Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา
Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā
๑๐. อิทานิ ปน สโพฺพ ชโน สทฺธาภาชนํ อุปเนตุ, ปูเรสฺสามิ เนสํ สงฺกปฺปนฺติฯ อปฺปรชกฺขชาติโกติ สมาปตฺติยา วิกฺขมฺภิตกิเลสตฺตา นิกฺกิเลสชาติโกฯ อาชานิสฺสตีติ เจ น นิฎฺฐานมกํสุ ธมฺมสงฺคาหกา เต วินยกฺกมญฺญา, อหํ เทเสยฺยํ ปฎิวิชฺฌิสฺสตีติ อธิปฺปาโย, ‘‘มุทฺธาปิ ตสฺส วิปเตยฺยา’’ติ (อ. นิ. ๘.๑๑; ปารา. ๒) เอตฺถ วิย อภูตปริกโปฺป กิเรโสฯ โลเก ตสฺส อธิมุตฺตภาวทีปนตฺถญฺหิ อิทํ วจนํ อตฺตโน ตทุปเทเสน อวิทิตภาวทีปนตฺถํฯ ตสฺส อนเนฺตวาสิกภาวทีปนตฺถนฺติ เอวมาทีนิ ปเนตฺถ ปโยชนานิฯ ภควโตปิ โข ญาณนฺติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ตสฺส มรณารมฺมณํ อุปฺปชฺชิฯ เตน ตโต ปุเพฺพ ตสฺส สติ ธมฺมเทสนาย ขิปฺปํ ชานนภาวารมฺมณนฺติ ทีเปติฯ ปโรปเทสโต อชานิตฺวา ปจฺจกฺขโต มรณสจฺฉิกิริยมฺปิ ทเสฺสติฯ พุทฺธานมฺปิ อเนกญาณสโมธานาภาวโต สุวุตฺตเมตํฯ จิตฺตปุพฺพิกา หิ จิตฺตปฺปวตฺติ, อญฺญถา นวสตฺตปาตุภาวปฺปสโงฺคฯ สพฺพธมฺมานํ เอกโต คหเณ วิรุทฺธกาลานํ เอกโต ชานนปฺปสโงฺคฯ ตโต เอกญาณสฺส วิตถภาวปฺปตฺติโทโส, ตสฺมา สพฺพสฺส วินาเนกญาณสโมธานํ อาปชฺชิตธเมฺมสุ อปฺปฎิหตญาณวนฺตตฺตา ปน สพฺพญฺญู เอว ภควาติ เวทิตพฺพํ, น สพฺพกาลํ เอกโตฯ อาฬาราทีนํ มรณาชานนโตติ เจ? น, ตสฺส ชานเนน ปุถุชฺชนสฺสาปิ สพฺพญฺญุตาปตฺติปฺปสงฺคโตฯ ยทาภาเวน ยทาภาโว ตพฺภาเวน ตสฺสาภาวปฺปสโงฺค โลเก สิโทฺธติฯ ‘‘ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาที’’ติ วจนโต ตสฺส มรณชานนํ สิทฺธนฺติ กตฺวา ภวํ มเตเนว ภควา สพฺพญฺญูติ สิทฺธํ น เทวตาโรจนโต ปุเพฺพ อชานนโตติ เจ? น, วิเสสํ ปริคฺคเหตฺวา อนฺตรา ปชานนโต, เทวตาย สพฺพญฺญุภาวปฺปตฺติโทสโต จฯ น หิ โส กสฺสจิ วจเนน อญฺญาสีติฯ
10. Idāni pana sabbo jano saddhābhājanaṃ upanetu, pūressāmi nesaṃ saṅkappanti. Apparajakkhajātikoti samāpattiyā vikkhambhitakilesattā nikkilesajātiko. Ājānissatīti ce na niṭṭhānamakaṃsu dhammasaṅgāhakā te vinayakkamaññā, ahaṃ deseyyaṃ paṭivijjhissatīti adhippāyo, ‘‘muddhāpi tassa vipateyyā’’ti (a. ni. 8.11; pārā. 2) ettha viya abhūtaparikappo kireso. Loke tassa adhimuttabhāvadīpanatthañhi idaṃ vacanaṃ attano tadupadesena aviditabhāvadīpanatthaṃ. Tassa anantevāsikabhāvadīpanatthanti evamādīni panettha payojanāni. Bhagavatopi kho ñāṇanti sabbaññutaññāṇaṃ tassa maraṇārammaṇaṃ uppajji. Tena tato pubbe tassa sati dhammadesanāya khippaṃ jānanabhāvārammaṇanti dīpeti. Paropadesato ajānitvā paccakkhato maraṇasacchikiriyampi dasseti. Buddhānampi anekañāṇasamodhānābhāvato suvuttametaṃ. Cittapubbikā hi cittappavatti, aññathā navasattapātubhāvappasaṅgo. Sabbadhammānaṃ ekato gahaṇe viruddhakālānaṃ ekato jānanappasaṅgo. Tato ekañāṇassa vitathabhāvappattidoso, tasmā sabbassa vinānekañāṇasamodhānaṃ āpajjitadhammesu appaṭihatañāṇavantattā pana sabbaññū eva bhagavāti veditabbaṃ, na sabbakālaṃ ekato. Āḷārādīnaṃ maraṇājānanatoti ce? Na, tassa jānanena puthujjanassāpi sabbaññutāpattippasaṅgato. Yadābhāvena yadābhāvo tabbhāvena tassābhāvappasaṅgo loke siddhoti. ‘‘Bhagavatopi kho ñāṇaṃ udapādī’’ti vacanato tassa maraṇajānanaṃ siddhanti katvā bhavaṃ mateneva bhagavā sabbaññūti siddhaṃ na devatārocanato pubbe ajānanatoti ce? Na, visesaṃ pariggahetvā antarā pajānanato, devatāya sabbaññubhāvappattidosato ca. Na hi so kassaci vacanena aññāsīti.
อปิจ กิมิทํ ตตฺถ ชานนํ นาม ตทารมฺมณญาณุปฺปตฺตีติ เจ? น, โลเก สพฺพญฺญุโน อจฺจนฺตาภาวปฺปสงฺคโตฯ สาธิกา หิ มยา เอกญาณกฺขเณ สพฺพํ ญาณํ, ตทเญฺญสญฺจ ตทญฺญาณานุปฺปตฺติฯ อปิจ สพฺพญฺญุโน สพฺพธมฺมวิสเย ญาณปจฺจุปฎฺฐานสิทฺธิ ตสฺส ญาณสฺส อตฺตนาว อตฺตโน อวิสโยติ เจ? น, เหตุนิทสฺสนานุปฺปตฺติโตฯ อปิจ ‘‘ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาที’’ติ เอตฺถ วิเสสวจนํ อตฺถิฯ เยน เทวตาโรจนุตฺตรกาลเมว ภควโต ญาณํ อุทปาทีติ ปญฺญายติฯ น หิ วจนปุพฺพาปริยภาวมเตฺตน ตทตฺถปุพฺพาปริยตา โหติ, ตสฺมา อยุตฺตเมตํฯ อภิโทสกาลํกโตติ ปฐมยาเม กาลํกโตฯ ‘‘มชฺฌิมยาเม’’ติปิ วทนฺติฯ อุภยตฺถปิ มหาชานิโยฯ สตฺตทิวสพฺภนฺตเร, เอกทิวสพฺภนฺตเร จ ปตฺตพฺพมคฺคผลโต ปริหีนตฺตา มหตี ชานิ อสฺสาติ มหาชานิฯ เตสุ หิ ทฺวีสุ อาฬาโร อากิญฺจญฺญายตนภเว นิพฺพโตฺต, อุทโก ภวเคฺค, ตสฺมา เนสํ ธมฺมเทสนาย อกฺขเณ นิพฺพตฺตภาวํ สนฺธาย ภควา เอวํ จิเนฺตสิ, น อิโต มนุสฺสโลกโต จุติภาวํ สนฺธายาติ เวทิตพฺพํฯ อพุทฺธเวเนยฺยตญฺจ สนฺธายาติ โน ตโกฺก, อญฺญถา อนิฎฺฐปฺปสโงฺคติ อาจริโยฯ
Apica kimidaṃ tattha jānanaṃ nāma tadārammaṇañāṇuppattīti ce? Na, loke sabbaññuno accantābhāvappasaṅgato. Sādhikā hi mayā ekañāṇakkhaṇe sabbaṃ ñāṇaṃ, tadaññesañca tadaññāṇānuppatti. Apica sabbaññuno sabbadhammavisaye ñāṇapaccupaṭṭhānasiddhi tassa ñāṇassa attanāva attano avisayoti ce? Na, hetunidassanānuppattito. Apica ‘‘bhagavatopi kho ñāṇaṃ udapādī’’ti ettha visesavacanaṃ atthi. Yena devatārocanuttarakālameva bhagavato ñāṇaṃ udapādīti paññāyati. Na hi vacanapubbāpariyabhāvamattena tadatthapubbāpariyatā hoti, tasmā ayuttametaṃ. Abhidosakālaṃkatoti paṭhamayāme kālaṃkato. ‘‘Majjhimayāme’’tipi vadanti. Ubhayatthapi mahājāniyo. Sattadivasabbhantare, ekadivasabbhantare ca pattabbamaggaphalato parihīnattā mahatī jāni assāti mahājāni. Tesu hi dvīsu āḷāro ākiñcaññāyatanabhave nibbatto, udako bhavagge, tasmā nesaṃ dhammadesanāya akkhaṇe nibbattabhāvaṃ sandhāya bhagavā evaṃ cintesi, na ito manussalokato cutibhāvaṃ sandhāyāti veditabbaṃ. Abuddhaveneyyatañca sandhāyāti no takko, aññathā aniṭṭhappasaṅgoti ācariyo.
โพธิสตฺตสฺส ชาตกาเล สุปินปฎิคฺคาหกา เจว ลกฺขณปริคฺคาหกา จ อฎฺฐ พฺราหฺมณาฯ เตสุ ตโย ทฺวิธา พฺยากริํสุ ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต อคารํ อชฺฌาวสโนฺต ราชา โหติ จกฺกวตฺติ, ปพฺพชโนฺต พุโทฺธ’’ติฯ ปญฺจ พฺราหฺมณา ‘‘อคาเร น ติฎฺฐติ, พุโทฺธว โหตี’’ติ เอกํสพฺยากรณาว อเหสุํฯ เตสุ ปุริมา ตโย ยถามนฺตปารํ คตาฯ อิเม ปน มนฺตปารํ อติกฺกมนฺตา อตฺตนา ลทฺธํ ปุญฺญมหตฺตํ วิสฺสเชฺชตฺวา โพธิสตฺตํ อุทฺทิสฺส ปุเรตรเมว ปพฺพชิํสุฯ อิเม สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ปญฺจวคฺคิยา’’ติฯ ‘‘เตสํ ปุตฺตา’’ติปิ วทนฺติ, ตํ อฎฺฐกถายํ ปฎิกฺขิตฺตํฯ กสฺมา ปเนตฺถ ภควา ‘‘พหูปการา โข เม’’ติ จิเนฺตสิฯ กิํ อุปการกานํ เอว เอส ธมฺมํ เทเสติ, อิตเรสํ น เทเสตีติ? โน น เทเสติฯ อุปการานุสฺสรณมตฺตเกเนว วุตฺตนฺติ อฎฺฐกถานโยฯ อตฺตโน กตญฺญุกตเวทิภาวปฺปกาสนตฺถํ, กตญฺญุตาทิปสํสนตฺถํ, ปเรสญฺจ กตญฺญุภาวาทินิโยชนตฺถํ, ขิปฺปชานนปฺปสงฺคนิวารณตฺถํฯ
Bodhisattassa jātakāle supinapaṭiggāhakā ceva lakkhaṇapariggāhakā ca aṭṭha brāhmaṇā. Tesu tayo dvidhā byākariṃsu ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgato agāraṃ ajjhāvasanto rājā hoti cakkavatti, pabbajanto buddho’’ti. Pañca brāhmaṇā ‘‘agāre na tiṭṭhati, buddhova hotī’’ti ekaṃsabyākaraṇāva ahesuṃ. Tesu purimā tayo yathāmantapāraṃ gatā. Ime pana mantapāraṃ atikkamantā attanā laddhaṃ puññamahattaṃ vissajjetvā bodhisattaṃ uddissa puretarameva pabbajiṃsu. Ime sandhāya vuttaṃ ‘‘pañcavaggiyā’’ti. ‘‘Tesaṃ puttā’’tipi vadanti, taṃ aṭṭhakathāyaṃ paṭikkhittaṃ. Kasmā panettha bhagavā ‘‘bahūpakārā kho me’’ti cintesi. Kiṃ upakārakānaṃ eva esa dhammaṃ deseti, itaresaṃ na desetīti? No na deseti. Upakārānussaraṇamattakeneva vuttanti aṭṭhakathānayo. Attano kataññukatavedibhāvappakāsanatthaṃ, kataññutādipasaṃsanatthaṃ, paresañca kataññubhāvādiniyojanatthaṃ, khippajānanappasaṅganivāraṇatthaṃ.
๑๑. อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธินฺติ คยาย จ โพธิยา จ มเชฺฌ ติคาวุตนฺตเร ฐาเนฯ โพธิมณฺฑโต หิ คยา ตีณิ คาวุตานิฯ พาราณสินครํ อฎฺฐารส โยชนานิฯ อุปโก ปน โพธิมณฺฑสฺส จ คยาย จ อนฺตเร ภควนฺตํ อทฺทสฯ อนฺตรา-สเทฺทน ปน ยุตฺตตฺตา อุปโยควจนํ กตํฯ อีทิเสสุ จ ฐาเนสุ อกฺขรจินฺตกา เอกเมว อนฺตราสทฺทํ ปยุชฺชนฺติ, โส ทุติยปเทปิ โยเชตโพฺพฯ อโยชิยมาเน ปน อุปโยควจนํ น ปาปุณาติฯ อิธ ปน โยเชตฺวาว วุโตฺตติฯ
11.Antarā ca gayaṃ antarā ca bodhinti gayāya ca bodhiyā ca majjhe tigāvutantare ṭhāne. Bodhimaṇḍato hi gayā tīṇi gāvutāni. Bārāṇasinagaraṃ aṭṭhārasa yojanāni. Upako pana bodhimaṇḍassa ca gayāya ca antare bhagavantaṃ addasa. Antarā-saddena pana yuttattā upayogavacanaṃ kataṃ. Īdisesu ca ṭhānesu akkharacintakā ekameva antarāsaddaṃ payujjanti, so dutiyapadepi yojetabbo. Ayojiyamāne pana upayogavacanaṃ na pāpuṇāti. Idha pana yojetvāva vuttoti.
สพฺพาภิภูติ สพฺพํ เตภูมกธมฺมํ อภิภวิตฺวา ฐิโตฯ ตณฺหกฺขเยติ นิพฺพาเนฯ วิมุโตฺตติ อารมฺมณโต วิมุโตฺตฯ นตฺถิ เม ปฎิปุคฺคโลติ มยฺหํ ปฎิปุคฺคโล นาม นตฺถิ, อสทิโสติ อโตฺถ, มม สพฺพญฺญุภาเว โทสํ ทเสฺสตฺวา โลเก ฐาตุํ อสมตฺถตาย มม ปจฺจตฺถิกปุคฺคโล วา นตฺถีติ อโตฺถฯ อาหญฺฉํ อมตทุนฺทุภินฺติ ธมฺมจกฺขุปฎิลาภาย อมตเภริํ ปหริสฺสามีติ คจฺฉามิฯ
Sabbābhibhūti sabbaṃ tebhūmakadhammaṃ abhibhavitvā ṭhito. Taṇhakkhayeti nibbāne. Vimuttoti ārammaṇato vimutto. Natthi me paṭipuggaloti mayhaṃ paṭipuggalo nāma natthi, asadisoti attho, mama sabbaññubhāve dosaṃ dassetvā loke ṭhātuṃ asamatthatāya mama paccatthikapuggalo vā natthīti attho. Āhañchaṃ amatadundubhinti dhammacakkhupaṭilābhāya amatabheriṃ paharissāmīti gacchāmi.
อรหสิ อนนฺตชิโน ภวิตุํ ยุโตฺต ตฺวนฺติ อโตฺถฯ อิทมฺปิ อตฺตโน สตฺถุนามํฯ หุเปยฺยาสีติ อาวุโส เอวมฺปิ นาม ภเวยฺยฯ ปกฺกามีติ วงฺกหารชนปทํ นาม อคมาสิฯ ภควาปิ ‘‘ตตฺถ ตสฺส มิคลุทฺทกสฺส ธีตุยา จาปาย อุกฺกณฺฐิตฺวา ปุน อาคนฺตฺวา อนาคามี อยํ ภวิสฺสตี’’ติ อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ ทิสฺวา เตน สทฺธิํ อาลปิฯ โส จ ตเถวาคนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา อนาคามี หุตฺวา อนุกฺกเมน กาลํ กตฺวา อวิเหสุ อุปฺปชฺชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ
Arahasi anantajino bhavituṃ yutto tvanti attho. Idampi attano satthunāmaṃ. Hupeyyāsīti āvuso evampi nāma bhaveyya. Pakkāmīti vaṅkahārajanapadaṃ nāma agamāsi. Bhagavāpi ‘‘tattha tassa migaluddakassa dhītuyā cāpāya ukkaṇṭhitvā puna āgantvā anāgāmī ayaṃ bhavissatī’’ti upanissayasampattiṃ disvā tena saddhiṃ ālapi. So ca tathevāgantvā pabbajitvā anāgāmī hutvā anukkamena kālaṃ katvā avihesu uppajjitvā arahattaṃ pāpuṇi.
๑๒. สณฺฐเปสุนฺติ กติกํ อกํสุฯ ปธานวิพฺภโนฺตติ ปธานโต ภโฎฺฐ ปริหีโนฯ ‘‘อภิชานาถ นุ ภาสิตเมต’’นฺติ, ‘‘วาจํ ภาสิตเมว’’นฺติ จ เอวรูปํ กญฺจิ วจนเภทํ อกาสีติ อธิปฺปาโยฯ ภควนฺตํ สุสฺสูสิํสูติ ภควโต วจนํ โสตุกามา อเหสุํฯ อญฺญาติ อญฺญาย, ชานิตุนฺติ อโตฺถฯ
12.Saṇṭhapesunti katikaṃ akaṃsu. Padhānavibbhantoti padhānato bhaṭṭho parihīno. ‘‘Abhijānātha nu bhāsitameta’’nti, ‘‘vācaṃ bhāsitameva’’nti ca evarūpaṃ kañci vacanabhedaṃ akāsīti adhippāyo. Bhagavantaṃ sussūsiṃsūti bhagavato vacanaṃ sotukāmā ahesuṃ. Aññāti aññāya, jānitunti attho.
๑๓. อถ กิมตฺถํ อามเนฺตสีติ? ตโตปิ สุฎฺฐุตรํ ปฎิชานนตฺถํ, ธมฺมสฺส อภิภาริยทุลฺลภภาวทีปนตฺถํ, อกฺขรวิเกฺขปนิวารณตฺถญฺจฯ ตตฺถ เทฺวเมติ อนฺตทฺวยวจนํ อเญฺญสมฺปิ ตทโนฺตคธภาวโตฯ อปิจ โยชนาวเสนฯ ตณฺหาอวิชฺชาติ หิ สํสารปฺปวตฺติยา สีสภูตา เทฺว กิเลสาฯ เต จ สมถวิปสฺสนานํ ปฎิปกฺขภูตตฺตา อนฺตา นามฯ เตสุ ตณฺหาวเสน กามสุขลฺลิกานุโยคํ ภชโนฺต สมถํ ปริหาเปติ พาโล, ตถา อวิชฺชาวเสน อตฺตกิลมถานุโยคํ ภชโนฺต คจฺฉโนฺต วิปสฺสนนฺติ น สกฺกา อุโภ เทฺว อเนฺต อปฺปหาย อมตํ อธิคนฺตุนฺติ เอวํ วุตฺตาฯ อปิจ ลีนุทฺธจฺจปหานทสฺสนเมตํฯ ลีโน หิ นิกฺขิตฺตวีริยารโมฺภ กามสุขญฺจ ภชติ, อิตโร อจฺจารทฺธวีริโย อตฺตกิลมถํฯ อุโภปิ เต วีริยสมตาย ปฎิปกฺขตฺตา อนฺตา นามฯ อปิจ ติโสฺส สาสเน ปฎิปทา วุตฺตา อาคาฬฺหา, นิชฺฌามา, มชฺฌิมา จฯ ตตฺถ อาคาฬฺหา ‘‘ปาณาติปาตี โหติ, นตฺถิ กาเมสุ โทโส’’ติ เอวมาทิกาฯ นิชฺฌามา ‘‘อเจลโก โหติ, มุตฺตาจาโร’’ติ เอวมาทิกา, มชฺฌิมา ‘‘อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’ติ เอวมาทิกาฯ ตตฺถ กามสุขลฺลิกานุโยโค อาคาฬฺหา นาม ปฎิปทา โหติ สพฺพากุสลมูลตฺตาฯ อตฺตกิลมถานุโยโค นิชฺฌามา นาม อตฺตชฺฌาปนโตฯ อุโภเปเต มชฺฌิมาย ปฎิปทาย ปฎิปกฺขภูตตฺตา อนฺตา นาม, ตสฺมา อิเมว สนฺธาย เทฺวเมติฯ กิมตฺถํ ภควา ‘‘ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา’’ติ ปพฺพชิเต เอว อธิกโรติ, น คหเฎฺฐติ? ปพฺพชิตานํ ตทธิมุตฺตตฺตา, สุขปริวชฺชนสมตฺถตาย, ตทธิกตตฺตา จ ปพฺพชิตา เอตฺถ อธิกตา, น คหฎฺฐาฯ ยทิ เอวํ กิมตฺถํ กามสุขลฺลิกานุโยคมาห, นนุ เต ปกติยาปิ กามปริจฺจาคํ กตฺวา ตํ นิสฺสรณตฺถํ ปพฺพชิตาติ? น, เตสํ อนฺตทฺวยนิสฺสิตตฺตาฯ เต หิ อิธ โลเก กาเมน วิสุทฺธิมิจฺฉนฺติ อตฺตกิลมถานุโยคมนุยุตฺตา ตเสฺสว ตปสฺส ผเลน เปจฺจ ทิเพฺพ กาเม อาสีสมานา ทฬฺหตรํ กามสุขลฺลิกานุโยคมนุยุตฺตาติ เวทิตพฺพา ฯ อนฺตโตฺถ ปน อิธ กุจฺฉิตเฎฺฐน เวทิตโพฺพ ‘‘อนฺตมิทํ, ภิกฺขเว, ชีวิกานํ, ยทิทํ ปิโณฺฑลฺย’’นฺติอาทีสุ (อิติวุ. ๙๑; สํ. นิ. ๓.๘๐) วิยฯ
13. Atha kimatthaṃ āmantesīti? Tatopi suṭṭhutaraṃ paṭijānanatthaṃ, dhammassa abhibhāriyadullabhabhāvadīpanatthaṃ, akkharavikkhepanivāraṇatthañca. Tattha dvemeti antadvayavacanaṃ aññesampi tadantogadhabhāvato. Apica yojanāvasena. Taṇhāavijjāti hi saṃsārappavattiyā sīsabhūtā dve kilesā. Te ca samathavipassanānaṃ paṭipakkhabhūtattā antā nāma. Tesu taṇhāvasena kāmasukhallikānuyogaṃ bhajanto samathaṃ parihāpeti bālo, tathā avijjāvasena attakilamathānuyogaṃ bhajanto gacchanto vipassananti na sakkā ubho dve ante appahāya amataṃ adhigantunti evaṃ vuttā. Apica līnuddhaccapahānadassanametaṃ. Līno hi nikkhittavīriyārambho kāmasukhañca bhajati, itaro accāraddhavīriyo attakilamathaṃ. Ubhopi te vīriyasamatāya paṭipakkhattā antā nāma. Apica tisso sāsane paṭipadā vuttā āgāḷhā, nijjhāmā, majjhimā ca. Tattha āgāḷhā ‘‘pāṇātipātī hoti, natthi kāmesu doso’’ti evamādikā. Nijjhāmā ‘‘acelako hoti, muttācāro’’ti evamādikā, majjhimā ‘‘ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’’ti evamādikā. Tattha kāmasukhallikānuyogo āgāḷhā nāma paṭipadā hoti sabbākusalamūlattā. Attakilamathānuyogo nijjhāmā nāma attajjhāpanato. Ubhopete majjhimāya paṭipadāya paṭipakkhabhūtattā antā nāma, tasmā imeva sandhāya dvemeti. Kimatthaṃ bhagavā ‘‘pabbajitena na sevitabbā’’ti pabbajite eva adhikaroti, na gahaṭṭheti? Pabbajitānaṃ tadadhimuttattā, sukhaparivajjanasamatthatāya, tadadhikatattā ca pabbajitā ettha adhikatā, na gahaṭṭhā. Yadi evaṃ kimatthaṃ kāmasukhallikānuyogamāha, nanu te pakatiyāpi kāmapariccāgaṃ katvā taṃ nissaraṇatthaṃ pabbajitāti? Na, tesaṃ antadvayanissitattā. Te hi idha loke kāmena visuddhimicchanti attakilamathānuyogamanuyuttā tasseva tapassa phalena pecca dibbe kāme āsīsamānā daḷhataraṃ kāmasukhallikānuyogamanuyuttāti veditabbā . Antattho pana idha kucchitaṭṭhena veditabbo ‘‘antamidaṃ, bhikkhave, jīvikānaṃ, yadidaṃ piṇḍolya’’ntiādīsu (itivu. 91; saṃ. ni. 3.80) viya.
โย จายํ กาเมสุ กามสุขลฺลิกานุโยโคติ เอตฺถ กาเมสูติ วตฺถุกาโม อธิเปฺปโต, ทุติโย กิเลสกาโม ฯ ตํสมฺปยุตฺตสุขเมตฺถ กามสุขํ นามฯ เตน วิปากสุขสฺส นิรวชฺชภาวํ ทีเปตีติฯ อลฺลียนํ นาม ตทภินนฺทนาฯ อนุโยโค นาม ภวนฺตเร ตทนุโยคปตฺถนาฯ หานภาคิยกรตฺตา กุสลปกฺขสฺส, หีนปุคฺคลภาวิตตฺตา, หีนธาตุปภวตฺตา จ ลามกเฎฺฐน หีโนฯ คามนิวาสิสตฺตธมฺมตฺตา คโมฺมฯ ปุถุชฺชนสาธารณตฺตา โปถุชฺชนิโกฯ อนริโยติ อริยานํ อนธิเปฺปตตฺตา, อริยธมฺมปฎิปกฺขตฺตา, อนริยกรตฺตา, อนริยธมฺมตฺตา, อนริยาจิณฺณตฺตา จ เวทิตโพฺพฯ อนตฺถสงฺขาตสํสารภยาวหตฺตา, อนตฺถผลนิพฺพตฺตกตฺตา จ อนตฺถสํหิโตฯ อตฺตโน เกวลํ เขทูปคโม อตฺตกิลมโถ นามฯ โส ทิฎฺฐิคตปุพฺพกตฺตตปานุกฺกมกิริยาวิเสสํ นิสฺสาย ปวตฺตติ, ตสฺส ทิฎฺฐิวเสน อนุโยโค อตฺตกิลมถานุโยโค นามฯ อตฺตวิโยควิตฺตาปริสฺสมตฺตา, อนุปายปวตฺตตฺตา สมฺปชฺชมาโน มิคโยนิโคโยนิกุกฺกุรโยนิสูกรโยนีสุ ปาตายติฯ วิปจฺจมาโน นรกํ เนตีติ อนตฺถสํหิโตฯ เอเต ตฺวาติ เอเต ตุฯ ตถาคเตนาติ อตฺตานํ อวิตถาคมนํ อาวิ กโรติ, เตเนตํ ทเสฺสติ ‘‘น มยา ปริวิตกฺกิตมเตฺตน วิตกฺกิตา, กินฺตุ มยา ตถาคเตเนว สตา อภิสโมฺพธิญาเณน อภิสมฺพุโทฺธ’’ติฯ จกฺขุกรณีติอาทีหิ ปน ตเมว ปฎิปทํ โถเมติฯ เภสชฺชํ อาตุรสฺส วิย ‘‘จกฺขุกรณี’’ติ อิมินา ญาณจกฺขุวิโสธนํ วุตฺตํฯ ญาณกรณีติ อิมินา อนฺธการวิธมนํ วุตฺตํฯ อุปสมายาติ กิเลสปริฬาหปฎิปฺปสฺสทฺธิ วุตฺตาฯ อภิญฺญายาติ สจฺจปฎิเวธนํ วุตฺตํฯ สโมฺพธายาติ สจฺจปฎิวิชฺฌนํ วุตฺตํฯ นิพฺพานายาติ โสปาทิเสสนิพฺพานธาตุยา อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุยาติ เอวํ ยถาสมฺภวํ โยเชตฺวา กเถตพฺพํฯ
Yo cāyaṃ kāmesu kāmasukhallikānuyogoti ettha kāmesūti vatthukāmo adhippeto, dutiyo kilesakāmo . Taṃsampayuttasukhamettha kāmasukhaṃ nāma. Tena vipākasukhassa niravajjabhāvaṃ dīpetīti. Allīyanaṃ nāma tadabhinandanā. Anuyogo nāma bhavantare tadanuyogapatthanā. Hānabhāgiyakarattā kusalapakkhassa, hīnapuggalabhāvitattā, hīnadhātupabhavattā ca lāmakaṭṭhena hīno. Gāmanivāsisattadhammattā gammo. Puthujjanasādhāraṇattā pothujjaniko. Anariyoti ariyānaṃ anadhippetattā, ariyadhammapaṭipakkhattā, anariyakarattā, anariyadhammattā, anariyāciṇṇattā ca veditabbo. Anatthasaṅkhātasaṃsārabhayāvahattā, anatthaphalanibbattakattā ca anatthasaṃhito. Attano kevalaṃ khedūpagamo attakilamatho nāma. So diṭṭhigatapubbakattatapānukkamakiriyāvisesaṃ nissāya pavattati, tassa diṭṭhivasena anuyogo attakilamathānuyogo nāma. Attaviyogavittāparissamattā, anupāyapavattattā sampajjamāno migayonigoyonikukkurayonisūkarayonīsu pātāyati. Vipaccamāno narakaṃ netīti anatthasaṃhito. Ete tvāti ete tu. Tathāgatenāti attānaṃ avitathāgamanaṃ āvi karoti, tenetaṃ dasseti ‘‘na mayā parivitakkitamattena vitakkitā, kintu mayā tathāgateneva satā abhisambodhiñāṇena abhisambuddho’’ti. Cakkhukaraṇītiādīhi pana tameva paṭipadaṃ thometi. Bhesajjaṃ āturassa viya ‘‘cakkhukaraṇī’’ti iminā ñāṇacakkhuvisodhanaṃ vuttaṃ. Ñāṇakaraṇīti iminā andhakāravidhamanaṃ vuttaṃ. Upasamāyāti kilesapariḷāhapaṭippassaddhi vuttā. Abhiññāyāti saccapaṭivedhanaṃ vuttaṃ. Sambodhāyāti saccapaṭivijjhanaṃ vuttaṃ. Nibbānāyāti sopādisesanibbānadhātuyā anupādisesanibbānadhātuyāti evaṃ yathāsambhavaṃ yojetvā kathetabbaṃ.
๑๔. กสฺมา ปเนตฺถ ภควา อญฺญตฺถ วิย อนุปุพฺพิํ กถํ อกเถตฺวา ปฐมเมว อเสวิตพฺพมนฺตทฺวยํ วตฺวา มชฺฌิมปฎิปทํ เทเสสีติ? อตฺตาทิมิจฺฉาภิมานนิวารณตฺถํ, กุมฺมคฺคปฎิปตฺตินิวารณตฺถญฺจ อนฺตทฺวยวชฺชนํ วตฺวา อตฺตโน วิเสสาธิคมทีปนนเยน อพาหุลฺลิกาทิภาวทสฺสนตฺถํ, เตสญฺจ มชฺฌิมปฎิปทาทีปเนน ตตฺถ อนุโยชนตฺถํ ปจฺฉา สมฺมาปฎิปทํ เทเสสิ, ตโต ตสฺส มชฺฌิมปฎิปทาสงฺขาตสฺส อริยมคฺคสฺส วิสยทสฺสนตฺถํ จตุสจฺจธมฺมํ สเงฺขปวิตฺถารวเสน เทเสตุกาโม ‘‘อิทํ โข ปน, ภิกฺขเว, ทุกฺข’’นฺติอาทิมาห, อยเมตฺถ อนุสนฺธิฯ ‘‘อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติ เม, ภิกฺขเว’’ติอาทิ สุตฺตานุสนฺธิปกอาสนตฺถํ อยมนุกฺกโม เวทิตโพฺพฯ ยถาวุตฺตํ ปฎิปทํ สุตฺวา กิร โกณฺฑโญฺญ อาห ‘‘กถํ ภควตา วุตฺตปฎิปทาย อุปฺปตฺติ สิยาฯ อยญฺหิ ปฎิปทา กิเลสานํ อนุปฺปตฺติยา สติ สมฺภวติ, น อญฺญถาฯ กิเลสานญฺจ ยทิ โลภโต อุปฺปตฺติ ขุปฺปิปาสานํ วิย, ตทาเสวนาย อนุปฺปตฺติ สิยา, ตทวตฺถุสฺส วา เตสํ อุปฺปตฺติฯ ตทวตฺถุวิปรีตกายกิลมถาเสวนาย อนุปฺปตฺติ สิยาฯ อุโภเปตา ภควตา ‘อนฺตา’ติ วุตฺตา, ตสฺมา กถํ ปเนติสฺสาย สมฺมาปฎิปทาย อุปฺปตฺติ สมฺภเวยฺยา’’ติฯ ภควา อาห อนุปายาเสวนโตฯ กถนฺติ เจ? –
14. Kasmā panettha bhagavā aññattha viya anupubbiṃ kathaṃ akathetvā paṭhamameva asevitabbamantadvayaṃ vatvā majjhimapaṭipadaṃ desesīti? Attādimicchābhimānanivāraṇatthaṃ, kummaggapaṭipattinivāraṇatthañca antadvayavajjanaṃ vatvā attano visesādhigamadīpananayena abāhullikādibhāvadassanatthaṃ, tesañca majjhimapaṭipadādīpanena tattha anuyojanatthaṃ pacchā sammāpaṭipadaṃ desesi, tato tassa majjhimapaṭipadāsaṅkhātassa ariyamaggassa visayadassanatthaṃ catusaccadhammaṃ saṅkhepavitthāravasena desetukāmo ‘‘idaṃ kho pana, bhikkhave, dukkha’’ntiādimāha, ayamettha anusandhi. ‘‘Idaṃ dukkhaṃ ariyasaccanti me, bhikkhave’’tiādi suttānusandhipakaāsanatthaṃ ayamanukkamo veditabbo. Yathāvuttaṃ paṭipadaṃ sutvā kira koṇḍañño āha ‘‘kathaṃ bhagavatā vuttapaṭipadāya uppatti siyā. Ayañhi paṭipadā kilesānaṃ anuppattiyā sati sambhavati, na aññathā. Kilesānañca yadi lobhato uppatti khuppipāsānaṃ viya, tadāsevanāya anuppatti siyā, tadavatthussa vā tesaṃ uppatti. Tadavatthuviparītakāyakilamathāsevanāya anuppatti siyā. Ubhopetā bhagavatā ‘antā’ti vuttā, tasmā kathaṃ panetissāya sammāpaṭipadāya uppatti sambhaveyyā’’ti. Bhagavā āha anupāyāsevanato. Kathanti ce? –
‘‘สํสารมูลโต ญาณํ, ตญฺจ ญาณา ปหิยฺยติ;
‘‘Saṃsāramūlato ñāṇaṃ, tañca ñāṇā pahiyyati;
ชีวิเต สติ ตํ โหติ, ตญฺจ ชีวิตสาธเนฯ
Jīvite sati taṃ hoti, tañca jīvitasādhane.
‘‘ตสฺมา ญาณาย เมธาวี, รเกฺข ชีวิตมตฺตโน;
‘‘Tasmā ñāṇāya medhāvī, rakkhe jīvitamattano;
ญาณสาธนภูตญฺจ, สีลญฺจ ปริปาลเยฯ
Ñāṇasādhanabhūtañca, sīlañca paripālaye.
‘‘ชีวิตญฺจ ยถา โลเก, ภิเนฺน กาเย น วิชฺชติ;
‘‘Jīvitañca yathā loke, bhinne kāye na vijjati;
ตเถว ภินฺนสีลสฺส, นตฺถิ ญาณสฺส สมฺภโวฯ
Tatheva bhinnasīlassa, natthi ñāṇassa sambhavo.
‘‘ตสฺมา อายุญฺจ สีลญฺจ, ญาณตฺถํ รกฺขตา สตา;
‘‘Tasmā āyuñca sīlañca, ñāṇatthaṃ rakkhatā satā;
เสวิตพฺพา น กามาปิ, นาปิ กายวินาสนาฯ
Sevitabbā na kāmāpi, nāpi kāyavināsanā.
‘‘กาเมสุ เคธมุปคมฺม หิโน คมฺมญฺจ,
‘‘Kāmesu gedhamupagamma hino gammañca,
อจฺจุทฺธโน กิลมถํ คมุเปติ มูโฬฺห;
Accuddhano kilamathaṃ gamupeti mūḷho;
โย มชฺฌิมํ ปฎิปทํ ปรมํ อุเปติ,
Yo majjhimaṃ paṭipadaṃ paramaṃ upeti,
โส ขิปฺปเมว ลภเต ปรมํ วิโมกฺข’’นฺติฯ
So khippameva labhate paramaṃ vimokkha’’nti.
สุตฺวา ตเทตํ สุคตสฺส วากฺยํ,
Sutvā tadetaṃ sugatassa vākyaṃ,
ปญฺญํ มุนี โส สุตชํ ลภิตฺวา;
Paññaṃ munī so sutajaṃ labhitvā;
จินฺตามยํ ญาณ ปเวสมาโน,
Cintāmayaṃ ñāṇa pavesamāno,
อุจฺฉินฺทยํ ปญฺหมิมํ อปุจฺฉิฯ
Ucchindayaṃ pañhamimaṃ apucchi.
‘‘นิเพฺพธปทฎฺฐานํ ปหาย โฆรํ,
‘‘Nibbedhapadaṭṭhānaṃ pahāya ghoraṃ,
ตปํ กถมิวาติ โส ตฺวํ;
Tapaṃ kathamivāti so tvaṃ;
พฺรูหิ ตเทว โหติ ภิกฺขุ จร,
Brūhi tadeva hoti bhikkhu cara,
วิราคมุปยาติ จ ทุกฺขสจฺจสฺส;
Virāgamupayāti ca dukkhasaccassa;
ทสฺสเนเนว ทุกฺขานุภวนา,
Dassaneneva dukkhānubhavanā,
ตมฺหิ โทสสฺส ปจฺจโย’’ติฯ
Tamhi dosassa paccayo’’ti.
สุตฺวาว โกณฺฑโญฺญ มุนิวจนํ,
Sutvāva koṇḍañño munivacanaṃ,
วุฎฺฐาย หโฎฺฐ สหสา อโวจ;
Vuṭṭhāya haṭṭho sahasā avoca;
‘‘อุทาหร ตฺวํ ภควา มเมตํ,
‘‘Udāhara tvaṃ bhagavā mametaṃ,
ภิกฺขุ ยถา ปสฺสติ ทุกฺขสจฺจ’’นฺติฯ
Bhikkhu yathā passati dukkhasacca’’nti.
จินฺตามยิสฺส ปญฺญาปริปุณฺณา ภาวนามยิปญฺญาสมฺปตฺติ ชานิตพฺพา อิเมหิ อิติ ภควา สุตฺตมิทมาหาติ กิรฯ กสฺมา ภควา โกณฺฑญฺญสฺส ปุริมเมว สจฺจเทสนํ อวเฑฺฒตฺวา อตฺตโน อธิคตกฺกมมาหาติ? นาหํ กสฺสจิ อาคมํ เทเสมิ, อปิจ โข สยเมว เอวมธิคโตมฺหีติ ทสฺสนตฺถํฯ ตตฺถ ‘‘ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสุ ธเมฺมสู’’ติ อิมินา อิทํ อตฺถทฺวยํ ทเสฺสติ, น มยา อาฬารโต, อุทกโต วา อยํ ธโมฺม สุโต, กินฺตุ ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตเสฺวว ญาณํ เม อุทปาทีติ มชฺฌิมาย ปฎิปทาย อานุภาวํ ปกาเสติฯ อปิจ ยสฺมา เอวํ ปฎิปโนฺน วินาปิ ปโรปเทเสน อริยสจฺจานิ ปสฺสติ, ตสฺมา กถํ ตุเมฺหว มมาปเทเสน น ปสฺสถาติฯ
Cintāmayissa paññāparipuṇṇā bhāvanāmayipaññāsampatti jānitabbā imehi iti bhagavā suttamidamāhāti kira. Kasmā bhagavā koṇḍaññassa purimameva saccadesanaṃ avaḍḍhetvā attano adhigatakkamamāhāti? Nāhaṃ kassaci āgamaṃ desemi, apica kho sayameva evamadhigatomhīti dassanatthaṃ. Tattha ‘‘pubbe ananussutesu dhammesū’’ti iminā idaṃ atthadvayaṃ dasseti, na mayā āḷārato, udakato vā ayaṃ dhammo suto, kintu pubbe ananussutesveva ñāṇaṃ me udapādīti majjhimāya paṭipadāya ānubhāvaṃ pakāseti. Apica yasmā evaṃ paṭipanno vināpi paropadesena ariyasaccāni passati, tasmā kathaṃ tumheva mamāpadesena na passathāti.
๑๕. จกฺขุนฺติอาทีนิ ปญฺจ ปทานิ ญาณเววจนาเนวฯ ญาณญฺหิ สจฺจานํ อาโลจนโต จกฺขุภูตตฺถชานนโต ญาณํฯ ปกาเรหิ ชานนโต ปญฺญาฯ กิเลสวิทารณโต, วิชฺชนโต จ วิชฺชาฯ สจฺจจฺฉาทกตมวินาสนโต, เตสํ คติโกฎิปกาสนโต อาโลโกติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ปฐเมน ปริวเฎฺฎน สจฺจานํ อญฺญมญฺญํ อสงฺกรโต ฐปนปญฺญํ ทเสฺสติ, ทุติเยน เตสํ กตฺตพฺพาการปริจฺฉินฺทนปญฺญํ, ตติเยน สเจฺจสุ ญาณกิจฺจสนฺนิฎฺฐานํ ทเสฺสติฯ
15.Cakkhuntiādīni pañca padāni ñāṇavevacanāneva. Ñāṇañhi saccānaṃ ālocanato cakkhubhūtatthajānanato ñāṇaṃ. Pakārehi jānanato paññā. Kilesavidāraṇato, vijjanato ca vijjā. Saccacchādakatamavināsanato, tesaṃ gatikoṭipakāsanato ālokoti veditabbaṃ. Tattha paṭhamena parivaṭṭena saccānaṃ aññamaññaṃ asaṅkarato ṭhapanapaññaṃ dasseti, dutiyena tesaṃ kattabbākāraparicchindanapaññaṃ, tatiyena saccesu ñāṇakiccasanniṭṭhānaṃ dasseti.
๑๖. ยาวกีวญฺจาติ ทฺวีหิ ปเทหิ ยาวอิเจฺจว วุตฺตํ โหติ ‘‘อิติ จิตฺตมโน’’ติอาทิ วิยฯ ราคาทีหิ อกุปฺปตาย อกุปฺปา วิมุตฺติฯ เวยฺยากรณนฺติ ธมฺมเทสนาฯ สา หิ ธมฺมานํ พฺยากรณโต ปกาสนโต ‘‘เวยฺยากรณ’’นฺติ วุจฺจติฯ วิรชํ วีตมลนฺติ เอตฺถ วิรชํ วิสมเหตุวาทวิคมโตฯ วีตมลํ อเหตุกวาทวิคมโตฯ วิรชํ สสฺสตทิฎฺฐิปฺปหานโตฯ วีตมลํ อุเจฺฉททิฎฺฐิปฺปหานโตฯ วิรชํ ปริยุฎฺฐานปฺปหานโตฯ วีตมลํ อนุสยปฺปหานโตฯ ธมฺมจกฺขุนฺติ ธมฺมมตฺตทสฺสนํ, น ตตฺถ สโตฺต วา ชีโว วา การโก วา เวทโก วาติ, เตเนวาห ‘‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺม’’นฺติฯ อิทญฺหิ ตสฺส ธมฺมจกฺขุสฺส อุปฺปตฺติอาการทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตญฺหิ นิโรธํ อารมฺมณํ กตฺวา กิจฺจวเสน เอว สงฺขตํ ปฎิวิชฺฌนฺตํ อุปฺปชฺชติฯ
16.Yāvakīvañcāti dvīhi padehi yāvaicceva vuttaṃ hoti ‘‘iti cittamano’’tiādi viya. Rāgādīhi akuppatāya akuppā vimutti. Veyyākaraṇanti dhammadesanā. Sā hi dhammānaṃ byākaraṇato pakāsanato ‘‘veyyākaraṇa’’nti vuccati. Virajaṃ vītamalanti ettha virajaṃ visamahetuvādavigamato. Vītamalaṃ ahetukavādavigamato. Virajaṃ sassatadiṭṭhippahānato. Vītamalaṃ ucchedadiṭṭhippahānato. Virajaṃ pariyuṭṭhānappahānato. Vītamalaṃ anusayappahānato. Dhammacakkhunti dhammamattadassanaṃ, na tattha satto vā jīvo vā kārako vā vedako vāti, tenevāha ‘‘yaṃ kiñci samudayadhammaṃ, sabbantaṃ nirodhadhamma’’nti. Idañhi tassa dhammacakkhussa uppattiākāradassanatthaṃ vuttaṃ. Tañhi nirodhaṃ ārammaṇaṃ katvā kiccavasena eva saṅkhataṃ paṭivijjhantaṃ uppajjati.
๑๗. ธมฺมจกฺกนฺติ เอตฺถ เทสนาญาณํ อธิเปฺปตํ, ปฎิเวธญาณญฺจ ลพฺภเตวฯ เอตฺถ กิมตฺถํ เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุนฺติ? นานาทิฎฺฐิคตนฺธการวิธมนโต ลทฺธาโลกตฺตา, อปายภยสมติกฺกมนโต อสฺสาสํ ปตฺตตฺตา, เทวกายวิมานทสฺสนโต ปีติปาโมชฺชจลิตตฺตา จาติ เอวมาทีเนตฺถ การณานิ วทนฺติฯ ปถวิกมฺปนมหาสทฺทปาตุภาโว จ ธมฺมตาวเสเนว โหตีติ เอเกฯ เทวตานํ กีฬิตุกามตาย ปถวิกโมฺปฯ พหุโน เทวสงฺฆสฺส สนฺนิปาตโต, ภควโต สรีรปฺปภาชาลวิสชฺชนโต จาติ เอกเจฺจฯ
17.Dhammacakkanti ettha desanāñāṇaṃ adhippetaṃ, paṭivedhañāṇañca labbhateva. Ettha kimatthaṃ devā saddamanussāvesunti? Nānādiṭṭhigatandhakāravidhamanato laddhālokattā, apāyabhayasamatikkamanato assāsaṃ pattattā, devakāyavimānadassanato pītipāmojjacalitattā cāti evamādīnettha kāraṇāni vadanti. Pathavikampanamahāsaddapātubhāvo ca dhammatāvaseneva hotīti eke. Devatānaṃ kīḷitukāmatāya pathavikampo. Bahuno devasaṅghassa sannipātato, bhagavato sarīrappabhājālavisajjanato cāti ekacce.
๑๘. ปพฺพชฺชุปสมฺปทาวิเสสนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ อิติ-สโทฺท ตสฺส เอหิภิกฺขูปสมฺปทาปฎิลาภนิมิตฺตวจนปริโยสานทสฺสโนฯ ตทวสาโน หิ ตสฺส ภิกฺขุภาโวฯ สฺวากฺขาโตติอาทิ ‘‘เอหี’’ติ อามนฺตนาย ปโยชนทสฺสนวจนํฯ ‘‘เอหิภิกฺขู’’ติ ภควา อโวจ ‘‘สฺวากฺขาโต ธโมฺม จร…เป.… กิริยายา’’ติ จ อโวจาติ ปทสมฺพโนฺธฯ ตตฺถ จร พฺรหฺมจริยนฺติ อวสิฎฺฐํ มคฺคตฺตยพฺรหฺมจริยํ สมธิคจฺฉฯ กิมตฺถํ? สมฺมาทุกฺขสฺสนฺตกิริยายาติ อโตฺถฯ ‘‘เอหิภิกฺขู’’ติ อิมินา ภควโต วจเนน นิปฺผนฺนตฺตา การณูปจาเรน ‘‘เอหิภิกฺขูปสมฺปทา’’ติ วุตฺตาฯ สาว ตสฺสายสฺมโต ยาวชีวํ อุปสมฺปทา อโหสีติ อโตฺถฯ เตน ตสฺสา อุปสมฺปทาย สิกฺขาปจฺจกฺขาตาทินา วิเจฺฉทา วา ตทญฺญาย อุปสมฺปทาย กิจฺจํ วา นตฺถีติ อิทมตฺถทฺวยํ อฎฺฐกถายํ ทเสฺสติฯ อฎฺฐนฺนมฺปิ อุปสมฺปทานํ เอหิภิกฺขุโอวาทปฎิคฺคหณปญฺหพฺยากรณครุธมฺมปฎิคฺคหณูปสมฺปทานํ จตุนฺนํ อญฺญตราย อุปสมฺปนฺนสฺส อนฺตรา วิเจฺฉโท วา ตทญฺญูปสมฺปทาย กิจฺจํ วา นตฺถิ, อิตรสฺสตฺถีติฯ นิกายนฺตริกา ปนาหุ ‘‘พุทฺธปเจฺจกพุทฺธานํ นิยาโมกฺกนฺติสงฺขาตาย อุปสมฺปทาย ญตฺติจตุตฺถกมฺมุปสมฺปทญฺจ ทสวคฺคปญฺจวคฺคกรณียวเสน ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา ทสวิโธปสมฺปทา’’ติฯ กา ปเนตฺถ อตฺถโต อุปสมฺปทา นามาติ? ตทธิคตกิริยาวเสน นิพฺพตฺติยา อเสกฺขา ตทธิวาสนเจตนาย ปริภาวิตปญฺจกฺขนฺธิกา อชฺฌตฺตสนฺตติฯ กา ปเนตฺถ ปริภาวนา นาม? ตพฺพิปกฺขธมฺมชฺฌาจารวิรุทฺธภาโว, ตสฺส ปตฺติยา ตาย ปริภาวนาย วเสน กตฺถจิ ‘‘สมนฺนาคโต’’ติ วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘โลเภน สมนฺนาคโต, ภิกฺขเว, อภโพฺพ จตฺตาริ สติปฎฺฐานานิ ภาเวตุ’’นฺติอาทิฯ เอตฺถาหุ นิกายนฺตริกา ‘‘ยถาวุตฺตาย อุปสมฺปทาย ปตฺติสงฺขาโต จิตฺตวิปฺปยุโตฺต สงฺขารกฺขนฺธปริยาปโนฺน ธโมฺม อตฺถิ, ตสฺส สนฺตติวเสน ปุพฺพาปริยํ อุปฺปชฺชมานสฺส ยาว อวิเจฺฉโท, ตาว อุปสมฺปโนฺนติ, อญฺญถา ตโต ธมฺมนฺตรุปฺปตฺติกฺขเณ ตสฺส อุปสมฺปนฺนสฺส อนุปสมฺปนฺนภาวปฺปสโงฺค อาปชฺชตี’’ติฯ เต วตฺตพฺพา ‘‘สุตฺตํ อาหรถา’’ติฯ เต เจ วเทยฺยุํ ‘‘โย เตสํ ทสนฺนํ อเสกฺขานํ ธมฺมานํ อุปาทาย ปฎิลาภสมนฺนาคโม อริโย โหติ วิปฺปหีโนติ เอวมาทีนิ โน สุตฺตานี’’ติฯ เอวํ สติ อสนฺตธเมฺมหิ, ปรสเตฺตหิ จ สมนฺนาคมโทสปฺปสโงฺค เนสํ ปาปุณาติฯ กิํการณํ? สุตฺตสมฺภวโตฯ ยถาห – ‘‘ราชา, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺตี สตฺตหิ รตเนหิ สมนฺนาคโต โหตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๙๙-๒๐๐ อตฺถโต สมานํ) วิตฺถาโรฯ วสิภาโว ตตฺถ สมนฺนาคตสเทฺทน วุโตฺตฯ ตสฺสหิเตสุ รตเนสุ วสิภาโว กามจาโร อตฺถีติ เจ? เอตฺถ วสิภาโว สมนฺนาคมสเทฺทน วุโตฺต, อญฺญตฺถ ปตฺติสงฺขาโต, ตํ ธมฺมนฺตรนฺติฯ กิเมตฺถ วิเสสการณํ? นตฺถิ จ, ตสฺมา ยถาวุตฺตลกฺขณาว อุปสมฺปทาฯ อยเมว นโย ปพฺพชฺชาทีสุปิ เนตโพฺพฯ
18. Pabbajjupasampadāvisesanti attho. Tattha iti-saddo tassa ehibhikkhūpasampadāpaṭilābhanimittavacanapariyosānadassano. Tadavasāno hi tassa bhikkhubhāvo. Svākkhātotiādi ‘‘ehī’’ti āmantanāya payojanadassanavacanaṃ. ‘‘Ehibhikkhū’’ti bhagavā avoca ‘‘svākkhāto dhammo cara…pe… kiriyāyā’’ti ca avocāti padasambandho. Tattha cara brahmacariyanti avasiṭṭhaṃ maggattayabrahmacariyaṃ samadhigaccha. Kimatthaṃ? Sammādukkhassantakiriyāyāti attho. ‘‘Ehibhikkhū’’ti iminā bhagavato vacanena nipphannattā kāraṇūpacārena ‘‘ehibhikkhūpasampadā’’ti vuttā. Sāva tassāyasmato yāvajīvaṃ upasampadā ahosīti attho. Tena tassā upasampadāya sikkhāpaccakkhātādinā vicchedā vā tadaññāya upasampadāya kiccaṃ vā natthīti idamatthadvayaṃ aṭṭhakathāyaṃ dasseti. Aṭṭhannampi upasampadānaṃ ehibhikkhuovādapaṭiggahaṇapañhabyākaraṇagarudhammapaṭiggahaṇūpasampadānaṃ catunnaṃ aññatarāya upasampannassa antarā vicchedo vā tadaññūpasampadāya kiccaṃ vā natthi, itarassatthīti. Nikāyantarikā panāhu ‘‘buddhapaccekabuddhānaṃ niyāmokkantisaṅkhātāya upasampadāya ñatticatutthakammupasampadañca dasavaggapañcavaggakaraṇīyavasena dvidhā bhinditvā dasavidhopasampadā’’ti. Kā panettha atthato upasampadā nāmāti? Tadadhigatakiriyāvasena nibbattiyā asekkhā tadadhivāsanacetanāya paribhāvitapañcakkhandhikā ajjhattasantati. Kā panettha paribhāvanā nāma? Tabbipakkhadhammajjhācāraviruddhabhāvo, tassa pattiyā tāya paribhāvanāya vasena katthaci ‘‘samannāgato’’ti vuccati. Yathāha ‘‘lobhena samannāgato, bhikkhave, abhabbo cattāri satipaṭṭhānāni bhāvetu’’ntiādi. Etthāhu nikāyantarikā ‘‘yathāvuttāya upasampadāya pattisaṅkhāto cittavippayutto saṅkhārakkhandhapariyāpanno dhammo atthi, tassa santativasena pubbāpariyaṃ uppajjamānassa yāva avicchedo, tāva upasampannoti, aññathā tato dhammantaruppattikkhaṇe tassa upasampannassa anupasampannabhāvappasaṅgo āpajjatī’’ti. Te vattabbā ‘‘suttaṃ āharathā’’ti. Te ce vadeyyuṃ ‘‘yo tesaṃ dasannaṃ asekkhānaṃ dhammānaṃ upādāya paṭilābhasamannāgamo ariyo hoti vippahīnoti evamādīni no suttānī’’ti. Evaṃ sati asantadhammehi, parasattehi ca samannāgamadosappasaṅgo nesaṃ pāpuṇāti. Kiṃkāraṇaṃ? Suttasambhavato. Yathāha – ‘‘rājā, bhikkhave, cakkavattī sattahi ratanehi samannāgato hotī’’ti (dī. ni. 3.199-200 atthato samānaṃ) vitthāro. Vasibhāvo tattha samannāgatasaddena vutto. Tassahitesu ratanesu vasibhāvo kāmacāro atthīti ce? Ettha vasibhāvo samannāgamasaddena vutto, aññattha pattisaṅkhāto, taṃ dhammantaranti. Kimettha visesakāraṇaṃ? Natthi ca, tasmā yathāvuttalakkhaṇāva upasampadā. Ayameva nayo pabbajjādīsupi netabbo.
๑๙. กิญฺจาปิ วปฺปเตฺถรสฺส ปาฎิปททิวเส…เป.… อสฺสชิเตฺถรสฺส จตุตฺถิยนฺติ เอวํ นานาทิวเสสุ ปาเฎกฺกํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ, ตถาปิ โอวาทสามเญฺญน วปฺปภทฺทิยานํ, มหานามอสฺสชีนเญฺจตฺถ เอกโต วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
19. Kiñcāpi vappattherassa pāṭipadadivase…pe… assajittherassa catutthiyanti evaṃ nānādivasesu pāṭekkaṃ dhammacakkhuṃ udapādi, tathāpi ovādasāmaññena vappabhaddiyānaṃ, mahānāmaassajīnañcettha ekato vuttanti veditabbaṃ.
๒๐. ‘‘รูปํ, ภิกฺขเว, อนตฺตา’’ติ กิมตฺถํ อาทิโตว อนตฺตลกฺขณํ ทีเปตีติ? เตสํ ปุถุชฺชนกาเลปิ อิตรลกฺขณทฺวยสฺส ปากฎตฺตาฯ เต หิ มนาปานํ กามานํ อนิจฺจตาทสฺสเนน สํวิคฺคา ปพฺพชิํสูติ อนิจฺจลกฺขณํ ตาว เนสํ เอกเทเสน ปากฎํ, ปพฺพชิตานญฺจ อตฺตกิลมถานุโยคโต กายิกทุกฺขํ, ตญฺจ มานสสฺส ปจฺจโยติ มานสิกทุกฺขญฺจ ปากฎํ, ตสฺมา ตทุภยํ วชฺชิตฺวา อนตฺตลกฺขณเมว ทีเปตุํ อารภิฯ ตญฺจ ทีเปโนฺต ทุกฺขลกฺขเณเนว ทีเปตุํ ‘‘รูปญฺจ หิทํ, ภิกฺขเว, อตฺตา อภวิสฺสา’’ติอาทิมาหฯ กิมตฺถนฺติ? อนิจฺจลกฺขณโตปิ เตสํ ทุกฺขลกฺขณสฺส สุฎฺฐุตรํ ปากฎตฺตาฯ เตสญฺหิ อตฺตกิลมถานุโยคมนุยุตฺตตฺตา, ตปฺปรายณภาวโต จ ทุกฺขลกฺขณํ สุฎฺฐุ ปากฎํ, ตสฺมา เตน ตาว สุฎฺฐุ ปากเฎน อนตฺตลกฺขณํ ทีเปตฺวา ปุน ตเทว ตทุภเยนาปิ ทีเปตุํ ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติ วกฺขติฯ กลฺลํ นูติ ยุตฺตํ นุฯ เอตํ มมาติ ตณฺหาคฺคาโหฯ เอโสหมสฺมีติ มานคฺคาโหฯ เอโส เม อตฺตาติ ทิฎฺฐิคฺคาโหฯ ตณฺหาคฺคาโห เจตฺถ อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตวเสน, มานคฺคาโห นววิธมานวเสน, ทิฎฺฐิคฺคาโห ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิวเสน เวทิตโพฺพฯ
20. ‘‘Rūpaṃ, bhikkhave, anattā’’ti kimatthaṃ āditova anattalakkhaṇaṃ dīpetīti? Tesaṃ puthujjanakālepi itaralakkhaṇadvayassa pākaṭattā. Te hi manāpānaṃ kāmānaṃ aniccatādassanena saṃviggā pabbajiṃsūti aniccalakkhaṇaṃ tāva nesaṃ ekadesena pākaṭaṃ, pabbajitānañca attakilamathānuyogato kāyikadukkhaṃ, tañca mānasassa paccayoti mānasikadukkhañca pākaṭaṃ, tasmā tadubhayaṃ vajjitvā anattalakkhaṇameva dīpetuṃ ārabhi. Tañca dīpento dukkhalakkhaṇeneva dīpetuṃ ‘‘rūpañca hidaṃ, bhikkhave, attā abhavissā’’tiādimāha. Kimatthanti? Aniccalakkhaṇatopi tesaṃ dukkhalakkhaṇassa suṭṭhutaraṃ pākaṭattā. Tesañhi attakilamathānuyogamanuyuttattā, tapparāyaṇabhāvato ca dukkhalakkhaṇaṃ suṭṭhu pākaṭaṃ, tasmā tena tāva suṭṭhu pākaṭena anattalakkhaṇaṃ dīpetvā puna tadeva tadubhayenāpi dīpetuṃ ‘‘taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti vakkhati. Kallaṃ nūti yuttaṃ nu. Etaṃ mamāti taṇhāggāho. Esohamasmīti mānaggāho. Eso me attāti diṭṭhiggāho. Taṇhāggāho cettha aṭṭhasatataṇhāvicaritavasena, mānaggāho navavidhamānavasena, diṭṭhiggāho dvāsaṭṭhidiṭṭhivasena veditabbo.
ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๖. ปญฺจวคฺคิยกถา • 6. Pañcavaggiyakathā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / ปญฺจวคฺคิยกถา • Pañcavaggiyakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā
ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา • Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā
ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตวณฺณนา • Dhammacakkappavattanasuttavaṇṇanā
อนตฺตลกฺขณสุตฺตวณฺณนา • Anattalakkhaṇasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา • Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๖. ปญฺจวคฺคิยกถา • 6. Pañcavaggiyakathā