Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā

    ๑. ปาราชิกนิเทฺทสวณฺณนา

    1. Pārājikaniddesavaṇṇanā

    ๑-๒. อิทานิ เต ทเสฺสตุํ ‘‘มคฺคตฺตเย’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ มนุสฺสามนุสฺสติรจฺฉานคตานํ วเสน ติโสฺส อิตฺถิโย, ตโย อุภโตพฺยญฺชนกา, ตโย ปณฺฑกา, ตโย ปุริสาติ ปาราชิกวตฺถุภูตานํ นิมิตฺตานํ นิสฺสยา ทฺวาทสมตฺตา โหนฺติ, เตสํ วจฺจมคฺคปฺปสฺสาวมคฺคมุขมคฺควเสน ตโย มคฺคาฯ ตตฺถ มนุสฺสิตฺถิยา ตโย, อมนุสฺสิตฺถิยา ตโย, ติรจฺฉานคติตฺถิยา ตโยติ นว, ตถา มนุสฺสอุภโตพฺยญฺชนกาทีนํฯ มนุสฺสปณฺฑกาทีนํ ปน วจฺจมคฺคมุขมคฺควเสน เทฺว เทฺว กตฺวา ฉ, ตถา มนุสฺสปุริสาทีนนฺติ สเพฺพสํ วเสน ติํส มคฺคา โหนฺติฯ เต สเพฺพ ปริคฺคเหตฺวา อิธ ‘‘มคฺคตฺตเย’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมิํ มคฺคตฺตเยติ อโตฺถฯ อนิกฺขิตฺตสิโกฺขติ ภิกฺขุภาวโต จวิตุกามตาจิเตฺตน ยถาลกฺขณํ อปจฺจกฺขาตสิโกฺขติ อโตฺถฯ สนฺถตสนฺถเตติ วตฺถาทีสุ เยน เกนจิ สนฺถเต วา อสนฺถเต วาฯ อโลฺลกาเสติ มคฺคตฺตยสฺส ปกติวาเตน อสมฺผุฎฺฐปฺปเทเสฯ นิมิตฺตนฺติ องฺคชาตํฯ สํสนฺถตํ วา อสนฺถตํ วาติ อตฺตโน องฺคชาตํ วตฺถาทีนํ อญฺญตเรน ปฎิจฺฉนฺนํ วา อปฺปฎิจฺฉนฺนํ วาฯ อุปาทิณฺณนฺติ อนฎฺฐกายปฺปสาทํฯ วุตฺตปฺปกาเร มคฺคตฺตเย ปเวสโนฺต จุโต ปาราชิโกติ สมฺพโนฺธฯ นฎฺฐกายปฺปสาทํ ปน ปีฬกํ วา จมฺมขิลํ วา โลมํ วา ปเวสนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, มนุสฺสานํ ปน ชีวมานกสรีเร อกฺขินาสากณฺณจฺฉิทฺทวตฺถิโกเสสุ สตฺถกาทีหิ กตวเณ วา เมถุนราเคน ติลพีชมตฺตมฺปิ องฺคชาตํ ปเวสนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยํ, อวเสสสรีเรสุ อุปกจฺฉกาทีสุ จ ทุกฺกฎํฯ ติรจฺฉานคตานํ หตฺถิอสฺสโคณคทฺรภโอฎฺฐมหิํสาทีนํ นาสาย ถุลฺลจฺจยํ, ตถา เตสํ วตฺถิโกเสสุฯ สเพฺพสมฺปิ ติรจฺฉานคตานํ อกฺขิกณฺณวเณสุ ทุกฺกฎํ, ตถา เตสํ อวเสสสรีเรสุปิฯ

    1-2. Idāni te dassetuṃ ‘‘maggattaye’’tiādi āraddhaṃ. Tattha manussāmanussatiracchānagatānaṃ vasena tisso itthiyo, tayo ubhatobyañjanakā, tayo paṇḍakā, tayo purisāti pārājikavatthubhūtānaṃ nimittānaṃ nissayā dvādasamattā honti, tesaṃ vaccamaggappassāvamaggamukhamaggavasena tayo maggā. Tattha manussitthiyā tayo, amanussitthiyā tayo, tiracchānagatitthiyā tayoti nava, tathā manussaubhatobyañjanakādīnaṃ. Manussapaṇḍakādīnaṃ pana vaccamaggamukhamaggavasena dve dve katvā cha, tathā manussapurisādīnanti sabbesaṃ vasena tiṃsa maggā honti. Te sabbe pariggahetvā idha ‘‘maggattaye’’ti vuttaṃ, tasmiṃ maggattayeti attho. Anikkhittasikkhoti bhikkhubhāvato cavitukāmatācittena yathālakkhaṇaṃ apaccakkhātasikkhoti attho. Santhatasanthateti vatthādīsu yena kenaci santhate vā asanthate vā. Allokāseti maggattayassa pakativātena asamphuṭṭhappadese. Nimittanti aṅgajātaṃ. Saṃsanthataṃ vā asanthataṃ vāti attano aṅgajātaṃ vatthādīnaṃ aññatarena paṭicchannaṃ vā appaṭicchannaṃ vā. Upādiṇṇanti anaṭṭhakāyappasādaṃ. Vuttappakāre maggattaye pavesanto cuto pārājikoti sambandho. Naṭṭhakāyappasādaṃ pana pīḷakaṃ vā cammakhilaṃ vā lomaṃ vā pavesantassa dukkaṭaṃ, manussānaṃ pana jīvamānakasarīre akkhināsākaṇṇacchiddavatthikosesu satthakādīhi katavaṇe vā methunarāgena tilabījamattampi aṅgajātaṃ pavesantassa thullaccayaṃ, avasesasarīresu upakacchakādīsu ca dukkaṭaṃ. Tiracchānagatānaṃ hatthiassagoṇagadrabhaoṭṭhamahiṃsādīnaṃ nāsāya thullaccayaṃ, tathā tesaṃ vatthikosesu. Sabbesampi tiracchānagatānaṃ akkhikaṇṇavaṇesu dukkaṭaṃ, tathā tesaṃ avasesasarīresupi.

    อิทานิ ปเวสนํ นาม น เกวลํ อตฺตุปกฺกเมเนว โหติ, ภิกฺขุปจฺจตฺถิกาทีนํ ปน วเสน ปรูปกฺกเมนาปิ โหติ, ตตฺถาปิ เสวนจิเตฺต สติ ปาราชิโก โหตีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อถ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺสโตฺถ – โย ภิกฺขุ ปเวสนปวิฎฺฐฐิตอุทฺธารณกฺขเณสุ สาทิยติ, ตสฺมิํ ขเณ เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐเปติ, โสปิ ปาราชิโก โหติฯ โย ปน ภิกฺขุ สพฺพโส อสาทิยโนฺต อาสีวิสมุขํ องฺคารกาสุญฺจ ปวิฎฺฐํ วิย มญฺญติ, โส นิปฺปราโธ โหติฯ เอตฺถ ฐิตํ นาม สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสมยปฺปวตฺติฯ

    Idāni pavesanaṃ nāma na kevalaṃ attupakkameneva hoti, bhikkhupaccatthikādīnaṃ pana vasena parūpakkamenāpi hoti, tatthāpi sevanacitte sati pārājiko hotīti dassanatthaṃ ‘‘atha vā’’tiādi vuttaṃ. Tassattho – yo bhikkhu pavesanapaviṭṭhaṭhitauddhāraṇakkhaṇesu sādiyati, tasmiṃ khaṇe sevanacittaṃ upaṭṭhapeti, sopi pārājiko hoti. Yo pana bhikkhu sabbaso asādiyanto āsīvisamukhaṃ aṅgārakāsuñca paviṭṭhaṃ viya maññati, so nipparādho hoti. Ettha ṭhitaṃ nāma sukkavissaṭṭhisamayappavatti.

