Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā

    ภิกฺขุนิวิภโงฺค

    Bhikkhunivibhaṅgo

    ๑๙๖๔. เอวํ ภิกฺขุวิภงฺคปาฬิยา, อฎฺฐกถาย จ อาคตํ วินิจฺฉยสารํ นาติสเงฺขปวิตฺถารนเยน ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตทนนฺตราย ภิกฺขุนิวิภงฺคปาฬิยา, ตทฎฺฐกถาย จ อาคตวินิจฺฉยสารํ ทเสฺสตุมารภโนฺต อาห ‘‘ภิกฺขุนีน’’นฺติอาทิฯ ตสฺมิํ อปีติ เอตฺถ อปิ-สโทฺท วุตฺตาเปกฺขายํฯ ‘‘สมาเสนา’’ติ อิทํ คนฺถวเสน สงฺขิปนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘กิญฺจิมตฺต’’นฺติ อิทํ อตฺถวเสนาติ เวทิตพฺพํฯ

    1964. Evaṃ bhikkhuvibhaṅgapāḷiyā, aṭṭhakathāya ca āgataṃ vinicchayasāraṃ nātisaṅkhepavitthāranayena dassetvā idāni tadanantarāya bhikkhunivibhaṅgapāḷiyā, tadaṭṭhakathāya ca āgatavinicchayasāraṃ dassetumārabhanto āha ‘‘bhikkhunīna’’ntiādi. Tasmiṃ apīti ettha api-saddo vuttāpekkhāyaṃ. ‘‘Samāsenā’’ti idaṃ ganthavasena saṅkhipanaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Kiñcimatta’’nti idaṃ atthavasenāti veditabbaṃ.

    ปาราชิกกถาวณฺณนา

    Pārājikakathāvaṇṇanā

    ๑๙๖๕. ฉนฺทโสติ เมถุนเสวนราคปฎิสํยุเตฺตน ฉเนฺทนฯ เอเตน ‘‘ฉเนฺท ปน อสติ พลกฺกาเรน ปธํสิตาย อนาปตฺตี’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. เมถุนธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา) อฎฺฐกถา สูจิตา โหติฯ สา สมณี ปาราชิกา นาม โหตีติ ปวุจฺจตีติ โยชนาฯ

    1965.Chandasoti methunasevanarāgapaṭisaṃyuttena chandena. Etena ‘‘chande pana asati balakkārena padhaṃsitāya anāpattī’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. methunadhammasikkhāpadavaṇṇanā) aṭṭhakathā sūcitā hoti. Sā samaṇī pārājikā nāma hotīti pavuccatīti yojanā.

    ๑๙๖๖-๗. ‘‘สชีวสฺส อปิ อชีวสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘สนฺถตํ วา อสนฺถต’’นฺติ อิทํ ‘‘องฺคชาต’’นฺติ อิมสฺส วิเสสนํฯ อตฺตโน ติวิเธ มเคฺคติ อตฺตโน วจฺจปสฺสาวมุขมคฺคานํ อญฺญตรสฺมิํ มเคฺคฯ เอตฺถ ‘‘สนฺถเต วา อสนฺถเต วา’’ติ เสโส, ‘‘อโลฺลกาเส’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ‘‘เยภุยฺยอกฺขายิตาทิก’’นฺติ ปทเจฺฉโทฯ อาทิ-สเทฺทน อกฺขายิตํ สงฺคณฺหาติฯ

    1966-7. ‘‘Sajīvassa api ajīvassā’’ti padacchedo. ‘‘Santhataṃ vā asanthata’’nti idaṃ ‘‘aṅgajāta’’nti imassa visesanaṃ. Attano tividhe maggeti attano vaccapassāvamukhamaggānaṃ aññatarasmiṃ magge. Ettha ‘‘santhate vā asanthate vā’’ti seso, ‘‘allokāse’’ti iminā sambandho. ‘‘Yebhuyyaakkhāyitādika’’nti padacchedo. Ādi-saddena akkhāyitaṃ saṅgaṇhāti.

    มนุสฺสปุริสาทีนํ นวนฺนํ สชีวสฺสปิ อชีวสฺสปิ ยสฺส กสฺสจิ สนฺถตํ วา อสนฺถตํ วา เยภุยฺยกฺขายิตาทิกํ องฺคชาตํ อตฺตโน สนฺถเต วา อสนฺถเต วา ติวิเธ มเคฺค อโลฺลกาเส ติลผลมตฺตมฺปิ ปเวเสนฺตี ปราชิตาติ โยชนาฯ

    Manussapurisādīnaṃ navannaṃ sajīvassapi ajīvassapi yassa kassaci santhataṃ vā asanthataṃ vā yebhuyyakkhāyitādikaṃ aṅgajātaṃ attano santhate vā asanthate vā tividhe magge allokāse tilaphalamattampi pavesentī parājitāti yojanā.

    ๑๙๖๘. สาธารณวินิจฺฉยนฺติ ภิกฺขุภิกฺขุนีนํ สาธารณสิกฺขาปทวินิจฺฉยํฯ

    1968.Sādhāraṇavinicchayanti bhikkhubhikkhunīnaṃ sādhāraṇasikkhāpadavinicchayaṃ.

    ๑๙๖๙-๗๐. อธกฺขกนฺติ เอตฺถ อกฺขกานํ อโธติ วิคฺคโหฯ อุพฺภชาณุมณฺฑลนฺติ ชาณุมณฺฑลานํ อุพฺภนฺติ วิคฺคโหฯ อุพฺภ-สโทฺท อุทฺธํ-สทฺทปริยาโยฯ อิธ ‘‘อตฺตโน’’ติ เสโสฯ อวสฺสุตสฺสาติ กายสํสคฺคราเคน ตินฺตสฺสฯ อวสฺสุตาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ยาติ วุตฺตตฺตา ‘‘สา’’ติ ลพฺภติฯ สรีรนฺติ เอตฺถ ‘‘ยํ กิญฺจี’’ติ เสโสฯ ปโรปกฺกมมูลกํ ปาราชิกํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เตน วา ผุฎฺฐา’’ติฯ เอตฺถ ‘‘ยถาปริจฺฉิเนฺน กาเย’’ติ จ ‘‘สาทิเยยฺยา’’ติ จ วตฺตพฺพํฯ

    1969-70.Adhakkhakanti ettha akkhakānaṃ adhoti viggaho. Ubbhajāṇumaṇḍalanti jāṇumaṇḍalānaṃ ubbhanti viggaho. Ubbha-saddo uddhaṃ-saddapariyāyo. Idha ‘‘attano’’ti seso. Avassutassāti kāyasaṃsaggarāgena tintassa. Avassutāti etthāpi eseva nayo. ti vuttattā ‘‘sā’’ti labbhati. Sarīranti ettha ‘‘yaṃ kiñcī’’ti seso. Paropakkamamūlakaṃ pārājikaṃ dassetumāha ‘‘tena vā phuṭṭhā’’ti. Ettha ‘‘yathāparicchinne kāye’’ti ca ‘‘sādiyeyyā’’ti ca vattabbaṃ.

    ยา ปน ภิกฺขุนี อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺส มนุสฺสปุคฺคลสฺส ยํ กิญฺจิ สรีรํ อตฺตโน อธกฺขกํ อุพฺภชาณุมณฺฑลํ ยํ สรีรกํ, เตน สรีรเกน ฉุเปยฺย, เตน มนุสฺสปุริเสน ยถาปริจฺฉิเนฺน กาเย ผุฎฺฐา สาทิเยยฺย วา, สา ปาราชิกา สิยาติ โยชนาฯ

    Yā pana bhikkhunī avassutā avassutassa manussapuggalassa yaṃ kiñci sarīraṃ attano adhakkhakaṃ ubbhajāṇumaṇḍalaṃ yaṃ sarīrakaṃ, tena sarīrakena chupeyya, tena manussapurisena yathāparicchinne kāye phuṭṭhā sādiyeyya vā, sā pārājikā siyāti yojanā.

    ๑๙๗๑-๒. ‘‘คหิตํ อุพฺภชาณุนา’’ติ อิมินา กปฺปรโต อุทฺธํ ปาราชิกเกฺขตฺตเมวาติ ทีเปติฯ อตฺตโน ยถาวุตฺตปฺปกาเรน กาเยนาติ โยชนา, อตฺตโน ‘‘อธกฺขก’’นฺติอาทิวุตฺตปฺปกาเรน กาเยนาติ อโตฺถฯ ตถา อวสฺสุตาย อวสฺสุตสฺส ปุริสสฺส กายปฎิพทฺธํ ผุสนฺติยา ถุลฺลจฺจยํ โหติฯ อตฺตโน ยถาปริจฺฉินฺนกายปฎิพเทฺธน ตถา อวสฺสุตาย อวสฺสุตสฺส ปุริสสฺส กายํ ผุสนฺติยา ถุลฺลจฺจยํ โหติฯ

    1971-2.‘‘Gahitaṃ ubbhajāṇunā’’ti iminā kapparato uddhaṃ pārājikakkhettamevāti dīpeti. Attano yathāvuttappakārena kāyenāti yojanā, attano ‘‘adhakkhaka’’ntiādivuttappakārena kāyenāti attho. Tathā avassutāya avassutassa purisassa kāyapaṭibaddhaṃ phusantiyā thullaccayaṃ hoti. Attano yathāparicchinnakāyapaṭibaddhena tathā avassutāya avassutassa purisassa kāyaṃ phusantiyā thullaccayaṃ hoti.

    ๑๙๗๓. อตฺตโน อวเสเสน กาเยน อวสฺสุตาย อวสฺสุตสฺส ปุริสปุคฺคลสฺส กายํ ผุสนฺติยา ถุลฺลจฺจยํ โหติฯ เอวํ อตฺตโน ปโยเค จ ปุริสสฺส ปโยเค จ ตสฺสา ภิกฺขุนิยาเยว ถุลฺลจฺจยํ โหตีติ โยชนาฯ

    1973. Attano avasesena kāyena avassutāya avassutassa purisapuggalassa kāyaṃ phusantiyā thullaccayaṃ hoti. Evaṃ attano payoge ca purisassa payoge ca tassā bhikkhuniyāyeva thullaccayaṃ hotīti yojanā.

    ๑๙๗๔. ยกฺขเปตติรจฺฉานปณฺฑกานํ กายํ ‘‘อธกฺขกํ อุพฺภชาณุมณฺฑล’’นฺติ ยถาปริจฺฉินฺนํ ตเถว อตฺตโน กาเยน อุภโตอวสฺสเว สติ ผุสนฺติยา อสฺสา ภิกฺขุนิยา ถุลฺลจฺจยํ, ตเถว ยกฺขาทีนํ ปโยเคปิ ตสฺสาเยว ถุลฺลจฺจยํ โหตีติ โยชนาฯ

    1974. Yakkhapetatiracchānapaṇḍakānaṃ kāyaṃ ‘‘adhakkhakaṃ ubbhajāṇumaṇḍala’’nti yathāparicchinnaṃ tatheva attano kāyena ubhatoavassave sati phusantiyā assā bhikkhuniyā thullaccayaṃ, tatheva yakkhādīnaṃ payogepi tassāyeva thullaccayaṃ hotīti yojanā.

    ๑๙๗๕. เอกโตวสฺสเว จาปีติ ภิกฺขุนิยา วเสน เอกโตอวสฺสเว จาปิฯ ถุลฺลจฺจยมุทีริตนฺติ ปาราชิกเกฺขตฺตภูเตน อตฺตโน กาเยน มนุสฺสปุริสสฺส กายํ ผุสนฺติยา ถุลฺลจฺจยํ อฎฺฐกถายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๖๖๒) วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ อวเสเส จ สพฺพตฺถาติ ยถาวุตฺตปาราชิกเกฺขตฺตโต อวเสเส ถุลฺลจฺจยเกฺขเตฺต สพฺพตฺถ เอกโตอวสฺสเว สติ ทุกฺกฎํ โหตีติ อโตฺถฯ กายปฎิพเทฺธน กายปฎิพทฺธามสนาทีสุ สพฺพตฺถ อุภโตอวสฺสเว วา เอกโตอวสฺสเว วา ทุกฺกฎเมว โหติฯ

    1975.Ekatovassave cāpīti bhikkhuniyā vasena ekatoavassave cāpi. Thullaccayamudīritanti pārājikakkhettabhūtena attano kāyena manussapurisassa kāyaṃ phusantiyā thullaccayaṃ aṭṭhakathāyaṃ (pāci. aṭṭha. 662) vuttanti attho. Avasese ca sabbatthāti yathāvuttapārājikakkhettato avasese thullaccayakkhette sabbattha ekatoavassave sati dukkaṭaṃ hotīti attho. Kāyapaṭibaddhena kāyapaṭibaddhāmasanādīsu sabbattha ubhatoavassave vā ekatoavassave vā dukkaṭameva hoti.

    ๑๙๗๖. ‘‘อุพฺภกฺขกมโธชาณุมณฺฑล’’นฺติ ยํ อปาราชิกเกฺขตฺตํ อิธ ทสฺสิตํ, เอตฺถ เอกโตอวสฺสเว ทุกฺกฎํ โหติฯ กปฺปรสฺส จ เหฎฺฐาปิ เอเตฺถว อโธชาณุมณฺฑเล สงฺคหํ คตนฺติ โยชนาฯ

    1976.‘‘Ubbhakkhakamadhojāṇumaṇḍala’’nti yaṃ apārājikakkhettaṃ idha dassitaṃ, ettha ekatoavassave dukkaṭaṃ hoti. Kapparassa ca heṭṭhāpi ettheva adhojāṇumaṇḍale saṅgahaṃ gatanti yojanā.

    ๑๙๗๗-๙. ภิกฺขุ ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ สเจ กายสํสคฺคํ เกลายติ เสวตีติ โยชนาฯ ภิกฺขุนิยา นาโส สิยาติ สีลวินาโส ปาราชิกาปตฺติ สิยาติ อโตฺถฯ เคหเปมนฺติ เอตฺถ ‘‘เคหสิตเปม’’นฺติ วตฺตเพฺพ คาถาพนฺธวเสน สิต-สทฺทโลโป, อโตฺถ ปนสฺส ภิกฺขุวิภเงฺค วุตฺตนโยวฯ

    1977-9. Bhikkhu bhikkhuniyā saddhiṃ sace kāyasaṃsaggaṃ kelāyati sevatīti yojanā. Bhikkhuniyā nāso siyāti sīlavināso pārājikāpatti siyāti attho. Gehapemanti ettha ‘‘gehasitapema’’nti vattabbe gāthābandhavasena sita-saddalopo, attho panassa bhikkhuvibhaṅge vuttanayova.

    ๑๙๘๐. อวิเสเสนาติ ‘‘ภิกฺขุนิยา’’ติ วา ‘‘ภิกฺขุสฺสา’’ติ วา วิเสสํ อกตฺวาฯ

    1980.Avisesenāti ‘‘bhikkhuniyā’’ti vā ‘‘bhikkhussā’’ti vā visesaṃ akatvā.

    ๑๙๘๑. ยสฺสาติ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วาฯ ยตฺถาติ ภิกฺขุนิยํ วา ภิกฺขุสฺมิํ วาฯ มโนสุทฺธนฺติ กายสํสคฺคาทิราครหิตํฯ ตสฺส ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา ตตฺถ ภิกฺขุนิยํ วา ภิกฺขุสฺมิํ วา วิสเย นโทสตา อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ

    1981.Yassāti bhikkhussa vā bhikkhuniyā vā. Yatthāti bhikkhuniyaṃ vā bhikkhusmiṃ vā. Manosuddhanti kāyasaṃsaggādirāgarahitaṃ. Tassa bhikkhussa vā bhikkhuniyā vā tattha bhikkhuniyaṃ vā bhikkhusmiṃ vā visaye nadosatā anāpattīti attho.

    ๑๙๘๒. ภินฺทิตฺวาติ สีลเภทํ กตฺวาฯ ภิกฺขุนิยา อปกตตฺตา อาห ‘‘เนว โหติ ภิกฺขุนิทูสโก’’ติฯ

    1982.Bhinditvāti sīlabhedaṃ katvā. Bhikkhuniyā apakatattā āha ‘‘neva hoti bhikkhunidūsako’’ti.

    ๑๙๘๓. อถาติ วากฺยารเมฺภฯ น โหตาปตฺติ ภิกฺขุโนติ เอตฺถ ภิกฺขุนีหิ กายสํสคฺคสงฺฆาทิเสสมาหฯ

    1983.Athāti vākyārambhe. Na hotāpatti bhikkhunoti ettha bhikkhunīhi kāyasaṃsaggasaṅghādisesamāha.

    ๑๙๘๔. ‘‘เขเตฺต’’ติ วกฺขมานํ ‘‘ผุฎฺฐา’’ติ อิมินา โยเชตฺวา ‘‘ปาราชิก’’นฺติอาทีหิ, ‘‘ถุลฺลจฺจยํ เขเตฺต’’ติอาทีหิ จ สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ‘‘ปาราชิก’’นฺติ วกฺขมานตฺตา ผุฎฺฐาติ เอตฺถ ‘‘ปาราชิกเกฺขเตฺต’’ติ เสโสฯ

    1984. ‘‘Khette’’ti vakkhamānaṃ ‘‘phuṭṭhā’’ti iminā yojetvā ‘‘pārājika’’ntiādīhi, ‘‘thullaccayaṃ khette’’tiādīhi ca sambandhitabbaṃ. ‘‘Pārājika’’nti vakkhamānattā phuṭṭhāti ettha ‘‘pārājikakkhette’’ti seso.

    ๑๙๘๕. ตถาติ นิจฺจลาปิ สาทิยติฯ เขเตฺตติ ถุลฺลจฺจยาทีนํ เขเตฺตฯ กาเยน นิจฺจลายปิ จิเตฺตน สาทิยนฺติยา อาปตฺติ กสฺมา วุตฺตาติ อาห ‘‘วุตฺตตฺตา…เป.… สตฺถุนา’’ติ , ภิกฺขุปาติโมเกฺข วิย ‘‘กายสํสคฺคํ สมาปเชฺชยฺยา’’ติ อวตฺวา อิธ ‘‘กายสํสคฺคํ สาทิเยยฺยา’’ติ วุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ

    1985.Tathāti niccalāpi sādiyati. Khetteti thullaccayādīnaṃ khette. Kāyena niccalāyapi cittena sādiyantiyā āpatti kasmā vuttāti āha ‘‘vuttattā…pe… satthunā’’ti , bhikkhupātimokkhe viya ‘‘kāyasaṃsaggaṃ samāpajjeyyā’’ti avatvā idha ‘‘kāyasaṃsaggaṃ sādiyeyyā’’ti vuttattāti adhippāyo.

    ๑๙๘๖. ตสฺสา อาปตฺติยาฯ กฺริยสมุฎฺฐานนฺติ กิริยาย สมุฎฺฐานํฯ เอวํ สตีติ สาทิยนมเตฺตเนว อาปชฺชิตพฺพภาเว สติฯ อิทนฺติ ‘‘กิริยสมุฎฺฐาน’’มิติวิธานํฯ ตพฺพหุเลเนว นเยนาติ กิริยสมุฎฺฐานพาหุเลฺลน นเยน ขทิรวนาทิโวหาโร วิยาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    1986.Tassā āpattiyā. Kriyasamuṭṭhānanti kiriyāya samuṭṭhānaṃ. Evaṃ satīti sādiyanamatteneva āpajjitabbabhāve sati. Idanti ‘‘kiriyasamuṭṭhāna’’mitividhānaṃ. Tabbahuleneva nayenāti kiriyasamuṭṭhānabāhullena nayena khadiravanādivohāro viyāti daṭṭhabbaṃ.

    ๑๙๘๗. ตสฺสา ภิกฺขุนิยา อสญฺจิจฺจ วิรชฺฌิตฺวา อามสนฺติยา อนาปตฺติ, ‘‘อยํ ปุริโส’’ติ วา ‘‘อิตฺถี’’ติ วา อชานิตฺวา อามสนฺติยา อนาปตฺติ, ปุริสสฺส อามสเน สติ ผสฺสํ อสาทิยนฺติยา วา อนาปตฺตีติ โยชนาฯ

    1987.Tassā bhikkhuniyā asañcicca virajjhitvā āmasantiyā anāpatti, ‘‘ayaṃ puriso’’ti vā ‘‘itthī’’ti vā ajānitvā āmasantiyā anāpatti, purisassa āmasane sati phassaṃ asādiyantiyā vā anāpattīti yojanā.

    ๑๙๘๘. ขิตฺตจิตฺตายาติ ยกฺขุมฺมตฺตายฯ อุมฺมตฺติกาย วาติ ปิตฺตโกเปน อุมฺมาทปฺปตฺตายฯ อิทญฺจ ‘‘อสุจี’’ติ วา ‘‘จนฺทน’’นฺติ วา วิเสสตํ อชานนเมว ปมาณํฯ

    1988.Khittacittāyāti yakkhummattāya. Ummattikāya vāti pittakopena ummādappattāya. Idañca ‘‘asucī’’ti vā ‘‘candana’’nti vā visesataṃ ajānanameva pamāṇaṃ.

    อุพฺภชาณุมณฺฑลกถาวณฺณนาฯ

    Ubbhajāṇumaṇḍalakathāvaṇṇanā.

    ๑๙๘๙-๙๐. ‘‘ปาราชิกตฺตํ ชานนฺตี’’ติ อิมินา อวเสสาปตฺติํ ชานิตฺวา ฉาเทนฺติยา ปาราชิกาภาวํ ทีเปติฯ สลิเงฺค ตุ ฐิตายาติ ปพฺพชฺชาลิเงฺคเยว ฐิตายฯ อิติ ธุเร นิกฺขิตฺตมตฺตสฺมินฺติ โยชนาฯ อิติ-สโทฺท นิทสฺสเนฯ อิตราย ปุเพฺพเยว อาปนฺนตฺตา ตมเปกฺขิตฺวา ‘‘สา จา’’ติ อาหฯ

    1989-90.‘‘Pārājikattaṃ jānantī’’ti iminā avasesāpattiṃ jānitvā chādentiyā pārājikābhāvaṃ dīpeti. Saliṅge tu ṭhitāyāti pabbajjāliṅgeyeva ṭhitāya. Iti dhure nikkhittamattasminti yojanā. Iti-saddo nidassane. Itarāya pubbeyeva āpannattā tamapekkhitvā ‘‘sā cā’’ti āha.

    ๑๙๙๑. วุตฺตาวิสิฎฺฐํ สพฺพํ วินิจฺฉยํ สงฺคเหตุมาห ‘‘เสส’’นฺติอาทิฯ ตตฺถาติ ทุฎฺฐุลฺลปฎิจฺฉาทเนฯ

    1991. Vuttāvisiṭṭhaṃ sabbaṃ vinicchayaṃ saṅgahetumāha ‘‘sesa’’ntiādi. Tatthāti duṭṭhullapaṭicchādane.

    วชฺชปฎิจฺฉาทิกถาวณฺณนาฯ

    Vajjapaṭicchādikathāvaṇṇanā.

    ๑๙๙๒-๕. สเงฺฆนาติ สมเคฺคน สเงฺฆนฯ อุกฺขิตฺตโกติ อาปตฺติยา อทสฺสนาทีสุ อุกฺขิตฺตโกฯ ‘‘อุเกฺขปเน ฐิโต’’ติ อิมินา อุเกฺขปนียกมฺมกตสฺส อโนสาริตภาวํ ทีเปติฯ ยา ทิฎฺฐิ เอตสฺสาติ ยํทิฎฺฐิโก, โส อุกฺขิตฺตโก ภิกฺขุ ยาย ทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต โหตีติ อธิปฺปาโย ฯ ‘‘ตสฺสา ทิฎฺฐิยา คหเณนา’’ติ อิมินา อนุวตฺตปฺปกาโร ทสฺสิโตฯ ตํ อุกฺขิตฺตกํ ภิกฺขุนฺติ โยชนาฯ สา ภิกฺขุนี อญฺญาหิ ภิกฺขุนีหิ วิสุมฺปิจ สงฺฆมเชฺฌปิ ‘‘เอโส โข อเยฺย ภิกฺขุ สมเคฺคน สเงฺฆน อุกฺขิโตฺต’’ติอาทินา (ปาจิ. ๖๖๙) นเยน ติกฺขตฺตุํ วุจฺจมานาติ โยชนาฯ ตํ วตฺถุํ อจชนฺตี คเหตฺวา ยทิ ตเถว ติฎฺฐตีติ โยชนาฯ เอตฺถ ‘‘ยาวตติยํ สมนุภาสิตพฺพา’’ติ เสโสฯ ตสฺส กมฺมสฺส โอสาเนติ ตติยาย กมฺมวาจาย ยฺยการปฺปตฺตวเสน อสฺส สมนุภาสนกมฺมสฺส ปริโยสาเนฯ อสากิยธีตราติ อสากิยธีตา, ปจฺจเตฺต กรณวจนํฯ ‘‘ปุน อปฺปฎิสเนฺธยา’’ติ อิมินา ปุน เตเนว จ อตฺตภาเวน ภิกฺขุนิภาเว ปฎิสนฺธาตุํ อนรหตา วุตฺตาฯ

    1992-5.Saṅghenāti samaggena saṅghena. Ukkhittakoti āpattiyā adassanādīsu ukkhittako. ‘‘Ukkhepane ṭhito’’ti iminā ukkhepanīyakammakatassa anosāritabhāvaṃ dīpeti. Yā diṭṭhi etassāti yaṃdiṭṭhiko, so ukkhittako bhikkhu yāya diṭṭhiyā samannāgato hotīti adhippāyo . ‘‘Tassā diṭṭhiyā gahaṇenā’’ti iminā anuvattappakāro dassito. Taṃ ukkhittakaṃ bhikkhunti yojanā. Sā bhikkhunī aññāhi bhikkhunīhi visumpica saṅghamajjhepi ‘‘eso kho ayye bhikkhu samaggena saṅghena ukkhitto’’tiādinā (pāci. 669) nayena tikkhattuṃ vuccamānāti yojanā. Taṃ vatthuṃ acajantī gahetvā yadi tatheva tiṭṭhatīti yojanā. Ettha ‘‘yāvatatiyaṃ samanubhāsitabbā’’ti seso. Tassa kammassa osāneti tatiyāya kammavācāya yyakārappattavasena assa samanubhāsanakammassa pariyosāne. Asākiyadhītarāti asākiyadhītā, paccatte karaṇavacanaṃ. ‘‘Puna appaṭisandheyā’’ti iminā puna teneva ca attabhāvena bhikkhunibhāve paṭisandhātuṃ anarahatā vuttā.

    ๑๙๙๖. ติกทุกฺกฎํ นิทฺทิฎฺฐนฺติ อธมฺมกเมฺม อธมฺมกมฺมสญฺญา, เวมติกา, ธมฺมกมฺมสญฺญาติ เอตาสํ วเสน ติกทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ สมนุภาสเน วุตฺตา สมุฎฺฐานาทโย สเพฺพ อิธ วตฺตพฺพาติ โยชนาฯ

    1996.Tikadukkaṭaṃ niddiṭṭhanti adhammakamme adhammakammasaññā, vematikā, dhammakammasaññāti etāsaṃ vasena tikadukkaṭaṃ vuttaṃ. Samanubhāsane vuttā samuṭṭhānādayo sabbe idha vattabbāti yojanā.

    อุกฺขิตฺตานุวตฺติกกถาวณฺณนาฯ

    Ukkhittānuvattikakathāvaṇṇanā.

    ๑๙๙๗. ‘‘หตฺถคฺคหณํ วา สาทิเยยฺยาติ หโตฺถ นาม กปฺปรํ อุปาทาย ยาว อคฺคนขาฯ เอตสฺส อสทฺธมฺมสฺส ปฎิเสวนตฺถาย อุพฺภกฺขกํ อโธชาณุมณฺฑลํ คหณํ สาทิยติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๖๗๖) วุตฺตตฺตา อาห ‘‘อปาราชิกเขตฺตสฺสา’’ติอาทิฯ ‘‘ต’’นฺติ วกฺขมานตฺตา ‘‘ย’’นฺติ ลพฺภติฯ อปาราชิกเกฺขตฺตสฺส ยสฺส กสฺสจิ องฺคสฺส ยํ คหณํ, ตํ หตฺถคฺคหณนฺติ ปวุจฺจตีติ โยชนาฯ หเตฺถ คหณํ หตฺถคฺคหณํ

    1997. ‘‘Hatthaggahaṇaṃ vā sādiyeyyāti hattho nāma kapparaṃ upādāya yāva agganakhā. Etassa asaddhammassa paṭisevanatthāya ubbhakkhakaṃ adhojāṇumaṇḍalaṃ gahaṇaṃ sādiyati, āpatti thullaccayassā’’ti (pāci. 676) vuttattā āha ‘‘apārājikakhettassā’’tiādi. ‘‘Ta’’nti vakkhamānattā ‘‘ya’’nti labbhati. Apārājikakkhettassa yassa kassaci aṅgassa yaṃ gahaṇaṃ, taṃ hatthaggahaṇanti pavuccatīti yojanā. Hatthe gahaṇaṃ hatthaggahaṇaṃ.

    ๑๙๙๘. ยสฺส กสฺสจีติ วุตฺตปฺปกาเรน ยสฺส กสฺสจิ จีวรสฺส ยํ คหณนฺติ โยชนาฯ

    1998.Yassa kassacīti vuttappakārena yassa kassaci cīvarassa yaṃ gahaṇanti yojanā.

    ๑๙๙๙. อสทฺธมฺม-สเทฺทน เมถุนสฺสาปิ วุจฺจมานตฺตา ตโต วิเสเสตุมาห ‘‘กายสํสคฺค …เป.… การณา’’ติฯ ภิกฺขุนี กายสํสคฺคสงฺขาตสฺส อสทฺธมฺมสฺส การณา ปุริสสฺส หตฺถปาสสฺมิํ ติเฎฺฐยฺย วาติ โยชนาฯ

    1999. Asaddhamma-saddena methunassāpi vuccamānattā tato visesetumāha ‘‘kāyasaṃsagga…pe… kāraṇā’’ti. Bhikkhunī kāyasaṃsaggasaṅkhātassa asaddhammassa kāraṇā purisassa hatthapāsasmiṃ tiṭṭheyya vāti yojanā.

    ๒๐๐๐. ตโตติ ตสฺส อสทฺธมฺมสฺส การณาฯ ตตฺถาติ หตฺถปาเสฯ ปุริเสนาติ เอตฺถ ‘‘กต’’นฺติ เสโส, ‘‘สเงฺกต’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ‘‘อาคมนํ อสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ อิเจฺฉยฺยาติ วุเตฺตปิ น คมนิจฺฉามเตฺตน, อถ โข ภิกฺขุนิยา ปุริสสฺส หตฺถปาสํ, ปุริเสน จ ภิกฺขุนิยา หตฺถปาสํ โอกฺกนฺตกาเลเยว วตฺถุปูรณํ ทฎฺฐพฺพํฯ ยถาห ‘‘สเงฺกตํ วา คเจฺฉยฺยาติ เอตสฺส อสทฺธมฺมสฺส ปฎิเสวนตฺถาย ปุริเสน ‘อิตฺถนฺนามํ อาคจฺฉา’ติ วุตฺตา คจฺฉติ, ปเท ปเท อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ปุริสสฺส หตฺถปาสํ โอกฺกนฺตมเตฺต อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๖๗๖) จ ‘‘ปุริสสฺส อพฺภาคมนํ สาทิยติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ หตฺถปาสํ โอกฺกนฺตมเตฺต อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๖๗๖) จฯ เอตฺถ จ อิตฺถนฺนามํ อาคจฺฉาติ อิตฺถนฺนามํ ฐานํ อาคจฺฉาติ อโตฺถฯ

    2000.Tatoti tassa asaddhammassa kāraṇā. Tatthāti hatthapāse. Purisenāti ettha ‘‘kata’’nti seso, ‘‘saṅketa’’nti iminā sambandho. ‘‘Āgamanaṃ assā’’ti padacchedo. Iccheyyāti vuttepi na gamanicchāmattena, atha kho bhikkhuniyā purisassa hatthapāsaṃ, purisena ca bhikkhuniyā hatthapāsaṃ okkantakāleyeva vatthupūraṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Yathāha ‘‘saṅketaṃ vā gaccheyyāti etassa asaddhammassa paṭisevanatthāya purisena ‘itthannāmaṃ āgacchā’ti vuttā gacchati, pade pade āpatti dukkaṭassa. Purisassa hatthapāsaṃ okkantamatte āpatti thullaccayassā’’ti (pāci. 676) ca ‘‘purisassa abbhāgamanaṃ sādiyati, āpatti dukkaṭassa. Hatthapāsaṃ okkantamatte āpatti thullaccayassā’’ti (pāci. 676) ca. Ettha ca itthannāmaṃ āgacchāti itthannāmaṃ ṭhānaṃ āgacchāti attho.

    ๒๐๐๑. ตทตฺถายาติ ตเสฺสว กายสํสคฺคสงฺขาตอสทฺธมฺมสฺส เสวนตฺถายฯ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐานญฺจาติ วตฺถาทินา เยน เกนจิ ปฎิจฺฉนฺนโอกาสํฯ ปุริสสฺส หตฺถปาเส ฐิตา ตทตฺถาย กายํ อุปสํหเรยฺย วาติ โยชนาฯ

    2001.Tadatthāyāti tasseva kāyasaṃsaggasaṅkhātaasaddhammassa sevanatthāya. Paṭicchannaṭṭhānañcāti vatthādinā yena kenaci paṭicchannaokāsaṃ. Purisassa hatthapāse ṭhitā tadatthāya kāyaṃ upasaṃhareyya vāti yojanā.

    ๒๐๐๒. หตฺถคฺคหณาทีนํ วุตฺตปฺปการานํ อฎฺฐนฺนํ วตฺถูนํ ปูรเณน ‘‘อฎฺฐวตฺถุกา’’ติ สงฺขาตา อยํ ภิกฺขุนี วินฎฺฐา โหติ สีลวินาเสน, ตโตเยว อสฺสมณี โหติ อภิกฺขุนี โหตีติ โยชนาฯ

    2002. Hatthaggahaṇādīnaṃ vuttappakārānaṃ aṭṭhannaṃ vatthūnaṃ pūraṇena ‘‘aṭṭhavatthukā’’ti saṅkhātā ayaṃ bhikkhunī vinaṭṭhā hoti sīlavināsena, tatoyeva assamaṇī hoti abhikkhunī hotīti yojanā.

    ๒๐๐๓. อนุโลเมน วาติ หตฺถคฺคหณาทิปฎิปาฎิยา วาฯ ปฎิโลเมน วาติ ตพฺพิปริยโต ปฎิโลเมน วาฯ เอกนฺตริกาย วาติ เอกเมกํ อนฺตริตฺวา ปุน ตสฺสาปิ กรณวเสน เอกนฺตริกาย วาฯ อนุโลเมน วา ปฎิโลเมน วา ตเถกนฺตริกาย วา อฎฺฐมํ วตฺถุํ ปริปูเรนฺตี จุตาติ โยชนาฯ

    2003.Anulomenati hatthaggahaṇādipaṭipāṭiyā vā. Paṭilomena vāti tabbipariyato paṭilomena vā. Ekantarikāya vāti ekamekaṃ antaritvā puna tassāpi karaṇavasena ekantarikāya vā. Anulomena vā paṭilomena vā tathekantarikāya vā aṭṭhamaṃ vatthuṃ paripūrentī cutāti yojanā.

    ๒๐๐๔. เอตเทว อตฺถํ พฺยติเรกมุเขน สมเตฺถตุมาห ‘‘อถาทิโต’’ติอาทิฯ สตกฺขตฺตุมฺปีติ พหุกฺขตฺตุมฺปิฯ สต-สโทฺท เหตฺถ พหุ-สทฺทปริยาโยฯ ปาราชิกา เนว สิยาติ โยชนา, อิมินา ตํตํวตฺถุมูลกํ ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยํ อาปชฺชตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    2004. Etadeva atthaṃ byatirekamukhena samatthetumāha ‘‘athādito’’tiādi. Satakkhattumpīti bahukkhattumpi. Sata-saddo hettha bahu-saddapariyāyo. Pārājikā neva siyāti yojanā, iminā taṃtaṃvatthumūlakaṃ dukkaṭathullaccayaṃ āpajjatīti vuttaṃ hoti.

    ๒๐๐๕. ยา ปน อาปตฺติโย อาปนฺนา, เทเสตฺวา ตาหิ มุจฺจตีติ โยชนาฯ ธุรนิเกฺขปนํ กตฺวาติ ‘‘น ปุเนวํ กริสฺสามี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปิตฺวาฯ เทสิตา คณนูปิกาติ เทสิตา เทสิตคณนเมว อุเปติ, ปาราชิกสฺส องฺคํ น โหตีติ อโตฺถฯ ตสฺมา ยา เอกํ อาปนฺนา, ธุรนิเกฺขปํ กตฺวา เทเสตฺวา ปุน กิเลสวเสน อาปชฺชติ, ปุน เทเสติ, เอวํ อฎฺฐ วตฺถูนิ ปูเรนฺตีปิ ปาราชิกา น โหติฯ

    2005. Yā pana āpattiyo āpannā, desetvā tāhi muccatīti yojanā. Dhuranikkhepanaṃ katvāti ‘‘na punevaṃ karissāmī’’ti dhuraṃ nikkhipitvā. Desitā gaṇanūpikāti desitā desitagaṇanameva upeti, pārājikassa aṅgaṃ na hotīti attho. Tasmā yā ekaṃ āpannā, dhuranikkhepaṃ katvā desetvā puna kilesavasena āpajjati, puna deseti, evaṃ aṭṭha vatthūni pūrentīpi pārājikā na hoti.

    ๒๐๐๖. สอุสฺสาหาย เทสิตาติ ปุน อาปชฺชเน อนิกฺขิตฺตธุราย ภิกฺขุนิยา เทสิตาปิ อาปตฺติ เทสนาคณนํ น อุเปติฯ กิํ โหตีติ อาห ‘‘เทสิตาปิ อเทสิตา’’ติ, ตสฺมา ปาราชิกาปตฺติยา องฺคเมว โหตีติ อธิปฺปาโยฯ

    2006.Saussāhāya desitāti puna āpajjane anikkhittadhurāya bhikkhuniyā desitāpi āpatti desanāgaṇanaṃ na upeti. Kiṃ hotīti āha ‘‘desitāpi adesitā’’ti, tasmā pārājikāpattiyā aṅgameva hotīti adhippāyo.

    ๒๐๐๘. อยํ อโตฺถติ ‘‘อสทฺธโมฺม นาม กายสํสโคฺค’’ติ อยํ อโตฺถฯ อุทฺทิสิโตติ ปกาสิโตฯ

    2008.Ayaṃ atthoti ‘‘asaddhammo nāma kāyasaṃsaggo’’ti ayaṃ attho. Uddisitoti pakāsito.

    ๒๐๐๙. อยมโตฺถ เกน วจเนน อุทฺทิสิโตติ อาห ‘‘วิญฺญู…เป.… สาธกํ วจนํ อิท’’นฺติฯ อิทํ วจนนฺติ ‘‘วิญฺญู ปฎิพโล กายสํสคฺคํ สมาปชฺชิตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๖๗๖) อิทํ วจนํฯ สาธกํ ปมาณํฯ

    2009. Ayamattho kena vacanena uddisitoti āha ‘‘viññū…pe… sādhakaṃ vacanaṃ ida’’nti. Idaṃ vacananti ‘‘viññū paṭibalo kāyasaṃsaggaṃ samāpajjitu’’nti (pāci. 676) idaṃ vacanaṃ. Sādhakaṃ pamāṇaṃ.

    อฎฺฐวตฺถุกกถาวณฺณนาฯ

    Aṭṭhavatthukakathāvaṇṇanā.

    ๒๐๑๐. อวสฺสุตา, วชฺชปฎิจฺฉาทิกา, อุกฺขิตฺตานุวตฺติกา, อฎฺฐวตฺถุกาติ อิมา จตโสฺส ปาราชิกาปตฺติโย มเหสินา อสาธารณา ภิกฺขุนีนเมว ปญฺญตฺตาติ โยชนาฯ

    2010. Avassutā, vajjapaṭicchādikā, ukkhittānuvattikā, aṭṭhavatthukāti imā catasso pārājikāpattiyo mahesinā asādhāraṇā bhikkhunīnameva paññattāti yojanā.

    อิติ วินยตฺถสารสนฺทีปนิยา

    Iti vinayatthasārasandīpaniyā

    วินยวินิจฺฉยวณฺณนาย

    Vinayavinicchayavaṇṇanāya

    ปาราชิกกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pārājikakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact