Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๖. ปราภวสุตฺตวณฺณนา
6. Parābhavasuttavaṇṇanā
เอวํ เม สุตนฺติ ปราภวสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? มงฺคลสุตฺตํ กิร สุตฺวา เทวานํ เอตทโหสิ – ‘‘ภควตา มงฺคลสุเตฺต สตฺตานํ วุฑฺฒิญฺจ โสตฺถิญฺจ กถยมาเนน เอกํเสน ภโว เอว กถิโต, โน ปราภโวฯ หนฺท ทานิ เยน สตฺตา ปริหายนฺติ วินสฺสนฺติ, ตํ เนสํ ปราภวมฺปิ ปุจฺฉามา’’ติฯ อถ มงฺคลสุตฺตํ กถิตทิวสโต ทุติยทิวเส ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ เทวตาโย ปราภวสุตฺตํ โสตุกามา อิมสฺมิํ เอกจกฺกวาเฬ สนฺนิปติตฺวา เอกวาลคฺคโกฎิโอกาสมเตฺต ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ สฎฺฐิปิ สตฺตติปิ อสีติปิ สุขุมตฺตภาเว นิมฺมินิตฺวา สพฺพเทวมารพฺรหฺมาโน สิริยา จ เตเชน จ อธิคยฺห วิโรจมานํ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสินฺนํ ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุฯ ตโต สเกฺกน เทวานมิเนฺทน อาณโตฺต อญฺญตโร เทวปุโตฺต ภควนฺตํ ปราภวปญฺหํ ปุจฺฉิฯ อถ ภควา ปุจฺฉาวเสน อิมํ สุตฺตมภาสิฯ
Evaṃme sutanti parābhavasuttaṃ. Kā uppatti? Maṅgalasuttaṃ kira sutvā devānaṃ etadahosi – ‘‘bhagavatā maṅgalasutte sattānaṃ vuḍḍhiñca sotthiñca kathayamānena ekaṃsena bhavo eva kathito, no parābhavo. Handa dāni yena sattā parihāyanti vinassanti, taṃ nesaṃ parābhavampi pucchāmā’’ti. Atha maṅgalasuttaṃ kathitadivasato dutiyadivase dasasahassacakkavāḷesu devatāyo parābhavasuttaṃ sotukāmā imasmiṃ ekacakkavāḷe sannipatitvā ekavālaggakoṭiokāsamatte dasapi vīsampi tiṃsampi cattālīsampi paññāsampi saṭṭhipi sattatipi asītipi sukhumattabhāve nimminitvā sabbadevamārabrahmāno siriyā ca tejena ca adhigayha virocamānaṃ paññattavarabuddhāsane nisinnaṃ bhagavantaṃ parivāretvā aṭṭhaṃsu. Tato sakkena devānamindena āṇatto aññataro devaputto bhagavantaṃ parābhavapañhaṃ pucchi. Atha bhagavā pucchāvasena imaṃ suttamabhāsi.
ตตฺถ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิ อายสฺมตา อานเนฺทน วุตฺตํฯ ‘‘ปราภวนฺตํ ปุริส’’นฺติอาทินา นเยน เอกนฺตริกา คาถา เทวปุเตฺตน วุตฺตา, ‘‘สุวิชาโน ภวํ โหตี’’ติอาทินา นเยน เอกนฺตริกา เอว อวสานคาถา จ ภควตา วุตฺตา, ตเทตํ สพฺพมฺปิ สโมธาเนตฺวา ‘‘ปราภวสุตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ ตตฺถ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ มงฺคลสุตฺตวณฺณนายํ วกฺขามฯ
Tattha ‘‘evaṃ me suta’’ntiādi āyasmatā ānandena vuttaṃ. ‘‘Parābhavantaṃ purisa’’ntiādinā nayena ekantarikā gāthā devaputtena vuttā, ‘‘suvijāno bhavaṃ hotī’’tiādinā nayena ekantarikā eva avasānagāthā ca bhagavatā vuttā, tadetaṃ sabbampi samodhānetvā ‘‘parābhavasutta’’nti vuccati. Tattha ‘‘evaṃ me suta’’ntiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ maṅgalasuttavaṇṇanāyaṃ vakkhāma.
๙๑. ปราภวนฺตํ ปุริสนฺติอาทีสุ ปน ปราภวนฺตนฺติ ปริหายนฺตํ วินสฺสนฺตํฯ ปุริสนฺติ ยํกิญฺจิ สตฺตํ ชนฺตุํฯ มยํ ปุจฺฉาม โคตมาติ เสสเทเวหิ สทฺธิํ อตฺตานํ นิทเสฺสตฺวา โอกาสํ กาเรโนฺต โส เทวปุโตฺต โคเตฺตน ภควนฺตํ อาลปติฯ ภวนฺตํ ปุฎฺฐุมาคมฺมาติ มยญฺหิ ภวนฺตํ ปุจฺฉิสฺสามาติ ตโต ตโต จกฺกวาฬา อาคตาติ อโตฺถฯ เอเตน อาทรํ ทเสฺสติฯ กิํ ปราภวโต มุขนฺติ เอวํ อาคตานํ อมฺหากํ พฺรูหิ ปราภวโต ปุริสสฺส กิํ มุขํ, กิํ ทฺวารํ, กา โยนิ, กิํ การณํ, เยน มยํ ปราภวนฺตํ ปุริสํ ชาเนยฺยามาติ อโตฺถฯ เอเตน ‘‘ปราภวนฺตํ ปุริส’’นฺติ เอตฺถ วุตฺตสฺส ปราภวโต ปุริสสฺส ปราภวการณํ ปุจฺฉติฯ ปราภวการเณ หิ ญาเต เตน การณสามเญฺญน สกฺกา โย โกจิ ปราภวปุริโส ชานิตุนฺติ ฯ
91.Parābhavantaṃ purisantiādīsu pana parābhavantanti parihāyantaṃ vinassantaṃ. Purisanti yaṃkiñci sattaṃ jantuṃ. Mayaṃ pucchāmagotamāti sesadevehi saddhiṃ attānaṃ nidassetvā okāsaṃ kārento so devaputto gottena bhagavantaṃ ālapati. Bhavantaṃ puṭṭhumāgammāti mayañhi bhavantaṃ pucchissāmāti tato tato cakkavāḷā āgatāti attho. Etena ādaraṃ dasseti. Kiṃ parābhavato mukhanti evaṃ āgatānaṃ amhākaṃ brūhi parābhavato purisassa kiṃ mukhaṃ, kiṃ dvāraṃ, kā yoni, kiṃ kāraṇaṃ, yena mayaṃ parābhavantaṃ purisaṃ jāneyyāmāti attho. Etena ‘‘parābhavantaṃ purisa’’nti ettha vuttassa parābhavato purisassa parābhavakāraṇaṃ pucchati. Parābhavakāraṇe hi ñāte tena kāraṇasāmaññena sakkā yo koci parābhavapuriso jānitunti .
๙๒. อถสฺส ภควา สุฎฺฐุ ปากฎีกรณตฺถํ ปฎิปกฺขํ ทเสฺสตฺวา ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย ปราภวมุขํ ทีเปโนฺต อาห ‘‘สุวิชาโน ภว’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – ยฺวายํ ภวํ วฑฺฒโนฺต อปริหายโนฺต ปุริโส, โส สุวิชาโน โหติ, สุเขน อกสิเรน อกิเจฺฉน สกฺกา วิชานิตุํฯ โยปายํ ปราภวตีติ ปราภโว, ปริหายติ วินสฺสติ, ยสฺส ตุเมฺห ปราภวโต ปุริสสฺส มุขํ มํ ปุจฺฉถ, โสปิ สุวิชาโนฯ กถํ? อยญฺหิ ธมฺมกาโม ภวํ โหติ ทสกุสลกมฺมปถธมฺมํ กาเมติ, ปิเหติ, ปเตฺถติ, สุณาติ, ปฎิปชฺชติ, โส ตํ ปฎิปตฺติํ ทิสฺวา สุตฺวา จ ชานิตพฺพโต สุวิชาโน โหติฯ อิตโรปิ ธมฺมเทสฺสี ปราภโว, ตเมว ธมฺมํ เทสฺสติ, น กาเมติ, น ปิเหติ, น ปเตฺถติ, น สุณาติ, น ปฎิปชฺชติ, โส ตํ วิปฺปฎิปตฺติํ ทิสฺวา สุตฺวา จ ชานิตพฺพโต สุวิชาโน โหตีติฯ เอวเมตฺถ ภควา ปฎิปกฺขํ ทเสฺสโนฺต อตฺถโต ธมฺมกามตํ ภวโต มุขํ ทเสฺสตฺวา ธมฺมเทสฺสิตํ ปราภวโต มุขํ ทเสฺสตีติ เวทิตพฺพํฯ
92. Athassa bhagavā suṭṭhu pākaṭīkaraṇatthaṃ paṭipakkhaṃ dassetvā puggalādhiṭṭhānāya desanāya parābhavamukhaṃ dīpento āha ‘‘suvijāno bhava’’nti. Tassattho – yvāyaṃ bhavaṃ vaḍḍhanto aparihāyanto puriso, so suvijāno hoti, sukhena akasirena akicchena sakkā vijānituṃ. Yopāyaṃ parābhavatīti parābhavo, parihāyati vinassati, yassa tumhe parābhavato purisassa mukhaṃ maṃ pucchatha, sopi suvijāno. Kathaṃ? Ayañhi dhammakāmo bhavaṃ hoti dasakusalakammapathadhammaṃ kāmeti, piheti, pattheti, suṇāti, paṭipajjati, so taṃ paṭipattiṃ disvā sutvā ca jānitabbato suvijāno hoti. Itaropi dhammadessī parābhavo, tameva dhammaṃ dessati, na kāmeti, na piheti, na pattheti, na suṇāti, na paṭipajjati, so taṃ vippaṭipattiṃ disvā sutvā ca jānitabbato suvijāno hotīti. Evamettha bhagavā paṭipakkhaṃ dassento atthato dhammakāmataṃ bhavato mukhaṃ dassetvā dhammadessitaṃ parābhavato mukhaṃ dassetīti veditabbaṃ.
๙๓. อถ สา เทวตา ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทมานา อาห ‘‘อิติ เหต’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – อิติ หิ ยถา วุโตฺต ภควตา, ตเถว เอตํ วิชานาม, คณฺหาม, ธาเรม, ปฐโม โส ปราภโว โส ธมฺมเทสฺสิตาลกฺขโณ ปฐโม ปราภโวฯ ยานิ มยํ ปราภวมุขานิ วิชานิตุํ อาคตมฺหา, เตสุ อิทํ ตาว เอกํ ปราภวมุขนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ วิคฺคโห, ปราภวนฺติ เอเตนาติ ปราภโวฯ เกน จ ปราภวนฺติ? ยํ ปราภวโต มุขํ, การณํ, เตนฯ พฺยญฺชนมเตฺตน เอว หิ เอตฺถ นานากรณํ, อตฺถโต ปน ปราภโวติ วา ปราภวโต มุขนฺติ วา นานากรณํ นตฺถิฯ เอวเมกํ ปราภวโต มุขํ วิชานามาติ อภินนฺทิตฺวา ตโต ปรํ ญาตุกามตายาห ‘‘ทุติยํ ภควา พฺรูหิ, กิํ ปราภวโต มุข’’นฺติฯ อิโต ปรญฺจ ตติยํ จตุตฺถนฺติอาทีสุปิ อิมินาว นเยนโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
93. Atha sā devatā bhagavato bhāsitaṃ abhinandamānā āha ‘‘iti heta’’nti. Tassattho – iti hi yathā vutto bhagavatā, tatheva etaṃ vijānāma, gaṇhāma, dhārema, paṭhamo so parābhavo so dhammadessitālakkhaṇo paṭhamo parābhavo. Yāni mayaṃ parābhavamukhāni vijānituṃ āgatamhā, tesu idaṃ tāva ekaṃ parābhavamukhanti vuttaṃ hoti. Tattha viggaho, parābhavanti etenāti parābhavo. Kena ca parābhavanti? Yaṃ parābhavato mukhaṃ, kāraṇaṃ, tena. Byañjanamattena eva hi ettha nānākaraṇaṃ, atthato pana parābhavoti vā parābhavato mukhanti vā nānākaraṇaṃ natthi. Evamekaṃ parābhavato mukhaṃ vijānāmāti abhinanditvā tato paraṃ ñātukāmatāyāha ‘‘dutiyaṃ bhagavā brūhi, kiṃ parābhavato mukha’’nti. Ito parañca tatiyaṃ catutthantiādīsupi imināva nayenattho veditabbo.
๙๔. พฺยากรณปเกฺขปิ จ ยสฺมา เต เต สตฺตา เตหิ เตหิ ปราภวมุเขหิ สมนฺนาคตา, น เอโกเยว สเพฺพหิ, น จ สเพฺพ เอเกเนว, ตสฺมา เตสํ เตสํ ตานิ ตานิ ปราภวมุขานิ ทเสฺสตุํ ‘‘อสนฺตสฺส ปิยา โหนฺตี’’ติอาทินา นเยน ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เอว เทสนาย นานาวิธานิ ปราภวมุขานิ พฺยากาสีติ เวทิตพฺพาฯ
94. Byākaraṇapakkhepi ca yasmā te te sattā tehi tehi parābhavamukhehi samannāgatā, na ekoyeva sabbehi, na ca sabbe ekeneva, tasmā tesaṃ tesaṃ tāni tāni parābhavamukhāni dassetuṃ ‘‘asantassa piyā hontī’’tiādinā nayena puggalādhiṭṭhānāya eva desanāya nānāvidhāni parābhavamukhāni byākāsīti veditabbā.
ตตฺรายํ สเงฺขปโต อตฺถวณฺณนา – อสโนฺต นาม ฉ สตฺถาโร, เย วา ปนเญฺญปิ อวูปสเนฺตน กายวจีมโนกเมฺมน สมนฺนาคตา, เต อสโนฺต อสฺสปิยา โหนฺติ สุนกฺขตฺตาทีนํ อเจลกโกรขตฺติยาทโย วิยฯ สโนฺต นาม พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกาฯ เย วา ปนเญฺญปิ วูปสเนฺตน กายวจีมโนกเมฺมน สมนฺนาคตา, เต สเนฺต น กุรุเต ปิยํ, อตฺตโน ปิเย อิเฎฺฐ กเนฺต มนาเป น กุรุเตติ อโตฺถฯ เวเนยฺยวเสน เหตฺถ วจนเภโท กโตติ เวทิตโพฺพฯ อถ วา สเนฺต น กุรุเตติ สเนฺต น เสวตีติ อโตฺถ, ยถา ‘‘ราชานํ เสวตี’’ติ เอตสฺมิญฺหิ อเตฺถ ราชานํ ปิยํ กุรุเตติ สทฺทวิทู มเนฺตนฺติฯ ปิยนฺติ ปิยมาโน, ตุสฺสมาโน, โมทมาโนติ อโตฺถฯ อสตํ ธโมฺม นาม ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิคตานิ, ทสากุสลกมฺมปถา วาฯ ตํ อสตํ ธมฺมํ โรเจติ, ปิเหติ, ปเตฺถติ, เสวติฯ เอวเมตาย คาถาย อสนฺตปิยตา, สนฺตอปฺปิยตา, อสทฺธมฺมโรจนญฺจาติ ติวิธํ ปราภวโต มุขํ วุตฺตํฯ เอเตน หิ สมนฺนาคโต ปุริโส ปราภวติ ปริหายติ, เนว อิธ น หุรํ วุฑฺฒิํ ปาปุณาติ, ตสฺมา ‘‘ปราภวโต มุข’’นฺติ วุจฺจติฯ วิตฺถารํ ปเนตฺถ ‘‘อเสวนา จ พาลานํ, ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา’’ติ คาถาวณฺณนายํ วกฺขามฯ
Tatrāyaṃ saṅkhepato atthavaṇṇanā – asanto nāma cha satthāro, ye vā panaññepi avūpasantena kāyavacīmanokammena samannāgatā, te asanto assapiyā honti sunakkhattādīnaṃ acelakakorakhattiyādayo viya. Santo nāma buddhapaccekabuddhasāvakā. Ye vā panaññepi vūpasantena kāyavacīmanokammena samannāgatā, te sante na kurute piyaṃ, attano piye iṭṭhe kante manāpe na kuruteti attho. Veneyyavasena hettha vacanabhedo katoti veditabbo. Atha vā sante na kuruteti sante na sevatīti attho, yathā ‘‘rājānaṃ sevatī’’ti etasmiñhi atthe rājānaṃ piyaṃ kuruteti saddavidū mantenti. Piyanti piyamāno, tussamāno, modamānoti attho. Asataṃdhammo nāma dvāsaṭṭhi diṭṭhigatāni, dasākusalakammapathā vā. Taṃ asataṃ dhammaṃ roceti, piheti, pattheti, sevati. Evametāya gāthāya asantapiyatā, santaappiyatā, asaddhammarocanañcāti tividhaṃ parābhavato mukhaṃ vuttaṃ. Etena hi samannāgato puriso parābhavati parihāyati, neva idha na huraṃ vuḍḍhiṃ pāpuṇāti, tasmā ‘‘parābhavato mukha’’nti vuccati. Vitthāraṃ panettha ‘‘asevanā ca bālānaṃ, paṇḍitānañca sevanā’’ti gāthāvaṇṇanāyaṃ vakkhāma.
๙๖. นิทฺทาสีลี นาม โย คจฺฉโนฺตปิ, นิสีทโนฺตปิ, ติฎฺฐโนฺตปิ, สยาโนปิ นิทฺทายติเยวฯ สภาสีลี นาม สงฺคณิการามตํ, ภสฺสารามตมนุยุโตฺตฯ อนุฎฺฐาตาติ วีริยเตชวิรหิโต อุฎฺฐานสีโล น โหติ, อเญฺญหิ โจทิยมาโน คหโฎฺฐ วา สมาโน คหฎฺฐกมฺมํ , ปพฺพชิโต วา ปพฺพชิตกมฺมํ อารภติฯ อลโสติ ชาติอลโส, อจฺจนฺตาภิภูโต ถิเนน ฐิตฎฺฐาเน ฐิโต เอว โหติ, นิสินฺนฎฺฐาเน นิสิโนฺน เอว โหติ, อตฺตโน อุสฺสาเหน อญฺญํ อิริยาปถํ น กเปฺปติฯ อตีเต อรเญฺญ อคฺคิมฺหิ อุฎฺฐิเต อปลายนอลสา เจตฺถ นิทสฺสนํฯ อยเมตฺถ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉโท, ตโต ลามกปริเจฺฉเทนาปิ ปน อลโส อลโสเตฺวว เวทิตโพฺพฯ ธโชว รถสฺส, ธูโมว อคฺคิโน, โกโธ ปญฺญาณมสฺสาติ โกธปญฺญาโณฯ โทสจริโต ขิปฺปโกปี อรุกูปมจิโตฺต ปุคฺคโล เอวรูโป โหติฯ อิมาย คาถาย นิทฺทาสีลตา, สภาสีลตา, อนุฎฺฐานตา, อลสตา, โกธปญฺญาณตาติ ปญฺจวิธํ ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ เอเตน หิ สมนฺนาคโต เนว คหโฎฺฐ คหฎฺฐวุฑฺฒิํ, น ปพฺพชิโต ปพฺพชิตวุฑฺฒิํ ปาปุณาติ, อญฺญทตฺถุ ปริหายติเยว ปราภวติเยว, ตสฺมา ‘‘ปราภวโต มุข’’นฺติ วุจฺจติฯ
96.Niddāsīlī nāma yo gacchantopi, nisīdantopi, tiṭṭhantopi, sayānopi niddāyatiyeva. Sabhāsīlī nāma saṅgaṇikārāmataṃ, bhassārāmatamanuyutto. Anuṭṭhātāti vīriyatejavirahito uṭṭhānasīlo na hoti, aññehi codiyamāno gahaṭṭho vā samāno gahaṭṭhakammaṃ , pabbajito vā pabbajitakammaṃ ārabhati. Alasoti jātialaso, accantābhibhūto thinena ṭhitaṭṭhāne ṭhito eva hoti, nisinnaṭṭhāne nisinno eva hoti, attano ussāhena aññaṃ iriyāpathaṃ na kappeti. Atīte araññe aggimhi uṭṭhite apalāyanaalasā cettha nidassanaṃ. Ayamettha ukkaṭṭhaparicchedo, tato lāmakaparicchedenāpi pana alaso alasotveva veditabbo. Dhajova rathassa, dhūmova aggino, kodho paññāṇamassāti kodhapaññāṇo. Dosacarito khippakopī arukūpamacitto puggalo evarūpo hoti. Imāya gāthāya niddāsīlatā, sabhāsīlatā, anuṭṭhānatā, alasatā, kodhapaññāṇatāti pañcavidhaṃ parābhavamukhaṃ vuttaṃ. Etena hi samannāgato neva gahaṭṭho gahaṭṭhavuḍḍhiṃ, na pabbajito pabbajitavuḍḍhiṃ pāpuṇāti, aññadatthu parihāyatiyeva parābhavatiyeva, tasmā ‘‘parābhavato mukha’’nti vuccati.
๙๘. มาตาติ ชนิกา เวทิตพฺพาฯ ปิตาติ ชนโกเยวฯ ชิณฺณกํ สรีรสิถิลตายฯ คตโยพฺพนํ โยพฺพนาติกฺกเมน อาสีติกํ วา นาวุติกํ วา สยํ กมฺมานิ กาตุมสมตฺถํฯ ปหุ สโนฺตติ สมโตฺถ สมาโน สุขํ ชีวมาโนฯ น ภรตีติ น โปเสติฯ อิมาย คาถาย มาตาปิตูนํ อภรณํ, อโปสนํ, อนุปฎฺฐานํ เอกํเยว ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ เอเตน หิ สมนฺนาคโต ยํ ตํ –
98.Mātāti janikā veditabbā. Pitāti janakoyeva. Jiṇṇakaṃ sarīrasithilatāya. Gatayobbanaṃ yobbanātikkamena āsītikaṃ vā nāvutikaṃ vā sayaṃ kammāni kātumasamatthaṃ. Pahu santoti samattho samāno sukhaṃ jīvamāno. Na bharatīti na poseti. Imāya gāthāya mātāpitūnaṃ abharaṇaṃ, aposanaṃ, anupaṭṭhānaṃ ekaṃyeva parābhavamukhaṃ vuttaṃ. Etena hi samannāgato yaṃ taṃ –
‘‘ตาย นํ ปาริจริยาย, มาตาปิตูสุ ปณฺฑิตา;
‘‘Tāya naṃ pāricariyāya, mātāpitūsu paṇḍitā;
อิเธว นํ ปสํสนฺติ, เปจฺจ สเคฺค ปโมทตี’’ติฯ (อิติวุ. ๑๐๖; อ. นิ. ๔.๖๓) –
Idheva naṃ pasaṃsanti, pecca sagge pamodatī’’ti. (itivu. 106; a. ni. 4.63) –
มาตาปิตุภรเณ อานิสํสํ วุตฺตํฯ ตํ น ปาปุณาติ, อญฺญทตฺถุ ‘‘มาตาปิตโรปิ น ภรติ, กํ อญฺญํ ภริสฺสตี’’ติ นินฺทญฺจ วชฺชนียตญฺจ ทุคฺคติญฺจ ปาปุณโนฺต ปราภวติเยว, ตสฺมา ‘‘ปราภวโต มุข’’นฺติ วุจฺจติฯ
Mātāpitubharaṇe ānisaṃsaṃ vuttaṃ. Taṃ na pāpuṇāti, aññadatthu ‘‘mātāpitaropi na bharati, kaṃ aññaṃ bharissatī’’ti nindañca vajjanīyatañca duggatiñca pāpuṇanto parābhavatiyeva, tasmā ‘‘parābhavato mukha’’nti vuccati.
๑๐๐. ปาปานํ พาหิตตฺตา พฺราหฺมณํ, สมิตตฺตา สมณํฯ พฺราหฺมณกุลปฺปภวมฺปิ วา พฺราหฺมณํ, ปพฺพชฺชุปคตํ สมณํ, ตโต อญฺญํ วาปิ ยํกิญฺจิ ยาจนกํฯ มุสาวาเทน วเญฺจตีติ ‘‘วท, ภเนฺต, ปจฺจเยนา’’ติ ปวาเรตฺวา ยาจิโต วา ปฎิชานิตฺวา ปจฺฉา อปฺปทาเนน ตสฺส ตํ อาสํ วิสํวาเทติฯ อิมาย คาถาย พฺราหฺมณาทีนํ มุสาวาเทน วญฺจนํ เอกํเยว ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ เอเตน หิ สมนฺนาคโต อิธ นินฺทํ, สมฺปราเย ทุคฺคติํ สุคติยมฺปิ อธิปฺปายวิปตฺติญฺจ ปาปุณาติฯ วุตฺตเญฺหตํ –
100. Pāpānaṃ bāhitattā brāhmaṇaṃ, samitattā samaṇaṃ. Brāhmaṇakulappabhavampi vā brāhmaṇaṃ, pabbajjupagataṃ samaṇaṃ, tato aññaṃ vāpi yaṃkiñci yācanakaṃ. Musāvādena vañcetīti ‘‘vada, bhante, paccayenā’’ti pavāretvā yācito vā paṭijānitvā pacchā appadānena tassa taṃ āsaṃ visaṃvādeti. Imāya gāthāya brāhmaṇādīnaṃ musāvādena vañcanaṃ ekaṃyeva parābhavamukhaṃ vuttaṃ. Etena hi samannāgato idha nindaṃ, samparāye duggatiṃ sugatiyampi adhippāyavipattiñca pāpuṇāti. Vuttañhetaṃ –
‘‘ทุสฺสีลสฺส สีลวิปนฺนสฺส ปาปโก กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๙; อ. นิ. ๕.๒๑๓; มหาว. ๒๘๕)ฯ
‘‘Dussīlassa sīlavipannassa pāpako kittisaddo abbhuggacchatī’’ti (dī. ni. 2.149; a. ni. 5.213; mahāva. 285).
ตถา –
Tathā –
‘‘จตูหิ, ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ กตเมหิ จตูหิ? มุสาวาที โหตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๘๒)ฯ
‘‘Catūhi, bhikkhave, dhammehi samannāgato yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye. Katamehi catūhi? Musāvādī hotī’’tiādi (a. ni. 4.82).
ตถา –
Tathā –
‘‘อิธ, สาริปุตฺต, เอกโจฺจ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา อุปสงฺกมิตฺวา ปวาเรติ, ‘วท, ภเนฺต, ปจฺจเยนา’ติ, โส เยน ปวาเรติ, ตํ น เทติฯ โส เจ ตโต จุโต อิตฺถตฺตํ อาคจฺฉติฯ โส ยํ ยเทว วณิชฺชํ ปโยเชติ, สาสฺส โหติ เฉทคามินีฯ อิธ ปน สาริปุตฺต…เป.… โส เยน ปวาเรติ, น ตํ ยถาธิปฺปายํ เทติฯ โส เจ ตโต จุโต อิตฺถตฺตํ อาคจฺฉติฯ โส ยํ ยเทว วณิชฺชํ ปโยเชติ, สาสฺส น โหติ ยถาธิปฺปายา’’ติ (อ. นิ. ๔.๗๙)ฯ
‘‘Idha, sāriputta, ekacco samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā upasaṅkamitvā pavāreti, ‘vada, bhante, paccayenā’ti, so yena pavāreti, taṃ na deti. So ce tato cuto itthattaṃ āgacchati. So yaṃ yadeva vaṇijjaṃ payojeti, sāssa hoti chedagāminī. Idha pana sāriputta…pe… so yena pavāreti, na taṃ yathādhippāyaṃ deti. So ce tato cuto itthattaṃ āgacchati. So yaṃ yadeva vaṇijjaṃ payojeti, sāssa na hoti yathādhippāyā’’ti (a. ni. 4.79).
เอวมิมานิ นินฺทาทีนิ ปาปุณโนฺต ปราภวติเยว, ตสฺมา ‘‘ปราภวโต มุข’’นฺติ วุตฺตํฯ
Evamimāni nindādīni pāpuṇanto parābhavatiyeva, tasmā ‘‘parābhavato mukha’’nti vuttaṃ.
๑๐๒. ปหูตวิโตฺตติ ปหูตชาตรูปรชตมณิรตโนฯ สหิรโญฺญติ สกหาปโณฯ สโภชโนติ อเนกสูปพฺยญฺชนโภชนสมฺปโนฺนฯ เอโก ภุญฺชติ สาทูนีติ สาทูนิ โภชนานิ อตฺตโน ปุตฺตานมฺปิ อทตฺวา ปฎิจฺฉโนฺนกาเส ภุญฺชตีติ เอโก ภุญฺชติ สาทูนิฯ อิมาย คาถาย โภชนคิทฺธตาย โภชนมจฺฉริยํ เอกํเยว ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ เอเตน หิ สมนฺนาคโต นินฺทํ วชฺชนียํ ทุคฺคตินฺติ เอวมาทีนิ ปาปุณโนฺต ปราภวติเยว, ตสฺมา ‘‘ปราภวโต มุข’’นฺติ วุตฺตํฯ วุตฺตนเยเนว สพฺพํ สุตฺตานุสาเรน โยเชตพฺพํ, อติวิตฺถารภเยน ปน อิทานิ โยชนานยํ อทเสฺสตฺวา อตฺถมตฺตเมว ภณามฯ
102.Pahūtavittoti pahūtajātarūparajatamaṇiratano. Sahiraññoti sakahāpaṇo. Sabhojanoti anekasūpabyañjanabhojanasampanno. Eko bhuñjati sādūnīti sādūni bhojanāni attano puttānampi adatvā paṭicchannokāse bhuñjatīti eko bhuñjati sādūni. Imāya gāthāya bhojanagiddhatāya bhojanamacchariyaṃ ekaṃyeva parābhavamukhaṃ vuttaṃ. Etena hi samannāgato nindaṃ vajjanīyaṃ duggatinti evamādīni pāpuṇanto parābhavatiyeva, tasmā ‘‘parābhavato mukha’’nti vuttaṃ. Vuttanayeneva sabbaṃ suttānusārena yojetabbaṃ, ativitthārabhayena pana idāni yojanānayaṃ adassetvā atthamattameva bhaṇāma.
๑๐๔. ชาติตฺถโทฺธ นาม โย ‘‘อหํ ชาติสมฺปโนฺน’’ติ มานํ ชเนตฺวา เตน ถโทฺธ วาตปูริตภสฺตา วิย อุทฺธุมาโต หุตฺวา น กสฺสจิ โอนมติฯ เอส นโย ธนโคตฺตตฺถเทฺธสุฯ สญฺญาติํ อติมเญฺญตีติ อตฺตโน ญาติมฺปิ ชาติยา อติมญฺญติ สกฺยา วิย วิฎฎูภํฯ ธเนนาปิ จ ‘‘กปโณ อยํ ทลิโทฺท’’ติ อติมญฺญติ, สามีจิมตฺตมฺปิ น กโรติ, ตสฺส เต ญาตโย ปราภวเมว อิจฺฉนฺติฯ อิมาย คาถาย วตฺถุโต จตุพฺพิธํ, ลกฺขณโต เอกํเยว ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ
104.Jātitthaddho nāma yo ‘‘ahaṃ jātisampanno’’ti mānaṃ janetvā tena thaddho vātapūritabhastā viya uddhumāto hutvā na kassaci onamati. Esa nayo dhanagottatthaddhesu. Saññātiṃ atimaññetīti attano ñātimpi jātiyā atimaññati sakyā viya viṭaṭūbhaṃ. Dhanenāpi ca ‘‘kapaṇo ayaṃ daliddo’’ti atimaññati, sāmīcimattampi na karoti, tassa te ñātayo parābhavameva icchanti. Imāya gāthāya vatthuto catubbidhaṃ, lakkhaṇato ekaṃyeva parābhavamukhaṃ vuttaṃ.
๑๐๖. อิตฺถิธุโตฺตติ อิตฺถีสุ สารโตฺต, ยํกิญฺจิ อตฺถิ, ตํ สพฺพมฺปิ ทตฺวา อปราปรํ อิตฺถิํ สงฺคณฺหาติฯ ตถา สพฺพมฺปิ อตฺตโน สนฺตกํ นิกฺขิปิตฺวา สุราปานปยุโตฺต สุราธุโตฺตฯ นิวตฺถสาฎกมฺปิ นิกฺขิปิตฺวา ชูตกีฬนมนุยุโตฺต อกฺขธุโตฺตฯ เอเตหิ ตีหิ ฐาเนหิ ยํกิญฺจิปิ ลทฺธํ โหติ, ตสฺส วินาสนโต ลทฺธํ ลทฺธํ วินาเสตีติ เวทิตโพฺพฯ เอวํวิโธ ปราภวติเยว, เตนเสฺสตํ อิมาย คาถาย ติวิธํ ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ
106.Itthidhuttoti itthīsu sāratto, yaṃkiñci atthi, taṃ sabbampi datvā aparāparaṃ itthiṃ saṅgaṇhāti. Tathā sabbampi attano santakaṃ nikkhipitvā surāpānapayutto surādhutto. Nivatthasāṭakampi nikkhipitvā jūtakīḷanamanuyutto akkhadhutto. Etehi tīhi ṭhānehi yaṃkiñcipi laddhaṃ hoti, tassa vināsanato laddhaṃ laddhaṃ vināsetīti veditabbo. Evaṃvidho parābhavatiyeva, tenassetaṃ imāya gāthāya tividhaṃ parābhavamukhaṃ vuttaṃ.
๑๐๘. เสหิ ทาเรหีติ อตฺตโน ทาเรหิฯ โย อตฺตโน ทาเรหิ อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา เวสิยาสุ ปทุสฺสติ, ตถา ปรทาเรสุ, โส ยสฺมา เวสีนํ ธนปฺปทาเนน ปรทารเสวเนน จ ราชทณฺฑาทีหิ ปราภวติเยว, เตนเสฺสตํ อิมาย คาถาย ทุวิธํ ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ
108.Sehi dārehīti attano dārehi. Yo attano dārehi asantuṭṭho hutvā vesiyāsu padussati, tathā paradāresu, so yasmā vesīnaṃ dhanappadānena paradārasevanena ca rājadaṇḍādīhi parābhavatiyeva, tenassetaṃ imāya gāthāya duvidhaṃ parābhavamukhaṃ vuttaṃ.
๑๑๐. อตีตโยพฺพโนติ โยพฺพนมติจฺจ อาสีติโก วา นาวุติโก วา หุตฺวา อาเนติ ปริคฺคณฺหาติฯ ติมฺพรุตฺถนินฺติ ติมฺพรุผลสทิสตฺถนิํ ตรุณทาริกํฯ ตสฺสา อิสฺสา น สุปตีติ ‘‘ทหราย มหลฺลเกน สทฺธิํ รติ จ สํวาโส จ อมนาโป, มา เหว โข ตรุณํ ปเตฺถยฺยา’’ติ อิสฺสาย ตํ รกฺขโนฺต น สุปติฯ โส ยสฺมา กามราเคน จ อิสฺสาย จ ฑยฺหโนฺต พหิทฺธา กมฺมเนฺต จ อปฺปโยเชโนฺต ปราภวติเยว, เตนเสฺสตํ อิมาย คาถาย อิมํ อิสฺสาย อสุปนํ เอกํเยว ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ
110.Atītayobbanoti yobbanamaticca āsītiko vā nāvutiko vā hutvā āneti pariggaṇhāti. Timbarutthaninti timbaruphalasadisatthaniṃ taruṇadārikaṃ. Tassā issā na supatīti ‘‘daharāya mahallakena saddhiṃ rati ca saṃvāso ca amanāpo, mā heva kho taruṇaṃ pattheyyā’’ti issāya taṃ rakkhanto na supati. So yasmā kāmarāgena ca issāya ca ḍayhanto bahiddhā kammante ca appayojento parābhavatiyeva, tenassetaṃ imāya gāthāya imaṃ issāya asupanaṃ ekaṃyeva parābhavamukhaṃ vuttaṃ.
๑๑๒. โสณฺฑินฺติ มจฺฉมํสาทีสุ โลลํ เคธชาติกํฯ วิกิรณินฺติ เตสํ อตฺถาย ธนํ ปํสุกํ วิย วิกิริตฺวา นาสนสีลํฯ ปุริสํ วาปิ ตาทิสนฺติ ปุริโส วาปิ โย เอวรูโป โหติ, ตํ โย อิสฺสริยสฺมิํ ฐเปติ, ลญฺฉนมุทฺทิกาทีนิ ทตฺวา ฆราวาเส กมฺมเนฺต วา วณิชฺชาทิโวหาเรสุ วา ตเทว วาวฎํ กาเรติฯ โส ยสฺมา ตสฺส โทเสน ธนกฺขยํ ปาปุณโนฺต ปราภวติเยว, เตนเสฺสตํ อิมาย คาถาย ตถาวิธสฺส อิสฺสริยสฺมิํ ฐปนํ เอกํเยว ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ
112.Soṇḍinti macchamaṃsādīsu lolaṃ gedhajātikaṃ. Vikiraṇinti tesaṃ atthāya dhanaṃ paṃsukaṃ viya vikiritvā nāsanasīlaṃ. Purisaṃ vāpi tādisanti puriso vāpi yo evarūpo hoti, taṃ yo issariyasmiṃ ṭhapeti, lañchanamuddikādīni datvā gharāvāse kammante vā vaṇijjādivohāresu vā tadeva vāvaṭaṃ kāreti. So yasmā tassa dosena dhanakkhayaṃ pāpuṇanto parābhavatiyeva, tenassetaṃ imāya gāthāya tathāvidhassa issariyasmiṃ ṭhapanaṃ ekaṃyeva parābhavamukhaṃ vuttaṃ.
๑๑๔. อปฺปโภโค นาม สนฺนิจิตานญฺจ โภคานํ อายมุขสฺส จ อภาวโตฯ มหาตโณฺหติ มหติยา โภคตณฺหาย สมนฺนาคโต, ยํ ลทฺธํ, เตน อสนฺตุโฎฺฐฯ ขตฺติเย ชายเต กุเลติ ขตฺติยานํ กุเล ชายติฯ โส จ รชฺชํ ปตฺถยตีติ โส เอตาย มหาตณฺหตาย อนุปาเยน อุปฺปฎิปาฎิยา อตฺตโน ทายชฺชภูตํ อลพฺภเนยฺยํ วา ปรสนฺตกํ รชฺชํ ปเตฺถติ, โส เอวํ ปเตฺถโนฺต ยสฺมา ตมฺปิ อปฺปกํ โภคํ โยธาชีวาทีนํ ทตฺวา รชฺชํ อปาปุณโนฺต ปราภวติเยว, เตนเสฺสตํ อิมาย คาถาย รชฺชปตฺถนํ เอกํเยว ปราภวมุขํ วุตฺตํฯ
114.Appabhogo nāma sannicitānañca bhogānaṃ āyamukhassa ca abhāvato. Mahātaṇhoti mahatiyā bhogataṇhāya samannāgato, yaṃ laddhaṃ, tena asantuṭṭho. Khattiye jāyate kuleti khattiyānaṃ kule jāyati. So ca rajjaṃ patthayatīti so etāya mahātaṇhatāya anupāyena uppaṭipāṭiyā attano dāyajjabhūtaṃ alabbhaneyyaṃ vā parasantakaṃ rajjaṃ pattheti, so evaṃ patthento yasmā tampi appakaṃ bhogaṃ yodhājīvādīnaṃ datvā rajjaṃ apāpuṇanto parābhavatiyeva, tenassetaṃ imāya gāthāya rajjapatthanaṃ ekaṃyeva parābhavamukhaṃ vuttaṃ.
๑๑๕. อิโต ปรํ ยทิ สา เทวตา ‘‘เตรสมํ ภควา พฺรูหิ…เป.… สตสหสฺสิมํ ภควา พฺรูหี’’ติ ปุเจฺฉยฺย, ตมฺปิ ภควา กเถยฺยฯ ยสฺมา ปน สา เทวตา ‘‘กิํ อิเมหิ ปุจฺฉิเตหิ, เอกเมตฺถ วุฑฺฒิกรํ นตฺถี’’ติ ตานิ ปราภวมุขานิ อสุยฺยมานา เอตฺตกมฺปิ ปุจฺฉิตฺวา วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ตุณฺหี อโหสิ, ตสฺมา ภควา ตสฺสาสยํ วิทิตฺวา เทสนํ นิฎฺฐาเปโนฺต อิมํ คาถํ อภาสิ ‘‘เอเต ปราภเว โลเก’’ติฯ
115. Ito paraṃ yadi sā devatā ‘‘terasamaṃ bhagavā brūhi…pe… satasahassimaṃ bhagavā brūhī’’ti puccheyya, tampi bhagavā katheyya. Yasmā pana sā devatā ‘‘kiṃ imehi pucchitehi, ekamettha vuḍḍhikaraṃ natthī’’ti tāni parābhavamukhāni asuyyamānā ettakampi pucchitvā vippaṭisārī hutvā tuṇhī ahosi, tasmā bhagavā tassāsayaṃ viditvā desanaṃ niṭṭhāpento imaṃ gāthaṃ abhāsi ‘‘ete parābhave loke’’ti.
ตตฺถ ปณฺฑิโตติ ปริวีมํสาย สมนฺนาคโตฯ สมเวกฺขิยาติ ปญฺญาจกฺขุนา อุปปริกฺขิตฺวาฯ อริโยติ น มเคฺคน, น ผเลน, อปิจ โข, ปน เอตสฺมิํ ปราภวสงฺขาเต อนเย น อิริยตีติ อริโยฯ เยน ทสฺสเนน ยาย ปญฺญาย ปราภเว ทิสฺวา วิวเชฺชติ, เตน สมฺปนฺนตฺตา ทสฺสนสมฺปโนฺนฯ ส โลกํ ภชเต สิวนฺติ โส เอวรูโป สิวํ เขมมุตฺตมมนุปทฺทวํ เทวโลกํ ภชติ, อลฺลียติ, อุปคจฺฉตีติ วุตฺตํ โหติฯ เทสนาปริโยสาเน ปราภวมุขานิ สุตฺวา อุปฺปนฺนสํเวคานุรูปํ โยนิโส ปทหิตฺวา โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิผลานิ ปตฺตา เทวตา คณนํ วีติวตฺตาฯ ยถาห –
Tattha paṇḍitoti parivīmaṃsāya samannāgato. Samavekkhiyāti paññācakkhunā upaparikkhitvā. Ariyoti na maggena, na phalena, apica kho, pana etasmiṃ parābhavasaṅkhāte anaye na iriyatīti ariyo. Yena dassanena yāya paññāya parābhave disvā vivajjeti, tena sampannattā dassanasampanno. Sa lokaṃ bhajate sivanti so evarūpo sivaṃ khemamuttamamanupaddavaṃ devalokaṃ bhajati, allīyati, upagacchatīti vuttaṃ hoti. Desanāpariyosāne parābhavamukhāni sutvā uppannasaṃvegānurūpaṃ yoniso padahitvā sotāpattisakadāgāmianāgāmiphalāni pattā devatā gaṇanaṃ vītivattā. Yathāha –
‘‘มหาสมยสุเตฺต จ, อโถ มงฺคลสุตฺตเก;
‘‘Mahāsamayasutte ca, atho maṅgalasuttake;
สมจิเตฺต ราหุโลวาเท, ธมฺมจเกฺก ปราภเวฯ
Samacitte rāhulovāde, dhammacakke parābhave.
‘‘เทวตาสมิตี ตตฺถ, อปฺปเมยฺยา อสงฺขิยา;
‘‘Devatāsamitī tattha, appameyyā asaṅkhiyā;
ธมฺมาภิสมโย เจตฺถ, คณนาโต อสงฺขิโย’’ติฯ
Dhammābhisamayo cettha, gaṇanāto asaṅkhiyo’’ti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ปราภวสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya parābhavasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๖. ปราภวสุตฺตํ • 6. Parābhavasuttaṃ