Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา

    Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā

    ๑๐. เอตทโหสีติ เอตํ อโหสิ, ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ อยํ ธมฺมเทสนาปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อุทปาทีติ อโตฺถฯ อาฬาโรติ ตสฺส นามํฯ ทีฆปิงฺคโล กิเรสฯ โส หิ ตุงฺคสรีรตาย ทีโฆ, ปิงฺคลจกฺขุตาย ปิงฺคโล, เตนสฺส ‘‘อาฬาโร’’ติ นามํ อโหสิฯ กาลาโมติ โคตฺตํฯ ปณฺฑิโตติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๘๔) ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคโต, สมาปตฺติปฎิลาภสํสิเทฺธน อธิคมพาหุสจฺจสงฺขาเตน ปณฺฑิตภาเวน สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ พฺยโตฺตติ เวยฺยตฺติเยน สมนฺนาคโต, สมาปตฺติปฎิลาภปจฺจเยน ปาริหาริกปญฺญาสงฺขาเตน พฺยตฺตภาเวน สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ เมธาวีติ ฐานุปฺปตฺติยา ปญฺญาย สมนฺนาคโตฯ อถ วา เมธาวีติ ติเหตุกปฎิสนฺธิปญฺญาสงฺขาตาย ตํตํอิติกตฺตพฺพตาปญฺญาสงฺขาตาย จ เมธาย สมนฺนาคโตติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อปฺปรชกฺขชาติโกติ สมาปตฺติยา วิกฺขมฺภิตตฺตา นิกฺกิเลสชาติโก วิสุทฺธสโตฺตฯ อาชานิสฺสตีติ สลฺลเกฺขสฺสติ ปฎิวิชฺฌิสฺสติฯ

    10.Etadahosīti etaṃ ahosi, ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti ayaṃ dhammadesanāpaṭisaṃyutto vitakko udapādīti attho. Āḷāroti tassa nāmaṃ. Dīghapiṅgalo kiresa. So hi tuṅgasarīratāya dīgho, piṅgalacakkhutāya piṅgalo, tenassa ‘‘āḷāro’’ti nāmaṃ ahosi. Kālāmoti gottaṃ. Paṇḍitoti (ma. ni. aṭṭha. 1.284) paṇḍiccena samannāgato, samāpattipaṭilābhasaṃsiddhena adhigamabāhusaccasaṅkhātena paṇḍitabhāvena samannāgatoti attho. Byattoti veyyattiyena samannāgato, samāpattipaṭilābhapaccayena pārihārikapaññāsaṅkhātena byattabhāvena samannāgatoti attho. Medhāvīti ṭhānuppattiyā paññāya samannāgato. Atha vā medhāvīti tihetukapaṭisandhipaññāsaṅkhātāya taṃtaṃitikattabbatāpaññāsaṅkhātāya ca medhāya samannāgatoti evamettha attho daṭṭhabbo. Apparajakkhajātikoti samāpattiyā vikkhambhitattā nikkilesajātiko visuddhasatto. Ājānissatīti sallakkhessati paṭivijjhissati.

    ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาทีติ ภควโตปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อุปฺปชฺชิฯ ภควา กิร เทวตาย กถิเตเนว นิฎฺฐํ อคนฺตฺวา สยมฺปิ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน โอโลเกโนฺต อิโต สตฺตมทิวสมตฺถเก กาลํ กตฺวา อากิญฺจญฺญายตเน นิพฺพโตฺตติ อทฺทสฯ ตํ สนฺธายาห ‘‘ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาที’’ติฯ มหาชานิโยติ สตฺตทิวสพฺภนฺตเร ปตฺตพฺพมคฺคผลโต ปริหีนตฺตา มหตี ชานิ ปริหานิ อสฺสาติ มหาชานิโยฯ อกฺขเณ นิพฺพตฺตตฺถา อิธ ธมฺมเทสนฎฺฐานํ อาคมนปาทาปิ นตฺถิ, อถาหํ ตตฺถ คเจฺฉยฺยํ, คนฺตฺวา เทสิยมานํ ธมฺมมฺปิสฺส โสตุํ โสตปสาโทปิ นตฺถิ, เอวํ มหาชานิโย ชาโตติ ทเสฺสติฯ กิํ ปน ภควตา ตํ อตฺตโน พุทฺธานุภาเวน ธมฺมํ ญาเปตุํ น สกฺกาติ? อาม น สกฺกา, น หิ ปรโตโฆสมนฺตเรน สาวกานํ ธมฺมาภิสมโย สมฺภวติ, อญฺญถา อิตรปจฺจยรหิตสฺสปิ ธมฺมาภิสมเยน ภวิตพฺพํ, น จ ตํ อตฺถิฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ปจฺจยา สมฺมาทิฎฺฐิยา อุปฺปาทาย ปรโต จ โฆโส อชฺฌตฺตญฺจ โยนิโสมนสิกาโร’’ติ (อ. นิ. ๒.๑๒๗)ฯ

    Bhagavatopi kho ñāṇaṃ udapādīti bhagavatopi sabbaññutaññāṇaṃ uppajji. Bhagavā kira devatāya kathiteneva niṭṭhaṃ agantvā sayampi sabbaññutaññāṇena olokento ito sattamadivasamatthake kālaṃ katvā ākiñcaññāyatane nibbattoti addasa. Taṃ sandhāyāha ‘‘bhagavatopi kho ñāṇaṃ udapādī’’ti. Mahājāniyoti sattadivasabbhantare pattabbamaggaphalato parihīnattā mahatī jāni parihāni assāti mahājāniyo. Akkhaṇe nibbattatthā idha dhammadesanaṭṭhānaṃ āgamanapādāpi natthi, athāhaṃ tattha gaccheyyaṃ, gantvā desiyamānaṃ dhammampissa sotuṃ sotapasādopi natthi, evaṃ mahājāniyo jātoti dasseti. Kiṃ pana bhagavatā taṃ attano buddhānubhāvena dhammaṃ ñāpetuṃ na sakkāti? Āma na sakkā, na hi paratoghosamantarena sāvakānaṃ dhammābhisamayo sambhavati, aññathā itarapaccayarahitassapi dhammābhisamayena bhavitabbaṃ, na ca taṃ atthi. Vuttañhetaṃ – ‘‘dveme, bhikkhave, paccayā sammādiṭṭhiyā uppādāya parato ca ghoso ajjhattañca yonisomanasikāro’’ti (a. ni. 2.127).

    อุทโกติ ตสฺส นามํ, รามสฺส ปน ปุตฺตตาย รามปุโตฺตฯ อภิโทสกาลกโตติ อฑฺฒรเตฺต กาลกโตฯ ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาทีติ อิธาปิ กิร ภควา เทวตาย กถิตวจเนน สนฺนิฎฺฐานํ อกตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาเณน โอโลเกโนฺต ‘‘หิโยฺย อฑฺฒรเตฺต กาลํ กตฺวา อุทโก รามปุโตฺต เนวสญฺญานาสญฺญายตเน นิพฺพโตฺต’’ติ อทฺทส, ตสฺมา เอวํ วุตฺตํฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ

    Udakoti tassa nāmaṃ, rāmassa pana puttatāya rāmaputto. Abhidosakālakatoti aḍḍharatte kālakato. Bhagavatopi kho ñāṇaṃ udapādīti idhāpi kira bhagavā devatāya kathitavacanena sanniṭṭhānaṃ akatvā sabbaññutaññāṇena olokento ‘‘hiyyo aḍḍharatte kālaṃ katvā udako rāmaputto nevasaññānāsaññāyatane nibbatto’’ti addasa, tasmā evaṃ vuttaṃ. Sesaṃ purimasadisameva.

    พหูปการาติ พหุอุปการาฯ ปธานปหิตตฺตํ อุปฎฺฐหิํสูติ ปธานตฺถาย เปสิตตฺตภาวํ วสนฎฺฐาเน ปริเวณสมฺมชฺชเนน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อนุพนฺธเนน มุโขทกทนฺตกฎฺฐทานาทินา จ อุปฎฺฐหิํสุฯ เก ปเนเต ปญฺจวคฺคิยา นาม? เย เต –

    Bahūpakārāti bahuupakārā. Padhānapahitattaṃ upaṭṭhahiṃsūti padhānatthāya pesitattabhāvaṃ vasanaṭṭhāne pariveṇasammajjanena pattacīvaraṃ gahetvā anubandhanena mukhodakadantakaṭṭhadānādinā ca upaṭṭhahiṃsu. Ke panete pañcavaggiyā nāma? Ye te –

    ราโม ธโช ลกฺขโณ จาปิ มนฺตี;

    Rāmo dhajo lakkhaṇo cāpi mantī;

    โกณฺฑโญฺญ จ โภโช สุยาโม สุทโตฺต;

    Koṇḍañño ca bhojo suyāmo sudatto;

    เอเต ตทา อฎฺฐ อเหสุํ พฺราหฺมณา;

    Ete tadā aṭṭha ahesuṃ brāhmaṇā;

    ฉฬงฺควา มนฺตํ วิยากริํสูติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๘๔; ชา. อฎฺฐ. ๑.นิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.อวิทูเรนิทานกถา);

    Chaḷaṅgavā mantaṃ viyākariṃsūti. (ma. ni. aṭṭha. 1.284; jā. aṭṭha. 1.nidānakathā; apa. aṭṭha. 1.avidūrenidānakathā);

    โพธิสตฺตสฺส ชาตกาเล สุปินปฎิคฺคาหกา เจว ลกฺขณปฎิคฺคาหกา จ อฎฺฐ พฺราหฺมณาฯ เตสุ ตโย เทฺวธา พฺยากริํสุ ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต อคารํ อชฺฌาวสมาโน ราชา โหหิติ จกฺกวตฺตี, ปพฺพชมาโน พุโทฺธ’’ติฯ ปญฺจ พฺราหฺมณา เอกํสพฺยากรณา อเหสุํ ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต อคาเร น ติฎฺฐติ, พุโทฺธว โหตี’’ติฯ เตสุ ปุริมา ตโย ยถามนฺตปทํ คตาฯ เอเต หิ ลกฺขณมนฺตสงฺขาตเวทวจนานุรูปํ ปฎิปนฺนา เทฺว คติโย ภวนฺติ อนญฺญาติ วุตฺตนิยาเมน นิจฺฉินิตุํ อสโกฺกนฺตา วุตฺตเมว ปฎิปชฺชิํสุ, น มหาปุริสสฺส พุทฺธภาวปฺปตฺติํ ปจฺจาสีสิํสุฯ อิเม ปน โกณฺฑญฺญาทโย ปญฺจ ‘‘เอกํสโต พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ชาตนิจฺฉยตฺตา มนฺตปทํ อติกฺกนฺตาฯ เต อตฺตนา ลทฺธํ ตุฎฺฐิทานํ ญาตกานํ วิสฺสเชฺชตฺวา ‘‘อยํ มหาปุริโส อคาเร น อชฺฌาวสิสฺสติ, เอกเนฺตน พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ นิเพฺพมติกา โพธิสตฺตํ อุทฺทิสฺส สมณปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตา, เตสํ ปุตฺตาติปิ วทนฺติ, ตํ อฎฺฐกถายํ ปฎิกฺขิตฺตํฯ เอเต กิร ทหรกาเลว พหู มเนฺต ชานิํสุ, ตสฺมา เน พฺราหฺมณา อาจริยฎฺฐาเน ฐปยิํสุฯ เต ‘‘ปจฺฉา อเมฺหหิ ปุตฺตทารชฎํ ฉินฺทิตฺวา น สกฺกา ภวิสฺสติ ปพฺพชิตุ’’นฺติ ทหรกาเลเยว ปพฺพชิตฺวา รมณียานิ เสนาสนานิ ปริภุญฺชนฺตา วิจริํสุฯ กาเลน กาลํ ปน ‘‘กิํ โภ มหาปุริโส มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต’’ติ ปุจฺฉนฺติฯ มนุสฺสา ‘‘กุหิํ ตุเมฺห มหาปุริสํ ปสฺสิสฺสถ, ตีสุ ปาสาเทสุ วิวิธนาฎกมเชฺฌ เทโว วิย สมฺปตฺติํ อนุโภตี’’ติ วทนฺติฯ เต สุตฺวา ‘‘น ตาว มหาปุริสสฺส ญาณํ ปริปากํ คจฺฉตี’’ติ อโปฺปสฺสุกฺกา วิหริํสุเยวฯ

    Bodhisattassa jātakāle supinapaṭiggāhakā ceva lakkhaṇapaṭiggāhakā ca aṭṭha brāhmaṇā. Tesu tayo dvedhā byākariṃsu ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgato agāraṃ ajjhāvasamāno rājā hohiti cakkavattī, pabbajamāno buddho’’ti. Pañca brāhmaṇā ekaṃsabyākaraṇā ahesuṃ ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgato agāre na tiṭṭhati, buddhova hotī’’ti. Tesu purimā tayo yathāmantapadaṃ gatā. Ete hi lakkhaṇamantasaṅkhātavedavacanānurūpaṃ paṭipannā dve gatiyo bhavanti anaññāti vuttaniyāmena nicchinituṃ asakkontā vuttameva paṭipajjiṃsu, na mahāpurisassa buddhabhāvappattiṃ paccāsīsiṃsu. Ime pana koṇḍaññādayo pañca ‘‘ekaṃsato buddho bhavissatī’’ti jātanicchayattā mantapadaṃ atikkantā. Te attanā laddhaṃ tuṭṭhidānaṃ ñātakānaṃ vissajjetvā ‘‘ayaṃ mahāpuriso agāre na ajjhāvasissati, ekantena buddho bhavissatī’’ti nibbematikā bodhisattaṃ uddissa samaṇapabbajjaṃ pabbajitā, tesaṃ puttātipi vadanti, taṃ aṭṭhakathāyaṃ paṭikkhittaṃ. Ete kira daharakāleva bahū mante jāniṃsu, tasmā ne brāhmaṇā ācariyaṭṭhāne ṭhapayiṃsu. Te ‘‘pacchā amhehi puttadārajaṭaṃ chinditvā na sakkā bhavissati pabbajitu’’nti daharakāleyeva pabbajitvā ramaṇīyāni senāsanāni paribhuñjantā vicariṃsu. Kālena kālaṃ pana ‘‘kiṃ bho mahāpuriso mahābhinikkhamanaṃ nikkhanto’’ti pucchanti. Manussā ‘‘kuhiṃ tumhe mahāpurisaṃ passissatha, tīsu pāsādesu vividhanāṭakamajjhe devo viya sampattiṃ anubhotī’’ti vadanti. Te sutvā ‘‘na tāva mahāpurisassa ñāṇaṃ paripākaṃ gacchatī’’ti appossukkā vihariṃsuyeva.

    กสฺมา ปเนตฺถ ภควา ‘‘พหุการา โข เม ปญฺจวคฺคิยา’’ติ อาหฯ กิํ อุปการกานํเยว เอส ธมฺมํ เทเสติ, อนุปการกานํ น เทเสตีติ? โน น เทเสติฯ ปริจยวเสน เหส อาฬารเญฺจว กาลามํ อุทกญฺจ รามปุตฺตํ โอโลเกสิฯ เอตสฺมิํ ปน พุทฺธเกฺขเตฺต ฐเปตฺวา อญฺญาสิโกณฺฑญฺญํ อโญฺญ ปฐมํ ธมฺมํ สจฺฉิกาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ กสฺมา? ตถาวิธอุปนิสฺสยตฺตาฯ ปุเพฺพ กิร ปุญฺญกรณกาเล เทฺว ภาตโร อเหสุํฯ เต จ เอกโต สสฺสํ อกํสุฯ ตตฺถ เชฎฺฐสฺส ‘‘เอกสฺมิํ สเสฺส นว วาเร อคฺคสสฺสทานํ มยา ทาตพฺพ’’นฺติ อโหสิฯ โส วปฺปกาเล พีชคฺคํ นาม ทตฺวา คพฺภกาเล กนิเฎฺฐน สทฺธิํ มเนฺตสิ ‘‘คพฺภกาเล คพฺภํ ผาเลตฺวา ทสฺสามี’’ติฯ กนิโฎฺฐ ‘‘ตรุณสสฺสํ นาเสตุกาโมสี’’ติ อาหฯ เชโฎฺฐ กนิฎฺฐสฺส อนนุวตฺตนภาวํ ญตฺวา เขตฺตํ วิภชิตฺวา อตฺตโน โกฎฺฐาสโต คพฺภํ ผาเลตฺวา ขีรํ นีหริตฺวา สปฺปิผาณิเตน โยเชตฺวา อทาสิ, ปุถุกกาเล ปุถุกํ กาเรตฺวา อทาสิ , ลายเน ลายนคฺคํ, เวณิกรเณ เวณคฺคํ, เวณิโย ปุริสภารวเสน พนฺธิตฺวา กลาปกรเณ กลาปคฺคํ, ขเล กลาปานํ ฐปนทิวเส ขลคฺคํ, มทฺทิตฺวา วีหีนํ ราสิกรณทิวเส ขลภณฺฑคฺคํ, โกฎฺฐาคาเร ธญฺญสฺส ปกฺขิปนทิวเส โกฎฺฐคฺคนฺติ เอวํ เอกสฺมิํ สเสฺส นว วาเร อคฺคทานํ อทาสิฯ กนิโฎฺฐ ปน ขลโต ธญฺญํ อุทฺธริตฺวา คหณทิวเส อทาสิฯ เตสุ เชโฎฺฐ อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถโร ชาโต, กนิโฎฺฐ สุภทฺทปริพฺพาชโกฯ อิติ เอกสฺมิํ สเสฺส นวนฺนํ อคฺคทานานํ ทินฺนตฺตา ฐเปตฺวา เถรํ อโญฺญ ปฐมํ ธมฺมํ สจฺฉิกาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ ‘‘นวนฺนํ อคฺคทานานํ ทินฺนตฺตา’’ติ อิทญฺจ ตสฺส รตฺตญฺญูนํ อคฺคภาวตฺถาย กตาภินีหารานุรูปํ ปวตฺติตสาวกปารมิยา จิณฺณเนฺต ปวตฺติตตฺตา วุตฺตํฯ ติณฺณมฺปิ หิ โพธิสตฺตานํ ตํตํปารมิยา สิขาปฺปตฺตกาเล ปวตฺติตํ ปุญฺญํ อปุญฺญํ วา ครุตรวิปากเมว โหติ, ธมฺมสฺส จ สพฺพปฐมํ สจฺฉิกิริยาย วินา กถํ รตฺตญฺญูนํ อคฺคภาวสิทฺธีติ? ‘‘พหุการา โข เม ปญฺจวคฺคิยา’’ติ อิทํ ปน อุปการานุสฺสรณมตฺตเกเนว วุตฺตํฯ

    Kasmā panettha bhagavā ‘‘bahukārā kho me pañcavaggiyā’’ti āha. Kiṃ upakārakānaṃyeva esa dhammaṃ deseti, anupakārakānaṃ na desetīti? No na deseti. Paricayavasena hesa āḷārañceva kālāmaṃ udakañca rāmaputtaṃ olokesi. Etasmiṃ pana buddhakkhette ṭhapetvā aññāsikoṇḍaññaṃ añño paṭhamaṃ dhammaṃ sacchikātuṃ samattho nāma natthi. Kasmā? Tathāvidhaupanissayattā. Pubbe kira puññakaraṇakāle dve bhātaro ahesuṃ. Te ca ekato sassaṃ akaṃsu. Tattha jeṭṭhassa ‘‘ekasmiṃ sasse nava vāre aggasassadānaṃ mayā dātabba’’nti ahosi. So vappakāle bījaggaṃ nāma datvā gabbhakāle kaniṭṭhena saddhiṃ mantesi ‘‘gabbhakāle gabbhaṃ phāletvā dassāmī’’ti. Kaniṭṭho ‘‘taruṇasassaṃ nāsetukāmosī’’ti āha. Jeṭṭho kaniṭṭhassa ananuvattanabhāvaṃ ñatvā khettaṃ vibhajitvā attano koṭṭhāsato gabbhaṃ phāletvā khīraṃ nīharitvā sappiphāṇitena yojetvā adāsi, puthukakāle puthukaṃ kāretvā adāsi , lāyane lāyanaggaṃ, veṇikaraṇe veṇaggaṃ, veṇiyo purisabhāravasena bandhitvā kalāpakaraṇe kalāpaggaṃ, khale kalāpānaṃ ṭhapanadivase khalaggaṃ, madditvā vīhīnaṃ rāsikaraṇadivase khalabhaṇḍaggaṃ, koṭṭhāgāre dhaññassa pakkhipanadivase koṭṭhagganti evaṃ ekasmiṃ sasse nava vāre aggadānaṃ adāsi. Kaniṭṭho pana khalato dhaññaṃ uddharitvā gahaṇadivase adāsi. Tesu jeṭṭho aññāsikoṇḍaññatthero jāto, kaniṭṭho subhaddaparibbājako. Iti ekasmiṃ sasse navannaṃ aggadānānaṃ dinnattā ṭhapetvā theraṃ añño paṭhamaṃ dhammaṃ sacchikātuṃ samattho nāma natthi. ‘‘Navannaṃ aggadānānaṃ dinnattā’’ti idañca tassa rattaññūnaṃ aggabhāvatthāya katābhinīhārānurūpaṃ pavattitasāvakapāramiyā ciṇṇante pavattitattā vuttaṃ. Tiṇṇampi hi bodhisattānaṃ taṃtaṃpāramiyā sikhāppattakāle pavattitaṃ puññaṃ apuññaṃ vā garutaravipākameva hoti, dhammassa ca sabbapaṭhamaṃ sacchikiriyāya vinā kathaṃ rattaññūnaṃ aggabhāvasiddhīti? ‘‘Bahukārā kho me pañcavaggiyā’’ti idaṃ pana upakārānussaraṇamattakeneva vuttaṃ.

    อิสิปตเน มิคทาเยติ ตสฺมิํ กิร ปเทเส อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ปเจฺจกสมฺพุทฺธา คนฺธมาทนปพฺพเต สตฺตาหํ นิโรธสมาปตฺติยา วีตินาเมตฺวา นิโรธา วุฎฺฐาย นาคลตาทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา อโนตตฺตทเห มุขํ โธวิตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อากาเสน อาคนฺตฺวา นิปตนฺติฯ ตตฺถ จีวรํ ปารุปิตฺวา นคเร ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิจฺจา คมนกาเลปิ ตโตเยว อุปฺปติตฺวา คจฺฉนฺติฯ อิติ อิสโย เอตฺถ นิปตนฺติ อุปฺปตนฺติ จาติ ตํ ฐานํ ‘‘อิสิปตน’’นฺติ สงฺขํ คตํ, มิคานํ ปน อภยตฺถาย ทินฺนตฺตา ‘‘มิคทาโย’’ติ วุจฺจติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิสิปตเน มิคทาเย’’ติฯ อเญฺญ พุทฺธา ปฐมํ ธมฺมเทสนตฺถาย คจฺฉนฺตา อากาเสน คนฺตฺวา ตเตฺถว โอตรนฺติ, อมฺหากํ ปน ภควา อุปกสฺส อาชีวกสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ‘‘อุปโก อิมํ อทฺธานํ ปฎิปโนฺน, โส มํ ทิสฺวา สลฺลปิตฺวา คมิสฺสติ, อถ ปุน นิพฺพิโนฺน อาคมฺม อรหตฺตํ สจฺฉิกริสฺสตี’’ติ ญตฺวา อฎฺฐารสโยชนํ มคฺคํ ปทสาว อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เยน พาราณสี, เตน จาริกํ ปกฺกามี’’ติฯ

    Isipatane migadāyeti tasmiṃ kira padese anuppanne buddhe paccekasambuddhā gandhamādanapabbate sattāhaṃ nirodhasamāpattiyā vītināmetvā nirodhā vuṭṭhāya nāgalatādantakaṭṭhaṃ khāditvā anotattadahe mukhaṃ dhovitvā pattacīvaramādāya ākāsena āgantvā nipatanti. Tattha cīvaraṃ pārupitvā nagare piṇḍāya caritvā katabhattakiccā gamanakālepi tatoyeva uppatitvā gacchanti. Iti isayo ettha nipatanti uppatanti cāti taṃ ṭhānaṃ ‘‘isipatana’’nti saṅkhaṃ gataṃ, migānaṃ pana abhayatthāya dinnattā ‘‘migadāyo’’ti vuccati. Tena vuttaṃ ‘‘isipatane migadāye’’ti. Aññe buddhā paṭhamaṃ dhammadesanatthāya gacchantā ākāsena gantvā tattheva otaranti, amhākaṃ pana bhagavā upakassa ājīvakassa upanissayaṃ disvā ‘‘upako imaṃ addhānaṃ paṭipanno, so maṃ disvā sallapitvā gamissati, atha puna nibbinno āgamma arahattaṃ sacchikarissatī’’ti ñatvā aṭṭhārasayojanaṃ maggaṃ padasāva agamāsi. Tena vuttaṃ ‘‘yena bārāṇasī, tena cārikaṃ pakkāmī’’ti.

    ๑๑. อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธินฺติ คยาย จ โพธิสฺส จ วิวเร ติคาวุตนฺตเร ฐาเนฯ โพธิมณฺฑโต หิ คยา ตีณิ คาวุตานิ, พาราณสี อฎฺฐารส โยชนานิฯ อุปโก โพธิมณฺฑสฺส จ คยาย จ อนฺตเร ภควนฺตํ อทฺทสฯ อนฺตรา-สเทฺทน ปน ยุตฺตตฺตา อุปโยควจนํ กตํฯ อีทิเสสุ จ ฐาเนสุ อกฺขรจินฺตกา ‘‘อนฺตรา คามญฺจ นทิญฺจ ยาตี’’ติ เอวํ เอกเมว อนฺตรา-สทฺทํ ปยุชฺชนฺติ, โส ทุติยปเทนปิ โยเชตโพฺพ โหติ, อโยชิยมาเน อุปโยควจนํ น ปาปุณาติ สามิวจนสฺส ปสเงฺค อนฺตรา-สทฺทโยเคน อุปโยควจนสฺส อิจฺฉิตตฺตาฯ อิธ ปน โยเชตฺวา เอว วุโตฺตฯ อทฺธานมคฺคนฺติ อทฺธานสงฺขาตํ มคฺคํ, ทีฆมคฺคนฺติ อโตฺถฯ อทฺธานคมนสมยสฺส วิภเงฺค ‘‘อทฺธโยชนํ คจฺฉิสฺสามีติ ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติอาทิวจนโต (ปาจิ. ๒๑๘) อทฺธโยชนมฺปิ อทฺธานมโคฺค โหติฯ โพธิมณฺฑโต ปน คยา ติคาวุตํฯ วิปฺปสนฺนานีติ สุฎฺฐุ ปสนฺนานิฯ อินฺทฺริยานีติ มนจฺฉฎฺฐานิ อินฺทฺริยานิฯ ปริสุโทฺธติ นิโทฺทโสฯ ปริโยทาโตติ ตเสฺสว เววจนํฯ นิรุปกฺกิเลสตาเยว หิ เอส ‘‘ปริโยทาโต’’ติ วุโตฺต, น เสตภาเวนฯ เอตสฺส ปริโยทาตตํ ทิสฺวาว อินฺทฺริยานํ วิปฺปสนฺนตํ อญฺญาสิ, นยคฺคาหีปญฺญา กิเรสา ตสฺส อาชีวกสฺสฯ

    11.Antarā ca gayaṃ antarā ca bodhinti gayāya ca bodhissa ca vivare tigāvutantare ṭhāne. Bodhimaṇḍato hi gayā tīṇi gāvutāni, bārāṇasī aṭṭhārasa yojanāni. Upako bodhimaṇḍassa ca gayāya ca antare bhagavantaṃ addasa. Antarā-saddena pana yuttattā upayogavacanaṃ kataṃ. Īdisesu ca ṭhānesu akkharacintakā ‘‘antarā gāmañca nadiñca yātī’’ti evaṃ ekameva antarā-saddaṃ payujjanti, so dutiyapadenapi yojetabbo hoti, ayojiyamāne upayogavacanaṃ na pāpuṇāti sāmivacanassa pasaṅge antarā-saddayogena upayogavacanassa icchitattā. Idha pana yojetvā eva vutto. Addhānamagganti addhānasaṅkhātaṃ maggaṃ, dīghamagganti attho. Addhānagamanasamayassa vibhaṅge ‘‘addhayojanaṃ gacchissāmīti bhuñjitabba’’ntiādivacanato (pāci. 218) addhayojanampi addhānamaggo hoti. Bodhimaṇḍato pana gayā tigāvutaṃ. Vippasannānīti suṭṭhu pasannāni. Indriyānīti manacchaṭṭhāni indriyāni. Parisuddhoti niddoso. Pariyodātoti tasseva vevacanaṃ. Nirupakkilesatāyeva hi esa ‘‘pariyodāto’’ti vutto, na setabhāvena. Etassa pariyodātataṃ disvāva indriyānaṃ vippasannataṃ aññāsi, nayaggāhīpaññā kiresā tassa ājīvakassa.

    สพฺพาภิภูติ สพฺพํ เตภูมกธมฺมํ อภิภวิตฺวา ฐิโตฯ สพฺพวิทูติ สพฺพํ จตุภูมกธมฺมํ อเวทิํ อญฺญาสิํ สพฺพโส เญยฺยาวรณสฺส ปหีนตฺตาฯ สเพฺพสุ ธเมฺมสุ อนูปลิโตฺตติ สเพฺพสุ เตภูมกธเมฺมสุ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนาทินา กิเลสเลเปน อลิโตฺตฯ สพฺพญฺชโหติ สพฺพํ เตภูมกธมฺมํ ชหิตฺวา ฐิโตฯ อปฺปหาตพฺพมฺปิ หิ กุสลาพฺยากตํ ตปฺปฎิพทฺธกิเลสปฺปหาเนน ปหีนตฺตา น โหตีติ ชหิตเมว โหติฯ ตณฺหกฺขเย วิมุโตฺตติ ตณฺหกฺขเย นิพฺพาเน อารมฺมณกรณวเสน วิมุโตฺตฯ สยํ อภิญฺญายาติ สพฺพํ จตุภูมกธมฺมํ อตฺตนาว ชานิตฺวาฯ กมุทฺทิเสยฺยนฺติ กํ อญฺญํ ‘‘อยํ เม อาจริโย’’ติ อุทฺทิเสยฺยํฯ

    Sabbābhibhūti sabbaṃ tebhūmakadhammaṃ abhibhavitvā ṭhito. Sabbavidūti sabbaṃ catubhūmakadhammaṃ avediṃ aññāsiṃ sabbaso ñeyyāvaraṇassa pahīnattā. Sabbesu dhammesu anūpalittoti sabbesu tebhūmakadhammesu rajjanadussanamuyhanādinā kilesalepena alitto. Sabbañjahoti sabbaṃ tebhūmakadhammaṃ jahitvā ṭhito. Appahātabbampi hi kusalābyākataṃ tappaṭibaddhakilesappahānena pahīnattā na hotīti jahitameva hoti. Taṇhakkhaye vimuttoti taṇhakkhaye nibbāne ārammaṇakaraṇavasena vimutto. Sayaṃ abhiññāyāti sabbaṃ catubhūmakadhammaṃ attanāva jānitvā. Kamuddiseyyanti kaṃ aññaṃ ‘‘ayaṃ me ācariyo’’ti uddiseyyaṃ.

    น เม อาจริโย อตฺถีติ โลกุตฺตรธเมฺม มยฺหํ อาจริโย นาม นตฺถิฯ กิญฺจาปิ หิ โลกิยธมฺมานมฺปิ ยาทิโส โลกนาถสฺส อธิคโม, น ตาทิโส อธิคโม ปรูปเทโส อตฺถิ, โลกุตฺตรธเมฺม ปนสฺส เลโสปิ นตฺถิฯ นตฺถิ เม ปฎิปุคฺคโลติ มยฺหํ สีลาทีหิ คุเณหิ ปฎินิธิภูโต ปุคฺคโล นาม นตฺถิฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธติ เหตุนา นเยน จตฺตาริ สจฺจานิ สยํ พุโทฺธ ฯ สีติภูโตติ สพฺพกิเลสคฺคินิพฺพาปเนน สีติภูโต, กิเลสานํ เยว นิพฺพุตตฺตา นิพฺพุโต

    Na me ācariyo atthīti lokuttaradhamme mayhaṃ ācariyo nāma natthi. Kiñcāpi hi lokiyadhammānampi yādiso lokanāthassa adhigamo, na tādiso adhigamo parūpadeso atthi, lokuttaradhamme panassa lesopi natthi. Natthi me paṭipuggaloti mayhaṃ sīlādīhi guṇehi paṭinidhibhūto puggalo nāma natthi. Sammāsambuddhoti hetunā nayena cattāri saccāni sayaṃ buddho . Sītibhūtoti sabbakilesagginibbāpanena sītibhūto, kilesānaṃ yeva nibbutattā nibbuto.

    กาสินํ ปุรนฺติ กาสิรเฎฺฐ นครํฯ อาหญฺฉนฺติ อาหนิสฺสามิฯ อมตทุนฺทุภินฺติ เวเนยฺยานํ อมตาธิคมาย อุโคฺฆสนาทิํ กตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนา ‘‘อมตทุนฺทุภี’’ติ วุตฺตา, ธมฺมจกฺกปฎิลาภาย ตํ อมตเภริํ ปหริสฺสามีติ คจฺฉามีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Kāsinaṃpuranti kāsiraṭṭhe nagaraṃ. Āhañchanti āhanissāmi. Amatadundubhinti veneyyānaṃ amatādhigamāya ugghosanādiṃ katvā satthu dhammadesanā ‘‘amatadundubhī’’ti vuttā, dhammacakkapaṭilābhāya taṃ amatabheriṃ paharissāmīti gacchāmīti vuttaṃ hoti.

    อรหสิ อนนฺตชิโนติ อนนฺตชิโนปิ ภวิตุํ ยุโตฺตติ อโตฺถฯ อนนฺตญาโณ ชิตกิเลโสติ อนนฺตชิโนฯ หุเปยฺยปาวุโสติ อาวุโส เอวมฺปิ นาม ภเวยฺย, เอวํวิเธ นาม รูปรตเน อีทิเสน ญาเณน ภวิตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ อยญฺหิสฺส ปพฺพชฺชาย ปจฺจโย ชาโตฯ กตาธิกาโร เหสฯ ตถา หิ ภควา เตน สมาคมนตฺถํ ปทสาว ตํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ ปกฺกามีติ วงฺกหารชนปทํ นาม อคมาสิฯ

    Arahasi anantajinoti anantajinopi bhavituṃ yuttoti attho. Anantañāṇo jitakilesoti anantajino. Hupeyyapāvusoti āvuso evampi nāma bhaveyya, evaṃvidhe nāma rūparatane īdisena ñāṇena bhavitabbanti adhippāyo. Ayañhissa pabbajjāya paccayo jāto. Katādhikāro hesa. Tathā hi bhagavā tena samāgamanatthaṃ padasāva taṃ maggaṃ paṭipajji. Pakkāmīti vaṅkahārajanapadaṃ nāma agamāsi.

    ตเตฺถกํ มิคลุทฺทกคามกํ นิสฺสาย วาสํ กเปฺปสิ, เชฎฺฐกลุทฺทโก ตํ อุปฎฺฐาสิฯ ตสฺมิญฺจ ชนปเท จณฺฑา มกฺขิกา โหนฺติฯ อถ นํ เอกาย จาฎิยา วสาเปสุํฯ มิคลุทฺทโก ทูรํ มิควํ คจฺฉโนฺต ‘‘อมฺหากํ อรหเนฺต มา ปมชฺชี’’ติ จาปํ นาม ธีตรํ อาณาเปตฺวา อคมาสิ สทฺธิํ ปุตฺตภาตุเกหิฯ สา จสฺส ธีตา ทสฺสนียา โหติ โกฎฺฐาสสมฺปนฺนาฯ ทุติยทิวเส อุปโก ฆรํ อาคโต ตํ ทาริกํ สพฺพํ อุปจารํ กตฺวา ปริวิสิตุํ อุปคตํ ทิสฺวา ราเคน อภิภูโต ภุญฺชิตุมฺปิ อสโกฺกโนฺต ภาชเนน ภตฺตํ อาทาย วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ภตฺตํ เอกมนฺตํ นิกฺขิปิตฺวา ‘‘สเจ จาปํ ลภามิ, ชีวามิฯ โน เจ, มรามี’’ติ นิราหาโร สยิฯ สตฺตเม ทิวเส มาควิโก อาคนฺตฺวา ธีตรํ อุปกสฺส ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ สา ‘‘เอกทิวสเมว อาคนฺตฺวา ปุน นาคตปุโพฺพ’’ติ อาหฯ

    Tatthekaṃ migaluddakagāmakaṃ nissāya vāsaṃ kappesi, jeṭṭhakaluddako taṃ upaṭṭhāsi. Tasmiñca janapade caṇḍā makkhikā honti. Atha naṃ ekāya cāṭiyā vasāpesuṃ. Migaluddako dūraṃ migavaṃ gacchanto ‘‘amhākaṃ arahante mā pamajjī’’ti cāpaṃ nāma dhītaraṃ āṇāpetvā agamāsi saddhiṃ puttabhātukehi. Sā cassa dhītā dassanīyā hoti koṭṭhāsasampannā. Dutiyadivase upako gharaṃ āgato taṃ dārikaṃ sabbaṃ upacāraṃ katvā parivisituṃ upagataṃ disvā rāgena abhibhūto bhuñjitumpi asakkonto bhājanena bhattaṃ ādāya vasanaṭṭhānaṃ gantvā bhattaṃ ekamantaṃ nikkhipitvā ‘‘sace cāpaṃ labhāmi, jīvāmi. No ce, marāmī’’ti nirāhāro sayi. Sattame divase māgaviko āgantvā dhītaraṃ upakassa pavattiṃ pucchi. Sā ‘‘ekadivasameva āgantvā puna nāgatapubbo’’ti āha.

    มาควิโก อาคตเวเสเนว นํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิสฺสามีติ ตงฺขณํเยว คนฺตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต, อผาสุก’’นฺติ ปาเท ปรามสโนฺต ปุจฺฉิฯ อุปโก นิตฺถุนโนฺต ปริวตฺตติเยวฯ โส ‘‘วท ภเนฺต, ยํ มยา สกฺกา กาตุํ, สพฺพํ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ อุปโก ‘‘สเจ จาปํ ลภามิ, ชีวามิ, โน เจ, มยฺหเมว มรณํ เสโยฺย’’ติ อาหฯ ชานาสิ กิร, ภเนฺต, กิญฺจิ สิปฺปนฺติ? น ชานามีติฯ น, ภเนฺต, กิญฺจิ สิปฺปํ อชานเนฺตน สกฺกา ฆราวาสํ อธิฎฺฐาตุนฺติฯ โส อาห ‘‘นาหํ กิญฺจิ สิปฺปํ ชานามิ, อปิจ ตุมฺหากํ มํสหารโก ภวิสฺสามิ, มํสญฺจ วิกฺกิณิสฺสามี’’ติฯ มาควิโก ‘‘อมฺหากมฺปิ เอตเทว รุจฺจตี’’ติ อุตฺตรสาฎกํ ทตฺวา ฆรํ อาเนตฺวา ธีตรํ อทาสิฯ เตสํ สํวาสมนฺวาย ปุโตฺต วิชายิ, ‘‘สุภโทฺท’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ จาปา ตสฺส โรทนกาเล ‘‘มํสหารกสฺส ปุตฺต มิคลุทฺทกสฺส ปุตฺต มา โรทิ มา โรที’’ติอาทีนิ วทมานา ปุตฺตโตสนคีเตน อุปกํ อุปฺปเณฺฑสิฯ ‘‘ภเทฺท ตฺวํ มํ อนาโถติ มญฺญสิ, อตฺถิ เม อนนฺตชิโน นาม สหาโย, ตสฺสาหํ สนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติ อาหฯ จาปา ‘‘เอวมยํ อฎฺฎียตี’’ติ ญตฺวา ปุนปฺปุนํ กเถสิฯ โส เอกทิวสํ อนาโรเจตฺวาว มชฺฌิมเทสาภิมุโข ปกฺกามิฯ

    Māgaviko āgataveseneva naṃ upasaṅkamitvā pucchissāmīti taṅkhaṇaṃyeva gantvā ‘‘kiṃ, bhante, aphāsuka’’nti pāde parāmasanto pucchi. Upako nitthunanto parivattatiyeva. So ‘‘vada bhante, yaṃ mayā sakkā kātuṃ, sabbaṃ karissāmī’’ti āha. Upako ‘‘sace cāpaṃ labhāmi, jīvāmi, no ce, mayhameva maraṇaṃ seyyo’’ti āha. Jānāsi kira, bhante, kiñci sippanti? Na jānāmīti. Na, bhante, kiñci sippaṃ ajānantena sakkā gharāvāsaṃ adhiṭṭhātunti. So āha ‘‘nāhaṃ kiñci sippaṃ jānāmi, apica tumhākaṃ maṃsahārako bhavissāmi, maṃsañca vikkiṇissāmī’’ti. Māgaviko ‘‘amhākampi etadeva ruccatī’’ti uttarasāṭakaṃ datvā gharaṃ ānetvā dhītaraṃ adāsi. Tesaṃ saṃvāsamanvāya putto vijāyi, ‘‘subhaddo’’tissa nāmaṃ akaṃsu. Cāpā tassa rodanakāle ‘‘maṃsahārakassa putta migaluddakassa putta mā rodi mā rodī’’tiādīni vadamānā puttatosanagītena upakaṃ uppaṇḍesi. ‘‘Bhadde tvaṃ maṃ anāthoti maññasi, atthi me anantajino nāma sahāyo, tassāhaṃ santikaṃ gamissāmī’’ti āha. Cāpā ‘‘evamayaṃ aṭṭīyatī’’ti ñatvā punappunaṃ kathesi. So ekadivasaṃ anārocetvāva majjhimadesābhimukho pakkāmi.

    ภควา จ เตน สมเยน สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน, อถ โข ภควา ปฎิกเจฺจว ภิกฺขู อาณาเปสิ ‘‘โย, ภิกฺขเว, อนนฺตชิโนติ ปุจฺฉมาโน อาคจฺฉติ, ตสฺส มํ ทเสฺสยฺยาถา’’ติฯ อุปโกปิ โข ‘‘กุหิํ อนนฺตชิโน วสตี’’ติ ปุจฺฉโนฺต อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ อาคนฺตฺวา วิหารมเชฺฌ ฐตฺวา ‘‘กุหิํ อนนฺตชิโน’’ติ ปุจฺฉิฯ ตํ ภิกฺขู ภควโต สนฺติกํ นยิํสุฯ โส จ ภควนฺตํ ทิสฺวา ‘‘สญฺชานาถ มํ ภควา’’ติ อาหฯ อาม อุปก สญฺชานามิ, กุหิํ ปน ตฺวํ วสิตฺถาติฯ วงฺกหารชนปเท, ภเนฺตติฯ อุปก มหลฺลโกสิ ชาโต, ปพฺพชิตุํ สกฺขิสฺสสีติฯ ปพฺพชิสฺสามิ, ภเนฺตติฯ ภควา ปพฺพาเชตฺวา ตสฺส กมฺมฎฺฐานํ อทาสิฯ โส กมฺมฎฺฐาเน กมฺมํ กโรโนฺต อนาคามิผเล ปติฎฺฐาย กาลํ กตฺวา อวิเหสุ นิพฺพโตฺต, นิพฺพตฺติกฺขเณเยว จ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อวิเห นิพฺพตฺตมตฺตา หิ สตฺต ชนา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ, เตสํ โส อญฺญตโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Bhagavā ca tena samayena sāvatthiyaṃ viharati jetavane, atha kho bhagavā paṭikacceva bhikkhū āṇāpesi ‘‘yo, bhikkhave, anantajinoti pucchamāno āgacchati, tassa maṃ dasseyyāthā’’ti. Upakopi kho ‘‘kuhiṃ anantajino vasatī’’ti pucchanto anupubbena sāvatthiṃ āgantvā vihāramajjhe ṭhatvā ‘‘kuhiṃ anantajino’’ti pucchi. Taṃ bhikkhū bhagavato santikaṃ nayiṃsu. So ca bhagavantaṃ disvā ‘‘sañjānātha maṃ bhagavā’’ti āha. Āma upaka sañjānāmi, kuhiṃ pana tvaṃ vasitthāti. Vaṅkahārajanapade, bhanteti. Upaka mahallakosi jāto, pabbajituṃ sakkhissasīti. Pabbajissāmi, bhanteti. Bhagavā pabbājetvā tassa kammaṭṭhānaṃ adāsi. So kammaṭṭhāne kammaṃ karonto anāgāmiphale patiṭṭhāya kālaṃ katvā avihesu nibbatto, nibbattikkhaṇeyeva ca arahattaṃ pāpuṇi. Avihe nibbattamattā hi satta janā arahattaṃ pāpuṇiṃsu, tesaṃ so aññataro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อวิหํ อุปปนฺนาเส, วิมุตฺตา สตฺต ภิกฺขโว;

    ‘‘Avihaṃ upapannāse, vimuttā satta bhikkhavo;

    ราคโทสปริกฺขีณา, ติณฺณา โลเก วิสตฺติกํฯ

    Rāgadosaparikkhīṇā, tiṇṇā loke visattikaṃ.

    ‘‘อุปโก ปลคโณฺฑ จ, ปุกฺกุสาติ จ เต ตโย;

    ‘‘Upako palagaṇḍo ca, pukkusāti ca te tayo;

    ภทฺทิโย ขณฺฑเทโว จ, พาหุรคฺคิ จ สงฺคิโย;

    Bhaddiyo khaṇḍadevo ca, bāhuraggi ca saṅgiyo;

    เต หิตฺวา มานุสํ เทหํ, ทิพฺพโยคํ อุปจฺจคุ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๕๐, ๑๐๕);

    Te hitvā mānusaṃ dehaṃ, dibbayogaṃ upaccagu’’nti. (saṃ. ni. 1.50, 105);

    ๑๒. สณฺฐเปสุนฺติ ‘‘เนว อภิวาเทตโพฺพ’’ติอาทินา กติกํ อกํสุฯ พาหุลฺลิโกติ จีวรพาหุลฺลาทีนํ อตฺถาย ปฎิปโนฺนฯ ปธานวิพฺภโนฺตติ ปธานโต ปุเพฺพ อนุฎฺฐิตทุกฺกรจรณโต วิพฺภโนฺต ภโฎฺฐ ปริหีโนฯ อาวโตฺต พาหุลฺลายาติ จีวราทิพหุภาวตฺถาย อาวโตฺตฯ อปิจ โข อาสนํ ฐเปตพฺพนฺติ อปิจ โข ปนสฺส อุจฺจกุเล นิพฺพตฺตสฺส อาสนมตฺตํ ฐเปตพฺพนฺติ วทิํสุฯ อสณฺฐหนฺตาติ พุทฺธานุภาเวน พุทฺธเตเชน อภิภูตา อตฺตโน กติกาย ฐาตุํ อสโกฺกนฺตาฯ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรนฺตีติ ‘‘โคตมา’’ติ จ ‘‘อาวุโส’’ติ จ วทนฺติ, ‘‘อาวุโส โคตม, มยํ อุรุเวลายํ ปธานกาเล ตุยฺหํ ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วิจริมฺห, มุโขทกํ ทนฺตกฎฺฐํ อทมฺห, วุตฺถปริเวณํ สมฺมชฺชิมฺห, ปจฺฉา เต โก วตฺตปฎิปตฺติํ อกาสิ, กจฺจิ อเมฺหสุ ปกฺกเนฺตสุ น จินฺตยิตฺถา’’ติ เอวรูปํ กถํ กเถนฺตีติ อโตฺถฯ

    12.Saṇṭhapesunti ‘‘neva abhivādetabbo’’tiādinā katikaṃ akaṃsu. Bāhullikoti cīvarabāhullādīnaṃ atthāya paṭipanno. Padhānavibbhantoti padhānato pubbe anuṭṭhitadukkaracaraṇato vibbhanto bhaṭṭho parihīno. Āvatto bāhullāyāti cīvarādibahubhāvatthāya āvatto. Apica kho āsanaṃ ṭhapetabbanti apica kho panassa uccakule nibbattassa āsanamattaṃ ṭhapetabbanti vadiṃsu. Asaṇṭhahantāti buddhānubhāvena buddhatejena abhibhūtā attano katikāya ṭhātuṃ asakkontā. Nāmena ca āvusovādena ca samudācarantīti ‘‘gotamā’’ti ca ‘‘āvuso’’ti ca vadanti, ‘‘āvuso gotama, mayaṃ uruvelāyaṃ padhānakāle tuyhaṃ pattacīvaraṃ gahetvā vicarimha, mukhodakaṃ dantakaṭṭhaṃ adamha, vutthapariveṇaṃ sammajjimha, pacchā te ko vattapaṭipattiṃ akāsi, kacci amhesu pakkantesu na cintayitthā’’ti evarūpaṃ kathaṃ kathentīti attho.

    น จิรเสฺสวาติ อจิเรเนวฯ กุลปุตฺตาติ ทุวิธา กุลปุตฺตา ชาติกุลปุตฺตา อาจารกุลปุตฺตา จ, เอเต ปน อุภยถาปิ กุลปุตฺตาเยวฯ อคารสฺมาติ ฆราฯ อคาราย หิตํ อคาริยํ, กสิโครกฺขาทิ กุฎุมฺพโปสนกมฺมํ วุจฺจติฯ นตฺถิ เอตฺถ อคาริยนฺติ อนคาริยํฯ ปพฺพชฺชาเยตํ อธิวจนํฯ ปพฺพชนฺตีติ อุปคจฺฉนฺติ อุปสงฺกมนฺติฯ ตทนุตฺตรนฺติ ตํ อนุตฺตรํฯ พฺรหฺมจริยปริโยสานนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส ปริโยสานํ, อรหตฺตผลนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส หิ อตฺถาย กุลปุตฺตา ปพฺพชนฺติฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ ตสฺมิํเยว อตฺตภาเวฯ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวาติ อตฺตโนเยว ปญฺญาย ปจฺจกฺขํ กตฺวา, อปรปฺปจฺจยํ กตฺวาติ อโตฺถฯ อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถาติ ปาปุณิตฺวา สมฺปาเทตฺวา วิหริสฺสถฯ

    Na cirassevāti acireneva. Kulaputtāti duvidhā kulaputtā jātikulaputtā ācārakulaputtā ca, ete pana ubhayathāpi kulaputtāyeva. Agārasmāti gharā. Agārāya hitaṃ agāriyaṃ, kasigorakkhādi kuṭumbaposanakammaṃ vuccati. Natthi ettha agāriyanti anagāriyaṃ. Pabbajjāyetaṃ adhivacanaṃ. Pabbajantīti upagacchanti upasaṅkamanti. Tadanuttaranti taṃ anuttaraṃ. Brahmacariyapariyosānanti maggabrahmacariyassa pariyosānaṃ, arahattaphalanti vuttaṃ hoti. Tassa hi atthāya kulaputtā pabbajanti. Diṭṭheva dhammeti tasmiṃyeva attabhāve. Sayaṃ abhiññā sacchikatvāti attanoyeva paññāya paccakkhaṃ katvā, aparappaccayaṃ katvāti attho. Upasampajja viharissathāti pāpuṇitvā sampādetvā viharissatha.

    อิริยายาติ ทุกฺกรอิริยายฯ ปฎิปทายาติ ทุกฺกรปฎิปตฺติยาฯ ทุกฺกรการิกายาติ ปสตปสตมุคฺคยูสาทิอาหรณาทินา ทุกฺกรกรเณนฯ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมาติ มนุสฺสธมฺมโต อุปริฯ อลํ อริยํ กาตุนฺติ อลมริโย, อริยภาวาย สมโตฺถติ วุตฺตํ โหติ, ญาณทสฺสนเมว ญาณทสฺสนวิเสโส, อลมริโย จ โส ญาณทสฺสนวิเสโส จาติ อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสฯ ญาณทสฺสนนฺติ จ ทิพฺพจกฺขุปิ วิปสฺสนาปิ มโคฺคปิ ผลมฺปิ ปจฺจเวกฺขณญาณมฺปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณมฺปิ วุจฺจติฯ ‘‘อปฺปมโตฺต สมาโน ญาณทสฺสนํ อาราเธตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๑๑) หิ เอตฺถ ทิพฺพจกฺขุ ญาณทสฺสนํ นามฯ ‘‘ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๓๕) เอตฺถ วิปสฺสนาญาณํฯ ‘‘อภพฺพา เต ญาณทสฺสนาย อนุตฺตราย สโมฺพธายา’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๙๖) เอตฺถ มโคฺคฯ ‘‘อยมโญฺญ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุวิหาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๒๘) เอตฺถ ผลํฯ ‘‘ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ‘อกุปฺปา เม เจโตวิมุตฺติ, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๖) เอตฺถ ปจฺจเวกฺขณญาณํฯ ‘‘ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ‘สตฺตาหกาลกโต อาฬาโร กาลาโม’’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๘๔; ๒.๓๔๐; มหาว. ๑๐) เอตฺถ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ อิธ ปน สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐาโน อริยมโคฺค สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว วา อธิเปฺปตํฯ

    Iriyāyāti dukkarairiyāya. Paṭipadāyāti dukkarapaṭipattiyā. Dukkarakārikāyāti pasatapasatamuggayūsādiāharaṇādinā dukkarakaraṇena. Uttari manussadhammāti manussadhammato upari. Alaṃ ariyaṃ kātunti alamariyo, ariyabhāvāya samatthoti vuttaṃ hoti, ñāṇadassanameva ñāṇadassanaviseso, alamariyo ca so ñāṇadassanaviseso cāti alamariyañāṇadassanaviseso. Ñāṇadassananti ca dibbacakkhupi vipassanāpi maggopi phalampi paccavekkhaṇañāṇampi sabbaññutaññāṇampi vuccati. ‘‘Appamatto samāno ñāṇadassanaṃ ārādhetī’’ti (ma. ni. 1.311) hi ettha dibbacakkhu ñāṇadassanaṃ nāma. ‘‘Ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmetī’’ti (dī. ni. 1.235) ettha vipassanāñāṇaṃ. ‘‘Abhabbā te ñāṇadassanāya anuttarāya sambodhāyā’’ti (a. ni. 4.196) ettha maggo. ‘‘Ayamañño uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsuvihāro’’ti (ma. ni. 1.328) ettha phalaṃ. ‘‘Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi ‘akuppā me cetovimutti, ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavo’’’ti (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 16) ettha paccavekkhaṇañāṇaṃ. ‘‘Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi ‘sattāhakālakato āḷāro kālāmo’’’ti (ma. ni. 1.284; 2.340; mahāva. 10) ettha sabbaññutaññāṇaṃ. Idha pana sabbaññutaññāṇapadaṭṭhāno ariyamaggo sabbaññutaññāṇameva vā adhippetaṃ.

    อภิชานาถ เม โนติ อภิชานาถ นุ เมฯ เอวรูปํ ปภาวิตเมตนฺติ เอตฺถ เอวรูปํ วากฺยเภทนฺติ อโตฺถ, อปิ นุ อหํ อุรุเวลายํ ปธาเน ตุมฺหากํ สงฺคณฺหนตฺถํ อนุกฺกณฺฐนตฺถํ รตฺติํ วา ทิวา วา อาคนฺตฺวา ‘‘อาวุโส, มยํ ยตฺถ กตฺถจิ คมิสฺสามาติ มา วิตกฺกยิตฺถ, มยฺหํ โอภาโส วา กมฺมฎฺฐานนิมิตฺตํ วา ปญฺญายตี’’ติ เอวรูปํ กญฺจิ วจนเภทํ อกาสินฺติ อธิปฺปาโยฯ เต เอกปเทเนว สติํ ลภิตฺวา อุปฺปนฺนคารวา ‘‘อทฺธา เอส พุโทฺธ ชาโต’’ติ สทฺทหิตฺวา ‘‘โน เหตํ ภเนฺต’’ติ อาหํสุฯ อสกฺขิ โข ภควา ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู สญฺญาเปตุนฺติ ภควา ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู ‘‘พุโทฺธ อห’’นฺติ ชานาเปตุํ อสกฺขิฯ อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปสุนฺติ อญฺญาย อรหตฺตปฺปตฺติยา จิตฺตํ อุปฎฺฐเปสุํ อภินีหริํสุฯ

    Abhijānātha me noti abhijānātha nu me. Evarūpaṃ pabhāvitametanti ettha evarūpaṃ vākyabhedanti attho, api nu ahaṃ uruvelāyaṃ padhāne tumhākaṃ saṅgaṇhanatthaṃ anukkaṇṭhanatthaṃ rattiṃ vā divā vā āgantvā ‘‘āvuso, mayaṃ yattha katthaci gamissāmāti mā vitakkayittha, mayhaṃ obhāso vā kammaṭṭhānanimittaṃ vā paññāyatī’’ti evarūpaṃ kañci vacanabhedaṃ akāsinti adhippāyo. Te ekapadeneva satiṃ labhitvā uppannagāravā ‘‘addhā esa buddho jāto’’ti saddahitvā ‘‘no hetaṃ bhante’’ti āhaṃsu. Asakkhi kho bhagavā pañcavaggiye bhikkhū saññāpetunti bhagavā pañcavaggiye bhikkhū ‘‘buddho aha’’nti jānāpetuṃ asakkhi. Aññā cittaṃ upaṭṭhāpesunti aññāya arahattappattiyā cittaṃ upaṭṭhapesuṃ abhinīhariṃsu.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๖. ปญฺจวคฺคิยกถา • 6. Pañcavaggiyakathā

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / ปญฺจวคฺคิยกถา • Pañcavaggiyakathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา • Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา • Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๖. ปญฺจวคฺคิยกถา • 6. Pañcavaggiyakathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact