Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เทฺวมาติกาปาฬิ • Dvemātikāpāḷi

    ปาราชิกกโณฺฑ

    Pārājikakaṇḍo

    อิทานิ ยเทตํ นิทานานนฺตรํ ตตฺริเม จตฺตาโรติอาทิ ปาราชิกกณฺฑํ, ตตฺถ ตตฺราติ ตสฺมิํ ‘‘ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ เอวํ วุเตฺต ปาติโมเกฺขฯ อิเมติ อิทานิ วตฺตพฺพานํ อภิมุขีกรณํฯ จตฺตาโรติ คณนปริเจฺฉโทฯ ปาราชิกาติ เอวํนามกาฯ ธมฺมาติ อาปตฺติโยฯ อุเทฺทสํ อาคจฺฉนฺตีติ สรูเปน อุทฺทิสิตพฺพตํ อาคจฺฉนฺติ, น นิทาเน วิย ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺตี’’ติ สาธารณวจนมเตฺตนฯ

    Idāni yadetaṃ nidānānantaraṃ tatrime cattārotiādi pārājikakaṇḍaṃ, tattha tatrāti tasmiṃ ‘‘pātimokkhaṃ uddisissāmī’’ti evaṃ vutte pātimokkhe. Imeti idāni vattabbānaṃ abhimukhīkaraṇaṃ. Cattāroti gaṇanaparicchedo. Pārājikāti evaṃnāmakā. Dhammāti āpattiyo. Uddesaṃ āgacchantīti sarūpena uddisitabbataṃ āgacchanti, na nidāne viya ‘‘yassa siyā āpattī’’ti sādhāraṇavacanamattena.

    ๑. ปฐมปาราชิกวณฺณนา

    1. Paṭhamapārājikavaṇṇanā

    โย ปนาติ รสฺสทีฆาทินา ลิงฺคาทิเภเทน โย โกจิฯ ภิกฺขูติ เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา, สรณคมนูปสมฺปทา, โอวาทปฺปฎิคฺคหณูปสมฺปทา, ปญฺหาพฺยากรณูปสมฺปทา, อฎฺฐครุธมฺมปฺปฎิคฺคหณูปสมฺปทา, ทูเตนูปสมฺปทา, อฎฺฐวาจิกูปสมฺปทา, ญตฺติจตุตฺถกมฺมูปสมฺปทาติ อิมาสุ อฎฺฐสุ อุปสมฺปทาสุ ญตฺติจตุเตฺถน อุปสมฺปทากเมฺมน อกุเปฺปน ฐานารเหน อุปสมฺปโนฺนฯ ตสฺส ปน กมฺมสฺส วตฺถุญตฺติอนุสฺสาวน สีมา ปริสาสมฺปตฺติวเสน อกุปฺปตา เวทิตพฺพาฯ

    Yo panāti rassadīghādinā liṅgādibhedena yo koci. Bhikkhūti ehibhikkhuupasampadā, saraṇagamanūpasampadā, ovādappaṭiggahaṇūpasampadā, pañhābyākaraṇūpasampadā, aṭṭhagarudhammappaṭiggahaṇūpasampadā, dūtenūpasampadā, aṭṭhavācikūpasampadā, ñatticatutthakammūpasampadāti imāsu aṭṭhasu upasampadāsu ñatticatutthena upasampadākammena akuppena ṭhānārahena upasampanno. Tassa pana kammassa vatthuñattianussāvana sīmā parisāsampattivasena akuppatā veditabbā.

    ตตฺถ วตฺถูติ อุปสมฺปทาเปโกฺข ปุคฺคโล, โส ฐเปตฺวา อูนวีสติวสฺสํ อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนปุพฺพํ, ปณฺฑกาทโย จ เอกาทส อภพฺพปุคฺคเล เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ อูนวีสติวโสฺส นาม ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย อปริปุณฺณวีสติวโสฺสฯ อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนปุโพฺพ นาม จตุนฺนํ ปาราชิกานํ อญฺญตรํ อชฺฌาปนฺนปุโพฺพฯ ปณฺฑกาทโย วชฺชนียปุคฺคลกถายํ วุตฺตาฯ เตสุ อาสิตฺตปณฺฑกญฺจ อุสูยปณฺฑกญฺจ ฐเปตฺวา โอปกฺกมิกปณฺฑโก นปุํสกปณฺฑโก ปณฺฑกภาวปเกฺข ฐิโต ปกฺขปณฺฑโก จ อิธ อธิเปฺปโตฯ

    Tattha vatthūti upasampadāpekkho puggalo, so ṭhapetvā ūnavīsativassaṃ antimavatthuajjhāpannapubbaṃ, paṇḍakādayo ca ekādasa abhabbapuggale veditabbo. Tattha ūnavīsativasso nāma paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya aparipuṇṇavīsativasso. Antimavatthuajjhāpannapubbo nāma catunnaṃ pārājikānaṃ aññataraṃ ajjhāpannapubbo. Paṇḍakādayo vajjanīyapuggalakathāyaṃ vuttā. Tesu āsittapaṇḍakañca usūyapaṇḍakañca ṭhapetvā opakkamikapaṇḍako napuṃsakapaṇḍako paṇḍakabhāvapakkhe ṭhito pakkhapaṇḍako ca idha adhippeto.

    เถยฺยสํวาสโก ปน ติวิโธ ลิงฺคเตฺถนโก สํวาสเตฺถนโก อุภยเตฺถนโกติฯ ตตฺถ โย สยํ ปพฺพชิตฺวา น ภิกฺขุวสฺสานิ คเณติ, น ยถาวุฑฺฒํ ภิกฺขูนํ วา สามเณรานํ วา วนฺทนํ สาทิยติ, น อาสเนน ปฎิพาหติ, น อุโปสถาทีสุ สนฺทิสฺสติ, อยํ อสุทฺธจิตฺตตาย ลิงฺคมตฺตเสฺสว เถนิตตฺตา ลิงฺคเตฺถนโก นามฯ โย ปน ภิกฺขูหิ ปพฺพชิโต สามเณโร สมาโน กาสายานิ อปเนตฺวา เตสุ สอุสฺสาโหว เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺวา ปุน นิวาเสตฺวา สามเณรภาวํ ปฎิชานาติ, อยํ ภิกฺขูหิ ทินฺนลิงฺคสฺส อปริจฺจตฺตตฺตา น ลิงฺคเตฺถนโก, น ลิงฺคานุรูปสฺส สํวาสสฺส สาทิตตฺตา นาปิ สํวาสเตฺถนโกฯ อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนเกปิ เอเสว นโยฯ โย จ โข สามเณโร สมาโน วิเทสํ คนฺตฺวา ภิกฺขุวสฺสานิ คเณติ, ยถาวุฑฺฒํ วนฺทนํ สาทิยติ, อาสเนน ปฎิพาหติ, อุโปสถาทีสุ สนฺทิสฺสติ, อยํ สํวาสมตฺตเสฺสว เถนิตตฺตา สํวาสเตฺถนโก นามฯ ภิกฺขุวสฺสคณนาทิโก หิ สโพฺพปิ กิริยเภโท อิมสฺมิํ อเตฺถ ‘‘สํวาโส’’ติ เวทิตโพฺพฯ สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย ‘‘น มํ โกจิ ชานาตี’’ติ ปุน เอวํ ปฎิปชฺชเนฺตปิ เอเสว นโยฯ โย ปน สยํ ปพฺพชิตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา ยถาวุฑฺฒํ วนฺทนํ สาทิยติ, อาสเนน ปฎิพาหติ, ภิกฺขุวสฺสานิ คเณติ, อุโปสถาทีสุ สนฺทิสฺสติ, อยํ ลิงฺคสฺส เจว สํวาสสฺส จ เถนิตตฺตา อุภยเตฺถนโก นามฯ ธุรนิเกฺขปวเสน กาสายานิ อปเนตฺวา อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปชฺชิตฺวา ปุน ตานิ อจฺฉาเทตฺวา เอวํ ปฎิปชฺชเนฺตปิ เอเสว นโย, อยํ ติวิโธปิ เถยฺยสํวาสโก อิธ อธิเปฺปโตฯ ฐเปตฺวา ปน อิมํ ติวิธํฯ

    Theyyasaṃvāsako pana tividho liṅgatthenako saṃvāsatthenako ubhayatthenakoti. Tattha yo sayaṃ pabbajitvā na bhikkhuvassāni gaṇeti, na yathāvuḍḍhaṃ bhikkhūnaṃ vā sāmaṇerānaṃ vā vandanaṃ sādiyati, na āsanena paṭibāhati, na uposathādīsu sandissati, ayaṃ asuddhacittatāya liṅgamattasseva thenitattā liṅgatthenako nāma. Yo pana bhikkhūhi pabbajito sāmaṇero samāno kāsāyāni apanetvā tesu saussāhova methunaṃ dhammaṃ paṭisevitvā puna nivāsetvā sāmaṇerabhāvaṃ paṭijānāti, ayaṃ bhikkhūhi dinnaliṅgassa apariccattattā na liṅgatthenako, na liṅgānurūpassa saṃvāsassa sāditattā nāpi saṃvāsatthenako. Antimavatthuajjhāpannakepi eseva nayo. Yo ca kho sāmaṇero samāno videsaṃ gantvā bhikkhuvassāni gaṇeti, yathāvuḍḍhaṃ vandanaṃ sādiyati, āsanena paṭibāhati, uposathādīsu sandissati, ayaṃ saṃvāsamattasseva thenitattā saṃvāsatthenako nāma. Bhikkhuvassagaṇanādiko hi sabbopi kiriyabhedo imasmiṃ atthe ‘‘saṃvāso’’ti veditabbo. Sikkhaṃ paccakkhāya ‘‘na maṃ koci jānātī’’ti puna evaṃ paṭipajjantepi eseva nayo. Yo pana sayaṃ pabbajitvā vihāraṃ gantvā yathāvuḍḍhaṃ vandanaṃ sādiyati, āsanena paṭibāhati, bhikkhuvassāni gaṇeti, uposathādīsu sandissati, ayaṃ liṅgassa ceva saṃvāsassa ca thenitattā ubhayatthenako nāma. Dhuranikkhepavasena kāsāyāni apanetvā antimavatthuṃ ajjhāpajjitvā puna tāni acchādetvā evaṃ paṭipajjantepi eseva nayo, ayaṃ tividhopi theyyasaṃvāsako idha adhippeto. Ṭhapetvā pana imaṃ tividhaṃ.

    ‘‘ราช ทุพฺภิกฺข กนฺตาร-โรค เวรี ภเยน วา;

    ‘‘Rāja dubbhikkha kantāra-roga verī bhayena vā;

    จีวราหรณตฺถํ วา, ลิงฺคํ อาทิยตีธ โยฯ

    Cīvarāharaṇatthaṃ vā, liṅgaṃ ādiyatīdha yo.

    ‘‘สํวาสํ นาธิวาเสติ, ยาว โส สุทฺธมานโส;

    ‘‘Saṃvāsaṃ nādhivāseti, yāva so suddhamānaso;

    เถยฺยสํวาสโก นาม, ตาว เอส น วุจฺจตี’’ติฯ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐);

    Theyyasaṃvāsako nāma, tāva esa na vuccatī’’ti. (mahāva. aṭṭha. 110);

    โย ปน อุปสมฺปโนฺน ติตฺถิยภาวํ ปตฺถยมาโน สยํ วา กุสจีราทิกํ ติตฺถิยลิงฺคํ อาทิยติ, เตสํ วา สนฺติเก ปพฺพชติ, นโคฺค วา หุตฺวา อาชีวกานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา เตสํ วตานิ อาทิยติ, อยํ ติตฺถิยปกฺกนฺตโก นามฯ ฐเปตฺวา ปน มนุสฺสชาติกํ อวเสโส สโพฺพปิ ติรจฺฉานคโต นามฯ เยน มนุสฺสชาติกา ชเนตฺติ สยมฺปิ มนุสฺสภูเตเนว สญฺจิจฺจ ชีวิตา โวโรปิตา, อยํ มาตุฆาตโก นามฯ ปิตุฆาตเกปิ เอเสว นโยฯ เยน อนฺตมโส คิหิลิเงฺค ฐิโตปิ มนุสฺสชาติโก ขีณาสโว สญฺจิจฺจ ชีวิตา โวโรปิโต, อยํ อรหนฺตฆาตโก นามฯ โย ปน ปกตตฺตํ ภิกฺขุนิํ ติณฺณํ มคฺคานํ อญฺญตรสฺมิํ มเคฺค ทูเสติ , อยํ ภิกฺขุนิทูสโก นามฯ โย เทวทโตฺต วิย สาสนํ อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ กตฺวา จตุนฺนํ กมฺมานํ อญฺญตรวเสน สงฺฆํ ภินฺทติ, อยํ สงฺฆเภทโก นามฯ โย เทวทโตฺต วิย ทุฎฺฐจิเตฺตน วธกจิเตฺตน ตถาคตสฺส ชีวมานกสรีเร ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตํ อุปฺปาเทติ, อยํ โลหิตุปฺปาทโก นามฯ ยสฺส อิตฺถินิมิตฺตุปฺปาทนกมฺมโต จ ปุริสนิมิตฺตุปฺปาทนกมฺมโต จ อุภโต ทุวิธมฺปิ พฺยญฺชนํ อตฺถิ, อยํ อุภโตพฺยญฺชนโก นามฯ อิติ อิเม เตรส ปุคฺคลา อุปสมฺปทาย อวตฺถู, อิเม ปน ฐเปตฺวา อญฺญสฺมิํ อุปสมฺปทาเปเกฺข สติ อุปสมฺปทากมฺมํ วตฺถุสมฺปตฺติวเสน อกุปฺปํ โหติฯ

    Yo pana upasampanno titthiyabhāvaṃ patthayamāno sayaṃ vā kusacīrādikaṃ titthiyaliṅgaṃ ādiyati, tesaṃ vā santike pabbajati, naggo vā hutvā ājīvakānaṃ santikaṃ gantvā tesaṃ vatāni ādiyati, ayaṃ titthiyapakkantako nāma. Ṭhapetvā pana manussajātikaṃ avaseso sabbopi tiracchānagato nāma. Yena manussajātikā janetti sayampi manussabhūteneva sañcicca jīvitā voropitā, ayaṃ mātughātako nāma. Pitughātakepi eseva nayo. Yena antamaso gihiliṅge ṭhitopi manussajātiko khīṇāsavo sañcicca jīvitā voropito, ayaṃ arahantaghātako nāma. Yo pana pakatattaṃ bhikkhuniṃ tiṇṇaṃ maggānaṃ aññatarasmiṃ magge dūseti , ayaṃ bhikkhunidūsako nāma. Yo devadatto viya sāsanaṃ uddhammaṃ ubbinayaṃ katvā catunnaṃ kammānaṃ aññataravasena saṅghaṃ bhindati, ayaṃ saṅghabhedako nāma. Yo devadatto viya duṭṭhacittena vadhakacittena tathāgatassa jīvamānakasarīre khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitaṃ uppādeti, ayaṃ lohituppādako nāma. Yassa itthinimittuppādanakammato ca purisanimittuppādanakammato ca ubhato duvidhampi byañjanaṃ atthi, ayaṃ ubhatobyañjanako nāma. Iti ime terasa puggalā upasampadāya avatthū, ime pana ṭhapetvā aññasmiṃ upasampadāpekkhe sati upasampadākammaṃ vatthusampattivasena akuppaṃ hoti.

    กถํ ญตฺติสมฺปตฺติวเสน อกุปฺปํ โหติ? วตฺถุสงฺฆปุคฺคลญตฺตีนํ อปรามสนานิ, ปจฺฉา ญตฺติฎฺฐปนญฺจาติ อิเม ตาว ปญฺจ ญตฺติโทสาฯ ตตฺถ ‘‘อยํ อิตฺถนฺนาโม’’ติ อุปสมฺปทาเปกฺขสฺส อกิตฺตนํ วตฺถุอปรามสนํ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ’’ติเอตฺถ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต’’ติ วตฺวา ‘‘สโงฺฆ’’ติ อภณนํ สงฺฆอปรามสนํ นามฯ ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ อุปชฺฌายสฺส อกิตฺตนํ ปุคฺคลอปรามสนํ นามฯ สเพฺพน สพฺพํ ญตฺติยา อนุจฺจารณํ ญตฺติอปรามสนํ นามฯ ปฐมํ กมฺมวาจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ‘‘เอสา ญตฺตี’’ติ วตฺวา ‘‘ขมติ สงฺฆสฺสา’’ติ เอวํ ญตฺติกิตฺตนํ ปจฺฉา ญตฺติฎฺฐปนํ นามฯ อิติ อิเมหิ โทเสหิ วิมุตฺตาย ญตฺติยา สมฺปนฺนํ ญตฺติสมฺปตฺติวเสน อกุปฺปํ โหติฯ

    Kathaṃ ñattisampattivasena akuppaṃ hoti? Vatthusaṅghapuggalañattīnaṃ aparāmasanāni, pacchā ñattiṭṭhapanañcāti ime tāva pañca ñattidosā. Tattha ‘‘ayaṃ itthannāmo’’ti upasampadāpekkhassa akittanaṃ vatthuaparāmasanaṃ nāma. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho’’tiettha ‘‘suṇātu me, bhante’’ti vatvā ‘‘saṅgho’’ti abhaṇanaṃ saṅghaaparāmasanaṃ nāma. ‘‘Itthannāmassa upasampadāpekkho’’ti upajjhāyassa akittanaṃ puggalaaparāmasanaṃ nāma. Sabbena sabbaṃ ñattiyā anuccāraṇaṃ ñattiaparāmasanaṃ nāma. Paṭhamaṃ kammavācaṃ niṭṭhāpetvā ‘‘esā ñattī’’ti vatvā ‘‘khamati saṅghassā’’ti evaṃ ñattikittanaṃ pacchā ñattiṭṭhapanaṃ nāma. Iti imehi dosehi vimuttāya ñattiyā sampannaṃ ñattisampattivasena akuppaṃ hoti.

    อนุสฺสาวนวเสน อกุปฺปตายปิ วตฺถุสงฺฆปุคฺคลานํ อปรามสนานิ, สาวนาย หาปนํ, อกาเล สาวนนฺติ อิเม ปญฺจ อนุสฺสาวนโทสาฯ ตตฺถ วตฺถาทีนํ อปรามสนานิ ญตฺติยํ วุตฺตสทิสาเนวฯ ตีสุ ปน อนุสฺสาวนาสุ ยตฺถ กตฺถจิ เอเตสํ อปรามสนํ อปรามสนเมวฯ สเพฺพน สพฺพํ ปน กมฺมวาจํ อวตฺวา จตุกฺขตฺตุํ ญตฺติกิตฺตนเมว, อถ วา ปน กมฺมวาจาพฺภนฺตเร อกฺขรสฺส วา ปทสฺส วา อนุจฺจารณํ วา ทุรุจฺจารณํ วา สาวนาย หาปนํ นามฯ สาวนาย อโนกาเส ปฐมํ ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา อนุสฺสาวนกรณํ อกาเล สาวนํ นามฯ อิติ อิเมหิ โทเสหิ วิมุตฺตาย อนุสฺสาวนาย สมฺปนฺนํ อนุสฺสาวนสมฺปตฺติวเสน อกุปฺปํ โหติฯ

    Anussāvanavasena akuppatāyapi vatthusaṅghapuggalānaṃ aparāmasanāni, sāvanāya hāpanaṃ, akāle sāvananti ime pañca anussāvanadosā. Tattha vatthādīnaṃ aparāmasanāni ñattiyaṃ vuttasadisāneva. Tīsu pana anussāvanāsu yattha katthaci etesaṃ aparāmasanaṃ aparāmasanameva. Sabbena sabbaṃ pana kammavācaṃ avatvā catukkhattuṃ ñattikittanameva, atha vā pana kammavācābbhantare akkharassa vā padassa vā anuccāraṇaṃ vā duruccāraṇaṃ vā sāvanāya hāpanaṃ nāma. Sāvanāya anokāse paṭhamaṃ ñattiṃ aṭṭhapetvā anussāvanakaraṇaṃ akāle sāvanaṃ nāma. Iti imehi dosehi vimuttāya anussāvanāya sampannaṃ anussāvanasampattivasena akuppaṃ hoti.

    ปุเพฺพ วุตฺตํ วิปตฺติสีมาลกฺขณํ สมติกฺกนฺตาย ปน สีมาย กตํ สีมาสมฺปตฺติวเสน อกุปฺปํ โหติฯ ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา, เตสํ อนาคมนํ, ฉนฺทารหานํ ฉนฺทสฺส อนาหรณํ, สมฺมุขีภูตานํ ปฎิโกฺกสนนฺติ อิเม ปน ตโย ปริสาโทสา, เตหิ วิมุตฺตาย ปริสาย กตํ ปริสาสมฺปตฺติวเสน อกุปฺปํ โหติฯ การณารหตฺตา ปน สตฺถุ สาสนารหตฺตา ฐานารหํ นาม โหติฯ อิติ โย อิมินา เอวํ อกุเปฺปน ฐานารเหน ญตฺติจตุเตฺถน อุปสมฺปทากเมฺมน อุปสมฺปโนฺน, อยํ อิธ ‘‘ภิกฺขู’’ติ อธิเปฺปโตฯ ปณฺณตฺติวเชฺชสุ ปน อเญฺญปิ สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ

    Pubbe vuttaṃ vipattisīmālakkhaṇaṃ samatikkantāya pana sīmāya kataṃ sīmāsampattivasena akuppaṃ hoti. Yāvatikā bhikkhū kammappattā, tesaṃ anāgamanaṃ, chandārahānaṃ chandassa anāharaṇaṃ, sammukhībhūtānaṃ paṭikkosananti ime pana tayo parisādosā, tehi vimuttāya parisāya kataṃ parisāsampattivasena akuppaṃ hoti. Kāraṇārahattā pana satthu sāsanārahattā ṭhānārahaṃ nāma hoti. Iti yo iminā evaṃ akuppena ṭhānārahena ñatticatutthena upasampadākammena upasampanno, ayaṃ idha ‘‘bhikkhū’’ti adhippeto. Paṇṇattivajjesu pana aññepi saṅgahaṃ gacchanti.

    ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺนติ ยา ภิกฺขูนํ อธิสีลสงฺขาตา สิกฺขา, ตญฺจ, ยตฺถ เจเต สห ชีวนฺติ, เอกชีวิกา สภาควุตฺติโน โหนฺติ, ตํ ภควตา ปญฺญตฺตํ สิกฺขาปทสงฺขาตํ สาชีวญฺจ, ตตฺถ สิกฺขนภาเวน สมาปโนฺนติ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมอาปโนฺนฯ สมาปโนฺนติ สิกฺขญฺจ ปริปูเรโนฺต สาชีวญฺจ อวีติกฺกมโนฺต หุตฺวา ตทุภยํ อุปคโตติ อโตฺถฯ สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวาติ ยํ สิกฺขํ สมาปโนฺน, ตํ อปฎิกฺขิปิตฺวา, ยญฺจ สาชีวํ สมาปโนฺน, ตสฺมิํ ทุพฺพลภาวํ อปฺปกาเสตฺวาฯ ตตฺถ จิตฺตเขตฺตกาลปโยคปุคฺคลวิชานนวเสน สิกฺขาย ปจฺจกฺขานํ ญตฺวา ตทภาเวน อปจฺจกฺขานํ เวทิตพฺพํฯ กถํ? อุปสมฺปนฺนภาวโต จวิตุกามตาจิเตฺตเนว หิ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, น ทวา วา รวา วา ภณนฺตสฺสฯ เอวํ จิตฺตวเสน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ ตถา ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามิ, ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิ, สงฺฆํ ปจฺจกฺขามิ, สิกฺขํ, วินยํ, ปาติโมกฺขํ, อุเทฺทสํ, อุปชฺฌายํ, อาจริยํ, สทฺธิวิหาริกํ, อเนฺตวาสิกํ, สมานุปชฺฌายกํ, สมานาจริยกํ, สพฺรหฺมจาริํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ วุตฺตานํ พุทฺธาทีนํ จุทฺทสนฺนํ, ‘‘คิหีติ มํ ธาเรหิ, อุปาสโก, อารามิโก, สามเณโร, ติตฺถิโย, ติตฺถิยสาวโก, อสมโณ, ‘อสกฺยปุตฺติโย’ติ มํ ธาเรหี’’ติ เอวํ วุตฺตานํ คิหิอาทีนํ อฎฺฐนฺนญฺจาติ อิเมสํ ทฺวาวีสติยา เขตฺตปทานํ ยสฺส กสฺสจิ สเววจนสฺส วเสน เตสุ ยํกิญฺจิ วตฺตุกามสฺส ยํกิญฺจิ วทโต สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, น รุกฺขาทีนํ อญฺญตรสฺส นามํ คเหตฺวา ปจฺจาจิกฺขนฺตสฺสฯ เอวํ เขตฺตวเสน ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ

    Bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpannoti yā bhikkhūnaṃ adhisīlasaṅkhātā sikkhā, tañca, yattha cete saha jīvanti, ekajīvikā sabhāgavuttino honti, taṃ bhagavatā paññattaṃ sikkhāpadasaṅkhātaṃ sājīvañca, tattha sikkhanabhāvena samāpannoti bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamaāpanno. Samāpannoti sikkhañca paripūrento sājīvañca avītikkamanto hutvā tadubhayaṃ upagatoti attho. Sikkhaṃ apaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvāti yaṃ sikkhaṃ samāpanno, taṃ apaṭikkhipitvā, yañca sājīvaṃ samāpanno, tasmiṃ dubbalabhāvaṃ appakāsetvā. Tattha cittakhettakālapayogapuggalavijānanavasena sikkhāya paccakkhānaṃ ñatvā tadabhāvena apaccakkhānaṃ veditabbaṃ. Kathaṃ? Upasampannabhāvato cavitukāmatācitteneva hi sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, na davā vā ravā vā bhaṇantassa. Evaṃ cittavasena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena. Tathā ‘‘buddhaṃ paccakkhāmi, dhammaṃ paccakkhāmi, saṅghaṃ paccakkhāmi, sikkhaṃ, vinayaṃ, pātimokkhaṃ, uddesaṃ, upajjhāyaṃ, ācariyaṃ, saddhivihārikaṃ, antevāsikaṃ, samānupajjhāyakaṃ, samānācariyakaṃ, sabrahmacāriṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ vuttānaṃ buddhādīnaṃ cuddasannaṃ, ‘‘gihīti maṃ dhārehi, upāsako, ārāmiko, sāmaṇero, titthiyo, titthiyasāvako, asamaṇo, ‘asakyaputtiyo’ti maṃ dhārehī’’ti evaṃ vuttānaṃ gihiādīnaṃ aṭṭhannañcāti imesaṃ dvāvīsatiyā khettapadānaṃ yassa kassaci savevacanassa vasena tesu yaṃkiñci vattukāmassa yaṃkiñci vadato sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, na rukkhādīnaṃ aññatarassa nāmaṃ gahetvā paccācikkhantassa. Evaṃ khettavasena paccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena.

    ตตฺถ ยเทตํ ‘‘ปจฺจกฺขามี’’ติ จ, ‘‘มํ ธาเรหี’’ติ (ปารา. ๕๑) จ วุตฺตํ วตฺตมานกาลวจนํ, ยานิ จ ‘‘อลํ เม พุเทฺธน, กิํ นุ เม พุเทฺธน, น มมโตฺถ พุเทฺธน , สุมุตฺตาหํ พุเทฺธนา’’ติอาทินา (ปารา. ๕๒) นเยน อาขฺยาตวเสน กาลํ อนามสิตฺวา ปุริเมหิ จุทฺทสหิ ปเทหิ สทฺธิํ โยเชตฺวา วุตฺตานิ ‘‘อลํ เม’’ติอาทีนิ จตฺตาริ ปทานิ, เตสํเยว จ สเววจนานํ วเสน ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ‘‘ปจฺจกฺขาสิ’’นฺติ วา ‘‘ปจฺจกฺขิสฺส’’นฺติ วา ‘‘มํ ธาเรสี’’ติ วา ‘‘มํ ธาเรสฺสตี’’ติ วา ‘‘ยํนูนาหํ ปจฺจเกฺขยฺย’’นฺติ (ปารา. ๔๕) วาติอาทีนิ อตีตานาคตปริกปฺปวจนานิ ภณนฺตสฺสฯ เอวํ วตฺตมาน กาลวเสน เจว อนามฎฺฐกาลวเสน จ ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ

    Tattha yadetaṃ ‘‘paccakkhāmī’’ti ca, ‘‘maṃ dhārehī’’ti (pārā. 51) ca vuttaṃ vattamānakālavacanaṃ, yāni ca ‘‘alaṃ me buddhena, kiṃ nu me buddhena, na mamattho buddhena , sumuttāhaṃ buddhenā’’tiādinā (pārā. 52) nayena ākhyātavasena kālaṃ anāmasitvā purimehi cuddasahi padehi saddhiṃ yojetvā vuttāni ‘‘alaṃ me’’tiādīni cattāri padāni, tesaṃyeva ca savevacanānaṃ vasena paccakkhānaṃ hoti, na ‘‘paccakkhāsi’’nti vā ‘‘paccakkhissa’’nti vā ‘‘maṃ dhāresī’’ti vā ‘‘maṃ dhāressatī’’ti vā ‘‘yaṃnūnāhaṃ paccakkheyya’’nti (pārā. 45) vātiādīni atītānāgataparikappavacanāni bhaṇantassa. Evaṃ vattamāna kālavasena ceva anāmaṭṭhakālavasena ca paccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena.

    ปโยโค ปน ทุวิโธ กายิโก จ วาจสิโก จฯ ตตฺถ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติอาทินา (ปารา. ๕๑) นเยน ยาย กายจิ ภาสาย วจีเภทํ กตฺวา วาจสิกปฺปโยเคเนว ปจฺจกฺขานํ โหติ, น อกฺขรลิขนํ วา หตฺถมุทฺทาทิทสฺสนํ วา กายปฺปโยคํ กโรนฺตสฺสฯ เอวํ วาจสิกปฺปโยเคเนว ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ

    Payogo pana duvidho kāyiko ca vācasiko ca. Tattha ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’tiādinā (pārā. 51) nayena yāya kāyaci bhāsāya vacībhedaṃ katvā vācasikappayogeneva paccakkhānaṃ hoti, na akkharalikhanaṃ vā hatthamuddādidassanaṃ vā kāyappayogaṃ karontassa. Evaṃ vācasikappayogeneva paccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena.

    ปุคฺคโล ปน ทุวิโธ – โย จ ปจฺจกฺขาติ, ยสฺส จ ปจฺจกฺขาติฯ ตตฺถ โย ปจฺจกฺขาติ, โส สเจ อุมฺมตฺตกขิตฺตจิตฺตเวทนาฎฺฎานํ อญฺญตโร น โหติฯ ยสฺส ปน ปจฺจกฺขาติ, โส สเจ มนุสฺสชาติโก โหติ, น จ อุมฺมตฺตกาทีนํ อญฺญตโร, สมฺมุขีภูโต จ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ น หิ อสมฺมุขีภูตสฺส ทูเตน วา ปเณฺณน วา อาโรจนํ รุหติฯ เอวํ ยถาวุตฺตปุคฺคลวเสน ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ

    Puggalo pana duvidho – yo ca paccakkhāti, yassa ca paccakkhāti. Tattha yo paccakkhāti, so sace ummattakakhittacittavedanāṭṭānaṃ aññataro na hoti. Yassa pana paccakkhāti, so sace manussajātiko hoti, na ca ummattakādīnaṃ aññataro, sammukhībhūto ca sikkhāpaccakkhānaṃ hoti. Na hi asammukhībhūtassa dūtena vā paṇṇena vā ārocanaṃ ruhati. Evaṃ yathāvuttapuggalavasena paccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena.

    วิชานนมฺปิ นิยมิตานิยมิตวเสน ทุวิธํฯ ตตฺถ ยสฺส เยสํ วา นิยเมตฺวา ‘‘อิมสฺส, อิเมสํ วา อาโรเจมี’’ติ วทติ, สเจ เต ยถา ปกติยา โลเก มนุสฺสา วจนํ สุตฺวา อาวชฺชนสมเย ชานนฺติ, เอวํ ตสฺส วจนานนฺตรเมว ตสฺส ‘‘อยํ อุกฺกณฺฐิโต’’ติ วา ‘‘คิหิภาวํ ปตฺถยตี’’ติ วา เยน เกนจิ อากาเรน สิกฺขาปจฺจกฺขานภาวํ ชานนฺติ, ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ อถ อปรภาเค ‘‘กิํ อิมินา วุตฺต’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ชานนฺติ, อเญฺญ วา ชานนฺติ, อปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ อนิยเมตฺวา อาโรเจนฺตสฺส ปน สเจ วุตฺตนเยน โย โกจิ มนุสฺสชาติโก วจนตฺถํ ชานาติ, ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ เอวํ วิชานนวเสน ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ โย ปน อนฺตมโส ทวายปิ ปจฺจกฺขาติ, เตน อปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ อิติ อิเมสํ วุตฺตปฺปการานํ จิตฺตาทีนํ วา วเสน, สพฺพโส วา ปน อปจฺจกฺขาเนน สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย สิกฺขาปจฺจกฺขานเสฺสว จ อตฺถภูตํ เอกจฺจํ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวาฯ

    Vijānanampi niyamitāniyamitavasena duvidhaṃ. Tattha yassa yesaṃ vā niyametvā ‘‘imassa, imesaṃ vā ārocemī’’ti vadati, sace te yathā pakatiyā loke manussā vacanaṃ sutvā āvajjanasamaye jānanti, evaṃ tassa vacanānantarameva tassa ‘‘ayaṃ ukkaṇṭhito’’ti vā ‘‘gihibhāvaṃ patthayatī’’ti vā yena kenaci ākārena sikkhāpaccakkhānabhāvaṃ jānanti, paccakkhātāva hoti sikkhā. Atha aparabhāge ‘‘kiṃ iminā vutta’’nti cintetvā jānanti, aññe vā jānanti, apaccakkhātāva hoti sikkhā. Aniyametvā ārocentassa pana sace vuttanayena yo koci manussajātiko vacanatthaṃ jānāti, paccakkhātāva hoti sikkhā. Evaṃ vijānanavasena paccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena. Yo pana antamaso davāyapi paccakkhāti, tena apaccakkhātāva hoti sikkhā. Iti imesaṃ vuttappakārānaṃ cittādīnaṃ vā vasena, sabbaso vā pana apaccakkhānena sikkhaṃ apaccakkhāya sikkhāpaccakkhānasseva ca atthabhūtaṃ ekaccaṃ dubbalyaṃ anāvikatvā.

    เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยาติ เอตฺถ เมถุนํ ธมฺมนฺติ ราคปริยุฎฺฐาเนน สทิสานํ อุภินฺนํ ธมฺมํฯ ปฎิเสเวยฺยาติ ปฎิเสเวยฺย อชฺฌาปเชฺชยฺยฯ อนฺตมโสติ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทนฯ ติรจฺฉานคตายปีติ ปฎิสนฺธิวเสน ติรจฺฉาเนสุ คตายปิ, อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺติฯ ปาราชิโก โหตีติ ปราชิโต โหติ, ปราชยํ อาปโนฺนฯ อสํวาโสติ ปกตตฺตา ภิกฺขู สห วสนฺติ เอตฺถาติ เอกกมฺมาทิโกว ติวิโธปิ วิธิ สํวาโส นาม, โส เตน สทฺธิํ นตฺถีติ อสํวาโสฯ สงฺฆกเมฺมสุ หิ เอส คณปูรโกปิ น โหติ, อยํ ตาว ปทวณฺณนาฯ

    Methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyāti ettha methunaṃ dhammanti rāgapariyuṭṭhānena sadisānaṃ ubhinnaṃ dhammaṃ. Paṭiseveyyāti paṭiseveyya ajjhāpajjeyya. Antamasoti sabbantimena paricchedena. Tiracchānagatāyapīti paṭisandhivasena tiracchānesu gatāyapi, ayamettha anupaññatti. Pārājiko hotīti parājito hoti, parājayaṃ āpanno. Asaṃvāsoti pakatattā bhikkhū saha vasanti etthāti ekakammādikova tividhopi vidhi saṃvāso nāma, so tena saddhiṃ natthīti asaṃvāso. Saṅghakammesu hi esa gaṇapūrakopi na hoti, ayaṃ tāva padavaṇṇanā.

    อยํ ปเนตฺถ วินิจฺฉโย – มนุสฺสามนุสฺสติรจฺฉานคตวเสน หิ ติโสฺส อิตฺถิโย, ตาสํ วจฺจมคฺคปสฺสาวมคฺคมุขมคฺควเสน ตโย ตโย กตฺวา นว มคฺคา, ตถา อุภโตพฺยญฺชนกานํฯ ปุริสานํ ปน วจฺจมคฺคมุขมคฺควเสน เทฺว เทฺว กตฺวา ฉ มคฺคา, ตถา ปณฺฑกานนฺติ เอวํ ติํส มคฺคาฯ เตสุ อตฺตโน วา ปเรสํ วา ยสฺส กสฺสจิ มคฺคสฺส สนฺถตสฺส วา อสนฺถตสฺส วา, ปเรสํ ปน มตานมฺปิ อกฺขายิตสฺส วา เยภุเยฺยน อกฺขายิตสฺส วา ปกติวาเตน อสํผุเฎฺฐ อโลฺลกาเส โย ภิกฺขุ เอกติลพีชมตฺตมฺปิ อตฺตโน องฺคชาตํ สนฺถตํ วา อสนฺถตํ วา เสวนจิเตฺตน ปเวเสติ, ปเรน วา ปเวสิยมาเน ปเวสนปวิฎฺฐฎฺฐิตอุทฺธรเณสุ ยํกิญฺจิ สาทิยติ, อยํ ปาราชิกาปตฺติํ อาปโนฺน นาม โหติ, อยํ ตาเวตฺถ อสาธารณวินิจฺฉโยฯ สพฺพสิกฺขาปทานํ ปน สาธารณวินิจฺฉยตฺถํ อยํ มาติกา –

    Ayaṃ panettha vinicchayo – manussāmanussatiracchānagatavasena hi tisso itthiyo, tāsaṃ vaccamaggapassāvamaggamukhamaggavasena tayo tayo katvā nava maggā, tathā ubhatobyañjanakānaṃ. Purisānaṃ pana vaccamaggamukhamaggavasena dve dve katvā cha maggā, tathā paṇḍakānanti evaṃ tiṃsa maggā. Tesu attano vā paresaṃ vā yassa kassaci maggassa santhatassa vā asanthatassa vā, paresaṃ pana matānampi akkhāyitassa vā yebhuyyena akkhāyitassa vā pakativātena asaṃphuṭṭhe allokāse yo bhikkhu ekatilabījamattampi attano aṅgajātaṃ santhataṃ vā asanthataṃ vā sevanacittena paveseti, parena vā pavesiyamāne pavesanapaviṭṭhaṭṭhitauddharaṇesu yaṃkiñci sādiyati, ayaṃ pārājikāpattiṃ āpanno nāma hoti, ayaṃ tāvettha asādhāraṇavinicchayo. Sabbasikkhāpadānaṃ pana sādhāraṇavinicchayatthaṃ ayaṃ mātikā –

    นิทานํ ปุคฺคลํ วตฺถุํ, ปญฺญตฺติวิธิเมว จ;

    Nidānaṃ puggalaṃ vatthuṃ, paññattividhimeva ca;

    อาณตฺตาปตฺตินาปตฺติ-วิปตฺติํ องฺคเมว จฯ

    Āṇattāpattināpatti-vipattiṃ aṅgameva ca.

    สมุฎฺฐานวิธิํ กิริยา-สญฺญาจิเตฺตหิ นานตฺตํ;

    Samuṭṭhānavidhiṃ kiriyā-saññācittehi nānattaṃ;

    วชฺชกมฺมปฺปเภทญฺจ, ติกทฺวยวิธิํ ตถาฯ

    Vajjakammappabhedañca, tikadvayavidhiṃ tathā.

    ลกฺขณํ สตฺตรสธา, ฐิตํ สาธารณํ อิทํ;

    Lakkhaṇaṃ sattarasadhā, ṭhitaṃ sādhāraṇaṃ idaṃ;

    ญตฺวา โยเชยฺย เมธาวี, ตตฺถ ตตฺถ ยถารหนฺติฯ

    Ñatvā yojeyya medhāvī, tattha tattha yathārahanti.

    ตตฺถ นิทานํ นาม เวสาลิ-ราชคห-สาวตฺถิ-อาฬวิ-โกสมฺพิ-สคฺค-ภคฺคานํ วเสน สตฺตวิธํ ปญฺญตฺติฎฺฐานํ, อิทญฺหิ สพฺพสิกฺขาปทานํ นิทานํฯ ปุคฺคโล นาม ยํ ยํ อารพฺภ ตํ ตํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํฯ วตฺถุ นาม ตสฺส ตสฺส ปุคฺคลสฺส อชฺฌาจาโร วุจฺจติฯ ปญฺญตฺติวิธินฺติ ปญฺญตฺติอนุปญฺญตฺติอนุปฺปนฺนปญฺญตฺติสพฺพตฺถปญฺญตฺติปเทสปญฺญตฺติสาธารณปญฺญตฺติ อสาธารณปญฺญตฺติเอกโตปญฺญตฺติอุภโตปญฺญตฺติวเสน นววิธา ปญฺญตฺติฯ ตตฺถ อนุปฺปนฺนปญฺญตฺติ นาม อนุปฺปเนฺน โทเส ปญฺญตฺตา, สา อฎฺฐครุธมฺมปฺปฎิคฺคหณวเสน (จูฬว. ๔๐๓) ภิกฺขุนีนํเยว อาคตา, อญฺญตฺร นตฺถิฯ วินยธรปญฺจเมน (มหาว. ๒๕๙) คเณน อุปสมฺปทา, คณงฺคณูปาหนา (มหาว. ๒๕๙) ธุวนฺหานํ จมฺมตฺถรณนฺติ เอเตสํ วเสน จตุพฺพิธา ปเทสปญฺญตฺติ นามฯ มชฺฌิมเทเสเยว หิ เอเตหิ อาปตฺติ โหติ, เตสุปิ ธุวนฺหานํ ปฎิเกฺขปมตฺตเมว ปาติโมเกฺข อาคตํ, ตโต อญฺญา ปเทสปญฺญตฺติ นาม นตฺถิฯ สพฺพานิ สพฺพตฺถปญฺญตฺติเยว โหนฺติ, สาธารณปญฺญตฺติทุกญฺจ เอกโตปญฺญตฺติทุกญฺจ อตฺถโต เอกํ, ตสฺมา อนุปฺปนฺนปญฺญตฺติญฺจ สพฺพตฺถปญฺญตฺติทุกญฺจ เอกโตปญฺญตฺติทุกญฺจ ฐเปตฺวา เสสานํ จตสฺสนฺนํ ปญฺญตฺตีนํ วเสน สพฺพตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ อาณตฺตาปตฺตินาปตฺติวิปตฺตินฺติเอตฺถ อาณตฺตีติอาณาปนา วุจฺจติฯ อาปตฺตีติ ปุพฺพปฺปโยคาทิวเสน อาปตฺติเภโทฯ อนาปตฺตีติ อชานนาทิวเสน อนาปตฺติฯ วิปตฺตีติ สีลอาจารทิฎฺฐิอาชีววิปตฺตีนํ อญฺญตราฯ อิติ อิมาสํ อาณตฺตาทีนมฺปิ วเสน สพฺพตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ องฺคนฺติ สพฺพสิกฺขาปเทสุ อาปตฺตีนํ องฺคํ เวทิตพฺพํฯ

    Tattha nidānaṃ nāma vesāli-rājagaha-sāvatthi-āḷavi-kosambi-sagga-bhaggānaṃ vasena sattavidhaṃ paññattiṭṭhānaṃ, idañhi sabbasikkhāpadānaṃ nidānaṃ. Puggalo nāma yaṃ yaṃ ārabbha taṃ taṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ. Vatthu nāma tassa tassa puggalassa ajjhācāro vuccati. Paññattividhinti paññattianupaññattianuppannapaññattisabbatthapaññattipadesapaññattisādhāraṇapaññatti asādhāraṇapaññattiekatopaññattiubhatopaññattivasena navavidhā paññatti. Tattha anuppannapaññatti nāma anuppanne dose paññattā, sā aṭṭhagarudhammappaṭiggahaṇavasena (cūḷava. 403) bhikkhunīnaṃyeva āgatā, aññatra natthi. Vinayadharapañcamena (mahāva. 259) gaṇena upasampadā, gaṇaṅgaṇūpāhanā (mahāva. 259) dhuvanhānaṃ cammattharaṇanti etesaṃ vasena catubbidhā padesapaññatti nāma. Majjhimadeseyeva hi etehi āpatti hoti, tesupi dhuvanhānaṃ paṭikkhepamattameva pātimokkhe āgataṃ, tato aññā padesapaññatti nāma natthi. Sabbāni sabbatthapaññattiyeva honti, sādhāraṇapaññattidukañca ekatopaññattidukañca atthato ekaṃ, tasmā anuppannapaññattiñca sabbatthapaññattidukañca ekatopaññattidukañca ṭhapetvā sesānaṃ catassannaṃ paññattīnaṃ vasena sabbattha vinicchayo veditabbo. Āṇattāpattināpattivipattintiettha āṇattītiāṇāpanā vuccati. Āpattīti pubbappayogādivasena āpattibhedo. Anāpattīti ajānanādivasena anāpatti. Vipattīti sīlaācāradiṭṭhiājīvavipattīnaṃ aññatarā. Iti imāsaṃ āṇattādīnampi vasena sabbattha vinicchayo veditabbo. Aṅganti sabbasikkhāpadesu āpattīnaṃ aṅgaṃ veditabbaṃ.

    สมุฎฺฐานวิธินฺติ สพฺพาปตฺตีนํ กาโย วาจา กายวาจา กายจิตฺตํ วาจาจิตฺตํ กายวาจาจิตฺตนฺติ อิมานิ เอกงฺคิกทฺวงฺคิกติวงฺคิกานิฯ ฉ สมุฎฺฐานานิ นาม ยานิ ‘‘สิกฺขาปทสมอุฎฺฐานานี’’ติปิ วุจฺจนฺติฯ ตตฺถ ปุริมานิ ตีณิ อจิตฺตกานิ, ปจฺฉิมานิ สจิตฺตกานิฯ เตสุ เอเกน วา ทฺวีหิ วา ตีหิ วา จตูหิ วา ฉหิ วา สมุฎฺฐาเนหิ อาปตฺติโย สมุฎฺฐหนฺติ, ปญฺจสมุฎฺฐานา นาม นตฺถิฯ ตตฺถ เอกสมุฎฺฐานา นาม จตุเตฺถน จ ปญฺจเมน จ ฉเฎฺฐน จ สมุฎฺฐาเนน สมุฎฺฐาติ, น อเญฺญนฯ ทฺวิสมุฎฺฐานา นาม ปฐมจตุเตฺถหิ จ ทุติยปญฺจเมหิ จ ตติยฉเฎฺฐหิ จ จตุตฺถฉเฎฺฐหิ จ ปญฺจมฉเฎฺฐหิ จ สมุฎฺฐาเนหิ, สมุฎฺฐาติ, น อเญฺญหิฯ ติสมุฎฺฐานา นาม ปฐเมหิ จ ตีหิ, ปจฺฉิเมหิ จ ตีหิ สมุฎฺฐาเนหิ สมุฎฺฐาติ, น อเญฺญหิฯ จตุสมุฎฺฐานา นาม ปฐมตติยจตุตฺถฉเฎฺฐหิ จ ทุติยตติยปญฺจมฉเฎฺฐหิ จ สมุฎฺฐาเนหิ สมุฎฺฐาติ, น อเญฺญหิฯ ฉ สมุฎฺฐานา นาม ฉหิปิ สมุฎฺฐาติฯ

    Samuṭṭhānavidhinti sabbāpattīnaṃ kāyo vācā kāyavācā kāyacittaṃ vācācittaṃ kāyavācācittanti imāni ekaṅgikadvaṅgikativaṅgikāni. Cha samuṭṭhānāni nāma yāni ‘‘sikkhāpadasamauṭṭhānānī’’tipi vuccanti. Tattha purimāni tīṇi acittakāni, pacchimāni sacittakāni. Tesu ekena vā dvīhi vā tīhi vā catūhi vā chahi vā samuṭṭhānehi āpattiyo samuṭṭhahanti, pañcasamuṭṭhānā nāma natthi. Tattha ekasamuṭṭhānā nāma catutthena ca pañcamena ca chaṭṭhena ca samuṭṭhānena samuṭṭhāti, na aññena. Dvisamuṭṭhānā nāma paṭhamacatutthehi ca dutiyapañcamehi ca tatiyachaṭṭhehi ca catutthachaṭṭhehi ca pañcamachaṭṭhehi ca samuṭṭhānehi, samuṭṭhāti, na aññehi. Tisamuṭṭhānā nāma paṭhamehi ca tīhi, pacchimehi ca tīhi samuṭṭhānehi samuṭṭhāti, na aññehi. Catusamuṭṭhānā nāma paṭhamatatiyacatutthachaṭṭhehi ca dutiyatatiyapañcamachaṭṭhehi ca samuṭṭhānehi samuṭṭhāti, na aññehi. Cha samuṭṭhānā nāma chahipi samuṭṭhāti.

    เอวํ –

    Evaṃ –

    ติธา เอกสมุฎฺฐานา, ปญฺจธา ทฺวิสมุฎฺฐิตา;

    Tidhā ekasamuṭṭhānā, pañcadhā dvisamuṭṭhitā;

    ทฺวิธา ติจตุโร ฐานา, เอกธา ฉสมุฎฺฐิตาติฯ

    Dvidhā ticaturo ṭhānā, ekadhā chasamuṭṭhitāti.

    สมุฎฺฐานวเสน สพฺพาว เตรส อาปตฺติโย โหนฺติ (จูฬว. ๑๖๕ อาทโย), ตา ปฐมปญฺญตฺติสิกฺขาปทวเสน สมุฎฺฐานโต เตรส นามานิ ลภนฺติ ปฐมปาราชิกสมุฎฺฐานา, อทินฺนาทาน-สญฺจริตฺต-สมนุภาสน-กถิน-เอฬกโลม-ปทโสธมฺม-อทฺธาน-เถยฺยสตฺถ-ธมฺมเทสนาภูตาโรจน-โจริวุฎฺฐาปน-อนนุญฺญาตสมุฎฺฐานาติฯ ตตฺถ ยา กายจิตฺตโต สมุฎฺฐาติ, อยํ ปฐมปาราชิกสมุฎฺฐานา นามฯ ยา สจิตฺตเกหิ ตีหิ สมุฎฺฐาเนหิ สมุฎฺฐาติ, อยํ อทินฺนาทานสมุฎฺฐานา นามฯ ยา ฉหิปิ สมุฎฺฐาติ, อยํ สญฺจริตฺตสมุฎฺฐานา นามฯ ยา ฉเฎฺฐเนว สมุฎฺฐาติ, อยํ สมนุภาสนสมุฎฺฐานา นามฯ ยา ตติยฉเฎฺฐหิ สมุฎฺฐาติ, อยํ กถินสมุฎฺฐานา นามฯ ยา ปฐมจตุเตฺถหิ สมุฎฺฐาติ, อยํ เอฬกโลมสมุฎฺฐานา นามฯ ยา ทุติยปญฺจเมหิ สมุฎฺฐาติ , อยํ ปทโสธมฺมสมุฎฺฐานา นามฯ ยา ปฐมตติยจตุตฺถฉเฎฺฐหิ สมุฎฺฐาติ, อยํ อทฺธานสมุฎฺฐานา นามฯ ยา จตุตฺถฉเฎฺฐหิ สมุฎฺฐาติ, อยํ เถยฺยสตฺถสมุฎฺฐานา นามฯ ยา ปญฺจเมเนว สมุฎฺฐาติ, อยํ ธมฺมเทสนาสมุฎฺฐานา นามฯ ยา อจิตฺตเกหิ ตีหิ สมุฎฺฐาเนหิ สมุฎฺฐาติ, อยํ ภูตาโรจนสมุฎฺฐานา นามฯ ยา ปญฺจมฉเฎฺฐหิ สมุฎฺฐาติ, อยํ โจริวุฎฺฐาปนสมุฎฺฐานา นามฯ ยา ทุติยตติยปญฺจมฉเฎฺฐหิ สมุฎฺฐาติ, อยํ อนนุญฺญาตสมุฎฺฐานา นามาติฯ อิติ อิมสฺส สมุฎฺฐานวิธิโนปิ วเสน สพฺพตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ

    Samuṭṭhānavasena sabbāva terasa āpattiyo honti (cūḷava. 165 ādayo), tā paṭhamapaññattisikkhāpadavasena samuṭṭhānato terasa nāmāni labhanti paṭhamapārājikasamuṭṭhānā, adinnādāna-sañcaritta-samanubhāsana-kathina-eḷakaloma-padasodhamma-addhāna-theyyasattha-dhammadesanābhūtārocana-corivuṭṭhāpana-ananuññātasamuṭṭhānāti. Tattha yā kāyacittato samuṭṭhāti, ayaṃ paṭhamapārājikasamuṭṭhānā nāma. Yā sacittakehi tīhi samuṭṭhānehi samuṭṭhāti, ayaṃ adinnādānasamuṭṭhānā nāma. Yā chahipi samuṭṭhāti, ayaṃ sañcarittasamuṭṭhānā nāma. Yā chaṭṭheneva samuṭṭhāti, ayaṃ samanubhāsanasamuṭṭhānā nāma. Yā tatiyachaṭṭhehi samuṭṭhāti, ayaṃ kathinasamuṭṭhānā nāma. Yā paṭhamacatutthehi samuṭṭhāti, ayaṃ eḷakalomasamuṭṭhānā nāma. Yā dutiyapañcamehi samuṭṭhāti , ayaṃ padasodhammasamuṭṭhānā nāma. Yā paṭhamatatiyacatutthachaṭṭhehi samuṭṭhāti, ayaṃ addhānasamuṭṭhānā nāma. Yā catutthachaṭṭhehi samuṭṭhāti, ayaṃ theyyasatthasamuṭṭhānā nāma. Yā pañcameneva samuṭṭhāti, ayaṃ dhammadesanāsamuṭṭhānā nāma. Yā acittakehi tīhi samuṭṭhānehi samuṭṭhāti, ayaṃ bhūtārocanasamuṭṭhānā nāma. Yā pañcamachaṭṭhehi samuṭṭhāti, ayaṃ corivuṭṭhāpanasamuṭṭhānā nāma. Yā dutiyatatiyapañcamachaṭṭhehi samuṭṭhāti, ayaṃ ananuññātasamuṭṭhānā nāmāti. Iti imassa samuṭṭhānavidhinopi vasena sabbattha vinicchayo veditabbo.

    กิริยาสญฺญาจิเตฺตหิ นานตฺตนฺติ เอเตหิ กิริยาทีหิ สพฺพาปตฺตีนํ นานาภาวํ ญตฺวา สพฺพตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ สพฺพาปตฺติโย หิ กิริยาวเสน ปญฺจวิธา โหนฺติ, เสยฺยถิทํ – อตฺถาปตฺติ กิริยโต สมุฎฺฐาติ , อตฺถิ อกิริยโต, อตฺถิ กิริยากิริยโต, อตฺถิ สิยา กิริยโต สิยา อกิริยโต, อตฺถิ สิยา กิริยโต สิยา กิริยากิริยโตติฯ ตตฺถ ยา กาเยน วา วาจาย วา ปถวิขณนาทีสุ (ปจิ. ๘๔) วิย วีติกฺกมํ กโรนฺตสฺส โหติ, อยํ กิริยโต สมุฎฺฐาติ นามฯ ยา กายวาจาหิ กตฺตพฺพํ อกโรนฺตสฺส โหติ ปฐมกถินาปตฺติ (ปารา. ๔๕๙ อาทโย) วิย, อยํ อกิริยโต สมุฎฺฐาติ นามฯ ยา กโรนฺตสฺส จ อกโรนฺตสฺส จ โหติ อญฺญาติกาย ภิกฺขุนิยา หตฺถโต จีวรปฺปฎิคฺคหณาปตฺติ (ปารา. ๕๐๘-๕๑๑) วิย, อยํ กิริยากิริยโต สมุฎฺฐาติ นามฯ ยา สิยา กโรนฺตสฺส จ, สิยา อกโรนฺตสฺส จ โหติ รูปิยปฺปฎิคฺคหณาปตฺติ (ปารา. ๕๘๒) วิย, อยํ สิยา กิริยโต สิยา อกิริยโต สมุฎฺฐาติ นามฯ ยา สิยา กโรนฺตสฺส จ สิยา กโรนฺตากโรนฺตสฺส จ โหติ กุฎิการาปตฺติ (ปารา. ๓๔๒ อาทโย) วิย, อยํ สิยา กิริยโต สิยา กิริยากิริยโต สมุฎฺฐาติ นามฯ

    Kiriyāsaññācittehi nānattanti etehi kiriyādīhi sabbāpattīnaṃ nānābhāvaṃ ñatvā sabbattha vinicchayo veditabbo. Sabbāpattiyo hi kiriyāvasena pañcavidhā honti, seyyathidaṃ – atthāpatti kiriyato samuṭṭhāti , atthi akiriyato, atthi kiriyākiriyato, atthi siyā kiriyato siyā akiriyato, atthi siyā kiriyato siyā kiriyākiriyatoti. Tattha yā kāyena vā vācāya vā pathavikhaṇanādīsu (paci. 84) viya vītikkamaṃ karontassa hoti, ayaṃ kiriyato samuṭṭhāti nāma. Yā kāyavācāhi kattabbaṃ akarontassa hoti paṭhamakathināpatti (pārā. 459 ādayo) viya, ayaṃ akiriyato samuṭṭhāti nāma. Yā karontassa ca akarontassa ca hoti aññātikāya bhikkhuniyā hatthato cīvarappaṭiggahaṇāpatti (pārā. 508-511) viya, ayaṃ kiriyākiriyatosamuṭṭhāti nāma. Yā siyā karontassa ca, siyā akarontassa ca hoti rūpiyappaṭiggahaṇāpatti (pārā. 582) viya, ayaṃ siyā kiriyato siyā akiriyato samuṭṭhāti nāma. Yā siyā karontassa ca siyā karontākarontassa ca hoti kuṭikārāpatti (pārā. 342 ādayo) viya, ayaṃ siyā kiriyato siyā kiriyākiriyato samuṭṭhāti nāma.

    สพฺพาปตฺติโย จ สญฺญาวเสน ทุวิธา โหนฺติ สญฺญาวิโมกฺขา โนสญฺญาวิโมกฺขาติฯ ตตฺถ ยโต วีติกฺกมสญฺญาย อภาเวน มุจฺจติ, อยํ สญฺญาวิโมกฺขา, อิตรา โนสญฺญาวิโมกฺขาฯ ปุน จ สพฺพาปิ จิตฺตวเสน ทุวิธา โหนฺติ สจิตฺตกา อจิตฺตกา จาติฯ ตตฺถ ยา สจิตฺตกสมุฎฺฐานวเสเนว สมุฎฺฐาติ อยํ สจิตฺตกาฯ ยา อจิตฺตเกน วา สจิตฺตกมิสฺสเกน วา สมุฎฺฐาติ อยํ อจิตฺตกา

    Sabbāpattiyo ca saññāvasena duvidhā honti saññāvimokkhā nosaññāvimokkhāti. Tattha yato vītikkamasaññāya abhāvena muccati, ayaṃ saññāvimokkhā, itarā nosaññāvimokkhā. Puna ca sabbāpi cittavasena duvidhā honti sacittakā acittakā cāti. Tattha yā sacittakasamuṭṭhānavaseneva samuṭṭhāti ayaṃ sacittakā. Yā acittakena vā sacittakamissakena vā samuṭṭhāti ayaṃ acittakā.

    วชฺชกมฺมปฺปเภทนฺติ เอตฺถ สพฺพาปตฺติโย วชฺชวเสน ทุวิธา โหนฺติ โลกวชฺชา ปณฺณตฺติวชฺชา จาติฯ ตตฺถ ยสฺสา สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมว โหติ, อยํ โลกวชฺชา, เสสา ปณฺณตฺติวชฺชาฯ สพฺพา จ กายกมฺมวจีกมฺมตทุภยวเสน ติวิธา โหนฺติฯ ตตฺถ กายทฺวาเร อาปชฺชิตพฺพา กายกมฺมนฺติ วุจฺจติ, วจีทฺวาเร อาปชฺชิตพฺพา วจีกมฺมนฺติ วุจฺจติ, อุภยตฺถ อาปชฺชิตพฺพา กายกมฺมํ วจีกมฺมญฺจาติ, มโนทฺวาเร อาปตฺติ นาม นตฺถิฯ อิติ อิมินา วชฺชกมฺมปฺปเภเทนาปิ สพฺพตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ

    Vajjakammappabhedanti ettha sabbāpattiyo vajjavasena duvidhā honti lokavajjā paṇṇattivajjā cāti. Tattha yassā sacittakapakkhe cittaṃ akusalameva hoti, ayaṃ lokavajjā, sesā paṇṇattivajjā. Sabbā ca kāyakammavacīkammatadubhayavasena tividhā honti. Tattha kāyadvāre āpajjitabbā kāyakammanti vuccati, vacīdvāre āpajjitabbā vacīkammanti vuccati, ubhayattha āpajjitabbā kāyakammaṃ vacīkammañcāti, manodvāre āpatti nāma natthi. Iti iminā vajjakammappabhedenāpi sabbattha vinicchayo veditabbo.

    ติกทฺวยวิธินฺติ กุสลตฺติกเวทนาตฺติกวิธิํฯ อาปตฺติํ อาปชฺชมาโน หิ อกุสลจิโตฺต วา อาปชฺชติ กุสลาพฺยากตจิโตฺต วา, ตถา ทุกฺขเวทนาสมงฺคี วา อิตรเวทนาทฺวยสมงฺคี วาฯ เอวํ สเนฺตปิ สพฺพสิกฺขาปเทสุ อกุสลจิตฺตวเสน เอกํ จิตฺตํ, กุสลาพฺยากตจิตฺตวเสน เทฺว จิตฺตานิ, สเพฺพสํ วเสน ตีณิ จิตฺตานิฯ ทุกฺขเวทนาวเสน เอกา เวทนา, สุขอุเปกฺขาวเสน เทฺว, สพฺพาสํ วเสน ติโสฺส เวทนาติฯ อยเมว ปเภโท ลพฺภติ, น อโญฺญฯ

    Tikadvayavidhinti kusalattikavedanāttikavidhiṃ. Āpattiṃ āpajjamāno hi akusalacitto vā āpajjati kusalābyākatacitto vā, tathā dukkhavedanāsamaṅgī vā itaravedanādvayasamaṅgī vā. Evaṃ santepi sabbasikkhāpadesu akusalacittavasena ekaṃ cittaṃ, kusalābyākatacittavasena dve cittāni, sabbesaṃ vasena tīṇi cittāni. Dukkhavedanāvasena ekā vedanā, sukhaupekkhāvasena dve, sabbāsaṃ vasena tisso vedanāti. Ayameva pabhedo labbhati, na añño.

    ลกฺขณํ สตฺตรสธา, ฐิตํ สาธารณํ อิทํ, ญตฺวาติ อิทํ นิทานาทิเวทนาตฺติกปริโยสานํ สตฺตรสปฺปการํ ลกฺขณํ ชานิตฺวา โยเชยฺย เมธาวีฯ ตตฺถ ตตฺถ ยถารหนฺติ ปณฺฑิโต ภิกฺขุ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สิกฺขาปเท อิทํ ลกฺขณํ ยถานุรูปํ โยเชยฺยาติ อโตฺถฯ ตํ ปน อโยชิตํ ทุพฺพิชานํ โหติ, ตสฺมา นํ สพฺพสิกฺขาปทานํ อสาธารณวินิจฺฉยปริโยสาเน อิมํ มาติกํ อนุทฺธริตฺวาว โยเชตฺวา ทสฺสยิสฺสามฯ

    Lakkhaṇaṃ sattarasadhā, ṭhitaṃ sādhāraṇaṃ idaṃ, ñatvāti idaṃ nidānādivedanāttikapariyosānaṃ sattarasappakāraṃ lakkhaṇaṃ jānitvā yojeyya medhāvī. Tattha tattha yathārahanti paṇḍito bhikkhu tasmiṃ tasmiṃ sikkhāpade idaṃ lakkhaṇaṃ yathānurūpaṃ yojeyyāti attho. Taṃ pana ayojitaṃ dubbijānaṃ hoti, tasmā naṃ sabbasikkhāpadānaṃ asādhāraṇavinicchayapariyosāne imaṃ mātikaṃ anuddharitvāva yojetvā dassayissāma.

    อิธ ปนสฺส อยํ โยชนา – อิทํ เวสาลิยํ สุทินฺนเตฺถรํ อารพฺภ เมถุนวีติกฺกมวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํฯ ‘‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยา’’ติ อยเมตฺถ ปญฺญตฺติ, ‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขายา’’ติ จ ‘‘อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปี’’ติ จ เทฺว อนุปญฺญตฺติโยฯ อนุปญฺญตฺติ จ นาเมสา อาปตฺติกรา จ โหติ อญฺญวาทกสิกฺขาปทาทีสุ (ปาจิ. ๙๕ อาทโย) วิย, อนาปตฺติกรา จ อญฺญตฺร สุปินนฺตาติอาทีสุ (ปารา. ๒๓๖-๒๓๗) วิย, อาปตฺติอุปตฺถมฺภกรา จ อทินฺนาทานาทีสุ (ปารา. ๙๑) วิย , อิธ ปน อุปตฺถมฺภกราติ เวทิตพฺพาฯ อิโต ปรํ ปน ยตฺถ อนุปญฺญตฺติ อตฺถิ, ตตฺถ ‘‘อยํ อนุปญฺญตฺตี’’ติ เอตฺตกเมว ทสฺสยิสฺสามฯ ฐเปตฺวา ปน อนุปญฺญตฺติํ อวเสสา ปญฺญตฺติเยวาติ สพฺพตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ ภิกฺขุํ อารพฺภ อุปฺปนฺนวตฺถุสฺมิํเยว ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ฉนฺทโส เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยา’’ติ เอวํ ภิกฺขุนีนมฺปิ ปญฺญตฺติโต สาธารณปญฺญตฺติฯ อาณตฺติยา อนาปชฺชนโต อนาณตฺติกํฯ ภิกฺขุํ ปน อาณาเปโนฺต อกปฺปิยสมาทานาปตฺติโต น มุจฺจติ, เมถุนราเคน กายสํสเคฺค ทุกฺกฎํ, ชีวมานกสรีรสฺส วุตฺตปฺปกาเร มเคฺค สเจปิ ตจาทีนิ อนวเสเสตฺวา สพฺพโส ฉิเนฺน นิมิตฺตสณฺฐานมตฺตํ ปญฺญายติ, ตตฺถ อนฺตมโส องฺคชาเต อุฎฺฐิตํ อนฎฺฐกายปฺปสาทํ ปีฬกํ วา จมฺมขิลํ วา ปเวเสนฺตสฺสาปิ เสวนจิเตฺต สติ ปาราชิกํ, นฎฺฐกายปฺปสาทํ สุกฺขปีฬกํ วา มตจมฺมํ วา โลมํ วา ปเวเสนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, สเจ นิมิตฺตสณฺฐานมตฺตมฺปิ อนวเสเสตฺวา สพฺพโส มโคฺค อุปฺปาฎิโต, ตตฺถ อุปกฺกมโต วณสเงฺขปวเสน ถุลฺลจฺจยํ, ตถา มนุสฺสานํ อกฺขินาสากณฺณจฺฉิทฺทวตฺถิโกเสสุ สตฺถเกน กตวเณ วา, หตฺถิอสฺสาทีนญฺจ ติรจฺฉานานํ วตฺถิโกสนาสาปุเฎสุ ถุลฺลจฺจยํฯ ติรจฺฉานานํ ปน อกฺขิกณฺณนาสาวเณสุ อหิมจฺฉาทีนํ ปเวสนปฺปมาณวิรหิเต อณุนิมิเตฺต สเพฺพสญฺจ อุปกจฺฉกาทีสุ เสสสรีเรสุ ทุกฺกฎํฯ มตสรีเร นิมิเตฺต อุปฑฺฒกฺขายิตโต ปฎฺฐาย ยาว น กุถิตํ โหติ, ตาว ถุลฺลจฺจยํฯ กุถิเต ทุกฺกฎํ, ตถา วฎฺฎกเต มุเข อจฺฉุปนฺตํ องฺคชาตํ ปเวเสนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ โอฎฺฐโต พหิ นิกฺขนฺตชิวฺหาย วา ทเนฺตสุ วา ถุลฺลจฺจยํฯ นิมิตฺตโต พหิ ปติตมํสเปสิยํ ทุกฺกฎนฺติ อยเมตฺถ อาปตฺติเภโทฯ

    Idha panassa ayaṃ yojanā – idaṃ vesāliyaṃ sudinnattheraṃ ārabbha methunavītikkamavatthusmiṃ paññattaṃ. ‘‘Methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyā’’ti ayamettha paññatti, ‘‘sikkhaṃ apaccakkhāyā’’ti ca ‘‘antamaso tiracchānagatāyapī’’ti ca dve anupaññattiyo. Anupaññatti ca nāmesā āpattikarā ca hoti aññavādakasikkhāpadādīsu (pāci. 95 ādayo) viya, anāpattikarā ca aññatra supinantātiādīsu (pārā. 236-237) viya, āpattiupatthambhakarā ca adinnādānādīsu (pārā. 91) viya , idha pana upatthambhakarāti veditabbā. Ito paraṃ pana yattha anupaññatti atthi, tattha ‘‘ayaṃ anupaññattī’’ti ettakameva dassayissāma. Ṭhapetvā pana anupaññattiṃ avasesā paññattiyevāti sabbattha vinicchayo veditabbo. Bhikkhuṃ ārabbha uppannavatthusmiṃyeva ‘‘yā pana bhikkhunī chandaso methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyā’’ti evaṃ bhikkhunīnampi paññattito sādhāraṇapaññatti. Āṇattiyā anāpajjanato anāṇattikaṃ. Bhikkhuṃ pana āṇāpento akappiyasamādānāpattito na muccati, methunarāgena kāyasaṃsagge dukkaṭaṃ, jīvamānakasarīrassa vuttappakāre magge sacepi tacādīni anavasesetvā sabbaso chinne nimittasaṇṭhānamattaṃ paññāyati, tattha antamaso aṅgajāte uṭṭhitaṃ anaṭṭhakāyappasādaṃ pīḷakaṃ vā cammakhilaṃ vā pavesentassāpi sevanacitte sati pārājikaṃ, naṭṭhakāyappasādaṃ sukkhapīḷakaṃ vā matacammaṃ vā lomaṃ vā pavesentassa dukkaṭaṃ, sace nimittasaṇṭhānamattampi anavasesetvā sabbaso maggo uppāṭito, tattha upakkamato vaṇasaṅkhepavasena thullaccayaṃ, tathā manussānaṃ akkhināsākaṇṇacchiddavatthikosesu satthakena katavaṇe vā, hatthiassādīnañca tiracchānānaṃ vatthikosanāsāpuṭesu thullaccayaṃ. Tiracchānānaṃ pana akkhikaṇṇanāsāvaṇesu ahimacchādīnaṃ pavesanappamāṇavirahite aṇunimitte sabbesañca upakacchakādīsu sesasarīresu dukkaṭaṃ. Matasarīre nimitte upaḍḍhakkhāyitato paṭṭhāya yāva na kuthitaṃ hoti, tāva thullaccayaṃ. Kuthite dukkaṭaṃ, tathā vaṭṭakate mukhe acchupantaṃ aṅgajātaṃ pavesentassa dukkaṭaṃ. Oṭṭhato bahi nikkhantajivhāya vā dantesu vā thullaccayaṃ. Nimittato bahi patitamaṃsapesiyaṃ dukkaṭanti ayamettha āpattibhedo.

    อชานนฺตสฺส อสาทิยนฺตสฺส อุมฺมตฺตกสฺส ขิตฺตจิตฺตสฺส เวทนาฎฺฎสฺส อาทิกมฺมิกานญฺจ อนาปตฺติฯ เอตฺถ ปน โย นิทฺทํ โอกฺกนฺตตฺตา ปเรน กตมฺปิ อุปกฺกมํ น ชานาติ, โส อชานโนฺตฯ โย ชานิตฺวาปิ น สาทิยติ, โส อสาทิยโนฺตฯ โย ปิตฺตวเสน อเตกิจฺฉํ อุมฺมาทํ ปโตฺต, โส อุมฺมตฺตโกฯ ยเกฺขหิ กตจิตฺตวิเกฺขโป ขิตฺตจิโตฺตฯ ทฺวินฺนมฺปิ จ เอเตสํ อคฺคิสุวณฺณคูถจนฺทนาทีสุ สมปฺปวตฺติภาเวน อชานนภาโวว ปมาณํฯ โย อธิมตฺตเวทนาย อาตุรตฺตา กิญฺจิ น ชานาติ, โส เวทนาโฎฺฎฯ โย ตสฺมิํ ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ อาทิภูโต, โส อาทิกมฺมิโกฯ อยํ ปน อนาปตฺติฯ จตูสุ วิปตฺตีสุ สีลวิปตฺติฯ ตสฺสา เทฺว องฺคานิ เสวนจิตฺตญฺจ มเคฺคน มคฺคปฎิปาทนญฺจาติฯ สมุฎฺฐานาทิโต อิทํ สิกฺขาปทํ ปฐมปาราชิกสมุฎฺฐานํ, กิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ทฺวิเวทนนฺติ, อิมานิ จ สมุฎฺฐานาทีนิ นาม อาปตฺติยา โหนฺติ, น สิกฺขาปทสฺสฯ โวหารสุขตฺถํ ปน สพฺพฎฺฐกถาสุ สิกฺขาปทสีเสน เทสนา อาคตา, ตสฺมา อเญฺญสุปิ เอวรูเปสุ ฐาเนสุ พฺยญฺชเน อาทรํ อกตฺวา อธิเปฺปตเมว คเหตพฺพํฯ

    Ajānantassa asādiyantassa ummattakassa khittacittassa vedanāṭṭassa ādikammikānañca anāpatti. Ettha pana yo niddaṃ okkantattā parena katampi upakkamaṃ na jānāti, so ajānanto. Yo jānitvāpi na sādiyati, so asādiyanto. Yo pittavasena atekicchaṃ ummādaṃ patto, so ummattako. Yakkhehi katacittavikkhepo khittacitto. Dvinnampi ca etesaṃ aggisuvaṇṇagūthacandanādīsu samappavattibhāvena ajānanabhāvova pamāṇaṃ. Yo adhimattavedanāya āturattā kiñci na jānāti, so vedanāṭṭo. Yo tasmiṃ tasmiṃ vatthusmiṃ ādibhūto, so ādikammiko. Ayaṃ pana anāpatti. Catūsu vipattīsu sīlavipatti. Tassā dve aṅgāni sevanacittañca maggena maggapaṭipādanañcāti. Samuṭṭhānādito idaṃ sikkhāpadaṃ paṭhamapārājikasamuṭṭhānaṃ, kiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, akusalacittaṃ, dvivedananti, imāni ca samuṭṭhānādīni nāma āpattiyā honti, na sikkhāpadassa. Vohārasukhatthaṃ pana sabbaṭṭhakathāsu sikkhāpadasīsena desanā āgatā, tasmā aññesupi evarūpesu ṭhānesu byañjane ādaraṃ akatvā adhippetameva gahetabbaṃ.

    อตฺถญฺหิ นาโถ สรณํ อโวจ;

    Atthañhi nātho saraṇaṃ avoca;

    น พฺยญฺชนํ โลกหิโต มเหสีฯ

    Na byañjanaṃ lokahito mahesī.

    ตสฺมา อกตฺวา รติมกฺขเรสุ;

    Tasmā akatvā ratimakkharesu;

    อเตฺถ นิเวเสยฺย มติํ มุตีมาติฯ

    Atthe niveseyya matiṃ mutīmāti.

    ปฐมปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒. ทุติยปาราชิกวณฺณนา

    2. Dutiyapārājikavaṇṇanā

    ทุติเย คามา วา อรญฺญาวาติ เอตฺถ สโพฺพปิ เอกกุฎิกาทิเภโท ปริกฺขิโตฺต วา อปริกฺขิโตฺต วา สมนุโสฺส วา อมนุโสฺส วา อนฺตมโส อติเรกจาตุมาสนิวิโฎฺฐ โย โกจิ สโตฺถปิ ‘‘คาโม’’ติ เวทิตโพฺพฯ ฐเปตฺวา คามญฺจ คามูปจารญฺจ อวเสสํ อรญฺญํ นามฯ ตตฺถ อสโมฺมหตฺถํ ฆรํ ฆรูปจาโร คาโม คามูปจาโรติ อยํ วิภาโค เวทิตโพฺพฯ นิพฺพโกสสฺส หิ อุทกปตนฎฺฐานพฺภนฺตรํ ฆรํ นามฯ ยํ ปน ทฺวาเร ฐิโต มาตุคาโม ภาชนโธวนอุทกํ ฉเฑฺฑติ, ตสฺส ปตนฎฺฐานญฺจ มาตุคาเมเนว อโนฺตเคเห ฐิเตน ปกติยา พหิ ขิตฺตสฺส สุปฺปสฺส วา สํมุญฺชนิยา วา ปตนฎฺฐานญฺจ ฆรสฺส ปุรโต ทฺวีสุ โกเณสุ สมฺพนฺธิตฺวา มเชฺฌ รุกฺขสูจิทฺวารํ ฐเปตฺวา โครูปานํ ปเวสนนิวารณตฺถํ กตปริเกฺขโป จ อยํ สโพฺพปิ ฆรูปจาโร นามฯ ยํ ปน สพฺพนฺติมํ ฆรํ โหติ, ตสฺส ฆรสฺส ตาทิเส ฆรูปจาเร ฐิตสฺส ถามมชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส ยถา ตรุณมนุสฺสา อตฺตโน พลํ ทเสฺสโนฺต พาหุํ ปสาเรตฺวา เลฑฺฑุํ ขิปนฺติ, เอวํ ขิตฺตสฺส เลฑฺฑุสฺส ปตนฎฺฐานพฺภนฺตรํ คาโม นามฯ ตโต อญฺญสฺส เลฑฺฑุปาตสฺส อพฺภนฺตรํ คามูปจาโร นามฯ ปติตสฺส ปน เลฑฺฑุโน ปวตฺติตฺวา คตฎฺฐานํ น คเหตพฺพํฯ ปริกฺขิตฺตสฺส ปน คามสฺส ปริเกฺขโปเยว คามสฺส ปริเจฺฉโท, ตสฺส สเจ เทฺว อินฺทขิลา โหนฺติ อพฺภนฺตริเม อินฺทขิเล ฐิตสฺส เลฑฺฑุปาตพฺภนฺตรํ คามูปจาโร นามฯ ปทภาชเนปิ (ปารา. ๙๒) หิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ยฺวายํ อปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส อุปจาโร ทสฺสิโต, ตสฺส วเสน วิกาเล คามปฺปเวสนาทีสุ อาปตฺติ ปริจฺฉินฺทิตพฺพาฯ อิติ อิมํ ฐเปตฺวา คามญฺจ คามูปจารญฺจ อวเสสํ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท อรญฺญํ นามฯ เทสนามตฺตเมว เจตํ ‘‘คามา วา อรญฺญาวา’’ติฯ เย ปน อิเมสํ ปริเจฺฉททสฺสนตฺถํ ฆรฆรูปจารคามูปจารา วุตฺตา, ตโตปิ ปาราชิกวตฺถุํ อวหรนฺตสฺส ปาราชิกํ โหติเยวฯ

    Dutiye gāmā vā araññāvāti ettha sabbopi ekakuṭikādibhedo parikkhitto vā aparikkhitto vā samanusso vā amanusso vā antamaso atirekacātumāsaniviṭṭho yo koci satthopi ‘‘gāmo’’ti veditabbo. Ṭhapetvā gāmañca gāmūpacārañca avasesaṃ araññaṃ nāma. Tattha asammohatthaṃ gharaṃ gharūpacāro gāmo gāmūpacāroti ayaṃ vibhāgo veditabbo. Nibbakosassa hi udakapatanaṭṭhānabbhantaraṃ gharaṃ nāma. Yaṃ pana dvāre ṭhito mātugāmo bhājanadhovanaudakaṃ chaḍḍeti, tassa patanaṭṭhānañca mātugāmeneva antogehe ṭhitena pakatiyā bahi khittassa suppassa vā saṃmuñjaniyā vā patanaṭṭhānañca gharassa purato dvīsu koṇesu sambandhitvā majjhe rukkhasūcidvāraṃ ṭhapetvā gorūpānaṃ pavesananivāraṇatthaṃ kataparikkhepo ca ayaṃ sabbopi gharūpacāro nāma. Yaṃ pana sabbantimaṃ gharaṃ hoti, tassa gharassa tādise gharūpacāre ṭhitassa thāmamajjhimassa purisassa yathā taruṇamanussā attano balaṃ dassento bāhuṃ pasāretvā leḍḍuṃ khipanti, evaṃ khittassa leḍḍussa patanaṭṭhānabbhantaraṃ gāmo nāma. Tato aññassa leḍḍupātassa abbhantaraṃ gāmūpacāro nāma. Patitassa pana leḍḍuno pavattitvā gataṭṭhānaṃ na gahetabbaṃ. Parikkhittassa pana gāmassa parikkhepoyeva gāmassa paricchedo, tassa sace dve indakhilā honti abbhantarime indakhile ṭhitassa leḍḍupātabbhantaraṃ gāmūpacāro nāma. Padabhājanepi (pārā. 92) hi imināva nayena attho veditabbo. Tattha yvāyaṃ aparikkhittassa gāmassa upacāro dassito, tassa vasena vikāle gāmappavesanādīsu āpatti paricchinditabbā. Iti imaṃ ṭhapetvā gāmañca gāmūpacārañca avasesaṃ imasmiṃ sikkhāpade araññaṃ nāma. Desanāmattameva cetaṃ ‘‘gāmā vā araññāvā’’ti. Ye pana imesaṃ paricchedadassanatthaṃ gharagharūpacāragāmūpacārā vuttā, tatopi pārājikavatthuṃ avaharantassa pārājikaṃ hotiyeva.

    อทินฺนนฺติ อญฺญสฺส มนุสฺสชาติกสฺส สนฺตกํฯ เถยฺยสงฺขาตนฺติ เอตฺถ เถโนติ โจโร, เถนสฺส ภาโว เถยฺยํ, อวหรณจิตฺตเสฺสตํ นามํฯ สงฺขา สงฺขาตนฺติ อตฺถโต เอกํ, โกฎฺฐาสเสฺสตํ นามํ ‘‘สญฺญานิทานา หิ ปปญฺจสงฺขา’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๘๐; มหานิ. ๑๐๙) วิยฯ เถยฺยญฺจ ตํ สงฺขาตญฺจาติ เถยฺยสงฺขาตํ, เถยฺยจิตฺตสงฺขาโต เอโก จิตฺตโกฎฺฐาโสติ อโตฺถฯ กรณเตฺถ เจตํ ปจฺจตฺตวจนํ, ตสฺมา เถยฺยสงฺขาเตนาติ อตฺถโต ทฎฺฐพฺพํฯ โย จ เถยฺยสงฺขาเตน อาทิยติ, โส ยสฺมา เถยฺยจิโตฺต โหติ, ตสฺมา พฺยญฺชนํ อนาทิยิตฺวา อตฺถเมว ทเสฺสตุํ ‘‘เถยฺยจิโตฺต อวหรณจิโตฺต’’ติ (ปารา. ๙๒) เอวมสฺส ปทภาชนํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Adinnanti aññassa manussajātikassa santakaṃ. Theyyasaṅkhātanti ettha thenoti coro, thenassa bhāvo theyyaṃ, avaharaṇacittassetaṃ nāmaṃ. Saṅkhā saṅkhātanti atthato ekaṃ, koṭṭhāsassetaṃ nāmaṃ ‘‘saññānidānā hi papañcasaṅkhā’’tiādīsu (su. ni. 880; mahāni. 109) viya. Theyyañca taṃ saṅkhātañcāti theyyasaṅkhātaṃ, theyyacittasaṅkhāto eko cittakoṭṭhāsoti attho. Karaṇatthe cetaṃ paccattavacanaṃ, tasmā theyyasaṅkhātenāti atthato daṭṭhabbaṃ. Yo ca theyyasaṅkhātena ādiyati, so yasmā theyyacitto hoti, tasmā byañjanaṃ anādiyitvā atthameva dassetuṃ ‘‘theyyacitto avaharaṇacitto’’ti (pārā. 92) evamassa padabhājanaṃ vuttanti veditabbaṃ.

    อาทิเยยฺยาติ ปญฺจวีสติยา อวหารานํ อญฺญตรวเสน หเรยฺยฯ เต ปน อวหารา ปญฺจ ปญฺจกานิ สโมธาเนตฺวา สาธุกํ สลฺลเกฺขตพฺพาฯ ปญฺจ ปญฺจกานิ นาม นานาภณฺฑปญฺจกํ เอกภณฺฑปญฺจกํ สาหตฺถิกปญฺจกํ ปุพฺพปโยคปญฺจกํ เถยฺยาวหารปญฺจกนฺติฯ ตตฺถ ปุริมานิ เทฺว ปญฺจกานิ เอตเสฺสว ปทสฺส ปทภาชเน วุตฺตานํ ‘‘อาทิเยยฺย หเรยฺย อวหเรยฺย อิริยาปถํ วิโกเปยฺย ฐานา จาเวยฺยา’’ติ อิเมสํ ปทานํ วเสน ลพฺภนฺติฯ ตตฺถ นานาภณฺฑปญฺจกํ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกวเสน ทฎฺฐพฺพํ, อิตรํ สวิญฺญาณกวเสเนวฯ กถํ? อาทิเยยฺยาติ อารามํ อภิยุญฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ สามิกสฺส วิมติํ อุปฺปาเทติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ สามิโก ‘‘น มยฺหํ ภวิสฺสตี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ หเรยฺยาติ อญฺญสฺส ภณฺฑํ หรโนฺต สีเส ภารํ เถยฺยจิโตฺต อามสติ, ทุกฺกฎํฯ ผนฺทาเปติ, ถุลฺลจฺจยํฯ ขนฺธํ โอโรเปติ, ปาราชิกํฯ อวหเรยฺยาติ อุปนิกฺขิตฺตํ ภณฺฑํ ‘‘เทหิ เม ภณฺฑ’’นฺติ วุจฺจมาโน ‘‘นาหํ คณฺหามี’’ติ ภณติ, ทุกฺกฎํฯ สามิกสฺส วิมติํ อุปฺปาเทติ, ถุลฺลจฺจยํฯ สามิโก ‘‘น มยฺหํ ภวิสฺสตี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, ปาราชิกํฯ อิริยาปถํ วิโกเปยฺยาติ ‘‘สห ภณฺฑหารกํ เนสฺสามี’’ติ ปฐมํ ปาทํ อติกฺกาเมติ, ถุลฺลจฺจยํฯ ทุติยํ ปาทํ อติกฺกาเมติ, ปาราชิกํฯ ฐานา จาเวยฺยาติ ถลฎฺฐํ ภณฺฑํ เถยฺยจิโตฺต อามสติ, ทุกฺกฎํฯ ผนฺทาเปติ, ถุลฺลจฺจยํฯ ฐานา จาเวติ, ปาราชิกํฯ เอวํ ตาว นานาภณฺฑปญฺจกํ เวทิตพฺพํฯ สสามิกสฺส ปน ทาสสฺส วา ติรจฺฉานคตสฺส วา ยถาวุเตฺตน อภิโยคาทินา นเยน อาทิยนหรณอวหรณอิริยาปถวิโกปนฐานาจาวนวเสน เอกภณฺฑปญฺจกํ เวทิตพฺพํฯ

    Ādiyeyyāti pañcavīsatiyā avahārānaṃ aññataravasena hareyya. Te pana avahārā pañca pañcakāni samodhānetvā sādhukaṃ sallakkhetabbā. Pañca pañcakāni nāma nānābhaṇḍapañcakaṃ ekabhaṇḍapañcakaṃ sāhatthikapañcakaṃ pubbapayogapañcakaṃ theyyāvahārapañcakanti. Tattha purimāni dve pañcakāni etasseva padassa padabhājane vuttānaṃ ‘‘ādiyeyya hareyya avahareyya iriyāpathaṃ vikopeyya ṭhānā cāveyyā’’ti imesaṃ padānaṃ vasena labbhanti. Tattha nānābhaṇḍapañcakaṃ saviññāṇakāviññāṇakavasena daṭṭhabbaṃ, itaraṃ saviññāṇakavaseneva. Kathaṃ? Ādiyeyyāti ārāmaṃ abhiyuñjati, āpatti dukkaṭassa. Sāmikassa vimatiṃ uppādeti, āpatti thullaccayassa. Sāmiko ‘‘na mayhaṃ bhavissatī’’ti dhuraṃ nikkhipati, āpatti pārājikassa. Hareyyāti aññassa bhaṇḍaṃ haranto sīse bhāraṃ theyyacitto āmasati, dukkaṭaṃ. Phandāpeti, thullaccayaṃ. Khandhaṃ oropeti, pārājikaṃ. Avahareyyāti upanikkhittaṃ bhaṇḍaṃ ‘‘dehi me bhaṇḍa’’nti vuccamāno ‘‘nāhaṃ gaṇhāmī’’ti bhaṇati, dukkaṭaṃ. Sāmikassa vimatiṃ uppādeti, thullaccayaṃ. Sāmiko ‘‘na mayhaṃ bhavissatī’’ti dhuraṃ nikkhipati, pārājikaṃ. Iriyāpathaṃ vikopeyyāti ‘‘saha bhaṇḍahārakaṃ nessāmī’’ti paṭhamaṃ pādaṃ atikkāmeti, thullaccayaṃ. Dutiyaṃ pādaṃ atikkāmeti, pārājikaṃ. Ṭhānā cāveyyāti thalaṭṭhaṃ bhaṇḍaṃ theyyacitto āmasati, dukkaṭaṃ. Phandāpeti, thullaccayaṃ. Ṭhānā cāveti, pārājikaṃ. Evaṃ tāva nānābhaṇḍapañcakaṃ veditabbaṃ. Sasāmikassa pana dāsassa vā tiracchānagatassa vā yathāvuttena abhiyogādinā nayena ādiyanaharaṇaavaharaṇairiyāpathavikopanaṭhānācāvanavasena ekabhaṇḍapañcakaṃ veditabbaṃ.

    กตมํ สาหตฺถิกปญฺจกํ? สาหตฺถิโก อาณตฺติโก นิสฺสคฺคิโย อตฺถสาธโก ธุรนิเกฺขโปติฯ ตตฺถ สาหตฺถิโก นาม ปรสฺส ภณฺฑํ สหตฺถา อวหรติฯ อาณตฺติโก นาม ‘‘อสุกสฺส ภณฺฑํ อวหรา’’ติ อญฺญํ อาณาเปติฯ นิสฺสคฺคิโย นาม สุงฺกฆาตกปริกปฺปิโตกาสานํ อโนฺต ฐตฺวา พหิ ปาตนํฯ อตฺถสาธโก นาม ‘‘อสุกสฺส ภณฺฑํ ยทา สโกฺกติ, ตทา ตํ อวหรา’’ติ อญฺญํ อาณาเปติฯ ตตฺถ สเจ ปโร อนนฺตรายิโก หุตฺวา ตํ อวหรติ, อาณาปกสฺส อาณตฺติกฺขเณเยว ปาราชิกํฯ ปรสฺส วา ปน เตลกุมฺภิยา ปาทคฺฆนกเตลํ อวสฺสํ ปิวนกานิ อุปาหนาทีนิ ปกฺขิปติ, หตฺถโต มุตฺตมเตฺตเยว ปาราชิกํฯ ธุรนิเกฺขโป ปน อารามาภิโยคอุปนิกฺขิตฺตภณฺฑวเสน เวทิตโพฺพฯ ตาวกาลิกภณฺฑเทยฺยานิ อเทนฺตสฺสาปิ เอเสวนโยติ อิทํ สาหตฺถิกปญฺจกํฯ

    Katamaṃ sāhatthikapañcakaṃ? Sāhatthiko āṇattiko nissaggiyo atthasādhako dhuranikkhepoti. Tattha sāhatthiko nāma parassa bhaṇḍaṃ sahatthā avaharati. Āṇattiko nāma ‘‘asukassa bhaṇḍaṃ avaharā’’ti aññaṃ āṇāpeti. Nissaggiyo nāma suṅkaghātakaparikappitokāsānaṃ anto ṭhatvā bahi pātanaṃ. Atthasādhako nāma ‘‘asukassa bhaṇḍaṃ yadā sakkoti, tadā taṃ avaharā’’ti aññaṃ āṇāpeti. Tattha sace paro anantarāyiko hutvā taṃ avaharati, āṇāpakassa āṇattikkhaṇeyeva pārājikaṃ. Parassa vā pana telakumbhiyā pādagghanakatelaṃ avassaṃ pivanakāni upāhanādīni pakkhipati, hatthato muttamatteyeva pārājikaṃ. Dhuranikkhepo pana ārāmābhiyogaupanikkhittabhaṇḍavasena veditabbo. Tāvakālikabhaṇḍadeyyāni adentassāpi esevanayoti idaṃ sāhatthikapañcakaṃ.

    กตมํ ปุพฺพปโยคปญฺจกํ? ปุพฺพปโยโค สหปโยโค สํวิธาวหาโร สเงฺกตกมฺมํ นิมิตฺตกมฺมนฺติ ฯ ตตฺถ อาณตฺติวเสน ปุพฺพปโยโค เวทิตโพฺพฯ ฐานา จาวนวเสน, ขิลาทีนิ สงฺกาเมตฺวา เขตฺตาทิคฺคหณวเสน จ สหปโยโค เวทิตโพฺพฯ สํวิธาวหาโร นาม ‘‘อสุกํ นาม ภณฺฑํ อวหริสฺสามา’’ติ สํวิทหิตฺวา สํมนฺตยิตฺวา อวหรณํฯ เอวํ สํวิทหิตฺวา คเตสุ หิ เอเกนาปิ ตสฺมิํ ภเณฺฑ ฐานา จาวิเต สเพฺพสํ อวหารา โหนฺติฯ สเงฺกตกมฺมํ นาม สญฺชานนกมฺมํฯ สเจ หิ ปุเรภตฺตาทีสุ ยํกิญฺจิ กาลํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘อสุกสฺมิํ กาเล อิตฺถนฺนามํ ภณฺฑํ อวหรา’’ติ วุโตฺต สเงฺกตโต อปจฺฉา อปุเร ตํ อวหรติ, สเงฺกตการกสฺส สเงฺกตกรณกฺขเณเยว อวหาโรฯ นิมิตฺตกมฺมํ นาม สญฺญุปฺปาทนตฺถํ อกฺขินิกฺขณาทินิมิตฺตกรณํฯ สเจ หิ เอวํ กตนิมิตฺตโต อปจฺฉา อปุเร ‘‘ยํ อวหรา’’ติ วุโตฺต, ตํ อวหรติ, นิมิตฺตการกสฺส นิมิตฺตกรณกฺขเณเยว อวหาโรติ อิทํ ปุพฺพปโยคปญฺจกํฯ

    Katamaṃ pubbapayogapañcakaṃ? Pubbapayogo sahapayogo saṃvidhāvahāro saṅketakammaṃ nimittakammanti . Tattha āṇattivasena pubbapayogo veditabbo. Ṭhānā cāvanavasena, khilādīni saṅkāmetvā khettādiggahaṇavasena ca sahapayogo veditabbo. Saṃvidhāvahāro nāma ‘‘asukaṃ nāma bhaṇḍaṃ avaharissāmā’’ti saṃvidahitvā saṃmantayitvā avaharaṇaṃ. Evaṃ saṃvidahitvā gatesu hi ekenāpi tasmiṃ bhaṇḍe ṭhānā cāvite sabbesaṃ avahārā honti. Saṅketakammaṃ nāma sañjānanakammaṃ. Sace hi purebhattādīsu yaṃkiñci kālaṃ paricchinditvā ‘‘asukasmiṃ kāle itthannāmaṃ bhaṇḍaṃ avaharā’’ti vutto saṅketato apacchā apure taṃ avaharati, saṅketakārakassa saṅketakaraṇakkhaṇeyeva avahāro. Nimittakammaṃ nāma saññuppādanatthaṃ akkhinikkhaṇādinimittakaraṇaṃ. Sace hi evaṃ katanimittato apacchā apure ‘‘yaṃ avaharā’’ti vutto, taṃ avaharati, nimittakārakassa nimittakaraṇakkhaṇeyeva avahāroti idaṃ pubbapayogapañcakaṃ.

    กตมํ เถยฺยาวหารปญฺจกํ? เถยฺยาวหาโร ปสยฺหาวหาโร ปริกปฺปาวหาโร ปฎิจฺฉนฺนาวหาโร กุสาวหาโรติฯ ตตฺถ โย สนฺธิเจฺฉทาทีนิ กตฺวา อทิสฺสมาโน อวหรติ, กูฎมานกูฎกหาปณาทีหิ วา วเญฺจตฺวา คณฺหาติ, ตเสฺสวํ คณฺหโต อวหาโร เถยฺยาวหาโรติ เวทิตโพฺพฯ โย ปน ปสยฺห พลกฺกาเรน ปเรสํ สนฺตกํ คณฺหาติ คามฆาตกาทโย วิย, อตฺตโน ปตฺตพลิโต วา วุตฺตนเยเนว อธิกํ คณฺหาติ ราชภฎาทโย วิย, ตเสฺสวํ คณฺหโต อวหาโร ปสยฺหาวหาโรติ เวทิตโพฺพฯ ปริกเปฺปตฺวา คหณํ ปน ปริกปฺปาวหาโร นามฯ โส ภโณฺฑกาสวเสน ทุวิโธฯ ตตฺรายํ ภณฺฑปริกโปฺป – สาฎกตฺถิโก อโนฺตคพฺภํ ปวิสิตฺวา ‘‘สเจ สาฎโก ภวิสฺสติ, คณฺหิสฺสามิ, สเจ สุตฺตํ, น คณฺหิสฺสามี’’ติ ปริกเปฺปตฺวา อนฺธกาเร ปสิพฺพกํ คณฺหาติ, ตตฺร เจ สาฎโก โหติ, อุทฺธาเรเยว ปาราชิกํฯ สุตฺตํ เจ โหติ, รกฺขติฯ พหิ นีหริตฺวา มุญฺจิตฺวา ‘‘สุตฺต’’นฺติ ญตฺวา ปุน อาหริตฺวา ฐเปติ, รกฺขติเยวฯ ‘‘สุตฺต’’นฺติ ญตฺวาปิ ‘‘ยํ ลทฺธํ, ตํ คเหตพฺพ’’นฺติ คจฺฉติ, ปทวาเรน กาเรตโพฺพฯ ภูมิยํ ฐเปตฺวา คณฺหาติ, อุทฺธาเร ปาราชิกํฯ ‘‘โจโร โจโร’’ติ อนุพโนฺธ ฉเฎฺฎตฺวา ปลายติ, รกฺขติฯ สามิกา ทิสฺวา คณฺหนฺติ, รกฺขติ เยวฯ อโญฺญ เจ โกจิ คณฺหาติ, ภณฺฑเทยฺยํฯ สามิเกสุ นิวเตฺตสุ สยํ ทิสฺวา ปํสุกูลสญฺญาย ‘‘ปเคเวตํ มยา คหิตํ, มม ทานิ สนฺตก’’นฺติ คณฺหนฺตสฺสาปิ ภณฺฑเทยฺยเมวฯ ตตฺถ ยฺวายํ ‘‘สเจ สาฎโก ภวิสฺสติ, คณฺหิสฺสามี’’ติอาทินา นเยน ปวโตฺต ปริกโปฺป, อยํ ภณฺฑปริกโปฺป นามฯ

    Katamaṃ theyyāvahārapañcakaṃ? Theyyāvahāro pasayhāvahāro parikappāvahāro paṭicchannāvahāro kusāvahāroti. Tattha yo sandhicchedādīni katvā adissamāno avaharati, kūṭamānakūṭakahāpaṇādīhi vā vañcetvā gaṇhāti, tassevaṃ gaṇhato avahāro theyyāvahāroti veditabbo. Yo pana pasayha balakkārena paresaṃ santakaṃ gaṇhāti gāmaghātakādayo viya, attano pattabalito vā vuttanayeneva adhikaṃ gaṇhāti rājabhaṭādayo viya, tassevaṃ gaṇhato avahāro pasayhāvahāroti veditabbo. Parikappetvā gahaṇaṃ pana parikappāvahāro nāma. So bhaṇḍokāsavasena duvidho. Tatrāyaṃ bhaṇḍaparikappo – sāṭakatthiko antogabbhaṃ pavisitvā ‘‘sace sāṭako bhavissati, gaṇhissāmi, sace suttaṃ, na gaṇhissāmī’’ti parikappetvā andhakāre pasibbakaṃ gaṇhāti, tatra ce sāṭako hoti, uddhāreyeva pārājikaṃ. Suttaṃ ce hoti, rakkhati. Bahi nīharitvā muñcitvā ‘‘sutta’’nti ñatvā puna āharitvā ṭhapeti, rakkhatiyeva. ‘‘Sutta’’nti ñatvāpi ‘‘yaṃ laddhaṃ, taṃ gahetabba’’nti gacchati, padavārena kāretabbo. Bhūmiyaṃ ṭhapetvā gaṇhāti, uddhāre pārājikaṃ. ‘‘Coro coro’’ti anubandho chaṭṭetvā palāyati, rakkhati. Sāmikā disvā gaṇhanti, rakkhati yeva. Añño ce koci gaṇhāti, bhaṇḍadeyyaṃ. Sāmikesu nivattesu sayaṃ disvā paṃsukūlasaññāya ‘‘pagevetaṃ mayā gahitaṃ, mama dāni santaka’’nti gaṇhantassāpi bhaṇḍadeyyameva. Tattha yvāyaṃ ‘‘sace sāṭako bhavissati, gaṇhissāmī’’tiādinā nayena pavatto parikappo, ayaṃ bhaṇḍaparikappo nāma.

    โอกาสปริกโปฺป ปน เอวํ เวทิตโพฺพ – เอกโจฺจ ปน ปรปริเวณาทีนิ ปวิโฎฺฐ กิญฺจิ โลภเนยฺยํ ภณฺฑํ ทิสฺวา คพฺภทฺวารปมุขเหฎฺฐาปาสาททฺวารโกฎฺฐกรุกฺขมูลาทิวเสน ปริเจฺฉทํ กตฺวา ‘‘สเจ มํ เอตฺถนฺตเร ปสฺสิสฺสนฺติ, ทฎฺฐุกามตาย คเหตฺวา วิจรโนฺต วิย ทสฺสามิ, โน เจ ปสฺสิสฺสนฺติ, หริสฺสามี’’ติ ปริกเปฺปติ, ตสฺส ตํ อาทาย ปริกปฺปิตปริเจฺฉทํ อติกฺกนฺตมเตฺต อวหาโร โหติฯ อิติ ยฺวายํ วุตฺตนเยเนว ปวโตฺต ปริกโปฺป, อยํ โอกาสปริกโปฺป นามฯ เอวมิเมสํ ทฺวินฺนมฺปิ ปริกปฺปานํ วเสน ปริกเปฺปตฺวา คณฺหโต อวหาโร ‘‘ปริกปฺปาวหาโร’’ติ เวทิตโพฺพฯ

    Okāsaparikappo pana evaṃ veditabbo – ekacco pana parapariveṇādīni paviṭṭho kiñci lobhaneyyaṃ bhaṇḍaṃ disvā gabbhadvārapamukhaheṭṭhāpāsādadvārakoṭṭhakarukkhamūlādivasena paricchedaṃ katvā ‘‘sace maṃ etthantare passissanti, daṭṭhukāmatāya gahetvā vicaranto viya dassāmi, no ce passissanti, harissāmī’’ti parikappeti, tassa taṃ ādāya parikappitaparicchedaṃ atikkantamatte avahāro hoti. Iti yvāyaṃ vuttanayeneva pavatto parikappo, ayaṃ okāsaparikappo nāma. Evamimesaṃ dvinnampi parikappānaṃ vasena parikappetvā gaṇhato avahāro ‘‘parikappāvahāro’’ti veditabbo.

    ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปน อวหรณํ ปฎิจฺฉนฺนาวหาโร นามฯ โส เอวํ เวทิตโพฺพ – โย ภิกฺขุ อุยฺยานาทีสุ ปเรสํ โอมุญฺจิตฺวา ฐปิตองฺคุลิมุทฺทิกาทีนิ ทิสฺวา ‘‘ปจฺฉา คณฺหิสฺสามี’’ติ ปํสุนา วา ปเณฺณน วา ปฎิจฺฉาเทติ, ตสฺส เอตฺตาวตา อุทฺธาโร นตฺถีติ น ตาว อวหาโร โหติ ฯ ยทา ปน สามิกา วิจินนฺตา อปสฺสิตฺวา ‘‘เสฺว ชานิสฺสามา’’ติ สาลยาว คตา โหนฺติ, อถสฺส ตํ อุทฺธรโต อุทฺธาเร อวหาโรฯ ปฎิจฺฉนฺนกาเลเยว ‘‘เอตํ มม สนฺตก’’นฺติ สกสญฺญาย วา ‘‘คตา ทานิ เต, ฉฎฺฎิตภณฺฑํ อิท’’นฺติ ปํสุกูลสญฺญาย วา คณฺหนฺตสฺส ปน ภณฺฑเทยฺยํฯ เตสุ ทุติยตติยทิวเส อาคนฺตฺวา วิจินิตฺวา อทิสฺวา ธุรนิเกฺขปํ กตฺวา คเตสุปิ คหิตํ ภณฺฑเทยฺยเมวฯ ปจฺฉา ญตฺวา โจทิยมานสฺส อททโต สามิกานํ ธุรนิเกฺขเป อวหาโร โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา ตสฺส ปโยเคน เตหิ น ทิฎฺฐํฯ โย ปน ตถารูปํ ภณฺฑํ ยถาฐาเน ฐิตํเยว อปฺปฎิจฺฉาเทตฺวา เถยฺยจิโตฺต ปาเทน อกฺกมิตฺวา กทฺทเม วา วาลุกาย วา ปเวเสติ, ตสฺส ปเวสิตมเตฺตเยว อวหาโรฯ

    Paṭicchādetvā pana avaharaṇaṃ paṭicchannāvahāro nāma. So evaṃ veditabbo – yo bhikkhu uyyānādīsu paresaṃ omuñcitvā ṭhapitaaṅgulimuddikādīni disvā ‘‘pacchā gaṇhissāmī’’ti paṃsunā vā paṇṇena vā paṭicchādeti, tassa ettāvatā uddhāro natthīti na tāva avahāro hoti . Yadā pana sāmikā vicinantā apassitvā ‘‘sve jānissāmā’’ti sālayāva gatā honti, athassa taṃ uddharato uddhāre avahāro. Paṭicchannakāleyeva ‘‘etaṃ mama santaka’’nti sakasaññāya vā ‘‘gatā dāni te, chaṭṭitabhaṇḍaṃ ida’’nti paṃsukūlasaññāya vā gaṇhantassa pana bhaṇḍadeyyaṃ. Tesu dutiyatatiyadivase āgantvā vicinitvā adisvā dhuranikkhepaṃ katvā gatesupi gahitaṃ bhaṇḍadeyyameva. Pacchā ñatvā codiyamānassa adadato sāmikānaṃ dhuranikkhepe avahāro hoti. Kasmā? Yasmā tassa payogena tehi na diṭṭhaṃ. Yo pana tathārūpaṃ bhaṇḍaṃ yathāṭhāne ṭhitaṃyeva appaṭicchādetvā theyyacitto pādena akkamitvā kaddame vā vālukāya vā paveseti, tassa pavesitamatteyeva avahāro.

    กุสํ สงฺกาเมตฺวา ปน อวหรณํ กุสาวหาโร นามฯ โสปิ เอวํ เวทิตโพฺพ – โย ภิกฺขุ วิลีวมยํ วา ตาลปณฺณมยํ วา กตสญฺญาณํ ยํกิญฺจิ กุสํ ปาเตตฺวา จีวเร ภาชียมาเน อตฺตโน โกฎฺฐาสสฺส สมีเป ฐิตํ อปฺปคฺฆตรํ วา มหคฺฆตรํ วา สมสมํ วา อเคฺฆน ปรสฺส โกฎฺฐาสํ หริตุกาโม อตฺตโน โกฎฺฐาเส ปติตํ กุสํ ปรสฺส โกฎฺฐาเส ปาเตตุกามตาย อุทฺธรติ, รกฺขติ ตาวฯ ปรสฺส โกฎฺฐาเส ปาติเต รกฺขเตวฯ ยทา ปน ตสฺมิํ ปติเต ปรสฺส โกฎฺฐาสโต ปรสฺส กุสํ อุทฺธรติ, อุทฺธตมเตฺต อวหาโรฯ สเจ ปฐมตรํ ปรโกฎฺฐาสโต ปรสฺส กุสํ อุทฺธรติ, อตฺตโน โกฎฺฐาเส ปาเตตุกามตาย อุทฺธาเร รกฺขติ, ปาตเนปิ รกฺขติ, อตฺตโน โกฎฺฐาสโต ปน อตฺตโน กุสํ อุทฺธรโต อุทฺธาเรเยว รกฺขติ, ตํ อุทฺธริตฺวา ปรโกฎฺฐาเส ปาเตนฺตสฺส หตฺถโต มุตฺตมเตฺต อวหาโรฯ อยํ กุสาวหาโรฯ อิติ ยํ วุตฺตํ ‘‘อาทิเยยฺยาติ ปญฺจวีสติยา อวหารานํ อญฺญตรวเสน หเรยฺยา’’ติ, ตสฺสโตฺถ ปกาสิโต โหติฯ

    Kusaṃ saṅkāmetvā pana avaharaṇaṃ kusāvahāro nāma. Sopi evaṃ veditabbo – yo bhikkhu vilīvamayaṃ vā tālapaṇṇamayaṃ vā katasaññāṇaṃ yaṃkiñci kusaṃ pātetvā cīvare bhājīyamāne attano koṭṭhāsassa samīpe ṭhitaṃ appagghataraṃ vā mahagghataraṃ vā samasamaṃ vā agghena parassa koṭṭhāsaṃ haritukāmo attano koṭṭhāse patitaṃ kusaṃ parassa koṭṭhāse pātetukāmatāya uddharati, rakkhati tāva. Parassa koṭṭhāse pātite rakkhateva. Yadā pana tasmiṃ patite parassa koṭṭhāsato parassa kusaṃ uddharati, uddhatamatte avahāro. Sace paṭhamataraṃ parakoṭṭhāsato parassa kusaṃ uddharati, attano koṭṭhāse pātetukāmatāya uddhāre rakkhati, pātanepi rakkhati, attano koṭṭhāsato pana attano kusaṃ uddharato uddhāreyeva rakkhati, taṃ uddharitvā parakoṭṭhāse pātentassa hatthato muttamatte avahāro. Ayaṃ kusāvahāro. Iti yaṃ vuttaṃ ‘‘ādiyeyyāti pañcavīsatiyā avahārānaṃ aññataravasena hareyyā’’ti, tassattho pakāsito hoti.

    ยถารูเปติ ยาทิเสฯ อทินฺนาทาเนติ อทินฺนสฺส ปรสนฺตกสฺส คหเณฯ ราชาโนติอิทํ พิมฺพิสารํเยว สนฺธาย วุตฺตํ, อเญฺญ ปน ตถา กเรยฺยุํ วา น กเรยฺยุํ วาติ เต นปฺปมาณํฯ หเนยฺยุํ วาติ หตฺถาทีหิ วา โปเถยฺยุํ, สเตฺถน วา ฉิเนฺทยฺยุํฯ พเนฺธยฺยุํ วาติ รชฺชุพนฺธนาทีหิ พเนฺธยฺยุํ วาฯ ปพฺพาเชยฺยุํ วาติ นีหเรยฺยุํ วาฯ โจโรสิ พาโลสิ มูโฬฺหสิ เถโนสีติ อิเมหิ วจเนหิ ปริภาเสยฺยุํฯ กีทิสสฺส ปน อทินฺนสฺส อาทาเน ราชาโน เอวํ กโรนฺติ? ปาทสฺส วา ปาทารหสฺส วาฯ ตถารูปํ ภิกฺขุ อทินฺนํ อาทิยมาโนติ ตาทิสํ ภิกฺขุ โปราณกสฺส กหาปณสฺส ปาทํ วา ปาทารหํ วา ภณฺฑํ อทินฺนํ ภูมิอาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ ฐิตํ ยํกิญฺจิ สชีวนิชฺชีวํ วุตฺตปฺปการานํ อวหารานํ เยน เกนจิ อวหาเรน อวหรโนฺต ปาราชิโก โหติ, โก ปน วาโท ตโต อติเรกตรสฺมินฺติฯ

    Yathārūpeti yādise. Adinnādāneti adinnassa parasantakassa gahaṇe. Rājānotiidaṃ bimbisāraṃyeva sandhāya vuttaṃ, aññe pana tathā kareyyuṃ vā na kareyyuṃ vāti te nappamāṇaṃ. Haneyyuṃti hatthādīhi vā potheyyuṃ, satthena vā chindeyyuṃ. Bandheyyuṃ vāti rajjubandhanādīhi bandheyyuṃ vā. Pabbājeyyuṃ vāti nīhareyyuṃ vā. Corosi bālosi mūḷhosi thenosīti imehi vacanehi paribhāseyyuṃ. Kīdisassa pana adinnassa ādāne rājāno evaṃ karonti? Pādassa vā pādārahassa vā. Tathārūpaṃ bhikkhu adinnaṃ ādiyamānoti tādisaṃ bhikkhu porāṇakassa kahāpaṇassa pādaṃ vā pādārahaṃ vā bhaṇḍaṃ adinnaṃ bhūmiādīsu yattha katthaci ṭhitaṃ yaṃkiñci sajīvanijjīvaṃ vuttappakārānaṃ avahārānaṃ yena kenaci avahārena avaharanto pārājiko hoti, ko pana vādo tato atirekatarasminti.

    ราชคเห ธนิยเตฺถรํ อารพฺภ รโญฺญ ทารูนิ อทินฺนํ อาทิยนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, ‘‘คามา วา อรญฺญา วา’’ติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺติ, สาธารณปญฺญตฺติ, สาณตฺติกํ, หรณตฺถาย คมนาทิเก ปุพฺพปฺปโยเค ทุกฺกฎํ, อามสเน ทุกฺกฎํ, ปาราชิกวตฺถุโน ผนฺทาปเน ถุลฺลจฺจยํฯ อาทิยนฺตสฺส มาสเก วา อูนมาสเก วา ทุกฺกฎํ, อติเรกมาสเก วา อูนปญฺจมาสเก วา ถุลฺลจฺจยํ, ปญฺจมาสเก วา อติเรกปญฺจมาสเก วา ปาราชิกํฯ สพฺพตฺถ คหณกาลวเสน จ คหณเทสวเสน จ ปริโภคภาชนปริวตฺตนาทีหิ จ ปริหีนาปริหีนวเสน วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ สกสญฺญิสฺส, วิสฺสาสคฺคาเห, ตาวกาลิเก, เปตปริคฺคเห, ติรจฺฉานคตปริคฺคเห, ปํสุกูลสญฺญิสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ สีลวิปตฺติ, อญฺญสฺส มนุสฺสชาติกสฺส วเสน ปรปริคฺคหิตํ, ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา, ครุปริกฺขาโร, เถยฺยจิตฺตํ, วุตฺตปฺปการานํ อวหารานํ วเสน อวหรณญฺจาติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ อทินฺนาทานสมุฎฺฐานํ, กิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ติเวทนนฺติฯ

    Rājagahe dhaniyattheraṃ ārabbha rañño dārūni adinnaṃ ādiyanavatthusmiṃ paññattaṃ, ‘‘gāmā vā araññā vā’’ti ayamettha anupaññatti, sādhāraṇapaññatti, sāṇattikaṃ, haraṇatthāya gamanādike pubbappayoge dukkaṭaṃ, āmasane dukkaṭaṃ, pārājikavatthuno phandāpane thullaccayaṃ. Ādiyantassa māsake vā ūnamāsake vā dukkaṭaṃ, atirekamāsake vā ūnapañcamāsake vā thullaccayaṃ, pañcamāsake vā atirekapañcamāsake vā pārājikaṃ. Sabbattha gahaṇakālavasena ca gahaṇadesavasena ca paribhogabhājanaparivattanādīhi ca parihīnāparihīnavasena vinicchayo veditabbo. Sakasaññissa, vissāsaggāhe, tāvakālike, petapariggahe, tiracchānagatapariggahe, paṃsukūlasaññissa, ummattakādīnañca anāpatti. Sīlavipatti, aññassa manussajātikassa vasena parapariggahitaṃ, parapariggahitasaññitā, garuparikkhāro, theyyacittaṃ, vuttappakārānaṃ avahārānaṃ vasena avaharaṇañcāti imānettha pañca aṅgāni. Adinnādānasamuṭṭhānaṃ, kiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, tivedananti.

    ทุติยปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๓. ตติยปาราชิกวณฺณนา

    3. Tatiyapārājikavaṇṇanā

    ตติเย สญฺจิจฺจาติ สํเจเตตฺวา สทฺธิํ เจเตตฺวาฯ ‘‘ปาโณ’’ติสญฺญาย สทฺธิํเยว ‘‘วธามิ น’’นฺติ วธกเจตนาย เจเตตฺวา ปกเปฺปตฺวาฯ มนุสฺสวิคฺคหนฺติ กลลโต ปฎฺฐาย ชีวมานกมนุสฺสชาติกสรีรํฯ ชีวิตา โวโรเปยฺยาติ กลลกาเลปิ ตาปนมทฺทเนหิ วา เภสชฺชสมฺปทาเนน วา ตโต วา อุทฺธมฺปิ ตทนุรูเปน อุปกฺกเมน ชีวิตา วิโยเชยฺยฯ อิมสฺส ปนตฺถสฺส อาวิภาวตฺถํ ปาโณ เวทิตโพฺพ, ปาณาติปาโต เวทิตโพฺพ, ปาณาติปาตี เวทิตโพฺพ, ปาณาติปาตสฺส ปโยโค เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ปาโณติ โวหารโต สโตฺต, ปรมตฺถโต ชีวิตินฺทฺริยํฯ ปาณาติปาโตติ ยาย เจตนาย ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทกปโยคํ สมุฎฺฐาเปติ, สา เจตนาฯ ปาณาติปาตีติ วุตฺตเจตนาย สมงฺคิปุคฺคโลฯ ปาณาติปาตสฺส ปโยโคติ ปาณาติปาตสฺส ฉ ปโยคา สาหตฺถิโก นิสฺสคฺคิโย อาณตฺติโก ถาวโร วิชฺชามโย อิทฺธิมโยติ ฯ ตตฺถ สาหตฺถิโกติ สยํ มาเรนฺตสฺส กาเยน วา กายปฺปฎิพเทฺธน วา ปหรณํฯ นิสฺสคฺคิโยติ ทูเร ฐิตํ มาเรตุกามสฺส กาเยน วา กายปฺปฎิพเทฺธน วา อุสุสตฺติยนฺตปาสาณาทีนํ นิสฺสชฺชนํฯ ตตฺถ เอเกโก อุทฺทิสฺสานุทฺทิสฺสเภทโต ทุวิโธฯ ตตฺถ อุทฺทิสฺสเก ยํ อุทฺทิสฺส ปหรติ, ตเสฺสว มรเณน กมฺมพโทฺธฯ ‘‘โย โกจิ มรตู’’ติ เอวํ อนุทฺทิสฺสเก ปหารปฺปจฺจยา ยสฺส กสฺสจิ มรเณน กมฺมพโทฺธฯ อุภยตฺถาปิ จ ปหริตมเตฺต วา มรตุ, ปจฺฉา วา เตเนว โรเคน, ปหริตกฺขเณเยว กมฺมพโทฺธฯ อาณตฺติโกติ ‘‘อสุกํ นาม มาเรหี’’ติ อญฺญํ อาณาเปนฺตสฺส อาณาปนํฯ

    Tatiye sañciccāti saṃcetetvā saddhiṃ cetetvā. ‘‘Pāṇo’’tisaññāya saddhiṃyeva ‘‘vadhāmi na’’nti vadhakacetanāya cetetvā pakappetvā. Manussaviggahanti kalalato paṭṭhāya jīvamānakamanussajātikasarīraṃ. Jīvitāvoropeyyāti kalalakālepi tāpanamaddanehi vā bhesajjasampadānena vā tato vā uddhampi tadanurūpena upakkamena jīvitā viyojeyya. Imassa panatthassa āvibhāvatthaṃ pāṇo veditabbo, pāṇātipāto veditabbo, pāṇātipātī veditabbo, pāṇātipātassa payogo veditabbo. Tattha pāṇoti vohārato satto, paramatthato jīvitindriyaṃ. Pāṇātipātoti yāya cetanāya jīvitindriyupacchedakapayogaṃ samuṭṭhāpeti, sā cetanā. Pāṇātipātīti vuttacetanāya samaṅgipuggalo. Pāṇātipātassa payogoti pāṇātipātassa cha payogā sāhatthiko nissaggiyo āṇattiko thāvaro vijjāmayo iddhimayoti . Tattha sāhatthikoti sayaṃ mārentassa kāyena vā kāyappaṭibaddhena vā paharaṇaṃ. Nissaggiyoti dūre ṭhitaṃ māretukāmassa kāyena vā kāyappaṭibaddhena vā ususattiyantapāsāṇādīnaṃ nissajjanaṃ. Tattha ekeko uddissānuddissabhedato duvidho. Tattha uddissake yaṃ uddissa paharati, tasseva maraṇena kammabaddho. ‘‘Yo koci maratū’’ti evaṃ anuddissake pahārappaccayā yassa kassaci maraṇena kammabaddho. Ubhayatthāpi ca paharitamatte vā maratu, pacchā vā teneva rogena, paharitakkhaṇeyeva kammabaddho. Āṇattikoti ‘‘asukaṃ nāma mārehī’’ti aññaṃ āṇāpentassa āṇāpanaṃ.

    ตตฺถ –

    Tattha –

    วตฺถุ กาโล จ โอกาโส, อาวุธํ อิริยาปโถ;

    Vatthu kālo ca okāso, āvudhaṃ iriyāpatho;

    กฺริยาวิเสโสติ อิเม, ฉ อาณตฺติ นิยามกาฯ

    Kriyāvisesoti ime, cha āṇatti niyāmakā.

    ตตฺถ วตฺถูติ ปุคฺคโลฯ ยญฺหิ ปุคฺคลํ ‘‘มาเรหี’’ติ อาณโตฺต สเจ ตเมว มาเรติ, อาณาปกสฺส อาปตฺติฯ อถ อญฺญํ มาเรติ, ตํมญฺญมาโน วา อญฺญํ มาเรติ, อาณาปโก มุจฺจติฯ ‘‘อิมํ มาเรหี’’ติ อาณเตฺต ปน อาณาปกสฺส ทุกฺกฎํฯ กาโลติ ปุเรภตฺตาทิกาโลฯ สเจ หิ ‘‘ปุเรภตฺตํ มาเรหี’’ติ อาณโตฺต ปุเรภตฺตเมว มาเรติ, อาณาปกสฺส อาปตฺติฯ อถ ยํ ปุเรภตฺตํ นิยามิตํ, ตโต ปจฺฉา วา ปุเร วา มาเรติ, อาณาปโก มุจฺจติฯ อิมินา นเยน สพฺพตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ ถาวโรติ อสํหาริเมน อุปกรเณน มาเรตุกามสฺส โอปาตกฺขณนํ อปเสฺสนสํวิธานํ อสิอาทีนํ อุปนิกฺขิปนํ ตฬากาทีสุ วิสสมฺปโยชนํ รูปูปหาโรติเอวมาทิฯ วุตฺตนเยเนว เจตฺถาปิ อุทฺทิสฺสานุทฺทิสฺสเภโท เวทิตโพฺพฯ วิชฺชามโยติ มารณตฺถํ วิชฺชาปริชปฺปนํฯ อิทฺธิมโยติ กมฺมวิปากชาย อิทฺธิยา ปโยชนํฯ

    Tattha vatthūti puggalo. Yañhi puggalaṃ ‘‘mārehī’’ti āṇatto sace tameva māreti, āṇāpakassa āpatti. Atha aññaṃ māreti, taṃmaññamāno vā aññaṃ māreti, āṇāpako muccati. ‘‘Imaṃ mārehī’’ti āṇatte pana āṇāpakassa dukkaṭaṃ. Kāloti purebhattādikālo. Sace hi ‘‘purebhattaṃ mārehī’’ti āṇatto purebhattameva māreti, āṇāpakassa āpatti. Atha yaṃ purebhattaṃ niyāmitaṃ, tato pacchā vā pure vā māreti, āṇāpako muccati. Iminā nayena sabbattha vinicchayo veditabbo. Thāvaroti asaṃhārimena upakaraṇena māretukāmassa opātakkhaṇanaṃ apassenasaṃvidhānaṃ asiādīnaṃ upanikkhipanaṃ taḷākādīsu visasampayojanaṃ rūpūpahārotievamādi. Vuttanayeneva cetthāpi uddissānuddissabhedo veditabbo. Vijjāmayoti māraṇatthaṃ vijjāparijappanaṃ. Iddhimayoti kammavipākajāya iddhiyā payojanaṃ.

    สตฺถหารกํ วาสฺส ปริเยเสยฺยาติ เอตฺถ หรตีติ หารกํ, กิํ หรติ? ชีวิตํฯ อถ วา หริตพฺพนฺติ หารกํ, อุปนิกฺขิปิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ สตฺถญฺจ ตํ หารกญฺจาติ สตฺถหารกํฯ อสฺสาติ มนุสฺสวิคฺคหสฺสฯ ปริเยเสยฺยาติ ยถา ลภติ, ตถา กเรยฺย, อุปนิกฺขิเปยฺยาติ อโตฺถฯ เอเตน ถาวรปโยคํ ทเสฺสติฯ อิตรถา หิ ปริยิฎฺฐิมเตฺตเยว ปาราชิโก ภเวยฺย, น เจตํ ยุตฺตํฯ ปทภาชเน ปนสฺส พฺยญฺชนํ อนาทิยิตฺวา ยํ เอตฺถ ถาวรปโยคสงฺคหิตํ สตฺถํ, ตเทว ทเสฺสตุํ ‘‘อสิํ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ มรณวณฺณํ วา สํวเณฺณยฺยาติ วาจาย วา ตาลปณฺณาทีสุ ลิขิตฺวา วา ‘‘โย เอวํ มรติ, โส ธนํ วา ลภตี’’ติอาทินา นเยน มรเณ คุณํ ปกาเสยฺยฯ เอเตน ยถา ‘‘อทินฺนาทาเน อาทิเยยฺยา’’ติ วุตฺตตฺตา ปริยายกถาย มุจฺจติ, นยิธ, เอวํ ‘‘สํวเณฺณยฺยา’’ติ วจนโต ปน อิธ ปริยายกถายปิ น มุจฺจตีติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ มรณาย วา สมาทเปยฺยาติ ‘‘สตฺถํ วา อาหรา’’ติอาทินา (ปารา. ๑๗๒) นเยน มรณตฺถาย อุปายํ คาหาเปยฺยฯ เอเตน อาณตฺติกปฺปโยคํ ทเสฺสติฯ อโมฺภ ปุริสาติ อาลปนเมตํฯ กิํ ตุยฺหิมินาติอาทิ สํวณฺณนาการนิทสฺสนํฯ อิติ จิตฺตมโนติ อิติ จิโตฺต อิติ มโนฯ ‘‘มตํ เต ชีวิตา เสโยฺย’’ติเอตฺถ วุตฺตมรณจิโตฺต มรณมโนติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ‘‘มโน’’ติอิทํ จิตฺตสฺส อตฺถทีปนตฺถํ วุตฺตํฯ เตเนวสฺส ปทภาชเน ‘‘ยํ จิตฺตํ ตํ มโน’’ติ (ปารา. ๑๗๒) อาหฯ จิตฺตสงฺกโปฺปติ วิจิตฺตสงฺกโปฺปฯ เอตฺถาปิ อิติ-สโทฺท อาหริตโพฺพฯ ‘‘สงฺกโปฺป’’ติ จ สํวิทหนมตฺตเสฺสตํ นามํ, น วิตกฺกเสฺสวฯ ตญฺจ สํวิทหนํ อิมสฺมิํ อเตฺถ สญฺญาเจตนาธิปฺปาเยหิ สงฺคหํ คจฺฉติ, ตสฺมา ‘‘อิติ จิตฺตสงฺกโปฺป’’ติ ‘‘มตํ เต ชีวิตา เสโยฺย’’ติเอตฺถ วุตฺตมรณสญฺญี มรณเจตโน มรณาธิปฺปาโยติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ปทภาชเนปิ หิ อยเมว นโย ทสฺสิโต ฯ เอเตน มรณจิตฺตาทีหิ วินา ‘‘เอกาหํ ชีวิตํ เสโยฺย, วีริยมารภโต ทฬฺห’’นฺติอาทินา (ธ. ป. ๑๑๒) นเยน ธมฺมํ ภาสนฺตสฺส สํวณฺณนา นาม น โหตีติ ทเสฺสติฯ อเนกปริยาเยนาติ นานปฺปกาเรน อุจฺจาวเจน การเณนฯ ปุน มรณวณฺณนฺติอาทิ นิคมนวจนํฯ ปาราชิโก โหตีติ ตงฺขณูปปนฺนมฺปิ มนุสฺสวิคฺคหํ วุตฺตนเยน ชีวิตา โวโรเปโนฺต ปาราชิโก โหตีติฯ

    Satthahārakaṃ vāssa pariyeseyyāti ettha haratīti hārakaṃ, kiṃ harati? Jīvitaṃ. Atha vā haritabbanti hārakaṃ, upanikkhipitabbanti attho. Satthañca taṃ hārakañcāti satthahārakaṃ. Assāti manussaviggahassa. Pariyeseyyāti yathā labhati, tathā kareyya, upanikkhipeyyāti attho. Etena thāvarapayogaṃ dasseti. Itarathā hi pariyiṭṭhimatteyeva pārājiko bhaveyya, na cetaṃ yuttaṃ. Padabhājane panassa byañjanaṃ anādiyitvā yaṃ ettha thāvarapayogasaṅgahitaṃ satthaṃ, tadeva dassetuṃ ‘‘asiṃ vā’’tiādi vuttaṃ. Maraṇavaṇṇaṃ vā saṃvaṇṇeyyāti vācāya vā tālapaṇṇādīsu likhitvā vā ‘‘yo evaṃ marati, so dhanaṃ vā labhatī’’tiādinā nayena maraṇe guṇaṃ pakāseyya. Etena yathā ‘‘adinnādāne ādiyeyyā’’ti vuttattā pariyāyakathāya muccati, nayidha, evaṃ ‘‘saṃvaṇṇeyyā’’ti vacanato pana idha pariyāyakathāyapi na muccatīti ayamattho veditabbo. Maraṇāya vā samādapeyyāti ‘‘satthaṃ vā āharā’’tiādinā (pārā. 172) nayena maraṇatthāya upāyaṃ gāhāpeyya. Etena āṇattikappayogaṃ dasseti. Ambho purisāti ālapanametaṃ. Kiṃ tuyhiminātiādi saṃvaṇṇanākāranidassanaṃ. Iti cittamanoti iti citto iti mano. ‘‘Mataṃ te jīvitā seyyo’’tiettha vuttamaraṇacitto maraṇamanoti attho. Ettha ca ‘‘mano’’tiidaṃ cittassa atthadīpanatthaṃ vuttaṃ. Tenevassa padabhājane ‘‘yaṃ cittaṃ taṃ mano’’ti (pārā. 172) āha. Cittasaṅkappoti vicittasaṅkappo. Etthāpi iti-saddo āharitabbo. ‘‘Saṅkappo’’ti ca saṃvidahanamattassetaṃ nāmaṃ, na vitakkasseva. Tañca saṃvidahanaṃ imasmiṃ atthe saññācetanādhippāyehi saṅgahaṃ gacchati, tasmā ‘‘iti cittasaṅkappo’’ti ‘‘mataṃ te jīvitā seyyo’’tiettha vuttamaraṇasaññī maraṇacetano maraṇādhippāyoti evamettha attho daṭṭhabbo. Padabhājanepi hi ayameva nayo dassito . Etena maraṇacittādīhi vinā ‘‘ekāhaṃ jīvitaṃ seyyo, vīriyamārabhato daḷha’’ntiādinā (dha. pa. 112) nayena dhammaṃ bhāsantassa saṃvaṇṇanā nāma na hotīti dasseti. Anekapariyāyenāti nānappakārena uccāvacena kāraṇena. Puna maraṇavaṇṇantiādi nigamanavacanaṃ. Pārājiko hotīti taṅkhaṇūpapannampi manussaviggahaṃ vuttanayena jīvitā voropento pārājiko hotīti.

    เวสาลิยํ สมฺพหุเล ภิกฺขู อารพฺภ อญฺญมญฺญํ ชีวิตา โวโรปนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, ‘‘มรณวณฺณํ วา’’ติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺติ, สาธารณปญฺญตฺติ, สาณตฺติกํ, มารณตฺถาย โอปาตกฺขณนาทีสุ ทุกฺกฎํ, อโนทิสฺส ขเต โอปาเต ยสฺส กสฺสจิ ปตเนปิ ทุกฺกฎํ, ยกฺขเปตติรจฺฉานคตมนุสฺสวิคฺคหานํ ติรจฺฉานคตสฺส จ ทุกฺขุปฺปตฺติยํ ทุกฺกฎเมว, มนุสฺสชาติกสฺส ทุกฺขุปฺปตฺติยํ ถุลฺลจฺจยํ, ตถา ยกฺขาทีนํ มรเณ, ติรจฺฉานคตมรเณ ปน ปาจิตฺติยํ, มนุสฺสมรเณ ปาราชิกนฺติฯ อิมินา นเยน สพฺพตฺถ ปโยคเภทวเสน อาปตฺติเภโท เวทิตโพฺพฯ อสญฺจิจฺจ มาเรนฺตสฺส อชานนฺตสฺส นมรณาธิปฺปายสฺส อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ ตตฺถ อสญฺจิจฺจาติ ‘‘อิมินา อุปกฺกเมน อิมํ มาเรมี’’ติ อเจเตตฺวา กเตน อุปกฺกเมน มุสลุสฺสาปนวตฺถุสฺมิํ (ปารา. ๑๘๐ อาทโย) วิย ปเร มเตปิ อนาปตฺติฯ อชานนฺตสฺสาติ ‘‘อิมินา อยํ มริสฺสตี’’ติ อชานนฺตสฺส อุปกฺกเมน วิสคตปิณฺฑปาตวตฺถุสฺมิํ (ปารา. ๑๘๑) วิย ปเร มเตปิ อนาปตฺติฯ นมรณาธิปฺปายสฺสาติ มรณํ อนิจฺฉนฺตสฺส อุปกฺกเมน เภสชฺชวตฺถุสฺมิํ (ปารา. ๑๘๗) วิย ปเร มเตปิ อนาปตฺติฯ เอวํ อสญฺจิจฺจาติอาทีสุ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ สีลวิปตฺติ, มนุสฺสชาติกปาโณ, ปาณสญฺญิตา, วธกจิตฺตํ, อุปกฺกโม, เตน มรณนฺติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ อทินฺนาทานสมอุฎฺฐานํ, กิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Vesāliyaṃ sambahule bhikkhū ārabbha aññamaññaṃ jīvitā voropanavatthusmiṃ paññattaṃ, ‘‘maraṇavaṇṇaṃ vā’’ti ayamettha anupaññatti, sādhāraṇapaññatti, sāṇattikaṃ, māraṇatthāya opātakkhaṇanādīsu dukkaṭaṃ, anodissa khate opāte yassa kassaci patanepi dukkaṭaṃ, yakkhapetatiracchānagatamanussaviggahānaṃ tiracchānagatassa ca dukkhuppattiyaṃ dukkaṭameva, manussajātikassa dukkhuppattiyaṃ thullaccayaṃ, tathā yakkhādīnaṃ maraṇe, tiracchānagatamaraṇe pana pācittiyaṃ, manussamaraṇe pārājikanti. Iminā nayena sabbattha payogabhedavasena āpattibhedo veditabbo. Asañcicca mārentassa ajānantassa namaraṇādhippāyassa ummattakādīnañca anāpatti. Tattha asañciccāti ‘‘iminā upakkamena imaṃ māremī’’ti acetetvā katena upakkamena musalussāpanavatthusmiṃ (pārā. 180 ādayo) viya pare matepi anāpatti. Ajānantassāti ‘‘iminā ayaṃ marissatī’’ti ajānantassa upakkamena visagatapiṇḍapātavatthusmiṃ (pārā. 181) viya pare matepi anāpatti. Namaraṇādhippāyassāti maraṇaṃ anicchantassa upakkamena bhesajjavatthusmiṃ (pārā. 187) viya pare matepi anāpatti. Evaṃ asañciccātiādīsu vinicchayo veditabbo. Sīlavipatti, manussajātikapāṇo, pāṇasaññitā, vadhakacittaṃ, upakkamo, tena maraṇanti imānettha pañca aṅgāni. Adinnādānasamauṭṭhānaṃ, kiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, dukkhavedananti.

    ตติยปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tatiyapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๔. จตุตฺถปาราชิกวณฺณนา

    4. Catutthapārājikavaṇṇanā

    จตุเตฺถ อนภิชานนฺติ สกสนฺตาเน อนุปฺปนฺนตฺตา อตฺตนิ อตฺถิภาวํ อชานโนฺตฯ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมนฺติ อุตฺตริมนุสฺสานํ ฌายีนเญฺจว อริยานญฺจ ธมฺมํฯ อตฺตุปนายิกนฺติ อตฺตนิ ตํ อุปเนติ ‘‘มยิ อตฺถี’’ติ สมุทาจรโนฺต, อตฺตานํ วา ตตฺถ อุปเนติ ‘‘อหํ เอตฺถ สนฺทิสฺสามี’’ติ สมุทาจรโนฺตติ อตฺตุปนายิโก, ตํ อตฺตุปนายิกํฯ เอวํ กตฺวา สมุทาจเรยฺยาติ สมฺพโนฺธฯ อลมริยญาณทสฺสนนฺติเอตฺถ มหคฺคตโลกุตฺตรปญฺญา ชานนเฎฺฐน ญาณํ, จกฺขุนา จ ทิฎฺฐมิว ธมฺมํ ปจฺจกฺขกรณโต ทสฺสนเตฺถน ทสฺสนนฺติ ญาณทสฺสนํ, อริยํ วิสุทฺธํ อุตฺตมํ ญาณทสฺสนนฺติ อริยญาณทสฺสนํ, อลํ ปริยตฺตํ กิเลสวิทฺธํสนสมตฺถํ อริยญาณทสฺสนเมตฺถ ฌานาทิเภเท อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม, อลํ วา อริยญาณทสฺสนมสฺสาติ อลมริยญาณทสฺสโน, ตํ อลมริยญาณทสฺสนํฯ สมุทาจเรยฺยาติ วุตฺตปฺปการเมตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อตฺตุปนายิกํ กตฺวา กาเยน วา วาจาย วา ตทุภเยน วา วิญฺญุสฺส มนุสฺสชาติกสฺส อาโรเจยฺยฯ อิติ ชานามิ อิติ ปสฺสามีติ สมุทาจรณาการทสฺสนเมตํ, อตฺตุปนายิกญฺหิ กตฺวา วินา อญฺญาปเทเสน สมุทาจรโนฺต เอวํ สมุทาจรติ, ตสฺมา ยฺวายํ ปทภาชเน (ปารา. ๒๐๙) ‘‘ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชิํ, สมาปชฺชามิ, สมาปโนฺน’’ติอาทิเภโท วุโตฺต, โส สโพฺพ อิเธว สงฺคหํ คจฺฉตีติ เวทิตโพฺพฯ ‘‘อิติ ชานามิ อิติ ปสฺสามี’’ติ หิ วทโนฺต น ยิทํ วจนมตฺตเมว วทติ, อถ โข ‘‘อิมินา จ อิมินา จ การเณน อยํ ธโมฺม มยิ อตฺถี’’ติ ทีเปติ, ‘‘สมาปชฺชิ’’นฺติอาทีนิ จ วทเนฺตน หิ สมาปชฺชนาทีหิ การเณหิ อตฺถิตา ทีปิตา โหติ, เตน วุตฺตํ ‘‘ยฺวายํ ปทภาชเน ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชิํ, สมาปชฺชามิ, สมาปโนฺนติอาทิเภโท วุโตฺต, โส สโพฺพ อิเธว สงฺคหํ คจฺฉตี’’ติฯ ตโต อปเรน สมเยนาติ ตโต อาโรจิตกาลโต อญฺญตรสฺมิํ กาเลฯ อิติ อาปตฺติปฎิชานนกาลทสฺสนเมตํ, อยํ ปน อาโรจิตกฺขเณว อาปตฺติํ อาปชฺชติฯ อาปตฺติํ ปน อาปโนฺน ยสฺมา ปเรน โจทิโต วา อโจทิโต วา ปฎิชานาติ, ตสฺมา ‘‘สมนุคฺคาหียมาโน วา อสมนุคฺคาหียมาโน วา’’ติ วุตฺตํฯ อาปโนฺนติ อาโรจิตกฺขเณเยว ปาราชิกํ อาปโนฺนฯ วิสุทฺธาเปโกฺขติ อตฺตโน คิหิภาวาทิกํ วิสุทฺธิํ อเปกฺขมาโน อิจฺฉมาโนฯ อยญฺหิ ยสฺมา ปาราชิกํ อาปโนฺน, ตสฺมา ภิกฺขุภาเว ฐตฺวา อภโพฺพ ฌานาทีนิ อธิคนฺตุํ, อิจฺจสฺส ภิกฺขุภาโว วิสุทฺธิ นาม น โหติฯ ยสฺมา ปน คิหิ วา อุปาสการามิกสามเณรานํ วา อญฺญตโร หุตฺวา ทานาทีหิ สคฺคมคฺคํ วา ฌานาทีหิ โมกฺขมคฺคํ วา อาราเธตุํ ภโพฺพ โหติ, ตสฺมาสฺส คิหิอาทิภาโว วิสุทฺธิ นาม โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘คิหิภาวาทิกํ วิสุทฺธิํ อเปกฺขมาโน’’ติฯ เอวํ วเทยฺยาติ เอวํ ภเณยฺย, กถํ? ‘‘อชานเมวํ, อาวุโส’’ติอาทิํฯ ตตฺถ อชานนฺติ อชานโนฺตฯ อปสฺสนฺติ อปสฺสโนฺตฯ ตุจฺฉํ มุสา วิลปินฺติ อหํ วจนตฺถวิรหโต ตุจฺฉํ, วญฺจนาธิปฺปายโต มุสา วิลปิํ อภณินฺติ วุตฺตํ โหติฯ อญฺญตฺร อธิมานาติ ยฺวายํ ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา สงฺขาเร สมฺมสนฺตสฺส อารทฺธวิปสฺสกสฺส อปเตฺต ปตฺตสญฺญิตาสงฺขาโต อธิมาโน อุปฺปชฺชติ, ตํ อธิมานํ ฐเปตฺวา เกวลํ ปาปิจฺฉตาย โย สมุทาจเรยฺย, อยมฺปิ ปาราชิโก โหตีติ อโตฺถฯ

    Catutthe anabhijānanti sakasantāne anuppannattā attani atthibhāvaṃ ajānanto. Uttarimanussadhammanti uttarimanussānaṃ jhāyīnañceva ariyānañca dhammaṃ. Attupanāyikanti attani taṃ upaneti ‘‘mayi atthī’’ti samudācaranto, attānaṃ vā tattha upaneti ‘‘ahaṃ ettha sandissāmī’’ti samudācarantoti attupanāyiko, taṃ attupanāyikaṃ. Evaṃ katvā samudācareyyāti sambandho. Alamariyañāṇadassanantiettha mahaggatalokuttarapaññā jānanaṭṭhena ñāṇaṃ, cakkhunā ca diṭṭhamiva dhammaṃ paccakkhakaraṇato dassanatthena dassananti ñāṇadassanaṃ, ariyaṃ visuddhaṃ uttamaṃ ñāṇadassananti ariyañāṇadassanaṃ, alaṃ pariyattaṃ kilesaviddhaṃsanasamatthaṃ ariyañāṇadassanamettha jhānādibhede uttarimanussadhamme, alaṃ vā ariyañāṇadassanamassāti alamariyañāṇadassano, taṃ alamariyañāṇadassanaṃ. Samudācareyyāti vuttappakārametaṃ uttarimanussadhammaṃ attupanāyikaṃ katvā kāyena vā vācāya vā tadubhayena vā viññussa manussajātikassa āroceyya. Iti jānāmi iti passāmīti samudācaraṇākāradassanametaṃ, attupanāyikañhi katvā vinā aññāpadesena samudācaranto evaṃ samudācarati, tasmā yvāyaṃ padabhājane (pārā. 209) ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajjiṃ, samāpajjāmi, samāpanno’’tiādibhedo vutto, so sabbo idheva saṅgahaṃ gacchatīti veditabbo. ‘‘Iti jānāmi iti passāmī’’ti hi vadanto na yidaṃ vacanamattameva vadati, atha kho ‘‘iminā ca iminā ca kāraṇena ayaṃ dhammo mayi atthī’’ti dīpeti, ‘‘samāpajji’’ntiādīni ca vadantena hi samāpajjanādīhi kāraṇehi atthitā dīpitā hoti, tena vuttaṃ ‘‘yvāyaṃ padabhājane paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajjiṃ, samāpajjāmi, samāpannotiādibhedo vutto, so sabbo idheva saṅgahaṃ gacchatī’’ti. Tato aparena samayenāti tato ārocitakālato aññatarasmiṃ kāle. Iti āpattipaṭijānanakāladassanametaṃ, ayaṃ pana ārocitakkhaṇeva āpattiṃ āpajjati. Āpattiṃ pana āpanno yasmā parena codito vā acodito vā paṭijānāti, tasmā ‘‘samanuggāhīyamāno vā asamanuggāhīyamāno vā’’ti vuttaṃ. Āpannoti ārocitakkhaṇeyeva pārājikaṃ āpanno. Visuddhāpekkhoti attano gihibhāvādikaṃ visuddhiṃ apekkhamāno icchamāno. Ayañhi yasmā pārājikaṃ āpanno, tasmā bhikkhubhāve ṭhatvā abhabbo jhānādīni adhigantuṃ, iccassa bhikkhubhāvo visuddhi nāma na hoti. Yasmā pana gihi vā upāsakārāmikasāmaṇerānaṃ vā aññataro hutvā dānādīhi saggamaggaṃ vā jhānādīhi mokkhamaggaṃ vā ārādhetuṃ bhabbo hoti, tasmāssa gihiādibhāvo visuddhi nāma hoti. Tena vuttaṃ ‘‘gihibhāvādikaṃ visuddhiṃ apekkhamāno’’ti. Evaṃ vadeyyāti evaṃ bhaṇeyya, kathaṃ? ‘‘Ajānamevaṃ, āvuso’’tiādiṃ. Tattha ajānanti ajānanto. Apassanti apassanto. Tucchaṃ musā vilapinti ahaṃ vacanatthavirahato tucchaṃ, vañcanādhippāyato musā vilapiṃ abhaṇinti vuttaṃ hoti. Aññatra adhimānāti yvāyaṃ tilakkhaṇaṃ āropetvā saṅkhāre sammasantassa āraddhavipassakassa apatte pattasaññitāsaṅkhāto adhimāno uppajjati, taṃ adhimānaṃ ṭhapetvā kevalaṃ pāpicchatāya yo samudācareyya, ayampi pārājiko hotīti attho.

    เวสาลิยํ วคฺคุมุทาตีริเย ภิกฺขู อารพฺภ เตสํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาโรจนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, ‘‘อญฺญตฺร อธิมานา’’ติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺติ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ‘‘ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชิ’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตปฺปการํ อสนฺตํ ฌานาทิธมฺมํ อาโรเจนฺตสฺส สเจ ยสฺส กสฺสจิ อาโรเจติ, โส มนุสฺสชาติโก โหติ, อนนฺตรเมว ‘‘อยํ ฌานลาภี’’ติ วา ‘‘อริโย’’ติ วา เยน เกนจิ อากาเรน ตมตฺถํ ชานาติ, ปาราชิกํฯ สเจ น ชานาติ, ถุลฺลจฺจยํฯ สเจ ปน ‘‘โย เต วิหาเร วสิ, โส ภิกฺขุ ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชี’’ติอาทินา (ปารา. ๒๒๐) นเยน อญฺญาปเทเสน อาโรเจนฺตสฺส ชานาติ, ถุลฺลจฺจยํฯ สเจ น ชานาติ, ทุกฺกฎํฯ อธิมาเนน อาโรเจนฺตสฺส, อนุลฺลปนาธิปฺปายสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ สีลวิปตฺติ, อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส อตฺตนิ อสนฺตตา, ปาปิจฺฉตาย ตสฺส อาโรจนํ, อนญฺญาปเทโส, ยสฺส อาโรเจติ, ตสฺส มนุสฺสชาติกตา, ตงฺขณวิชานนนฺติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทาเน วุตฺตสทิสาเนวาติฯ

    Vesāliyaṃ vaggumudātīriye bhikkhū ārabbha tesaṃ uttarimanussadhammārocanavatthusmiṃ paññattaṃ, ‘‘aññatra adhimānā’’ti ayamettha anupaññatti, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajji’’ntiādinā nayena vuttappakāraṃ asantaṃ jhānādidhammaṃ ārocentassa sace yassa kassaci āroceti, so manussajātiko hoti, anantarameva ‘‘ayaṃ jhānalābhī’’ti vā ‘‘ariyo’’ti vā yena kenaci ākārena tamatthaṃ jānāti, pārājikaṃ. Sace na jānāti, thullaccayaṃ. Sace pana ‘‘yo te vihāre vasi, so bhikkhu paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajjī’’tiādinā (pārā. 220) nayena aññāpadesena ārocentassa jānāti, thullaccayaṃ. Sace na jānāti, dukkaṭaṃ. Adhimānena ārocentassa, anullapanādhippāyassa, ummattakādīnañca anāpatti. Sīlavipatti, uttarimanussadhammassa attani asantatā, pāpicchatāya tassa ārocanaṃ, anaññāpadeso, yassa āroceti, tassa manussajātikatā, taṅkhaṇavijānananti imānettha pañca aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādāne vuttasadisānevāti.

    จตุตฺถปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Catutthapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.

    อุทฺทิฎฺฐา โข อายสฺมโนฺต จตฺตาโร ปาราชิกา ธมฺมาติอิทํ อิธ อุทฺทิฎฺฐปาราชิกปริทีปนเมวฯ สโมธาเนตฺวา ปน สพฺพาเนว จตุวีสติ ปาราชิกานิ เวทิตพฺพานิ ฯ กตมานิ จตุวีสติ? ปาฬิยํ อาคตานิ ตาว ภิกฺขูนํ จตฺตาริ ภิกฺขุนีนํ อสาธารณานิ จตฺตารีติ อฎฺฐ, ตานิ เอกาทสนฺนํ ปณฺฑกาทีนํ อภพฺพภาวสงฺขาเตหิ เอกาทสหิ ปาราชิเกหิ สทฺธิํ เอกูนวีสติ, คิหิภาวํ ปตฺถยมานาย ภิกฺขุนิยา วิพฺภนฺตภาวปาราชิเกน สทฺธิํ วีสติ, อปรานิปิ ลมฺพี, มุทุปิฎฺฐิโก, ปรสฺส องฺคชาตํ มุเขน คณฺหาติ, ปรสฺส องฺคชาเต อภินิสีทตีติ อิเมสํ จตุนฺนํ วเสน ‘‘จตฺตาริ อนุโลมปาราชิกานี’’ติ วทนฺติ, อิติ อิมานิ จ จตฺตาริ, ปุริมานิ จ วีสตีติ สโมธาเนตฺวา สพฺพาเนว จตุวีสติ ปาราชิกานิ เวทิตพฺพานิฯ น ลภติ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สํวาสนฺติ อุโปสถาทิเภทํ สํวาสํ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ น ลภติฯ ยถา ปุเร, ตถา ปจฺฉาติ ยถา ปุเพฺพ คิหิกาเล อนุปสมฺปนฺนกาเล จ, ปจฺฉา ปาราชิกํ อาปโนฺนปิ ตเถว อสํวาโส โหติ, นตฺถิ ตสฺส ภิกฺขูหิ สทฺธิํ อุโปสถาทิเภโท สํวาโสติฯ ตตฺถายสฺมเนฺต ปุจฺฉามีติ เตสุ จตูสุ ปาราชิเกสุ อายสฺมเนฺต ‘‘กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา’’ติ ปุจฺฉามิฯ กจฺจิตฺถาติ กจฺจิ เอตฺถ, เอเตสุ จตูสุ ปาราชิเกสุ กจฺจิ ปริสุทฺธาติ อโตฺถฯ อถ วา กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธาติ กจฺจิ ปริสุทฺธา อตฺถ, ภวถาติ อโตฺถฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Uddiṭṭhākho āyasmanto cattāro pārājikā dhammātiidaṃ idha uddiṭṭhapārājikaparidīpanameva. Samodhānetvā pana sabbāneva catuvīsati pārājikāni veditabbāni . Katamāni catuvīsati? Pāḷiyaṃ āgatāni tāva bhikkhūnaṃ cattāri bhikkhunīnaṃ asādhāraṇāni cattārīti aṭṭha, tāni ekādasannaṃ paṇḍakādīnaṃ abhabbabhāvasaṅkhātehi ekādasahi pārājikehi saddhiṃ ekūnavīsati, gihibhāvaṃ patthayamānāya bhikkhuniyā vibbhantabhāvapārājikena saddhiṃ vīsati, aparānipi lambī, mudupiṭṭhiko, parassa aṅgajātaṃ mukhena gaṇhāti, parassa aṅgajāte abhinisīdatīti imesaṃ catunnaṃ vasena ‘‘cattāri anulomapārājikānī’’ti vadanti, iti imāni ca cattāri, purimāni ca vīsatīti samodhānetvā sabbāneva catuvīsati pārājikāni veditabbāni. Na labhati bhikkhūhi saddhiṃ saṃvāsanti uposathādibhedaṃ saṃvāsaṃ bhikkhūhi saddhiṃ na labhati. Yathā pure, tathā pacchāti yathā pubbe gihikāle anupasampannakāle ca, pacchā pārājikaṃ āpannopi tatheva asaṃvāso hoti, natthi tassa bhikkhūhi saddhiṃ uposathādibhedo saṃvāsoti. Tatthāyasmante pucchāmīti tesu catūsu pārājikesu āyasmante ‘‘kaccittha parisuddhā’’ti pucchāmi. Kaccitthāti kacci ettha, etesu catūsu pārājikesu kacci parisuddhāti attho. Atha vā kaccittha parisuddhāti kacci parisuddhā attha, bhavathāti attho. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    กงฺขาวิตรณิยา ปาติโมกฺขวณฺณนาย

    Kaṅkhāvitaraṇiyā pātimokkhavaṇṇanāya

    ปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact