Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๑๘] ๘. ปณฺฑรนาคราชชาตกวณฺณนา

    [518] 8. Paṇḍaranāgarājajātakavaṇṇanā

    วิกิณฺณวาจนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มุสาวาทํ กตฺวา เทวทตฺตสฺส ปถวิปฺปเวสนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา หิ สตฺถา ภิกฺขูหิ ตสฺส อวเณฺณ กถิเต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต มุสาวาทํ กตฺวา ปถวิํ ปวิโฎฺฐเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Vikiṇṇavācanti idaṃ satthā jetavane viharanto musāvādaṃ katvā devadattassa pathavippavesanaṃ ārabbha kathesi. Tadā hi satthā bhikkhūhi tassa avaṇṇe kathite ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto musāvādaṃ katvā pathaviṃ paviṭṭhoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ปญฺจสตวาณิชา นาวาย สมุทฺทํ ปกฺขนฺทิตฺวา สตฺตเม ทิวเส อตีรทสฺสนิยา นาวาย สมุทฺทปิเฎฺฐ ภินฺนาย ฐเปตฺวา เอกํ อวเสสา มจฺฉกจฺฉปภกฺขา อเหสุํ, เอโก ปน วาตเวเคน กรมฺปิยปฎฺฎนํ นาม ปาปุณิฯ โส สมุทฺทโต อุตฺตริตฺวา นคฺคโภโค ตสฺมิํ ปฎฺฎเนเยว ภิกฺขาย จริฯ ตเมนํ มนุสฺสา ‘‘อยํ สมโณ อปฺปิโจฺฉ สนฺตุโฎฺฐ’’ติ สมฺภาเวตฺวา สกฺการํ กริํสุฯ โส ‘‘ลโทฺธ เม ชีวิกูปาโย’’ติ เตสุ นิวาสนปารุปนํ เทเนฺตสุปิ น อิจฺฉิฯ เต ‘‘นตฺถิ อิโต อุตฺตริ อปฺปิโจฺฉ สมโณ’’ติ ภิโยฺย ภิโยฺย ปสีทิตฺวา ตสฺส อสฺสมปทํ กตฺวา ตตฺถ นํ นิวาสาเปสุํฯ โส ‘‘กรมฺปิยอเจโล’’ติ ปญฺญายิฯ ตสฺส ตตฺถ วสนฺตสฺส มหาลาภสกฺกาโร อุทปาทิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente pañcasatavāṇijā nāvāya samuddaṃ pakkhanditvā sattame divase atīradassaniyā nāvāya samuddapiṭṭhe bhinnāya ṭhapetvā ekaṃ avasesā macchakacchapabhakkhā ahesuṃ, eko pana vātavegena karampiyapaṭṭanaṃ nāma pāpuṇi. So samuddato uttaritvā naggabhogo tasmiṃ paṭṭaneyeva bhikkhāya cari. Tamenaṃ manussā ‘‘ayaṃ samaṇo appiccho santuṭṭho’’ti sambhāvetvā sakkāraṃ kariṃsu. So ‘‘laddho me jīvikūpāyo’’ti tesu nivāsanapārupanaṃ dentesupi na icchi. Te ‘‘natthi ito uttari appiccho samaṇo’’ti bhiyyo bhiyyo pasīditvā tassa assamapadaṃ katvā tattha naṃ nivāsāpesuṃ. So ‘‘karampiyaacelo’’ti paññāyi. Tassa tattha vasantassa mahālābhasakkāro udapādi.

    เอโก นาคราชาปิสฺส สุปณฺณราชา จ อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺติฯ เตสุ นาคราชา นาเมน ปณฺฑโร นามฯ อเถกทิวสํ สุปณฺณราชา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน เอวมาห – ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ ญาตกา นาเค คณฺหนฺตา พหู วินสฺสนฺติ, เอเตสํ นาคานํ คหณนิยามํ มยํ น ชานาม, คุยฺหการณํ กิร เตสํ อตฺถิ, สกฺกุเณยฺยาถ นุ โข ตุเมฺห เอเต ปิยายมานา วิย ตํ การณํ ปุจฺฉิตุ’’นฺติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สุปณฺณราเช วนฺทิตฺวา ปกฺกเนฺต นาคราชสฺส อาคตกาเล วนฺทิตฺวา นิสินฺนํ นาคราชานํ ปุจฺฉิ – ‘‘นาคราช, สุปณฺณา กิร ตุเมฺห คณฺหนฺตา พหู วินสฺสนฺติ, ตุเมฺห คณฺหนฺตา กถํ คณฺหิตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติฯ ภเนฺต, อิทํ อมฺหากํ คุยฺหํ รหสฺสํ, มยา อิมํ กเถเนฺตน ญาติสงฺฆสฺส มรณํ อาหฎํ โหตีติฯ กิํ ปน ตฺวํ, อาวุโส, ‘‘อยํ อญฺญสฺส กเถสฺสตี’’ติ เอวํสญฺญี โหสิ, นาหํ อญฺญสฺส กเถสฺสามิ, อตฺตนา ปน ชานิตุกามตาย ปุจฺฉามิ, ตฺวํ มยฺหํ สทฺทหิตฺวา นิพฺภโย หุตฺวา กเถหีติฯ นาคราชา ‘‘น กเถสฺสามิ, ภเนฺต’’ติ วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ ปุนทิวเสปิ ปุจฺฉิ, ตถาปิสฺส น กเถสิฯ

    Eko nāgarājāpissa supaṇṇarājā ca upaṭṭhānaṃ āgacchanti. Tesu nāgarājā nāmena paṇḍaro nāma. Athekadivasaṃ supaṇṇarājā tassa santikaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ nisinno evamāha – ‘‘bhante, amhākaṃ ñātakā nāge gaṇhantā bahū vinassanti, etesaṃ nāgānaṃ gahaṇaniyāmaṃ mayaṃ na jānāma, guyhakāraṇaṃ kira tesaṃ atthi, sakkuṇeyyātha nu kho tumhe ete piyāyamānā viya taṃ kāraṇaṃ pucchitu’’nti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā supaṇṇarāje vanditvā pakkante nāgarājassa āgatakāle vanditvā nisinnaṃ nāgarājānaṃ pucchi – ‘‘nāgarāja, supaṇṇā kira tumhe gaṇhantā bahū vinassanti, tumhe gaṇhantā kathaṃ gaṇhituṃ na sakkontī’’ti. Bhante, idaṃ amhākaṃ guyhaṃ rahassaṃ, mayā imaṃ kathentena ñātisaṅghassa maraṇaṃ āhaṭaṃ hotīti. Kiṃ pana tvaṃ, āvuso, ‘‘ayaṃ aññassa kathessatī’’ti evaṃsaññī hosi, nāhaṃ aññassa kathessāmi, attanā pana jānitukāmatāya pucchāmi, tvaṃ mayhaṃ saddahitvā nibbhayo hutvā kathehīti. Nāgarājā ‘‘na kathessāmi, bhante’’ti vanditvā pakkāmi. Punadivasepi pucchi, tathāpissa na kathesi.

    อถ นํ ตติยทิวเส อาคนฺตฺวา นิสินฺนํ, ‘‘นาคราช, อชฺช ตติโย ทิวโส, มม ปุจฺฉนฺตสฺส กิมตฺถํ น กเถสี’’ติ อาหฯ ‘‘ตุเมฺห อญฺญสฺส อาจิกฺขิสฺสถา’’ติ ภเยน, ภเนฺตติฯ กสฺสจิ น กเถสฺสามิ, นิพฺภโย กเถหีติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, อญฺญสฺส มา กถยิตฺถา’’ติ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา, ‘‘ภเนฺต, มยํ มหเนฺต มหเนฺต ปาสาเณ คิลิตฺวา ภาริยา หุตฺวา นิปชฺชิตฺวา สุปณฺณานํ อาคมนกาเล มุขํ นิพฺพาเหตฺวา ทเนฺต วิวริตฺวา สุปเณฺณ ฑํสิตุํ อจฺฉาม, เต อาคนฺตฺวา อมฺหากํ สีสํ คณฺหนฺติ, เตสํ อเมฺห ครุภาเร หุตฺวา นิปเนฺน อุทฺธริตุํ วายมนฺตานเญฺญว อุทกํ โอตฺถรติฯ เต สีทนฺตา อโนฺตอุทเกเยว มรนฺติ, อิมินา การเณน พหู สุปณฺณา วินสฺสนฺติ, เตสํ อเมฺห คณฺหนฺตานํ กิํ สีเสน คหิเตน, พาลา นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา อเมฺห เหฎฺฐาสีสเก กตฺวา คหิตํ โคจรํ มุเขน ฉฑฺฑาเปตฺวา ลหุเก กตฺวา คนฺตุํ สโกฺกนฺตี’’ติ โส อตฺตโน รหสฺสการณํ ตสฺส ทุสฺสีลสฺส กเถสิฯ

    Atha naṃ tatiyadivase āgantvā nisinnaṃ, ‘‘nāgarāja, ajja tatiyo divaso, mama pucchantassa kimatthaṃ na kathesī’’ti āha. ‘‘Tumhe aññassa ācikkhissathā’’ti bhayena, bhanteti. Kassaci na kathessāmi, nibbhayo kathehīti. ‘‘Tena hi, bhante, aññassa mā kathayitthā’’ti paṭiññaṃ gahetvā, ‘‘bhante, mayaṃ mahante mahante pāsāṇe gilitvā bhāriyā hutvā nipajjitvā supaṇṇānaṃ āgamanakāle mukhaṃ nibbāhetvā dante vivaritvā supaṇṇe ḍaṃsituṃ acchāma, te āgantvā amhākaṃ sīsaṃ gaṇhanti, tesaṃ amhe garubhāre hutvā nipanne uddharituṃ vāyamantānaññeva udakaṃ ottharati. Te sīdantā antoudakeyeva maranti, iminā kāraṇena bahū supaṇṇā vinassanti, tesaṃ amhe gaṇhantānaṃ kiṃ sīsena gahitena, bālā naṅguṭṭhe gahetvā amhe heṭṭhāsīsake katvā gahitaṃ gocaraṃ mukhena chaḍḍāpetvā lahuke katvā gantuṃ sakkontī’’ti so attano rahassakāraṇaṃ tassa dussīlassa kathesi.

    อถ ตสฺมิํ ปกฺกเนฺต สุปณฺณราชา อาคนฺตฺวา กรมฺปิยอเจลํ วนฺทิตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต, ปุจฺฉิตํ เต นาคราชสฺส คุยฺหการณ’’นฺติ อาหฯ โส ‘‘อามาวุโส’’ติ วตฺวา สพฺพํ เตน กถิตนิยาเมเนว กเถสิฯ ตํ สุตฺวา สุปโณฺณ ‘‘นาคราเชน อยุตฺตํ กตํ, ญาตีนํ นาม นสฺสนนิยาโม ปรสฺส น กเถตโพฺพ, โหตุ, อเชฺชว มยา สุปณฺณวาตํ กตฺวา ปฐมํ เอตเมว คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ สุปณฺณวาตํ กตฺวา ปณฺฑรนาคราชานํ นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา เหฎฺฐาสีสํ กตฺวา คหิตโคจรํ ฉฑฺฑาเปตฺวา อุปฺปติตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ ปณฺฑโร อากาเส เหฎฺฐาสีสกํ โอลมฺพโนฺต ‘‘มยาว มม ทุกฺขํ อาภต’’นฺติ ปริเทวโนฺต อาห –

    Atha tasmiṃ pakkante supaṇṇarājā āgantvā karampiyaacelaṃ vanditvā ‘‘kiṃ, bhante, pucchitaṃ te nāgarājassa guyhakāraṇa’’nti āha. So ‘‘āmāvuso’’ti vatvā sabbaṃ tena kathitaniyāmeneva kathesi. Taṃ sutvā supaṇṇo ‘‘nāgarājena ayuttaṃ kataṃ, ñātīnaṃ nāma nassananiyāmo parassa na kathetabbo, hotu, ajjeva mayā supaṇṇavātaṃ katvā paṭhamaṃ etameva gahetuṃ vaṭṭatī’’ti supaṇṇavātaṃ katvā paṇḍaranāgarājānaṃ naṅguṭṭhe gahetvā heṭṭhāsīsaṃ katvā gahitagocaraṃ chaḍḍāpetvā uppatitvā ākāsaṃ pakkhandi. Paṇḍaro ākāse heṭṭhāsīsakaṃ olambanto ‘‘mayāva mama dukkhaṃ ābhata’’nti paridevanto āha –

    ๒๕๘.

    258.

    ‘‘วิกิณฺณวาจํ อนิคุยฺหมนฺตํ, อสญฺญตํ อปริจกฺขิตารํ;

    ‘‘Vikiṇṇavācaṃ aniguyhamantaṃ, asaññataṃ aparicakkhitāraṃ;

    ภยํ ตมเนฺวติ สยํ อโพธํ, นาคํ ยถา ปณฺฑรกํ สุปโณฺณฯ

    Bhayaṃ tamanveti sayaṃ abodhaṃ, nāgaṃ yathā paṇḍarakaṃ supaṇṇo.

    ๒๕๙.

    259.

    ‘‘โย คุยฺหมนฺตํ ปริรกฺขเณยฺยํ, โมหา นโร สํสติ หาสมาโน;

    ‘‘Yo guyhamantaṃ parirakkhaṇeyyaṃ, mohā naro saṃsati hāsamāno;

    ตํ ภินฺนมนฺตํ ภยมเนฺวติ ขิปฺปํ, นาคํ ยถา ปณฺฑรกํ สุปโณฺณฯ

    Taṃ bhinnamantaṃ bhayamanveti khippaṃ, nāgaṃ yathā paṇḍarakaṃ supaṇṇo.

    ๒๖๐.

    260.

    ‘‘นานุมิโตฺต ครุํ อตฺถํ, คุยฺหํ เวทิตุมรหติ;

    ‘‘Nānumitto garuṃ atthaṃ, guyhaṃ veditumarahati;

    สุมิโตฺต จ อสมฺพุทฺธํ, สมฺพุทฺธํ วา อนตฺถวาฯ

    Sumitto ca asambuddhaṃ, sambuddhaṃ vā anatthavā.

    ๒๖๑.

    261.

    ‘‘วิสฺสาสมาปชฺชิมหํ อเจลํ, สมโณ อยํ สมฺมโต ภาวิตโตฺต;

    ‘‘Vissāsamāpajjimahaṃ acelaṃ, samaṇo ayaṃ sammato bhāvitatto;

    ตสฺสาหมกฺขิํ วิวริํ คุยฺหมตฺถํ, อตีตมโตฺถ กปณํ รุทามิฯ

    Tassāhamakkhiṃ vivariṃ guyhamatthaṃ, atītamattho kapaṇaṃ rudāmi.

    ๒๖๒.

    262.

    ‘‘ตสฺสาหํ ปรมํ พฺรเหฺม คุยฺหํ, วาจํ หิมํ นาสกฺขิํ สํยเมตุํ;

    ‘‘Tassāhaṃ paramaṃ brahme guyhaṃ, vācaṃ himaṃ nāsakkhiṃ saṃyametuṃ;

    ตปฺปกฺขโต หิ ภยมาคตํ มมํ, อตีตมโตฺถ กปณํ รุทามิฯ

    Tappakkhato hi bhayamāgataṃ mamaṃ, atītamattho kapaṇaṃ rudāmi.

    ๒๖๓.

    263.

    ‘‘โย เว นโร สุหทํ มญฺญมาโน, คุยฺหมตฺถํ สํสติ ทุกฺกุลีเน;

    ‘‘Yo ve naro suhadaṃ maññamāno, guyhamatthaṃ saṃsati dukkulīne;

    โทสา ภยา อถวา ราครตฺตา, ปลฺลตฺถิโต พาโล อสํสยํ โสฯ

    Dosā bhayā athavā rāgarattā, pallatthito bālo asaṃsayaṃ so.

    ๒๖๔.

    264.

    ‘‘ติโรกฺขวาโจ อสตํ ปวิโฎฺฐ, โย สงฺคตีสุ มุทีเรติ วากฺยํ;

    ‘‘Tirokkhavāco asataṃ paviṭṭho, yo saṅgatīsu mudīreti vākyaṃ;

    อาสีวิโส ทุมฺมุโขตฺยาหุ ตํ นรํ, อารา อารา สํยเม ตาทิสมฺหาฯ

    Āsīviso dummukhotyāhu taṃ naraṃ, ārā ārā saṃyame tādisamhā.

    ๒๖๕.

    265.

    ‘‘อนฺนํ ปานํ กาสิกจนฺทนญฺจ, มนาปิตฺถิโย มาลมุจฺฉาทนญฺจ;

    ‘‘Annaṃ pānaṃ kāsikacandanañca, manāpitthiyo mālamucchādanañca;

    โอหาย คจฺฉามเส สพฺพกาเม, สุปณฺณ ปาณูปคตาว ตฺยมฺหา’’ติฯ

    Ohāya gacchāmase sabbakāme, supaṇṇa pāṇūpagatāva tyamhā’’ti.

    ตตฺถ วิกิณฺณวาจนฺติ ปตฺถฎวจนํฯ อนิคุยฺหมนฺตนฺติ อปฺปฎิจฺฉนฺนมนฺตํฯ อสญฺญตนฺติ กายทฺวาราทีนิ รกฺขิตุํ อสโกฺกนฺตํฯ อปริจกฺขิตารนฺติ ‘‘อยํ มยา กถิตมนฺตํ รกฺขิตุํ สกฺขิสฺสติ, น สกฺขิสฺสตี’’ติ ปุคฺคลํ โอโลเกตุํ อุปปริกฺขิตุํ อสโกฺกนฺตํฯ ภยํ ตมเนฺวตีติ ตํ อิเมหิ จตูหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ อโพธํ ทุปฺปญฺญํ ปุคฺคลํ สยํกตเมว ภยํ อเนฺวติ, ยถา มํ ปณฺฑรกนาคํ สุปโณฺณ อนฺวาคโตติฯ สํสติ หาสมาโนติ รกฺขิตุํ อสมตฺถสฺส ปาปปุริสสฺส หาสมาโน กเถติฯ นานุมิโตฺตติ อนุวตฺตนมเตฺตน โย มิโตฺต, น หทเยน, โส คุยฺหํ อตฺถํ ชานิตุํ นารหตีติ ปริเทวติฯ อสมฺพุทฺธนฺติ อสมฺพุทฺธโนฺต อชานโนฺต, อปฺปโญฺญติ อโตฺถฯ สมฺพุทฺธนฺติ สมฺพุทฺธโนฺต ชานโนฺต, สปฺปโญฺญติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘โยปิ สุหทโย มิโตฺต วา อมิโตฺต วา อปฺปโญฺญ สปฺปโญฺญปิ วา โย อนตฺถวา อนตฺถจโร, โสปิ คุยฺหํ เวทิตุํ นารหเต’’ติฯ

    Tattha vikiṇṇavācanti patthaṭavacanaṃ. Aniguyhamantanti appaṭicchannamantaṃ. Asaññatanti kāyadvārādīni rakkhituṃ asakkontaṃ. Aparicakkhitāranti ‘‘ayaṃ mayā kathitamantaṃ rakkhituṃ sakkhissati, na sakkhissatī’’ti puggalaṃ oloketuṃ upaparikkhituṃ asakkontaṃ. Bhayaṃ tamanvetīti taṃ imehi catūhi aṅgehi samannāgataṃ abodhaṃ duppaññaṃ puggalaṃ sayaṃkatameva bhayaṃ anveti, yathā maṃ paṇḍarakanāgaṃ supaṇṇo anvāgatoti. Saṃsati hāsamānoti rakkhituṃ asamatthassa pāpapurisassa hāsamāno katheti. Nānumittoti anuvattanamattena yo mitto, na hadayena, so guyhaṃ atthaṃ jānituṃ nārahatīti paridevati. Asambuddhanti asambuddhanto ajānanto, appaññoti attho. Sambuddhanti sambuddhanto jānanto, sappaññoti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yopi suhadayo mitto vā amitto vā appañño sappaññopi vā yo anatthavā anatthacaro, sopi guyhaṃ vedituṃ nārahate’’ti.

    สมโณ อยนฺติ อยํ สมโณติ จ โลกสมฺมโตติ จ ภาวิตโตฺตติ จ มญฺญมาโน อหํ เอตสฺมิํ วิสฺสาสมาปชฺชิํฯ อกฺขินฺติ กเถสิํฯ อตีตมโตฺถติ อตีตโตฺถ, อติกฺกนฺตโตฺถ หุตฺวา อิทานิ กปณํ รุทามีติ ปริเทวติฯ ตสฺสาติ ตสฺส อเจลกสฺสฯ พฺรเหฺมติ สุปณฺณํ อาลปติฯ สํยเมตุนฺติ อิมํ คุยฺหวาจํ รหสฺสการณํ รกฺขิตุํ นาสกฺขิํฯ ตปฺปกฺขโต หีติ อิทานิ อิทํ ภยํ มม ตสฺส อเจลกสฺส ปกฺขโต โกฎฺฐาสโต สนฺติกา อาคตํ, อิติ อตีตโตฺถ กปณํ รุทามีติฯ สุหทนฺติ ‘‘สุหโท มม อย’’นฺติ มญฺญมาโนฯ ทุกฺกุลีเนติ อกุลเช นีเจฯ โทสาติ เอเตหิ โทสาทีหิ การเณหิ โย เอวรูปํ คุยฺหํ สํสติ, โส พาโล อสํสยํ ปลฺลตฺถิโต ปริวเตฺตตฺวา ปาปิโต, หโตเยว นามาติ อโตฺถฯ

    Samaṇo ayanti ayaṃ samaṇoti ca lokasammatoti ca bhāvitattoti ca maññamāno ahaṃ etasmiṃ vissāsamāpajjiṃ. Akkhinti kathesiṃ. Atītamatthoti atītattho, atikkantattho hutvā idāni kapaṇaṃ rudāmīti paridevati. Tassāti tassa acelakassa. Brahmeti supaṇṇaṃ ālapati. Saṃyametunti imaṃ guyhavācaṃ rahassakāraṇaṃ rakkhituṃ nāsakkhiṃ. Tappakkhato hīti idāni idaṃ bhayaṃ mama tassa acelakassa pakkhato koṭṭhāsato santikā āgataṃ, iti atītattho kapaṇaṃ rudāmīti. Suhadanti ‘‘suhado mama aya’’nti maññamāno. Dukkulīneti akulaje nīce. Dosāti etehi dosādīhi kāraṇehi yo evarūpaṃ guyhaṃ saṃsati, so bālo asaṃsayaṃ pallatthito parivattetvā pāpito, hatoyeva nāmāti attho.

    ติโรกฺขวาโจติ อตฺตโน ยํ วาจํ กเถตุกาโม, ตสฺสา ติโรกฺขกตตฺตา ปฎิจฺฉนฺนวาโจฯ อสตํ ปวิโฎฺฐติ อสปฺปุริสานํ อนฺตรํ ปวิโฎฺฐ อสปฺปุริเสสุ ปริยาปโนฺนฯ สงฺคตีสุ มุทีเรตีติ โย เอวรูโป ปเรสํ รหสฺสํ สุตฺวาว ปริสมเชฺฌสุ ‘‘อสุเกน อสุกํ นาม กตํ วา วุตฺตํ วา’’ติ วากฺยํ อุทีเรติ, ตํ นรํ ‘‘อาสีวิโส ทุมฺมุโข ปูติมุโข’’ติ อาหุ, ตาทิสมฺหา ปุริสา อารา อารา สํยเม, ทูรโต ทูรโตว วิรเมยฺย, ปริวเชฺชยฺย นนฺติ อโตฺถฯ มาลมุจฺฉาทนญฺจาติ มาลญฺจ ทิพฺพํ จตุชฺชาติยคนฺธญฺจ อุจฺฉาทนญฺจฯ โอหายาติ เอเต ทิพฺพอนฺนาทโย สพฺพกาเม อชฺช มยํ โอหาย ฉเฑฺฑตฺวา คมิสฺสามฯ สุปณฺณ, ปาณูปคตาว ตฺยมฺหาติ, โภ สุปณฺณ, ปาเณหิ อุปคตาว เต อมฺหา, สรณํ โน โหหีติฯ

    Tirokkhavācoti attano yaṃ vācaṃ kathetukāmo, tassā tirokkhakatattā paṭicchannavāco. Asataṃ paviṭṭhoti asappurisānaṃ antaraṃ paviṭṭho asappurisesu pariyāpanno. Saṅgatīsu mudīretīti yo evarūpo paresaṃ rahassaṃ sutvāva parisamajjhesu ‘‘asukena asukaṃ nāma kataṃ vā vuttaṃ vā’’ti vākyaṃ udīreti, taṃ naraṃ ‘‘āsīviso dummukho pūtimukho’’ti āhu, tādisamhā purisā ārā ārā saṃyame, dūrato dūratova virameyya, parivajjeyya nanti attho. Mālamucchādanañcāti mālañca dibbaṃ catujjātiyagandhañca ucchādanañca. Ohāyāti ete dibbaannādayo sabbakāme ajja mayaṃ ohāya chaḍḍetvā gamissāma. Supaṇṇa, pāṇūpagatāva tyamhāti, bho supaṇṇa, pāṇehi upagatāva te amhā, saraṇaṃ no hohīti.

    เอวํ ปณฺฑรโก อากาเส เหฎฺฐาสีสโก โอลมฺพโนฺต อฎฺฐหิ คาถาหิ ปริเทวิฯ สุปโณฺณ ตสฺส ปริเทวนสทฺทํ สุตฺวา, ‘‘นาคราช อตฺตโน รหสฺสํ อเจลกสฺส กเถตฺวา อิทานิ กิมตฺถํ ปริเทวสี’’ติ ตํ ครหิตฺวา คาถมาห –

    Evaṃ paṇḍarako ākāse heṭṭhāsīsako olambanto aṭṭhahi gāthāhi paridevi. Supaṇṇo tassa paridevanasaddaṃ sutvā, ‘‘nāgarāja attano rahassaṃ acelakassa kathetvā idāni kimatthaṃ paridevasī’’ti taṃ garahitvā gāthamāha –

    ๒๖๖.

    266.

    ‘‘โก นีธ ติณฺณํ ครหํ อุเปติ, อสฺมิํธ โลเก ปาณภู นาคราช;

    ‘‘Ko nīdha tiṇṇaṃ garahaṃ upeti, asmiṃdha loke pāṇabhū nāgarāja;

    สมโณ สุปโณฺณ อถวา ตฺวเมว, กิํการณา ปณฺฑรกคฺคหีโต’’ติฯ

    Samaṇo supaṇṇo athavā tvameva, kiṃkāraṇā paṇḍarakaggahīto’’ti.

    ตตฺถ โก นีธาติ อิธ อเมฺหสุ ตีสุ ชเนสุ โก นุฯ อสฺมิํธาติ เอตฺถ อิธาติ นิปาตมตฺตํ, อสฺมิํ โลเกติ อโตฺถฯ ปาณภูติ ปาณภูโตฯ อถวา ตฺวเมวาติ อุทาหุ ตฺวํเยวฯ ตตฺถ สมณํ ตาว มา ครห, โส หิ อุปาเยน ตํ รหสฺสํ ปุจฺฉิฯ สุปณฺณมฺปิ มา ครห, อหญฺหิ ตว ปจฺจตฺถิโกวฯ ปณฺฑรกคฺคหีโตติ, สมฺม ปณฺฑรก, ‘‘อหํ กิํการณา สุปเณฺณน คหิโต’’ติ จิเนฺตตฺวา จ ปน อตฺตานเมว ครห, ตยา หิ รหสฺสํ กเถเนฺตน อตฺตนาว อตฺตโน อนโตฺถ กโตติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ

    Tattha ko nīdhāti idha amhesu tīsu janesu ko nu. Asmiṃdhāti ettha idhāti nipātamattaṃ, asmiṃ loketi attho. Pāṇabhūti pāṇabhūto. Athavā tvamevāti udāhu tvaṃyeva. Tattha samaṇaṃ tāva mā garaha, so hi upāyena taṃ rahassaṃ pucchi. Supaṇṇampi mā garaha, ahañhi tava paccatthikova. Paṇḍarakaggahītoti, samma paṇḍaraka, ‘‘ahaṃ kiṃkāraṇā supaṇṇena gahito’’ti cintetvā ca pana attānameva garaha, tayā hi rahassaṃ kathentena attanāva attano anattho katoti ayamettha adhippāyo.

    ตํ สุตฺวา ปณฺฑรโก อิตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā paṇḍarako itaraṃ gāthamāha –

    ๒๖๗.

    267.

    ‘‘สมโณติ เม สมฺมตโตฺต อโหสิ, ปิโย จ เม มนสา ภาวิตโตฺต;

    ‘‘Samaṇoti me sammatatto ahosi, piyo ca me manasā bhāvitatto;

    ตสฺสาหมกฺขิํ วิวริํ คุยฺหมตฺถํ, อตีตมโตฺถ กปณํ รุทามี’’ติฯ

    Tassāhamakkhiṃ vivariṃ guyhamatthaṃ, atītamattho kapaṇaṃ rudāmī’’ti.

    ตตฺถ สมฺมตโตฺตติ โส สมโณ มยฺหํ ‘‘สปฺปุริโส อย’’นฺติ สมฺมตภาโว อโหสิฯ ภาวิตโตฺตติ สมฺภาวิตภาโว จ เม อโหสีติฯ

    Tattha sammatattoti so samaṇo mayhaṃ ‘‘sappuriso aya’’nti sammatabhāvo ahosi. Bhāvitattoti sambhāvitabhāvo ca me ahosīti.

    ตโต สุปโณฺณ จตโสฺส คาถา อภาสิ –

    Tato supaṇṇo catasso gāthā abhāsi –

    ๒๖๘.

    268.

    ‘‘น จตฺถิ สโตฺต อมโร ปถพฺยา, ปญฺญาวิธา นตฺถิ น นินฺทิตพฺพา;

    ‘‘Na catthi satto amaro pathabyā, paññāvidhā natthi na ninditabbā;

    สเจฺจน ธเมฺมน ธิติยา ทเมน, อลพฺภมพฺยาหรตี นโร อิธฯ

    Saccena dhammena dhitiyā damena, alabbhamabyāharatī naro idha.

    ๒๖๙.

    269.

    ‘‘มาตา ปิตา ปรมา พนฺธวานํ, นาสฺส ตติโย อนุกมฺปกตฺถิ;

    ‘‘Mātā pitā paramā bandhavānaṃ, nāssa tatiyo anukampakatthi;

    เตสมฺปิ คุยฺหํ ปรมํ น สํเส, มนฺตสฺส เภทํ ปริสงฺกมาโนฯ

    Tesampi guyhaṃ paramaṃ na saṃse, mantassa bhedaṃ parisaṅkamāno.

    ๒๗๐.

    270.

    ‘‘มาตา ปิตา ภคินี ภาตโร จ, สหายา วา ยสฺส โหนฺติ สปกฺขา;

    ‘‘Mātā pitā bhaginī bhātaro ca, sahāyā vā yassa honti sapakkhā;

    เตสมฺปิ คุยฺหํ ปรมํ น สํเส, มนฺตสฺส เภทํ ปริสงฺกมาโนฯ

    Tesampi guyhaṃ paramaṃ na saṃse, mantassa bhedaṃ parisaṅkamāno.

    ๒๗๑.

    271.

    ‘‘ภริยา เจ ปุริสํ วชฺชา, โกมารี ปิยภาณินี;

    ‘‘Bhariyā ce purisaṃ vajjā, komārī piyabhāṇinī;

    ปุตฺตรูปยสูเปตา, ญาติสงฺฆปุรกฺขตา;

    Puttarūpayasūpetā, ñātisaṅghapurakkhatā;

    ตสฺสาปิ คุยฺหํ ปรมํ น สํเส, มนฺตสฺส เภทํ ปริสงฺกมาโน’’ติฯ

    Tassāpi guyhaṃ paramaṃ na saṃse, mantassa bhedaṃ parisaṅkamāno’’ti.

    ตตฺถ อมโรติ อมรณสภาโว สโตฺต นาม นตฺถิฯ ปญฺญาวิธา นตฺถีติ -กาโร ปทสนฺธิกโร, ปญฺญาวิธา อตฺถีติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – นาคราช , โลเก อมโรปิ นตฺถิ, ปญฺญาวิธาปิ อตฺถิ, สา อเญฺญสํ ปญฺญาโกฎฺฐาสสงฺขาตา ปญฺญาวิธา อตฺตโน ชีวิตเหตุ น นินฺทิตพฺพาติฯ อถ วา ปญฺญาวิธาติ ปญฺญาสทิสา น นินฺทิตพฺพา นาม อญฺญา ธมฺมชาติ นตฺถิ, ตํ กสฺมา นินฺทสีติฯ เยสํ ปน ‘‘ปญฺญาวิธานมฺปิ น นินฺทิตพฺพ’’นฺติปิ ปาโฐ, เตสํ อุชุกเมวฯ สเจฺจนาติอาทีสุ วจีสเจฺจน จ สุจริตธเมฺมน จ ปญฺญาสงฺขาตาย ธิติยา จ อินฺทฺริยทเมน จ อลพฺภํ ทุลฺลภํ อฎฺฐสมาปตฺติมคฺคผลนิพฺพานสงฺขาตมฺปิ วิเสสํ อพฺยาหรติ อาวหติ ตํ นิปฺผาเทติ นโร อิธ, ตสฺมา นารหสิ อเจลํ นินฺทิตุํ, อตฺตานเมว ครหฯ อเจเลน หิ อตฺตโน ปญฺญวนฺตตาย อุปายกุสลตาย จ วเญฺจตฺวา ตฺวํ รหสฺสํ คุยฺหํ มนฺตํ ปุจฺฉิโตติ อโตฺถฯ

    Tattha amaroti amaraṇasabhāvo satto nāma natthi. Paññāvidhā natthīti na-kāro padasandhikaro, paññāvidhā atthīti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – nāgarāja , loke amaropi natthi, paññāvidhāpi atthi, sā aññesaṃ paññākoṭṭhāsasaṅkhātā paññāvidhā attano jīvitahetu na ninditabbāti. Atha vā paññāvidhāti paññāsadisā na ninditabbā nāma aññā dhammajāti natthi, taṃ kasmā nindasīti. Yesaṃ pana ‘‘paññāvidhānampi na ninditabba’’ntipi pāṭho, tesaṃ ujukameva. Saccenātiādīsu vacīsaccena ca sucaritadhammena ca paññāsaṅkhātāya dhitiyā ca indriyadamena ca alabbhaṃ dullabhaṃ aṭṭhasamāpattimaggaphalanibbānasaṅkhātampi visesaṃ abyāharati āvahati taṃ nipphādeti naro idha, tasmā nārahasi acelaṃ nindituṃ, attānameva garaha. Acelena hi attano paññavantatāya upāyakusalatāya ca vañcetvā tvaṃ rahassaṃ guyhaṃ mantaṃ pucchitoti attho.

    ปรมาติ เอเต อุโภ พนฺธวานํ อุตฺตมพนฺธวา นามฯ นาสฺส ตติโยติ อสฺส ปุคฺคลสฺส มาตาปิตูหิ อโญฺญ ตติโย สโตฺต อนุกมฺปโก นาม นตฺถิ, มนฺตสฺส เภทํ ปริสงฺกมาโน ปณฺฑิโต เตสํ มาตาปิตูนมฺปิ ปรมํ คุยฺหํ น สํเสยฺย, ตฺวํ ปน มาตาปิตูนมฺปิ อกเถตพฺพํ อเจลกสฺส กเถสีติ อโตฺถฯ สหายา วาติ สุหทยมิตฺตา วาฯ สปกฺขาติ เปเตฺตยฺยมาตุลปิตุจฺฉาทโย สมานปกฺขา ญาตโยฯ เตสมฺปีติ เอเตสมฺปิ ญาติมิตฺตานํ น กเถยฺย, ตฺวํ ปน อเจลกสฺส กเถสิ, อตฺตโนว กุชฺฌสฺสูติ ทีเปติฯ ภริยา เจติ โกมารี ปิยภาณินี ปุเตฺตหิ จ รูเปน จ ยเสน จ อุเปตา เอวรูปา ภริยาปิ เจ ‘‘อาจิกฺขาหิ เม ตว คุยฺห’’นฺติ วเทยฺย, ตสฺสาปิ น สํเสยฺยฯ

    Paramāti ete ubho bandhavānaṃ uttamabandhavā nāma. Nāssa tatiyoti assa puggalassa mātāpitūhi añño tatiyo satto anukampako nāma natthi, mantassa bhedaṃ parisaṅkamāno paṇḍito tesaṃ mātāpitūnampi paramaṃ guyhaṃ na saṃseyya, tvaṃ pana mātāpitūnampi akathetabbaṃ acelakassa kathesīti attho. Sahāyā vāti suhadayamittā vā. Sapakkhāti petteyyamātulapitucchādayo samānapakkhā ñātayo. Tesampīti etesampi ñātimittānaṃ na katheyya, tvaṃ pana acelakassa kathesi, attanova kujjhassūti dīpeti. Bhariyā ceti komārī piyabhāṇinī puttehi ca rūpena ca yasena ca upetā evarūpā bhariyāpi ce ‘‘ācikkhāhi me tava guyha’’nti vadeyya, tassāpi na saṃseyya.

    ตโต ปรา –

    Tato parā –

    ๒๗๒.

    272.

    ‘‘น คุยฺหมตฺถํ วิวเรยฺย, รเกฺขยฺย นํ ยถา นิธิํ;

    ‘‘Na guyhamatthaṃ vivareyya, rakkheyya naṃ yathā nidhiṃ;

    น หิ ปาตุกโต สาธุ, คุโยฺห อโตฺถ ปชานตาฯ

    Na hi pātukato sādhu, guyho attho pajānatā.

    ๒๗๓.

    273.

    ‘‘ถิยา คุยฺหํ น สํเสยฺย, อมิตฺตสฺส จ ปณฺฑิโต;

    ‘‘Thiyā guyhaṃ na saṃseyya, amittassa ca paṇḍito;

    โย จามิเสน สํหีโร, หทยเตฺถโน จ โย นโรฯ

    Yo cāmisena saṃhīro, hadayattheno ca yo naro.

    ๒๗๔.

    274.

    ‘‘คุยฺหมตฺถํ อสมฺพุทฺธํ, สโมฺพธยติ โย นโร;

    ‘‘Guyhamatthaṃ asambuddhaṃ, sambodhayati yo naro;

    มนฺตเภทภยา ตสฺส, ทาสภูโต ติติกฺขติฯ

    Mantabhedabhayā tassa, dāsabhūto titikkhati.

    ๒๗๕.

    275.

    ‘‘ยาวโนฺต ปุริสสฺสตฺถํ, คุยฺหํ ชานนฺติ มนฺตินํ;

    ‘‘Yāvanto purisassatthaṃ, guyhaṃ jānanti mantinaṃ;

    ตาวโนฺต ตสฺส อุเพฺพคา, ตสฺมา คุยฺหํ น วิสฺสเช;

    Tāvanto tassa ubbegā, tasmā guyhaṃ na vissaje;

    ๒๗๖.

    276.

    ‘‘วิวิจฺจ ภาเสยฺย ทิวา รหสฺสํ, รตฺติํ คิรํ นาติเวลํ ปมุเญฺจ;

    ‘‘Vivicca bhāseyya divā rahassaṃ, rattiṃ giraṃ nātivelaṃ pamuñce;

    อุปสฺสุติกา หิ สุณนฺติ มนฺตํ, ตสฺมา มโนฺต ขิปฺปมุเปติ เภท’’นฺติฯ –

    Upassutikā hi suṇanti mantaṃ, tasmā manto khippamupeti bheda’’nti. –

    ปญฺจ คาถา อุมงฺคชาตเก ปญฺจปณฺฑิตปเญฺห อาวิ ภวิสฺสนฺติฯ

    Pañca gāthā umaṅgajātake pañcapaṇḍitapañhe āvi bhavissanti.

    ตโต ปราสุ –

    Tato parāsu –

    ๒๗๗.

    277.

    ‘‘ยถาปิ อสฺส นครํ มหนฺตํ, อทฺวารกํ อายสํ ภทฺทสาลํ;

    ‘‘Yathāpi assa nagaraṃ mahantaṃ, advārakaṃ āyasaṃ bhaddasālaṃ;

    สมนฺตขาตาปริขาอุเปตํ , เอวมฺปิ เม เต อิธ คุยฺหมนฺตาฯ

    Samantakhātāparikhāupetaṃ , evampi me te idha guyhamantā.

    ๒๗๘.

    278.

    ‘‘เย คุยฺหมนฺตา อวิกิณฺณวาจา, ทฬฺหา สทเตฺถสุ นรา ทุชิวฺห;

    ‘‘Ye guyhamantā avikiṇṇavācā, daḷhā sadatthesu narā dujivha;

    อารา อมิตฺตา พฺยวชนฺติ เตหิ, อาสีวิสา วา ริว สตฺตุสงฺฆา’’ติฯ –

    Ārā amittā byavajanti tehi, āsīvisā vā riva sattusaṅghā’’ti. –

    ทฺวีสุ คาถาสุ ภทฺทสาลนฺติ อาปณาทีหิ สาลาหิ สมฺปนฺนํฯ สมนฺตขาตาปริขาอุเปตนฺติ สมนฺตขาตาหิ ตีหิ ปริขาหิ อุปคตํฯ เอวมฺปิ เมติ เอวมฺปิ มยฺหํ เต ปุริสา ขายนฺติฯ กตเร? เย อิธ คุยฺหมนฺตาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา อทฺวารกสฺส อโยมยนครสฺส มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภโค อโนฺตว โหติ, น อพฺภนฺตริมา พหิ นิกฺขมนฺติ, น พาหิรา อโนฺต ปวิสนฺติ, อปราปรํ สญฺจาโร ฉิชฺชติ, คุยฺหมนฺตา ปุริสา เอวรูปา โหนฺติ, อตฺตโน คุยฺหํ อตฺตโน อโนฺตเยว ชีราเปนฺติ, น อญฺญสฺส กเถนฺตีติฯ ทฬฺหา สทเตฺถสูติ อตฺตโน อเตฺถสุ ถิราฯ ทุชิวฺหาติ ปณฺฑรกนาคํ อาลปติฯ พฺยวชนฺตีติ ปฎิกฺกมนฺติฯ อาสีวิสา วา ริว สตฺตุสงฺฆาติ เอตฺถ วาติ นิปาตมตฺตํ, อาสีวิสา สตฺตุสงฺฆา ริวาติ อโตฺถฯ ยถา อาสีวิสโต สตฺตุสงฺฆา ชีวิตุกามา มนุสฺสา อารา ปฎิกฺกมนฺติ, เอวํ เตหิ คุยฺหมเนฺตหิ นเรหิ อารา อมิตฺตา ปฎิกฺกมนฺติ, อุปคนฺตุํ โอกาสํ น ลภนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Dvīsu gāthāsu bhaddasālanti āpaṇādīhi sālāhi sampannaṃ. Samantakhātāparikhāupetanti samantakhātāhi tīhi parikhāhi upagataṃ. Evampi meti evampi mayhaṃ te purisā khāyanti. Katare? Ye idha guyhamantā. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā advārakassa ayomayanagarassa manussānaṃ upabhogaparibhogo antova hoti, na abbhantarimā bahi nikkhamanti, na bāhirā anto pavisanti, aparāparaṃ sañcāro chijjati, guyhamantā purisā evarūpā honti, attano guyhaṃ attano antoyeva jīrāpenti, na aññassa kathentīti. Daḷhā sadatthesūti attano atthesu thirā. Dujivhāti paṇḍarakanāgaṃ ālapati. Byavajantīti paṭikkamanti. Āsīvisā vā riva sattusaṅghāti ettha ti nipātamattaṃ, āsīvisā sattusaṅghā rivāti attho. Yathā āsīvisato sattusaṅghā jīvitukāmā manussā ārā paṭikkamanti, evaṃ tehi guyhamantehi narehi ārā amittā paṭikkamanti, upagantuṃ okāsaṃ na labhantīti vuttaṃ hoti.

    เอวํ สุปเณฺณน ธเมฺม กถิเต ปณฺฑรโก อาห –

    Evaṃ supaṇṇena dhamme kathite paṇḍarako āha –

    ๒๗๙.

    279.

    ‘‘หิตฺวา ฆรํ ปพฺพชิโต อเจโล, นโคฺค มุโณฺฑ จรติ ฆาสเหตุ;

    ‘‘Hitvā gharaṃ pabbajito acelo, naggo muṇḍo carati ghāsahetu;

    ตมฺหิ นุ โข วิวริํ คุยฺหมตฺถํ, อตฺถา จ ธมฺมา จ อปคฺคตามฺหาฯ

    Tamhi nu kho vivariṃ guyhamatthaṃ, atthā ca dhammā ca apaggatāmhā.

    ๒๘๐.

    280.

    ‘‘กถํกโร โหติ สุปณฺณราช, กิํสีโล เกน วเตน วตฺตํ;

    ‘‘Kathaṃkaro hoti supaṇṇarāja, kiṃsīlo kena vatena vattaṃ;

    สมโณ จรํ หิตฺวา มมายิตานิ, กถํกโร สคฺคมุเปติ ฐาน’’นฺติฯ

    Samaṇo caraṃ hitvā mamāyitāni, kathaṃkaro saggamupeti ṭhāna’’nti.

    ตตฺถ ฆาสเหตูติ นิสฺสิริโก กุจฺฉิปูรณตฺถาย ขาทนียโภชนีเย ปริเยสโนฺต จรติฯ อปคฺคตามฺหาติ อปคตา ปริหีนามฺหาฯ กถํกโรติ อิทํ นาคราชา ตสฺส นคฺคสฺส สมณภาวํ ญตฺวา สมณปฎิปตฺติํ ปุจฺฉโนฺต อาหฯ ตตฺถ กิํสีโลติ กตเรน อาจาเรน สมนฺนาคโตฯ เกน วเตนาติ กตเรน วตสมาทาเนน วตฺตโนฺตฯ สมโณ จรนฺติ ปพฺพชฺชาย จรโนฺต ตณฺหามมายิตานิ หิตฺวา กถํ สมิตปาปสมโณ นาม โหติฯ สคฺคนฺติ กถํ กโรโนฺต จ สุฎฺฐุ อคฺคํ เทวนครํ โส สมโณ อุเปตีติฯ

    Tattha ghāsahetūti nissiriko kucchipūraṇatthāya khādanīyabhojanīye pariyesanto carati. Apaggatāmhāti apagatā parihīnāmhā. Kathaṃkaroti idaṃ nāgarājā tassa naggassa samaṇabhāvaṃ ñatvā samaṇapaṭipattiṃ pucchanto āha. Tattha kiṃsīloti katarena ācārena samannāgato. Kena vatenāti katarena vatasamādānena vattanto. Samaṇo caranti pabbajjāya caranto taṇhāmamāyitāni hitvā kathaṃ samitapāpasamaṇo nāma hoti. Sagganti kathaṃ karonto ca suṭṭhu aggaṃ devanagaraṃ so samaṇo upetīti.

    สุปโณฺณ อาห –

    Supaṇṇo āha –

    ๒๘๑.

    281.

    ‘‘หิริยา ติติกฺขาย ทเมนุเปโต, อโกฺกธโน เปสุณิยํ ปหาย;

    ‘‘Hiriyā titikkhāya damenupeto, akkodhano pesuṇiyaṃ pahāya;

    สมโณ จรํ หิตฺวา มมายิตานิ, เอวํกโร สคฺคมุเปติ ฐาน’’นฺติฯ

    Samaṇo caraṃ hitvā mamāyitāni, evaṃkaro saggamupeti ṭhāna’’nti.

    ตตฺถ หิริยาติ, สมฺม นาคราช, อชฺฌตฺตพหิทฺธาสมุฎฺฐาเนหิ หิโรตฺตเปฺปหิ ติติกฺขาสงฺขาตาย อธิวาสนขนฺติยา อินฺทฺริยทเมน จ อุเปโต อกุชฺฌนสีโล ปิสุณวาจํ ปหาย ตณฺหามมายิตานิ จ หิตฺวา ปพฺพชฺชาย จรโนฺต สมโณ นาม โหติ, เอวํกโรเยว จ เอตานิ หิรีอาทีนิ กุสลานิ กโรโนฺต สคฺคมุเปติ ฐานนฺติฯ

    Tattha hiriyāti, samma nāgarāja, ajjhattabahiddhāsamuṭṭhānehi hirottappehi titikkhāsaṅkhātāya adhivāsanakhantiyā indriyadamena ca upeto akujjhanasīlo pisuṇavācaṃ pahāya taṇhāmamāyitāni ca hitvā pabbajjāya caranto samaṇo nāma hoti, evaṃkaroyeva ca etāni hirīādīni kusalāni karonto saggamupeti ṭhānanti.

    อิทํ สุปณฺณราชสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ปณฺฑรโก ชีวิตํ ยาจโนฺต คาถมาห –

    Idaṃ supaṇṇarājassa dhammakathaṃ sutvā paṇḍarako jīvitaṃ yācanto gāthamāha –

    ๒๘๒.

    282.

    ‘‘มาตาว ปุตฺตํ ตรุณํ ตนุชฺชํ, สมฺผสฺสตา สพฺพคตฺตํ ผเรติ;

    ‘‘Mātāva puttaṃ taruṇaṃ tanujjaṃ, samphassatā sabbagattaṃ phareti;

    เอวมฺปิ เม ตฺวํ ปาตุรหุ ทิชินฺท, มาตาว ปุตฺตํ อนุกมฺปมาโน’’ติฯ

    Evampi me tvaṃ pāturahu dijinda, mātāva puttaṃ anukampamāno’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ยถา มาตา ตนุชํ อตฺตโน สรีรชาตํ ตรุณํ ปุตฺตํ สมฺผสฺสตํ ทิสฺวา ตํ อุเร นิปชฺชาเปตฺวา ถญฺญํ ปาเยนฺตี ปุตฺตสมฺผเสฺสน สพฺพํ อตฺตโน คตฺตํ ผเรติ, นปิ มาตา ปุตฺตโต ภายติ นปิ ปุโตฺต มาติโต, เอวมฺปิ เม ตฺวํ ปาตุรหุ ปาตุภูโต ทิชินฺท ทิชราช, ตสฺมา มาตาว ปุตฺตํ มุทุเกน หทเยน อนุกมฺปมาโน มํ ปสฺส, ชีวิตํ เม เทหีติฯ

    Tassattho – yathā mātā tanujaṃ attano sarīrajātaṃ taruṇaṃ puttaṃ samphassataṃ disvā taṃ ure nipajjāpetvā thaññaṃ pāyentī puttasamphassena sabbaṃ attano gattaṃ phareti, napi mātā puttato bhāyati napi putto mātito, evampi me tvaṃ pāturahu pātubhūto dijinda dijarāja, tasmā mātāva puttaṃ mudukena hadayena anukampamāno maṃ passa, jīvitaṃ me dehīti.

    อถสฺส สุปโณฺณ ชีวิตํ เทโนฺต อิตรํ คาถมาห –

    Athassa supaṇṇo jīvitaṃ dento itaraṃ gāthamāha –

    ๒๘๓.

    283.

    ‘‘หนฺทชฺช ตฺวํ มุญฺจ วธา ทุชิวฺห, ตโย หิ ปุตฺตา น หิ อโญฺญ อตฺถิ;

    ‘‘Handajja tvaṃ muñca vadhā dujivha, tayo hi puttā na hi añño atthi;

    อเนฺตวาสี ทินฺนโก อตฺรโช จ, รชฺชสฺสุ ปุตฺตญฺญตโร เม อโหสี’’ติฯ

    Antevāsī dinnako atrajo ca, rajjassu puttaññataro me ahosī’’ti.

    ตตฺถ มุญฺจาติ มุจฺจ, อยเมว วา ปาโฐฯ ทุชิวฺหาติ ตํ อาลปติฯ อโญฺญติ อโญฺญ จตุโตฺถ ปุโตฺต นาม นตฺถิฯ อเนฺตวาสีติ สิปฺปํ วา อุคฺคณฺหมาโน ปญฺหํ วา สุณโนฺต สนฺติเก นิวุโตฺถฯ ทินฺนโกติ ‘‘อยํ เต ปุโตฺต โหตู’’ติ ปเรหิ ทิโนฺนฯ รชฺชสฺสูติ อภิรมสฺสุฯ อญฺญตโรติ ตีสุ ปุเตฺตสุ อญฺญตโร อเนฺตวาสี ปุโตฺต เม ตฺวํ ชาโตติ ทีเปติฯ

    Tattha muñcāti mucca, ayameva vā pāṭho. Dujivhāti taṃ ālapati. Aññoti añño catuttho putto nāma natthi. Antevāsīti sippaṃ vā uggaṇhamāno pañhaṃ vā suṇanto santike nivuttho. Dinnakoti ‘‘ayaṃ te putto hotū’’ti parehi dinno. Rajjassūti abhiramassu. Aññataroti tīsu puttesu aññataro antevāsī putto me tvaṃ jātoti dīpeti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา อากาสา โอตริตฺวา ตํ ภูมิยํ ปติฎฺฐาเปสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Evañca pana vatvā ākāsā otaritvā taṃ bhūmiyaṃ patiṭṭhāpesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā dve gāthā abhāsi –

    ๒๘๔.

    284.

    ‘‘อิเจฺจว วากฺยํ วิสชฺชี สุปโณฺณ, ภุมฺยํ ปติฎฺฐาย ทิโช ทุชิวฺหํ;

    ‘‘Icceva vākyaṃ visajjī supaṇṇo, bhumyaṃ patiṭṭhāya dijo dujivhaṃ;

    มุตฺตชฺช ตฺวํ สพฺพภยาติวโตฺต, ถลูทเก โหหิ มยาภิคุโตฺตฯ

    Muttajja tvaṃ sabbabhayātivatto, thalūdake hohi mayābhigutto.

    ๒๘๕.

    285.

    ‘‘อาตงฺกินํ ยถา กุสโล ภิสโกฺก, ปิปาสิตานํ รหโทว สีโต;

    ‘‘Ātaṅkinaṃ yathā kusalo bhisakko, pipāsitānaṃ rahadova sīto;

    เวสฺมํ ยถา หิมสีตฎฺฎิตานํ, เอวมฺปิ เต สรณมหํ ภวามี’’ติฯ

    Vesmaṃ yathā himasītaṭṭitānaṃ, evampi te saraṇamahaṃ bhavāmī’’ti.

    ตตฺถ อิเจฺจว วากฺยนฺติ อิติ เอวํ วจนํ วตฺวา ตํ นาคราชํ วิสฺสชฺชิฯ ภุมฺยนฺติ โส สยมฺปิ ภูมิยํ ปติฎฺฐาย ทิโช ตํ ทุชิวฺหํ สมสฺสาเสโนฺต มุโตฺต อชฺช ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย สพฺพภยานิ อติวโตฺต ถเล จ อุทเก จ มยา อภิคุโตฺต รกฺขิโต โหหีติ อาหฯ อาตงฺกินนฺติ คิลานานํฯ เอวมฺปิ เตติ เอวํ อหํ ตว สรณํ ภวามิฯ

    Tattha icceva vākyanti iti evaṃ vacanaṃ vatvā taṃ nāgarājaṃ vissajji. Bhumyanti so sayampi bhūmiyaṃ patiṭṭhāya dijo taṃ dujivhaṃ samassāsento mutto ajja tvaṃ ito paṭṭhāya sabbabhayāni ativatto thale ca udake ca mayā abhigutto rakkhito hohīti āha. Ātaṅkinanti gilānānaṃ. Evampi teti evaṃ ahaṃ tava saraṇaṃ bhavāmi.

    คจฺฉ ตฺวนฺติ อุโยฺยเชสิฯ โส นาคราชา นาคภวนํ ปาวิสิฯ อิตโรปิ สุปณฺณภวนํ คนฺตฺวา ‘‘มยา ปณฺฑรกนาโค สปถํ กตฺวา สทฺทหาเปตฺวา วิสฺสชฺชิโต, กีทิสํ นุ โข มยิ ตสฺส หทยํ, วีมํสิสฺสามิ น’’นฺติ นาคภวนํ คนฺตฺวา สุปณฺณวาตํ อกาสิฯ ตํ ทิสฺวา นาโค ‘‘สุปณฺณราชา มํ คเหตุํ อาคโต ภวิสฺสตี’’ติ มญฺญมาโน พฺยามสหสฺสมตฺตํ อตฺตภาวํ มาเปตฺวา ปาสาเณ จ วาลุกญฺจ คิลิตฺวา ภาริโย หุตฺวา นงฺคุฎฺฐํ เหฎฺฐากตฺวา โภคมตฺถเก ผณํ ธารยมาโน นิปชฺชิตฺวา สุปณฺณราชานํ ฑํสิตุกาโม วิย อโหสิฯ ตํ ทิสฺวา สุปโณฺณ อิตรํ คาถมาห –

    Gaccha tvanti uyyojesi. So nāgarājā nāgabhavanaṃ pāvisi. Itaropi supaṇṇabhavanaṃ gantvā ‘‘mayā paṇḍarakanāgo sapathaṃ katvā saddahāpetvā vissajjito, kīdisaṃ nu kho mayi tassa hadayaṃ, vīmaṃsissāmi na’’nti nāgabhavanaṃ gantvā supaṇṇavātaṃ akāsi. Taṃ disvā nāgo ‘‘supaṇṇarājā maṃ gahetuṃ āgato bhavissatī’’ti maññamāno byāmasahassamattaṃ attabhāvaṃ māpetvā pāsāṇe ca vālukañca gilitvā bhāriyo hutvā naṅguṭṭhaṃ heṭṭhākatvā bhogamatthake phaṇaṃ dhārayamāno nipajjitvā supaṇṇarājānaṃ ḍaṃsitukāmo viya ahosi. Taṃ disvā supaṇṇo itaraṃ gāthamāha –

    ๒๘๖.

    286.

    ‘‘สนฺธิํ กตฺวา อมิเตฺตน, อณฺฑเชน ชลาพุช;

    ‘‘Sandhiṃ katvā amittena, aṇḍajena jalābuja;

    วิวริย ทาฐํ เสสิ, กุโต ตํ ภยมาคต’’นฺติฯ

    Vivariya dāṭhaṃ sesi, kuto taṃ bhayamāgata’’nti.

    ตํ สุตฺวา นาคราชา ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā nāgarājā tisso gāthā abhāsi –

    ๒๘๗.

    287.

    ‘‘สเงฺกเถว อมิตฺตสฺมิํ, มิตฺตสฺมิมฺปิ น วิสฺสเส;

    ‘‘Saṅketheva amittasmiṃ, mittasmimpi na vissase;

    อภยา ภยมุปฺปนฺนํ, อปิ มูลานิ กนฺตติฯ

    Abhayā bhayamuppannaṃ, api mūlāni kantati.

    ๒๘๘.

    288.

    ‘‘กถํ นุ วิสฺสเส ตฺยมฺหิ, เยนาสิ กลโห กโต;

    ‘‘Kathaṃ nu vissase tyamhi, yenāsi kalaho kato;

    นิจฺจยเตฺตน ฐาตพฺพํ, โส ทิสพฺภิ น รชฺชติฯ

    Niccayattena ṭhātabbaṃ, so disabbhi na rajjati.

    ๒๘๙.

    289.

    ‘‘วิสฺสาสเย น จ ตํ วิสฺสเยยฺย, อสงฺกิโต สงฺกิโต จ ภเวยฺย;

    ‘‘Vissāsaye na ca taṃ vissayeyya, asaṅkito saṅkito ca bhaveyya;

    ตถา ตถา วิญฺญู ปรกฺกเมยฺย, ยถา ยถา ภาวํ ปโร น ชญฺญา’’ติฯ

    Tathā tathā viññū parakkameyya, yathā yathā bhāvaṃ paro na jaññā’’ti.

    ตตฺถ อภยาติ อภยฎฺฐานภูตา มิตฺตมฺหา ภยํ อุปฺปนฺนํ ชีวิตสงฺขาตานิ มูลาเนว กนฺตติฯ ตฺยมฺหีติ ตสฺมิํฯ เยนาสีติ เยน สทฺธิํ กลโห กโต อโหสิฯ นิจฺจยเตฺตนาติ นิจฺจปฎิยเตฺตนฯ โส ทิสพฺภิ น รชฺชตีติ โย นิจฺจยเตฺตน อภิติฎฺฐติ, โส อตฺตโน สตฺตูหิ สทฺธิํ วิสฺสาสวเสน น รชฺชติ, ตโต เตสํ ยถากามกรณีโย น โหตีติ อโตฺถฯ วิสฺสาสเยติ ปรํ อตฺตนิ วิสฺสาสเย, ตํ ปน สยํ น วิสฺสเสยฺยฯ ปเรน อสงฺกิโต อตฺตนา จ โส สงฺกิโต ภเวยฺยฯ ภาวํ ปโรติ ยถา ยถา ปณฺฑิโต ปรกฺกมติ, ตถา ตถา ตสฺส ปโร ภาวํ น ชานาติ, ตสฺมา ปณฺฑิเตน วีริยํ กาตพฺพเมวาติ ทีเปติฯ

    Tattha abhayāti abhayaṭṭhānabhūtā mittamhā bhayaṃ uppannaṃ jīvitasaṅkhātāni mūlāneva kantati. Tyamhīti tasmiṃ. Yenāsīti yena saddhiṃ kalaho kato ahosi. Niccayattenāti niccapaṭiyattena. So disabbhi na rajjatīti yo niccayattena abhitiṭṭhati, so attano sattūhi saddhiṃ vissāsavasena na rajjati, tato tesaṃ yathākāmakaraṇīyo na hotīti attho. Vissāsayeti paraṃ attani vissāsaye, taṃ pana sayaṃ na vissaseyya. Parena asaṅkito attanā ca so saṅkito bhaveyya. Bhāvaṃ paroti yathā yathā paṇḍito parakkamati, tathā tathā tassa paro bhāvaṃ na jānāti, tasmā paṇḍitena vīriyaṃ kātabbamevāti dīpeti.

    อิติ เต อญฺญมญฺญํ สลฺลปิตฺวา สมคฺคา สโมฺมทมานา อุโภปิ อเจลกสฺส อสฺสมํ อคมิํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Iti te aññamaññaṃ sallapitvā samaggā sammodamānā ubhopi acelakassa assamaṃ agamiṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๒๙๐.

    290.

    ‘‘เต เทววณฺณา สุขุมาลรูปา, อุโภ สมา สุชยา ปุญฺญขนฺธา;

    ‘‘Te devavaṇṇā sukhumālarūpā, ubho samā sujayā puññakhandhā;

    อุปาคมุํ กรมฺปิยํ อเจลํ, มิสฺสีภูตา อสฺสวาหาว นาคา’’ติฯ

    Upāgamuṃ karampiyaṃ acelaṃ, missībhūtā assavāhāva nāgā’’ti.

    ตตฺถ สมาติ สมานรูปา สทิสสณฺฐานา หุตฺวาฯ สุชยาติ สุวยา ปริสุทฺธา, อยเมว วา ปาโฐฯ ปุญฺญขนฺธาติ กตกุสลตาย ปุญฺญกฺขนฺธา วิยฯ มิสฺสีภูตาติ หเตฺถน หตฺถํ คเหตฺวา กายมิสฺสีภาวํ อุปคตาฯ อสฺสวาหาว นาคาติ ธุเร ยุตฺตกา รถวาหา เทฺว อสฺสา วิย ปุริสนาคา ตสฺส อสฺสมํ อคมิํสุฯ

    Tattha samāti samānarūpā sadisasaṇṭhānā hutvā. Sujayāti suvayā parisuddhā, ayameva vā pāṭho. Puññakhandhāti katakusalatāya puññakkhandhā viya. Missībhūtāti hatthena hatthaṃ gahetvā kāyamissībhāvaṃ upagatā. Assavāhāva nāgāti dhure yuttakā rathavāhā dve assā viya purisanāgā tassa assamaṃ agamiṃsu.

    คนฺตฺวา จ ปน สุปณฺณราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ นาคราชา อเจลกสฺส ชีวิตํ น ทสฺสติ, เอตํ ทุสฺสีลํ น วนฺทิสฺสามี’’ติฯ โส พหิ ฐตฺวา นาคราชานเมว ตสฺส สนฺติกํ เปเสสิฯ ตํ สนฺธาย สตฺถา อิตรํ คาถมาหฯ

    Gantvā ca pana supaṇṇarājā cintesi – ‘‘ayaṃ nāgarājā acelakassa jīvitaṃ na dassati, etaṃ dussīlaṃ na vandissāmī’’ti. So bahi ṭhatvā nāgarājānameva tassa santikaṃ pesesi. Taṃ sandhāya satthā itaraṃ gāthamāha.

    ๒๙๑.

    291.

    ‘‘ตโต หเว ปณฺฑรโก อเจลํ, สยเมวุปาคมฺม อิทํ อโวจ;

    ‘‘Tato have paṇḍarako acelaṃ, sayamevupāgamma idaṃ avoca;

    มุตฺตชฺชหํ สพฺพภยาติวโตฺต, น หิ นูน ตุยฺหํ มนโส ปิยมฺหา’’ติฯ

    Muttajjahaṃ sabbabhayātivatto, na hi nūna tuyhaṃ manaso piyamhā’’ti.

    ตตฺถ ปิยมฺหาติ ทุสฺสีลนคฺคโภคฺคมุสาวาทิ นูน มยํ ตว มนโส น ปิยา อหุมฺหาติ ปริภาสิฯ

    Tattha piyamhāti dussīlanaggabhoggamusāvādi nūna mayaṃ tava manaso na piyā ahumhāti paribhāsi.

    ตโต อเจโล อิตรํ คาถมาห –

    Tato acelo itaraṃ gāthamāha –

    ๒๙๒.

    292.

    ‘‘ปิโย หิ เม อาสิ สุปณฺณราชา, อสํสยํ ปณฺฑรเกน สจฺจํ;

    ‘‘Piyo hi me āsi supaṇṇarājā, asaṃsayaṃ paṇḍarakena saccaṃ;

    โส ราครโตฺตว อกาสิเมตํ, ปาปกมฺมํ สมฺปชาโน น โมหา’’ติฯ

    So rāgarattova akāsimetaṃ, pāpakammaṃ sampajāno na mohā’’ti.

    ตตฺถ ปณฺฑรเกนาติ ตยา ปณฺฑรเกน โส มม ปิยตโร อโหสิ, สจฺจเมตํฯ โสติ โส อหํ ตสฺมิํ สุปเณฺณ ราเคน รโตฺต หุตฺวา เอตํ ปาปกมฺมํ ชานโนฺตว อกาสิํ, น โมเหน อชานโนฺตติฯ

    Tattha paṇḍarakenāti tayā paṇḍarakena so mama piyataro ahosi, saccametaṃ. Soti so ahaṃ tasmiṃ supaṇṇe rāgena ratto hutvā etaṃ pāpakammaṃ jānantova akāsiṃ, na mohena ajānantoti.

    ตํ สุตฺวา นาคราชา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā nāgarājā dve gāthā abhāsi –

    ๒๙๓.

    293.

    ‘‘น เม ปิยํ อปฺปิยํ วาปิ โหติ, สมฺปสฺสโต โลกมิมํ ปรญฺจ;

    ‘‘Na me piyaṃ appiyaṃ vāpi hoti, sampassato lokamimaṃ parañca;

    สุสญฺญตานญฺหิ วิยญฺชเนน, อสญฺญโต โลกมิมํ จราสิฯ

    Susaññatānañhi viyañjanena, asaññato lokamimaṃ carāsi.

    ๒๙๔.

    294.

    ‘‘อริยาวกาโสสิ อนริโยวาสิ, อสญฺญโต สญฺญตสนฺนิกาโส;

    ‘‘Ariyāvakāsosi anariyovāsi, asaññato saññatasannikāso;

    กณฺหาภิชาติโกสิ อนริยรูโป, ปาปํ พหุํ ทุจฺจริตํ อจารี’’ติฯ

    Kaṇhābhijātikosi anariyarūpo, pāpaṃ bahuṃ duccaritaṃ acārī’’ti.

    ตตฺถ น เมติ อโมฺภ ทุสฺสีลนคฺคมุสาวาทิ ปพฺพชิตสฺส หิ อิมญฺจ ปรญฺจ โลกํ สมฺปสฺสโต ปิยํ วา เม อปฺปิยํ วาปิ เมติ น โหติ, ตฺวํ ปน สุสญฺญตานํ สีลวนฺตานํ พฺยญฺชเนน ปพฺพชิตลิเงฺคน อสญฺญโต หุตฺวา อิมํ โลกํ วเญฺจโนฺต จรสิฯ อริยาวกาโสสีติ อริยปฎิรูปโกสิ ฯ อสญฺญโตติ กายาทีหิ อสญฺญโตสิฯ กณฺหาภิชาติโกติ กาฬกสภาโวฯ อนริยรูโปติ อหิริกสภาโวฯ อจารีติ อกาสิฯ

    Tattha na meti ambho dussīlanaggamusāvādi pabbajitassa hi imañca parañca lokaṃ sampassato piyaṃ vā me appiyaṃ vāpi meti na hoti, tvaṃ pana susaññatānaṃ sīlavantānaṃ byañjanena pabbajitaliṅgena asaññato hutvā imaṃ lokaṃ vañcento carasi. Ariyāvakāsosīti ariyapaṭirūpakosi . Asaññatoti kāyādīhi asaññatosi. Kaṇhābhijātikoti kāḷakasabhāvo. Anariyarūpoti ahirikasabhāvo. Acārīti akāsi.

    อิติ ตํ ครหิตฺวา อิทานิ อภิสปโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Iti taṃ garahitvā idāni abhisapanto imaṃ gāthamāha –

    ๒๙๕.

    295.

    ‘‘อทุฎฺฐสฺส ตุวํ ทุพฺภิ, ทุพฺภี จ ปิสุโณ จสิ;

    ‘‘Aduṭṭhassa tuvaṃ dubbhi, dubbhī ca pisuṇo casi;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, มุทฺธา เต ผลตุ สตฺตธา’’ติฯ

    Etena saccavajjena, muddhā te phalatu sattadhā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – อโมฺภ ทุพฺภิ ตฺวํ อทุฎฺฐสฺส มิตฺตสฺส ทุพฺภี จาสิ, ปิสุโณ จาสิ, เอเตน สจฺจวเชฺชน มุทฺธา เต สตฺตธา ผลตูติฯ

    Tassattho – ambho dubbhi tvaṃ aduṭṭhassa mittassa dubbhī cāsi, pisuṇo cāsi, etena saccavajjena muddhā te sattadhā phalatūti.

    อิติ นาคราชสฺส สปนฺตเสฺสว อเจลกสฺส สีสํ สตฺตธา ผลิฯ นิสินฺนฎฺฐาเนเยวสฺส ภูมิ วิวรํ อทาสิฯ โส ปถวิํ ปวิสิตฺวา อวีจิมฺหิ นิพฺพตฺติ, นาคราชสุปณฺณราชาโนปิ อตฺตโน ภวนเมว อคมิํสุฯ สตฺถา ตสฺส ปถวิํ ปวิฎฺฐภาวํ ปกาเสโนฺต โอสานคาถมาห –

    Iti nāgarājassa sapantasseva acelakassa sīsaṃ sattadhā phali. Nisinnaṭṭhāneyevassa bhūmi vivaraṃ adāsi. So pathaviṃ pavisitvā avīcimhi nibbatti, nāgarājasupaṇṇarājānopi attano bhavanameva agamiṃsu. Satthā tassa pathaviṃ paviṭṭhabhāvaṃ pakāsento osānagāthamāha –

    ๒๙๖.

    296.

    ‘‘ตสฺมา หิ มิตฺตานํ น ทุพฺภิตพฺพํ, มิตฺตทุพฺภา ปาปิโย นตฺถิ อโญฺญ;

    ‘‘Tasmā hi mittānaṃ na dubbhitabbaṃ, mittadubbhā pāpiyo natthi añño;

    อาสิตฺตสโตฺต นิหโต ปถพฺยา, อินฺทสฺส วาเกฺยน หิ สํวโร หโต’’ติฯ

    Āsittasatto nihato pathabyā, indassa vākyena hi saṃvaro hato’’ti.

    ตตฺถ ตสฺมาติ ยสฺมา มิตฺตทุพฺภิกมฺมสฺส ผรุโส วิปาโก, ตสฺมาฯ อาสิตฺตสโตฺตติ อาสิตฺตวิเสน สโตฺตฯ อินฺทสฺสาติ นาคินฺทสฺส วาเกฺยนฯ สํวโรติ ‘‘อหํ สํวเร ฐิโตสฺมี’’ติ ปฎิญฺญาย เอวํ ปญฺญาโต อาชีวโก หโตติฯ

    Tattha tasmāti yasmā mittadubbhikammassa pharuso vipāko, tasmā. Āsittasattoti āsittavisena satto. Indassāti nāgindassa vākyena. Saṃvaroti ‘‘ahaṃ saṃvare ṭhitosmī’’ti paṭiññāya evaṃ paññāto ājīvako hatoti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต มุสาวาทํ กตฺวา ปถวิํ ปวิโฎฺฐเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อเจลโก เทวทโตฺต อโหสิ, นาคราชา สาริปุโตฺต, สุปณฺณราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto musāvādaṃ katvā pathaviṃ paviṭṭhoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā acelako devadatto ahosi, nāgarājā sāriputto, supaṇṇarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    ปณฺฑรนาคราชชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ

    Paṇḍaranāgarājajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๑๘. ปณฺฑรนาคราชชาตกํ • 518. Paṇḍaranāgarājajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact