มมํการภาเวน กิญฺจิปิ อคณฺหโนฺตฯ นิพฺพานสฺส สปฺปายนฺติ นิพฺพานาธิคมสฺส, นิพฺพานเสฺสว วา อวิโลมวเสน เอกนฺติกุปายตาย สปฺปายํฯ เตนาห ‘‘อุปการภูต’’นฺติฯ สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุ เตภูมกธเมฺมสุฯ เอตนฺติ เอตํ ยถาวุตฺตสมถภาวนาย กิเลสานํ วิกฺขมฺภนํฯ สพฺพตฺถ นิกนฺติยา อสุกฺขาปิตตฺตา กถํ นิพฺพานสฺส อุปการปฎิปทา นาม ชาตํ? น ชายเต วาตฺยธิปฺปาโยฯ สพฺพตฺถาติ ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐิอาทิเก สพฺพสฺมิํฯ อคฺคณฺหนวเสนาติ ตณฺหาคาเหน อคฺคหณวเสนฯ ยตฺถ หิ ตณฺหาคาโห วิโมจิโต, ตตฺถ ทิฎฺฐิมานคฺคาหา สุกฺขา วิย โหนฺติ ตเทกฎฺฐภาวโตฯ ตาทิสสฺส นิพฺพานคามินี ปฎิปทา เอว อาสเนฺน, น ทูเรฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อุปการปฎิปทา นาม ชาต’’นฺติฯ ตาทิสสฺส จ สโนฺตหมสฺมีติอาทิกา สมนุปสฺสนา อธิมานปเกฺข ติฎฺฐตีติ อาห – ‘‘อภิวทตีติ อภิมาเนน อุปวทตี’’ติฯ อิทเมว อุปาทิยตีติ นิยมาภาวโต ‘‘อฎฺฐารสวิธมฺปี’’ติ วุตฺตํฯ เสสปเทปิ เอเสว นโยฯ ทิฎฺฐุปาทาเน สติ เสสอุปาทานสมฺภโว อวุตฺตสิโทฺธติ ตเทว อุทฺธฎํฯ
33.Niggahaṇoti mamaṃkārabhāvena kiñcipi agaṇhanto. Nibbānassa sappāyanti nibbānādhigamassa, nibbānasseva vā avilomavasena ekantikupāyatāya sappāyaṃ. Tenāha ‘‘upakārabhūta’’nti. Sabbatthāti sabbesu tebhūmakadhammesu. Etanti etaṃ yathāvuttasamathabhāvanāya kilesānaṃ vikkhambhanaṃ. Sabbattha nikantiyā asukkhāpitattā kathaṃ nibbānassa upakārapaṭipadā nāma jātaṃ? Na jāyate vātyadhippāyo. Sabbatthāti pubbantānudiṭṭhiādike sabbasmiṃ. Aggaṇhanavasenāti taṇhāgāhena aggahaṇavasena. Yattha hi taṇhāgāho vimocito, tattha diṭṭhimānaggāhā sukkhā viya honti tadekaṭṭhabhāvato. Tādisassa nibbānagāminī paṭipadā eva āsanne, na dūre. Tena vuttaṃ – ‘‘upakārapaṭipadā nāma jāta’’nti. Tādisassa ca santohamasmītiādikā samanupassanā adhimānapakkhe tiṭṭhatīti āha – ‘‘abhivadatīti abhimānena upavadatī’’ti. Idameva upādiyatīti niyamābhāvato ‘‘aṭṭhārasavidhampī’’ti vuttaṃ. Sesapadepi eseva nayo. Diṭṭhupādāne sati sesaupādānasambhavo avuttasiddhoti tadeva uddhaṭaṃ.
เส อายตเน เวทิตเพฺพติ นิโรธสฺส การณํ นิพฺพานํ เวทิตพฺพํฯ ทฺวินฺนํ อายตนานนฺติ จกฺขายตนาทีนํ ทฺวินฺนํ อายตนานํฯ ปฎิเกฺขเปน นิพฺพานํ ทสฺสิตํ เวเนยฺยชฺฌาสยวเสนฯ
Se āyatane veditabbeti nirodhassa kāraṇaṃ nibbānaṃ veditabbaṃ. Dvinnaṃ āyatanānanti cakkhāyatanādīnaṃ dvinnaṃ āyatanānaṃ. Paṭikkhepena nibbānaṃ dassitaṃ veneyyajjhāsayavasena.
น คาธตีติ น ปติฎฺฐาติฯ อโตติ อสฺมา นิพฺพานาฯ สราติ ตณฺหาฯ สงฺขารปฎิเกฺขเปนาติ สงฺขาเรกเทสภูตานํ จตุนฺนํ มหาภูตานํ ปฎิเกฺขเปนฯ
Nagādhatīti na patiṭṭhāti. Atoti asmā nibbānā. Sarāti taṇhā. Saṅkhārapaṭikkhepenāti saṅkhārekadesabhūtānaṃ catunnaṃ mahābhūtānaṃ paṭikkhepena.
วิญฺญาณนฺติ วิสิเฎฺฐน ญาเณน ชานิตพฺพํฯ ตโต เอว อนิทสฺสนํ อจกฺขุวิเญฺญยฺยํ อนินฺทฺริยโคจรํฯ อนนฺตนฺติ อนฺตรหิตํ, นิจฺจนฺติ อโตฺถฯ สพฺพโต ปภนฺติ กิเลสนฺธการาภาวโต จ สมนฺตโต ปภสฺสรํฯ ‘‘สพฺพโต ปป’’นฺติ วา ปาโฐ, สพฺพโต ปตติตฺถนฺติ อโตฺถฯ จตฺตารีสกมฺมฎฺฐานสงฺขาเตหิ ติเตฺถหิ โอตริตฺวา อนุปวิสิตพฺพํ อมตสรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อนุปาทา กญฺจิ ธมฺมํ อคฺคเหตฺวา วิมุจฺจนฺติ เอตฺถาติ อนุปาทาวิโมโกฺข, นิพฺพานํฯ อนุปาทา วิมุจฺจติ เอเตนาติ อนุปาทาวิโมโกฺข, อคฺคมโคฺคฯ อนุปาทาวิโมกฺขนฺติกตาย ปน อรหตฺตผลํ อนุปาทาวิโมโกฺขติ วุตฺตํฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Viññāṇanti visiṭṭhena ñāṇena jānitabbaṃ. Tato eva anidassanaṃ acakkhuviññeyyaṃ anindriyagocaraṃ. Anantanti antarahitaṃ, niccanti attho. Sabbato pabhanti kilesandhakārābhāvato ca samantato pabhassaraṃ. ‘‘Sabbato papa’’nti vā pāṭho, sabbato patatitthanti attho. Cattārīsakammaṭṭhānasaṅkhātehi titthehi otaritvā anupavisitabbaṃ amatasaranti vuttaṃ hoti. Anupādā kañci dhammaṃ aggahetvā vimuccanti etthāti anupādāvimokkho, nibbānaṃ. Anupādā vimuccati etenāti anupādāvimokkho, aggamaggo. Anupādāvimokkhantikatāya pana arahattaphalaṃ anupādāvimokkhoti vuttaṃ. Sesaṃ suviññeyyameva.
ปญฺจตฺตยสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Pañcattayasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. ปญฺจตฺตยสุตฺตํ • 2. Pañcattayasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๒. ปญฺจตฺตยสุตฺตวณฺณนา • 2. Pañcattayasuttavaṇṇanā