    ปฐมํฯ

    Paṭhamaṃ.

    ๓-๔. อิทานิ ทุติยํ ทเสฺสตุํ ‘‘อาทิเยยฺยา’’ติอาทิมาหฯ ‘‘อาทิเยยฺยา’’ติอาทีนํ ปทานํ ‘‘อทินฺนํ เถยฺยจิเตฺตน ภเว ปาราชิโก’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ อาทิเยยฺยาติ อารามาทิํ อภิยุญฺชิตฺวา โย ภิกฺขุ คเณฺหยฺย, โส ภเว ปาราชิโกติ อโตฺถฯ เอวํ เสเสสุปิฯ หเรยฺยาติ เวตเนน วา มิตฺตภาเวน วา อญฺญสฺส ภณฺฑํ หรโนฺต ปุน เถยฺยจิเตฺต อุปฺปเนฺน ‘‘สีเส ภารํ เถยฺยจิโตฺต อามสตี’’ติอาทินา คเณฺหยฺยาติ อโตฺถฯ อวหเรยฺยาติ ‘‘อุปนิกฺขิตฺตํ ภณฺฑํ ‘เทหิ เม ภณฺฑ’นฺติ วุจฺจมาโน ‘นาหํ คณฺหามี’’ติอาทินา อวหเรยฺยฯ อิริยาปถํ โกเปยฺยาติ ‘‘สหภณฺฑหารกํ เนสฺสามี’’ติ เตเนว ปุริเสน ตํ เนตุํ ตสฺส คมนปถํ วาเรตฺวา อเญฺญน มเคฺคน ตํ สนฺตเชฺชตฺวา เนติ, เอวํ เนนฺตสฺส ตสฺส ปุริสสฺส ปฐมปาเท ถุลฺลจฺจยํ, ทุติยปาทุทฺธาเร ปาราชิกํฯ ‘‘ถลฎฺฐํ ภณฺฑํ เถยฺยจิโตฺต อามสตี’’ติอาทินา ฐานา จาเวยฺยฯ ปริกปฺปิตฎฺฐานํ วา สุงฺกฆาตํ วา อติกฺกาเมโนฺต สเงฺกตํ วีตินาเมยฺยฯ ยํ กิญฺจิ ปรปริคฺคหิตํ สสฺสามิกํ ภณฺฑํ เตหิ สามิเกหิ กาเยน วา วาจาย วา น ทินฺนนฺติ อทินฺนํ

    3-4. Idāni dutiyaṃ dassetuṃ ‘‘ādiyeyyā’’tiādimāha. ‘‘Ādiyeyyā’’tiādīnaṃ padānaṃ ‘‘adinnaṃ theyyacittena bhave pārājiko’’ti iminā sambandho. Ādiyeyyāti ārāmādiṃ abhiyuñjitvā yo bhikkhu gaṇheyya, so bhave pārājikoti attho. Evaṃ sesesupi. Hareyyāti vetanena vā mittabhāvena vā aññassa bhaṇḍaṃ haranto puna theyyacitte uppanne ‘‘sīse bhāraṃ theyyacitto āmasatī’’tiādinā gaṇheyyāti attho. Avahareyyāti ‘‘upanikkhittaṃ bhaṇḍaṃ ‘dehi me bhaṇḍa’nti vuccamāno ‘nāhaṃ gaṇhāmī’’tiādinā avahareyya. Iriyāpathaṃ kopeyyāti ‘‘sahabhaṇḍahārakaṃ nessāmī’’ti teneva purisena taṃ netuṃ tassa gamanapathaṃ vāretvā aññena maggena taṃ santajjetvā neti, evaṃ nentassa tassa purisassa paṭhamapāde thullaccayaṃ, dutiyapāduddhāre pārājikaṃ. ‘‘Thalaṭṭhaṃ bhaṇḍaṃ theyyacitto āmasatī’’tiādinā ṭhānā cāveyya. Parikappitaṭṭhānaṃ vā suṅkaghātaṃ vā atikkāmento saṅketaṃ vītināmeyya. Yaṃ kiñci parapariggahitaṃ sassāmikaṃ bhaṇḍaṃ tehi sāmikehi kāyena vā vācāya vā na dinnanti adinnaṃ.

    อิทานิ น อิมินาว อากาเรน อวหารโก ปาราชิโก โหติ, อญฺญถาปิ โหตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เถยฺยาวหารโก จ พลาวหารโก จ กุสาวหารโก จ ปฎิจฺฉนฺนาวหารโก จ ปริกปฺปาวหารโก จ ภเว ปาราชิโกติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ เถยฺยาวหาโร นาม สนฺธิเจฺฉทาทีหิ วา กํสกูฎมานกูฎตุลากูฎาทีหิ วา วเญฺจตฺวา คหณํฯ ปสยฺหาวหาโร พลาวหาโรฯ กุสสงฺกมนํ กตฺวา ปรโกฎฺฐาสคฺคหณํ กุสาวหาโรฯ ปรภณฺฑํ ปํสุอาทินา ปฎิจฺฉาเทตฺวา สามิเกสุ อปสฺสิตฺวา คเตสุ ปจฺจาคนฺตฺวา คหณํ ปฎิจฺฉนฺนาวหาโรฯ ปริกปฺปาวหาโร ปน ทุวิโธ ภโณฺฑกาสวเสนฯ ตตฺถ ‘‘สาฎโก เจ, คณฺหิสฺสามิ, สุตฺตเญฺจ, น คณฺหิสฺสามี’’ติ ภณฺฑํ ปริกเปฺปตฺวา อนฺธกาเร ปสิพฺพกํ คณฺหาติฯ ตตฺถ เจ สาฎโก โหติ, อุทฺธาเรเยว ปาราชิกํฯ สเจ สุตฺตํ โหติ, รกฺขติ, ปุน ‘‘สุตฺต’’นฺติ ญตฺวาปิ ‘‘ยํ ลทฺธํ, ตํ คเหตพฺพ’’นฺติ อุคฺคณฺหโนฺต อุทฺธาเรเยว ปาราชิกํ, อยํ ภณฺฑปริกโปฺปฯ โอกาสปริกโปฺป คพฺภทฺวารปฺปมุขวิหาราทีนํ วเสน ปริเจฺฉทํ กโรติ ‘‘สเจ มํ เอตฺถนฺตเร ปสฺสนฺติ, ทสฺสามิ, โน เจ ปสฺสนฺติ, คณฺหิตฺวา คจฺฉามี’’ติ, ตสฺส ตํ ปริกปฺปิตปริเจฺฉทํ อติกฺกมนฺตสฺส ปทวาเรน ปาราชิกํ เวทิตพฺพํ, อยํ โอกาสปริกโปฺป

    Idāni na imināva ākārena avahārako pārājiko hoti, aññathāpi hotīti dassetuṃ ‘‘atha vā’’tiādi vuttaṃ. Theyyāvahārako ca balāvahārako ca kusāvahārako ca paṭicchannāvahārako ca parikappāvahārako ca bhave pārājikoti sambandho. Tattha theyyāvahāro nāma sandhicchedādīhi vā kaṃsakūṭamānakūṭatulākūṭādīhi vā vañcetvā gahaṇaṃ. Pasayhāvahāro balāvahāro. Kusasaṅkamanaṃ katvā parakoṭṭhāsaggahaṇaṃ kusāvahāro. Parabhaṇḍaṃ paṃsuādinā paṭicchādetvā sāmikesu apassitvā gatesu paccāgantvā gahaṇaṃ paṭicchannāvahāro. Parikappāvahāro pana duvidho bhaṇḍokāsavasena. Tattha ‘‘sāṭako ce, gaṇhissāmi, suttañce, na gaṇhissāmī’’ti bhaṇḍaṃ parikappetvā andhakāre pasibbakaṃ gaṇhāti. Tattha ce sāṭako hoti, uddhāreyeva pārājikaṃ. Sace suttaṃ hoti, rakkhati, puna ‘‘sutta’’nti ñatvāpi ‘‘yaṃ laddhaṃ, taṃ gahetabba’’nti uggaṇhanto uddhāreyeva pārājikaṃ, ayaṃ bhaṇḍaparikappo. Okāsaparikappo gabbhadvārappamukhavihārādīnaṃ vasena paricchedaṃ karoti ‘‘sace maṃ etthantare passanti, dassāmi, no ce passanti, gaṇhitvā gacchāmī’’ti, tassa taṃ parikappitaparicchedaṃ atikkamantassa padavārena pārājikaṃ veditabbaṃ, ayaṃ okāsaparikappo.

    อิทานิ อิมสฺมิํ อทินฺนาทาเน วินิจฺฉยนยํ ทเสฺสตุํ ‘‘ภณฺฑกาลคฺฆเทเสหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอตฺถาติ อทินฺนาทาเนฯ นิจฺฉโยติ วินิจฺฉโย กาตโพฺพติ อโตฺถฯ ตตฺถ เกนจิ ภิกฺขุนา ‘‘มยา อิทํ นาม ภณฺฑํ เถยฺยจิเตฺตน คหิต’’นฺติ วุเตฺต วินยธเรน สหสาว ตํ อาปตฺติํ อนาโรเปตฺวา ตสฺส ภณฺฑสฺส สามิกอสฺสามิกภาวํ อุปปริกฺขิตฺวา ยทิ สสฺสามิกํ, ตสฺส ภณฺฑสฺส อคฺฆวเสน อาปตฺติยา กาเรตโพฺพฯ สเจ นิราลยกาเล คหิตํ , ปาราชิเกน น กาเรตโพฺพ, อยํ ภณฺฑวเสน วินิจฺฉโยฯ

    Idāni imasmiṃ adinnādāne vinicchayanayaṃ dassetuṃ ‘‘bhaṇḍakālagghadesehī’’tiādi vuttaṃ. Etthāti adinnādāne. Nicchayoti vinicchayo kātabboti attho. Tattha kenaci bhikkhunā ‘‘mayā idaṃ nāma bhaṇḍaṃ theyyacittena gahita’’nti vutte vinayadharena sahasāva taṃ āpattiṃ anāropetvā tassa bhaṇḍassa sāmikaassāmikabhāvaṃ upaparikkhitvā yadi sassāmikaṃ, tassa bhaṇḍassa agghavasena āpattiyā kāretabbo. Sace nirālayakāle gahitaṃ , pārājikena na kāretabbo, ayaṃ bhaṇḍavasena vinicchayo.

    กาโลติ อวหารกาโลฯ ตเทว หิ ภณฺฑํ กทาจิ มหคฺฆํ โหติ, กทาจิ อปฺปคฺฆํ, ตสฺมา ยสฺมิํ กาเล อวหฎํ, ตสฺมิํ กาเล โย ตสฺส อโคฺฆ, เตน อเคฺฆน อาปตฺติยา กาเรตโพฺพ, อยํ กาลวเสน วินิจฺฉโยฯ

    Kāloti avahārakālo. Tadeva hi bhaṇḍaṃ kadāci mahagghaṃ hoti, kadāci appagghaṃ, tasmā yasmiṃ kāle avahaṭaṃ, tasmiṃ kāle yo tassa aggho, tena agghena āpattiyā kāretabbo, ayaṃ kālavasena vinicchayo.

    อโคฺฆติ ภณฺฑโคฺฆฯ นวภณฺฑสฺส หิ โย อโคฺฆ, โส ปจฺฉา ปริหายติ, ตสฺมา สพฺพทา ภณฺฑํ ปกติอคฺฆวเสเนว น กาเรตพฺพํ, อยํ อคฺฆวเสน วินิจฺฉโยฯ เทโสติ อวหารเทโสฯ ภณฺฑุฎฺฐานเทเส หิ ภณฺฑํ อปฺปคฺฆํ โหติ, อญฺญตฺถ มหคฺฆํ, ตสฺมา ยสฺมิํ เทเส ภณฺฑํ อวหฎํ, ตสฺมิํเยว เทเส อเคฺฆน กาเรตโพฺพ, อยํ เทสวเสน วินิจฺฉโยฯ

    Agghoti bhaṇḍaggho. Navabhaṇḍassa hi yo aggho, so pacchā parihāyati, tasmā sabbadā bhaṇḍaṃ pakatiagghavaseneva na kāretabbaṃ, ayaṃ agghavasena vinicchayo. Desoti avahāradeso. Bhaṇḍuṭṭhānadese hi bhaṇḍaṃ appagghaṃ hoti, aññattha mahagghaṃ, tasmā yasmiṃ dese bhaṇḍaṃ avahaṭaṃ, tasmiṃyeva dese agghena kāretabbo, ayaṃ desavasena vinicchayo.

    ปริโภเคนปิ สาฎกาทิกสฺส ภณฺฑสฺส อโคฺฆ ปริหายติ, ตสฺมา ตสฺส ปริโภควเสน ปริหีนาปริหีนภาโว อุปปริกฺขิตโพฺพ, อยํ ปริโภควเสน วินิจฺฉโยฯ

    Paribhogenapi sāṭakādikassa bhaṇḍassa aggho parihāyati, tasmā tassa paribhogavasena parihīnāparihīnabhāvo upaparikkhitabbo, ayaṃ paribhogavasena vinicchayo.

    ทุติยํฯ

    Dutiyaṃ.

    . อิทานิ ตติยํ ทเสฺสตุํ ‘‘มนุสฺสวิคฺคห’’นฺติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ มนุสฺสวิคฺคหนฺติ ปฎิสนฺธิวิญฺญาเณน สทฺธิํ อุปฺปนฺนํ กลลรูปํ อาทิํ กตฺวา ปกติยา วีสติวสฺสสตายุกสฺส สตฺตสฺส ยาว มรณกาลา เอตฺถนฺตเร อนุปุเพฺพน วุทฺธิปฺปโตฺต อตฺตภาโว, เอโส มนุสฺสวิคฺคโห นาม, เอวรูปํ มนุสฺสวิคฺคหนฺติ อโตฺถฯ จิจฺจาติ วธกเจตนาวเสน สเญฺจเตตฺวา ปกเปฺปตฺวา อภิวิตริตฺวา วีติกฺกโมติ อโตฺถฯ ชีวิตา วา วิโยชเยติ วุตฺตปฺปการํ มนุสฺสวิคฺคหํ กลลกาเลปิ ตาปนมทฺทเนหิ วา เภสชฺชสมฺปทาเนน วา ตโต วา อุทฺธมฺปิ ตทนุรูเปน อุปกฺกเมน สนฺตติวิโกปนวเสน โย ชีวิตา วิโยเชยฺย, โส จุโต ภเวติ สมฺพโนฺธฯ กิญฺจ ภิโยฺย – ‘‘สตฺถหารกํ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอตฺถ หรตีติ หารกํ, กิํ หรติ? ชีวิตํ, หริตพฺพนฺติ วา หารกํ, อุปนิกฺขิปิตพฺพนฺติ อโตฺถ, สตฺถญฺจ ตํ หารกญฺจาติ สตฺถหารกํฯ อสฺสาติ มนุสฺสวิคฺคหสฺสฯ ยถา มนุสฺสวิคฺคโห อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ ตํ อสิอาทิสตฺถํ ปฎิลภติ, ตถา สยํ มรณเจตโน มรณาธิปฺปาโย หุตฺวา อุปนิกฺขิเปยฺยฯ โสปิ จุโต ภเวติ อโตฺถฯ เอเตน ถาวรปฺปโยคํ ทเสฺสติฯ

    5. Idāni tatiyaṃ dassetuṃ ‘‘manussaviggaha’’ntiādi āraddhaṃ. Tattha manussaviggahanti paṭisandhiviññāṇena saddhiṃ uppannaṃ kalalarūpaṃ ādiṃ katvā pakatiyā vīsativassasatāyukassa sattassa yāva maraṇakālā etthantare anupubbena vuddhippatto attabhāvo, eso manussaviggaho nāma, evarūpaṃ manussaviggahanti attho. Ciccāti vadhakacetanāvasena sañcetetvā pakappetvā abhivitaritvā vītikkamoti attho. Jīvitā vā viyojayeti vuttappakāraṃ manussaviggahaṃ kalalakālepi tāpanamaddanehi vā bhesajjasampadānena vā tato vā uddhampi tadanurūpena upakkamena santativikopanavasena yo jīvitā viyojeyya, so cuto bhaveti sambandho. Kiñca bhiyyo – ‘‘satthahārakaṃ vā’’tiādi vuttaṃ. Ettha haratīti hārakaṃ, kiṃ harati? Jīvitaṃ, haritabbanti vā hārakaṃ, upanikkhipitabbanti attho, satthañca taṃ hārakañcāti satthahārakaṃ. Assāti manussaviggahassa. Yathā manussaviggaho icchiticchitakkhaṇe taṃ asiādisatthaṃ paṭilabhati, tathā sayaṃ maraṇacetano maraṇādhippāyo hutvā upanikkhipeyya. Sopi cuto bhaveti attho. Etena thāvarappayogaṃ dasseti.

    ๖-๗. อิทานิ ‘‘มรณวณฺณํ วา สํวเณฺณยฺยา’’ติอาทิวิธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘คาเหยฺย มรณูปายํ, วเทยฺย มรเณ คุณ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘สตฺถํ วา อาหร, วิสํ วา ขาท, รชฺชุยา วา อุพฺพนฺธิตฺวา กาลํ กโรหี’’ติอาทินา นเยน มรณตฺถาย อุปายํ คาเหยฺยฯ มรณสํวณฺณนา ปเนตฺถ พหุวิธา ‘‘กาเยน สํวเณฺณติ, วาจาย กายวาจาย ทูเตน เลขาย วา สํวเณฺณตี’’ติ วุตฺตตฺตาฯ ตตฺถ กาเยน สํวเณฺณติ นาม กาเยน วิญฺญาเปติฯ ‘‘โย ปปาเต ปปตนาทีนิ กตฺวา มรติ, โส ธนํ วา ลภติ, ยสํ วา ลภติ, สคฺคํ วา คจฺฉตี’’ติอาทินา นเยน สํวเณฺณติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ตสฺส วจนํ สุตฺวา โกจิ ‘‘มริสฺสามี’’ติ ทุกฺขํ เวทนํ อุปฺปาเทติ, ถุลฺลจฺจยํฯ มรติ เจ, ปาราชิกํฯ เอวํ เสเสสุปิฯ ทูเตน สํวณฺณนายํ ปน ทูตสฺส สาสนํ อาโรจาเปติ ‘‘เอวํ อาโรเจหี’’ติ, ‘‘โย เอวํ มรติ, โส ธนํ วา ลภตี’’ติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ เลขาย สํวเณฺณติ นาม คิริปพฺพตปุราณาทิเลขํ ลิขติ, ‘‘โย เอวํ มรตี’’ติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ เอตฺถาปิ โย มรณูปายํ วา คาเหยฺย, มรเณ วา คุณํ วเทยฺย, โส จุโต ภเวติ สมฺพโนฺธฯ

    6-7. Idāni ‘‘maraṇavaṇṇaṃ vā saṃvaṇṇeyyā’’tiādividhiṃ dassetuṃ ‘‘gāheyya maraṇūpāyaṃ, vadeyya maraṇe guṇa’’nti vuttaṃ. Tattha ‘‘satthaṃ vā āhara, visaṃ vā khāda, rajjuyā vā ubbandhitvā kālaṃ karohī’’tiādinā nayena maraṇatthāya upāyaṃ gāheyya. Maraṇasaṃvaṇṇanā panettha bahuvidhā ‘‘kāyena saṃvaṇṇeti, vācāya kāyavācāya dūtena lekhāya vā saṃvaṇṇetī’’ti vuttattā. Tattha kāyena saṃvaṇṇeti nāma kāyena viññāpeti. ‘‘Yo papāte papatanādīni katvā marati, so dhanaṃ vā labhati, yasaṃ vā labhati, saggaṃ vā gacchatī’’tiādinā nayena saṃvaṇṇeti, āpatti dukkaṭassa. Tassa vacanaṃ sutvā koci ‘‘marissāmī’’ti dukkhaṃ vedanaṃ uppādeti, thullaccayaṃ. Marati ce, pārājikaṃ. Evaṃ sesesupi. Dūtena saṃvaṇṇanāyaṃ pana dūtassa sāsanaṃ ārocāpeti ‘‘evaṃ ārocehī’’ti, ‘‘yo evaṃ marati, so dhanaṃ vā labhatī’’ti sabbaṃ purimasadisameva. Lekhāya saṃvaṇṇeti nāma giripabbatapurāṇādilekhaṃ likhati, ‘‘yo evaṃ maratī’’tiādi vuttanayameva. Etthāpi yo maraṇūpāyaṃ vā gāheyya, maraṇe vā guṇaṃ vadeyya, so cuto bhaveti sambandho.

    อิทานิ ปน อิมสฺส มนุสฺสวิคฺคหสฺส ฉพฺพิเธ ปโยเค ทเสฺสตุํ ‘‘ปโยคา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ สาหตฺถิกนิสฺสคฺคิกอาณตฺติกถาวรอิทฺธิมยวิชฺชามยานํ วเสน ตสฺส มนุสฺสวิคฺคหสฺส ฉปฺปโยคาติ อธิปฺปาโยฯ ตตฺถ สาหตฺถิโกติ สยํ มาเรนฺตสฺส กาเยน วา กายปฺปฎิพเทฺธน วา ปหรณํฯ นิสฺสคฺคิโกติ ทูเร ฐิตํ มาเรตุกามสฺส กายาทีหิ อุสุสตฺติยนฺตปาสาณาทีนํ นิสฺสชฺชนํฯ อาณตฺติโกติ ‘‘อสุกํ นาม มาเรหี’’ติ อญฺญํ อาณาเปนฺตสฺส อาณาปนํฯ ถาวโรติ โอปาตกฺขณนํ, อปเสฺสนสํวิธานํ, อสิอาทีนํ อุปนิกฺขิปนํ, ตฬากาทีสุ วิสสมฺปโยชนํ, รูปูปหาโรติ เอวมาทิฯ กมฺมวิปากชาย อิทฺธิยา ปโยชนํ อิทฺธิปโยคํฯ มารณตฺถาย วิชฺชานํ ปริชปฺปนํ วิชฺชามโยติฯ

    Idāni pana imassa manussaviggahassa chabbidhe payoge dassetuṃ ‘‘payogā’’tiādi āraddhaṃ. Sāhatthikanissaggikaāṇattikathāvaraiddhimayavijjāmayānaṃ vasena tassa manussaviggahassa chappayogāti adhippāyo. Tattha sāhatthikoti sayaṃ mārentassa kāyena vā kāyappaṭibaddhena vā paharaṇaṃ. Nissaggikoti dūre ṭhitaṃ māretukāmassa kāyādīhi ususattiyantapāsāṇādīnaṃ nissajjanaṃ. Āṇattikoti ‘‘asukaṃ nāma mārehī’’ti aññaṃ āṇāpentassa āṇāpanaṃ. Thāvaroti opātakkhaṇanaṃ, apassenasaṃvidhānaṃ, asiādīnaṃ upanikkhipanaṃ, taḷākādīsu visasampayojanaṃ, rūpūpahāroti evamādi. Kammavipākajāya iddhiyā payojanaṃ iddhipayogaṃ. Māraṇatthāya vijjānaṃ parijappanaṃ vijjāmayoti.

    อิทานิ อิเมสุ ฉสุ ปโยเคสุ อาณตฺติยํ สเงฺกตวิสเงฺกตตํ ทเสฺสตุํ ‘‘กาลวตฺถาวุธิริยาปถา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ กาโลติ ปุพฺพณฺหสายนฺหาทิกาโล จ โยพฺพนถาวริยาทิกาโลปิ จฯ อิเมสุ ยํ กิญฺจิ กาลํ นิยเมตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ นาม กาเล มาเรหี’’ติ อาณโตฺต สเจ ตสฺมิํเยว กาเล มาเรติ, อาณตฺติกฺขเณเยว ปาราชิกํฯ สเจ นิยมิตกาลโต ปุเร วา ปจฺฉา วา มาเรติ, อาณาปโก มุจฺจติฯ วตฺถูติ มาเรตโพฺพ ปุคฺคโลฯ สเจ อาณโตฺต ตเมว มาเรติ, อาณาปกสฺส อาณตฺติกฺขเณเยว ปาราชิกํฯ อถ อญฺญํ มาเรติ, อาณาปโก มุจฺจติฯ เอวํ เสเสสุปิ วุตฺตนเยเนว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ อาวุธนฺติ อสิอาทิฯ อิริยาปโถติ มาเรตพฺพสฺส คมนํ วา นิสชฺชา วาติ เอวมาทิโกฯ กิริยาวิเสโสติ วิชฺฌนํ วา เฉทนํ วา เภทนํ วา สูลาโรปนํ วาติ เอวมาทิโกฯ โอกาโสติ คาโม วา วนํ วา เคหํ วาติ เอวมาทิโกฯ อิเมสุ ยถา ยถา วธโก อาณโตฺต, ตถา ตถา กเต อาณาปกสฺส อาปตฺติ, อญฺญถา กเต วิสเงฺกโต โหติฯ อาณตฺติยํ ปน อยํ วิเสโส ‘‘อธิฎฺฐายาติ อธิฎฺฐหิตฺวา อาณาเปติ ‘เอวํ วิชฺฌ, เอวํ ปหร, เอวํ ฆาเตหี’’ติ วุตฺตาย ปาฬิยา ลพฺภตีติ ญาตโพฺพฯ

    Idāni imesu chasu payogesu āṇattiyaṃ saṅketavisaṅketataṃ dassetuṃ ‘‘kālavatthāvudhiriyāpathā’’tiādimāha. Tattha kāloti pubbaṇhasāyanhādikālo ca yobbanathāvariyādikālopi ca. Imesu yaṃ kiñci kālaṃ niyametvā ‘‘imasmiṃ nāma kāle mārehī’’ti āṇatto sace tasmiṃyeva kāle māreti, āṇattikkhaṇeyeva pārājikaṃ. Sace niyamitakālato pure vā pacchā vā māreti, āṇāpako muccati. Vatthūti māretabbo puggalo. Sace āṇatto tameva māreti, āṇāpakassa āṇattikkhaṇeyeva pārājikaṃ. Atha aññaṃ māreti, āṇāpako muccati. Evaṃ sesesupi vuttanayeneva vinicchayo veditabbo. Āvudhanti asiādi. Iriyāpathoti māretabbassa gamanaṃ vā nisajjā vāti evamādiko. Kiriyāvisesoti vijjhanaṃ vā chedanaṃ vā bhedanaṃ vā sūlāropanaṃ vāti evamādiko. Okāsoti gāmo vā vanaṃ vā gehaṃ vāti evamādiko. Imesu yathā yathā vadhako āṇatto, tathā tathā kate āṇāpakassa āpatti, aññathā kate visaṅketo hoti. Āṇattiyaṃ pana ayaṃ viseso ‘‘adhiṭṭhāyāti adhiṭṭhahitvā āṇāpeti ‘evaṃ vijjha, evaṃ pahara, evaṃ ghātehī’’ti vuttāya pāḷiyā labbhatīti ñātabbo.

    ตติยํฯ

    Tatiyaṃ.

    ๘-๙. อิทานิ จตุตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ฌานาทิเภท’’นฺติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ‘‘ฌานํ วิโมโกฺข สมาธิ สมาปตฺติ ญาณทสฺสนํ มคฺคภาวนา ผลสจฺฉิกิริยา กิเลสปฺปหานํ วินีวรณตา จิตฺตสฺส สุญฺญาคาเร อภิรตี’’ติ เอวํ วุตฺตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อตฺตนิ นตฺถิตาย โนสนฺตํ ‘‘มยิ อตฺถี’’ติ อตฺตนิ วา ตํ ‘‘อหํ เอตฺถ สนฺทิสฺสามี’’ติ อตฺตานํ วา ตตฺถ อุปเนตฺวา ทีเปโนฺต จุโต ภเวฯ โกฎฺฐาสํ วาติ เอตฺถ ‘‘ฌานลาภี, วิโมกฺขลาภี, สมาธิลาภี, สมาปตฺติลาภีมฺหี’’ติ เอวมาทินา นเยน โกฎฺฐาสโต วาติ อโตฺถฯ เอเกกํ วาติ ‘‘ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภี, ทุติยสฺส ฌานสฺส ลาภีมฺหี’’ติ เอวมาทินา นเยน เอเกกํ วาติ อโตฺถฯ ‘‘อตีตภเว โสตาปโนฺนมฺหี’’ติ วทโต อตีตภวํ สนฺธาย กถิตตฺตา ปาราชิกํ นตฺถิ, ตสฺมา ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนภวสฺสิต’’นฺติ วุตฺตํ, ตสฺส ปจฺจุปฺปนฺนภวนิสฺสิตํ กตฺวาติ อโตฺถฯ อญฺญาปเทสรหิตนฺติ ‘‘โย เต วิหาเร วสติ, โส ภิกฺขุ ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภี’’ติอาทินา นเยน อญฺญาปเทสํ วินาติ อโตฺถฯ เอวํ ทีเปโนฺต หิ ถุลฺลจฺจยมาปชฺชติฯ ทีเปโนฺตติ ‘‘ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชิํ, สมาปชฺชามิ, สมาปโนฺน, ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภีมฺหิ, วสีมฺหิ, สจฺฉิกตํ อสฺสา’’ติ เอวมาทินา นเยน ทีเปโนฺตติ อโตฺถฯ ‘‘อธิคโต’’ติ มาโน อธิมาโน, โส ยสฺส นตฺถิ, โส อนธิมานิโกฯ เกน เอวํ ทีเปโนฺตติ เจ? ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘กาเยน วาจา’’ติอาทิ วุตฺตํ , กาเยน วา วาจาย วา ตทุภเยน วาติ อโตฺถฯ วิญฺญตฺติปเถติ ยตฺถ ฐิโต มนุสฺสชาติโก คหโฎฺฐ วา ปพฺพชิโต วา ตสฺส วจนํ ปกติโสเตน สุตฺวา สมนนฺตรเมว ‘‘อิมํ นาม เอส วทตี’’ติ ชานาติ, ตตฺถ ฐตฺวา ทีเปโนฺต จุโต ภเว, น เทวพฺรหฺมาทีสุ อญฺญตเรน ญาเตติ อโตฺถฯ

    8-9. Idāni catutthaṃ dassetuṃ ‘‘jhānādibheda’’ntiādimāha. Tassattho – ‘‘jhānaṃ vimokkho samādhi samāpatti ñāṇadassanaṃ maggabhāvanā phalasacchikiriyā kilesappahānaṃ vinīvaraṇatā cittassa suññāgāre abhiratī’’ti evaṃ vuttaṃ uttarimanussadhammaṃ attani natthitāya nosantaṃ ‘‘mayi atthī’’ti attani vā taṃ ‘‘ahaṃ ettha sandissāmī’’ti attānaṃ vā tattha upanetvā dīpento cuto bhave. Koṭṭhāsaṃ vāti ettha ‘‘jhānalābhī, vimokkhalābhī, samādhilābhī, samāpattilābhīmhī’’ti evamādinā nayena koṭṭhāsato vāti attho. Ekekaṃ vāti ‘‘paṭhamassa jhānassa lābhī, dutiyassa jhānassa lābhīmhī’’ti evamādinā nayena ekekaṃ vāti attho. ‘‘Atītabhave sotāpannomhī’’ti vadato atītabhavaṃ sandhāya kathitattā pārājikaṃ natthi, tasmā ‘‘paccuppannabhavassita’’nti vuttaṃ, tassa paccuppannabhavanissitaṃ katvāti attho. Aññāpadesarahitanti ‘‘yo te vihāre vasati, so bhikkhu paṭhamassa jhānassa lābhī’’tiādinā nayena aññāpadesaṃ vināti attho. Evaṃ dīpento hi thullaccayamāpajjati. Dīpentoti ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajjiṃ, samāpajjāmi, samāpanno, paṭhamassa jhānassa lābhīmhi, vasīmhi, sacchikataṃ assā’’ti evamādinā nayena dīpentoti attho. ‘‘Adhigato’’ti māno adhimāno, so yassa natthi, so anadhimāniko. Kena evaṃ dīpentoti ce? Taṃ dassetuṃ ‘‘kāyena vācā’’tiādi vuttaṃ , kāyena vā vācāya vā tadubhayena vāti attho. Viññattipatheti yattha ṭhito manussajātiko gahaṭṭho vā pabbajito vā tassa vacanaṃ pakatisotena sutvā samanantarameva ‘‘imaṃ nāma esa vadatī’’ti jānāti, tattha ṭhatvā dīpento cuto bhave, na devabrahmādīsu aññatarena ñāteti attho.

    จตุตฺถํฯ

    Catutthaṃ.

    ๑๐. อิทานิ จตุนฺนมฺปิ สาธารณวินิจฺฉยํ วตฺตุํ ‘‘ปาราชิเกเต จตฺตาโร’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถายํ สเงฺขโป – จตฺตาโรปิ เอเต ปาราชิกา ‘‘เอกกมฺมํ เอกุเทฺทโส สมสิกฺขตา’’ติ เอวํ วุตฺตสํวาสสฺส อภพฺพตาย อสํวาสา, ยถาปุเร ปุเพฺพ คิหิกาเล จ อนุปสมฺปนฺนกาเล จ อสํวาสิกา, เอวํ ปจฺฉา ปาราชิกํ อาปนฺนาปิ อสํวาสาติฯ กิญฺจ ภิโยฺย – อภพฺพา ภิกฺขุภาวาย ปุน เตน อตฺตภาเวน อุปสมฺปทาย อวตฺถุตาย อุปสมฺปนฺนา ภวิตุมฺปิ อภพฺพาติ อโตฺถฯ กิํ วิยาติ เจ? สีสจฺฉิโนฺนว ชีวิตุํ, ยถาปิ สีสจฺฉิโนฺน เตน อตฺตภาเวน ปุน ชีวิตุํ อภโพฺพ, เอวมิเม จตฺตาโรติ อธิปฺปาโยฯ

    10. Idāni catunnampi sādhāraṇavinicchayaṃ vattuṃ ‘‘pārājikete cattāro’’tiādimāha. Tatthāyaṃ saṅkhepo – cattāropi ete pārājikā ‘‘ekakammaṃ ekuddeso samasikkhatā’’ti evaṃ vuttasaṃvāsassa abhabbatāya asaṃvāsā, yathāpure pubbe gihikāle ca anupasampannakāle ca asaṃvāsikā, evaṃ pacchā pārājikaṃ āpannāpi asaṃvāsāti. Kiñca bhiyyo – abhabbā bhikkhubhāvāya puna tena attabhāvena upasampadāya avatthutāya upasampannā bhavitumpi abhabbāti attho. Kiṃ viyāti ce? Sīsacchinnova jīvituṃ, yathāpi sīsacchinno tena attabhāvena puna jīvituṃ abhabbo, evamime cattāroti adhippāyo.

    ๑๑. อิทานิ อิเมสุ จตูสุ ปาราชิเกสุ เย ปริยายาณตฺตีหิ สมฺภวนฺติ, เต ทเสฺสตุํ ‘‘ปริยาโย จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปริยาโยติ มรณาธิปฺปายสฺส กายปโยโค วา วจีปโยโค วาฯ ตสฺมา ‘‘โย อีทิเส มุหุเตฺต สตฺถํ วา อาหริตฺวา วิสํ วา ขาทิตฺวา โสพฺภาทีสุ วา ปปติตฺวา มรติ, โส ธนํ วา ลภติ, ยสํ วา ลภตี’’ติอาทินา นเยน มรณํ อภินนฺทโนฺต ‘‘อิทํ สุตฺวา โย โกจิ มรตู’’ติ โย ปริยาเยน วทติ, ตํ สุตฺวา สเจ โกจิ ตถา มรติ, ปาราชิกํฯ นิยมิเตน ปน ยํ สนฺธาย วุตฺตํ, ตเสฺสว มรเณ ปาราชิกํฯ อาณตฺติ ปน วุตฺตตฺถาเยวฯ ตติเย มนุสฺสวิคฺคหปาราชิเก ลพฺภตีติ สมฺพโนฺธฯ ทุติเย ปน อทินฺนาทาเน อาณตฺติ เอว ลพฺภติ, น ปริยาโยติ อโตฺถฯ กสฺมา นํ ปริยาเยน นาปชฺชตีติ? ยถา มนุสฺสวิคฺคเห ‘‘มรณวณฺณํ วา สํวเณฺณยฺยา’’ติ วุตฺตํ, ตถา อิธ อทินฺนาทาเน ‘‘วณฺณํ วา สํวเณฺณยฺยา’’ติ อวุตฺตตฺตาฯ เสเสสูติ ปฐมจตุเตฺถสุ ปริยายาณตฺติทฺวยํ น ลพฺภตีติ อโตฺถฯ

    11. Idāni imesu catūsu pārājikesu ye pariyāyāṇattīhi sambhavanti, te dassetuṃ ‘‘pariyāyo cā’’tiādi vuttaṃ. Tattha pariyāyoti maraṇādhippāyassa kāyapayogo vā vacīpayogo vā. Tasmā ‘‘yo īdise muhutte satthaṃ vā āharitvā visaṃ vā khāditvā sobbhādīsu vā papatitvā marati, so dhanaṃ vā labhati, yasaṃ vā labhatī’’tiādinā nayena maraṇaṃ abhinandanto ‘‘idaṃ sutvā yo koci maratū’’ti yo pariyāyena vadati, taṃ sutvā sace koci tathā marati, pārājikaṃ. Niyamitena pana yaṃ sandhāya vuttaṃ, tasseva maraṇe pārājikaṃ. Āṇatti pana vuttatthāyeva. Tatiye manussaviggahapārājike labbhatīti sambandho. Dutiye pana adinnādāne āṇatti eva labbhati, na pariyāyoti attho. Kasmā naṃ pariyāyena nāpajjatīti? Yathā manussaviggahe ‘‘maraṇavaṇṇaṃ vā saṃvaṇṇeyyā’’ti vuttaṃ, tathā idha adinnādāne ‘‘vaṇṇaṃ vā saṃvaṇṇeyyā’’ti avuttattā. Sesesūti paṭhamacatutthesu pariyāyāṇattidvayaṃ na labbhatīti attho.

    ๑๒. อิทานิ จตูสุปิ ยถาสมฺภวํ องฺคเภทํ ทเสฺสตุํ ‘‘เสเวตุกามตาจิตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เมถุนธมฺมสฺสาติ เมถุนธมฺมปาราชิกสฺสฯ พุธาติ วินยธราฯ

    12. Idāni catūsupi yathāsambhavaṃ aṅgabhedaṃ dassetuṃ ‘‘sevetukāmatācitta’’ntiādi vuttaṃ. Tattha methunadhammassāti methunadhammapārājikassa. Budhāti vinayadharā.

    ๑๓. มนุสฺสสนฺติ มนุสฺสสนฺตกตาฯ เอเตน เปตติรจฺฉานคตปริคฺคเหสุ อนาปตฺตีติ ทีปิตํ โหติฯ ตถาสญฺญีติ มนุสฺสสนฺตกวเสน ปรปริคฺคหิตสญฺญีติ อโตฺถฯ วตฺถุโน ครุตาติ ปญฺจมาสกํ วา อติเรกปญฺจมาสกํ วา ตทคฺฆนกํ ภณฺฑํ วา โหตีติ อโตฺถฯ อวหาโร จาติ ปญฺจวีสติยา อวหาเรสุ เยน เกนจิ อวหาโร โหตีติ อโตฺถฯ อทินฺนาทานเหตุโยติ อทินฺนาทานปาราชิกสฺส เอตานิ ปญฺจ องฺคานีติ อธิปฺปาโยฯ

    13.Manussasanti manussasantakatā. Etena petatiracchānagatapariggahesu anāpattīti dīpitaṃ hoti. Tathāsaññīti manussasantakavasena parapariggahitasaññīti attho. Vatthuno garutāti pañcamāsakaṃ vā atirekapañcamāsakaṃ vā tadagghanakaṃ bhaṇḍaṃ vā hotīti attho. Avahāro cāti pañcavīsatiyā avahāresu yena kenaci avahāro hotīti attho. Adinnādānahetuyoti adinnādānapārājikassa etāni pañca aṅgānīti adhippāyo.

    ๑๔. ปาโณ มานุสฺสโกติ มนุสฺสชาติกปาโณฯ ตสฺมิํ ปาเณ ปาณสญฺญิตาฯ ฆาตเจตนาติ วธกเจตนาฯ ปโยโคติ ตํสมุฎฺฐิโต สาหตฺถิกาทีนํ ฉนฺนํ ปโยคานํ อญฺญตรปโยโคฯ เตน ปโยเคน มรณํฯ ปเญฺจเต วธเหตุโยติ มนุสฺสวิคฺคหปาราชิกสฺส ปญฺจ องฺคานีติ อโตฺถฯ

    14.Pāṇo mānussakoti manussajātikapāṇo. Tasmiṃ pāṇe pāṇasaññitā. Ghātacetanāti vadhakacetanā. Payogoti taṃsamuṭṭhito sāhatthikādīnaṃ channaṃ payogānaṃ aññatarapayogo. Tena payogena maraṇaṃ. Pañcete vadhahetuyoti manussaviggahapārājikassa pañca aṅgānīti attho.

    ๑๕. อสนฺตตาติ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส อตฺตนิ อสนฺตตา จาติ อโตฺถฯ ปาปมิจฺฉตายาโรจนาติ อิมินา โย เกวลํ ปาปมิจฺฉตํ วินา มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ภณติ, ตสฺส อนาปตฺตีติ ทีปิตํ โหติฯ ตสฺสาติ ยสฺส อาโรเจติ, ตสฺส มนุสฺสชาติตา จฯ ‘‘โย เต วิหาเร วสติ, โส ภิกฺขุ อรหา’’ติอาทินา (ปริ. ๑๖๐, ๓๓๖) นาญฺญาปเทโส จฯ ตเทวาติ ตทา เอว ตงฺขเณเยว ชานนํฯ อสนฺตทีปเนติ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาโรจนปาราชิเกติ อโตฺถฯ

    15.Asantatāti uttarimanussadhammassa attani asantatā cāti attho. Pāpamicchatāyārocanāti iminā yo kevalaṃ pāpamicchataṃ vinā mandattā momūhattā bhaṇati, tassa anāpattīti dīpitaṃ hoti. Tassāti yassa āroceti, tassa manussajātitā ca. ‘‘Yo te vihāre vasati, so bhikkhu arahā’’tiādinā (pari. 160, 336) nāññāpadeso ca. Tadevāti tadā eva taṅkhaṇeyeva jānanaṃ. Asantadīpaneti uttarimanussadhammārocanapārājiketi attho.

    ๑๖. อิทานิ ‘‘ปาราชิกา จ จตฺตาโร’’ติ เอตฺถ จ-สเทฺทน สงฺคหิเตหิ สทฺธิํ สโมธาเนตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อสาธารณา จตฺตาโร’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุพฺภชาณุมณฺฑลิกา วชฺชปฺปฎิจฺฉาทิกา อุกฺขิตฺตานุวตฺติกา อฎฺฐวตฺถุกาติ อิเม จตฺตาโร ภิกฺขุนีนํ ภิกฺขูหิ อสาธารณา นามฯ เอตาสุ อุพฺภชาณุมณฺฑลิกา นาม ยา กายสํสคฺคราเคน อวสฺสุตา เตเนว ราเคน อวสฺสุตสฺส มนุสฺสปุริสสฺส อกฺขกานํ อโธ, ชาณุมณฺฑลานํ กปฺปรานญฺจ อุปริ เยน เกนจิ สรีราวยเวน อามสนาทิํ สาทิยติ, ตสฺสา อธิวจนํฯ ยา ปน ภิกฺขุนี อญฺญิสฺสา ภิกฺขุนิยา ปาราชิกสงฺขาตํ วชฺชํ ชานํ ปฎิจฺฉาเทติ, สา วชฺชปฺปฎิจฺฉาทิกา นามฯ สมเคฺคน ปน สเงฺฆน อุกฺขิตฺตํ ภิกฺขุํ ยา ภิกฺขุนี ยํทิฎฺฐิโก โส โหติ, ตสฺสา ทิฎฺฐิยา คหณวเสน อนุวตฺตติ, สา อุกฺขิตฺตานุวตฺติกา นามฯ ยา ปน กายสํสคฺคราเคน ตินฺตา ตถาวิธเสฺสว ปุริสสฺส หตฺถคฺคหณํ วา สงฺฆาฎิกณฺณคฺคหณํ วา สาทิยติ, กายสํสคฺคสงฺขาตสฺส อสทฺธมฺมสฺส ปฎิเสวนตฺถาย ปุริสสฺส หตฺถปาเส สนฺติฎฺฐติ วา, ตตฺถ ฐตฺวา สลฺลปติ วา, สเงฺกตํ วา คจฺฉติ, ปุริสสฺส อาคมนํ วา สาทิยติ, เกนจิ วา ปฎิจฺฉโนฺนกาสํ ปวิสติ, หตฺถปาเส ฐตฺวา กายํ อุปสํหรติ, อยํ อฎฺฐวตฺถุกา นามาติ เวทิตพฺพาฯ

    16. Idāni ‘‘pārājikā ca cattāro’’ti ettha ca-saddena saṅgahitehi saddhiṃ samodhānetvā dassetuṃ ‘‘asādhāraṇā cattāro’’tiādi vuttaṃ. Tattha ubbhajāṇumaṇḍalikā vajjappaṭicchādikā ukkhittānuvattikā aṭṭhavatthukāti ime cattāro bhikkhunīnaṃ bhikkhūhi asādhāraṇā nāma. Etāsu ubbhajāṇumaṇḍalikā nāma yā kāyasaṃsaggarāgena avassutā teneva rāgena avassutassa manussapurisassa akkhakānaṃ adho, jāṇumaṇḍalānaṃ kapparānañca upari yena kenaci sarīrāvayavena āmasanādiṃ sādiyati, tassā adhivacanaṃ. Yā pana bhikkhunī aññissā bhikkhuniyā pārājikasaṅkhātaṃ vajjaṃ jānaṃ paṭicchādeti, sā vajjappaṭicchādikā nāma. Samaggena pana saṅghena ukkhittaṃ bhikkhuṃ yā bhikkhunī yaṃdiṭṭhiko so hoti, tassā diṭṭhiyā gahaṇavasena anuvattati, sā ukkhittānuvattikā nāma. Yā pana kāyasaṃsaggarāgena tintā tathāvidhasseva purisassa hatthaggahaṇaṃ vā saṅghāṭikaṇṇaggahaṇaṃ vā sādiyati, kāyasaṃsaggasaṅkhātassa asaddhammassa paṭisevanatthāya purisassa hatthapāse santiṭṭhati vā, tattha ṭhatvā sallapati vā, saṅketaṃ vā gacchati, purisassa āgamanaṃ vā sādiyati, kenaci vā paṭicchannokāsaṃ pavisati, hatthapāse ṭhatvā kāyaṃ upasaṃharati, ayaṃ aṭṭhavatthukā nāmāti veditabbā.

    อภพฺพกา เอกาทสาติ เอตฺถ ปณฺฑโก เถยฺยสํวาสโก ติตฺถิยปกฺกนฺตโก ติรจฺฉานคโต มาตุฆาตโก ปิตุฆาตโก อรหนฺตฆาตโก ภิกฺขุนิทูสโก สงฺฆเภทโก โลหิตุปฺปาทโก อุภโตพฺยญฺชนโกติ อิเม เอกาทส อภพฺพปุคฺคลา นามฯ วิพฺภนฺตา ภิกฺขุนีติ ยทา ภิกฺขุนี วิพฺภมิตุกามา หุตฺวา เสตวตฺถํ วา กาสายเมว วา คิหินิวาสนากาเรน นิวาเสติ, ตทา ปาราชิกมาปนฺนา นาม โหติ, ปุน อุปสมฺปทํ น ลภติ, สา จ ปาราชิกาติ อโตฺถฯ มุทุปิฎฺฐิโก นาม กตปริกมฺมาย มุทุกาย ปิฎฺฐิยา สมนฺนาคโตฯ โส เอตฺตาวตา น ปาราชิโก, อถ โข ยทา อนภิรติยา ปีฬิโต อตฺตโน องฺคชาตํ อตฺตโน มุขมคฺควจฺจมเคฺคสุ อญฺญตรํ ปเวเสติ, ตทา ปาราชิโก โหติฯ

    Abhabbakāekādasāti ettha paṇḍako theyyasaṃvāsako titthiyapakkantako tiracchānagato mātughātako pitughātako arahantaghātako bhikkhunidūsako saṅghabhedako lohituppādako ubhatobyañjanakoti ime ekādasa abhabbapuggalā nāma. Vibbhantā bhikkhunīti yadā bhikkhunī vibbhamitukāmā hutvā setavatthaṃ vā kāsāyameva vā gihinivāsanākārena nivāseti, tadā pārājikamāpannā nāma hoti, puna upasampadaṃ na labhati, sā ca pārājikāti attho. Mudupiṭṭhiko nāma kataparikammāya mudukāya piṭṭhiyā samannāgato. So ettāvatā na pārājiko, atha kho yadā anabhiratiyā pīḷito attano aṅgajātaṃ attano mukhamaggavaccamaggesu aññataraṃ paveseti, tadā pārājiko hoti.

    ๑๗-๑๘. ลมฺพีติ องฺคชาตสฺส ทีฆตฺตา เอวํ วุโตฺตฯ โสปิ ยทา อนภิรติยา ปีฬิโต อตฺตโน องฺคชาตํ อตฺตโน มุเข วา วจฺจมเคฺค วา ปเวเสติ, ตทา ปาราชิโก โหติฯ มุเขน คณฺหโนฺตติ เอตฺถ โย อนภิรติยา ปีฬิโต ปรสฺส สุตฺตสฺส วา ปมตฺตสฺส วา องฺคชาตํ อตฺตโน มุเขน คณฺหาติ, โส จาติ อโตฺถฯ ตเตฺถวาติ ปรสฺส องฺคชาเตวาติ อโตฺถ ฯ โย อนภิรติยา ปีฬิโต ปรสฺส องฺคชาตํ กมฺมนิยํ ทิสฺวา อตฺตโน วจฺจมเคฺคน ตสฺส อุปริ นิสีทติ, ตํ อตฺตโน วจฺจมคฺคํ ปเวเสติ, โส จาติ อโตฺถฯ เอเต จตฺตาโร อนุโลมิกา เมถุนสฺสาติ สมฺพโนฺธฯ กถมิติ เจ? มเคฺค มคฺคปฺปเวสนสทิสตาย, น อุภินฺนํ ราควเสน สทิสภาวูปคตานํ ทฺวยํทฺวยสมาปตฺติสทิสตายฯ อิธาคตา จตฺตาโรติ เมถุนธมฺมาทิวเสน ปาราชิกา จตฺตาโร จาติ เอวํ สโมธานโต จตุวีสติ ปาราชิกาติ อโตฺถฯ

    17-18.Lambīti aṅgajātassa dīghattā evaṃ vutto. Sopi yadā anabhiratiyā pīḷito attano aṅgajātaṃ attano mukhe vā vaccamagge vā paveseti, tadā pārājiko hoti. Mukhena gaṇhantoti ettha yo anabhiratiyā pīḷito parassa suttassa vā pamattassa vā aṅgajātaṃ attano mukhena gaṇhāti, so cāti attho. Tatthevāti parassa aṅgajātevāti attho . Yo anabhiratiyā pīḷito parassa aṅgajātaṃ kammaniyaṃ disvā attano vaccamaggena tassa upari nisīdati, taṃ attano vaccamaggaṃ paveseti, so cāti attho. Ete cattāro anulomikā methunassāti sambandho. Kathamiti ce? Magge maggappavesanasadisatāya, na ubhinnaṃ rāgavasena sadisabhāvūpagatānaṃ dvayaṃdvayasamāpattisadisatāya. Idhāgatā cattāroti methunadhammādivasena pārājikā cattāro cāti evaṃ samodhānato catuvīsati pārājikāti attho.

    เอตฺถาห – มาตุฆาตกปิตุฆาตกอรหนฺตฆาตกา ตติยปาราชิกํ อาปนฺนา, ภิกฺขุนิทูสโก ลมฺพีอาทโย จตฺตาโร ปฐมปาราชิกํ อาปนฺนาเยวาติ กตฺวา กุโต จตุวีสตีติ? อธิปฺปาโย ปเนตฺถ อตฺถิ, มาตุฆาตกาทโย หิ จตฺตาโร อิธ อนุปสมฺปนฺนาเยว อธิเปฺปตา, ลมฺพีอาทโย จตฺตาโร กิญฺจาปิ ปฐมปาราชิเกน สงฺคหิตา, ยสฺมา เอเกน ปริยาเยน เมถุนธมฺมํ อปฺปฎิเสวิโนปิ โหนฺติ, ตสฺมา วิสุํ วุตฺตาติฯ ปาราชิกวินิจฺฉโยฯ

    Etthāha – mātughātakapitughātakaarahantaghātakā tatiyapārājikaṃ āpannā, bhikkhunidūsako lambīādayo cattāro paṭhamapārājikaṃ āpannāyevāti katvā kuto catuvīsatīti? Adhippāyo panettha atthi, mātughātakādayo hi cattāro idha anupasampannāyeva adhippetā, lambīādayo cattāro kiñcāpi paṭhamapārājikena saṅgahitā, yasmā ekena pariyāyena methunadhammaṃ appaṭisevinopi honti, tasmā visuṃ vuttāti. Pārājikavinicchayo.

    ปาราชิกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pārājikaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact