Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā |
ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา
Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā
๑๐. อาฬาโรติ นามํฯ กาลาโมติ โคตฺตํฯ ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาทีติ กิํ อิทาเนว อุทปาทิ, นนุ โพธิมูเล เตกาลิกา, กาลวินิมุตฺตา จ สเพฺพ ธมฺมา สพฺพาการโต ทิฎฺฐาติ? สจฺจํ ทิฎฺฐา, ตถาปิ นามาทิวเสน อวิกปฺปิตา เอกจิตฺตกฺขณิกตฺตา สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺสฯ น หิ เอเกน จิเตฺตน สพฺพธมฺมานํ นามชาติอาทิกํ ปเจฺจกํ อนนฺตํ วิภาคํ วิกเปฺปตุํ สกฺกา วิกปฺปานํ วิรุทฺธานํ สหานุปฺปตฺติโต, สพฺพวิกปฺปารหธมฺมทสฺสนเมว ปนาเนน สกฺกา กาตุํฯ ยถา ทิเฎฺฐสุ ปน ยถิจฺฉิตาการํ อารพฺภ วิกโปฺป อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาเณน ทิเฎฺฐ จิตฺตปเฎ วิยฯ อิธาปิ อาฬารํ นิสฺสาย อาวชฺชนานนฺตรเมว สพฺพาการญาณํ อุทปาทิฯ น เกวลญฺจ ตํ, อถ โข ปญฺจวคฺคิยา เอว ปฐมํ ธมฺมํ ชานิสฺสนฺติ, ตปฺปมุขา จ เทวตา, อาฬาโร กาลํ กตฺวา อากิญฺจญฺญายตเน, อุทโก จ เนวสญฺญานาสญฺญายตเน นิพฺพโตฺตติ เอวมาทิกํ สพฺพมฺปิ นิสฺสาย ญาณํ อุปฺปชฺชติ เอวฯ ตํ ปน ขณสมฺปตฺติยา ทุลฺลภภาวํ ทเสฺสตุํ กเมน โอโลเกตฺวา เทวตาย วุเตฺต ญาณํ วิย กตฺวา วุตฺตํฯ สทฺทคติยา หิ พนฺธตฺตา เอเกน ญาเณน ญาตมฺปิ วุจฺจมานํ กเมน ญาตํ วิย ปฎิภาติ, เทวตาปิ จ ภควตา ญาตเมวตฺถํ อาโรเจสิฯ เตเนว ‘‘ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาที’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวมญฺญตฺถาปิ อีทิเสสุ ‘‘โลกํ โวโลเกโนฺต อสุกํ อทฺทส, ตตฺถ มยิ คเต กิํ ภวิสฺสตี’’ติ เอวมาทินา สตฺถุ หิเตสิตาสนฺทสฺสนวสปฺปวเตฺตสุฯ สพฺพตฺถ วจนคติยํ กมวุตฺติเต ปญฺญายมาเนปิ เอเกเนว ญาเณน สกลาวโพโธ เวทิตโพฺพฯ พหุการา โข เม ปญฺจวคฺคิยาติ อุปการสฺสาปิ วิชฺชมานตํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ปน ธมฺมเทสนาย การณเตฺตน อนุปการานมฺปิ เทสนโตฯ
10.Āḷāroti nāmaṃ. Kālāmoti gottaṃ. Bhagavatopi kho ñāṇaṃ udapādīti kiṃ idāneva udapādi, nanu bodhimūle tekālikā, kālavinimuttā ca sabbe dhammā sabbākārato diṭṭhāti? Saccaṃ diṭṭhā, tathāpi nāmādivasena avikappitā ekacittakkhaṇikattā sabbaññutaññāṇassa. Na hi ekena cittena sabbadhammānaṃ nāmajātiādikaṃ paccekaṃ anantaṃ vibhāgaṃ vikappetuṃ sakkā vikappānaṃ viruddhānaṃ sahānuppattito, sabbavikappārahadhammadassanameva panānena sakkā kātuṃ. Yathā diṭṭhesu pana yathicchitākāraṃ ārabbha vikappo uppajjati cakkhuviññāṇena diṭṭhe cittapaṭe viya. Idhāpi āḷāraṃ nissāya āvajjanānantarameva sabbākārañāṇaṃ udapādi. Na kevalañca taṃ, atha kho pañcavaggiyā eva paṭhamaṃ dhammaṃ jānissanti, tappamukhā ca devatā, āḷāro kālaṃ katvā ākiñcaññāyatane, udako ca nevasaññānāsaññāyatane nibbattoti evamādikaṃ sabbampi nissāya ñāṇaṃ uppajjati eva. Taṃ pana khaṇasampattiyā dullabhabhāvaṃ dassetuṃ kamena oloketvā devatāya vutte ñāṇaṃ viya katvā vuttaṃ. Saddagatiyā hi bandhattā ekena ñāṇena ñātampi vuccamānaṃ kamena ñātaṃ viya paṭibhāti, devatāpi ca bhagavatā ñātamevatthaṃ ārocesi. Teneva ‘‘bhagavatopi kho ñāṇaṃ udapādī’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Evamaññatthāpi īdisesu ‘‘lokaṃ volokento asukaṃ addasa, tattha mayi gate kiṃ bhavissatī’’ti evamādinā satthu hitesitāsandassanavasappavattesu. Sabbattha vacanagatiyaṃ kamavuttite paññāyamānepi ekeneva ñāṇena sakalāvabodho veditabbo. Bahukārā kho me pañcavaggiyāti upakārassāpi vijjamānataṃ sandhāya vuttaṃ, na pana dhammadesanāya kāraṇattena anupakārānampi desanato.
๑๑. อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธินฺติ คยาย, โพธิสฺส จ อนฺตเร ติคาวุเต ฐาเนฯ
11.Antarā ca gayaṃ antarā ca bodhinti gayāya, bodhissa ca antare tigāvute ṭhāne.
สพฺพาภิภูติ สพฺพํ เตภูมกธมฺมํ อภิภวิตฺวา ฐิโตฯ อนูปลิโตฺตติ กิเลสเลเปน อลิโตฺตฯ ตโต เอว สพฺพญฺชโหฯ ตณฺหกฺขเย วิมุโตฺตติ ตณฺหกฺขเย นิพฺพาเน อารมฺมณกรณวสเอน วิมุโตฺตฯ เอวํ สยํ สพฺพธเมฺม อตฺตนาว ชานิตฺวาฯ กมุทฺทิเสยฺยนฺติ กํ อญฺญํ ‘‘อยํ เม อาจริโย’’ติ อุทฺทิเสยฺยํฯ
Sabbābhibhūti sabbaṃ tebhūmakadhammaṃ abhibhavitvā ṭhito. Anūpalittoti kilesalepena alitto. Tato eva sabbañjaho. Taṇhakkhaye vimuttoti taṇhakkhaye nibbāne ārammaṇakaraṇavasaena vimutto. Evaṃ sayaṃ sabbadhamme attanāva jānitvā. Kamuddiseyyanti kaṃ aññaṃ ‘‘ayaṃ me ācariyo’’ti uddiseyyaṃ.
กาสินํ ปุรนฺติ พาราณสิํฯ อาหญฺฉนฺติ อาหนิสฺสามิฯ อมตาธิคมาย อุโคฺฆสนโต อมตทุนฺทุภินฺติ สตฺถุ ธมฺมเทสนา วุตฺตา, ‘‘อมตเภริํ ปหริสฺสามี’’ติ คจฺฉามีติ อโตฺถฯ
Kāsinaṃ puranti bārāṇasiṃ. Āhañchanti āhanissāmi. Amatādhigamāya ugghosanato amatadundubhinti satthu dhammadesanā vuttā, ‘‘amatabheriṃ paharissāmī’’ti gacchāmīti attho.
อรหสิ อนนฺตชิโนติ อนนฺตชิโนปิ ภวิตุํ ยุโตฺตติ อโตฺถฯ อนนฺตญาณตาย อนโนฺต ชิโน จ, อนเนฺตน วา ญาเณน, อนนฺตํ วา โทสํ ชิตวา, อุปฺปาทวยนฺตรหิตตาย วา อนนฺตํ นิพฺพานํ อชินิ กิเลสารโย มทฺทิตฺวา คณฺหีติปิ อนนฺตชิโนฯ
Arahasi anantajinoti anantajinopi bhavituṃ yuttoti attho. Anantañāṇatāya ananto jino ca, anantena vā ñāṇena, anantaṃ vā dosaṃ jitavā, uppādavayantarahitatāya vā anantaṃ nibbānaṃ ajini kilesārayo madditvā gaṇhītipi anantajino.
หุเปยฺยาปีติ เอวมฺปิ ภเวยฺย, เอวํวิเธ รูปกายรตเน อีทิเสน ญาเณน ภวิตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ เอวํ นาม กถนญฺหิสฺส อุปนิสฺสยสมฺปนฺนสฺส อปรกาเล ทุกฺขปฺปตฺตสฺส ภควนฺตํ อุปคมฺม ปพฺพชิตฺวา มคฺคผลปฎิเวธาย ปจฺจโย ชาโตฯ ตถาเหส ภควา เตน สมาคมตฺถํ ปทสาว มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ
Hupeyyāpīti evampi bhaveyya, evaṃvidhe rūpakāyaratane īdisena ñāṇena bhavitabbanti adhippāyo. Evaṃ nāma kathanañhissa upanissayasampannassa aparakāle dukkhappattassa bhagavantaṃ upagamma pabbajitvā maggaphalapaṭivedhāya paccayo jāto. Tathāhesa bhagavā tena samāgamatthaṃ padasāva maggaṃ paṭipajji.
๑๒. พาหุลฺลิโกติ ปจฺจยพาหุลฺลิโกฯ ปธานวิพฺภโนฺตติ ปธานโต ทุกฺกรจรณโต ปริหีโนฯ นตฺถิ เอตฺถ อคาริยํ, อคารสฺส หิตํ กสิโครกฺขาทิกมฺมนฺติ อนคาริยา, ปพฺพชฺชา, ตํ อนคาริยํฯ ปพฺพชนฺตีติ อุปคจฺฉนฺติฯ ตทนุตฺตรนฺติ ตํ อนุตฺตรํฯ พฺรหฺมจริยปริโยสานนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส ปริโยสานํ, อรหตฺตผลนฺติ อโตฺถฯ ตสฺส หิ อตฺถาย กุลปุตฺตา ปพฺพชนฺติฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ อิมสฺมิํ ปจฺจเกฺข อตฺตภาเวฯ สยนฺติ อปรปฺปจฺจยา ฯ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวาติ อตฺตโนว ญาเณน ปจฺจกฺขํ กตฺวาฯ อุปสมฺปชฺชาติ ปาปุณิตฺวาฯ
12.Bāhullikoti paccayabāhulliko. Padhānavibbhantoti padhānato dukkaracaraṇato parihīno. Natthi ettha agāriyaṃ, agārassa hitaṃ kasigorakkhādikammanti anagāriyā, pabbajjā, taṃ anagāriyaṃ. Pabbajantīti upagacchanti. Tadanuttaranti taṃ anuttaraṃ. Brahmacariyapariyosānanti maggabrahmacariyassa pariyosānaṃ, arahattaphalanti attho. Tassa hi atthāya kulaputtā pabbajanti. Diṭṭheva dhammeti imasmiṃ paccakkhe attabhāve. Sayanti aparappaccayā . Abhiññā sacchikatvāti attanova ñāṇena paccakkhaṃ katvā. Upasampajjāti pāpuṇitvā.
อิริยายาติ ทุกฺกรอิริยายฯ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาติอาทีสุ มนุสฺสธมฺมโต โลกิยญาณโต อุปริ อริยํ กาตุํ อลํ สมโตฺถ อลมริโยฯ ญาณทสฺสนวิเสโสติ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปุพฺพภาคํ อธิเปฺปตํฯ โนติ นุฯ ภาสิตเมตนฺติ เอวรูปเมตํ วากฺยเภทนฺติ อโตฺถฯ เต จ ‘‘ยทิ เอส ปธานกาเล ‘อหํ อรหา’ติ วเทยฺย, มยญฺจ สทฺทหาม, น จาเนน ตทา วุตฺตํฯ อิทานิ ปน วิชฺชมานเมว คุณํ วทตี’’ติ เอกปเทน สติํ ลภิตฺวา ‘‘พุโทฺธ ชาโต’’ติ อุปฺปนฺนคารวา อาวุโสวาทํ ปหาย ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ติ อาหํสุฯ อญฺญา จิตฺตนฺติ อญฺญาย อรหตฺตปฺปตฺติยา จิตฺตํฯ
Iriyāyāti dukkarairiyāya. Uttarimanussadhammātiādīsu manussadhammato lokiyañāṇato upari ariyaṃ kātuṃ alaṃ samattho alamariyo. Ñāṇadassanavisesoti sabbaññutaññāṇassa pubbabhāgaṃ adhippetaṃ. Noti nu. Bhāsitametanti evarūpametaṃ vākyabhedanti attho. Te ca ‘‘yadi esa padhānakāle ‘ahaṃ arahā’ti vadeyya, mayañca saddahāma, na cānena tadā vuttaṃ. Idāni pana vijjamānameva guṇaṃ vadatī’’ti ekapadena satiṃ labhitvā ‘‘buddho jāto’’ti uppannagāravā āvusovādaṃ pahāya ‘‘no hetaṃ, bhante’’ti āhaṃsu. Aññā cittanti aññāya arahattappattiyā cittaṃ.
๑๓. อนฺตาติ โกฎฺฐาสา เทฺว ภาคาฯ กาเมสุ กามสุขลฺลิกานุโยโคติ วตฺถุกาเมสุ กิเลสกามสุขสฺส อนุภโวฯ กิเลสกามา เอว วา อามิสสุเขน อลฺลียนโต กามสุขลฺลิกาติ วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ คโมฺมติ คามวาสีนํ สนฺตโกฯ อตฺตกิลมถานุโยโคติ อตฺตโน กิลมถสฺส กณฺฎกเสยฺยาทิทุกฺขสฺส อนุโยโคฯ อุโภ อเนฺตติ ยถาวุเตฺต โลโภ วา สสฺสโต วา เอโก อโนฺต, โทโส วา อุเจฺฉโท วา เอโกติ เวทิตโพฺพฯ
13.Antāti koṭṭhāsā dve bhāgā. Kāmesu kāmasukhallikānuyogoti vatthukāmesu kilesakāmasukhassa anubhavo. Kilesakāmā eva vā āmisasukhena allīyanato kāmasukhallikāti vuttāti daṭṭhabbā. Gammoti gāmavāsīnaṃ santako. Attakilamathānuyogoti attano kilamathassa kaṇṭakaseyyādidukkhassa anuyogo. Ubho anteti yathāvutte lobho vā sassato vā eko anto, doso vā ucchedo vā ekoti veditabbo.
จกฺขุกรณีติอาทีสุ อตฺตนา สมฺปยุตฺตญาณจกฺขุํ กโรตีติ จกฺขุกรณีฯ ทุติยํ ตเสฺสว เววจนํฯ อุปสโมติ กิเลสุปสโมฯ อภิญฺญา, สโมฺพโธ จ จตุสจฺจปฎิเวโธวฯ นิพฺพานํ อสงฺขตธาตุฯ เอเตสมฺปิ อตฺถาย สํวตฺตตีติ ปฎิปทํ โถเมติฯ สมฺมาทิฎฺฐีติ ญาณํฯ สมฺมาสงฺกโปฺปติ วิตโกฺกฯ เสสํ ธมฺมโต สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Cakkhukaraṇītiādīsu attanā sampayuttañāṇacakkhuṃ karotīti cakkhukaraṇī. Dutiyaṃ tasseva vevacanaṃ. Upasamoti kilesupasamo. Abhiññā, sambodho ca catusaccapaṭivedhova. Nibbānaṃ asaṅkhatadhātu. Etesampi atthāya saṃvattatīti paṭipadaṃ thometi. Sammādiṭṭhīti ñāṇaṃ. Sammāsaṅkappoti vitakko. Sesaṃ dhammato suviññeyyameva.
๑๔. เอวํ จตฺตาโรปิ มเคฺค เอกโต ทเสฺสตฺวา อิทานิ เตหิ มเคฺคหิ ปฎิวิชฺฌิตพฺพานิ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ทเสฺสตุํ ‘‘อิทํ โข ปน, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ชาติปิ ทุกฺขาติอาทีสุ ตตฺถ ตตฺถ ภเว นิพฺพตฺตมานานํ สตฺตานํ สพฺพปฐมํ รูปารูปธมฺมปฺปวตฺติ อิธ ชาติ นาม, สา จ ตตฺถ ตตฺถ ภเวสุ อุปลพฺภมานานํ ทุกฺขาทีนํ วตฺถุภาวโต ทุกฺขา, เอวํ ชราทีสุ ทุกฺขวตฺถุกตาย ทุกฺขตา เวทิตพฺพาฯ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ปน ทุกฺขทุกฺขวิปริณามทุกฺขสงฺขารทุกฺขวเสน ทุกฺขา เอวฯ โปโนภวิกาติ ปุนพฺภวกรณํ ปุนพฺภโว อุตฺตรปทโลเปน, ปุนพฺภโว สีลเมติสฺสาติ โปโนภวิกาฯ นนฺทิราคสหคตาติ เอตฺถ รูปาทีสุ นนฺทติ ปิยายตีติ นนฺที, สา เอว ราโคติ นนฺทิราโคติ ภาวปฺปธาโนยํ นิเทฺทโส, นนฺทิราคตฺตนฺติ อโตฺถฯ เตน สหคตานิ นนฺทิราคสหคตาฯ ตตฺร ตตฺราติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ภเวฯ รูปาทีสุ ฉสุ อารมฺมเณสุ กามสฺสาทนวเสน ปวตฺตา กามตณฺหา นามฯ สสฺสตทิฎฺฐิยา สห ปวตฺตา ภวตณฺหาฯ อุเจฺฉททิฎฺฐิยา สห ปวตฺตา วิภวตณฺหาฯ อเสสวิราคนิโรโธติอาทินา นิพฺพานเมว วุจฺจติฯ ตตฺถ วิรชฺชนํ วิคมนํ วิราโคฯ นิรุชฺฌนํ นิโรโธฯ อุภเยนาปิ สุฎฺฐุ วิคโมว วุจฺจติฯ อเสสายปิ ตณฺหาย วิราโค, นิโรโธ จ เยน โหติ, โส อเสสวิราคนิโรโธ, นิพฺพานเมวฯ ยสฺมา จ ตํ อาคมฺม ตณฺหํ, วฎฺฎญฺจ จชนฺติ ปฎินิสฺสชฺชนฺติ วิมุจฺจนฺติ น อลฺลียนฺติ, ตสฺมา จาโค ปฎินิสฺสโคฺค มุตฺติ อนาลโยติ วุจฺจติฯ
14. Evaṃ cattāropi magge ekato dassetvā idāni tehi maggehi paṭivijjhitabbāni cattāri ariyasaccāni dassetuṃ ‘‘idaṃ kho pana, bhikkhave’’tiādimāha. Jātipi dukkhātiādīsu tattha tattha bhave nibbattamānānaṃ sattānaṃ sabbapaṭhamaṃ rūpārūpadhammappavatti idha jāti nāma, sā ca tattha tattha bhavesu upalabbhamānānaṃ dukkhādīnaṃ vatthubhāvato dukkhā, evaṃ jarādīsu dukkhavatthukatāya dukkhatā veditabbā. Pañcupādānakkhandhā pana dukkhadukkhavipariṇāmadukkhasaṅkhāradukkhavasena dukkhā eva. Ponobhavikāti punabbhavakaraṇaṃ punabbhavo uttarapadalopena, punabbhavo sīlametissāti ponobhavikā. Nandirāgasahagatāti ettha rūpādīsu nandati piyāyatīti nandī, sā eva rāgoti nandirāgoti bhāvappadhānoyaṃ niddeso, nandirāgattanti attho. Tena sahagatāni nandirāgasahagatā. Tatra tatrāti tasmiṃ tasmiṃ bhave. Rūpādīsu chasu ārammaṇesu kāmassādanavasena pavattā kāmataṇhā nāma. Sassatadiṭṭhiyā saha pavattā bhavataṇhā. Ucchedadiṭṭhiyā saha pavattā vibhavataṇhā. Asesavirāganirodhotiādinā nibbānameva vuccati. Tattha virajjanaṃ vigamanaṃ virāgo. Nirujjhanaṃ nirodho. Ubhayenāpi suṭṭhu vigamova vuccati. Asesāyapi taṇhāya virāgo, nirodho ca yena hoti, so asesavirāganirodho, nibbānameva. Yasmā ca taṃ āgamma taṇhaṃ, vaṭṭañca cajanti paṭinissajjanti vimuccanti na allīyanti, tasmā cāgo paṭinissaggo mutti anālayoti vuccati.
๑๕. จกฺขุนฺติอาทีนิ ญาณเววจนาเนวฯ
15.Cakkhuntiādīni ñāṇavevacanāneva.
๑๖. ยาวกีวญฺจาติ ยตฺตกํ กาลํฯ ติปริวฎฺฎนฺติ สจฺจญาณ, กิจฺจญาณ, กตญาณสงฺขาตานํ ติณฺณํ ปริวฎฺฎานํ วเสน ติปริวฎฺฎํ ญาณทสฺสนํฯ เอตฺถ จ ‘‘อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ, อิทํ ทุกฺขสมุทย’’นฺติ เอวํ จตูสุ สเจฺจสุ ยถาภูตญาณํ สจฺจญาณํ นามฯ เตสุ เอว ‘‘ปริเญฺญยฺยํ ปหาตพฺพํ สจฺฉิกาตพฺพํ ภาเวตพฺพ’’นฺติ เอวํ กตฺตพฺพกิจฺจชานนญาณํ กิจฺจญาณํ นามฯ ‘‘ปริญฺญาตํ ปหีนํ สจฺฉิกตํ ภาวิต’’นฺติ ตสฺส กิจฺจสฺส กตภาวชานนญาณํ กตญาณํ นามฯ ทฺวาทสาการนฺติ เตสเมว เอเกกสฺมิํ สเจฺจ ติณฺณํ ติณฺณํ อาการานํ วเสน ทฺวาทสาการํฯ
16.Yāvakīvañcāti yattakaṃ kālaṃ. Tiparivaṭṭanti saccañāṇa, kiccañāṇa, katañāṇasaṅkhātānaṃ tiṇṇaṃ parivaṭṭānaṃ vasena tiparivaṭṭaṃ ñāṇadassanaṃ. Ettha ca ‘‘idaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ, idaṃ dukkhasamudaya’’nti evaṃ catūsu saccesu yathābhūtañāṇaṃ saccañāṇaṃ nāma. Tesu eva ‘‘pariññeyyaṃ pahātabbaṃ sacchikātabbaṃ bhāvetabba’’nti evaṃ kattabbakiccajānanañāṇaṃ kiccañāṇaṃ nāma. ‘‘Pariññātaṃ pahīnaṃ sacchikataṃ bhāvita’’nti tassa kiccassa katabhāvajānanañāṇaṃ katañāṇaṃ nāma. Dvādasākāranti tesameva ekekasmiṃ sacce tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ ākārānaṃ vasena dvādasākāraṃ.
อภิสมฺพุโทฺธติ ปจฺจญฺญาสินฺติ อภิสมฺพุโทฺธ อรหตฺตํ ปโตฺตติ เอวํ น ปฎิชานิํฯ ยโต จ โขติ ยโต โพธิมูเล นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐาย ฯ อถาหนฺติ ตโต ปรํ อหํฯ ญาณญฺจ ปน เมติ ปจฺจเวกฺขณญาณํ สนฺธาย วทติฯ อกุปฺปา เมติอาทิ ตสฺส ปวตฺติอาการทสฺสนํฯ ตตฺถ อกุปฺปา เม วิมุตฺตีติ อรหตฺตผลํ ตสฺส มคฺคสงฺขาตการณโต จ อารมฺมณโต จ อกุปฺปตา เวทิตพฺพาฯ
Abhisambuddhoti paccaññāsinti abhisambuddho arahattaṃ pattoti evaṃ na paṭijāniṃ. Yato ca khoti yato bodhimūle nisinnakālato paṭṭhāya . Athāhanti tato paraṃ ahaṃ. Ñāṇañca pana meti paccavekkhaṇañāṇaṃ sandhāya vadati. Akuppā metiādi tassa pavattiākāradassanaṃ. Tattha akuppā me vimuttīti arahattaphalaṃ tassa maggasaṅkhātakāraṇato ca ārammaṇato ca akuppatā veditabbā.
อิมสฺมิํ ปน เวยฺยากรณสฺมินฺติ นิคฺคาถสุเตฺตฯ ภญฺญมาเนติ ภณิยมาเนฯ ธมฺมจกฺขุนฺติ อิธ จตุสจฺจธเมฺมสุ จกฺขุกิจฺจกรณโต โสตาปตฺติมโคฺค อธิเปฺปโตฯ ยํ กิญฺจีติอาทิ นิพฺพานารมฺมณเตฺตปิ กิจฺจวเสน อสโมฺมหโต ปวตฺติทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ
Imasmiṃ pana veyyākaraṇasminti niggāthasutte. Bhaññamāneti bhaṇiyamāne. Dhammacakkhunti idha catusaccadhammesu cakkhukiccakaraṇato sotāpattimaggo adhippeto. Yaṃ kiñcītiādi nibbānārammaṇattepi kiccavasena asammohato pavattidassanatthaṃ vuttaṃ.
๑๗. ธมฺมจกฺกนฺติ ปฎิเวธญาณธมฺมเญฺจว เทสนาญาณธมฺมญฺจ ปวตฺตนเฎฺฐน จกฺกนฺติ ธมฺมจกฺกํ ฯ โอภาโสติ สพฺพญฺญุตญฺญาณานุภาเวน ปวโตฺต จิตฺตปจฺจยอุตุสมุฎฺฐาโน ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริตฺวา ฐิโต โอภาโสฯ
17.Dhammacakkanti paṭivedhañāṇadhammañceva desanāñāṇadhammañca pavattanaṭṭhena cakkanti dhammacakkaṃ . Obhāsoti sabbaññutaññāṇānubhāvena pavatto cittapaccayautusamuṭṭhāno dasasahassilokadhātuṃ pharitvā ṭhito obhāso.
๑๘. ทิโฎฺฐ อริยสจฺจธโมฺม เอเตนาติ ทิฎฺฐธโมฺมฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ อตฺตโน ปจฺจกฺขโต อธิคตตฺตา น ปรํ ปเจฺจติ, ปรสฺส สทฺธาย เอตฺถ น ปวตฺตตีติ อปรปฺปจฺจโยฯ เอหิ ภิกฺขูติ เอตฺตเก วุตฺตมเตฺต ปพฺพชฺชา, อุปสมฺปทา จ สิชฺฌติ, เตเนว ตตฺถ อิติ-สเทฺทน ปริเจฺฉโท ทสฺสิโตติ วทนฺติฯ เกจิ ปน ‘‘สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยายาติ วจนปริโยสาเน เอว อุปสมฺปทา สิชฺฌติ, อฎฺฐกถายํ ปน ‘เอหิ ภิกฺขูติ ภควโต วจเนนา’ติ อิทํ เอหิภิกฺขุสโทฺทปลกฺขิตวจนํ เอหิภิกฺขุวจนนฺติอาทิปทวเสน วุตฺตํ มุสาวาทวโคฺคติอาทีสุ วิยา’’ติ วทนฺติ, ตเทตํ ปฐมปาราชิกฎฺฐกถายํ ‘‘ภควา หิ…เป.… เอหิ ภิกฺขุ, จร พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยายา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๔๕ ภิกฺขูปทภาชนียวณฺณนา) อิมินา วจเนน สเมติฯ ยตฺตกญฺหิ ภควตา นิยเมน วุจฺจติ, ตตฺตกํ สพฺพมฺปิ องฺคเมวฯ เสกฺขปุถุชฺชนานญฺหิ เอตํ ปริปุณฺณํ วุจฺจติ, อเสกฺขานํ ปน ‘‘จร พฺรหฺมจริย’’นฺติ ปริโยสานนฺติ ทฎฺฐพฺพํ สิกฺขตฺตยสมิทฺธิโตฯ โลกิยสมฺปทาหิ อุปริภูตา เสฎฺฐภูตา สมฺปทาติ อุปสมฺปทาฯ
18. Diṭṭho ariyasaccadhammo etenāti diṭṭhadhammo. Esa nayo sesesupi. Attano paccakkhato adhigatattā na paraṃ pacceti, parassa saddhāya ettha na pavattatīti aparappaccayo. Ehi bhikkhūti ettake vuttamatte pabbajjā, upasampadā ca sijjhati, teneva tattha iti-saddena paricchedo dassitoti vadanti. Keci pana ‘‘sammā dukkhassa antakiriyāyāti vacanapariyosāne eva upasampadā sijjhati, aṭṭhakathāyaṃ pana ‘ehi bhikkhūti bhagavato vacanenā’ti idaṃ ehibhikkhusaddopalakkhitavacanaṃ ehibhikkhuvacanantiādipadavasena vuttaṃ musāvādavaggotiādīsu viyā’’ti vadanti, tadetaṃ paṭhamapārājikaṭṭhakathāyaṃ ‘‘bhagavā hi…pe… ehi bhikkhu, cara brahmacariyaṃ sammā dukkhassa antakiriyāyā’’ti (pārā. aṭṭha. 1.45 bhikkhūpadabhājanīyavaṇṇanā) iminā vacanena sameti. Yattakañhi bhagavatā niyamena vuccati, tattakaṃ sabbampi aṅgameva. Sekkhaputhujjanānañhi etaṃ paripuṇṇaṃ vuccati, asekkhānaṃ pana ‘‘cara brahmacariya’’nti pariyosānanti daṭṭhabbaṃ sikkhattayasamiddhito. Lokiyasampadāhi uparibhūtā seṭṭhabhūtā sampadāti upasampadā.
๑๙-๒๑. นีหารภโตฺตติ ภิกฺขูหิ คามโต นีหริตฺวา ทินฺนภโตฺตฯ กลฺลํ นูติ ยุตฺตํ นุฯ เอตํ มมาติอาทิ ยถากฺกมํ ตณฺหามานทิฎฺฐิคาหานํ ทสฺสนํฯ
19-21.Nīhārabhattoti bhikkhūhi gāmato nīharitvā dinnabhatto. Kallaṃ nūti yuttaṃ nu. Etaṃ mamātiādi yathākkamaṃ taṇhāmānadiṭṭhigāhānaṃ dassanaṃ.
๒๒-๒๓. ตสฺมา ติหาติ เอตฺถ ติหาติ นิปาตมตฺตํ, ตสฺมาติ อโตฺถฯ นิพฺพินฺทตีติ วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนาวเสน อุกฺกณฺฐติฯ วิรชฺชตีติ จตุนฺนํ มคฺคานํ วเสน น รชฺชติฯ วิมุจฺจตีติ ผลวเสน วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมินฺติอาทิ ปจฺจเวกฺขณญาณทสฺสนํฯ พฺรหฺมจริยนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ กรณียํ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปเจฺจกํ กตฺตพฺพํ ปริญฺญาทิวเสน โสฬสวิธํ กิจฺจํฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ อิตฺถภาวาย โสฬสกิจฺจภาวาย, กิเลสกฺขยาย วา อปรํ ปุน มคฺคภาวนากิจฺจํ เม นตฺถีติ ปชานาติฯ อถ วา อิตฺถตฺตายาติ อิตฺถภาวโต วตฺตมานกฺขนฺธสนฺตานโต อปรํ ขนฺธสนฺตานํ มยฺหํ น ภวิสฺสตีติ อโตฺถฯ
22-23.Tasmātihāti ettha tihāti nipātamattaṃ, tasmāti attho. Nibbindatīti vuṭṭhānagāminivipassanāvasena ukkaṇṭhati. Virajjatīti catunnaṃ maggānaṃ vasena na rajjati. Vimuccatīti phalavasena vimuccati. Vimuttasmintiādi paccavekkhaṇañāṇadassanaṃ. Brahmacariyanti maggabrahmacariyaṃ. Karaṇīyaṃ catūsu saccesu catūhi maggehi paccekaṃ kattabbaṃ pariññādivasena soḷasavidhaṃ kiccaṃ. Nāparaṃ itthattāyāti itthabhāvāya soḷasakiccabhāvāya, kilesakkhayāya vā aparaṃ puna maggabhāvanākiccaṃ me natthīti pajānāti. Atha vā itthattāyāti itthabhāvato vattamānakkhandhasantānato aparaṃ khandhasantānaṃ mayhaṃ na bhavissatīti attho.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๖. ปญฺจวคฺคิยกถา • 6. Pañcavaggiyakathā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / ปญฺจวคฺคิยกถา • Pañcavaggiyakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā
ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา • Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā
ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตวณฺณนา • Dhammacakkappavattanasuttavaṇṇanā
อนตฺตลกฺขณสุตฺตวณฺณนา • Anattalakkhaṇasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ปญฺจวคฺคิยกถาวณฺณนา • Pañcavaggiyakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๖. ปญฺจวคฺคิยกถา • 6. Pañcavaggiyakathā