Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā |
๗. ปญฺหาวารวิภงฺควณฺณนา
7. Pañhāvāravibhaṅgavaṇṇanā
๔๐๑-๔๐๓. เยหิ ปจฺจเยหิ กุสโล กุสลสฺส ปจฺจโย โหติ, เต ปจฺจเย ปฎิปาฎิยา ทเสฺสตุนฺติ ยถากฺกเมน อาคตาคตปฎิปาฎิยา ทเสฺสตุนฺติ อโตฺถฯ กุสโล กุสลสฺสาติ นิทสฺสนมตฺตเมตํ, เตน กุสโล กุสลาทีนํ, อกุสโล อกุสลาทีนํ, อพฺยากโต อพฺยากตาทีนํ, กุสลาพฺยากตา กุสลาทีนนฺติอาทิโก สโพฺพ ปเภโท นิทสฺสิโต โหตีติ ยถานิทสฺสิเต สเพฺพ คเหตฺวา อาห ‘‘เต ปจฺจเย ปฎิปาฎิยา ทเสฺสตุ’’นฺติฯ
401-403. Yehi paccayehi kusalo kusalassa paccayo hoti, te paccaye paṭipāṭiyā dassetunti yathākkamena āgatāgatapaṭipāṭiyā dassetunti attho. Kusalo kusalassāti nidassanamattametaṃ, tena kusalo kusalādīnaṃ, akusalo akusalādīnaṃ, abyākato abyākatādīnaṃ, kusalābyākatā kusalādīnantiādiko sabbo pabhedo nidassito hotīti yathānidassite sabbe gahetvā āha ‘‘te paccaye paṭipāṭiyā dassetu’’nti.
๔๐๔. ทตฺวาติ เอตฺถ ทา-สโทฺท โสธนโตฺถปิ โหตีติ มนฺตฺวา อาห ‘‘วิสุทฺธํ กตฺวา’’ติฯ เตสญฺหิ ตํ จิตฺตนฺติ เตสนฺติ วตฺตพฺพตารหํ สกทาคามิมคฺคาทิปุเรจาริกํ ตํ โคตฺรภุจิตฺตนฺติ อธิปฺปาโย ฯ วิปสฺสนากุสลํ ปน กามาวจรเมวาติ ปจฺจยุปฺปนฺนํ ภูมิโต ววตฺถเปติฯ เตเนวาติ ธมฺมวเสเนว ทสฺสนโต, เทสนนฺตรตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
404. Datvāti ettha dā-saddo sodhanatthopi hotīti mantvā āha ‘‘visuddhaṃ katvā’’ti. Tesañhi taṃ cittanti tesanti vattabbatārahaṃ sakadāgāmimaggādipurecārikaṃ taṃ gotrabhucittanti adhippāyo . Vipassanākusalaṃ pana kāmāvacaramevāti paccayuppannaṃ bhūmito vavatthapeti. Tenevāti dhammavaseneva dassanato, desanantarattāti adhippāyo.
๔๐๕. อสฺสาทนํ สราคสฺส โสมนสฺสสฺส สโสมนสฺสสฺส ราคสฺส จ กิจฺจนฺติ อาห ‘‘อนุภวติ เจว รชฺชติ จา’’ติฯ อภินนฺทนํ ปีติกิจฺจสหิตาย ตณฺหาย กิจฺจนฺติ อาห ‘‘สปฺปีติกตณฺหาวเสนา’’ติฯ ทิฎฺฐาภินนฺทนา ทิฎฺฐิเยวฯ เอตฺถ ปน ปจฺฉิมตฺถเมว คเหตฺวา ‘‘อภินนฺทนฺตสฺส อตฺตา อตฺตนิยนฺติอาทิวเสน…เป.… ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชตี’’ติ วุตฺตํฯ อภินนฺทนา ปน ทิฎฺฐาภินนฺทนาเยวาติ น สกฺกา วตฺตุํ ‘‘ภาวนาย ปหาตโพฺพ ธโมฺม ภาวนาย ปหาตพฺพสฺส ธมฺมสฺส อารมฺมณ…เป.… ภาวนาย ปหาตพฺพํ ราคํ อสฺสาเทติ อภินนฺทตี’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๘.๗๒) วจนโต, ตสฺมา ปุริโมปิ อโตฺถ วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ทฺวีสุ ปน โสมนสฺสสหคตจิเตฺตสุ ยถาวุเตฺตน โสมนเสฺสน ราเคน จ อสฺสาเทนฺตสฺส เตสุเยว สปฺปีติกตณฺหาย จตูสุปิ ทิฎฺฐาภินนฺทนาย อภินนฺทนฺตสฺส จ ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชตีติปิ สกฺกา โยเชตุํฯ ชาติวเสนาติ สุจิณฺณสามญฺญวเสนาติ อโตฺถฯ
405. Assādanaṃ sarāgassa somanassassa sasomanassassa rāgassa ca kiccanti āha ‘‘anubhavati ceva rajjati cā’’ti. Abhinandanaṃ pītikiccasahitāya taṇhāya kiccanti āha ‘‘sappītikataṇhāvasenā’’ti. Diṭṭhābhinandanā diṭṭhiyeva. Ettha pana pacchimatthameva gahetvā ‘‘abhinandantassa attā attaniyantiādivasena…pe… diṭṭhi uppajjatī’’ti vuttaṃ. Abhinandanā pana diṭṭhābhinandanāyevāti na sakkā vattuṃ ‘‘bhāvanāya pahātabbo dhammo bhāvanāya pahātabbassa dhammassa ārammaṇa…pe… bhāvanāya pahātabbaṃ rāgaṃ assādeti abhinandatī’’ti (paṭṭhā. 2.8.72) vacanato, tasmā purimopi attho vuttoti daṭṭhabbo. Dvīsu pana somanassasahagatacittesu yathāvuttena somanassena rāgena ca assādentassa tesuyeva sappītikataṇhāya catūsupi diṭṭhābhinandanāya abhinandantassa ca diṭṭhi uppajjatītipi sakkā yojetuṃ. Jātivasenāti suciṇṇasāmaññavasenāti attho.
๔๐๖. ตทารมฺมณตาติ ตทารมฺมณภาเวนฯ วิภตฺติโลโป เหตฺถ กโตติฯ ภาววนฺตโต วา อโญฺญ ภาโว นตฺถีติ ภาเวเนว วิปากํ วิเสเสติ, วิปาโก ตทารมฺมณภาวภูโตติ อโตฺถฯ วิญฺญาณญฺจายตนเนวสญฺญานาสญฺญายตนวิปากานํ วิย น กามาวจรวิปากานํ นิโยคโต ววตฺถิตํ อิทญฺจ กมฺมํ อารมฺมณนฺติ ตํ ลพฺภมานมฺปิ น วุตฺตํฯ ตทารมฺมเณน ปน กุสลารมฺมณภาเวน สมานลกฺขณตาย กมฺมารมฺมณา ปฎิสนฺธิอาทโยปิ ทสฺสิตาเยวาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ปฎิโลมโต วา เอกนฺตริกวเสน วาติ วทเนฺตน อนุโลมโต สมาปชฺชเน เยภุเยฺยน อาสนฺนสมาปตฺติยา อารมฺมณภาโว ทสฺสิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ยถา ปน ปฎิโลมโต เอกนฺตริกวเสน จ สมาปชฺชนฺตสฺส อนาสนฺนาปิ สมาปตฺติ อารมฺมณํ โหติ, เอวํ อนุโลมโต สมาปชฺชนฺตสฺสปิ ภเวยฺยาติฯ ‘‘เจโตปริยญาณสฺสาติอาทีนิ ปรโต อาวชฺชนาย โยเชตพฺพานี’’ติ วตฺวา ‘‘ยา เอเตสํ อาวชฺชนา, ตสฺสา’’ติ อโตฺถ วุโตฺต, เอวํ สติ ‘‘อิทฺธิวิธญาณสฺสา’’ติปิ วตฺตพฺพํ สิยาฯ ยสฺมา ปน กุสลา ขนฺธา อพฺยากตสฺส อิทฺธิวิธญาณสฺส อารมฺมณํ น โหนฺตีติ ตํ น วุตฺตํ, เจโตปริยญาณาทีนญฺจ โหนฺตีติ ตานิ วุตฺตานิ, ตสฺมา กิริยานํ เจโตปริยญาณาทีนํ ยาย กายจิ อาวชฺชนาย จ กุสลารมฺมณาย กุสลา ขนฺธา อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโยติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
406. Tadārammaṇatāti tadārammaṇabhāvena. Vibhattilopo hettha katoti. Bhāvavantato vā añño bhāvo natthīti bhāveneva vipākaṃ viseseti, vipāko tadārammaṇabhāvabhūtoti attho. Viññāṇañcāyatananevasaññānāsaññāyatanavipākānaṃ viya na kāmāvacaravipākānaṃ niyogato vavatthitaṃ idañca kammaṃ ārammaṇanti taṃ labbhamānampi na vuttaṃ. Tadārammaṇena pana kusalārammaṇabhāvena samānalakkhaṇatāya kammārammaṇā paṭisandhiādayopi dassitāyevāti daṭṭhabbā. Paṭilomato vā ekantarikavasena vāti vadantena anulomato samāpajjane yebhuyyena āsannasamāpattiyā ārammaṇabhāvo dassitoti daṭṭhabbo. Yathā pana paṭilomato ekantarikavasena ca samāpajjantassa anāsannāpi samāpatti ārammaṇaṃ hoti, evaṃ anulomato samāpajjantassapi bhaveyyāti. ‘‘Cetopariyañāṇassātiādīni parato āvajjanāya yojetabbānī’’ti vatvā ‘‘yā etesaṃ āvajjanā, tassā’’ti attho vutto, evaṃ sati ‘‘iddhividhañāṇassā’’tipi vattabbaṃ siyā. Yasmā pana kusalā khandhā abyākatassa iddhividhañāṇassa ārammaṇaṃ na hontīti taṃ na vuttaṃ, cetopariyañāṇādīnañca hontīti tāni vuttāni, tasmā kiriyānaṃ cetopariyañāṇādīnaṃ yāya kāyaci āvajjanāya ca kusalārammaṇāya kusalā khandhā ārammaṇapaccayena paccayoti evamattho daṭṭhabbo.
๔๐๗-๔๐๙. วิปฺปฎิสาราทิวเสน วาติ อาทิ-สเทฺทน อาทีนวทสฺสเนน สภาวโต จ อนิฎฺฐตามตฺตํ สงฺคณฺหาติ, อกฺขนฺติเภทา วาฯ
407-409. Vippaṭisārādivasenavāti ādi-saddena ādīnavadassanena sabhāvato ca aniṭṭhatāmattaṃ saṅgaṇhāti, akkhantibhedā vā.
๔๑๐. รูปายตนํ จกฺขุวิญฺญาณสฺสาติอาทินา วิญฺญาณกาเยหิ นิยตารมฺมเณหิ อพฺยากตสฺส อพฺยากตานํ อารมฺมณปจฺจยภาวํ นิทเสฺสติฯ สพฺพสฺส หิ วตฺตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา เอกสฺมิํ สนฺตาเน ธมฺมานํ เอกเทเสน นิทสฺสนํ กโรตีติฯ
410. Rūpāyatanaṃ cakkhuviññāṇassātiādinā viññāṇakāyehi niyatārammaṇehi abyākatassa abyākatānaṃ ārammaṇapaccayabhāvaṃ nidasseti. Sabbassa hi vattuṃ asakkuṇeyyattā ekasmiṃ santāne dhammānaṃ ekadesena nidassanaṃ karotīti.
๔๑๓-๔๑๖. จตุภูมกํ กุสลํ อารมฺมณาธิปติปจฺจยภาเวน ทสฺสิตํ, ปจฺจยุปฺปนฺนํ ปน กามาวจรเมวฯ
413-416. Catubhūmakaṃkusalaṃ ārammaṇādhipatipaccayabhāvena dassitaṃ, paccayuppannaṃ pana kāmāvacarameva.
๔๑๗. อปุพฺพโต จิตฺตสนฺตานโต วุฎฺฐานํ ภวงฺคเมว, ตํ ปน มูลาคนฺตุกภวงฺคสงฺขาตํ ตทารมฺมณํ ปกติภวงฺคญฺจฯ อนุโลมํ เสกฺขาย ผลสมาปตฺติยาติ เอตฺถ กายจิ เสกฺขผลสมาปตฺติยา อวเชฺชตพฺพตฺตา วตฺตพฺพํ นตฺถีติ เนวสญฺญานาสญฺญายตนกุสลํ ผลสมาปตฺติยาติ อิมํ นิพฺพิเสสนํ ผลสมาปตฺติํ อุทฺธริตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ผลสมาปตฺติยาติ อนาคามิผลสมาปตฺติยา’’ติฯ กามาวจรกิริยา ทุวิธสฺสปิ วุฎฺฐานสฺสาติ เอตฺถ กิริยานนฺตรํ ตทารมฺมณวุฎฺฐาเน ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ จิตฺตุปฺปาทกเณฺฑ วุตฺตเมวฯ
417. Apubbato cittasantānato vuṭṭhānaṃ bhavaṅgameva, taṃ pana mūlāgantukabhavaṅgasaṅkhātaṃ tadārammaṇaṃ pakatibhavaṅgañca. Anulomaṃ sekkhāya phalasamāpattiyāti ettha kāyaci sekkhaphalasamāpattiyā avajjetabbattā vattabbaṃ natthīti nevasaññānāsaññāyatanakusalaṃ phalasamāpattiyāti imaṃ nibbisesanaṃ phalasamāpattiṃ uddharitvā dassento āha ‘‘phalasamāpattiyāti anāgāmiphalasamāpattiyā’’ti. Kāmāvacarakiriyā duvidhassapi vuṭṭhānassāti ettha kiriyānantaraṃ tadārammaṇavuṭṭhāne yaṃ vattabbaṃ, taṃ cittuppādakaṇḍe vuttameva.
ตา อุโภปิ…เป.… ทฺวาทสนฺนนฺติ อิทํ โสมนสฺสสหคตมโนวิญฺญาณธาตุวเสน วุตฺตํ, อุเปกฺขาสหคตา ปน ยถาวุตฺตานํ ทสนฺนํ วิญฺญาณธาตูนํ โวฎฺฐพฺพนกิริยสฺส มโนธาตุกิริยสฺส จาติ ทฺวาทสนฺนํ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tā ubhopi…pe… dvādasannanti idaṃ somanassasahagatamanoviññāṇadhātuvasena vuttaṃ, upekkhāsahagatā pana yathāvuttānaṃ dasannaṃ viññāṇadhātūnaṃ voṭṭhabbanakiriyassa manodhātukiriyassa cāti dvādasannaṃ hotīti daṭṭhabbaṃ.
๔๒๓. ทานาทิปุญฺญกิริยายตฺตา สพฺพสมฺปตฺติโย ปฎิวิชฺฌิตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ น ปเนตํ เอกเนฺตน คเหตพฺพนฺติ ‘‘พลวเจตนาว ลพฺภติ, น ทุพฺพลา’’ติ เอตํ เอกนฺตํ น คเหตพฺพํ, ทฬฺหํ วา น คเหตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ กิํ การณนฺติ? พลวโต ทุพฺพลสฺส วา กโตกาสสฺส อนฺตรายํ ปฎิพาหิตฺวา วิปจฺจนโต ‘‘ยํกญฺจิ ยทิ วิปากํ ชเนติ, อุปนิสฺสโย น โหตี’’ติ นวตฺตพฺพตฺตา จาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘กโตกาสญฺหี’’ติอาทิมาหฯ วิปากตฺติเก ปน ปญฺหาวารปจฺจนีเย ‘‘วิปากธมฺมธโมฺม วิปากสฺส ธมฺมสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย, อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย, กมฺมปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๓.๙๓) กมฺมปจฺจยสฺส วิสุํ อุทฺธฎตฺตา, เวทนาตฺติเก จ ปญฺหาวารปจฺจนีเย ‘‘นเหตุปจฺจยา นอารมฺมณปจฺจยา นอุปนิสฺสเย อฎฺฐา’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๒.๘๗) วุตฺตตฺตา ‘‘วิปากชนกมฺปิ กิญฺจิ กมฺมํ อุปนิสฺสยปจฺจโย น โหตี’’ติ สกฺกา วตฺตุนฺติฯ
423. Dānādipuññakiriyāyattā sabbasampattiyo paṭivijjhitvāti sambandho. Na panetaṃ ekantena gahetabbanti ‘‘balavacetanāva labbhati, na dubbalā’’ti etaṃ ekantaṃ na gahetabbaṃ, daḷhaṃ vā na gahetabbanti adhippāyo. Kiṃ kāraṇanti? Balavato dubbalassa vā katokāsassa antarāyaṃ paṭibāhitvā vipaccanato ‘‘yaṃkañci yadi vipākaṃ janeti, upanissayo na hotī’’ti navattabbattā cāti dassento ‘‘katokāsañhī’’tiādimāha. Vipākattike pana pañhāvārapaccanīye ‘‘vipākadhammadhammo vipākassa dhammassa ārammaṇapaccayena paccayo, upanissayapaccayena paccayo, kammapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.3.93) kammapaccayassa visuṃ uddhaṭattā, vedanāttike ca pañhāvārapaccanīye ‘‘nahetupaccayā naārammaṇapaccayā naupanissaye aṭṭhā’’ti (paṭṭhā. 1.2.87) vuttattā ‘‘vipākajanakampi kiñci kammaṃ upanissayapaccayo na hotī’’ti sakkā vattunti.
ตสฺมิํ วา วิรุโทฺธติ ตํนิมิตฺตํ วิรุโทฺธ, วิรุทฺธนฺติ วา ปาโฐฯ โอมานนฺติ ปรสฺส ปวตฺตโอมานํฯ ราโค รญฺชนวเสน ปวตฺตา กามราคตณฺหา, ‘‘อิติ เม จกฺขุํ สิยา อนาคตมทฺธานํ, อิติ รูปา’’ติ อปฺปฎิลทฺธสฺส ปฎิลาภาย จิตฺตปณิทหนตณฺหา ปตฺถนาติ อยเมเตสํ วิเสโสฯ
Tasmiṃ vā viruddhoti taṃnimittaṃ viruddho, viruddhanti vā pāṭho. Omānanti parassa pavattaomānaṃ. Rāgo rañjanavasena pavattā kāmarāgataṇhā, ‘‘iti me cakkhuṃ siyā anāgatamaddhānaṃ, iti rūpā’’ti appaṭiladdhassa paṭilābhāya cittapaṇidahanataṇhā patthanāti ayametesaṃ viseso.
เตสุ อญฺญมฺปีติ เตสุ ยํกิญฺจิ ปุเพฺพ หนิตโต อญฺญมฺปิ ปาณํ หนตีติ อโตฺถฯ
Tesuaññampīti tesu yaṃkiñci pubbe hanitato aññampi pāṇaṃ hanatīti attho.
ปุนปฺปุนํ อาณาปนวเสน วาติ มาตุฆาตกเมฺมน สทิสตาย ปุเพฺพ ปวตฺตายปิ อาณตฺตเจตนาย มาตุฆาตกมฺมนามํ อาโรเปตฺวา วทนฺติฯ เอส นโย ทฺวีหิ ปหาเรหีติ เอตฺถาปิฯ
Punappunaṃ āṇāpanavasena vāti mātughātakammena sadisatāya pubbe pavattāyapi āṇattacetanāya mātughātakammanāmaṃ āropetvā vadanti. Esa nayo dvīhi pahārehīti etthāpi.
ยเถว หิ…เป.… อุปฺปาเทติ นามาติ ราคํ อุปนิสฺสาย ทานํ เทตีติ ราคํ อุปนิสฺสาย ทานวเสน สทฺธํ อุปฺปาเทตีติ อยมโตฺถ วุโตฺต โหตีติ อิมินา อธิปฺปาเยน วทติฯ ยถา ราคํ อุปนิสฺสาย ทานํ เทตีติเอวมาทิ โหติ, เอวํ ราคาทโย สทฺธาทีนํ อุปนิสฺสยปจฺจโยติ อิทมฺปิ โหตีติ ทเสฺสติฯ กายิกํ สุขนฺติอาทีนํ เอกโต ทสฺสเนน วิสุํเยว น เอเตสํ ปจฺจยภาโว, อถ โข เอกโตปีติ ทสฺสิตํ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Yatheva hi…pe… uppādeti nāmāti rāgaṃ upanissāya dānaṃ detīti rāgaṃ upanissāya dānavasena saddhaṃ uppādetīti ayamattho vutto hotīti iminā adhippāyena vadati. Yathā rāgaṃ upanissāya dānaṃ detītievamādi hoti, evaṃ rāgādayo saddhādīnaṃ upanissayapaccayoti idampi hotīti dasseti. Kāyikaṃ sukhantiādīnaṃ ekato dassanena visuṃyeva na etesaṃ paccayabhāvo, atha kho ekatopīti dassitaṃ hotīti daṭṭhabbaṃ.
๔๒๕. อุปตฺถมฺภกเตฺตน ปจฺจยตฺตาเยวาติ เอเตน อิทํ ทเสฺสติ – น ปุริมวาเรสุ วิย อิมสฺมิํ ปจฺจเยน อุปฺปตฺติ วุจฺจติ, อถ โข ตสฺส ตสฺส ปจฺจยุปฺปนฺนสฺส เตสํ เตสํ ธมฺมานํ ตํตํปจฺจยภาโว, น จ ปจฺฉาชาตกฺขนฺธา อุปตฺถมฺภกเตฺตน ปจฺจยา น โหนฺติ, เตเนส ปจฺฉาชาตปจฺจโย อิธ อนุโลมโต อาคโตติฯ
425. Upatthambhakattena paccayattāyevāti etena idaṃ dasseti – na purimavāresu viya imasmiṃ paccayena uppatti vuccati, atha kho tassa tassa paccayuppannassa tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ taṃtaṃpaccayabhāvo, na ca pacchājātakkhandhā upatthambhakattena paccayā na honti, tenesa pacchājātapaccayo idha anulomato āgatoti.
๔๒๗. เจตนา วตฺถุสฺสปิ ปจฺจโยติ อตฺตโน ปติฎฺฐาภูตสฺสปิ กมฺมปจฺจโยติ อธิปฺปาโยฯ
427. Cetanā vatthussapi paccayoti attano patiṭṭhābhūtassapi kammapaccayoti adhippāyo.
กสฺมา ปเนตฺถ ปจฺจยวาเร วิย นิสฺสยอตฺถิอวิคเตสุ ทุมูลกทุกาวสานา ปญฺหา น อุทฺธฎาติ? อลพฺภมานตฺตาฯ ตตฺถ หิ ปจฺจยุปฺปนฺนปฺปธานตฺตา เทสนาย กุสโล จ อพฺยากโต จ ธมฺมา เอกโต อุปฺปชฺชมานา กุสลาพฺยากตปจฺจยา ลพฺภนฺตีติ ‘‘กุสลญฺจ อพฺยากตญฺจ ธมฺมํ ปจฺจยา กุสโล จ อพฺยากโต จ ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๒๔๖) วุตฺตํฯ ยโต ตโต วา อุภยปจฺจยโต ปจฺจยุปฺปนฺนสฺส อุปฺปตฺติมตฺตํเยว หิ ตตฺถ อธิเปฺปตํ, น อุภยสฺส อุภินฺนํ ปจฺจยภาโวติฯ อิธ ปน ปจฺจยปฺปธานตฺตา เทสนาย กุสลาพฺยากตา กุสลาพฺยากตานํ อุภินฺนํ นิสฺสยาทิภูตา น ลพฺภนฺตีติ ‘‘กุสโล จ อพฺยากโต จ ธมฺมา กุสลสฺส จ อพฺยากตสฺส จ ธมฺมสฺส นิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติอาทิ น วุตฺตํฯ
Kasmā panettha paccayavāre viya nissayaatthiavigatesu dumūlakadukāvasānā pañhā na uddhaṭāti? Alabbhamānattā. Tattha hi paccayuppannappadhānattā desanāya kusalo ca abyākato ca dhammā ekato uppajjamānā kusalābyākatapaccayā labbhantīti ‘‘kusalañca abyākatañca dhammaṃ paccayā kusalo ca abyākato ca dhammā uppajjantī’’ti (paṭṭhā. 1.1.246) vuttaṃ. Yato tato vā ubhayapaccayato paccayuppannassa uppattimattaṃyeva hi tattha adhippetaṃ, na ubhayassa ubhinnaṃ paccayabhāvoti. Idha pana paccayappadhānattā desanāya kusalābyākatā kusalābyākatānaṃ ubhinnaṃ nissayādibhūtā na labbhantīti ‘‘kusalo ca abyākato ca dhammā kusalassa ca abyākatassa ca dhammassa nissayapaccayena paccayo’’tiādi na vuttaṃ.
ปญฺหาวารวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañhāvāravibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปญฺหาวารสฺส ฆฎเน อนุโลมคณนา
Pañhāvārassa ghaṭane anulomagaṇanā
๔๓๙. ‘‘เอตฺถ ปน ปุเรชาตมฺปิ ลพฺภตี’’ติ วุตฺตํ, ยทิ เอวํ กสฺมา ‘‘ตถา’’ติ วุตฺตนฺติ? ‘‘ตีณี’’ติ คณนมตฺตสามญฺญโตฯ
439. ‘‘Ettha pana purejātampi labbhatī’’ti vuttaṃ, yadi evaṃ kasmā ‘‘tathā’’ti vuttanti? ‘‘Tīṇī’’ti gaṇanamattasāmaññato.
๔๔๐. ‘‘อธิปติปจฺจเย ฐเปตฺวา วีมํสํ เสสาธิปติโน วิสภาคา’’ติ ปุริมปาโฐ นิทสฺสนวเสน ทฎฺฐโพฺพฯ ยสฺมา ปน เหตุปจฺจยสฺส วิสภาเคน เอเกน อารมฺมเณน นิทสฺสนํ อกตฺวา อนนฺตราทีนิ วทโนฺต สเพฺพ วิสภาเค ทเสฺสติ, ตสฺมา อินฺทฺริยมคฺคปจฺจยา จ วิสภาคา ทเสฺสตพฺพาติ ‘‘อธิปตินฺทฺริยมคฺคปจฺจเยสุ ฐเปตฺวา ปญฺญํ เสสา ธมฺมา วิสภาคา’’ติ ปฐนฺติฯ ตถา ภาวาภาวโต เหตุปจฺจยภาเว สหชาตาทิปจฺจยภาวโตฯ นนุ ยถา อโมหวชฺชานํ เหตูนํ เหตุปจฺจยภาเว อธิปตินฺทฺริยมคฺคปจฺจยภาโว นตฺถีติ ปญฺญาวชฺชานํ อธิปติปจฺจยาทีนํ วิสภาคตา, เอวํ กุสลาทิเหตูนํ เหตุปจฺจยภาเว วิปากปจฺจยภาวาภาวโต เหตุวชฺชานํ วิปากานํ วิสภาคตาย ภวิตพฺพนฺติ? น ภวิตพฺพํ, อุภยปจฺจยสหิเต จิตฺตเจตสิกราสิมฺหิ เหตุปจฺจยภาเว วิปากปจฺจยตฺตาภาวาภาวโตฯ ยถา หิ เหตุสหชาตปจฺจยสหิตราสิมฺหิ สติปิ เหตุวชฺชสพฺภาเว เหตูนํ เหตุปจฺจยภาเว สหชาตปจฺจยตฺตาภาโว นตฺถีติ น เหตุวชฺชานํ สหชาตานํ เหตุสฺส วิสภาคตา วุตฺตา, เอวมิธาปีติฯ เอส นโย วิปฺปยุตฺตปจฺจเยปิฯ อปิจ ปจฺจยุปฺปนฺนเสฺสว ปจฺจยา วุจฺจนฺตีติ ปจฺจยุปฺปนฺนกฺขเณ ตถา ภาวาภาววเสน สภาคตาย วุจฺจมานาย นานากฺขณวเสน วิสภาคตา ตเสฺสว น วตฺตพฺพาติฯ
440. ‘‘Adhipatipaccaye ṭhapetvā vīmaṃsaṃ sesādhipatino visabhāgā’’ti purimapāṭho nidassanavasena daṭṭhabbo. Yasmā pana hetupaccayassa visabhāgena ekena ārammaṇena nidassanaṃ akatvā anantarādīni vadanto sabbe visabhāge dasseti, tasmā indriyamaggapaccayā ca visabhāgā dassetabbāti ‘‘adhipatindriyamaggapaccayesu ṭhapetvā paññaṃ sesā dhammā visabhāgā’’ti paṭhanti. Tathā bhāvābhāvato hetupaccayabhāve sahajātādipaccayabhāvato. Nanu yathā amohavajjānaṃ hetūnaṃ hetupaccayabhāve adhipatindriyamaggapaccayabhāvo natthīti paññāvajjānaṃ adhipatipaccayādīnaṃ visabhāgatā, evaṃ kusalādihetūnaṃ hetupaccayabhāve vipākapaccayabhāvābhāvato hetuvajjānaṃ vipākānaṃ visabhāgatāya bhavitabbanti? Na bhavitabbaṃ, ubhayapaccayasahite cittacetasikarāsimhi hetupaccayabhāve vipākapaccayattābhāvābhāvato. Yathā hi hetusahajātapaccayasahitarāsimhi satipi hetuvajjasabbhāve hetūnaṃ hetupaccayabhāve sahajātapaccayattābhāvo natthīti na hetuvajjānaṃ sahajātānaṃ hetussa visabhāgatā vuttā, evamidhāpīti. Esa nayo vippayuttapaccayepi. Apica paccayuppannasseva paccayā vuccantīti paccayuppannakkhaṇe tathā bhāvābhāvavasena sabhāgatāya vuccamānāya nānākkhaṇavasena visabhāgatā tasseva na vattabbāti.
กุสลา วีมํสาติ อิทํ ‘‘กุสลา วีมํสาธิปตี’’ติ เอวํ วตฺตพฺพํฯ น หิ อนธิปติภูตา วีมํสา อธิปติปจฺจโย โหตีติฯ
Kusalā vīmaṃsāti idaṃ ‘‘kusalā vīmaṃsādhipatī’’ti evaṃ vattabbaṃ. Na hi anadhipatibhūtā vīmaṃsā adhipatipaccayo hotīti.
๔๔๑-๔๔๓. ‘‘สเจ ปน วิปฺปยุตฺตปจฺจโย ปวิสติ, อิตรานิ เทฺว ลภตี’’ติ ปุริมปาโฐ, ‘‘กุสโล ธโมฺม กุสลสฺส จ อพฺยากตสฺส จา’’ติ อิทํ ปน น ลพฺภตีติ ‘‘กุสโล อพฺยากตสฺส, อพฺยากโต อพฺยากตสฺสาติ เทฺว ลภตี’’ติ ปฐนฺติฯ อูนตรคณเนสูติ เยสุ ปวิเฎฺฐสุ อูนตรา คณนา โหติ, เตสูติ อโตฺถฯ ตีณิ เทฺว เอกนฺติ เอวํ อูนตรคณเนสุ วา อญฺญมญฺญาทีสุ ปวิสเนฺตสุ เตสํ วเสน ติกโต อูนํ ยถาลทฺธญฺจ เอกนฺติ คณนํ ลภตีติ อโตฺถฯ
441-443. ‘‘Sacepana vippayuttapaccayo pavisati, itarāni dve labhatī’’ti purimapāṭho, ‘‘kusalo dhammo kusalassa ca abyākatassa cā’’ti idaṃ pana na labbhatīti ‘‘kusalo abyākatassa, abyākato abyākatassāti dve labhatī’’ti paṭhanti. Ūnataragaṇanesūti yesu paviṭṭhesu ūnatarā gaṇanā hoti, tesūti attho. Tīṇi dve ekanti evaṃ ūnataragaṇanesu vā aññamaññādīsu pavisantesu tesaṃ vasena tikato ūnaṃ yathāladdhañca ekanti gaṇanaṃ labhatīti attho.
อวิปากานีติ อนามฎฺฐวิปากานีติ อโตฺถ, น วิปากเหตุรหิตานีติฯ
Avipākānīti anāmaṭṭhavipākānīti attho, na vipākaheturahitānīti.
ตตฺถ สเพฺพปิ สหชาตวิปากา เจวาติ ตตฺถ เย สหชาตา ปจฺจยุปฺปนฺนา วุตฺตา, เต สเพฺพปิ วิปากา เจว วิปากสหชาตรูปา จาติ อโตฺถฯ ตํสมุฎฺฐานรูปา จาติ เอตฺถ ปฎิสนฺธิยํ กฎตฺตารูปมฺปิ ตํสมุฎฺฐานคฺคหเณเนว สงฺคณฺหาตีติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ตํสมุฎฺฐานรูปกฎตฺตารูปา จ ลพฺภนฺตี’’ติปิ ปฐนฺติฯ จตุเตฺถ วิปากจิตฺตสมุฎฺฐานรูปเมวาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ‘‘กฎตฺตารูปญฺจา’’ติปิ ปน ปฐนฺติฯ
Tattha sabbepi sahajātavipākā cevāti tattha ye sahajātā paccayuppannā vuttā, te sabbepi vipākā ceva vipākasahajātarūpā cāti attho. Taṃsamuṭṭhānarūpā cāti ettha paṭisandhiyaṃ kaṭattārūpampi taṃsamuṭṭhānaggahaṇeneva saṅgaṇhātīti veditabbaṃ. ‘‘Taṃsamuṭṭhānarūpakaṭattārūpā ca labbhantī’’tipi paṭhanti. Catutthe vipākacittasamuṭṭhānarūpamevāti etthāpi eseva nayo. ‘‘Kaṭattārūpañcā’’tipi pana paṭhanti.
เอวมฺปีติ ‘‘เอเตสุ ปน ฆฎเนสุ สพฺพปฐมานี’’ติอาทินา วุตฺตนเยนปิฯ ฆฎเนสุ ปน โย โย ปจฺจโย มูลภาเวน ฐิโต, ตํปจฺจยธมฺมานํ นิรวเสสอูนอูนตรอูนตมลาภกฺกเมน ฆฎนา วุจฺจติ, นิรวเสสลาเภ จ ปจฺจยุปฺปนฺนานํ นิรวเสสลาภกฺกเมนฯ ตถา อูนลาภาทีสูติ อยํ กโม เวทิตโพฺพฯ
Evampīti ‘‘etesu pana ghaṭanesu sabbapaṭhamānī’’tiādinā vuttanayenapi. Ghaṭanesu pana yo yo paccayo mūlabhāvena ṭhito, taṃpaccayadhammānaṃ niravasesaūnaūnataraūnatamalābhakkamena ghaṭanā vuccati, niravasesalābhe ca paccayuppannānaṃ niravasesalābhakkamena. Tathā ūnalābhādīsūti ayaṃ kamo veditabbo.
เหตุมูลกํ นิฎฺฐิตํฯ
Hetumūlakaṃ niṭṭhitaṃ.
๔๔๕. วตฺถุวเสน สนิสฺสยํ วกฺขตีติ น อิทํ ลพฺภมานสฺสปิ วตฺถุสฺส วเสน ฆฎนนฺติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘อารมฺมณวเสเนว วา’’ติฯ
445. Vatthuvasena sanissayaṃ vakkhatīti na idaṃ labbhamānassapi vatthussa vasena ghaṭananti adhippāyenāha ‘‘ārammaṇavaseneva vā’’ti.
๔๔๖. สหชาเตน ปน สทฺธิํ อารมฺมณาธิปติ, อารมฺมณาธิปตินา จ สทฺธิํ สหชาตํ น ลพฺภตีติ อิทํ ยถา สหชาตปุเรชาตา เอโก นิสฺสยปจฺจโย อตฺถิปจฺจโย จ โหนฺติ, เอวํ สหชาตารมฺมณาธิปตีนํ เอกสฺส อธิปติปจฺจยภาวสฺส อภาวโต วุตฺตํ ฯ นิสฺสยภาโว หิ อตฺถิอวิคตภาโว จ สหชาตปุเรชาตนิสฺสยาทีนํ สมาโน, น ปเนวํ สหชาตารมฺมณาธิปติภาโว สมาโนฯ สหชาโต หิ อารมฺมณภาวํ อนุปคนฺตฺวา อตฺตนา สห ปวตฺตนวเสน อธิปติ โหติ, อิตโร อารมฺมณํ หุตฺวา อตฺตนิ นินฺนตากรเณนฯ สหชาโต จ วิชฺชมานภาเวเนว อุปการโก, อิตโร อตีตานาคโตปิ อารมฺมณภาเวเนว, ตสฺมา สหชาตารมฺมณปจฺจยา วิย ภินฺนสภาวา สหชาตารมฺมณาธิปติโนติ น เต เอกโต เอว อธิปติปจฺจยภาวํ ภชนฺติ, เตเนว ปญฺหาวารวิภเงฺค จ ‘‘กุสโล จ อพฺยากโต จ ธมฺมา กุสลสฺส ธมฺมสฺส อธิปติปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติอาทิ น วุตฺตนฺติฯ
446. Sahajātena pana saddhiṃ ārammaṇādhipati, ārammaṇādhipatinā ca saddhiṃ sahajātaṃ na labbhatīti idaṃ yathā sahajātapurejātā eko nissayapaccayo atthipaccayo ca honti, evaṃ sahajātārammaṇādhipatīnaṃ ekassa adhipatipaccayabhāvassa abhāvato vuttaṃ . Nissayabhāvo hi atthiavigatabhāvo ca sahajātapurejātanissayādīnaṃ samāno, na panevaṃ sahajātārammaṇādhipatibhāvo samāno. Sahajāto hi ārammaṇabhāvaṃ anupagantvā attanā saha pavattanavasena adhipati hoti, itaro ārammaṇaṃ hutvā attani ninnatākaraṇena. Sahajāto ca vijjamānabhāveneva upakārako, itaro atītānāgatopi ārammaṇabhāveneva, tasmā sahajātārammaṇapaccayā viya bhinnasabhāvā sahajātārammaṇādhipatinoti na te ekato eva adhipatipaccayabhāvaṃ bhajanti, teneva pañhāvāravibhaṅge ca ‘‘kusalo ca abyākato ca dhammā kusalassa dhammassa adhipatipaccayena paccayo’’tiādi na vuttanti.
๔๔๗-๔๕๒. สาหารกฆฎนานํ ปุรโต วีริยจิตฺตวีมํสานํ สาธารณวเสน อนาหารกามคฺคกานิ สอินฺทฺริยฆฎนานิ วตฺตพฺพานิ สิยุํ ‘‘อธิปติสหชาตนิสฺสยอินฺทฺริยอตฺถิอวิคตนฺติ สตฺตฯ อธิปติสหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยอินฺทฺริยสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตนฺติ ตีณิฯ อธิปติสหชาตนิสฺสยอินฺทฺริยวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตนฺติ ตีณิฯ อธิปติสหชาตนิสฺสยวิปากอินฺทฺริยอตฺถิอวิคตนฺติ เอกํฯ อธิปติสหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยวิปากอินฺทฺริยสมฺปยุตฺตอวิคตนฺติ เอกํฯ อธิปติสหชาตนิสฺสยวิปากอินฺทฺริยวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตนฺติ เอก’’นฺติฯ กสฺมา ตานิ น วุตฺตานีติ? อินฺทฺริยภูตสฺส อธิปติสฺส อาหารมเคฺคหิ อญฺญสฺส อภาวาฯ จิตฺตาธิปติ หิ อาหาโร, วีริยวีมํสา จ มโคฺค โหติ, น จ อโญฺญ อินฺทฺริยภูโต อธิปติ อตฺถิ, ยสฺส วเสน อนาหารกามคฺคกานิ สอินฺทฺริยฆฎนานิ วตฺตพฺพานิ สิยุํ, ตสฺมา ตานิ อวตฺวา จิตฺตาธิปติอาทีนํ เอกเนฺตน อาหารมคฺคภาวทสฺสนตฺถํ สาหารกสมคฺคกาเนว วุตฺตานิฯ เตสุ จ สมคฺคเกสุ เทฺว ปจฺจยธมฺมา ลพฺภนฺติ, สาหารเกสุ เอโกเยวาติ สมคฺคกานิ ปุเพฺพ วตฺตพฺพานิ สิยุํฯ สอินฺทฺริยกานิ ปน เยหิ อาหารมเคฺคหิ ภินฺทิตพฺพานิ , เตสํ กมวเสน ปจฺฉา วุตฺตานิฯ อฎฺฐกถายํ ปน สทิสตฺตาติ สมคฺคกเตฺตน สมานตฺตา, อนนฺตรรูปตฺตาติ วา อโตฺถฯ
447-452. Sāhārakaghaṭanānaṃ purato vīriyacittavīmaṃsānaṃ sādhāraṇavasena anāhārakāmaggakāni saindriyaghaṭanāni vattabbāni siyuṃ ‘‘adhipatisahajātanissayaindriyaatthiavigatanti satta. Adhipatisahajātaaññamaññanissayaindriyasampayuttaatthiavigatanti tīṇi. Adhipatisahajātanissayaindriyavippayuttaatthiavigatanti tīṇi. Adhipatisahajātanissayavipākaindriyaatthiavigatanti ekaṃ. Adhipatisahajātaaññamaññanissayavipākaindriyasampayuttaavigatanti ekaṃ. Adhipatisahajātanissayavipākaindriyavippayuttaatthiavigatanti eka’’nti. Kasmā tāni na vuttānīti? Indriyabhūtassa adhipatissa āhāramaggehi aññassa abhāvā. Cittādhipati hi āhāro, vīriyavīmaṃsā ca maggo hoti, na ca añño indriyabhūto adhipati atthi, yassa vasena anāhārakāmaggakāni saindriyaghaṭanāni vattabbāni siyuṃ, tasmā tāni avatvā cittādhipatiādīnaṃ ekantena āhāramaggabhāvadassanatthaṃ sāhārakasamaggakāneva vuttāni. Tesu ca samaggakesu dve paccayadhammā labbhanti, sāhārakesu ekoyevāti samaggakāni pubbe vattabbāni siyuṃ. Saindriyakāni pana yehi āhāramaggehi bhinditabbāni , tesaṃ kamavasena pacchā vuttāni. Aṭṭhakathāyaṃ pana sadisattāti samaggakattena samānattā, anantararūpattāti vā attho.
๔๕๗-๔๖๐. กุสลาพฺยากโต อพฺยากตสฺสาติ จตฺตารีติ อพฺยากตสหิตสฺส กุสลสฺส ปจฺจยภาวทสฺสนวเสน กุสลมูลเกเสฺวว ทุมูลกมฺปิ อาหริตฺวา วุตฺตํฯ อพฺยากเต วตฺถุรูปมฺปีติ อิทํ ‘‘กฎตฺตารูปมฺปี’’ติ เอวํ วตฺตพฺพํฯ ‘‘ทุติยฆฎเน อพฺยากตวิสฺสชฺชเน รูเปสุ วตฺถุเมว ลพฺภตี’’ติ ปุริมปาโฐ, ภูตรูปมฺปิ ปน ลพฺภตีติ ‘‘วตฺถุญฺจ ภูตรูปญฺจ ลพฺภตี’’ติ ปฐนฺติฯ ‘‘จตุเตฺถ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปเมวา’’ติ วุตฺตํ, ‘‘จิตฺตสมุฎฺฐานรูปํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ กฎตฺตารูปญฺจา’’ติ ปน วตฺตพฺพํฯ สวิปาเกสุ ปฐเม วิปากา เจว วิปากจิตฺตสมุฎฺฐานรูปญฺจาติ เอตฺถ จตุเตฺถ วิปากจิตฺตสมุฎฺฐานเมวาติ อิธ จ กฎตฺตารูปมฺปิ วิปากจิตฺตสมุฎฺฐานคฺคหเณน คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘กฎตฺตารูปญฺจา’’ติปิ ปน ปฐนฺติฯ เอตฺถ ปน สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยวิปากสมฺปยุตฺตวิปฺปยุตฺตอตฺถิ อวิคตมูลเกสุ ฆฎเนสุ เหตุกมฺมฌานมเคฺคหิ ฆฎนานิ น โยชิตานิ, ยถาวุเตฺตสุ อตฺถิอวิคตมูลวเชฺชสุ อาหาเรน, นิสฺสยวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตวเชฺชสุ อธิปติอินฺทฺริเยหิ จฯ กสฺมาติ? เตสุ หิ โยชิยมาเนสุ ตํตํจิตฺตุปฺปาเทกเทสภูตา เหตุอาทโย อรูปธมฺมาว ปจฺจยภาเวน ลพฺภนฺติฯ เตน เตหิ ฆฎนานิ เหตุมูลกาทีสุ วุตฺตสทิสาเนว รูปมิสฺสกตฺตาภาเวน สุวิเญฺญยฺยานีติ น วุตฺตานิฯ อตฺถิอวิคเตหิ ปน โยชิยมาโน อาหาโร นิสฺสยาทีหิ อธิปติอินฺทฺริยานิ จ รูปมิสฺสกานิ โหนฺตีติ อธิปตาหารินฺทฺริยมูลเกสุ วุตฺตสทิสานิปิ ฆฎนานิ อตฺถิอวิคตมูลเกสุ นิสฺสยาทิมูลเกสุ จ อาหาเรน อธิปตินฺทฺริเยหิ จ สุปากฎภาวตฺถํ โยชิตานีติ ทฎฺฐพฺพานีติฯ
457-460. Kusalābyākato abyākatassāti cattārīti abyākatasahitassa kusalassa paccayabhāvadassanavasena kusalamūlakesveva dumūlakampi āharitvā vuttaṃ. Abyākate vatthurūpampīti idaṃ ‘‘kaṭattārūpampī’’ti evaṃ vattabbaṃ. ‘‘Dutiyaghaṭane abyākatavissajjane rūpesu vatthumeva labbhatī’’ti purimapāṭho, bhūtarūpampi pana labbhatīti ‘‘vatthuñca bhūtarūpañca labbhatī’’ti paṭhanti. ‘‘Catutthe cittasamuṭṭhānarūpamevā’’ti vuttaṃ, ‘‘cittasamuṭṭhānarūpaṃ paṭisandhikkhaṇe kaṭattārūpañcā’’ti pana vattabbaṃ. Savipākesu paṭhame vipākā ceva vipākacittasamuṭṭhānarūpañcāti ettha catutthe vipākacittasamuṭṭhānamevāti idha ca kaṭattārūpampi vipākacittasamuṭṭhānaggahaṇena gahitanti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Kaṭattārūpañcā’’tipi pana paṭhanti. Ettha pana sahajātaaññamaññanissayavipākasampayuttavippayuttaatthi avigatamūlakesu ghaṭanesu hetukammajhānamaggehi ghaṭanāni na yojitāni, yathāvuttesu atthiavigatamūlavajjesu āhārena, nissayavippayuttaatthiavigatavajjesu adhipatiindriyehi ca. Kasmāti? Tesu hi yojiyamānesu taṃtaṃcittuppādekadesabhūtā hetuādayo arūpadhammāva paccayabhāvena labbhanti. Tena tehi ghaṭanāni hetumūlakādīsu vuttasadisāneva rūpamissakattābhāvena suviññeyyānīti na vuttāni. Atthiavigatehi pana yojiyamāno āhāro nissayādīhi adhipatiindriyāni ca rūpamissakāni hontīti adhipatāhārindriyamūlakesu vuttasadisānipi ghaṭanāni atthiavigatamūlakesu nissayādimūlakesu ca āhārena adhipatindriyehi ca supākaṭabhāvatthaṃ yojitānīti daṭṭhabbānīti.
๔๖๒-๔๖๔. นิสฺสยมูลเก ‘‘ฉเฎฺฐ ตีณีติ กุสลาทีนิ จิตฺตสมุฎฺฐานสฺสา’’ติ ปุริมปาโฐ, จกฺขาทีนิ ปน จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ ลพฺภนฺตีติ ‘‘อพฺยากตสฺส จกฺขายตนาทีนิ จา’’ติ ปฐนฺติฯ
462-464. Nissayamūlake ‘‘chaṭṭhe tīṇīti kusalādīni cittasamuṭṭhānassā’’ti purimapāṭho, cakkhādīni pana cakkhuviññāṇādīnaṃ labbhantīti ‘‘abyākatassa cakkhāyatanādīni cā’’ti paṭhanti.
๔๖๖. อุปนิสฺสยมูลเก ปกตูปนิสฺสยวเสน วุเตฺตสุ ทฺวีสุ ปฐเม ‘‘โลกิยกุสลากุสลเจตนา ปจฺจยภาวโต คเหตพฺพา’’ติ วุตฺตํ, โลกุตฺตราปิ ปน คเหตพฺพาวฯ
466. Upanissayamūlake pakatūpanissayavasena vuttesu dvīsu paṭhame ‘‘lokiyakusalākusalacetanā paccayabhāvato gahetabbā’’ti vuttaṃ, lokuttarāpi pana gahetabbāva.
๔๗๓-๔๗๗. กมฺมมูลเก ปฎิสนฺธิยํ วตฺถุปีติ เอตฺถ น ปวเตฺต วิย ขนฺธาเยว ปจฺจยุปฺปนฺนภาเวน คเหตพฺพาติ อธิปฺปาโยฯ วิปากาวิปากสาธารณวเสน วุเตฺตสุ จตูสุ ปฐเม ‘‘อรูเปน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปํ ลพฺภตี’’ติ วุตฺตํ, กฎตฺตารูปมฺปิ ปน ลพฺภเตวฯ อิมสฺมิํ ปน กมฺมมูลเก ‘‘กมฺมปจฺจยา อารมฺมเณ เทฺว’’ติ, อารมฺมณมูลเก จ ‘‘อารมฺมณปจฺจยา กเมฺม เทฺว’’ติ กสฺมา น วุตฺตํ, นนุ กุสลากุสลเจตนา กมฺมารมฺมณานํ ปฎิสนฺธิยาทีนํ กมฺมปจฺจโย อารมฺมณปจฺจโย จ โหติฯ ยถา จ อารมฺมณภูตํ วตฺถุํ อารมฺมณนิสฺสยปจฺจยภาเวน วุจฺจติ, เอวํ กมฺมมฺปิ อารมฺมณปจฺจยภาเวน วตฺตพฺพนฺติ? น, ทฺวินฺนํ ปจฺจยภาวานํ อญฺญมญฺญปฎิเกฺขปโตฯ ปจฺจุปฺปนฺนญฺหิ วตฺถุ นิสฺสยภาวํ อปริจฺจชิตฺวา เตเนวากาเรน ตนฺนิสฺสิเตน อาลมฺพิยมานํ นิสฺสยภาเวน จ นิสฺสยปจฺจโยติ ยุตฺตํ วตฺตุํฯ กมฺมํ ปน ตสฺมิํ กเต ปวตฺตมานานํ กตูปจิตภาเวน กมฺมปจฺจโย โหติ, นารมฺมณากาเรน, วิสยมตฺตตาวเสน จ อารมฺมณปจฺจโย โหติ, น สนฺตานวิเสสํ กตฺวา ผลุปฺปาทนสงฺขาเตน กมฺมปจฺจยากาเรน, ตสฺมา กมฺมปจฺจยภาโว อารมฺมณปจฺจยภาวํ ปฎิกฺขิปติ, อารมฺมณปจฺจยภาโว จ กมฺมปจฺจยภาวนฺติ ‘‘กมฺมปจฺจโย หุตฺวา อารมฺมณปจฺจโย โหตี’’ติ, ‘‘อารมฺมณปจฺจโย หุตฺวา กมฺมปจฺจโย โหตี’’ติ จ น สกฺกา วตฺตุนฺติ น วุตฺตํฯ เอส จ สภาโว วตฺตมานานญฺจ อารมฺมณปุเรชาตานํ วตฺถุจกฺขาทีนํ, ยํ อารมฺมณปจฺจยภาเวน สห นิสฺสยาทิปจฺจยา โหนฺตีติ วตฺตพฺพตา, อตีตสฺส จ กมฺมสฺส อยํ สภาโว, ยํ อารมฺมณปจฺจยภาเวน สห กมฺมปจฺจโย โหตีติ นวตฺตพฺพตาฯ ยถา สหชาตปุเรชาตนิสฺสยานํ สห นิสฺสยปจฺจยภาเวน วตฺตพฺพตา สภาโว, สหชาตารมฺมณาธิปตีนญฺจ สห อธิปติปจฺจยภาเวน นวตฺตพฺพตา, เอวมิธาปีติฯ
473-477. Kammamūlake paṭisandhiyaṃ vatthupīti ettha na pavatte viya khandhāyeva paccayuppannabhāvena gahetabbāti adhippāyo. Vipākāvipākasādhāraṇavasena vuttesu catūsu paṭhame ‘‘arūpena saddhiṃ cittasamuṭṭhānarūpaṃ labbhatī’’ti vuttaṃ, kaṭattārūpampi pana labbhateva. Imasmiṃ pana kammamūlake ‘‘kammapaccayā ārammaṇe dve’’ti, ārammaṇamūlake ca ‘‘ārammaṇapaccayā kamme dve’’ti kasmā na vuttaṃ, nanu kusalākusalacetanā kammārammaṇānaṃ paṭisandhiyādīnaṃ kammapaccayo ārammaṇapaccayo ca hoti. Yathā ca ārammaṇabhūtaṃ vatthuṃ ārammaṇanissayapaccayabhāvena vuccati, evaṃ kammampi ārammaṇapaccayabhāvena vattabbanti? Na, dvinnaṃ paccayabhāvānaṃ aññamaññapaṭikkhepato. Paccuppannañhi vatthu nissayabhāvaṃ apariccajitvā tenevākārena tannissitena ālambiyamānaṃ nissayabhāvena ca nissayapaccayoti yuttaṃ vattuṃ. Kammaṃ pana tasmiṃ kate pavattamānānaṃ katūpacitabhāvena kammapaccayo hoti, nārammaṇākārena, visayamattatāvasena ca ārammaṇapaccayo hoti, na santānavisesaṃ katvā phaluppādanasaṅkhātena kammapaccayākārena, tasmā kammapaccayabhāvo ārammaṇapaccayabhāvaṃ paṭikkhipati, ārammaṇapaccayabhāvo ca kammapaccayabhāvanti ‘‘kammapaccayo hutvā ārammaṇapaccayo hotī’’ti, ‘‘ārammaṇapaccayo hutvā kammapaccayo hotī’’ti ca na sakkā vattunti na vuttaṃ. Esa ca sabhāvo vattamānānañca ārammaṇapurejātānaṃ vatthucakkhādīnaṃ, yaṃ ārammaṇapaccayabhāvena saha nissayādipaccayā hontīti vattabbatā, atītassa ca kammassa ayaṃ sabhāvo, yaṃ ārammaṇapaccayabhāvena saha kammapaccayo hotīti navattabbatā. Yathā sahajātapurejātanissayānaṃ saha nissayapaccayabhāvena vattabbatā sabhāvo, sahajātārammaṇādhipatīnañca saha adhipatipaccayabhāvena navattabbatā, evamidhāpīti.
๔๗๘-๔๘๓. นิราธิปติวิญฺญาณาหารวเสนาติ อนามฎฺฐาธิปติภาวสฺส วิญฺญาณาหารสฺส วเสนาติ อธิปฺปาโยฯ วตฺถุ ปริหายตีติ อญฺญมญฺญมฺปิ ลภนฺตสฺส วตฺถุสฺส วเสน สพฺพสฺส กฎตฺตารูปสฺส ปริหานํ ทเสฺสติฯ
478-483. Nirādhipativiññāṇāhāravasenāti anāmaṭṭhādhipatibhāvassa viññāṇāhārassa vasenāti adhippāyo. Vatthu parihāyatīti aññamaññampi labhantassa vatthussa vasena sabbassa kaṭattārūpassa parihānaṃ dasseti.
๔๘๔-๔๙๕. ‘‘ตติเย อรูปินฺทฺริยานิ รูปาน’’นฺติ วุตฺตํ, จกฺขาทีนิ จ ปน จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ ลพฺภนฺติฯ ตโต วีริยวเสน มคฺคสมฺปยุตฺตานิ ฉาติ เอตฺถ ยทิปิ วีมํสา ลพฺภติ, วีริยสฺส ปน วเสน ตํสมานคติกา วีมํสาปิ คหิตาติ ‘‘วีริยวเสนา’’ติ วุตฺตํฯ
484-495. ‘‘Tatiye arūpindriyāni rūpāna’’nti vuttaṃ, cakkhādīni ca pana cakkhuviññāṇādīnaṃ labbhanti. Tato vīriyavasena maggasampayuttāni chāti ettha yadipi vīmaṃsā labbhati, vīriyassa pana vasena taṃsamānagatikā vīmaṃsāpi gahitāti ‘‘vīriyavasenā’’ti vuttaṃ.
๕๑๑-๕๑๔. วิปฺปยุตฺตมูลเก ‘‘ทสเม กุสลาทโย จิตฺตสมุฎฺฐานาน’’นฺติ วุตฺตํ, ปฎิสนฺธิยํ ปน ‘‘ขนฺธา กฎตฺตารูปานํ วตฺถุ จ ขนฺธาน’’นฺติ อิทมฺปิ ลพฺภติฯ ‘‘เอกาทสเม ปฎิสนฺธิยํ วตฺถุ ขนฺธาน’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ วิปากปจฺจยสฺส อคฺคหิตตฺตา ยสฺส วตฺถุสฺส วเสน ฆฎนํ กตํ, ตสฺส ทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ ‘‘ขนฺธา จ วตฺถุสฺสา’’ติ อิทมฺปิ ปน ลพฺภเตวฯ ‘‘ทฺวาทสเม ปฎิสนฺธิยํ ขนฺธา กฎตฺตารูปาน’’นฺติ ปุพฺพปาโฐ, จิตฺตสมุฎฺฐานานิ ปน น วเชฺชตพฺพานีติ ‘‘ทฺวาทสเม ขนฺธา ปวเตฺต จิตฺตสมุฎฺฐานรูปานํ ปฎิสนฺธิยํ กฎตฺตารูปานญฺจา’’ติ ปฐนฺติฯ
511-514. Vippayuttamūlake ‘‘dasame kusalādayo cittasamuṭṭhānāna’’nti vuttaṃ, paṭisandhiyaṃ pana ‘‘khandhā kaṭattārūpānaṃ vatthu ca khandhāna’’nti idampi labbhati. ‘‘Ekādasame paṭisandhiyaṃ vatthu khandhāna’’nti vuttaṃ, taṃ vipākapaccayassa aggahitattā yassa vatthussa vasena ghaṭanaṃ kataṃ, tassa dassanavasena vuttaṃ. ‘‘Khandhā ca vatthussā’’ti idampi pana labbhateva. ‘‘Dvādasame paṭisandhiyaṃ khandhā kaṭattārūpāna’’nti pubbapāṭho, cittasamuṭṭhānāni pana na vajjetabbānīti ‘‘dvādasame khandhā pavatte cittasamuṭṭhānarūpānaṃ paṭisandhiyaṃ kaṭattārūpānañcā’’ti paṭhanti.
๕๑๕-๕๑๘. อตฺถิปจฺจยมูลเก ปฐมฆฎเน ‘‘อรูปวตฺถารมฺมณมหาภูตอินฺทฺริยาหารานํ วเสน สหชาตปุเรชาตปจฺฉาชาตปจฺจยา ลพฺภนฺตี’’ติ วุตฺตํ, ‘‘อาหารินฺทฺริยปจฺจยา จา’’ติปิ ปน วตฺตพฺพํฯ น หิ อินฺทฺริยาหารานํ วเสน สหชาตาทโย ลพฺภนฺตีติฯ ‘‘ทุติเย ปจฺฉาชาตกพฬีการาหารา น ลพฺภนฺตี’’ติ วุตฺตํ, สพฺพานิปิ ปน อลพฺภมานานิ ทเสฺสตุํ ‘‘ปจฺฉาชาตกพฬีการาหารรูปชีวิตินฺทฺริยรูปาทิอารมฺมณานิ จ น ลพฺภนฺตี’’ติ ปฐนฺติ, ฉฎฺฐํ สเพฺพสํ อินฺทฺริยานํ วเสน วุตฺตํฯ สตฺตเม ตโต รูปชีวิตินฺทฺริยมตฺตํ ปริหายตีติ เอวเมเตสํ วิเสโส วตฺตโพฺพฯ ตโต เอกาทสเมติ เอตฺถ ตโตติ นวมโตติ อโตฺถฯ เตรสเม วตฺถารมฺมณาติ เอตฺถ วตฺถุคฺคหเณน จกฺขาทิวตฺถูนิปิ คหิตานิ, ตถา จุทฺทสเม วตฺถุเมวาติ เอตฺถาปิฯ ‘‘สตฺตรสเม ปน ตเทว อารมฺมณาธิปติภาเวน, อฎฺฐารสเมปิ ตเทว อารมฺมณูปนิสฺสยวเสนา’’ติ ปุริมปาโฐ, ‘‘อารมฺมณูปนิสฺสยวเสนา’’ติ อยํ ปน สตฺตรสมโต วิเสโส น โหติ, วตฺถารมฺมณานํ ปน สตฺตรสเม อฎฺฐารสเม จ วตฺถุเสฺสว ปจฺจยภาโว วิเสโสติ ‘‘สตฺตรสเม ปน อารมฺมณาธิปติภาเวน จกฺขาทีนิ จ, อฎฺฐารสเม วตฺถุเสฺสว อารมฺมณูปนิสฺสยวเสนา’’ติ ปฐนฺติฯ
515-518. Atthipaccayamūlake paṭhamaghaṭane ‘‘arūpavatthārammaṇamahābhūtaindriyāhārānaṃ vasena sahajātapurejātapacchājātapaccayā labbhantī’’ti vuttaṃ, ‘‘āhārindriyapaccayā cā’’tipi pana vattabbaṃ. Na hi indriyāhārānaṃ vasena sahajātādayo labbhantīti. ‘‘Dutiye pacchājātakabaḷīkārāhārā na labbhantī’’ti vuttaṃ, sabbānipi pana alabbhamānāni dassetuṃ ‘‘pacchājātakabaḷīkārāhārarūpajīvitindriyarūpādiārammaṇāni ca na labbhantī’’ti paṭhanti, chaṭṭhaṃ sabbesaṃ indriyānaṃ vasena vuttaṃ. Sattame tato rūpajīvitindriyamattaṃ parihāyatīti evametesaṃ viseso vattabbo. Tato ekādasameti ettha tatoti navamatoti attho. Terasame vatthārammaṇāti ettha vatthuggahaṇena cakkhādivatthūnipi gahitāni, tathā cuddasame vatthumevāti etthāpi. ‘‘Sattarasame pana tadeva ārammaṇādhipatibhāvena, aṭṭhārasamepi tadeva ārammaṇūpanissayavasenā’’ti purimapāṭho, ‘‘ārammaṇūpanissayavasenā’’ti ayaṃ pana sattarasamato viseso na hoti, vatthārammaṇānaṃ pana sattarasame aṭṭhārasame ca vatthusseva paccayabhāvo visesoti ‘‘sattarasame pana ārammaṇādhipatibhāvena cakkhādīni ca, aṭṭhārasame vatthusseva ārammaṇūpanissayavasenā’’ti paṭhanti.
๕๑๙. สหชาตานิ วิย สหชาเตน เกนจิ เอเกน ปจฺจเยน อนิยมิตตฺตา ตานิ ปกิณฺณกานีติ วุตฺตานีติ เอตฺถ ปุเรชาตปจฺฉาชาตาหารินฺทฺริยานิ สหชาเตน อญฺญมญฺญญฺจ อสามญฺญวเสน วิปฺปกิณฺณานิ วุตฺตานิฯ อารมฺมณมูลเก อนนฺตรสมนนฺตรปุเรชาตาติ เอตฺถ อุปนิสฺสโยปิ ปฐิตโพฺพฯ
519. Sahajātāni viya sahajātena kenaci ekena paccayena aniyamitattā tāni pakiṇṇakānīti vuttānīti ettha purejātapacchājātāhārindriyāni sahajātena aññamaññañca asāmaññavasena vippakiṇṇāni vuttāni. Ārammaṇamūlake anantarasamanantarapurejātāti ettha upanissayopi paṭhitabbo.
เยสุ ปากฎา หุตฺวา ปญฺญายนฺติ, ตานิ ทเสฺสตุํ ‘‘เหตุมูลกาทีน’’นฺติอาทิมาหฯ อโลภาทิตํตํนามวเสน ปน เหตุอารมฺมณาธิปติอาหารินฺทฺริยฌานมคฺคปจฺจยธมฺมา เอวํ ปากฎา หุตฺวา น ปญฺญาเยยฺยุนฺติ เต ปริเจฺฉทวเสน ทเสฺสโนฺต ‘‘ทฺวาทเสว หิ เหตู’’ติอาทิมาหฯ เตน ‘‘เอตฺตกาเยว ปจฺจยธมฺมา’’ติ นิจฺฉยํ กตฺวา ปากโฎ หุตฺวา อปญฺญายมาโนปิ เตเสฺวว มคฺคิตโพฺพติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ ฉ อารมฺมณาติ เอเตน อารมฺมณาธิปติ รูปาทิอารมฺมณภาวโต สงฺคหิโตติ ตํ อคฺคเหตฺวา ‘‘จตฺตาโร อธิปตโย’’ติ วุตฺตํฯ เอกเนฺตน กุสลวิปากาติ อิทํ อินฺทฺริเยสุ อญฺญินฺทฺริยวเสน ลพฺภติฯ เอกเนฺตน อกุสลวิปากาติ อิทํ ปน น สกฺกา ลทฺธุํฯ ฌานเงฺคสฺวปิ หิ ทุกฺขํ อกุสลเมว วิปากสฺส อฌานงฺคตฺตาฯ จิตฺตฎฺฐิติปิ อกุสลวิปากกิริยา โหตีติฯ อกุสลสฺส วิปากา อกุสลวิปากาติ เอวํ ปน อเตฺถ คยฺหมาเน อินฺทฺริเยสุ ทุกฺขินฺทฺริยวเสน ลเพฺภยฺย, กุสลวิปากากุสลวิปากวิเสเสน ปน ปจฺจยโยชนา นตฺถีติ อยมโตฺถ อธิเปฺปโตติ สกฺกา วตฺตุนฺติฯ
Yesu pākaṭā hutvā paññāyanti, tāni dassetuṃ ‘‘hetumūlakādīna’’ntiādimāha. Alobhāditaṃtaṃnāmavasena pana hetuārammaṇādhipatiāhārindriyajhānamaggapaccayadhammā evaṃ pākaṭā hutvā na paññāyeyyunti te paricchedavasena dassento ‘‘dvādaseva hi hetū’’tiādimāha. Tena ‘‘ettakāyeva paccayadhammā’’ti nicchayaṃ katvā pākaṭo hutvā apaññāyamānopi tesveva maggitabboti dasseti. Tattha cha ārammaṇāti etena ārammaṇādhipati rūpādiārammaṇabhāvato saṅgahitoti taṃ aggahetvā ‘‘cattāro adhipatayo’’ti vuttaṃ. Ekantena kusalavipākāti idaṃ indriyesu aññindriyavasena labbhati. Ekantena akusalavipākāti idaṃ pana na sakkā laddhuṃ. Jhānaṅgesvapi hi dukkhaṃ akusalameva vipākassa ajhānaṅgattā. Cittaṭṭhitipi akusalavipākakiriyā hotīti. Akusalassa vipākā akusalavipākāti evaṃ pana atthe gayhamāne indriyesu dukkhindriyavasena labbheyya, kusalavipākākusalavipākavisesena pana paccayayojanā natthīti ayamattho adhippetoti sakkā vattunti.
ปญฺหาวารสฺส ฆฎเน อนุโลมคณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañhāvārassa ghaṭane anulomagaṇanā niṭṭhitā.
ปจฺจนียุทฺธารวณฺณนา
Paccanīyuddhāravaṇṇanā
๕๒๗. เอเกน ลกฺขเณนาติ ‘‘กุสโล ธโมฺม กุสลสฺส ธมฺมสฺส นเหตุปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ เหตุปจฺจยโต อเญฺญน ปจฺจเยน ปจฺจโยติ อโตฺถฯ เหตุปจฺจยโต จ อเญฺญ ปจฺจยา อคฺคหิตคฺคหเณน อฎฺฐ โหนฺติ, เตสุ กุสโล กุสลสฺส ตีหิ ปจฺจเยหิ ปจฺจโย, อกุสลสฺส ทฺวีหิ, เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปจฺจเย ปจฺจนียโต ฐิเต ตโต อเญฺญ ปจฺจยา อิเมเสฺวว อารมฺมณาทีสุ อฎฺฐสุ ปจฺจเยสุ ยถาโยคํ โยเชตพฺพาติ อิทเมตฺถ ลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ เอเตสุ จ อฎฺฐสุ ปจฺจเยสุ ปุริมปุริเมหิ อสงฺคหิเต สงฺคเหตฺวา ปจฺฉิมปจฺฉิมา วุตฺตาติ อารมฺมณโต อเญฺญสํ ทฺวินฺนํ วเสน อุปนิสฺสโย, วตฺถุปุเรชาตสฺส วเสน ปุเรชาตํ, สหชาตโต อุปนิสฺสยโต จ, อญฺญิสฺสา เจตนาย วเสน กมฺมํ, สหชาตโต อญฺญสฺส กพฬีการาหารสฺส วเสน อาหาโร, สหชาตโต ปุเรชาตโต จ อญฺญสฺส รูปชีวิตินฺทฺริยสฺส วเสน อินฺทฺริยํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘กุสโล ธโมฺม กุสลสฺส ธมฺมสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย, สหชาตอุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติเจฺจว (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๐๔, ๔๑๙, ๔๒๓) วุตฺตํ , ตทญฺญาภาวา น วุตฺตํ ‘‘กมฺมาหารินฺทฺริยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ, ตสฺมา ‘‘อารมฺมณาธิปติ อารมฺมณปจฺจเย สงฺคหํ คจฺฉตี’’ติ เอวํ วตฺตพฺพํฯ ยํ ปน ปริตฺตตฺติเก ปญฺหาวารปจฺจนีเย ‘‘อปฺปมาโณ ธโมฺม อปฺปมาณสฺส ธมฺมสฺส สหชาตอุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๒.๖๖, ๗๔) เอตฺถ อารมฺมณสฺส อวจนํ, ตํ ปุริเมหิ อสงฺคหิตวเสน วุตฺตานํ สงฺคหิตวิวชฺชนาภาวโต อุปนิสฺสยโต อญฺญารมฺมณาภาวโต จ, น ปน อารมฺมณูปนิสฺสยสฺส อารมฺมเณ อสงฺคหิตตฺตาฯ
527. Ekena lakkhaṇenāti ‘‘kusalo dhammo kusalassa dhammassa nahetupaccayena paccayo’’ti hetupaccayato aññena paccayena paccayoti attho. Hetupaccayato ca aññe paccayā aggahitaggahaṇena aṭṭha honti, tesu kusalo kusalassa tīhi paccayehi paccayo, akusalassa dvīhi, evaṃ tasmiṃ tasmiṃ paccaye paccanīyato ṭhite tato aññe paccayā imesveva ārammaṇādīsu aṭṭhasu paccayesu yathāyogaṃ yojetabbāti idamettha lakkhaṇaṃ veditabbaṃ. Etesu ca aṭṭhasu paccayesu purimapurimehi asaṅgahite saṅgahetvā pacchimapacchimā vuttāti ārammaṇato aññesaṃ dvinnaṃ vasena upanissayo, vatthupurejātassa vasena purejātaṃ, sahajātato upanissayato ca, aññissā cetanāya vasena kammaṃ, sahajātato aññassa kabaḷīkārāhārassa vasena āhāro, sahajātato purejātato ca aññassa rūpajīvitindriyassa vasena indriyaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Evañca katvā ‘‘kusalo dhammo kusalassa dhammassa ārammaṇapaccayena paccayo, sahajātaupanissayapaccayena paccayo’’ticceva (paṭṭhā. 1.1.404, 419, 423) vuttaṃ , tadaññābhāvā na vuttaṃ ‘‘kammāhārindriyapaccayena paccayo’’ti, tasmā ‘‘ārammaṇādhipati ārammaṇapaccaye saṅgahaṃ gacchatī’’ti evaṃ vattabbaṃ. Yaṃ pana parittattike pañhāvārapaccanīye ‘‘appamāṇo dhammo appamāṇassa dhammassa sahajātaupanissayapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.12.66, 74) ettha ārammaṇassa avacanaṃ, taṃ purimehi asaṅgahitavasena vuttānaṃ saṅgahitavivajjanābhāvato upanissayato aññārammaṇābhāvato ca, na pana ārammaṇūpanissayassa ārammaṇe asaṅgahitattā.
อตฺถิอวิคตปจฺจยา ยทิปิ สหชาตปุเรชาตปจฺฉาชาตาหารินฺทฺริยานํ วเสน ปญฺจวิธาว, สหชาตปุเรชาตานํ ปน ปจฺฉาชาตาหารานํ ปจฺฉาชาตินฺทฺริยานญฺจ สหาปิ อตฺถิอวิคตปจฺจยภาโว โหติ, น ติณฺณํ วิปฺปยุตฺตตา วิย วิสุํเยวาติ ‘‘อตฺถิอวิคเตสุ จ เอเกกสฺส วเสน ฉหิ เภเทหิ ฐิตา’’ติ อตฺถิอวิคตปจฺจยลกฺขเณสุ เอเกกํ สงฺคเหตฺวา วุตฺตํฯ
Atthiavigatapaccayā yadipi sahajātapurejātapacchājātāhārindriyānaṃ vasena pañcavidhāva, sahajātapurejātānaṃ pana pacchājātāhārānaṃ pacchājātindriyānañca sahāpi atthiavigatapaccayabhāvo hoti, na tiṇṇaṃ vippayuttatā viya visuṃyevāti ‘‘atthiavigatesu ca ekekassa vasena chahi bhedehi ṭhitā’’ti atthiavigatapaccayalakkhaṇesu ekekaṃ saṅgahetvā vuttaṃ.
‘‘รูปินฺทฺริยปจฺจโย ปน อชฺฌตฺตพหิทฺธาเภทโต ทุวิโธ’’ติ วุตฺตํ, ตํ ‘‘อชฺฌตฺติกพาหิรเภทโต’’ติ เอวํ วตฺตพฺพํฯ
‘‘Rūpindriyapaccayo pana ajjhattabahiddhābhedato duvidho’’ti vuttaṃ, taṃ ‘‘ajjhattikabāhirabhedato’’ti evaṃ vattabbaṃ.
จตุวีสติยาปีติ น โสฬสนฺนํเยว, นาปิ อฎฺฐนฺนํเยว, อถ โข จตุวีสติยาปีติ อโตฺถฯ อารมฺมณภูตานํ อธิปติอุปนิสฺสยปจฺจยานํ อุปนิสฺสเย นิสฺสยปุเรชาตวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตานญฺจ ปุเรชาเต สงฺคโห อตฺถีติ อารมฺมณปจฺจยํ อารมฺมณปจฺจยภาเวเยว ฐเปตฺวา ตเทกเทสสฺส เตสญฺจ อุปนิสฺสยาทีสุ สงฺคหํ วตฺตุกาโม ‘‘อารมฺมณปจฺจเย อารมฺมณปจฺจโยว สงฺคหํ คจฺฉติ, น เสสา เตวีสตี’’ติ อาหฯ จตุเตฺถ ปุเรชาตปจฺจเยติ เอตฺถ ยถา ‘‘อุปนิสฺสยปจฺจเย อธิปติภูโต อารมฺมณปจฺจโย’’ติ วุตฺตํ, เอวํ ‘‘ปุเรชาตภูโต อารมฺมณปจฺจโย’’ติปิ วตฺตพฺพํ, ตํ ปน ตตฺถ วุตฺตนเยน คเหตุํ สกฺกาติ กตฺวา น วุตฺตํ สิยาฯ อถ ปน ‘‘อารมฺมณโต อญฺญํ ปุเรชาตคฺคหเณน คหิต’’นฺติ น วุตฺตํ, เอวํ สติ อุปนิสฺสยคฺคหเณนปิ อารมฺมณโต อญฺญสฺส คหิตตาย ภวิตพฺพนฺติ ‘‘อธิปติภูโต อารมฺมณปจฺจโย อุปนิสฺสเย สงฺคหํ คจฺฉตี’’ติ น วตฺตพฺพํ สิยาติฯ
Catuvīsatiyāpīti na soḷasannaṃyeva, nāpi aṭṭhannaṃyeva, atha kho catuvīsatiyāpīti attho. Ārammaṇabhūtānaṃ adhipatiupanissayapaccayānaṃ upanissaye nissayapurejātavippayuttaatthiavigatānañca purejāte saṅgaho atthīti ārammaṇapaccayaṃ ārammaṇapaccayabhāveyeva ṭhapetvā tadekadesassa tesañca upanissayādīsu saṅgahaṃ vattukāmo ‘‘ārammaṇapaccaye ārammaṇapaccayova saṅgahaṃ gacchati, na sesā tevīsatī’’ti āha. Catutthe purejātapaccayeti ettha yathā ‘‘upanissayapaccaye adhipatibhūto ārammaṇapaccayo’’ti vuttaṃ, evaṃ ‘‘purejātabhūto ārammaṇapaccayo’’tipi vattabbaṃ, taṃ pana tattha vuttanayena gahetuṃ sakkāti katvā na vuttaṃ siyā. Atha pana ‘‘ārammaṇato aññaṃ purejātaggahaṇena gahita’’nti na vuttaṃ, evaṃ sati upanissayaggahaṇenapi ārammaṇato aññassa gahitatāya bhavitabbanti ‘‘adhipatibhūto ārammaṇapaccayo upanissaye saṅgahaṃ gacchatī’’ti na vattabbaṃ siyāti.
เยสุ ปเญฺหสุ…เป.… เอโกว ปจฺจโย อาคโตติ เอตฺถ อาคโตวาติ เอวํ เอวสโทฺท อาเนตฺวา โยเชตโพฺพฯ เตน ทฺวาทสมจุทฺทสเมสุ ปเญฺหสุ สหชาตปุเรชาเตสุ เอเกโก ปจฺจโย น อนาคโต โหติ, อถ โข อาคโตวาติ เตสุ อญฺญตรปฎิเกฺขเป เตปิ ปญฺหา ปริหายนฺตีติ ทสฺสิตํ โหตีติฯ ยสฺมิํ ปน ปเญฺหติ ทุติยฉฎฺฐปเญฺหสุ เอเกกวเสน คเหตฺวา เอกวจเนน นิทฺทิสียติฯ เอวนฺติ อารมฺมณอุปนิสฺสยวเสนาติ อโตฺถฯ เตน ทฺวาทสมจุทฺทสเม นิวเตฺตติฯ เตสุปิ หิ เทฺว ปจฺจยา อาคตา, น ปน อารมฺมณอุปนิสฺสยวเสนาติฯ อวเสสานํ วเสนาติ อวเสสานํ ลพฺภมานานํ วเสนาติ ทฎฺฐพฺพํฯ น หิ เตรสมปนฺนรสเมสุ ปจฺฉาชาเตปิ ปฎิกฺขิเตฺต อาหารินฺทฺริยานํ วเสน เต ปญฺหา ลพฺภนฺติ, อถ โข สหชาตเสฺสว วเสนาติฯ อิทเมว เจตฺถ ลกฺขณนฺติ อฎฺฐนฺนํ ปจฺจยานํ สพฺพปจฺจยสงฺคาหกตฺตํ, อุกฺกฎฺฐวเสน ปญฺหาปริเจฺฉโท, เต เต ปจฺจเย สงฺคเหตฺวา ทสฺสิตปจฺจยปริเจฺฉโท, ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปจฺจเย ปฎิกฺขิเตฺต ตสฺส ตสฺส ปญฺหสฺส ปริหานาปริหานีติ เอตํ สพฺพํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตเนว ‘‘อิมินา ลกฺขเณนา’’ติ วุตฺตํฯ
Yesupañhesu…pe… ekova paccayo āgatoti ettha āgatovāti evaṃ evasaddo ānetvā yojetabbo. Tena dvādasamacuddasamesu pañhesu sahajātapurejātesu ekeko paccayo na anāgato hoti, atha kho āgatovāti tesu aññatarapaṭikkhepe tepi pañhā parihāyantīti dassitaṃ hotīti. Yasmiṃ pana pañheti dutiyachaṭṭhapañhesu ekekavasena gahetvā ekavacanena niddisīyati. Evanti ārammaṇaupanissayavasenāti attho. Tena dvādasamacuddasame nivatteti. Tesupi hi dve paccayā āgatā, na pana ārammaṇaupanissayavasenāti. Avasesānaṃ vasenāti avasesānaṃ labbhamānānaṃ vasenāti daṭṭhabbaṃ. Na hi terasamapannarasamesu pacchājātepi paṭikkhitte āhārindriyānaṃ vasena te pañhā labbhanti, atha kho sahajātasseva vasenāti. Idameva cettha lakkhaṇanti aṭṭhannaṃ paccayānaṃ sabbapaccayasaṅgāhakattaṃ, ukkaṭṭhavasena pañhāparicchedo, te te paccaye saṅgahetvā dassitapaccayaparicchedo, tasmiṃ tasmiṃ paccaye paṭikkhitte tassa tassa pañhassa parihānāparihānīti etaṃ sabbaṃ sandhāya vuttanti daṭṭhabbaṃ. Teneva ‘‘iminā lakkhaṇenā’’ti vuttaṃ.
ตตฺราติ ปเภทปริหานีสุฯ ตีหิ ปจฺจเยหิ เอกูนวีสติ ปจฺจยา ทสฺสิตาติ ‘‘นเหตุปจฺจยา’’ติ เอตฺถ ลพฺภมานปจฺจเย สนฺธาย วุตฺตํฯ อยํ ปน ปจฺจยุทฺธาโร สพฺพปจฺจนียสฺส สาธารณลกฺขณวเสน วุโตฺต, น ‘‘นเหตุปจฺจยา’’ติ เอเตฺถว ลพฺภมานปจฺจยทสฺสนวเสนฯ เอวญฺจ กตฺวา เหตุทุกปญฺหาวารปจฺจนีเย ‘‘เหตุธโมฺม เหตุสฺส ธมฺมสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย, สหชาตปจฺจเยน ปจฺจโย, อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๓.๑.๔๓) วุตฺตํ, อญฺญถา ‘‘นเหตุปจฺจยา’’ติ เอตฺถ ลพฺภมานปจฺจยทสฺสเน ‘‘สหชาตปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ น วตฺตพฺพํ สิยา, ตสฺมา อิธาปิ สพฺพลพฺภมานปจฺจยสงฺคหวเสน ปจฺจยุทฺธารสฺส วุตฺตตฺตา ตีหิ ปจฺจเยหิ วีสติ ปจฺจยา ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ยํ วุตฺตํ ‘‘ตตฺรายํ วิตฺถารกถา’’ติ, ตตฺร ปเภเท วิตฺถารกถํ วตฺวา ปริหานียํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตสฺมิํ ปน ปจฺจเย…เป.… เต ปรโต วกฺขามา’’ติ อาหฯ
Tatrāti pabhedaparihānīsu. Tīhi paccayehi ekūnavīsati paccayā dassitāti ‘‘nahetupaccayā’’ti ettha labbhamānapaccaye sandhāya vuttaṃ. Ayaṃ pana paccayuddhāro sabbapaccanīyassa sādhāraṇalakkhaṇavasena vutto, na ‘‘nahetupaccayā’’ti ettheva labbhamānapaccayadassanavasena. Evañca katvā hetudukapañhāvārapaccanīye ‘‘hetudhammo hetussa dhammassa ārammaṇapaccayena paccayo, sahajātapaccayena paccayo, upanissayapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 3.1.43) vuttaṃ, aññathā ‘‘nahetupaccayā’’ti ettha labbhamānapaccayadassane ‘‘sahajātapaccayena paccayo’’ti na vattabbaṃ siyā, tasmā idhāpi sabbalabbhamānapaccayasaṅgahavasena paccayuddhārassa vuttattā tīhi paccayehi vīsati paccayā dassitāti daṭṭhabbā. Yaṃ vuttaṃ ‘‘tatrāyaṃ vitthārakathā’’ti, tatra pabhede vitthārakathaṃ vatvā parihānīyaṃ dassento ‘‘tasmiṃ pana paccaye…pe… te parato vakkhāmā’’ti āha.
๕๒๘. ตถา อกุสลาทิเกสุปิ จตูสุ ปเญฺหสุ เตหิ เตหิ ปจฺจเยหิ เต เตเยว ปจฺจยา ทสฺสิตาติ กุสลาทิเกสุ ทสฺสิเตหิ อเญฺญสํ อภาวํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ น หิ ‘‘อกุสโล ธโมฺม กุสลสฺส ธมฺมสฺสา’’ติ เอตฺถ ทฺวีหิ ปจฺจเยหิ ตโย ปจฺจยา ทสฺสิตา, อถ โข เทฺวเยว, อพฺยากตสฺสปิ อกุสโล อารมฺมณาธิปติปจฺจโย น โหตีติฯ
528. Tathā akusalādikesupi catūsu pañhesu tehi tehi paccayehi te teyeva paccayā dassitāti kusalādikesu dassitehi aññesaṃ abhāvaṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Na hi ‘‘akusalo dhammo kusalassa dhammassā’’ti ettha dvīhi paccayehi tayo paccayā dassitā, atha kho dveyeva, abyākatassapi akusalo ārammaṇādhipatipaccayo na hotīti.
๕๓๐. สหชาตปจฺจยา ปน น โหนฺติ วตฺถุมิสฺสกตฺตาติ อสหชาตปจฺจเยน วตฺถุนา สหชาตปจฺจยภาเวน คหิตตฺตา เตน สทฺธิํ สหชาตปจฺจยา น โหนฺตีติ ทเสฺสติ, น ปน สุทฺธานํ สหชาตปจฺจยภาวํ นิวาเรติฯ วตฺถุนา ปน สทฺธิํ เยน นิสฺสยาทินา ปจฺจยา โหนฺติ, ตเมว นิสฺสยาทิํ วิเสเสตุํ สหชาตนฺติ วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตสฺมา เตส’’นฺติอาทิมาหฯ
530. Sahajātapaccayā pana na honti vatthumissakattāti asahajātapaccayena vatthunā sahajātapaccayabhāvena gahitattā tena saddhiṃ sahajātapaccayā na hontīti dasseti, na pana suddhānaṃ sahajātapaccayabhāvaṃ nivāreti. Vatthunā pana saddhiṃ yena nissayādinā paccayā honti, tameva nissayādiṃ visesetuṃ sahajātanti vuttanti dassento ‘‘tasmā tesa’’ntiādimāha.
อิมสฺมิํ ปน ปจฺจยุทฺธาเร อารมฺมณอุปนิสฺสยกมฺมอตฺถิปจฺจเยสุ จตูสุ สพฺพปจฺจเย สงฺคณฺหิตฺวา กสฺมา เตสํ วเสน ปจฺจยุทฺธาโร น กโตติ? มิสฺสกามิสฺสกสฺส อตฺถิปจฺจยวิภาคสฺส ทุวิเญฺญยฺยตฺตาฯ น หิ ‘‘อวิภาเคน อตฺถิปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ วุเตฺต สกฺกา วิญฺญาตุํ ‘‘กิํ สุเทฺธน สหชาตอตฺถิปจฺจเยน ปุเรชาตปจฺฉาชาตาหารินฺทฺริยอตฺถิปจฺจเยน วา, อถ สหชาตปุเรชาตมิสฺสเกน ปจฺฉาชาตาหารมิสฺสเกน ปจฺฉาชาตินฺทฺริยมิสฺสเกน วา’’ติฯ อตฺถิปจฺจยวิเสเสสุ ปน สหชาตาทีสุ สรูปโต วุจฺจมาเนสุ ยตฺถ สุทฺธานํ สหชาตาทีนํ ปจฺจยภาโว, ตตฺถ ‘‘สหชาตปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติอาทินา สุทฺธานํ, ยตฺถ จ มิสฺสกานํ ปจฺจยภาโว, ตตฺถ ‘‘สหชาตํ ปุเรชาต’’นฺติอาทินา มิสฺสกานํ คหณโต สุวิเญฺญยฺยตา โหติ, ตสฺมา อตฺถิปจฺจยวิเสสทสฺสนตฺถํ สหชาตาทโย คหิตา, เตน จ สพฺพปจฺจยานํ จตูสุ ปจฺจเยสุ สงฺคโห ทสฺสิโต โหติฯ
Imasmiṃ pana paccayuddhāre ārammaṇaupanissayakammaatthipaccayesu catūsu sabbapaccaye saṅgaṇhitvā kasmā tesaṃ vasena paccayuddhāro na katoti? Missakāmissakassa atthipaccayavibhāgassa duviññeyyattā. Na hi ‘‘avibhāgena atthipaccayena paccayo’’ti vutte sakkā viññātuṃ ‘‘kiṃ suddhena sahajātaatthipaccayena purejātapacchājātāhārindriyaatthipaccayena vā, atha sahajātapurejātamissakena pacchājātāhāramissakena pacchājātindriyamissakena vā’’ti. Atthipaccayavisesesu pana sahajātādīsu sarūpato vuccamānesu yattha suddhānaṃ sahajātādīnaṃ paccayabhāvo, tattha ‘‘sahajātapaccayena paccayo’’tiādinā suddhānaṃ, yattha ca missakānaṃ paccayabhāvo, tattha ‘‘sahajātaṃ purejāta’’ntiādinā missakānaṃ gahaṇato suviññeyyatā hoti, tasmā atthipaccayavisesadassanatthaṃ sahajātādayo gahitā, tena ca sabbapaccayānaṃ catūsu paccayesu saṅgaho dassito hoti.
กสฺมา ปน สหชาตปุเรชาเต อคฺคเหตฺวา นิสฺสโย, ปุเรชาตปจฺฉาชาเต อคฺคเหตฺวา วิปฺปยุโตฺต วา อตฺถิปจฺจยวิเสสภาเวน น วุโตฺตติ? อวตฺตพฺพตฺตา, นิสฺสโย ตาว น วตฺตโพฺพ สหชาตปุเรชาตานํ สุทฺธานํ มิสฺสกานญฺจ นิสฺสยปจฺจยภาวโต วิภชิตพฺพตาย อตฺถิปจฺจเยน อวิสิฎฺฐตฺตา, วิปฺปยุตฺตปจฺจโย จ สหชาตปุเรชาตปจฺฉาชาตภาวโต อตฺถิปจฺจโย วิย วิเสสิตโพฺพติ โส วิย น วตฺตโพฺพฯ สหชาตปุเรชาตานญฺจ มิสฺสกานํ อตฺถิปจฺจยภาโว โหติ, น วิปฺปยุตฺตภาโวฯ ตถา สหชาตปจฺฉาชาตานญฺจ มิสฺสกานํ อตฺถิปจฺจยภาโว โหติฯ วกฺขติ หิ ‘‘อนุปาทินฺนอนุปาทานิโย ธโมฺม อุปาทินฺนุปาทานิยสฺส จ อนุปาทินฺนอนุปาทานิยสฺส จ ธมฺมสฺส อตฺถิปจฺจเยน ปจฺจโย สหชาตํ ปจฺฉาชาต’’นฺติ (ปฎฺฐา. ๑.๔.๘๔), น ปน วิปฺปยุตฺตปจฺจยภาโว, ตสฺมา วิปฺปยุตฺตคฺคหเณน มิสฺสกานํ อตฺถิปจฺจยภาวสฺส อคฺคหณโต น โส อตฺถิปจฺจยวิเสโส ภวิตุํ ยุโตฺตติ ภิโยฺยปิ น วตฺตโพฺพฯ
Kasmā pana sahajātapurejāte aggahetvā nissayo, purejātapacchājāte aggahetvā vippayutto vā atthipaccayavisesabhāvena na vuttoti? Avattabbattā, nissayo tāva na vattabbo sahajātapurejātānaṃ suddhānaṃ missakānañca nissayapaccayabhāvato vibhajitabbatāya atthipaccayena avisiṭṭhattā, vippayuttapaccayo ca sahajātapurejātapacchājātabhāvato atthipaccayo viya visesitabboti so viya na vattabbo. Sahajātapurejātānañca missakānaṃ atthipaccayabhāvo hoti, na vippayuttabhāvo. Tathā sahajātapacchājātānañca missakānaṃ atthipaccayabhāvo hoti. Vakkhati hi ‘‘anupādinnaanupādāniyo dhammo upādinnupādāniyassa ca anupādinnaanupādāniyassa ca dhammassa atthipaccayena paccayo sahajātaṃ pacchājāta’’nti (paṭṭhā. 1.4.84), na pana vippayuttapaccayabhāvo, tasmā vippayuttaggahaṇena missakānaṃ atthipaccayabhāvassa aggahaṇato na so atthipaccayaviseso bhavituṃ yuttoti bhiyyopi na vattabbo.
นนุ จ สหชาตปจฺจโย จ เหตุอาทีหิ วิเสสิตโพฺพติ โสปิ นิสฺสยวิปฺปยุตฺตา วิย อตฺถิปจฺจยวิเสสภาเวน น วตฺตโพฺพติ? น, วิรุทฺธปจฺจเยหิ อวิเสสิตพฺพตฺตาฯ นิสฺสยวิปฺปยุตฺตา หิ อตฺถิปจฺจโย วิย อุปฺปตฺติกาลวิรุเทฺธหิ ปจฺจเยหิ วิเสสิตพฺพา, น ปน สหชาโตฯ เหตุอาทโย หิ สหชาตา เอว, น อุปฺปตฺติกาลวิรุทฺธาติฯ
Nanu ca sahajātapaccayo ca hetuādīhi visesitabboti sopi nissayavippayuttā viya atthipaccayavisesabhāvena na vattabboti? Na, viruddhapaccayehi avisesitabbattā. Nissayavippayuttā hi atthipaccayo viya uppattikālaviruddhehi paccayehi visesitabbā, na pana sahajāto. Hetuādayo hi sahajātā eva, na uppattikālaviruddhāti.
ปจฺจนียุทฺธารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paccanīyuddhāravaṇṇanā niṭṭhitā.
ปจฺจนียคณนวณฺณนา
Paccanīyagaṇanavaṇṇanā
นเหตุมูลกวณฺณนา
Nahetumūlakavaṇṇanā
๕๓๒. สุโทฺธ อารมฺมณปจฺจโย ปริหายตีติ เอตฺถ สุทฺธคฺคหเณน น กิญฺจิ ปโยชนํฯ อารมฺมเณ หิ ปจฺจนียโต ฐิเต อธิปติปจฺจยาทิภูโต อารมฺมณปจฺจโย ปริหายติเยวาติฯ สุโทฺธติ วา อฎฺฐสุ ปจฺจเยสุ เกวลํ อารมฺมณปจฺจโย ปริหายติ, น เสสาติ ทเสฺสติฯ เอกาทสนฺนนฺติ สหชาเต สงฺคหํ คจฺฉเนฺตสุ ปนฺนรสสุ อญฺญมญฺญวิปากสมฺปยุตฺตวิปฺปยุเตฺต วเชฺชตฺวา เอกาทสนฺนํ วเสนฯ เตติ เต สหชาเต อโนฺตคธาเยว ตสฺมิํ ปฎิกฺขิเตฺต อเญฺญนากาเรน วิสฺสชฺชนํ น ลภนฺตีติ ทเสฺสติ, อนโนฺตคธา ปน อารมฺมณาธิปติปุเรชาตนิสฺสยาทโย อารมฺมณาทิอากาเรน ลภนฺตีติฯ
532. Suddho ārammaṇapaccayo parihāyatīti ettha suddhaggahaṇena na kiñci payojanaṃ. Ārammaṇe hi paccanīyato ṭhite adhipatipaccayādibhūto ārammaṇapaccayo parihāyatiyevāti. Suddhoti vā aṭṭhasu paccayesu kevalaṃ ārammaṇapaccayo parihāyati, na sesāti dasseti. Ekādasannanti sahajāte saṅgahaṃ gacchantesu pannarasasu aññamaññavipākasampayuttavippayutte vajjetvā ekādasannaṃ vasena. Teti te sahajāte antogadhāyeva tasmiṃ paṭikkhitte aññenākārena vissajjanaṃ na labhantīti dasseti, anantogadhā pana ārammaṇādhipatipurejātanissayādayo ārammaṇādiākārena labhantīti.
กิญฺจาปิ สหชาตปจฺจโยเยว นตฺถีติ ตสฺมิํ ปฎิกฺขิเตฺต อิเม วารา น ลเพฺภยฺยุํ, อถ โข นิสฺสยอตฺถิอวิคตานํ วเสน เอเต ลภิตพฺพา สิยุนฺติ อธิปฺปาโยฯ ยสฺมา ปนาติอาทินา ยทิปิ สหชาตปจฺจโย นตฺถิ , ยสฺมา ปน สหชาตปจฺจยธเมฺม ฐิตา เอเต น นิสฺสยาทโย น โหนฺติ, ยสฺมา จ สหชาเต ปฎิกฺขิเตฺต เย ปฎิกฺขิตฺตา โหนฺติ, เต อิธ สหชาตปฎิเกฺขเปน ปฎิกฺขิตฺตา, ตสฺมา เตปิ วารา น ลพฺภนฺตีติ ทเสฺสติฯ
Kiñcāpi sahajātapaccayoyeva natthīti tasmiṃ paṭikkhitte ime vārā na labbheyyuṃ, atha kho nissayaatthiavigatānaṃ vasena ete labhitabbā siyunti adhippāyo. Yasmā panātiādinā yadipi sahajātapaccayo natthi , yasmā pana sahajātapaccayadhamme ṭhitā ete na nissayādayo na honti, yasmā ca sahajāte paṭikkhitte ye paṭikkhittā honti, te idha sahajātapaṭikkhepena paṭikkhittā, tasmā tepi vārā na labbhantīti dasseti.
ฐเปตฺวา สหชาตปจฺจยนฺติ เอเตน นิสฺสยาทิภูตญฺจ สหชาตปจฺจยํ ฐเปตฺวาติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กุสลโต ปวตฺตมาเนสุ กุสลาพฺยากเตสุ กุสลสฺส กุสโล อญฺญมญฺญปจฺจโย โหตีติ อิมมตฺถํ สนฺธายาห ‘‘อญฺญมญฺญปจฺจยธมฺมวเสน ปวตฺติสพฺภาวโต’’ติฯ เย ธมฺมา อญฺญมญฺญปจฺจยสงฺคหํ คตาติ เตสํ เตสํ ปจฺจยุปฺปนฺนานํ ปจฺจยภาเวน วุจฺจมานา เย ธมฺมา อตฺตโน ปจฺจยุปฺปนฺนภาเวน วุจฺจมานานํ อญฺญมญฺญปจฺจโยติ สงฺคหํ คตาติ อโตฺถฯ กุสโล จ กุสลสฺส อญฺญมญฺญปจฺจโยติ กตฺวา กุสลาพฺยากตานํ อญฺญมญฺญปจฺจยสงฺคหํ คเตเหว ธเมฺมหิ ปจฺจโย โหติ, สมุทายภูโต เอกเทสภูเตหีติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ กุสโล ปน กุสลสฺส อญฺญมญฺญปจฺจยภูเตเหว กุสลาพฺยากตานํ สหชาตาทีหิ, น อญฺญถาติ อญฺญมเญฺญ ปฎิกฺขิเตฺต โส วาโร ปริหายตีติ วตฺตพฺพํฯ
Ṭhapetvā sahajātapaccayanti etena nissayādibhūtañca sahajātapaccayaṃ ṭhapetvāti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Kusalato pavattamānesu kusalābyākatesu kusalassa kusalo aññamaññapaccayo hotīti imamatthaṃ sandhāyāha ‘‘aññamaññapaccayadhammavasena pavattisabbhāvato’’ti. Ye dhammā aññamaññapaccayasaṅgahaṃ gatāti tesaṃ tesaṃ paccayuppannānaṃ paccayabhāvena vuccamānā ye dhammā attano paccayuppannabhāvena vuccamānānaṃ aññamaññapaccayoti saṅgahaṃ gatāti attho. Kusalo ca kusalassa aññamaññapaccayoti katvā kusalābyākatānaṃ aññamaññapaccayasaṅgahaṃ gateheva dhammehi paccayo hoti, samudāyabhūto ekadesabhūtehīti ayamettha adhippāyo. Kusalo pana kusalassa aññamaññapaccayabhūteheva kusalābyākatānaṃ sahajātādīhi, na aññathāti aññamaññe paṭikkhitte so vāro parihāyatīti vattabbaṃ.
จตุนฺนํ ขนฺธานํ เอกเทโสวาติ สหชาเต สนฺธาย วุตฺตํฯ อสหชาตา หิ อาหารินฺทฺริยา รูปกฺขเนฺธกเทโสว โหนฺติฯ เตติ เต วิปฺปยุตฺตปจฺจยธมฺมาฯ
Catunnaṃ khandhānaṃ ekadesovāti sahajāte sandhāya vuttaṃ. Asahajātā hi āhārindriyā rūpakkhandhekadesova honti. Teti te vippayuttapaccayadhammā.
๕๓๓. ‘‘ทุมูลกาทิวเสน ปจฺจยคณนํ ทเสฺสตุ’’นฺติ ลิขิตํ, ‘‘ปจฺจนียคณนํ ทเสฺสตุ’’นฺติ ปน วตฺตพฺพํฯ ปจฺจนียวารคณนา หิ ทสฺสิตาติฯ
533. ‘‘Dumūlakādivasena paccayagaṇanaṃ dassetu’’nti likhitaṃ, ‘‘paccanīyagaṇanaṃ dassetu’’nti pana vattabbaṃ. Paccanīyavāragaṇanā hi dassitāti.
‘‘วิปากํ ปเนตฺถ นอุปนิสฺสยปจฺจเยน สทฺธิํ ฆฎิตตฺตา น ลพฺภตี’’ติ วุตฺตํ, วิปากสฺสปิ ปน กมฺมํ อุปนิสฺสโย อหุตฺวาปิ กมฺมปจฺจโย โหตีติ วิปากตฺติเก ทสฺสิตเมตนฺติฯ
‘‘Vipākaṃ panettha naupanissayapaccayena saddhiṃ ghaṭitattā na labbhatī’’ti vuttaṃ, vipākassapi pana kammaṃ upanissayo ahutvāpi kammapaccayo hotīti vipākattike dassitametanti.
นเหตุมูลกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nahetumūlakavaṇṇanā niṭṭhitā.
๕๓๔. สตฺต ปญฺจ ตีณิ เทฺว เอกนฺติ ปริจฺฉินฺนคณนานีติ สตฺตาทิปริเจฺฉเทหิ ปริจฺฉินฺนคณนานิ วิสฺสชฺชนานิ เหตุมูลเก ทสฺสิตานีติ อาหฯ
534. Satta pañca tīṇi dve ekanti paricchinnagaṇanānīti sattādiparicchedehi paricchinnagaṇanāni vissajjanāni hetumūlake dassitānīti āha.
๕๓๘. นนิสฺสยปจฺจยา นอุปนิสฺสยปจฺจยา นปจฺฉาชาเต ตีณีติ มูลกํ สงฺขิปิตฺวา ทสมูลเก ‘‘นปจฺฉาชาเต ตีณี’’ติ วุตฺตํ คณนํ อุทฺธรติฯ ‘‘เตสุ กฎตฺตารูปญฺจ อาหารสมุฎฺฐานญฺจ ปจฺจยุปฺปนฺน’’นฺติ วุตฺตํ, ทฺวีสุ ปน วิปาโก ตติเย เตสมุฎฺฐานิกกาโย จ ปจฺจยุปฺปโนฺน โหติเยวฯ
538. Nanissayapaccayānaupanissayapaccayā napacchājāte tīṇīti mūlakaṃ saṅkhipitvā dasamūlake ‘‘napacchājāte tīṇī’’ti vuttaṃ gaṇanaṃ uddharati. ‘‘Tesu kaṭattārūpañca āhārasamuṭṭhānañca paccayuppanna’’nti vuttaṃ, dvīsu pana vipāko tatiye tesamuṭṭhānikakāyo ca paccayuppanno hotiyeva.
๕๔๕. อพฺยากโต จ สหชาตอพฺยากตสฺสาติ ‘‘อรูปาพฺยากโต อรูปาพฺยากตสฺส, รูปาพฺยากโต จ รูปาพฺยากตสฺสา’’ติ เอตํ ทฺวยํ สนฺธาย วุตฺตํฯ รูปาพฺยากโต ปน อรูปาพฺยากตสฺส, อรูปาพฺยากโต จ รูปาพฺยากตสฺส สหชาตปจฺจโย โหโนฺต วิปฺปยุตฺตปจฺจโย โหติเยวฯ ‘‘อพฺยากโต สหชาตาหารินฺทฺริยวเสน อพฺยากตสฺสาติ เอวํ ปญฺจา’’ติ ปน วตฺตพฺพํฯ
545. Abyākato ca sahajātaabyākatassāti ‘‘arūpābyākato arūpābyākatassa, rūpābyākato ca rūpābyākatassā’’ti etaṃ dvayaṃ sandhāya vuttaṃ. Rūpābyākato pana arūpābyākatassa, arūpābyākato ca rūpābyākatassa sahajātapaccayo honto vippayuttapaccayo hotiyeva. ‘‘Abyākato sahajātāhārindriyavasena abyākatassāti evaṃ pañcā’’ti pana vattabbaṃ.
๕๔๖. โนอตฺถิปจฺจยา นเหตุยา นวาติ เอตฺถ ‘‘เอกมูลเกกาวสานา อนนฺตรปกตูปนิสฺสยวเสน ลพฺภนฺตี’’ติ วุตฺตํ, อตฺถิปจฺจเย ปน ปฎิกฺขิเตฺต อฎฺฐสุ ปจฺจเยสุ สหชาตปุเรชาตปจฺฉาชาตาหารินฺทฺริยานิ ปฎิกฺขิตฺตานิ, อารมฺมณอุปนิสฺสยกมฺมานิ ฐิตานีติ เตสํ ติณฺณํ ฐิตานํ วเสน ลพฺภนฺตีติ วตฺตพฺพํฯ สพฺพตฺถ หิ อฎฺฐสุ ปจฺจเยสุ เย เย ปฎิกฺขิตฺตา, เต เต อปเนตฺวา เย เย ฐิตา, เตสํ วเสน เต เต วารา ลพฺภนฺตีติ อิทเมตฺถ ลกฺขณนฺติฯ ยาว นิสฺสยมฺปีติ น เกวลํ นารมฺมเณเยว ฐตฺวา, อถ โข ยาว นิสฺสยํ, ตาว ฐตฺวาปิ นอุปนิสฺสเย เทฺว กาตพฺพาติ อโตฺถฯ นอุปนิสฺสยโต หิ ปุริเมสุ จ นวปิ ลพฺภนฺติ, นอุปนิสฺสเย ปน ปวเตฺต อตฺถิอารมฺมณอุปนิสฺสยปฎิเกฺขเปน สตฺต ปจฺจยา ปฎิกฺขิตฺตาติ อวสิฎฺฐสฺส กมฺมสฺส วเสน เทฺวเยวาติฯ
546. Noatthipaccayā nahetuyā navāti ettha ‘‘ekamūlakekāvasānā anantarapakatūpanissayavasena labbhantī’’ti vuttaṃ, atthipaccaye pana paṭikkhitte aṭṭhasu paccayesu sahajātapurejātapacchājātāhārindriyāni paṭikkhittāni, ārammaṇaupanissayakammāni ṭhitānīti tesaṃ tiṇṇaṃ ṭhitānaṃ vasena labbhantīti vattabbaṃ. Sabbattha hi aṭṭhasu paccayesu ye ye paṭikkhittā, te te apanetvā ye ye ṭhitā, tesaṃ vasena te te vārā labbhantīti idamettha lakkhaṇanti. Yāva nissayampīti na kevalaṃ nārammaṇeyeva ṭhatvā, atha kho yāva nissayaṃ, tāva ṭhatvāpi naupanissaye dve kātabbāti attho. Naupanissayato hi purimesu ca navapi labbhanti, naupanissaye pana pavatte atthiārammaṇaupanissayapaṭikkhepena satta paccayā paṭikkhittāti avasiṭṭhassa kammassa vasena dveyevāti.
ปจฺจนียคณนวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paccanīyagaṇanavaṇṇanā niṭṭhitā.
อนุโลมปจฺจนียวณฺณนา
Anulomapaccanīyavaṇṇanā
๕๕๐. สทิสวาราติ อนุรูปวาราติ อโตฺถฯ นอญฺญมเญฺญ ลเทฺธสุ หิ เอกาทสสุ ‘‘กุสโล กุสลสฺส อกุสโล อกุสลสฺสา’’ติ อิเม เหตุยา ลเทฺธสุ สตฺตสุ อิเมเหว ทฺวีหิ สมานา โหนฺติ, อตฺถาภาวโต ปน น อนุรูปาติฯ อถ วา วจนโต อตฺถโต จ อุเทฺทสโต ยถาโยคํ นิเทฺทสโต จาติ สพฺพถา สมานตํ สนฺธาย ‘‘สทิสวารา’’ติ อาหฯ
550. Sadisavārāti anurūpavārāti attho. Naaññamaññe laddhesu hi ekādasasu ‘‘kusalo kusalassa akusalo akusalassā’’ti ime hetuyā laddhesu sattasu imeheva dvīhi samānā honti, atthābhāvato pana na anurūpāti. Atha vā vacanato atthato ca uddesato yathāyogaṃ niddesato cāti sabbathā samānataṃ sandhāya ‘‘sadisavārā’’ti āha.
๕๕๑. ปฎิสนฺธินามรูปํ สนฺธายาติ ปฎิสนฺธิยํ เหตุนามปจฺจยํ วตฺถุรูปญฺจ ปจฺจยุปฺปนฺนํ สนฺธาย ฯ ตีณิ กุสลาทีนิ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปสฺสาติ เอตฺถ ‘‘อพฺยากโต กฎตฺตารูปสฺส จา’’ติ อิทมฺปิ วตฺตพฺพํฯ
551. Paṭisandhināmarūpaṃ sandhāyāti paṭisandhiyaṃ hetunāmapaccayaṃ vatthurūpañca paccayuppannaṃ sandhāya . Tīṇi kusalādīni cittasamuṭṭhānarūpassāti ettha ‘‘abyākato kaṭattārūpassa cā’’ti idampi vattabbaṃ.
๕๕๖. อธิปติมูลเก นเหตุยา ทสาติ ทฺวินฺนมฺปิ อธิปตีนํ วเสน วุตฺตํ, นารมฺมเณ สตฺตาติ สหชาตาธิปติสฺส, นสหชาเต สตฺตาติ อารมฺมณาธิปติสฺสาติ เอวํ สพฺพตฺถ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปจฺจเย ปฎิกฺขิเตฺต ฆฎเนสุ จ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปจฺจเย ฆฎิเต มูลภาเวน ฐิเต ปจฺจเย เย ธมฺมา ปริหายนฺติ, เย จ ติฎฺฐนฺติ, เต สาธุกํ สลฺลเกฺขตฺวา เย ธมฺมา ฐิตา เยสํ ปจฺจยา โหนฺติ, เตสํ วเสน คณนา อุทฺธริตพฺพาฯ อนุโลเม วุตฺตฆฎิเต หิ มูลภาเวน ฐเปตฺวา ฆฎิตาวเสสา ปจฺจยา ปจฺจนียโต โยชิตาติ ตตฺถ ลทฺธาเยว ปจฺจนียโต ฐิตปจฺจยานํ วเสน สมานา อูนา จ สกฺกา วิญฺญาตุนฺติฯ
556. Adhipatimūlake nahetuyā dasāti dvinnampi adhipatīnaṃ vasena vuttaṃ, nārammaṇe sattāti sahajātādhipatissa, nasahajāte sattāti ārammaṇādhipatissāti evaṃ sabbattha tasmiṃ tasmiṃ paccaye paṭikkhitte ghaṭanesu ca tasmiṃ tasmiṃ paccaye ghaṭite mūlabhāvena ṭhite paccaye ye dhammā parihāyanti, ye ca tiṭṭhanti, te sādhukaṃ sallakkhetvā ye dhammā ṭhitā yesaṃ paccayā honti, tesaṃ vasena gaṇanā uddharitabbā. Anulome vuttaghaṭite hi mūlabhāvena ṭhapetvā ghaṭitāvasesā paccayā paccanīyato yojitāti tattha laddhāyeva paccanīyato ṭhitapaccayānaṃ vasena samānā ūnā ca sakkā viññātunti.
อนุโลมปจฺจนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Anulomapaccanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปจฺจนียานุโลมวณฺณนา
Paccanīyānulomavaṇṇanā
๖๓๑. อูนตรคณเนน สทฺธิํ อติเรกคณนสฺสปิ คณนํ ปริหาเปตฺวาติ เอตฺถ อนุโลมโต โยชิยมาเนน ปจฺจเยน สทฺธิํ ปจฺจนียโต ฐิตสฺส อติเรกคณนสฺสปิ คณนํ ปริหาเปตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ ปริหาปนคณนาย อูนตรคณเนน สทฺธิํ สมานตฺตญฺจ น เอกนฺติกํฯ นเหตุนารมฺมณทุกสฺส หิ คณนา อธิปติปจฺจเยน โยชิยมาเนน อูนตรคณเนน สทฺธิํ ปริหีนาปิ อธิปติปจฺจเย ลทฺธคณนาย น สมานา, อถ โข ตโตปิ อูนตรา โหตีติ อาห ‘‘น ปเนตํ สพฺพสํสนฺทเนสุ คจฺฉตี’’ติฯ
631. Ūnataragaṇanena saddhiṃ atirekagaṇanassapi gaṇanaṃ parihāpetvāti ettha anulomato yojiyamānena paccayena saddhiṃ paccanīyato ṭhitassa atirekagaṇanassapi gaṇanaṃ parihāpetvāti adhippāyo. Parihāpanagaṇanāya ūnataragaṇanena saddhiṃ samānattañca na ekantikaṃ. Nahetunārammaṇadukassa hi gaṇanā adhipatipaccayena yojiyamānena ūnataragaṇanena saddhiṃ parihīnāpi adhipatipaccaye laddhagaṇanāya na samānā, atha kho tatopi ūnatarā hotīti āha ‘‘na panetaṃ sabbasaṃsandanesu gacchatī’’ti.
นิสฺสเย ปจฺจนียโต ฐิเต สหชาเต จ อนุโลมโต อติฎฺฐมานานํ เหตุอาทีนํ สหชาตสฺส จ อฎฺฐานํ ปากฎนฺติ อปากฎเมว ทเสฺสโนฺต ‘‘วตฺถุปุเรชาโต อนุโลมโต น ติฎฺฐตี’’ติ อาหฯ อาหาเร วาติอาทินา อิทํ ทเสฺสติ – สหชาเต ปจฺจนียโต ฐิเต อนุโลมโต อติฎฺฐมานา ฌานมคฺคสมฺปยุตฺตา อาหาเร วา อินฺทฺริเย วา ปจฺจนียโต ฐิเต ติฎฺฐนฺตีติ เหตุอาทโยปิ ติฎฺฐนฺติฯ สพฺพฌานมเคฺคหิ ปน จตุกฺขเนฺธกเทสภูตานํ สมฺปยุเตฺตน จ จตุกฺขนฺธภูตานํ สเพฺพสํ เตสํ อนุโลมโต ฐานํ ทเสฺสตีติ ทฎฺฐพฺพํ, อิตเรสุ วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ อธิปติอุปนิสฺสยาติ อารมฺมณมิสฺสานมฺปิ อนุโลมโต ฐานํ ทเสฺสติฯ
Nissaye paccanīyato ṭhite sahajāte ca anulomato atiṭṭhamānānaṃ hetuādīnaṃ sahajātassa ca aṭṭhānaṃ pākaṭanti apākaṭameva dassento ‘‘vatthupurejāto anulomato na tiṭṭhatī’’ti āha. Āhāre vātiādinā idaṃ dasseti – sahajāte paccanīyato ṭhite anulomato atiṭṭhamānā jhānamaggasampayuttā āhāre vā indriye vā paccanīyato ṭhite tiṭṭhantīti hetuādayopi tiṭṭhanti. Sabbajhānamaggehi pana catukkhandhekadesabhūtānaṃ sampayuttena ca catukkhandhabhūtānaṃ sabbesaṃ tesaṃ anulomato ṭhānaṃ dassetīti daṭṭhabbaṃ, itaresu vattabbameva natthi. Adhipatiupanissayāti ārammaṇamissānampi anulomato ṭhānaṃ dasseti.
‘‘อินฺทฺริเย เอกนฺติ รูปชีวิตินฺทฺริยวเสนา’’ติ วุตฺตํ, ‘‘จกฺขุนฺทฺริยาทีนํ รูปชีวิตินฺทฺริยสฺส จ วเสนา’’ติ ปน วตฺตพฺพํฯ กเมน คนฺตฺวา วิปฺปยุเตฺต ตีณีติ อิทํ ปากฎภาวตฺถํ ‘‘นวมูลกาทีสุ วิปฺปยุเตฺต ตีณี’’ติ เอวํ เกสุจิ โปตฺถเกสุ อุทฺธฎํฯ อิมานิ จ เทฺว ปจฺฉาชาตินฺทฺริยวเสนาติ อิทํ ‘‘อิมานิ จ เทฺว ปจฺฉาชาตาหารินฺทฺริยวเสนา’’ติ จ วตฺตพฺพํฯ
‘‘Indriye ekanti rūpajīvitindriyavasenā’’ti vuttaṃ, ‘‘cakkhundriyādīnaṃ rūpajīvitindriyassa ca vasenā’’ti pana vattabbaṃ. Kamena gantvā vippayutte tīṇīti idaṃ pākaṭabhāvatthaṃ ‘‘navamūlakādīsu vippayutte tīṇī’’ti evaṃ kesuci potthakesu uddhaṭaṃ. Imāni ca dve pacchājātindriyavasenāti idaṃ ‘‘imāni ca dve pacchājātāhārindriyavasenā’’ti ca vattabbaṃ.
นเหตุมูลกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nahetumūlakavaṇṇanā niṭṭhitā.
๖๓๖. นอญฺญมญฺญปจฺจยา เหตุยา ตีณีติ กุสลาทีนิ จิตฺตสมุฎฺฐานานนฺติ เอตฺถ ‘‘ปฎิสนฺธิยํ กฎตฺตารูปานญฺจา’’ติปิ วตฺตพฺพํฯ เหตุยา วุเตฺตหิ ตีหีติ วารสามญฺญเมว สนฺธาย วทติ, ตถา กเมฺม ตีณีติ เหตุยา วุตฺตาเนวาติ จฯ ปจฺจเยสุ ปน สพฺพตฺถ วิเสโส สลฺลเกฺขตโพฺพฯ อธิปติยา ตีณีติ นอญฺญมญฺญนเหตุนอารมฺมณปจฺจยา อธิปติยา ตีณีติ เอตานิ เหฎฺฐา เหตุยา วุตฺตาเนวาติฯ
636. Naaññamaññapaccayā hetuyā tīṇīti kusalādīni cittasamuṭṭhānānanti ettha ‘‘paṭisandhiyaṃ kaṭattārūpānañcā’’tipi vattabbaṃ. Hetuyā vuttehi tīhīti vārasāmaññameva sandhāya vadati, tathā kamme tīṇīti hetuyā vuttānevāti ca. Paccayesu pana sabbattha viseso sallakkhetabbo. Adhipatiyā tīṇīti naaññamaññanahetunaārammaṇapaccayā adhipatiyā tīṇīti etāni heṭṭhā hetuyā vuttānevāti.
๖๔๔. ยถา จ เหฎฺฐาติ ยถา นเหตุมูลเก ยาว นวิปากา, ตาว คนฺตฺวา นาหารินฺทฺริเยสุ เอเกกเมว คหิตํ, ตถา อิธาปิ นารมฺมณมูลกาทีสุ เอเกกเมว คหิตนฺติ อธิปฺปาโยฯ
644. Yathā ca heṭṭhāti yathā nahetumūlake yāva navipākā, tāva gantvā nāhārindriyesu ekekameva gahitaṃ, tathā idhāpi nārammaṇamūlakādīsu ekekameva gahitanti adhippāyo.
๖๔๘. นานากฺขณิกา กุสลากุสลเจตนา กมฺมสมุฎฺฐานรูปสฺสาติ เอตฺถ ‘‘วิปากาน’’นฺติปิ วตฺตพฺพํฯ อาหารินฺทฺริเยสุ ตีณิ สหชาตสทิสานิ รูปสฺสปิ ปจฺจยภาวโต, ฌานมคฺคาทีสุ ตีณิ เหตุสทิสานิ อรูปานํเยว ปจฺจยภาวโตติ อธิปฺปาโย ทฎฺฐโพฺพฯ อาทิ-สเทฺทน จ ‘‘นวิปฺปยุตฺตนเหตุนารมฺมณปจฺจยา อธิปติยา ตีณี’’ติอาทีนิ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๖๔๙) สงฺคณฺหาติฯ
648. Nānākkhaṇikā kusalākusalacetanā kammasamuṭṭhānarūpassāti ettha ‘‘vipākāna’’ntipi vattabbaṃ. Āhārindriyesu tīṇi sahajātasadisāni rūpassapi paccayabhāvato, jhānamaggādīsu tīṇi hetusadisāni arūpānaṃyeva paccayabhāvatoti adhippāyo daṭṭhabbo. Ādi-saddena ca ‘‘navippayuttanahetunārammaṇapaccayā adhipatiyā tīṇī’’tiādīni (paṭṭhā. 1.1.649) saṅgaṇhāti.
๖๕๐. ยํ ปนาติ ยํ ปจฺจยํ สกฎฺฐาเน อนุโลมโต ลภนฺตมฺปิ อคฺคเหตฺวา ตโต ปเรตรา ปจฺจนียโต คยฺหนฺติ, โส ปจฺจโย ปจฺฉา อนุโลมโตว โยชนํ ลภตีติ อโตฺถฯ ยถา ปน นเหตุมูลกาทีสุ นาหาเร ฆฎิเต อินฺทฺริยวเสน, นินฺทฺริเย จ ฆฎิเต อาหารวเสน ปญฺหลาโภ โหตีติ เตสุ อญฺญตรํ ปจฺจนียโต อโยเชตฺวา อนุโลมโต โยชิตํ, เอวํ โนอตฺถิโนอวิคตมูลเกสุ อุปนิสฺสเย ฆฎิเต กมฺมวเสน, กเมฺม จ ฆฎิเต อุปนิสฺสยวเสน ปญฺหลาโภ โหตีติ เตสุ อญฺญตรํ ปจฺจนียโต อโยเชตฺวา อนุโลมโต โยชิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวเมตสฺมิํ ปจฺจนียานุโลเม สพฺพานิ มูลานิ เทฺวธา ภินฺนานิ นาหารนินฺทฺริยานิ นอุปนิสฺสยนกมฺมานิ จ ปตฺวาติฯ
650. Yaṃpanāti yaṃ paccayaṃ sakaṭṭhāne anulomato labhantampi aggahetvā tato paretarā paccanīyato gayhanti, so paccayo pacchā anulomatova yojanaṃ labhatīti attho. Yathā pana nahetumūlakādīsu nāhāre ghaṭite indriyavasena, nindriye ca ghaṭite āhāravasena pañhalābho hotīti tesu aññataraṃ paccanīyato ayojetvā anulomato yojitaṃ, evaṃ noatthinoavigatamūlakesu upanissaye ghaṭite kammavasena, kamme ca ghaṭite upanissayavasena pañhalābho hotīti tesu aññataraṃ paccanīyato ayojetvā anulomato yojitanti veditabbaṃ. Evametasmiṃ paccanīyānulome sabbāni mūlāni dvedhā bhinnāni nāhāranindriyāni naupanissayanakammāni ca patvāti.
ปจฺจนียานุโลมวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paccanīyānulomavaṇṇanā niṭṭhitā.
กุสลตฺติกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kusalattikavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ปฎฺฐานปาฬิ • Paṭṭhānapāḷi / ๑. กุสลตฺติกํ • 1. Kusalattikaṃ
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā / ๗. ปญฺหาวารวิภงฺควณฺณนา • 7. Pañhāvāravibhaṅgavaṇṇanā