Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā |
๑. ปาราชิกนิเทฺทสวณฺณนา
1. Pārājikaniddesavaṇṇanā
๑. อิทานิ สพฺพสิกฺขานํ ปน มูลภูตตฺตา อธิสีลสิกฺขาว ปฐมํ วุตฺตา, ตตฺราปิ มหาสาวชฺชตฺตา, มูลเจฺฉชฺชวเสน ปวตฺตนโต จ สพฺพปฐมํ ปาราชิกํ ชานิตพฺพนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สํ นิมิตฺต’’นฺตฺยาทิมาหฯ ตตฺถ มคฺคตฺตเย สํ นิมิตฺตํ ปเวสโนฺต ภิกฺขุ จุโตติ อโตฺถฯ สํ นิมิตฺตนฺติ อตฺตโน องฺคชาตํ, สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน เอกติลพีชมตฺตมฺปิ อตฺตโน องฺคชาตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ภิกฺขูติ อนิกฺขิตฺตสิโกฺขฯ มคฺคตฺตเยติ เอตฺถ มนุสฺสามนุสฺสติรจฺฉานคตานํ วเสน ติโสฺส อิตฺถิโย, ตโย อุภโตพฺยญฺชนกา, ตโย ปณฺฑกา, ตโย ปุริสาติ ปาราชิกวตฺถุภูตานํ นิมิตฺตานํ นิสฺสยา ทฺวาทส สตฺตา โหนฺติฯ เตสํ วจฺจปสฺสาวมุขมคฺควเสน ตโย มคฺคาฯ ตตฺถ มนุสฺสิตฺถิยา ตโย, อมนุสฺสิตฺถิยา ตโย, ติรจฺฉานคติตฺถิยา ตโยติ นว , ตถา มนุสฺสุภโตพฺยญฺชนกาทีนํฯ มนุสฺสปณฺฑกาทีนํ ปน วจฺจมุขมคฺควเสน เทฺว เทฺวติ ฉ, ตถา มนุสฺสปุริสาทีนนฺติ สเพฺพสํ วเสน ติํส มคฺคา โหนฺติฯ เต สเพฺพ ปริคฺคเหตฺวา อิธ ‘‘มคฺคตฺตเย’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมิํ มคฺคตฺตเย, ทฺวาทสนฺนํ สตฺตานํ ตีสุ มเคฺคสุ ยตฺถ กตฺถจิ มเคฺคติ อโตฺถฯ จุโตติ สกฺกตฺตา วา พฺรหฺมตฺตา วา จุตสโตฺต วิย สาสนโต จุโต โหติ, ปาราชิโก โหตีติ อโตฺถฯ
1. Idāni sabbasikkhānaṃ pana mūlabhūtattā adhisīlasikkhāva paṭhamaṃ vuttā, tatrāpi mahāsāvajjattā, mūlacchejjavasena pavattanato ca sabbapaṭhamaṃ pārājikaṃ jānitabbanti dassento ‘‘saṃ nimitta’’ntyādimāha. Tattha maggattaye saṃ nimittaṃ pavesanto bhikkhu cutoti attho. Saṃ nimittanti attano aṅgajātaṃ, sabbantimena paricchedena ekatilabījamattampi attano aṅgajātanti vuttaṃ hoti. Bhikkhūti anikkhittasikkho. Maggattayeti ettha manussāmanussatiracchānagatānaṃ vasena tisso itthiyo, tayo ubhatobyañjanakā, tayo paṇḍakā, tayo purisāti pārājikavatthubhūtānaṃ nimittānaṃ nissayā dvādasa sattā honti. Tesaṃ vaccapassāvamukhamaggavasena tayo maggā. Tattha manussitthiyā tayo, amanussitthiyā tayo, tiracchānagatitthiyā tayoti nava , tathā manussubhatobyañjanakādīnaṃ. Manussapaṇḍakādīnaṃ pana vaccamukhamaggavasena dve dveti cha, tathā manussapurisādīnanti sabbesaṃ vasena tiṃsa maggā honti. Te sabbe pariggahetvā idha ‘‘maggattaye’’ti vuttaṃ, tasmiṃ maggattaye, dvādasannaṃ sattānaṃ tīsu maggesu yattha katthaci maggeti attho. Cutoti sakkattā vā brahmattā vā cutasatto viya sāsanato cuto hoti, pārājiko hotīti attho.
อิทานิ ปเวสนํ นาม น เกวลํ อตฺตุปกฺกเมเนว โหติ, ปรูปกฺกเมนาปิ โหติ, ตตฺถาปิ เสวนจิเตฺต สติ ปาราชิโก โหตีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ปเวสนา’’ตฺยาทิ วุตฺตํฯ ตสฺสโตฺถ – โย ภิกฺขุ ปเวสนฎฺฐิตอุทฺธรณปวิฎฺฐกฺขเณสุ อญฺญตรํ ขณํ เจปิ สาทิยํ สาทิยโนฺต สเจปิ ตสฺมิํ ขเณ เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐาเปโนฺต, จุโต ปาราชิโก โหติฯ โย ปน สพฺพโส อสาทิยโนฺต อาสีวิสมุขํ องฺคารกาสุํ ปวิฎฺฐํ วิย จ มญฺญติ, โส นิปฺปราโธ โหติฯ เอตฺถ ปน ฐิตํ นาม สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสมยปฺปตฺตํฯ ปฐมปาราชิกํฯ
Idāni pavesanaṃ nāma na kevalaṃ attupakkameneva hoti, parūpakkamenāpi hoti, tatthāpi sevanacitte sati pārājiko hotīti dassanatthaṃ ‘‘pavesanā’’tyādi vuttaṃ. Tassattho – yo bhikkhu pavesanaṭṭhitauddharaṇapaviṭṭhakkhaṇesu aññataraṃ khaṇaṃ cepi sādiyaṃ sādiyanto sacepi tasmiṃ khaṇe sevanacittaṃ upaṭṭhāpento, cuto pārājiko hoti. Yo pana sabbaso asādiyanto āsīvisamukhaṃ aṅgārakāsuṃ paviṭṭhaṃ viya ca maññati, so nipparādho hoti. Ettha pana ṭhitaṃ nāma sukkavissaṭṭhisamayappattaṃ. Paṭhamapārājikaṃ.
๒-๗. อิทานิ ทุติยํ ทเสฺสตุํ ‘‘อทินฺนํ มานุสํ ภณฺฑ’’นฺตฺยาทิมาหฯ ตตฺถ โย ภิกฺขุ อทินฺนํ มานุสํ ครุกํ ภณฺฑํ ปญฺจวีสาวหาเรสุ เยน เกนจิ อวหาเรน อาทิยโนฺต จุโต ภเวติ สมฺพโนฺธฯ อทินฺนนฺติ ยํ กิญฺจิ ปรปริคฺคหิตํ สสฺสามิกํ ภณฺฑํ, ตํ เตหิ สามิเกหิ กาเยน วา วาจาย วา น ทินฺนนฺติ อทินฺนํ, อนิสฺสฎฺฐํ อปริจฺจตฺตํ รกฺขิตํ โคปิตํ มมายิตํ ปรปริคฺคหิตํฯ มนุสฺสสฺส อิทนฺติ มานุสํ, มนุสฺสสนฺตกํ, ‘‘ภณฺฑ’’นฺติมินา ตุลฺยาธิกรณํ ฯ เถยฺยาเยเกนาติ เถยฺยาย เอเกน, เอเกน อวหาเรนาติ อโตฺถฯ ลิงฺคเภทํ กตฺวา วุตฺตํฯ ‘‘เถยฺยา เกนจี’’ติ วา ปาโฐฯ ตตฺถ เถโนติ โจโร, เถนสฺส ภาโว เถยฺยา, กรณเตฺถ เจตํ ปจฺจตฺตวจนํ, ตสฺมา เกนจิ เถเยฺยน อวหาเรนาติ อโตฺถฯ อาทิยนฺติ อาทิยโนฺต คณฺหโนฺตฯ ปญฺจวีสาวหาเรสูติ ปญฺจปญฺจเก สโมธาเนตฺวา ปญฺจวีสติ อวหาราฯ ตตฺถ ปญฺจปญฺจกานิ นาม นานาภณฺฑปญฺจกํ เอกภณฺฑปญฺจกํ สาหตฺถิกปญฺจกํ ปุพฺพปฺปโยคปญฺจกํ เถยฺยาวหารปญฺจกนฺติฯ
2-7. Idāni dutiyaṃ dassetuṃ ‘‘adinnaṃ mānusaṃ bhaṇḍa’’ntyādimāha. Tattha yo bhikkhu adinnaṃ mānusaṃ garukaṃ bhaṇḍaṃ pañcavīsāvahāresu yena kenaci avahārena ādiyanto cuto bhaveti sambandho. Adinnanti yaṃ kiñci parapariggahitaṃ sassāmikaṃ bhaṇḍaṃ, taṃ tehi sāmikehi kāyena vā vācāya vā na dinnanti adinnaṃ, anissaṭṭhaṃ apariccattaṃ rakkhitaṃ gopitaṃ mamāyitaṃ parapariggahitaṃ. Manussassa idanti mānusaṃ, manussasantakaṃ, ‘‘bhaṇḍa’’ntiminā tulyādhikaraṇaṃ . Theyyāyekenāti theyyāya ekena, ekena avahārenāti attho. Liṅgabhedaṃ katvā vuttaṃ. ‘‘Theyyā kenacī’’ti vā pāṭho. Tattha thenoti coro, thenassa bhāvo theyyā, karaṇatthe cetaṃ paccattavacanaṃ, tasmā kenaci theyyena avahārenāti attho. Ādiyanti ādiyanto gaṇhanto. Pañcavīsāvahāresūti pañcapañcake samodhānetvā pañcavīsati avahārā. Tattha pañcapañcakāni nāma nānābhaṇḍapañcakaṃ ekabhaṇḍapañcakaṃ sāhatthikapañcakaṃ pubbappayogapañcakaṃ theyyāvahārapañcakanti.
ตตฺถ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกมิสฺสกภณฺฑวเสน นานาภณฺฑปญฺจกํ, สวิญฺญาณกภณฺฑวเสน เอกภณฺฑปญฺจกํฯ ตตฺถ นานาภณฺฑวเสน ตาว เอวํ เวทิตโพฺพ – โย อารามํ อภิยุญฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ สามิกสฺส วิมติํ อุปฺปาเทติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ สามิโก ‘‘น มยฺหํ ภวิสฺสตี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ อญฺญสฺส ภณฺฑํ หรโนฺต สีเส ภารํ เถยฺยจิโตฺต อามสติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ผนฺทาเปติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ ขนฺธํ โอโรเปติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ อุปนิกฺขิตฺตํ ภณฺฑํ ‘‘เทหิ เม ภณฺฑ’’นฺติ วุจฺจมาโน ‘‘นาหํ คณฺหามี’’ติ ภณติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ สามิกสฺส วิมติํ อุปฺปาเทติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ สามิโก ‘‘น มยฺหํ ทสฺสตี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ ‘‘สหภณฺฑหารกํ เนสฺสามี’’ติ ปฐมํ ปาทํ สงฺกาเมติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ ทุติยํ ปาทํ สงฺกาเมติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ ถลฎฺฐํ ภณฺฑํ เถยฺยจิโตฺต อามสติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ผนฺทาเปติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ ฐานา จาเวติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ อยเมตฺถ นานาภณฺฑวเสน โยชนาฯ เอกภณฺฑวเสน ปน สสฺสามิกํ ทาสํ วา ติรจฺฉานํ วา ยถาวุเตฺตน อภิโยคาทินา นเยน อาทิยติ วา หรติ วา อวหรติ วา อิริยาปถํ โกเปติ วา ฐานา จาเวติ วาติฯ อยเมตฺถ เอกภณฺฑวเสน โยชนาฯ
Tattha saviññāṇakāviññāṇakamissakabhaṇḍavasena nānābhaṇḍapañcakaṃ, saviññāṇakabhaṇḍavasena ekabhaṇḍapañcakaṃ. Tattha nānābhaṇḍavasena tāva evaṃ veditabbo – yo ārāmaṃ abhiyuñjati, āpatti dukkaṭassa. Sāmikassa vimatiṃ uppādeti, āpatti thullaccayassa. Sāmiko ‘‘na mayhaṃ bhavissatī’’ti dhuraṃ nikkhipati, āpatti pārājikassa. Aññassa bhaṇḍaṃ haranto sīse bhāraṃ theyyacitto āmasati, āpatti dukkaṭassa. Phandāpeti, āpatti thullaccayassa. Khandhaṃ oropeti, āpatti pārājikassa. Upanikkhittaṃ bhaṇḍaṃ ‘‘dehi me bhaṇḍa’’nti vuccamāno ‘‘nāhaṃ gaṇhāmī’’ti bhaṇati, āpatti dukkaṭassa. Sāmikassa vimatiṃ uppādeti, āpatti thullaccayassa. Sāmiko ‘‘na mayhaṃ dassatī’’ti dhuraṃ nikkhipati, āpatti pārājikassa. ‘‘Sahabhaṇḍahārakaṃ nessāmī’’ti paṭhamaṃ pādaṃ saṅkāmeti, āpatti thullaccayassa. Dutiyaṃ pādaṃ saṅkāmeti, āpatti pārājikassa. Thalaṭṭhaṃ bhaṇḍaṃ theyyacitto āmasati, āpatti dukkaṭassa. Phandāpeti, āpatti thullaccayassa. Ṭhānā cāveti, āpatti pārājikassa. Ayamettha nānābhaṇḍavasena yojanā. Ekabhaṇḍavasena pana sassāmikaṃ dāsaṃ vā tiracchānaṃ vā yathāvuttena abhiyogādinā nayena ādiyati vā harati vā avaharati vā iriyāpathaṃ kopeti vā ṭhānā cāveti vāti. Ayamettha ekabhaṇḍavasena yojanā.
ปญฺจ อวหารา สาหตฺถิโก อาณตฺติโก นิสฺสคฺคิโย อตฺถสาธโก ธุรนิเกฺขโปติฯ ตตฺถ สาหตฺถิโก นาม ปรสฺส ภณฺฑํ สหตฺถา อวหรติฯ อาณตฺติโก นาม ‘‘อสุกสฺส ภณฺฑํ อวหรา’’ติ อญฺญํ อาณาเปติฯ นิสฺสคฺคิโย นาม อโนฺตสุงฺกฆาเต ฐิโต พหิสุงฺกฆาตํ ปาเตติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ อตฺถสาธโก นาม ‘‘อสุกํ ภณฺฑํ ยทา สโกฺกสิ, ตทา อวหรา’’ติ อาณาเปติฯ ตตฺถ สเจ ปโร อนนฺตรายิโก หุตฺวา ตํ อวหรติ, อาณาปโก อาณตฺติกฺขเณเยว ปาราชิโก โหติ, อวหารโก ปน อวหฎกาเล, อยํ อตฺถสาธโกฯ ธุรนิเกฺขโป ปน อุปนิกฺขิตฺตภณฺฑวเสน เวทิตโพฺพติ อิทํ สาหตฺถิกปญฺจกํฯ
Pañca avahārā sāhatthiko āṇattiko nissaggiyo atthasādhako dhuranikkhepoti. Tattha sāhatthiko nāma parassa bhaṇḍaṃ sahatthā avaharati. Āṇattiko nāma ‘‘asukassa bhaṇḍaṃ avaharā’’ti aññaṃ āṇāpeti. Nissaggiyo nāma antosuṅkaghāte ṭhito bahisuṅkaghātaṃ pāteti, āpatti pārājikassa. Atthasādhako nāma ‘‘asukaṃ bhaṇḍaṃ yadā sakkosi, tadā avaharā’’ti āṇāpeti. Tattha sace paro anantarāyiko hutvā taṃ avaharati, āṇāpako āṇattikkhaṇeyeva pārājiko hoti, avahārako pana avahaṭakāle, ayaṃ atthasādhako. Dhuranikkhepo pana upanikkhittabhaṇḍavasena veditabboti idaṃ sāhatthikapañcakaṃ.
อปเรปิ ปญฺจ อวหารา ปุพฺพปฺปโยโค สหปฺปโยโค สํวิธาวหาโร สเงฺกตกมฺมํ นิมิตฺตกมฺมนฺติฯ ตตฺถ อาณตฺติวเสน ปุพฺพปฺปโยโค เวทิตโพฺพ, ฐานาจาวนวเสน สหปฺปโยโคฯ สํวิธาวหาโร นาม สมฺพหุลา ภิกฺขู ‘‘อมุกํ นาม เคหํ คนฺตฺวา, ฉทนํ วา ภินฺทิตฺวา, สนฺธิํ วา ฉินฺทิตฺวา ภณฺฑํ หริสฺสามา’’ติ สํวิทหิตฺวา คจฺฉนฺติ, เตสุ เอโก ภณฺฑํ อวหรติ, ตสฺสุทฺธาเร สเพฺพสํ ปาราชิกํฯ สเงฺกตกมฺมํ นาม สญฺชานนกมฺมํ กาลปริเจฺฉทวเสน สญฺญากรณํฯ เอตฺถ จ ‘‘ปุเรภตฺตํ อวหรา’’ติ วุเตฺต อชฺช วา ปุเรภตฺตํ อวหรตุ, เสฺว วา อนาคเต สํวจฺฉเร วา, นตฺถิ วิสเงฺกโต, สเงฺกตการกสฺส อาณตฺติกฺขเณ, อิตรสฺส ฐานา จาวเนติ เอวํ อาปตฺติ อุภินฺนํ ปาราชิกสฺสฯ นิมิตฺตกมฺมํ นาม สญฺญุปฺปาทนตฺถํ กสฺสจิ นิมิตฺตสฺส กรณํ อกฺขินิขณนหตฺถาลงฺฆนปาณิปฺปหารองฺคุลิโผฎนคีวุนฺนามนอุกฺกาสนาทินา อเนกปฺปการํฯ อวหารโก อาณาปเกน ยํ นิมิตฺตสญฺญํ กตฺวา วุตฺตํ, ตํ ‘‘เอต’’นฺติ มญฺญมาโน ตเมว อวหรติ, อุภินฺนํ ปาราชิกํฯ ยํ ‘‘อวหรา’’ติ วุตฺตํ, ตํ ‘‘เอต’’นฺติ มญฺญมาโน อญฺญํ ตสฺมิํเยว ฐาเน ฐปิตํ อวหรติ, มูลฎฺฐสฺส อนาปตฺติฯ อิทํ ปุพฺพปฺปโยคปญฺจกํฯ
Aparepi pañca avahārā pubbappayogo sahappayogo saṃvidhāvahāro saṅketakammaṃ nimittakammanti. Tattha āṇattivasena pubbappayogo veditabbo, ṭhānācāvanavasena sahappayogo. Saṃvidhāvahāro nāma sambahulā bhikkhū ‘‘amukaṃ nāma gehaṃ gantvā, chadanaṃ vā bhinditvā, sandhiṃ vā chinditvā bhaṇḍaṃ harissāmā’’ti saṃvidahitvā gacchanti, tesu eko bhaṇḍaṃ avaharati, tassuddhāre sabbesaṃ pārājikaṃ. Saṅketakammaṃ nāma sañjānanakammaṃ kālaparicchedavasena saññākaraṇaṃ. Ettha ca ‘‘purebhattaṃ avaharā’’ti vutte ajja vā purebhattaṃ avaharatu, sve vā anāgate saṃvacchare vā, natthi visaṅketo, saṅketakārakassa āṇattikkhaṇe, itarassa ṭhānā cāvaneti evaṃ āpatti ubhinnaṃ pārājikassa. Nimittakammaṃ nāma saññuppādanatthaṃ kassaci nimittassa karaṇaṃ akkhinikhaṇanahatthālaṅghanapāṇippahāraaṅguliphoṭanagīvunnāmanaukkāsanādinā anekappakāraṃ. Avahārako āṇāpakena yaṃ nimittasaññaṃ katvā vuttaṃ, taṃ ‘‘eta’’nti maññamāno tameva avaharati, ubhinnaṃ pārājikaṃ. Yaṃ ‘‘avaharā’’ti vuttaṃ, taṃ ‘‘eta’’nti maññamāno aññaṃ tasmiṃyeva ṭhāne ṭhapitaṃ avaharati, mūlaṭṭhassa anāpatti. Idaṃ pubbappayogapañcakaṃ.
อปเรปิ ปญฺจ อวหารา เถยฺยาวหาโร ปสยฺหาวหาโร ปริกปฺปาวหาโร ปฎิจฺฉนฺนาวหาโร กุสาวหาโรติฯ ตตฺถ โย กูฎมานกูฎกหาปณาทีหิ วเญฺจตฺวา คณฺหาติ, ตเสฺสวํ คณฺหโต อวหาโร เถยฺยาวหาโรฯ โย สนฺตเชฺชตฺวา สยํ ทเสฺสตฺวา เตสํ สนฺตกํ คณฺหาติ, โย วา อตฺตโน ปตฺตพลิโต จ อธิกํ พลกฺกาเรน คณฺหาติ ราชราชมหามตฺตาทโย วิย, ตเสฺสวํ คณฺหโต อวหาโร ปสยฺหาวหาโรฯ ปริกเปฺปตฺวา คณฺหโต ปนาวหาโร ปริกปฺปาวหาโรฯ โส ทุวิโธ ภโณฺฑกาสปริกปฺปวเสนฯ ตตฺร โย ‘‘สาฎโก เจ, คณฺหิสฺสามิ, สุตฺตํ เจ, น คณฺหิสฺสามี’’ติ ปริกเปฺปตฺวา อนฺธกาเร ปสิพฺพกํ คณฺหาติ, ตตฺร สาฎโก เจ, อุทฺธาเรเยว ปาราชิกํ, สุตฺตํ เจ โหติ, รกฺขติฯ อยํ ภณฺฑปริกโปฺป นามฯ โย ฐานํ ปริกเปฺปตฺวา ภณฺฑํ คณฺหาติ, ตสฺส ตํ ปริกปฺปิตปริเจฺฉทํ อติกฺกนฺตมเตฺต ปาราชิกํฯ อยํ โอกาสปริกโปฺป นามฯ เอวมิเมสํ ทฺวินฺนํ ปริกปฺปานํ วเสน ปริกเปฺปตฺวา คณฺหโต อวหาโร ปริกปฺปาวหาโรฯ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปรสฺส ภณฺฑํ คณฺหโต อวหาโร ปฎิจฺฉนฺนาวหาโร นามฯ กุสํ สงฺกาเมตฺวา อวหรณํ กุสาวหาโรฯ โย กุสํ ปาเตตฺวา จีวเร ภาชิยมาเน อตฺตโน โกฎฺฐาสสฺส สมีเป ฐิตํ อปฺปคฺฆตรํ วา มหคฺฆตรํ วา สมสมํ วา ปรสฺส โกฎฺฐาสํ ทิสฺวา สเจ ปฐมตรํ ปรโกฎฺฐาสโต กุสทณฺฑกํ อุทฺธรติ, อตฺตโน โกฎฺฐาเส ปาเตตุกามตาย อุทฺธาเร รกฺขติ, ปาตเนปิ รกฺขติ, อตฺตโน โกฎฺฐาสโต ปน กุสทณฺฑํ อุทฺธรติ, อุทฺธาเร รกฺขติ, ตํ อุทฺธริตฺวา ปรโกฎฺฐาเส ปาเตนฺตสฺส หตฺถโต มุตฺตมเตฺต ปาราชิกํฯ อยํ กุสาวหาโร นามาติ อิเมสุ ปญฺจวีสาวหาเรสุ เยน เกนจิ อวหาเรน คณฺหโนฺต ปาราชิโก ภเวติ อโตฺถฯ
Aparepi pañca avahārā theyyāvahāro pasayhāvahāro parikappāvahāro paṭicchannāvahāro kusāvahāroti. Tattha yo kūṭamānakūṭakahāpaṇādīhi vañcetvā gaṇhāti, tassevaṃ gaṇhato avahāro theyyāvahāro. Yo santajjetvā sayaṃ dassetvā tesaṃ santakaṃ gaṇhāti, yo vā attano pattabalito ca adhikaṃ balakkārena gaṇhāti rājarājamahāmattādayo viya, tassevaṃ gaṇhato avahāro pasayhāvahāro. Parikappetvā gaṇhato panāvahāro parikappāvahāro. So duvidho bhaṇḍokāsaparikappavasena. Tatra yo ‘‘sāṭako ce, gaṇhissāmi, suttaṃ ce, na gaṇhissāmī’’ti parikappetvā andhakāre pasibbakaṃ gaṇhāti, tatra sāṭako ce, uddhāreyeva pārājikaṃ, suttaṃ ce hoti, rakkhati. Ayaṃ bhaṇḍaparikappo nāma. Yo ṭhānaṃ parikappetvā bhaṇḍaṃ gaṇhāti, tassa taṃ parikappitaparicchedaṃ atikkantamatte pārājikaṃ. Ayaṃ okāsaparikappo nāma. Evamimesaṃ dvinnaṃ parikappānaṃ vasena parikappetvā gaṇhato avahāro parikappāvahāro. Paṭicchādetvā parassa bhaṇḍaṃ gaṇhato avahāro paṭicchannāvahāro nāma. Kusaṃ saṅkāmetvā avaharaṇaṃ kusāvahāro. Yo kusaṃ pātetvā cīvare bhājiyamāne attano koṭṭhāsassa samīpe ṭhitaṃ appagghataraṃ vā mahagghataraṃ vā samasamaṃ vā parassa koṭṭhāsaṃ disvā sace paṭhamataraṃ parakoṭṭhāsato kusadaṇḍakaṃ uddharati, attano koṭṭhāse pātetukāmatāya uddhāre rakkhati, pātanepi rakkhati, attano koṭṭhāsato pana kusadaṇḍaṃ uddharati, uddhāre rakkhati, taṃ uddharitvā parakoṭṭhāse pātentassa hatthato muttamatte pārājikaṃ. Ayaṃ kusāvahāro nāmāti imesu pañcavīsāvahāresu yena kenaci avahārena gaṇhanto pārājiko bhaveti attho.
ครุกนฺติ ปญฺจมาสกํฯ วีสติมาสโก หิ กหาปโณ, กหาปณสฺส จตุโตฺถ ภาโค ปาโท นาม, ตสฺมา ปญฺจมาสกํ วา ปาทํ วา ครุกนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ‘‘จตฺตาโร วีหโย คุญฺชา, เทฺว คุญฺชา มาสโก ภเว’’ติ วจนโต วีหิวเสน จตฺตาลีส วีหโย ทส คุญฺชา ปญฺจมาสโกติ เวทิตโพฺพฯ ยํ ปน สามเณรสิกฺขายํ ‘‘วีสติวีหี’’ติ วุตฺตํ, ตํ เนว ปาฬิยํ, น อฎฺฐกถายํ อตฺถิ, วีมํสิตพฺพเมตํฯ ทุติยปาราชิกํฯ
Garukanti pañcamāsakaṃ. Vīsatimāsako hi kahāpaṇo, kahāpaṇassa catuttho bhāgo pādo nāma, tasmā pañcamāsakaṃ vā pādaṃ vā garukanti veditabbaṃ. Tattha ‘‘cattāro vīhayo guñjā, dve guñjā māsako bhave’’ti vacanato vīhivasena cattālīsa vīhayo dasa guñjā pañcamāsakoti veditabbo. Yaṃ pana sāmaṇerasikkhāyaṃ ‘‘vīsativīhī’’ti vuttaṃ, taṃ neva pāḷiyaṃ, na aṭṭhakathāyaṃ atthi, vīmaṃsitabbametaṃ. Dutiyapārājikaṃ.
๘. อิทานิ ตติยํ ทเสฺสตุํ ‘‘มนุสฺสปาณํ ปาโณ’’ตฺยาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ โย ภิกฺขุ ‘‘มนุสฺสปาโณ’’ อิติ ชานโนฺต วธกจิเตฺตน มนุสฺสปาณํ ชีวิตา วิโยเชติ, โส ภิกฺขุ สาสนา ปาราชิโก โหตีติ สมุทายโตฺถฯ
8. Idāni tatiyaṃ dassetuṃ ‘‘manussapāṇaṃ pāṇo’’tyādi vuttaṃ. Tattha yo bhikkhu ‘‘manussapāṇo’’ iti jānanto vadhakacittena manussapāṇaṃ jīvitā viyojeti, so bhikkhu sāsanā pārājiko hotīti samudāyattho.
มนุสฺสปาณนฺติ มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิจิเตฺตน สหุปฺปนฺนํ อติปริตฺตํ กลลรูปํ อาทิํ กตฺวา ปกติยา วีสวสฺสสตายุกสฺส สตฺตสฺส ยาว มรณกาลา เอตฺถนฺตเร อนุปุเพฺพน วุทฺธิปฺปโตฺต อตฺตภาโว, เอโส มนุสฺสปาโณ นาม, เอวรูปํ มนุสฺสปาณนฺติ อโตฺถฯ ปาโณติ ชานนฺติ ‘‘ปาโณ’’ อิติ ชานโนฺต ‘‘ตํ ชีวิตา โวโรเปมี’’ติ ชานโนฺตฯ วธกเจตสาติ วธกจิเตฺตน, อิตฺถมฺภูเต กรณวจนํ, วธกจิโตฺต หุตฺวา มรณาธิปฺปาโย หุตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ชีวิตาติ ชีวิตินฺทฺริยโตฯ โยติ อนิยมวจนํฯ โสติ เอเตน นิยมนํ เวทิตพฺพํฯ วิโยเชตีติ วุตฺตปฺปการํ มนุสฺสวิคฺคหํ กลลกาเลปิ ตาปนมทฺทเนหิ วา เภสชฺชสมฺปทาเนน วา ตโต วา อุทฺธมฺปิ ตทนุรูเปน อุปกฺกเมน ชีวิตา วิโยเชตีติ อโตฺถฯ สาสนาติ ปราปุพฺพชิธาตุปฺปโยเค นิสฺสกฺกวจนํ, เตน สตฺถุสาสนโตติ อโตฺถฯ ปราชิโตติ ปราชยมาปโนฺนฯ โหตีติ ปาฐเสโสฯ ตติยปาราชิกํฯ
Manussapāṇanti mātukucchismiṃ paṭisandhicittena sahuppannaṃ atiparittaṃ kalalarūpaṃ ādiṃ katvā pakatiyā vīsavassasatāyukassa sattassa yāva maraṇakālā etthantare anupubbena vuddhippatto attabhāvo, eso manussapāṇo nāma, evarūpaṃ manussapāṇanti attho. Pāṇoti jānanti ‘‘pāṇo’’ iti jānanto ‘‘taṃ jīvitā voropemī’’ti jānanto. Vadhakacetasāti vadhakacittena, itthambhūte karaṇavacanaṃ, vadhakacitto hutvā maraṇādhippāyo hutvāti vuttaṃ hoti. Jīvitāti jīvitindriyato. Yoti aniyamavacanaṃ. Soti etena niyamanaṃ veditabbaṃ. Viyojetīti vuttappakāraṃ manussaviggahaṃ kalalakālepi tāpanamaddanehi vā bhesajjasampadānena vā tato vā uddhampi tadanurūpena upakkamena jīvitā viyojetīti attho. Sāsanāti parāpubbajidhātuppayoge nissakkavacanaṃ, tena satthusāsanatoti attho. Parājitoti parājayamāpanno. Hotīti pāṭhaseso. Tatiyapārājikaṃ.
๙. อิทานิ จตุตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ฌานาทิเภท’’นฺตฺยาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ โย ภิกฺขุ อญฺญาปเทสญฺจ อธิมานญฺจ วเชฺชตฺวา หทเย อสนฺตํ ฌานาทิเภทํ ธมฺมํ มนุสฺสชาติกสฺส สตฺตสฺส วเทยฺย, ตสฺมิํ ขเณ ญาเต โส ตโต สาสนา ปาราชิโก เอว โหตีติ อโตฺถฯ
9. Idāni catutthaṃ dassetuṃ ‘‘jhānādibheda’’ntyādi vuttaṃ. Tattha yo bhikkhu aññāpadesañca adhimānañca vajjetvā hadaye asantaṃ jhānādibhedaṃ dhammaṃ manussajātikassa sattassa vadeyya, tasmiṃ khaṇe ñāte so tato sāsanā pārājiko eva hotīti attho.
ฌานาทิเภทนฺติ ‘‘ฌานํ วิโมโกฺข สมาธิ สมาปตฺติ ญาณทสฺสนํ มคฺคภาวนา ผลสจฺฉิกิริยา กิเลสปฺปหานํ วินีวรณตา จิตฺตสฺส สุญฺญาคาเร อภิรตี’’ติ (ปารา. ๑๙๘) เอวํ วุตฺตํ ฌานาทิเภทํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํฯ หทเยติ จิเตฺตฯ อสนฺตนฺติ อสํวิชฺชมานํฯ อญฺญาปเทสนฺติ ‘‘โย เต วิหาเร วสิ, โส ภิกฺขุ ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภี’’ติอาทินา นเยน อญฺญาปเทสํ วเชฺชตฺวาติ อโตฺถฯ วินาติ วชฺชนเตฺถ นิปาโต, ตสฺส วเชฺชตฺวาติ อโตฺถฯ อธิมานนฺติ ‘‘อธิคตา มยา’’ติ เอวํ อุปฺปนฺนํ มานนฺติ อโตฺถฯ อธิคโต มาโนติ วิคฺคโห, ตํ อธิมานํ วเชฺชตฺวาติ อโตฺถฯ มนุสฺสชาติสฺสาติ มนุสฺสชาติกสฺส, น เทวพฺรหฺมาทีสุ อญฺญตรสฺสาติ อโตฺถฯ วเทยฺยาติ อาโรเจยฺยฯ ญาตกฺขเณติ ญาเต ขเณติ เฉโท, ตสฺมิํ เตนาโรจิตกฺขเณ มนุสฺสชาติเกน ญาเตติ อโตฺถฯ เตนาติ นิสฺสเกฺก กรณวจนํ, ตโต สาสนโต ปาราชิโกติ อโตฺถฯ จตุตฺถปาราชิกํฯ
Jhānādibhedanti ‘‘jhānaṃ vimokkho samādhi samāpatti ñāṇadassanaṃ maggabhāvanā phalasacchikiriyā kilesappahānaṃ vinīvaraṇatā cittassa suññāgāre abhiratī’’ti (pārā. 198) evaṃ vuttaṃ jhānādibhedaṃ uttarimanussadhammaṃ. Hadayeti citte. Asantanti asaṃvijjamānaṃ. Aññāpadesanti ‘‘yo te vihāre vasi, so bhikkhu paṭhamassa jhānassa lābhī’’tiādinā nayena aññāpadesaṃ vajjetvāti attho. Vināti vajjanatthe nipāto, tassa vajjetvāti attho. Adhimānanti ‘‘adhigatā mayā’’ti evaṃ uppannaṃ mānanti attho. Adhigato mānoti viggaho, taṃ adhimānaṃ vajjetvāti attho. Manussajātissāti manussajātikassa, na devabrahmādīsu aññatarassāti attho. Vadeyyāti āroceyya. Ñātakkhaṇeti ñāte khaṇeti chedo, tasmiṃ tenārocitakkhaṇe manussajātikena ñāteti attho. Tenāti nissakke karaṇavacanaṃ, tato sāsanato pārājikoti attho. Catutthapārājikaṃ.
ปาราชิกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pārājikaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.