Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๕๙] ๕. ปานียชาตกวณฺณนา

    [459] 5. Pānīyajātakavaṇṇanā

    มิโตฺต มิตฺตสฺสาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต กิเลสนิคฺคหํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกสฺมิญฺหิ สมเย สาวตฺถิวาสิโน ปญฺจสตา คิหิสหายกา ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปนฺนา อโนฺตโกฎิสนฺถาเร วสนฺตา อฑฺฒรตฺตสมเย กามวิตกฺกํ วิตเกฺกสุํฯ สพฺพํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ภควโต อาณตฺติยา ปนายสฺมตา อานเนฺทน ภิกฺขุสเงฺฆ สนฺนิปาติเต สตฺถา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา อโนทิสฺสกํ กตฺวา ‘‘กามวิตกฺกํ วิตกฺกยิตฺถา’’ติ อวตฺวา สพฺพสงฺคาหิกวเสเนว ‘‘ภิกฺขเว, กิเลโส ขุทฺทโก นาม นตฺถิ, ภิกฺขุนา นาม อุปฺปนฺนุปฺปนฺนา กิเลสา นิคฺคเหตพฺพา, โปราณกปณฺฑิตา อนุปฺปเนฺนปิ พุเทฺธ กิเลเส นิคฺคเหตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ ปตฺตา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Mitto mittassāti idaṃ satthā jetavane viharanto kilesaniggahaṃ ārabbha kathesi. Ekasmiñhi samaye sāvatthivāsino pañcasatā gihisahāyakā tathāgatassa dhammadesanaṃ sutvā pabbajitvā upasampannā antokoṭisanthāre vasantā aḍḍharattasamaye kāmavitakkaṃ vitakkesuṃ. Sabbaṃ heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ. Bhagavato āṇattiyā panāyasmatā ānandena bhikkhusaṅghe sannipātite satthā paññattāsane nisīditvā anodissakaṃ katvā ‘‘kāmavitakkaṃ vitakkayitthā’’ti avatvā sabbasaṅgāhikavaseneva ‘‘bhikkhave, kileso khuddako nāma natthi, bhikkhunā nāma uppannuppannā kilesā niggahetabbā, porāṇakapaṇḍitā anuppannepi buddhe kilese niggahetvā paccekabodhiñāṇaṃ pattā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต กาสิรเฎฺฐ เอกสฺมิํ คามเก เทฺว สหายกา ปานียตุมฺพานิ อาทาย เขตฺตํ คนฺตฺวา เอกมนฺตํ ฐเปตฺวา เขตฺตํ โกเฎฺฎตฺวา ปิปาสิตกาเล อาคนฺตฺวา ปานียํ ปิวนฺติฯ เตสุ เอโก ปานียตฺถาย อาคนฺตฺวา อตฺตโน ปานียํ รกฺขโนฺต อิตรสฺส ตุมฺพโต ปิวิตฺวา สายํ อรญฺญา นิกฺขมิตฺวา นฺหายิตฺวา ฐิโต ‘‘อตฺถิ นุ โข เม กายทฺวาราทีหิ อชฺช กิญฺจิ ปาปํ กต’’นฺติ อุปธาเรโนฺต เถเนตฺวา ปานียสฺส ปิวิตภาวํ ทิสฺวา สํเวคปฺปโตฺต หุตฺวา ‘‘อยํ ตณฺหา วฑฺฒมานา มํ อปาเยสุ ขิปิสฺสติ, อิมํ กิเลสํ นิคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ ปานียสฺส เถเนตฺวา ปิวิตภาวํ อารมฺมณํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา ปฎิลทฺธคุณํ อาวเชฺชโนฺต อฎฺฐาสิฯ อถ นํ อิตโร นฺหายิตฺวา อุฎฺฐิโต ‘‘เอหิ, สมฺม, ฆรํ คจฺฉามา’’ติ อาหฯ ‘‘คจฺฉ ตฺวํ, มม ฆเรน กิจฺจํ นตฺถิ, ปเจฺจกพุทฺธา นาม มย’’นฺติฯ ‘‘ปเจฺจกพุทฺธา นาม ตุมฺหาทิสา น โหนฺตี’’ติฯ ‘‘อถ กีทิสา ปเจฺจกพุทฺธา โหนฺตี’’ติ? ‘‘ทฺวงฺคุลเกสา กาสายวตฺถวสนา อุตฺตรหิมวเนฺต นนฺทมูลกปพฺภาเร วสนฺตี’’ติฯ โส สีสํ ปรามสิ, ตํ ขณเญฺญวสฺส คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายิ, สุรตฺตทุปฎฺฎํ นิวตฺถเมว, วิชฺชุลตาสทิสํ กายพนฺธนํ พทฺธเมว, อลตฺตกปาฎลวณฺณํ อุตฺตราสงฺคจีวรํ เอกํสํ กตเมว, เมฆวณฺณํ ปํสุกูลจีวรํ ทกฺขิณอํสกูเฎ ฐปิตเมว, ภมรวโณฺณ มตฺติกาปโตฺต วามอํสกูเฎ ลคฺคิโตว อโหสิฯ โส อากาเส ฐตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา อุปฺปติตฺวา นนฺทมูลกปพฺภาเรเยว โอตริฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente kāsiraṭṭhe ekasmiṃ gāmake dve sahāyakā pānīyatumbāni ādāya khettaṃ gantvā ekamantaṃ ṭhapetvā khettaṃ koṭṭetvā pipāsitakāle āgantvā pānīyaṃ pivanti. Tesu eko pānīyatthāya āgantvā attano pānīyaṃ rakkhanto itarassa tumbato pivitvā sāyaṃ araññā nikkhamitvā nhāyitvā ṭhito ‘‘atthi nu kho me kāyadvārādīhi ajja kiñci pāpaṃ kata’’nti upadhārento thenetvā pānīyassa pivitabhāvaṃ disvā saṃvegappatto hutvā ‘‘ayaṃ taṇhā vaḍḍhamānā maṃ apāyesu khipissati, imaṃ kilesaṃ niggaṇhissāmī’’ti pānīyassa thenetvā pivitabhāvaṃ ārammaṇaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattetvā paṭiladdhaguṇaṃ āvajjento aṭṭhāsi. Atha naṃ itaro nhāyitvā uṭṭhito ‘‘ehi, samma, gharaṃ gacchāmā’’ti āha. ‘‘Gaccha tvaṃ, mama gharena kiccaṃ natthi, paccekabuddhā nāma maya’’nti. ‘‘Paccekabuddhā nāma tumhādisā na hontī’’ti. ‘‘Atha kīdisā paccekabuddhā hontī’’ti? ‘‘Dvaṅgulakesā kāsāyavatthavasanā uttarahimavante nandamūlakapabbhāre vasantī’’ti. So sīsaṃ parāmasi, taṃ khaṇaññevassa gihiliṅgaṃ antaradhāyi, surattadupaṭṭaṃ nivatthameva, vijjulatāsadisaṃ kāyabandhanaṃ baddhameva, alattakapāṭalavaṇṇaṃ uttarāsaṅgacīvaraṃ ekaṃsaṃ katameva, meghavaṇṇaṃ paṃsukūlacīvaraṃ dakkhiṇaaṃsakūṭe ṭhapitameva, bhamaravaṇṇo mattikāpatto vāmaaṃsakūṭe laggitova ahosi. So ākāse ṭhatvā dhammaṃ desetvā uppatitvā nandamūlakapabbhāreyeva otari.

    อปโรปิ กาสิคาเมเยว กุฎุมฺพิโก อาปเณ นิสิโนฺน เอกํ ปุริสํ อตฺตโน ภริยํ อาทาย คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ตํ อุตฺตมรูปธรํ อิตฺถิํ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา โอโลเกตฺวา ปุน จิเนฺตสิ ‘‘อยํ โลโภ วฑฺฒมาโน มํ อปาเยสุ ขิปิสฺสตี’’ติ สํวิคฺคมานโส วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา อากาเส ฐิโต ธมฺมํ เทเสตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารเมว คโตฯ

    Aparopi kāsigāmeyeva kuṭumbiko āpaṇe nisinno ekaṃ purisaṃ attano bhariyaṃ ādāya gacchantaṃ disvā taṃ uttamarūpadharaṃ itthiṃ indriyāni bhinditvā oloketvā puna cintesi ‘‘ayaṃ lobho vaḍḍhamāno maṃ apāyesu khipissatī’’ti saṃviggamānaso vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattetvā ākāse ṭhito dhammaṃ desetvā nandamūlakapabbhārameva gato.

    อปเรปิ กาสิคามวาสิโนเยว เทฺว ปิตาปุตฺตา เอกโต มคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุฯ อฎวีมุเข ปน โจรา อุฎฺฐิตา โหนฺติฯ เต ปิตาปุเตฺต ลภิตฺวา ปุตฺตํ คเหตฺวา ‘‘ธนํ อาหริตฺวา ตว ปุตฺตํ คณฺหา’’ติ ปิตรํ วิสฺสเชฺชนฺติ, เทฺว ภาตโร ลภิตฺวา กนิฎฺฐํ คเหตฺวา เชฎฺฐํ วิสฺสเชฺชนฺติ, อาจริยเนฺตวาสิเก ลภิตฺวา อาจริยํ คเหตฺวา อเนฺตวาสิกํ วิสฺสเชฺชนฺติ, อเนฺตวาสิโก สิปฺปโลเภน ธนํ อาหริตฺวา อาจริยํ คณฺหิตฺวา คจฺฉติฯ อถ เต ปิตาปุตฺตาปิ ตตฺถ โจรานํ อุฎฺฐิตภาวํ ญตฺวา ‘‘ตฺวํ มํ ‘ปิตา’ติ มา วท, อหมฺปิ ตํ ‘ปุโตฺต’ติ น วกฺขามี’’ติ กติกํ กตฺวา โจเรหิ คหิตกาเล ‘‘ตุเมฺห อญฺญมญฺญํ กิํ โหถา’’ติ ปุฎฺฐา ‘‘น กิญฺจิ โหมา’’ติ สมฺปชานมุสาวาทํ กริํสุฯ เตสุ อฎวิโต นิกฺขมิตฺวา สายํ นฺหายิตฺวา ฐิเตสุ ปุโตฺต อตฺตโน สีลํ โสเธโนฺต ตํ มุสาวาทํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ ปาปํ วฑฺฒมานํ มํ อปาเยสุ ขิปิสฺสติ, อิมํ กิเลสํ นิคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา อากาเส ฐิโต ปิตุ ธมฺมํ เทเสตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารเมว คโตฯ

    Aparepi kāsigāmavāsinoyeva dve pitāputtā ekato maggaṃ paṭipajjiṃsu. Aṭavīmukhe pana corā uṭṭhitā honti. Te pitāputte labhitvā puttaṃ gahetvā ‘‘dhanaṃ āharitvā tava puttaṃ gaṇhā’’ti pitaraṃ vissajjenti, dve bhātaro labhitvā kaniṭṭhaṃ gahetvā jeṭṭhaṃ vissajjenti, ācariyantevāsike labhitvā ācariyaṃ gahetvā antevāsikaṃ vissajjenti, antevāsiko sippalobhena dhanaṃ āharitvā ācariyaṃ gaṇhitvā gacchati. Atha te pitāputtāpi tattha corānaṃ uṭṭhitabhāvaṃ ñatvā ‘‘tvaṃ maṃ ‘pitā’ti mā vada, ahampi taṃ ‘putto’ti na vakkhāmī’’ti katikaṃ katvā corehi gahitakāle ‘‘tumhe aññamaññaṃ kiṃ hothā’’ti puṭṭhā ‘‘na kiñci homā’’ti sampajānamusāvādaṃ kariṃsu. Tesu aṭavito nikkhamitvā sāyaṃ nhāyitvā ṭhitesu putto attano sīlaṃ sodhento taṃ musāvādaṃ disvā ‘‘idaṃ pāpaṃ vaḍḍhamānaṃ maṃ apāyesu khipissati, imaṃ kilesaṃ niggaṇhissāmī’’ti vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattetvā ākāse ṭhito pitu dhammaṃ desetvā nandamūlakapabbhārameva gato.

    อปโรปิ กาสิคาเมเยว ปน เอโก คามโภชโก มาฆาตํ การาเปสิฯ อถ นํ พลิกมฺมกาเล มหาชโน สนฺนิปติตฺวา อาห ‘‘สามิ, มยํ มิคสูกราทโย มาเรตฺวา ยกฺขานํ พลิกมฺมํ กริสฺสาม, พลิกมฺมกาโล เอโส’’ติฯ ตุมฺหากํ ปุเพฺพ กรณนิยาเมเนว กโรถาติ มนุสฺสา พหุํ ปาณาติปาตมกํสุฯ โส พหุํ มจฺฉมํสํ ทิสฺวา ‘‘อิเม มนุสฺสา เอตฺตเก ปาเณ มาเรนฺตา มเมเวกสฺส วจเนน มารยิํสู’’ติ กุกฺกุจฺจํ กตฺวา วาตปานํ นิสฺสาย ฐิตโกว วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา อากาเส ฐิโต มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารเมว คโตฯ

    Aparopi kāsigāmeyeva pana eko gāmabhojako māghātaṃ kārāpesi. Atha naṃ balikammakāle mahājano sannipatitvā āha ‘‘sāmi, mayaṃ migasūkarādayo māretvā yakkhānaṃ balikammaṃ karissāma, balikammakālo eso’’ti. Tumhākaṃ pubbe karaṇaniyāmeneva karothāti manussā bahuṃ pāṇātipātamakaṃsu. So bahuṃ macchamaṃsaṃ disvā ‘‘ime manussā ettake pāṇe mārentā mamevekassa vacanena mārayiṃsū’’ti kukkuccaṃ katvā vātapānaṃ nissāya ṭhitakova vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattetvā ākāse ṭhito mahājanassa dhammaṃ desetvā nandamūlakapabbhārameva gato.

    อปโรปิ กาสิรเฎฺฐเยว คามโภชโก มชฺชวิกฺกยํ วาเรตฺวา ‘‘สามิ, ปุเพฺพ อิมสฺมิํ กาเล สุราฉโณ นาม โหติ, กิํ กโรมา’’ติ มหาชเนน วุโตฺต ‘‘ตุมฺหากํ โปราณกนิยาเมเนว กโรถา’’ติ อาหฯ มนุสฺสา ฉณํ กตฺวา สุรํ ปิวิตฺวา กลหํ กโรนฺตา หตฺถปาเท ภญฺชิตฺวา สีสํ ภินฺทิตฺวา กเณฺณ ฉินฺทิตฺวา พหุทเณฺฑน พชฺฌิํสุฯ คามโภชโก เต ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มยิ อนนุชานเนฺต อิเม อิมํ ทุกฺขํ น วิเนฺทยฺยุ’’นฺติฯ โส เอตฺตเกน กุกฺกุจฺจํ กตฺวา วาตปานํ นิสฺสาย ฐิตโกว วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา ‘‘อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ อากาเส ฐตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารเมว คโตฯ

    Aparopi kāsiraṭṭheyeva gāmabhojako majjavikkayaṃ vāretvā ‘‘sāmi, pubbe imasmiṃ kāle surāchaṇo nāma hoti, kiṃ karomā’’ti mahājanena vutto ‘‘tumhākaṃ porāṇakaniyāmeneva karothā’’ti āha. Manussā chaṇaṃ katvā suraṃ pivitvā kalahaṃ karontā hatthapāde bhañjitvā sīsaṃ bhinditvā kaṇṇe chinditvā bahudaṇḍena bajjhiṃsu. Gāmabhojako te disvā cintesi ‘‘mayi ananujānante ime imaṃ dukkhaṃ na vindeyyu’’nti. So ettakena kukkuccaṃ katvā vātapānaṃ nissāya ṭhitakova vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattetvā ‘‘appamattā hothā’’ti ākāse ṭhatvā dhammaṃ desetvā nandamūlakapabbhārameva gato.

    อปรภาเค เต ปญฺจ ปเจฺจกพุทฺธา ภิกฺขาจารตฺถาย พาราณสิทฺวาเร โอตริตฺวา สุนิวตฺถา สุปารุตา ปาสาทิเกหิ อภิกฺกมาทีหิ ปิณฺฑาย จรนฺตา ราชทฺวารํ สมฺปาปุณิํสุฯ ราชา เต ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต ราชนิเวสนํ ปเวเสตฺวา ปาเท โธวิตฺวา คนฺธเตเลน มเกฺขตฺวา ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปฐมวเย ปพฺพชฺชา โสภติ, อิมสฺมิํ วเย ปพฺพชนฺตา กถํ กาเมสุ อาทีนวํ ปสฺสิตฺถ, กิํ โว อารมฺมณํ อโหสี’’ติ ปุจฺฉิฯ เต ตสฺส กเถนฺตา –

    Aparabhāge te pañca paccekabuddhā bhikkhācāratthāya bārāṇasidvāre otaritvā sunivatthā supārutā pāsādikehi abhikkamādīhi piṇḍāya carantā rājadvāraṃ sampāpuṇiṃsu. Rājā te disvā pasannacitto rājanivesanaṃ pavesetvā pāde dhovitvā gandhatelena makkhetvā paṇītena khādanīyena bhojanīyena parivisitvā ekamantaṃ nisīditvā ‘‘bhante, tumhākaṃ paṭhamavaye pabbajjā sobhati, imasmiṃ vaye pabbajantā kathaṃ kāmesu ādīnavaṃ passittha, kiṃ vo ārammaṇaṃ ahosī’’ti pucchi. Te tassa kathentā –

    ๕๙.

    59.

    ‘‘มิโตฺต มิตฺตสฺส ปานียํ, อทินฺนํ ปริภุญฺชิสํ;

    ‘‘Mitto mittassa pānīyaṃ, adinnaṃ paribhuñjisaṃ;

    เตน ปจฺฉา วิชิคุจฺฉิํ, ตํ ปาปํ ปกตํ มยา;

    Tena pacchā vijigucchiṃ, taṃ pāpaṃ pakataṃ mayā;

    มา ปุน อกรํ ปาปํ, ตสฺมา ปพฺพชิโต อหํฯ

    Mā puna akaraṃ pāpaṃ, tasmā pabbajito ahaṃ.

    ๖๐.

    60.

    ‘‘ปรทารญฺจ ทิสฺวาน, ฉโนฺท เม อุทปชฺชถ;

    ‘‘Paradārañca disvāna, chando me udapajjatha;

    เตน ปจฺฉา วิชิคุจฺฉิํ, ตํ ปาปํ ปกตํ มยา;

    Tena pacchā vijigucchiṃ, taṃ pāpaṃ pakataṃ mayā;

    มา ปุน อกรํ ปาปํ, ตสฺมา ปพฺพชิโต อหํฯ

    Mā puna akaraṃ pāpaṃ, tasmā pabbajito ahaṃ.

    ๖๑.

    61.

    ‘‘ปิตรํ เม มหาราช, โจรา อคณฺหุ กานเน;

    ‘‘Pitaraṃ me mahārāja, corā agaṇhu kānane;

    เตสาหํ ปุจฺฉิโต ชานํ, อญฺญถา นํ วิยากริํฯ

    Tesāhaṃ pucchito jānaṃ, aññathā naṃ viyākariṃ.

    ๖๒.

    62.

    ‘‘เตน ปจฺฉา วิชิคุจฺฉิํ, ตํ ปาปํ ปกตํ มยา;

    ‘‘Tena pacchā vijigucchiṃ, taṃ pāpaṃ pakataṃ mayā;

    มา ปุน อกรํ ปาปํ, ตสฺมา ปพฺพชิโต อหํฯ

    Mā puna akaraṃ pāpaṃ, tasmā pabbajito ahaṃ.

    ๖๓.

    63.

    ‘‘ปาณาติปาตมกรุํ, โสมยาเค อุปฎฺฐิเต;

    ‘‘Pāṇātipātamakaruṃ, somayāge upaṭṭhite;

    เตสาหํ สมนุญฺญาสิํฯ

    Tesāhaṃ samanuññāsiṃ.

    ๖๔.

    64.

    ‘‘เตน ปจฺฉา วิชิคุจฺฉิํ, ตํ ปาปํ ปกตํ มยา;

    ‘‘Tena pacchā vijigucchiṃ, taṃ pāpaṃ pakataṃ mayā;

    มา ปุน อกรํ ปาปํ, ตสฺมา ปพฺพชิโต อหํฯ

    Mā puna akaraṃ pāpaṃ, tasmā pabbajito ahaṃ.

    ๖๕.

    65.

    ‘‘สุราเมรยมาธุกา, เย ชนา ปฐมาสุ โน;

    ‘‘Surāmerayamādhukā, ye janā paṭhamāsu no;

    พหูนํ เต อนตฺถาย, มชฺชปานมกปฺปยุํ;

    Bahūnaṃ te anatthāya, majjapānamakappayuṃ;

    เตสาหํ สมนุญฺญาสิํฯ

    Tesāhaṃ samanuññāsiṃ.

    ๖๖.

    66.

    ‘‘เตน ปจฺฉา วิชิคุจฺฉิํ, ตํ ปาปํ ปกตํ มยา;

    ‘‘Tena pacchā vijigucchiṃ, taṃ pāpaṃ pakataṃ mayā;

    มา ปุน อกรํ ปาปํ, ตสฺมา ปพฺพชิโต อห’’นฺติฯ –

    Mā puna akaraṃ pāpaṃ, tasmā pabbajito aha’’nti. –

    อิมา ปฎิปาฎิยา ปญฺจ คาถา อภาสิํสุฯ ราชาปิ เอกเมกสฺส พฺยากรณํ สุตฺวา ‘‘ภเนฺต, อยํ ปพฺพชฺชา ตุมฺหากํ เยวานุจฺฉวิกา’’ติ ถุติมกาสิฯ

    Imā paṭipāṭiyā pañca gāthā abhāsiṃsu. Rājāpi ekamekassa byākaraṇaṃ sutvā ‘‘bhante, ayaṃ pabbajjā tumhākaṃ yevānucchavikā’’ti thutimakāsi.

    ตตฺถ มิโตฺต มิตฺตสฺสาติ มหาราช, อหํ เอกสฺส มิโตฺต หุตฺวา ตสฺส มิตฺตสฺส สนฺตกํ ปานียํ อิมินา นิยาเมเนว ปริภุญฺชิํฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ปุถุชฺชนา นาม ปาปกมฺมํ กโรนฺติ, ตสฺมา อหํ มา ปุน อกรํ ปาปํ, ตํ ปาปํ อารมฺมณํ กตฺวา ปพฺพชิโตมฺหิฯ ฉโนฺทติ มหาราช, อิมินาว นิยาเมน มม ปรทารํ ทิสฺวา กาเม ฉโนฺท อุปฺปชฺชิฯ อคณฺหูติ อคณฺหิํสุฯ ชานนฺติ เตสํ โจรานํ ‘‘อยํ กิํ เต โหตี’’ติ ปุจฺฉิโต ชานโนฺตเยว ‘‘น กิญฺจิ โหตี’’ติ อญฺญถา พฺยากาสิํฯ โสมยาเคติ นวจเนฺท อุฎฺฐิเต โสมยาคํ นาม ยกฺขพลิํ กริํสุ, ตสฺมิํ อุปฎฺฐิเตฯ สมนุญฺญาสินฺติ สมนุโญฺญ อาสิํฯ สุราเมรยมาธุกาติ ปิฎฺฐสุราทิสุรญฺจ ปุปฺผาสวาทิเมรยญฺจ ปกฺกมธุ วิย มธุรํ มญฺญมานาฯ เย ชนา ปฐมาสุ โนติ เย โน คาเม ชนา ปฐมํ เอวรูปา อาสุํ อเหสุํฯ พหูนํ เตติ เต เอกทิวสํ เอกสฺมิํ ฉเณ ปเตฺต พหูนํ อนตฺถาย มชฺชปานํ อกปฺปยิํสุฯ

    Tattha mitto mittassāti mahārāja, ahaṃ ekassa mitto hutvā tassa mittassa santakaṃ pānīyaṃ iminā niyāmeneva paribhuñjiṃ. Tasmāti yasmā puthujjanā nāma pāpakammaṃ karonti, tasmā ahaṃ mā puna akaraṃ pāpaṃ, taṃ pāpaṃ ārammaṇaṃ katvā pabbajitomhi. Chandoti mahārāja, imināva niyāmena mama paradāraṃ disvā kāme chando uppajji. Agaṇhūti agaṇhiṃsu. Jānanti tesaṃ corānaṃ ‘‘ayaṃ kiṃ te hotī’’ti pucchito jānantoyeva ‘‘na kiñci hotī’’ti aññathā byākāsiṃ. Somayāgeti navacande uṭṭhite somayāgaṃ nāma yakkhabaliṃ kariṃsu, tasmiṃ upaṭṭhite. Samanuññāsinti samanuñño āsiṃ. Surāmerayamādhukāti piṭṭhasurādisurañca pupphāsavādimerayañca pakkamadhu viya madhuraṃ maññamānā. Ye janā paṭhamāsu noti ye no gāme janā paṭhamaṃ evarūpā āsuṃ ahesuṃ. Bahūnaṃ teti te ekadivasaṃ ekasmiṃ chaṇe patte bahūnaṃ anatthāya majjapānaṃ akappayiṃsu.

    ราชา เตสํ ธมฺมํ สุตฺวา ปสนฺนจิโตฺต จีวรสาฎเก จ เภสชฺชานิ จ ทตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ อุโยฺยเชสิฯ เตปิ ตสฺส อนุโมทนํ กตฺวา ตเตฺถว อคมํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย ราชา วตฺถุกาเมสุ วิรโตฺต อนเปโกฺข หุตฺวา นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อิตฺถิโย อนาลปิตฺวา อโนโลเกตฺวา วิรตฺตจิโตฺต อุฎฺฐาย สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา นิสิโนฺน เสตภิตฺติยํ กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ฌานํ นิพฺพเตฺตสิฯ โส ฌานปฺปโตฺต กาเม ครหโนฺต –

    Rājā tesaṃ dhammaṃ sutvā pasannacitto cīvarasāṭake ca bhesajjāni ca datvā paccekabuddhe uyyojesi. Tepi tassa anumodanaṃ katvā tattheva agamaṃsu. Tato paṭṭhāya rājā vatthukāmesu viratto anapekkho hutvā nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā itthiyo anālapitvā anoloketvā virattacitto uṭṭhāya sirigabbhaṃ pavisitvā nisinno setabhittiyaṃ kasiṇaparikammaṃ katvā jhānaṃ nibbattesi. So jhānappatto kāme garahanto –

    ๖๗.

    67.

    ‘‘ธิรตฺถุ สุพหู กาเม, ทุคฺคเนฺธ พหุกณฺฎเก;

    ‘‘Dhiratthu subahū kāme, duggandhe bahukaṇṭake;

    เย อหํ ปฎิเสวโนฺต, นาลภิํ ตาทิสํ สุข’’นฺติฯ – คาถมาห;

    Ye ahaṃ paṭisevanto, nālabhiṃ tādisaṃ sukha’’nti. – gāthamāha;

    ตตฺถ พหุกณฺฎเกติ พหู ปจฺจามิเตฺตฯ เย อหนฺติ โย อหํ, อยเมว วา ปาโฐฯ ตาทิสนฺติ เอตาทิสํ กิเลสรหิตํ ฌานสุขํฯ

    Tattha bahukaṇṭaketi bahū paccāmitte. Ye ahanti yo ahaṃ, ayameva vā pāṭho. Tādisanti etādisaṃ kilesarahitaṃ jhānasukhaṃ.

    อถสฺส อคฺคมเหสี ‘‘อยํ ราชา ปเจฺจกพุทฺธานํ ธมฺมกถํ สุตฺวา อุกฺกณฺฐิตรูโป อโหสิ, อเมฺหหิ สทฺธิํ อกเถตฺวาว สิริคพฺภํ ปวิโฎฺฐ, ปริคฺคณฺหิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา สิริคพฺภทฺวาเร ฐิตา รโญฺญ กาเมสุ ครหนฺตสฺส อุทานํ สุตฺวา ‘‘มหาราช, ตฺวํ กาเม ครหสิ, กามสุขสทิสํ นาม สุขํ นตฺถี’’ติ กาเม วเณฺณนฺตี อิตรํ คาถมาห –

    Athassa aggamahesī ‘‘ayaṃ rājā paccekabuddhānaṃ dhammakathaṃ sutvā ukkaṇṭhitarūpo ahosi, amhehi saddhiṃ akathetvāva sirigabbhaṃ paviṭṭho, pariggaṇhissāmi tāva na’’nti cintetvā sirigabbhadvāre ṭhitā rañño kāmesu garahantassa udānaṃ sutvā ‘‘mahārāja, tvaṃ kāme garahasi, kāmasukhasadisaṃ nāma sukhaṃ natthī’’ti kāme vaṇṇentī itaraṃ gāthamāha –

    ๖๘.

    68.

    ‘‘มหสฺสาทา สุขา กามา, นตฺถิ กามา ปรํ สุขํ;

    ‘‘Mahassādā sukhā kāmā, natthi kāmā paraṃ sukhaṃ;

    เย กาเม ปฎิเสวนฺติ, สคฺคํ เต อุปปชฺชเร’’ติฯ

    Ye kāme paṭisevanti, saggaṃ te upapajjare’’ti.

    ตตฺถ มหสฺสาทาติ มหาราช, เอเต กามา นาม มหาอสฺสาทา, อิโต อุตฺตริํ อญฺญํ สุขํ นตฺถิฯ กามเสวิโน หิ อปาเย อนุปคมฺม สเคฺค นิพฺพตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ

    Tattha mahassādāti mahārāja, ete kāmā nāma mahāassādā, ito uttariṃ aññaṃ sukhaṃ natthi. Kāmasevino hi apāye anupagamma sagge nibbattantīti attho.

    ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ตสฺสา ‘‘นสฺส วสลิ, กิํ กเถสิ, กาเมสุ สุขํ นาม กุโต อตฺถิ, วิปริณามทุกฺขา เอเต’’ติ ครหโนฺต เสสคาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā bodhisatto tassā ‘‘nassa vasali, kiṃ kathesi, kāmesu sukhaṃ nāma kuto atthi, vipariṇāmadukkhā ete’’ti garahanto sesagāthā abhāsi –

    ๖๙.

    69.

    ‘‘อปฺปสฺสาทา ทุขา กามา, นตฺถิ กามา ปรํ ทุขํ;

    ‘‘Appassādā dukhā kāmā, natthi kāmā paraṃ dukhaṃ;

    เย กาเม ปฎิเสวนฺติ, นิรยํ เต อุปปชฺชเรฯ

    Ye kāme paṭisevanti, nirayaṃ te upapajjare.

    ๗๐.

    70.

    ‘‘อสี ยถา สุนิสิโต, เนตฺติํโสว สุปายิโก;

    ‘‘Asī yathā sunisito, nettiṃsova supāyiko;

    สตฺตีว อุรสิ ขิตฺตา, กามา ทุกฺขตรา ตโตฯ

    Sattīva urasi khittā, kāmā dukkhatarā tato.

    ๗๑.

    71.

    ‘‘องฺคารานํว ชลิตํ, กาสุํ สาธิกโปริสํ;

    ‘‘Aṅgārānaṃva jalitaṃ, kāsuṃ sādhikaporisaṃ;

    ผาลํว ทิวสํตตฺตํ, กามา ทุกฺขตรา ตโตฯ

    Phālaṃva divasaṃtattaṃ, kāmā dukkhatarā tato.

    ๗๒.

    72.

    ‘‘วิสํ ยถา หลาหลํ, เตลํ ปกฺกุถิตํ ยถา;

    ‘‘Visaṃ yathā halāhalaṃ, telaṃ pakkuthitaṃ yathā;

    ตมฺพโลหวิลีนํว, กามา ทุกฺขตรา ตโต’’ติฯ

    Tambalohavilīnaṃva, kāmā dukkhatarā tato’’ti.

    ตตฺถ เนตฺติํโสติ นิกฺกรุโณ, อิทมฺปิ เอกสฺส ขคฺคสฺส นามํฯ ทุกฺขตราติ เอวํ ชลิตงฺคารกาสุํ วา ทิวสํ ตตฺตํ ผาลํ วา ปฎิจฺจ ยํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ, ตโตปิ กามาเยว ทุกฺขตราติ อโตฺถฯ อนนฺตรคาถาย ยถา เอตานิ วิสาทีนิ ทุกฺขาวหนโต ทุกฺขานิ, เอวํ กามาปิ ทุกฺขา, ตํ ปน กามทุกฺขํ อิตเรหิ ทุเกฺขหิ ทุกฺขตรนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha nettiṃsoti nikkaruṇo, idampi ekassa khaggassa nāmaṃ. Dukkhatarāti evaṃ jalitaṅgārakāsuṃ vā divasaṃ tattaṃ phālaṃ vā paṭicca yaṃ dukkhaṃ uppajjati, tatopi kāmāyeva dukkhatarāti attho. Anantaragāthāya yathā etāni visādīni dukkhāvahanato dukkhāni, evaṃ kāmāpi dukkhā, taṃ pana kāmadukkhaṃ itarehi dukkhehi dukkhataranti attho.

    เอวํ มหาสโตฺต เทวิยา ธมฺมํ เทเสตฺวา อมเจฺจ สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘โภโนฺต อมจฺจา, ตุเมฺห รชฺชํ ปฎิปชฺชถ, อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ วตฺวา มหาชนสฺส โรทนฺตสฺส ปริเทวนฺตสฺส อุฎฺฐาย อากาเส ฐตฺวา โอวาทํ ทตฺวา อนิลปเถเนว อุตฺตรหิมวนฺตํ คนฺตฺวา รมณีเย ปเทเส อสฺสมํ มาเปตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ

    Evaṃ mahāsatto deviyā dhammaṃ desetvā amacce sannipātetvā ‘‘bhonto amaccā, tumhe rajjaṃ paṭipajjatha, ahaṃ pabbajissāmī’’ti vatvā mahājanassa rodantassa paridevantassa uṭṭhāya ākāse ṭhatvā ovādaṃ datvā anilapatheneva uttarahimavantaṃ gantvā ramaṇīye padese assamaṃ māpetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā āyupariyosāne brahmalokaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘ภิกฺขเว, กิเลโส ขุทฺทโก นาม นตฺถิ, อปฺปมตฺตโกปิ ปณฺฑิเตหิ นิคฺคหิตโพฺพเยวา’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน ปญฺจสตา ภิกฺขู อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุฯ ตทา ปเจฺจกพุทฺธา ปรินิพฺพายิํสุ, เทวี ราหุลมาตา อโหสิ, ราชา ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘bhikkhave, kileso khuddako nāma natthi, appamattakopi paṇḍitehi niggahitabboyevā’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne pañcasatā bhikkhū arahatte patiṭṭhahiṃsu. Tadā paccekabuddhā parinibbāyiṃsu, devī rāhulamātā ahosi, rājā pana ahameva ahosinti.

    ปานียชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Pānīyajātakavaṇṇanā pañcamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๕๙. ปานียชาตกํ • 459. Pānīyajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact