Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ๕. ปณิหิตอจฺฉวคฺควณฺณนา

    5. Paṇihitaacchavaggavaṇṇanā

    ๔๑. ปญฺจมสฺส ปฐเม อุปมาว โอปมฺมํ, โส เอว อโตฺถ, ตสฺมิํ โอปมฺมเตฺถ โพเธตเพฺพ นิปาโตฯ เสยฺยถาปีติ ยถาติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ตตฺร ภควา กตฺถจิ อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติ วตฺถสุเตฺต วิย, ปาริจฺฉตฺตโกปม (อ. นิ. ๗.๖๙) อคฺคิกฺขโนฺธปมาทิ (อ. นิ. ๗.๗๒) สุเตฺตสุ วิย จฯ กตฺถจิ อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติ โลณมฺพิลสุเตฺต (อ. นิ. ๓.๑๐๑) วิย, สุวณฺณการสตฺตสูริโยปมาทิสุเตฺตสุ (อ. นิ. ๗.๖๖) วิย จฯ อิมสฺมิํ ปน สาลิสูโกปเม อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหาติ โปตฺถเกสุ ลิขนฺติ, ตํ มชฺฌิมฎฺฐกถาย วตฺถสุตฺตวณฺณนาย (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗๐) น สเมติฯ ตตฺถ หิ อิทํ วุตฺตํ –

    41. Pañcamassa paṭhame upamāva opammaṃ, so eva attho, tasmiṃ opammatthe bodhetabbe nipāto. Seyyathāpīti yathāti attho. Ettha ca tatra bhagavā katthaci atthena upamaṃ parivāretvā dasseti vatthasutte viya, pāricchattakopama (a. ni. 7.69) aggikkhandhopamādi (a. ni. 7.72) suttesu viya ca. Katthaci upamāya atthaṃ parivāretvā dasseti loṇambilasutte (a. ni. 3.101) viya, suvaṇṇakārasattasūriyopamādisuttesu (a. ni. 7.66) viya ca. Imasmiṃ pana sālisūkopame upamāya atthaṃ parivāretvā dassento ‘‘seyyathāpi, bhikkhave’’tiādimāhāti potthakesu likhanti, taṃ majjhimaṭṭhakathāya vatthasuttavaṇṇanāya (ma. ni. aṭṭha. 1.70) na sameti. Tattha hi idaṃ vuttaṃ –

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, วตฺถนฺติ อุปมาวจนเมเวตํฯ อุปมํ กโรโนฺต จ ภควา กตฺถจิ ปฐมํเยว อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อตฺถํ ทเสฺสติ, กตฺถจิ ปฐมํ อตฺถํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อุปมํ, กตฺถจิ อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติ, กตฺถจิ อเตฺถน อุปมํฯ ตถา เหส ‘‘เสยฺยถาปิสฺสุ, ภิกฺขเว, เทฺว อคารา สทฺวารา, ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส มเชฺฌ ฐิโต ปเสฺสยฺยา’’ติ สกลมฺปิ เทวทูตสุตฺตํ (ม. นิ. ๓.๒๖๑ อาทโย) อุปมํ ปฐมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ ‘‘ติโรกุฎฺฎํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉติ, เสยฺยถาปิ, อากาเส’’ติอาทินา ปน นเยน สกลมฺปิ อิทฺธิวิธํ อตฺถํ ปฐมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อุปมํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ ‘‘เสยฺยถาปิ, พฺราหฺมณปุริโส สารตฺถิโก สารคเวสี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๓๑๔) นเยน สกลมฺปิ จูฬสาโรปมสุตฺตํ อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสโนฺต อาหฯ ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, เอกเจฺจ กุลปุตฺตา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ สุตฺตํ…เป.… เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส อลคทฺทตฺถิโก’’ติอาทินา นเยน สกลมฺปิ อลคทฺทสุตฺตํ (ม. นิ. ๑.๒๓๘) มหาสาโรปมสุตฺตนฺติ เอวมาทีนิ สุตฺตานิ อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสโนฺต อาหฯ สฺวายํ อิธ ปฐมํ อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อตฺถํ ทเสฺสตีติฯ

    Seyyathāpi, bhikkhave, vatthanti upamāvacanamevetaṃ. Upamaṃ karonto ca bhagavā katthaci paṭhamaṃyeva upamaṃ dassetvā pacchā atthaṃ dasseti, katthaci paṭhamaṃ atthaṃ dassetvā pacchā upamaṃ, katthaci upamāya atthaṃ parivāretvā dasseti, katthaci atthena upamaṃ. Tathā hesa ‘‘seyyathāpissu, bhikkhave, dve agārā sadvārā, tattha cakkhumā puriso majjhe ṭhito passeyyā’’ti sakalampi devadūtasuttaṃ (ma. ni. 3.261 ādayo) upamaṃ paṭhamaṃ dassetvā pacchā atthaṃ dassento āha. ‘‘Tirokuṭṭaṃ tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamāno gacchati, seyyathāpi, ākāse’’tiādinā pana nayena sakalampi iddhividhaṃ atthaṃ paṭhamaṃ dassetvā pacchā upamaṃ dassento āha. ‘‘Seyyathāpi, brāhmaṇapuriso sāratthiko sāragavesī’’tiādinā (ma. ni. 1.314) nayena sakalampi cūḷasāropamasuttaṃ upamāya atthaṃ parivāretvā dassento āha. ‘‘Idha pana, bhikkhave, ekacce kulaputtā dhammaṃ pariyāpuṇanti suttaṃ…pe… seyyathāpi, bhikkhave, puriso alagaddatthiko’’tiādinā nayena sakalampi alagaddasuttaṃ (ma. ni. 1.238) mahāsāropamasuttanti evamādīni suttāni atthena upamaṃ parivāretvā dassento āha. Svāyaṃ idha paṭhamaṃ upamaṃ dassetvā pacchā atthaṃ dassetīti.

    เอตฺถ หิ จูฬสาโรปมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๑๒) ปฐมํ อุปมํ วตฺวา ตทนนฺตรํ อุปเมยฺยตฺถํ วตฺวา ปุน อุปมํ วทโนฺต อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสตีติ วุโตฺตฯ อลคทฺทูปมสุตฺตาทีสุ ปน อตฺถํ ปฐมํ วตฺวา ตทนนฺตรํ อุปมํ วตฺวา ปุน อตฺถํ วทโนฺต อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสตีติ วุโตฺตฯ เตเนเวตฺถ ลีนตฺถปฺปกาสินิยํ วุตฺตํ – ‘‘อุปเมยฺยตฺถํ ปฐมํ วตฺวา ตทนนฺตรํ อตฺถํ วตฺวา ปุน อุปมํ วทโนฺต อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสตี’’ติ วุโตฺตฯ อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยติฯ อิธ ปน กตฺถจิ อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติฯ ‘‘วตฺถสุเตฺต วิย ปาริจฺฉตฺตโกปมอคฺคิกฺขโนฺธปมาทิสุเตฺตสุ วิย จา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ วตฺถสุเตฺต ตาว ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, วตฺถํ สํกิลิฎฺฐํ มลคฺคหิตํ, ตเมนํ รชโก ยสฺมิํ ยสฺมิํ รงฺคชาเต อุปสํหเรยฺยฯ ยทิ นีลกาย, ยทิ ปีตกาย, ยทิ โลหิตกาย, ยทิ มญฺชิฎฺฐกาย, ทุรตฺตวณฺณเมวสฺส อปริสุทฺธวณฺณเมวสฺสฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อปริสุทฺธตฺตา, ภิกฺขเว, วตฺถสฺสฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, จิเตฺต สํกิลิเฎฺฐ ทุคฺคติ ปาฎิกงฺขา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๗๐) ปฐมํ อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อุปเมยฺยโตฺถ วุโตฺต, น ปน ปฐมํ อตฺถํ วตฺวา ตทนนฺตรํ อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปุน อโตฺถ วุโตฺตฯ เยน กตฺถจิ อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติฯ วตฺถสุเตฺต วิยาติ วเทยฺยฯ

    Ettha hi cūḷasāropamādīsu (ma. ni. 1.312) paṭhamaṃ upamaṃ vatvā tadanantaraṃ upameyyatthaṃ vatvā puna upamaṃ vadanto upamāya atthaṃ parivāretvā dassetīti vutto. Alagaddūpamasuttādīsu pana atthaṃ paṭhamaṃ vatvā tadanantaraṃ upamaṃ vatvā puna atthaṃ vadanto atthena upamaṃ parivāretvā dassetīti vutto. Tenevettha līnatthappakāsiniyaṃ vuttaṃ – ‘‘upameyyatthaṃ paṭhamaṃ vatvā tadanantaraṃ atthaṃ vatvā puna upamaṃ vadanto upamāya atthaṃ parivāretvā dassetī’’ti vutto. Atthena upamaṃ parivāretvāti etthāpi eseva nayoti. Idha pana katthaci atthena upamaṃ parivāretvā dasseti. ‘‘Vatthasutte viya pāricchattakopamaaggikkhandhopamādisuttesu viya cā’’ti vuttaṃ. Tattha vatthasutte tāva ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, vatthaṃ saṃkiliṭṭhaṃ malaggahitaṃ, tamenaṃ rajako yasmiṃ yasmiṃ raṅgajāte upasaṃhareyya. Yadi nīlakāya, yadi pītakāya, yadi lohitakāya, yadi mañjiṭṭhakāya, durattavaṇṇamevassa aparisuddhavaṇṇamevassa. Taṃ kissa hetu? Aparisuddhattā, bhikkhave, vatthassa. Evameva kho, bhikkhave, citte saṃkiliṭṭhe duggati pāṭikaṅkhā’’tiādinā (ma. ni. 1.70) paṭhamaṃ upamaṃ dassetvā pacchā upameyyattho vutto, na pana paṭhamaṃ atthaṃ vatvā tadanantaraṃ upamaṃ dassetvā puna attho vutto. Yena katthaci atthena upamaṃ parivāretvā dasseti. Vatthasutte viyāti vadeyya.

    ตถา ปาริจฺฉตฺตโกปเมปิ ‘‘ยสฺมิํ, ภิกฺขเว, สมเย เทวานํ ตาวติํสานํ ปาริจฺฉตฺตโก โกวิฬาโร ปณฺฑุปลาโส โหติ, อตฺตมนา, ภิกฺขเว, เทวา ตาวติํสา, ตสฺมิํ สมเย โหนฺติ ปณฺฑุปลาโส ทานิ ปาริจฺฉตฺตโก โกวิฬาโร, น จิรเสฺสว ทานิ ปนฺนปลาโส ภวิสฺสติ…เป.… เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยสฺมิํ สมเย อริยสาวโก อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชฺชาย เจเตติฯ ปณฺฑุปลาโส, ภิกฺขเว, อริยสาวโก ตสฺมิํ สมเย โหตี’’ติอาทินา (อ. นิ. ๗.๖๙) ปฐมํ อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อโตฺถ วุโตฺตฯ อคฺคิกฺขโนฺธปเม ‘‘ปสฺสถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อมุํ มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ อาทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตนฺติฯ เอวํ, ภเนฺตติฯ ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, กตมํ นุ โข วรํ ยํ อมุํ มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ อาทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตํ อาลิเงฺคตฺวา อุปนิสีเทยฺย วา อุปนิปเชฺชยฺย วา, ยํ ขตฺติยกญฺญํ วา พฺราหฺมณกญฺญํ วา คหปติกญฺญํ วา มุทุตลุนหตฺถปาทํ อาลิเงฺคตฺวา อุปนิสีเทยฺย วา อุปนิปเชฺชยฺย วา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๗.๗๒) ปฐมํ อุปมํเยว ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อโตฺถ วุโตฺต, น ปน ปฐมํ อตฺถํ วตฺวา ตทนนฺตรํ อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปุน อโตฺถ วุโตฺต, ตสฺมา ‘‘กตฺถจิ อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติ วตฺถสุเตฺต วิย ปาริจฺฉตฺตโกปมอคฺคิกฺขโนฺธปมาทิสุเตฺตสุ วิย จา’’ติ น วตฺตพฺพํฯ

    Tathā pāricchattakopamepi ‘‘yasmiṃ, bhikkhave, samaye devānaṃ tāvatiṃsānaṃ pāricchattako koviḷāro paṇḍupalāso hoti, attamanā, bhikkhave, devā tāvatiṃsā, tasmiṃ samaye honti paṇḍupalāso dāni pāricchattako koviḷāro, na cirasseva dāni pannapalāso bhavissati…pe… evameva kho, bhikkhave, yasmiṃ samaye ariyasāvako agārasmā anagāriyaṃ pabbajjāya ceteti. Paṇḍupalāso, bhikkhave, ariyasāvako tasmiṃ samaye hotī’’tiādinā (a. ni. 7.69) paṭhamaṃ upamaṃ dassetvā pacchā attho vutto. Aggikkhandhopame ‘‘passatha no tumhe, bhikkhave, amuṃ mahantaṃ aggikkhandhaṃ ādittaṃ sampajjalitaṃ sajotibhūtanti. Evaṃ, bhanteti. Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, katamaṃ nu kho varaṃ yaṃ amuṃ mahantaṃ aggikkhandhaṃ ādittaṃ sampajjalitaṃ sajotibhūtaṃ āliṅgetvā upanisīdeyya vā upanipajjeyya vā, yaṃ khattiyakaññaṃ vā brāhmaṇakaññaṃ vā gahapatikaññaṃ vā mudutalunahatthapādaṃ āliṅgetvā upanisīdeyya vā upanipajjeyya vā’’tiādinā (a. ni. 7.72) paṭhamaṃ upamaṃyeva dassetvā pacchā attho vutto, na pana paṭhamaṃ atthaṃ vatvā tadanantaraṃ upamaṃ dassetvā puna attho vutto, tasmā ‘‘katthaci atthena upamaṃ parivāretvā dasseti vatthasutte viya pāricchattakopamaaggikkhandhopamādisuttesu viya cā’’ti na vattabbaṃ.

    เกจิ ปเนตฺถ เอวํ วณฺณยนฺติ ‘‘อตฺถํ ปฐมํ วตฺวา ปจฺฉา จ อุปมํ ทเสฺสโนฺต อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติ นาม, อุปมํ ปน ปฐมํ วตฺวา ปจฺฉา อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติ นาม, ตทุภยสฺสปิ อาคตฎฺฐานํ นิทเสฺสโนฺต ‘วตฺถสุเตฺต วิยา’ติอาทิมาหา’’ติฯ ตมฺปิ ‘‘กตฺถจิ อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติ วตฺถสุเตฺต วิย ปาริจฺฉตฺตโกปมอคฺคิกฺขโนฺธปมาทิสุเตฺตสุ วิย จา’’ติ วตฺตพฺพํ, เอวญฺจ วุจฺจมาเน ‘‘กตฺถจิ อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติ โลณมฺพิลสุเตฺต วิยา’’ติ วิสุํ น วตฺตพฺพํ ‘‘อคฺคิกฺขโนฺธปมาทิสุเตฺต วิยา’’ติ เอตฺถ อาทิสเทฺทเนว สงฺคหิตตฺตาฯ โลณมฺพิลสุเตฺตปิ หิ –

    Keci panettha evaṃ vaṇṇayanti ‘‘atthaṃ paṭhamaṃ vatvā pacchā ca upamaṃ dassento atthena upamaṃ parivāretvā dasseti nāma, upamaṃ pana paṭhamaṃ vatvā pacchā atthaṃ dassento upamāya atthaṃ parivāretvā dasseti nāma, tadubhayassapi āgataṭṭhānaṃ nidassento ‘vatthasutte viyā’tiādimāhā’’ti. Tampi ‘‘katthaci atthena upamaṃ parivāretvā dasseti vatthasutte viya pāricchattakopamaaggikkhandhopamādisuttesu viya cā’’ti vattabbaṃ, evañca vuccamāne ‘‘katthaci upamāya atthaṃ parivāretvā dasseti loṇambilasutte viyā’’ti visuṃ na vattabbaṃ ‘‘aggikkhandhopamādisutte viyā’’ti ettha ādisaddeneva saṅgahitattā. Loṇambilasuttepi hi –

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต พฺยโตฺต กุสโล สูโท ราชานํ วา ราชมหามตฺตํ วา นานจฺจเยหิ สูเปหิ ปจฺจุปฎฺฐิโต อสฺส อมฺพิลเคฺคหิปิ ติตฺตกเคฺคหิปิ กฎุกเคฺคหิปิ มธุรเคฺคหิปิ ขาริเกหิปิ อขาริเกหิปิ โลณิเกหิปิ อโลณิเกหิปิฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, paṇḍito byatto kusalo sūdo rājānaṃ vā rājamahāmattaṃ vā nānaccayehi sūpehi paccupaṭṭhito assa ambilaggehipi tittakaggehipi kaṭukaggehipi madhuraggehipi khārikehipi akhārikehipi loṇikehipi aloṇikehipi.

    ‘‘ส โข โส, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต พฺยโตฺต กุสโล สูโท สกสฺส ภตฺตสฺส นิมิตฺตํ อุคฺคณฺหาติ ‘อิทํ วา เม อชฺช ภตฺตสูเปยฺยํ รุจฺจติ, อิมสฺส วา อภิหรติ, อิมสฺส วา พหุํ คณฺหาติ, อิมสฺส วา วณฺณํ ภาสติฯ อมฺพิลคฺคํ วา เม อชฺช ภตฺตสูเปยฺยํ รุจฺจติ, อมฺพิลคฺคสฺส วา อภิหรติ, อมฺพิลคฺคสฺส วา พหุํ คณฺหาติ, อมฺพิลคฺคสฺส วา วณฺณํ ภาสติ…เป.… อโลณิกสฺส วา วณฺณํ ภาสตี’ติฯ ส โข โส, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต พฺยโตฺต กุสโล สูโท ลาภี เจว โหติ อจฺฉาทนสฺส, ลาภี เวตนสฺส, ลาภี อภิหารานํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต พฺยโตฺต กุสโล สูโท สกสฺส ภตฺตนิมิตฺตํ อุคฺคณฺหาติฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ ปณฺฑิโต พฺยโตฺต กุสโล ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ…เป.… เวทนาสุ…เป.… จิเตฺต…เป.… ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ ตสฺส ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสิโน วิหรโต จิตฺตํ สมาธิยติ, อุปกฺกิเลสา ปหียนฺติ, โส ตํ นิมิตฺตํ อุคฺคณฺหาติฯ

    ‘‘Sa kho so, bhikkhave, paṇḍito byatto kusalo sūdo sakassa bhattassa nimittaṃ uggaṇhāti ‘idaṃ vā me ajja bhattasūpeyyaṃ ruccati, imassa vā abhiharati, imassa vā bahuṃ gaṇhāti, imassa vā vaṇṇaṃ bhāsati. Ambilaggaṃ vā me ajja bhattasūpeyyaṃ ruccati, ambilaggassa vā abhiharati, ambilaggassa vā bahuṃ gaṇhāti, ambilaggassa vā vaṇṇaṃ bhāsati…pe… aloṇikassa vā vaṇṇaṃ bhāsatī’ti. Sa kho so, bhikkhave, paṇḍito byatto kusalo sūdo lābhī ceva hoti acchādanassa, lābhī vetanassa, lābhī abhihārānaṃ. Taṃ kissa hetu? Tathā hi so, bhikkhave, paṇḍito byatto kusalo sūdo sakassa bhattanimittaṃ uggaṇhāti. Evameva kho, bhikkhave, idhekacco paṇḍito byatto kusalo bhikkhu kāye kāyānupassī viharati…pe… vedanāsu…pe… citte…pe… dhammesu dhammānupassī viharati ātāpī sampajāno satimā vineyya loke abhijjhādomanassaṃ. Tassa dhammesu dhammānupassino viharato cittaṃ samādhiyati, upakkilesā pahīyanti, so taṃ nimittaṃ uggaṇhāti.

    ‘‘ส โข, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต พฺยโตฺต กุสโล ภิกฺขุ ลาภี เจว โหติ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สุขวิหารานํ, ลาภี โหติ สติสมฺปชญฺญสฺสฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ โส, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต พฺยโตฺต กุสโล ภิกฺขุ สกสฺส จิตฺตสฺส นิมิตฺตํ อุคฺคณฺหาตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๗๔) –

    ‘‘Sa kho, bhikkhave, paṇḍito byatto kusalo bhikkhu lābhī ceva hoti diṭṭheva dhamme sukhavihārānaṃ, lābhī hoti satisampajaññassa. Taṃ kissa hetu? Tathā hi so, bhikkhave, paṇḍito byatto kusalo bhikkhu sakassa cittassa nimittaṃ uggaṇhātī’’ti (saṃ. ni. 5.374) –

    เอวํ ปฐมํ อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อโตฺถ วุโตฺตฯ ‘‘สุวณฺณการสูริโยปมาทิสุเตฺตสุ วิย จา’’ติ อิทญฺจ อุทาหรณมเตฺตน สงฺคหํ คจฺฉติ สุวณฺณการสุตฺตาทีสุ ปฐมํ อุปมาย อทสฺสิตตฺตาฯ เอเตสุ หิ สุวณฺณกาโรปมสุเตฺต (อ. นิ. ๓.๑๐๓) ตาว –

    Evaṃ paṭhamaṃ upamaṃ dassetvā pacchā attho vutto. ‘‘Suvaṇṇakārasūriyopamādisuttesu viya cā’’ti idañca udāharaṇamattena saṅgahaṃ gacchati suvaṇṇakārasuttādīsu paṭhamaṃ upamāya adassitattā. Etesu hi suvaṇṇakāropamasutte (a. ni. 3.103) tāva –

    ‘‘อธิจิตฺตมนุยุเตฺตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ตีณิ นิมิตฺตานิ กาเลน กาลํ มนสิ กาตพฺพานิ, กาเลน กาลํ สมาธินิมิตฺตํ มนสิ กาตพฺพํ, กาเลน กาลํ ปคฺคหนิมิตฺตํ มนสิ กาตพฺพํ, กาเลน กาลํ อุเปกฺขานิมิตฺตํ มนสิ กาตพฺพํฯ สเจ, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ เอกนฺตํ สมาธินิมิตฺตํเยว มนสิ กเรยฺย, ฐานํ ตํ จิตฺตํ โกสชฺชาย สํวเตฺตยฺยฯ สเจ, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ เอกนฺตํ ปคฺคหนิมิตฺตํเยว มนสิ กเรยฺย, ฐานํ ตํ จิตฺตํ อุทฺธจฺจาย สํวเตฺตยฺยฯ สเจ, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ เอกนฺตํ อุเปกฺขานิมิตฺตํเยว มนสิ กเรยฺย, ฐานํ ตํ จิตฺตํ น สมฺมา สมาธิเยยฺย อาสวานํ ขยายฯ ยโต จ โข, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ กาเลน กาลํ สมาธินิมิตฺตํ…เป.… ปคฺคหนิมิตฺตํ…เป.… อุเปกฺขานิมิตฺตํ มนสิ กโรติ, ตํ โหติ จิตฺตํ มุทุญฺจ กมฺมนิยญฺจ ปภสฺสรญฺจ, น จ ปภงฺคุ, สมฺมา สมาธิยติ อาสวานํ ขยายฯ

    ‘‘Adhicittamanuyuttena, bhikkhave, bhikkhunā tīṇi nimittāni kālena kālaṃ manasi kātabbāni, kālena kālaṃ samādhinimittaṃ manasi kātabbaṃ, kālena kālaṃ paggahanimittaṃ manasi kātabbaṃ, kālena kālaṃ upekkhānimittaṃ manasi kātabbaṃ. Sace, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu ekantaṃ samādhinimittaṃyeva manasi kareyya, ṭhānaṃ taṃ cittaṃ kosajjāya saṃvatteyya. Sace, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu ekantaṃ paggahanimittaṃyeva manasi kareyya, ṭhānaṃ taṃ cittaṃ uddhaccāya saṃvatteyya. Sace, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu ekantaṃ upekkhānimittaṃyeva manasi kareyya, ṭhānaṃ taṃ cittaṃ na sammā samādhiyeyya āsavānaṃ khayāya. Yato ca kho, bhikkhave, adhicittamanuyutto bhikkhu kālena kālaṃ samādhinimittaṃ…pe… paggahanimittaṃ…pe… upekkhānimittaṃ manasi karoti, taṃ hoti cittaṃ muduñca kammaniyañca pabhassarañca, na ca pabhaṅgu, sammā samādhiyati āsavānaṃ khayāya.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา อุกฺกํ พเนฺธยฺย, อุกฺกํ พนฺธิตฺวา อุกฺกามุขํ อาลิเมฺปยฺย, อุกฺกามุขํ อาลิมฺปิตฺวา สณฺฑาเสน ชาตรูปํ คเหตฺวา อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺย, อุกฺกามุเข ปกฺขิปิตฺวา กาเลน กาลํ อภิธมติ, กาเลน กาลํ อุทเกน ปริโปฺผเสติ, กาเลน กาลํ อชฺฌุเปกฺขติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา ตํ ชาตรูปํ เอกนฺตํ อภิธเมยฺย, ฐานํ ตํ ชาตรูปํ ทเหยฺยฯ สเจ, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา ตํ ชาตรูปํ เอกนฺตํ อุทเกน ปริโปฺผเสยฺย, ฐานํ ตํ ชาตรูปํ นิพฺพาเปยฺยฯ สเจ, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา ตํ ชาตรูปํ เอกนฺตํ อชฺฌุเปเกฺขยฺย, ฐานํ ตํ ชาตรูปํ น สมฺมา ปริปากํ คเจฺฉยฺยฯ ยโต จ โข, ภิกฺขเว, สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา ตํ ชาตรูปํ กาเลน กาลํ อภิธมติ, กาเลน กาลํ อุทเกน ปริโปฺผเสติ, กาเลน กาลํ อชฺฌุเปกฺขติ, ตํ โหติ ชาตรูปํ มุทุญฺจ กมฺมนิยญฺจ ปภสฺสรญฺจ, น จ ปภงฺคุ, สมฺมา อุเปติ กมฺมายฯ ยสฺสา ยสฺสา จ ปิฬนฺธนวิกติยา อากงฺขติ, ยทิ ปฎฺฎิกาย ยทิ กุณฺฑลาย ยทิ คีเวยฺยเกน ยทิ สุวณฺณมาลาย, ตญฺจสฺส อตฺถํ อนุโภติฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā ukkaṃ bandheyya, ukkaṃ bandhitvā ukkāmukhaṃ ālimpeyya, ukkāmukhaṃ ālimpitvā saṇḍāsena jātarūpaṃ gahetvā ukkāmukhe pakkhipeyya, ukkāmukhe pakkhipitvā kālena kālaṃ abhidhamati, kālena kālaṃ udakena paripphoseti, kālena kālaṃ ajjhupekkhati. Sace, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā taṃ jātarūpaṃ ekantaṃ abhidhameyya, ṭhānaṃ taṃ jātarūpaṃ daheyya. Sace, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā taṃ jātarūpaṃ ekantaṃ udakena paripphoseyya, ṭhānaṃ taṃ jātarūpaṃ nibbāpeyya. Sace, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā taṃ jātarūpaṃ ekantaṃ ajjhupekkheyya, ṭhānaṃ taṃ jātarūpaṃ na sammā paripākaṃ gaccheyya. Yato ca kho, bhikkhave, suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā taṃ jātarūpaṃ kālena kālaṃ abhidhamati, kālena kālaṃ udakena paripphoseti, kālena kālaṃ ajjhupekkhati, taṃ hoti jātarūpaṃ muduñca kammaniyañca pabhassarañca, na ca pabhaṅgu, sammā upeti kammāya. Yassā yassā ca piḷandhanavikatiyā ākaṅkhati, yadi paṭṭikāya yadi kuṇḍalāya yadi gīveyyakena yadi suvaṇṇamālāya, tañcassa atthaṃ anubhoti.

    ‘‘เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อธิจิตฺตมนุยุเตฺตน ภิกฺขุ…เป.… สมฺมา สมาธิยติ อาสวานํ ขยายฯ ยสฺส ยสฺส จ อภิญฺญาสจฺฉิกรณียสฺส ธมฺมสฺส จิตฺตํ อภินินฺนาเมติ อภิญฺญาสจฺฉิกิริยาย, ตตฺร ตเตฺรว สกฺขิภพฺพตํ ปาปุณาติ สติ สติอายตเน’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๐๓) –

    ‘‘Evameva kho, bhikkhave, adhicittamanuyuttena bhikkhu…pe… sammā samādhiyati āsavānaṃ khayāya. Yassa yassa ca abhiññāsacchikaraṇīyassa dhammassa cittaṃ abhininnāmeti abhiññāsacchikiriyāya, tatra tatreva sakkhibhabbataṃ pāpuṇāti sati satiāyatane’’ti (a. ni. 3.103) –

    เอวํ ปฐมํ อตฺถํ ทเสฺสตฺวา ตทตนฺตรํ อุปมํ วตฺวา ปุนปิ อโตฺถ เอวํ ปฐมํ อตฺถํ ทเสฺสตฺวา ตทนนฺตรํ อุปมํ วตฺวา ปุนปิ อโตฺถ วุโตฺตฯ

    Evaṃ paṭhamaṃ atthaṃ dassetvā tadatantaraṃ upamaṃ vatvā punapi attho evaṃ paṭhamaṃ atthaṃ dassetvā tadanantaraṃ upamaṃ vatvā punapi attho vutto.

    สตฺตสูริโยปเม จ –

    Sattasūriyopame ca –

    ‘‘อนิจฺจา, ภิกฺขเว, สงฺขารา, อธุวา, ภิกฺขเว, สงฺขารา, อนสฺสาสิกา, ภิกฺขเว, สงฺขารา, ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, อลเมว สพฺพสงฺขาเรสุ นิพฺพินฺทิตุํ อลํ วิรชฺชิตุํ อลํ วิมุจฺจิตุํฯ สิเนรุ, ภิกฺขเว, ปพฺพตราชา จตุราสีติโยชนสหสฺสานิ อายาเมน, จตุราสีติโยชนสหสฺสานิ วิตฺถาเรน, จตุราสีติโยชนสหสฺสานิ มหาสมุเทฺท อโชฺฌคาโฬฺห, จตุราสีติโยชนสหสฺสานิ มหาสมุทฺทา อจฺจุคฺคโตฯ โหติ โส โข, ภิกฺขเว, สมโย, ยํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน พหูนิ วสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตานิ พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตสหสฺสานิ เทโว น วสฺสติ, เทเว โข ปน, ภิกฺขเว, อวสฺสเนฺต เย เกจิเม พีชคามภูตคามา โอสธิติณวนปฺปตโย, เต อุสฺสุสฺสนฺติ วิสุสฺสนฺติ น ภวนฺติฯ เอวํ อนิจฺจา, ภิกฺขเว, สงฺขารา, เอวํ อธุวา, ภิกฺขเว, สงฺขารา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๗.๖๖) –

    ‘‘Aniccā, bhikkhave, saṅkhārā, adhuvā, bhikkhave, saṅkhārā, anassāsikā, bhikkhave, saṅkhārā, yāvañcidaṃ, bhikkhave, alameva sabbasaṅkhāresu nibbindituṃ alaṃ virajjituṃ alaṃ vimuccituṃ. Sineru, bhikkhave, pabbatarājā caturāsītiyojanasahassāni āyāmena, caturāsītiyojanasahassāni vitthārena, caturāsītiyojanasahassāni mahāsamudde ajjhogāḷho, caturāsītiyojanasahassāni mahāsamuddā accuggato. Hoti so kho, bhikkhave, samayo, yaṃ kadāci karahaci dīghassa addhuno accayena bahūni vassāni bahūni vassasatāni bahūni vassasahassāni bahūni vassasatasahassāni devo na vassati, deve kho pana, bhikkhave, avassante ye kecime bījagāmabhūtagāmā osadhitiṇavanappatayo, te ussussanti visussanti na bhavanti. Evaṃ aniccā, bhikkhave, saṅkhārā, evaṃ adhuvā, bhikkhave, saṅkhārā’’tiādinā (a. ni. 7.66) –

    ปฐมํ อตฺถํ ทเสฺสตฺวา ตทนนฺตรํ อุปมํ วตฺวา ปุนปิ อโตฺถ วุโตฺตฯ อถ วา ‘‘สูริยสฺส, ภิกฺขเว, อุทยโต เอตํ ปุพฺพงฺคมํ เอตํ ปุพฺพนิมิตฺตํ, ยทิทํ อรุณุคฺคํฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อริยสฺส อฎฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาทาย เอตํ ปุพฺพงฺคมํ เอตํ ปุพฺพนิมิตฺตํ, ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา’’ติ ยเทตํ สํยุตฺตนิกาเย (สํ. นิ. ๕.๔๙) อาคตํ, ตํ อิธ สูริโยปมสุตฺตนฺติ อธิเปฺปตํ สิยาฯ ตมฺปิ ‘‘กตฺถจิ อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสตี’’ติ อิมินา น สเมติ ปฐมํ อุปมํ วตฺวา ตทนนฺตรํ อตฺถํ ทเสฺสตฺวา ปุน อุปมาย อวุตฺตตฺตาฯ ปฐมเมว หิ ตตฺถ อุปมา ทสฺสิตา, ‘‘อิมสฺมิํ ปน สาลิสูโกปเม อุปมาย อตฺถํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสโนฺต เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเวติ อาทิมาหา’’ติฯ อิทมฺปิ วจนมสงฺคหิตํ วตฺถสุตฺตสฺส อิมสฺส จ วิเสสาภาวโตฯ อุภยตฺถาปิ หิ ปฐมํ อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อโตฺถ วุโตฺต , ตสฺมา เอวเมตฺถ ปาเฐน ภวิตพฺพํ ‘‘ตตฺร ภควา กตฺถจิ ปฐมํเยว อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อตฺถํ ทเสฺสติ วตฺถสุเตฺต วิย ปาริจฺฉตฺตโกปม- (อ. นิ. ๗.๖๙) อคฺคิกฺขโนฺธปมาทิสุเตฺตสุ (อ. นิ. ๗.๗๒) วิย จ, กตฺถจิ อเตฺถน อุปมํ ปริวาเรตฺวา ทเสฺสติ สุวณฺณการสตฺตสูริโยปมาทิสุเตฺตสุ (อ. นิ. ๗.๖๖) วิย, อิมสฺมิํ ปน สาลิสูโกปเม ปฐมํ อุปมํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา อตฺถํ ทเสฺสโนฺต เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเวติ อาทิมาหา’’ติฯ อญฺญถา มชฺฌิมฎฺฐกถาย วิรุชฺฌติฯ อิธาปิ จ ปุเพฺพนาปรํ น สเมติฯ มชฺฌิมฎฺฐกถาย วุตฺตนเยเนว วา อิธาปิ ปาโฐ คเหตโพฺพฯ

    Paṭhamaṃ atthaṃ dassetvā tadanantaraṃ upamaṃ vatvā punapi attho vutto. Atha vā ‘‘sūriyassa, bhikkhave, udayato etaṃ pubbaṅgamaṃ etaṃ pubbanimittaṃ, yadidaṃ aruṇuggaṃ. Evameva kho, bhikkhave, bhikkhuno ariyassa aṭṭhaṅgikassa maggassa uppādāya etaṃ pubbaṅgamaṃ etaṃ pubbanimittaṃ, yadidaṃ kalyāṇamittatā’’ti yadetaṃ saṃyuttanikāye (saṃ. ni. 5.49) āgataṃ, taṃ idha sūriyopamasuttanti adhippetaṃ siyā. Tampi ‘‘katthaci upamāya atthaṃ parivāretvā dassetī’’ti iminā na sameti paṭhamaṃ upamaṃ vatvā tadanantaraṃ atthaṃ dassetvā puna upamāya avuttattā. Paṭhamameva hi tattha upamā dassitā, ‘‘imasmiṃ pana sālisūkopame upamāya atthaṃ parivāretvā dassento seyyathāpi, bhikkhaveti ādimāhā’’ti. Idampi vacanamasaṅgahitaṃ vatthasuttassa imassa ca visesābhāvato. Ubhayatthāpi hi paṭhamaṃ upamaṃ dassetvā pacchā attho vutto , tasmā evamettha pāṭhena bhavitabbaṃ ‘‘tatra bhagavā katthaci paṭhamaṃyeva upamaṃ dassetvā pacchā atthaṃ dasseti vatthasutte viya pāricchattakopama- (a. ni. 7.69) aggikkhandhopamādisuttesu (a. ni. 7.72) viya ca, katthaci atthena upamaṃ parivāretvā dasseti suvaṇṇakārasattasūriyopamādisuttesu (a. ni. 7.66) viya, imasmiṃ pana sālisūkopame paṭhamaṃ upamaṃ dassetvā pacchā atthaṃ dassento seyyathāpi, bhikkhaveti ādimāhā’’ti. Aññathā majjhimaṭṭhakathāya virujjhati. Idhāpi ca pubbenāparaṃ na sameti. Majjhimaṭṭhakathāya vuttanayeneva vā idhāpi pāṭho gahetabbo.

    กณสทิโส สาลิผลสฺส ตุเณฺฑ อุปฺปชฺชนกวาโล สาลิสูกํ, ตถา ยวสูกํฯ สูกสฺส ตนุกภาวโต เภทวโต เภโท นาติมหา โหตีติ อาห – ‘‘ภินฺทิสฺสติ, ฉวิํ ฉินฺทิสฺสตีติ อโตฺถ’’ติฯ ยถา มิจฺฉาฐปิตสาลิสูกาทิ อกฺกนฺตมฺปิ หตฺถาทิํ น ภินฺทติ ภินฺทิตุํ อโยคฺคภาเวน ฐิตตฺตา, เอวํ อาจยคามิจิตฺตํ อวิชฺชํ น ภินฺทติ ภินฺทิตุํ อโยคฺคภาเวน อุปฺปนฺนตฺตาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘มิจฺฉาฐปิเตนา’’ติอาทินาฯ อฎฺฐสุ ฐาเนสูติ ‘‘ทุเกฺข อญฺญาณ’’นฺติอาทินา วุเตฺตสุ ทุกฺขาทีสุ จตูสุ สเจฺจสุ ปุพฺพนฺตาทีสุ จตูสุ จาติ อฎฺฐสุ ฐาเนสุฯ ฆนพหลนฺติ จิรกาลปริภาวนาย อติวิย พหลํฯ มหาวิสยตาย มหาปฎิปกฺขตาย พหุปริวารตาย พหุทุกฺขตาย จ มหตี อวิชฺชาติ มหาอวิชฺชาฯ ตํ มหาอวิชฺชํฯ มหาสโทฺท หิ พหุภาวโตฺถปิ โหติ ‘‘มหาชโน’’ติอาทีสุ วิยฯ ตณฺหาวานโต นิกฺขนฺตภาเวนาติ ตตฺถ ตณฺหาย อภาวเมว วทติฯ

    Kaṇasadiso sāliphalassa tuṇḍe uppajjanakavālo sālisūkaṃ, tathā yavasūkaṃ. Sūkassa tanukabhāvato bhedavato bhedo nātimahā hotīti āha – ‘‘bhindissati, chaviṃ chindissatīti attho’’ti. Yathā micchāṭhapitasālisūkādi akkantampi hatthādiṃ na bhindati bhindituṃ ayoggabhāvena ṭhitattā, evaṃ ācayagāmicittaṃ avijjaṃ na bhindati bhindituṃ ayoggabhāvena uppannattāti imamatthaṃ dasseti ‘‘micchāṭhapitenā’’tiādinā. Aṭṭhasu ṭhānesūti ‘‘dukkhe aññāṇa’’ntiādinā vuttesu dukkhādīsu catūsu saccesu pubbantādīsu catūsu cāti aṭṭhasu ṭhānesu. Ghanabahalanti cirakālaparibhāvanāya ativiya bahalaṃ. Mahāvisayatāya mahāpaṭipakkhatāya bahuparivāratāya bahudukkhatāya ca mahatī avijjāti mahāavijjā. Taṃ mahāavijjaṃ. Mahāsaddo hi bahubhāvatthopi hoti ‘‘mahājano’’tiādīsu viya. Taṇhāvānato nikkhantabhāvenāti tattha taṇhāya abhāvameva vadati.

    ๔๒. ทุติเย ปาเทเนว อวมทฺทิเต อกฺกนฺตนฺติ วุจฺจมาเน หเตฺถน อวมทฺทิตํ อกฺกนฺตํ วิย อกฺกนฺตนฺติ รุฬฺหี เหสาติ อาห – ‘‘อกฺกนฺตเนฺตว วุตฺต’’นฺติฯ อริยโวหาโรติ อริยเทสวาสีนํ โวหาโรฯ มหนฺตํ อคฺคเหตฺวา อปฺปมตฺตกเสฺสว คหเณ ปโยชนํ ทเสฺสตุํ – ‘‘กสฺมา ปนา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ เตน ‘‘วิวฎฺฎูปนิสฺสยกุสลํ นาม โยนิโส อุปฺปาทิตํ อปฺปก’’นฺติ น จิเนฺตตพฺพํ, อนุกฺกเมน ลทฺธปจฺจยํ หุตฺวา วฑฺฒมานํ ขุทฺทกนที วิย ปกฺขนฺทมโหฆา สมุทฺทํ, อนุกฺกเมน นิพฺพานมหาสมุทฺทเมว ปุริสํ ปาเปตีติ ทีเปติฯ ปเจฺจกโพธิํ พุทฺธภูมินฺติ จ ปจฺจเตฺต อุปโยควจนํฯ วฎฺฎวิวฎฺฎํ กถิตนฺติ ยถากฺกเมน วุตฺตํฯ

    42. Dutiye pādeneva avamaddite akkantanti vuccamāne hatthena avamadditaṃ akkantaṃ viya akkantanti ruḷhī hesāti āha – ‘‘akkantanteva vutta’’nti. Ariyavohāroti ariyadesavāsīnaṃ vohāro. Mahantaṃ aggahetvā appamattakasseva gahaṇe payojanaṃ dassetuṃ – ‘‘kasmā panā’’tiādi āraddhaṃ. Tena ‘‘vivaṭṭūpanissayakusalaṃ nāma yoniso uppāditaṃ appaka’’nti na cintetabbaṃ, anukkamena laddhapaccayaṃ hutvā vaḍḍhamānaṃ khuddakanadī viya pakkhandamahoghā samuddaṃ, anukkamena nibbānamahāsamuddameva purisaṃ pāpetīti dīpeti. Paccekabodhiṃ buddhabhūminti ca paccatte upayogavacanaṃ. Vaṭṭavivaṭṭaṃ kathitanti yathākkamena vuttaṃ.

    ๔๓. ตติเย โทเสน ปทุฎฺฐจิตฺตนฺติ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ, ยสฺมิํ สนฺตาเน อุปฺปชฺชติ, ตสฺส จ ทูสเนน วิสสํสฎฺฐปูติมุตฺตสทิเสน โทเสน ปทูสิตจิตฺตํฯ อตฺตโน จิเตฺตนาติ อตฺตโน เจโตปริยญาเณน สพฺพญฺญุตญฺญาเณน วา สหิเตน จิเตฺตนฯ ปริจฺฉินฺทิตฺวาติ ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ฯ อิฎฺฐากาเรน เอตีติ อโย, สุขํฯ สพฺพโส อเปโต อโย เอตสฺส, เอตสฺมาติ วา อปาโย, กายิกสฺส เจตสิกสฺส จ ทุกฺขสฺส คติ ปวตฺติฎฺฐานนฺติ ทุคฺคติ, การณาวเสน วิวิธํ วิกาเรน จ นิปาติยนฺติ เอตฺถาติ วินิปาโต, อปฺปโกปิ นตฺถิ อโย สุขํ เอตฺถาติ นิรโยติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    43. Tatiye dosena paduṭṭhacittanti sampayuttadhammānaṃ, yasmiṃ santāne uppajjati, tassa ca dūsanena visasaṃsaṭṭhapūtimuttasadisena dosena padūsitacittaṃ. Attano cittenāti attano cetopariyañāṇena sabbaññutaññāṇena vā sahitena cittena. Paricchinditvāti ñāṇena paricchinditvā . Iṭṭhākārena etīti ayo, sukhaṃ. Sabbaso apeto ayo etassa, etasmāti vā apāyo, kāyikassa cetasikassa ca dukkhassa gati pavattiṭṭhānanti duggati, kāraṇāvasena vividhaṃ vikārena ca nipātiyanti etthāti vinipāto, appakopi natthi ayo sukhaṃ etthāti nirayoti evamettha attho veditabbo.

    ๔๔. จตุเตฺถ สทฺธาปสาเทน ปสนฺนนฺติ สทฺธาสงฺขาเตน ปสาเทน ปสนฺนํ, น อินฺทฺริยานํ อวิปฺปสนฺนตายฯ สุขสฺส คตินฺติ สุขสฺส ปวตฺติฎฺฐานํฯ สุขเมเวตฺถ คจฺฉนฺติ, น ทุกฺขนฺติ วา สุคติฯ มนาปิยรูปาทิตาย สห อเคฺคหีติ สคฺคํ, โลกํฯ

    44. Catutthe saddhāpasādena pasannanti saddhāsaṅkhātena pasādena pasannaṃ, na indriyānaṃ avippasannatāya. Sukhassa gatinti sukhassa pavattiṭṭhānaṃ. Sukhamevettha gacchanti, na dukkhanti vā sugati. Manāpiyarūpāditāya saha aggehīti saggaṃ, lokaṃ.

    ๔๕. ปญฺจเม ปริฬาหวูปสมกโร รหโท เอตฺถาติ รหโท, อุทกปุโณฺณ รหโท อุทกรหโทฯ อุทกํ ทหติ ธาเรตีติ อุทกทโหฯ อาวิโลติ กลลพหุลตาย อากุโลฯ เตนาห – ‘‘อวิปฺปสโนฺน’’ติฯ ลุฬิโตติ วาเตน อาโลฬิโตฯ เตนาห – ‘‘อปริสณฺฐิโต’’ติฯ วาตาภิฆาเตน วีจิตรงฺคมลสมากุลตาย หิ ปริโต น สณฺฐิโต วา อปริสณฺฐิโตฯ วาตาภิฆาเตน อุทกสฺส จ อปฺปภาเวน กลลีภูโต กทฺทมภาวปฺปโตฺตติ อาห – ‘‘กทฺทมีภูโต’’ติฯ สิปฺปิโย มุตฺตสิปฺปิอาทโยฯ สมฺพุกา สงฺขสลากวิเสสาฯ จรนฺตมฺปิ ติฎฺฐนฺตมฺปีติ ยถาลาภวจนเมตํ ทฎฺฐพฺพํฯ ตเมว หิ ยถาลาภวจนตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘เอตฺถา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ

    45. Pañcame pariḷāhavūpasamakaro rahado etthāti rahado, udakapuṇṇo rahado udakarahado. Udakaṃ dahati dhāretīti udakadaho. Āviloti kalalabahulatāya ākulo. Tenāha – ‘‘avippasanno’’ti. Luḷitoti vātena āloḷito. Tenāha – ‘‘aparisaṇṭhito’’ti. Vātābhighātena vīcitaraṅgamalasamākulatāya hi parito na saṇṭhito vā aparisaṇṭhito. Vātābhighātena udakassa ca appabhāvena kalalībhūto kaddamabhāvappattoti āha – ‘‘kaddamībhūto’’ti. Sippiyo muttasippiādayo. Sambukā saṅkhasalākavisesā. Carantampi tiṭṭhantampīti yathālābhavacanametaṃ daṭṭhabbaṃ. Tameva hi yathālābhavacanataṃ dassetuṃ – ‘‘etthā’’tiādi āraddhaṃ.

    ปริโยนเทฺธนาติ ปฎิจฺฉาทิเตนฯ ตยิทํ การเณน อาวิลภาวสฺส ทสฺสนํฯ ทิฎฺฐธเมฺม อิมสฺมิํ อตฺตภาเว ภโว ทิฎฺฐธมฺมิโก, โส ปน โลกิโยปิ โหติ โลกุตฺตโรปีติ อาห – ‘‘โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสโก’’ติฯ เปจฺจ สมฺปเรตพฺพโต สมฺปราโย, ปรโลโกฯ เตนาห – ‘‘โส หิ ปรตฺถ อโตฺถติ ปรโตฺถ’’ติฯ อิติ ทฺวิธาปิ สกสนฺตติปริยาปโนฺน เอว คหิโตติ อิตรมฺปิ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุํ – ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ อยนฺติ กุสลกมฺมปถสงฺขาโต ทสวิโธ ธโมฺมฯ สตฺถนฺตรกปฺปาวสาเนติ อิทํ ตสฺส อาสนฺนภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยสฺส กสฺสจิ อนฺตรกปฺปสฺสาวสาเนติ เวทิตพฺพํฯ อริยานํ ยุตฺตนฺติ อริยานํ อริยภาวาย ยุตฺตํ, ตโต เอว อริยภาวํ กาตุํ สมตฺถํฯ ญาณเมว เญยฺยสฺส ปจฺจกฺขกรณเฎฺฐน ทสฺสนนฺติ อาห – ‘‘ญาณเมว หี’’ติอาทิฯ กิํ ปน ตนฺติ อาห – ‘‘ทิพฺพจกฺขู’’ติอาทิฯ

    Pariyonaddhenāti paṭicchāditena. Tayidaṃ kāraṇena āvilabhāvassa dassanaṃ. Diṭṭhadhamme imasmiṃ attabhāve bhavo diṭṭhadhammiko, so pana lokiyopi hoti lokuttaropīti āha – ‘‘lokiyalokuttaramissako’’ti. Pecca samparetabbato samparāyo, paraloko. Tenāha – ‘‘so hi parattha atthoti parattho’’ti. Iti dvidhāpi sakasantatipariyāpanno eva gahitoti itarampi saṅgahetvā dassetuṃ – ‘‘apicā’’tiādimāha. Ayanti kusalakammapathasaṅkhāto dasavidho dhammo. Satthantarakappāvasāneti idaṃ tassa āsannabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Yassa kassaci antarakappassāvasāneti veditabbaṃ. Ariyānaṃ yuttanti ariyānaṃ ariyabhāvāya yuttaṃ, tato eva ariyabhāvaṃ kātuṃ samatthaṃ. Ñāṇameva ñeyyassa paccakkhakaraṇaṭṭhena dassananti āha – ‘‘ñāṇameva hī’’tiādi. Kiṃ pana tanti āha – ‘‘dibbacakkhū’’tiādi.

    ๔๖. ฉเฎฺฐ อโจฺฉติ ตนุโกฯ ตนุภาวเมว หิ สนฺธาย ‘‘อพหโล’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปสโนฺน นาม อโจฺฉ น พหโล, ตสฺมา ‘‘ปสโนฺนติปิ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ วิปฺปสโนฺนติ วิเสเสน ปสโนฺน ฯ โส ปน สมฺมา ปสโนฺน นาม โหตีติ อาห – ‘‘สุฎฺฐุ ปสโนฺน’’ติฯ อนาวิโลติ อกลุโสฯ เตนาห – ‘‘ปริสุโทฺธ’’ติอาทิฯ สงฺขนฺติ ขุทฺทกเสวาลํ, ยํ ‘‘ติลพีชก’’นฺติ วุจฺจติฯ เสวาลนฺติ กณฺณิกเสวาลํฯ ปณกนฺติ อุทกมลํฯ จิตฺตสฺส อาวิลภาโว นีวรณเหตุโกติ อาห – ‘‘อนาวิเลนาติ ปญฺจนีวรณวิมุเตฺตนา’’ติฯ

    46. Chaṭṭhe acchoti tanuko. Tanubhāvameva hi sandhāya ‘‘abahalo’’ti vuttaṃ. Yasmā pasanno nāma accho na bahalo, tasmā ‘‘pasannotipi vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Vippasannoti visesena pasanno . So pana sammā pasanno nāma hotīti āha – ‘‘suṭṭhu pasanno’’ti. Anāviloti akaluso. Tenāha – ‘‘parisuddho’’tiādi. Saṅkhanti khuddakasevālaṃ, yaṃ ‘‘tilabījaka’’nti vuccati. Sevālanti kaṇṇikasevālaṃ. Paṇakanti udakamalaṃ. Cittassa āvilabhāvo nīvaraṇahetukoti āha – ‘‘anāvilenāti pañcanīvaraṇavimuttenā’’ti.

    ๔๗. สตฺตเม รุกฺขชาตานีติ เอตฺถ ชาตสเทฺทน ปทวฑฺฒนเมว กตํ ยถา ‘‘โกสชาต’’นฺติ อาห – ‘‘รุกฺขานเมเวตํ อธิวจน’’นฺติฯ โกจิ หิ รุโกฺข วเณฺณน อโคฺค โหติ ยถา ตํ รตฺตจนฺทนาทิฯ โกจิ คเนฺธน ยถา ตํ โคสีตจนฺทนํฯ โกจิ รเสน ขทิราทิฯ โกจิ ถทฺธตาย จมฺปกาทิฯ มคฺคผลาวหตาย วิปสฺสนาวเสน ภาวิตมฺปิ คหิตํฯ ‘‘ตตฺถ ตเตฺถว สกฺขิภพฺพตํ ปาปุณาตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๐๓) วจนโต ‘‘อภิญฺญาปาทกจตุตฺถชฺฌานจิตฺตเมว, อาวุโส’’ติ ผุสฺสมิตฺตเตฺถโร วทติฯ

    47. Sattame rukkhajātānīti ettha jātasaddena padavaḍḍhanameva kataṃ yathā ‘‘kosajāta’’nti āha – ‘‘rukkhānamevetaṃ adhivacana’’nti. Koci hi rukkho vaṇṇena aggo hoti yathā taṃ rattacandanādi. Koci gandhena yathā taṃ gosītacandanaṃ. Koci rasena khadirādi. Koci thaddhatāya campakādi. Maggaphalāvahatāya vipassanāvasena bhāvitampi gahitaṃ. ‘‘Tattha tattheva sakkhibhabbataṃ pāpuṇātī’’ti (a. ni. 3.103) vacanato ‘‘abhiññāpādakacatutthajjhānacittameva, āvuso’’ti phussamittatthero vadati.

    ๔๘. อฎฺฐเม จิตฺตสฺส ปริวตฺตนํ อุปฺปาทนิโรธา เอวาติ อาห – ‘‘เอวํ ลหุํ อุปฺปชฺชิตฺวา ลหุํ นิรุชฺฌนก’’นฺติฯ อธิมตฺตปมาณเตฺถติ อติกฺกนฺตปมาณเตฺถ, ปมาณาตีตตายนฺติ อโตฺถฯ เตนาห – ‘‘อติวิย น สุกรา’’ติฯ จกฺขุวิญฺญาณมฺปิ อธิเปฺปตเมวาติ สพฺพสฺสปิ จิตฺตสฺส สมานขณตฺตา วุตฺตํฯ จิตฺตสฺส อติวิย ลหุปริวตฺติภาวํ เถรวาเทน ทีเปตุํ – ‘‘อิมสฺมิํ ปนเตฺถ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ จิตฺตสงฺขาราติ สสมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ วทติฯ วาหสตานํ โข, มหาราช, วีหีนนฺติ โปตฺถเกสุ ลิขนฺติ, ‘‘วาหสตํ โข, มหาราช, วีหีน’’นฺติ ปน ปาเฐน ภวิตพฺพํฯ มิลินฺทปเญฺหปิ (มิ. ป. ๔.๑.๒) หิ กตฺถจิ อยเมว ปาโฐ ทิสฺสติฯ ‘‘วาหสตาน’’นฺติ วา ปจฺจเตฺต สามิวจนํ พฺยตฺตเยน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อฑฺฒจูฬนฺติ โถเกน อูนํ อุปฑฺฒํฯ กสฺส ปน อุปฑฺฒนฺติ? อธิการโต วาหสฺสาติ วิญฺญายติฯ ‘‘อฑฺฒจุทฺทส’’นฺติ เกจิฯ ‘‘อฑฺฒจตุตฺถ’’นฺติ อปเรฯ สาธิกํ ทิยฑฺฒสตํ วาหาติ ทฬฺหํ กตฺวา วทนฺติ, วีมํสิตพฺพํฯ จตุนาฬิโก ตุโมฺพฯ ปุจฺฉาย อภาเวนาติ ‘‘สกฺกา ปน, ภเนฺต, อุปมํ กาตุ’’นฺติ เอวํ ปวตฺตาย ปุจฺฉาย อภาเวน น กตา อุปมาฯ ธมฺมเทสนาปริโยสาเนติ สนฺนิปติตปริสาย ยถารทฺธธมฺมเทสนาย ปริโยสาเนฯ

    48. Aṭṭhame cittassa parivattanaṃ uppādanirodhā evāti āha – ‘‘evaṃ lahuṃ uppajjitvā lahuṃ nirujjhanaka’’nti. Adhimattapamāṇattheti atikkantapamāṇatthe, pamāṇātītatāyanti attho. Tenāha – ‘‘ativiya na sukarā’’ti. Cakkhuviññāṇampi adhippetamevāti sabbassapi cittassa samānakhaṇattā vuttaṃ. Cittassa ativiya lahuparivattibhāvaṃ theravādena dīpetuṃ – ‘‘imasmiṃ panatthe’’tiādi vuttaṃ. Cittasaṅkhārāti sasampayuttaṃ cittaṃ vadati. Vāhasatānaṃ kho, mahārāja, vīhīnanti potthakesu likhanti, ‘‘vāhasataṃ kho, mahārāja, vīhīna’’nti pana pāṭhena bhavitabbaṃ. Milindapañhepi (mi. pa. 4.1.2) hi katthaci ayameva pāṭho dissati. ‘‘Vāhasatāna’’nti vā paccatte sāmivacanaṃ byattayena vuttanti daṭṭhabbaṃ. Aḍḍhacūḷanti thokena ūnaṃ upaḍḍhaṃ. Kassa pana upaḍḍhanti? Adhikārato vāhassāti viññāyati. ‘‘Aḍḍhacuddasa’’nti keci. ‘‘Aḍḍhacatuttha’’nti apare. Sādhikaṃ diyaḍḍhasataṃ vāhāti daḷhaṃ katvā vadanti, vīmaṃsitabbaṃ. Catunāḷiko tumbo. Pucchāya abhāvenāti ‘‘sakkā pana, bhante, upamaṃ kātu’’nti evaṃ pavattāya pucchāya abhāvena na katā upamā. Dhammadesanāpariyosāneti sannipatitaparisāya yathāraddhadhammadesanāya pariyosāne.

    ๔๙. นวเม ปภสฺสรนฺติ ปริโยทาตํ สภาวปริสุทฺธเฎฺฐนฯ เตนาห – ‘‘ปณฺฑรํ ปริสุทฺธ’’นฺติฯ ปภสฺสรตาทโย นาม วณฺณธาตุยํ ลพฺภนกวิเสสาติ อาห – ‘‘กิํ ปน จิตฺตสฺส วโณฺณ นาม อตฺถี’’ติ? อิตโร อรูปตาย ‘‘นตฺถี’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปริยายกถา อยํ ตาทิสสฺส จิตฺตสฺส ปริสุทฺธภาวนาทีปนายาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘นีลาทีน’’นฺติอาทิมาหฯ ตถา หิ ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๔๓-๒๔๔; ม. นิ. ๑.๓๘๔-๓๘๖, ๔๓๑-๔๓๓; ปารา. ๑๒-๑๓) วุตฺตํ ฯ เตเนวาห – ‘‘อิทมฺปิ นิรุปกฺกิเลสตาย ปริสุทฺธนฺติ ปภสฺสร’’นฺติฯ กิํ ปน ภวงฺคจิตฺตํ นิรุปกฺกิเลสนฺติ? อาม สภาวโต นิรุปกฺกิเลสํ, อาคนฺตุกอุปกฺกิเลสวเสน ปน สิยา อุปกฺกิลิฎฺฐํฯ เตนาห – ‘‘ตญฺจ โข’’ติอาทิฯ ตตฺถ อตฺตโน เตสญฺจ ภิกฺขูนํ ปจฺจกฺขภาวโต ปุเพฺพ ‘‘อิท’’นฺติ วตฺวา อิทานิ ปจฺจามสนวเสน ‘‘ต’’นฺติ อาหฯ จ-สโทฺท อตฺถูปนยเนฯ โข-สโทฺท วจนาลงฺกาเร, อวธารเณ วาฯ วกฺขมานสฺส อตฺถสฺส นิจฺฉิตภาวโต ภวงฺคจิเตฺตน สหาวฎฺฐานาภาวโต อุปกฺกิเลสานํ อาคนฺตุกตาติ อาห – ‘‘อสหชาเตหี’’ติอาทิฯ ราคาทโย อุเปจฺจ จิตฺตสนฺตานํ กิลิสฺสนฺติ วิพาเธนฺติ อุปตาเปนฺติ จาติ อาห – ‘‘อุปกฺกิเลเสหีติ ราคาทีหี’’ติฯ ภวงฺคจิตฺตสฺส นิปฺปริยายโต อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฎฺฐตา นาม นตฺถิ อสํสฎฺฐภาวโต, เอกสนฺตติปริยาปนฺนตาย ปน สิยา อุปกฺกิลิฎฺฐตาปริยาโยติ อาห – ‘‘อุปกฺกิลิฎฺฐํ นามาติ วุจฺจตี’’ติฯ อิทานิ ตมตฺถํ อุปมาย วิภาเวตุํ ‘‘ยถา หี’’ติอาทิมาหฯ เตน ภินฺนสนฺตานคตายปิ นาม อิริยาย โลเก คารยฺหตา ทิสฺสติ, ปเคว เอกสนฺตานคตาย อิริยายาติ อิมํ วิเสสํ ทเสฺสติฯ เตนาห – ‘‘ชวนกฺขเณ…เป.… อุปกฺกิลิฎฺฐํ นาม โหตี’’ติฯ

    49. Navame pabhassaranti pariyodātaṃ sabhāvaparisuddhaṭṭhena. Tenāha – ‘‘paṇḍaraṃ parisuddha’’nti. Pabhassaratādayo nāma vaṇṇadhātuyaṃ labbhanakavisesāti āha – ‘‘kiṃ pana cittassa vaṇṇo nāma atthī’’ti? Itaro arūpatāya ‘‘natthī’’ti paṭikkhipitvā pariyāyakathā ayaṃ tādisassa cittassa parisuddhabhāvanādīpanāyāti dassento ‘‘nīlādīna’’ntiādimāha. Tathā hi ‘‘so evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte’’ti (dī. ni. 1.243-244; ma. ni. 1.384-386, 431-433; pārā. 12-13) vuttaṃ . Tenevāha – ‘‘idampi nirupakkilesatāya parisuddhanti pabhassara’’nti. Kiṃ pana bhavaṅgacittaṃ nirupakkilesanti? Āma sabhāvato nirupakkilesaṃ, āgantukaupakkilesavasena pana siyā upakkiliṭṭhaṃ. Tenāha – ‘‘tañca kho’’tiādi. Tattha attano tesañca bhikkhūnaṃ paccakkhabhāvato pubbe ‘‘ida’’nti vatvā idāni paccāmasanavasena ‘‘ta’’nti āha. Ca-saddo atthūpanayane. Kho-saddo vacanālaṅkāre, avadhāraṇe vā. Vakkhamānassa atthassa nicchitabhāvato bhavaṅgacittena sahāvaṭṭhānābhāvato upakkilesānaṃ āgantukatāti āha – ‘‘asahajātehī’’tiādi. Rāgādayo upecca cittasantānaṃ kilissanti vibādhenti upatāpenti cāti āha – ‘‘upakkilesehīti rāgādīhī’’ti. Bhavaṅgacittassa nippariyāyato upakkilesehi upakkiliṭṭhatā nāma natthi asaṃsaṭṭhabhāvato, ekasantatipariyāpannatāya pana siyā upakkiliṭṭhatāpariyāyoti āha – ‘‘upakkiliṭṭhaṃ nāmāti vuccatī’’ti. Idāni tamatthaṃ upamāya vibhāvetuṃ ‘‘yathā hī’’tiādimāha. Tena bhinnasantānagatāyapi nāma iriyāya loke gārayhatā dissati, pageva ekasantānagatāya iriyāyāti imaṃ visesaṃ dasseti. Tenāha – ‘‘javanakkhaṇe…pe… upakkiliṭṭhaṃ nāma hotī’’ti.

    ๕๐. ทสเม ภวงฺคจิตฺตเมว จิตฺตนฺติ ‘‘ปภสฺสรมิทํ, ภิกฺขเว, จิตฺต’’นฺติ วุตฺตํ ภวงฺคจิตฺตเมวฯ ยทเคฺคน ภวงฺคจิตฺตํ ตาทิสปจฺจยสมวาเย อุปกฺกิลิฎฺฐํ นาม วุจฺจติ, ตทเคฺคน ตพฺพิธุรปจฺจยสมวาเย อุปกฺกิเลสโต วิมุตฺตนฺติ วุจฺจติฯ เตนาห – ‘‘อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺตํ นาม โหตี’’ติฯ เสสเมตฺถ นวมสุเตฺต วุตฺตนยานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ

    50. Dasame bhavaṅgacittameva cittanti ‘‘pabhassaramidaṃ, bhikkhave, citta’’nti vuttaṃ bhavaṅgacittameva. Yadaggena bhavaṅgacittaṃ tādisapaccayasamavāye upakkiliṭṭhaṃ nāma vuccati, tadaggena tabbidhurapaccayasamavāye upakkilesato vimuttanti vuccati. Tenāha – ‘‘upakkilesehi vippamuttaṃ nāma hotī’’ti. Sesamettha navamasutte vuttanayānusārena veditabbaṃ.

    ปณิหิตอจฺฉวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṇihitaacchavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๕. ปณิหิตอจฺฉวโคฺค • 5. Paṇihitaacchavaggo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๕. ปณิหิตอจฺฉวคฺควณฺณนา • 5. Paṇihitaacchavaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact