Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๕. ปญฺญตฺติสุตฺตวณฺณนา
5. Paññattisuttavaṇṇanā
๑๕. ปญฺจเม อตฺตภาโว เอเตสํ อตฺถีติ อตฺตภาวิโน, เตสํ อตฺตภาวีนํฯ เตนาห ‘‘อตฺตภาววนฺตาน’’นฺติฯ ยาว ฉตฺติํสาย อินฺทานํ อายุปฺปมาณํ, ตาว ปณีเต กาเม ปริภุญฺชีติ มนฺธาตุราชา กิร เอกทิวสํ อตฺตโน ปริณายกรตนํ ปุจฺฉิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข มนุสฺสโลกโต รมณียตรํ ฐาน’’นฺติฯ กสฺมา เทว เอวํ ภณสิ, กิํ น ปสฺสสิ จนฺทิมสูริยานํ อานุภาวํ, นนุ เอเตสํ ฐานํ อิโต รมณียตรนฺติ? ราชา จกฺกรตนํ ปุรกฺขตฺวา ตตฺถ อคมาสิฯ
15. Pañcame attabhāvo etesaṃ atthīti attabhāvino, tesaṃ attabhāvīnaṃ. Tenāha ‘‘attabhāvavantāna’’nti. Yāva chattiṃsāya indānaṃ āyuppamāṇaṃ, tāva paṇīte kāme paribhuñjīti mandhāturājā kira ekadivasaṃ attano pariṇāyakaratanaṃ pucchi – ‘‘atthi nu kho manussalokato ramaṇīyataraṃ ṭhāna’’nti. Kasmā deva evaṃ bhaṇasi, kiṃ na passasi candimasūriyānaṃ ānubhāvaṃ, nanu etesaṃ ṭhānaṃ ito ramaṇīyataranti? Rājā cakkaratanaṃ purakkhatvā tattha agamāsi.
จตฺตาโร มหาราชาโน ‘‘มนฺธาตุมหาราชา อาคโต’’ติ สุตฺวา ‘‘ตาวมหิทฺธิโก มหาราชา น สกฺกา ยุเทฺธน ปฎิพาหิตุ’’นฺติ สกรชฺชํ นิยฺยาเตสุํฯ โส ตํ คเหตฺวา ปุน ปุจฺฉิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข อิโต รมณียตรํ ฐาน’’นฺติฯ อถสฺส ตาวติํสภวนํ กถยิํสุฯ ‘‘ตาวติํสภวนํ, เทว, รมณียํ, ตตฺถ สกฺกสฺส เทวรโญฺญ อิเม จตฺตาโร มหาราชาโน ปาริจาริกา โทวาริกภูมิยํ ติฎฺฐนฺติฯ สโกฺก เทวราชา มหิทฺธิโก มหานุภาโวฯ ตสฺสิมานิ อุปโภคฎฺฐานานิ – โยชนสหสฺสุเพฺพโธ เวชยนฺตปาสาโท, ปญฺจโยชนสตุเพฺพธา สุธมฺมเทวสภา, ทิยฑฺฒโยชนสติโก เวชยนฺตรโถ, ตถา เอราวโณ หตฺถี, ทิพฺพรุกฺขสหสฺสปฺปฎิมณฺฑิตํ นนฺทนวนํ, จิตฺตลตาวนํ, ผารุสกวนํ, โยชนสตุเพฺพโธ ปาริจฺฉตฺตโก โกวิฬาโร, ตสฺส เหฎฺฐา สฎฺฐิโยชนายามา ปญฺญาสโยชนวิตฺถารา ปญฺจทสโยชนุเพฺพธา ชยสุมนปุปฺผวณฺณา ปณฺฑุกมฺพลสิลา, ยสฺสา มุทุตาย สกฺกสฺส นิสีทโต อุปฑฺฒกาโย อนุปฺปวิสตี’’ติฯ
Cattāro mahārājāno ‘‘mandhātumahārājā āgato’’ti sutvā ‘‘tāvamahiddhiko mahārājā na sakkā yuddhena paṭibāhitu’’nti sakarajjaṃ niyyātesuṃ. So taṃ gahetvā puna pucchi – ‘‘atthi nu kho ito ramaṇīyataraṃ ṭhāna’’nti. Athassa tāvatiṃsabhavanaṃ kathayiṃsu. ‘‘Tāvatiṃsabhavanaṃ, deva, ramaṇīyaṃ, tattha sakkassa devarañño ime cattāro mahārājāno pāricārikā dovārikabhūmiyaṃ tiṭṭhanti. Sakko devarājā mahiddhiko mahānubhāvo. Tassimāni upabhogaṭṭhānāni – yojanasahassubbedho vejayantapāsādo, pañcayojanasatubbedhā sudhammadevasabhā, diyaḍḍhayojanasatiko vejayantaratho, tathā erāvaṇo hatthī, dibbarukkhasahassappaṭimaṇḍitaṃ nandanavanaṃ, cittalatāvanaṃ, phārusakavanaṃ, yojanasatubbedho pāricchattako koviḷāro, tassa heṭṭhā saṭṭhiyojanāyāmā paññāsayojanavitthārā pañcadasayojanubbedhā jayasumanapupphavaṇṇā paṇḍukambalasilā, yassā mudutāya sakkassa nisīdato upaḍḍhakāyo anuppavisatī’’ti.
ตํ สุตฺวา ราชา ตตฺถ คนฺตุกาโม จกฺกรตนํ อพฺภุกฺกิริฯ ตํ อากาเส อุฎฺฐหิ สทฺธิํ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ อถ ทฺวินฺนํ เทวโลกานํ เวมชฺฌโต จกฺกรตนํ โอตริตฺวา ปถวิยา อาสเนฺน ฐาเน อฎฺฐาสิ สทฺธิํ ปริณายกรตนปฺปมุขาย จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ราชา เอกโกว อตฺตโน อานุภาเวน ตาวติํสภวนํ อคมาสิฯ สโกฺก ‘‘มนฺธาตา อาคโต’’ติ สุตฺวา ตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ‘‘สฺวาคตํ, มหาราช, สกํ, เต มหาราช, อนุสาส มหาราชา’’ติ วตฺวา สทฺธิํ นาฎเกหิ รชฺชํ เทฺว ภาเค กตฺวา เอกํ ภาคมทาสิฯ รโญฺญ ตาวติํสภวเน ปติฎฺฐิตมตฺตเสฺสว มนุสฺสคนฺธสรีรนิสฺสนฺทาทิมนุสฺสภาโว วิคจฺฉิ, เทวโลเก ปวตฺติวิปากทายิโน อปรปริยายเวทนียสฺส กมฺมสฺส กโตกาสตฺตา สพฺพทา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกตามาลามิลายนาทิเทวภาโว ปาตุรโหสิฯ ตสฺส สเกฺกน สทฺธิํ ปณฺฑุกมฺพลสิลาย นิสินฺนสฺส อกฺขินิมิสนมเตฺตน นานตฺตํ ปญฺญายติฯ ตํ อสลฺลเกฺขนฺตา เทวา สกฺกสฺส จ ตสฺส จ นานเตฺต มุยฺหนฺติฯ โส ตตฺถ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมาโน ตทา มนุสฺสานํ อสเงฺขฺยยฺยายุกตาย ยาว ฉตฺติํส สกฺกา อุปปชฺชิตฺวา จุตา, ตาว สกฺกรชฺชํ กาเรตฺวา ‘‘กิํ เม อิมินา อุปฑฺฒรเชฺชนา’’ติ อติโตฺต กาเมหิ ตโต จวิตฺวา อตฺตโน อุยฺยาเน ปติโต มนุสฺสโลเก อุตุกกฺขฬตาย วาตาตเปน ผุสิตคโตฺต กาลมกาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เทวโลเก ปน ยาว ฉตฺติํสาย อินฺทานํ อายุปฺปมาณํ, ตาว ปณีเต กาเม ปริภุญฺชี’’ติฯ
Taṃ sutvā rājā tattha gantukāmo cakkaratanaṃ abbhukkiri. Taṃ ākāse uṭṭhahi saddhiṃ caturaṅginiyā senāya. Atha dvinnaṃ devalokānaṃ vemajjhato cakkaratanaṃ otaritvā pathaviyā āsanne ṭhāne aṭṭhāsi saddhiṃ pariṇāyakaratanappamukhāya caturaṅginiyā senāya. Rājā ekakova attano ānubhāvena tāvatiṃsabhavanaṃ agamāsi. Sakko ‘‘mandhātā āgato’’ti sutvā tassa paccuggamanaṃ katvā ‘‘svāgataṃ, mahārāja, sakaṃ, te mahārāja, anusāsa mahārājā’’ti vatvā saddhiṃ nāṭakehi rajjaṃ dve bhāge katvā ekaṃ bhāgamadāsi. Rañño tāvatiṃsabhavane patiṭṭhitamattasseva manussagandhasarīranissandādimanussabhāvo vigacchi, devaloke pavattivipākadāyino aparapariyāyavedanīyassa kammassa katokāsattā sabbadā soḷasavassuddesikatāmālāmilāyanādidevabhāvo pāturahosi. Tassa sakkena saddhiṃ paṇḍukambalasilāya nisinnassa akkhinimisanamattena nānattaṃ paññāyati. Taṃ asallakkhentā devā sakkassa ca tassa ca nānatte muyhanti. So tattha dibbasampattiṃ anubhavamāno tadā manussānaṃ asaṅkhyeyyāyukatāya yāva chattiṃsa sakkā upapajjitvā cutā, tāva sakkarajjaṃ kāretvā ‘‘kiṃ me iminā upaḍḍharajjenā’’ti atitto kāmehi tato cavitvā attano uyyāne patito manussaloke utukakkhaḷatāya vātātapena phusitagatto kālamakāsi. Tena vuttaṃ ‘‘devaloke pana yāva chattiṃsāya indānaṃ āyuppamāṇaṃ, tāva paṇīte kāme paribhuñjī’’ti.
ปญฺญตฺติสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paññattisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๕. ปญฺญตฺติสุตฺตํ • 5. Paññattisuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๕. ปญฺญตฺติสุตฺตวณฺณนา • 5. Paññattisuttavaṇṇanā