Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๑๖] ๑๑. ปรนฺตปชาตกวณฺณนา

    [416] 11. Parantapajātakavaṇṇanā

    อาคมิสฺสติ เม ปาปนฺติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตสฺส วธาย ปริสกฺกนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา หิ ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต ตถาคตสฺส มารณตฺถเมว ปริสกฺกติ, ธนุคฺคเห ปโยเชสิ, สิลํ ปวิชฺฌิ, นาฬาคิริํ วิสฺสชฺชาเปสิ, ตถาคตสฺส วินาสตฺถเมว อุปายํ กโรตี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส มม วธาย ปริสกฺกิ, ตาสมตฺตมฺปิ ปน กาตุํ อสโกฺกโนฺต อตฺตนาว ทุกฺขํ อนุโภสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Āgamissatime pāpanti idaṃ satthā veḷuvane viharanto devadattassa vadhāya parisakkanaṃ ārabbha kathesi. Tadā hi dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, devadatto tathāgatassa māraṇatthameva parisakkati, dhanuggahe payojesi, silaṃ pavijjhi, nāḷāgiriṃ vissajjāpesi, tathāgatassa vināsatthameva upāyaṃ karotī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa mama vadhāya parisakki, tāsamattampi pana kātuṃ asakkonto attanāva dukkhaṃ anubhosī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ สิกฺขิ, สพฺพรุตชานนมนฺตํ อุคฺคณฺหิฯ โส อาจริยสฺส อนุโยคํ ทตฺวา พาราณสิํ ปจฺจาคจฺฉิ, ปิตา ตํ โอปรเชฺช ฐเปสิฯ กิญฺจาปิ โอปรเชฺช ฐเปติ, มาราเปตุกาโม ปน นํ หุตฺวา ทฎฺฐุมฺปิ น อิจฺฉิฯ อเถกา สิงฺคาลี เทฺว โปตเก คเหตฺวา รตฺติํ มนุเสฺสสุ ปฎิสลฺลีเนสุ นิทฺธมเนน นครํ ปาวิสิฯ โพธิสตฺตสฺส จ ปาสาเท สยนคพฺภสฺส อวิทูเร เอกา สาลา อตฺถิ, ตเตฺถโก อทฺธิกมนุโสฺส อุปาหนา โอมุญฺจิตฺวา ปาทมูเล ภูมิยํ ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ ผลเก นิปชฺชิ, น ตาว นิทฺทายติฯ ตทา สิงฺคาลิยา โปตกา ฉาตา วิรวิํสุฯ อถ เตสํ มาตา ‘‘ตาตา, มา สทฺทํ กริตฺถ, เอติสฺสา สาลาย เอโก มนุโสฺส อุปาหนา โอมุญฺจิตฺวา ภูมิยํ ฐเปตฺวา ผลเก นิปโนฺน น ตาว นิทฺทายติ, เอตสฺส นิทฺทายนกาเล เอตา อุปาหนา อาหริตฺวา ตุเมฺห ขาทาเปสฺสามี’’ติ อตฺตโน ภาสาย อาหฯ โพธิสโตฺต มนฺตานุภาเวน ตสฺสา ภาสํ ชานิตฺวา สยนคพฺภา นิกฺขมฺม วาตปานํ วิวริตฺวา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ, เทว, อทฺธิกมนุโสฺส’’ติฯ ‘‘อุปาหนา เต กุหิ’’นฺติ? ‘‘ภูมิยํ, เทวา’’ติฯ ‘‘อุกฺขิตฺวา โอลเมฺพตฺวา ฐเปหี’’ติฯ ตํ สุตฺวา สิงฺคาลี โพธิสตฺตสฺส กุชฺฌิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni sikkhi, sabbarutajānanamantaṃ uggaṇhi. So ācariyassa anuyogaṃ datvā bārāṇasiṃ paccāgacchi, pitā taṃ oparajje ṭhapesi. Kiñcāpi oparajje ṭhapeti, mārāpetukāmo pana naṃ hutvā daṭṭhumpi na icchi. Athekā siṅgālī dve potake gahetvā rattiṃ manussesu paṭisallīnesu niddhamanena nagaraṃ pāvisi. Bodhisattassa ca pāsāde sayanagabbhassa avidūre ekā sālā atthi, tattheko addhikamanusso upāhanā omuñcitvā pādamūle bhūmiyaṃ ṭhapetvā ekasmiṃ phalake nipajji, na tāva niddāyati. Tadā siṅgāliyā potakā chātā viraviṃsu. Atha tesaṃ mātā ‘‘tātā, mā saddaṃ karittha, etissā sālāya eko manusso upāhanā omuñcitvā bhūmiyaṃ ṭhapetvā phalake nipanno na tāva niddāyati, etassa niddāyanakāle etā upāhanā āharitvā tumhe khādāpessāmī’’ti attano bhāsāya āha. Bodhisatto mantānubhāvena tassā bhāsaṃ jānitvā sayanagabbhā nikkhamma vātapānaṃ vivaritvā ‘‘ko etthā’’ti āha. ‘‘Ahaṃ, deva, addhikamanusso’’ti. ‘‘Upāhanā te kuhi’’nti? ‘‘Bhūmiyaṃ, devā’’ti. ‘‘Ukkhitvā olambetvā ṭhapehī’’ti. Taṃ sutvā siṅgālī bodhisattassa kujjhi.

    ปุน เอกทิวสํ สา ตเถว นครํ ปาวิสิฯ ตทา เจโก มตฺตมนุโสฺส ‘‘ปานียํ ปิวิสฺสามี’’ติ โปกฺขรณิํ โอตรโนฺต ปติตฺวา นิมุโคฺค นิรสฺสาโส มริฯ นิวตฺถา ปนสฺส เทฺว สาฎกา นิวาสนนฺตเร กหาปณสหสฺสํ องฺคุลิยา จ มุทฺทิกา อตฺถิฯ ตทาปิ สา ปุตฺตเก ‘‘ฉาตมฺหา, อมฺมา’’ติ วิรวเนฺต ‘‘ตาตา, มา สทฺทํ กริตฺถ, เอติสฺสา โปกฺขรณิยา มนุโสฺส มโต, ตสฺส อิทญฺจิทญฺจ อตฺถิ, โส ปน มริตฺวา โสปาเนเยว นิปโนฺน, ตุเมฺห เอตํ มนุสฺสํ ขาทาเปสฺสามี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ตํ สุตฺวา วาตปานํ วิวริตฺวา ‘‘สาลาย โก อตฺถี’’ติ วตฺวา เอเกนุฎฺฐาย ‘‘อหํ, เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘คจฺฉ เอติสฺสา โปกฺขรณิยา มตมนุสฺสสฺส สาฎเก จ กหาปณสหสฺสญฺจ องฺคุลิมุทฺทิกญฺจ คเหตฺวา สรีรมสฺส ยถา น อุฎฺฐหติ, เอวํ อุทเก โอสีทาเปหี’’ติ อาหฯ โส ตถา อกาสิฯ สา ปุนปิ กุชฺฌิตฺวา ‘‘ปุริมทิวเส ตาว เม ปุตฺตกานํ อุปาหนา ขาทิตุํ น อทาสิ, อชฺช มตมนุสฺสํ ขาทิตุํ น เทติ, โหตุ, อิโต ทานิ ตติยทิวเส เอโก สปตฺตราชา อาคนฺตฺวา นครํ ปริกฺขิปิสฺสติฯ อถ นํ ปิตา ยุทฺธตฺถาย เปเสสฺสติ, ตตฺร เต สีสํ ฉินฺทิสฺสนฺติ, อถ เต คลโลหิตํ ปิวิตฺวา เวรํ มุญฺจิสฺสามิฯ ตฺวํ มยา สทฺธิํ เวรํ พนฺธสิ, ชานิสฺสามี’’ติ วิรวิตฺวา โพธิสตฺตํ ตเชฺชตฺวา ปุตฺตเก คเหตฺวา นิกฺขมติฯ

    Puna ekadivasaṃ sā tatheva nagaraṃ pāvisi. Tadā ceko mattamanusso ‘‘pānīyaṃ pivissāmī’’ti pokkharaṇiṃ otaranto patitvā nimuggo nirassāso mari. Nivatthā panassa dve sāṭakā nivāsanantare kahāpaṇasahassaṃ aṅguliyā ca muddikā atthi. Tadāpi sā puttake ‘‘chātamhā, ammā’’ti viravante ‘‘tātā, mā saddaṃ karittha, etissā pokkharaṇiyā manusso mato, tassa idañcidañca atthi, so pana maritvā sopāneyeva nipanno, tumhe etaṃ manussaṃ khādāpessāmī’’ti āha. Bodhisatto taṃ sutvā vātapānaṃ vivaritvā ‘‘sālāya ko atthī’’ti vatvā ekenuṭṭhāya ‘‘ahaṃ, devā’’ti vutte ‘‘gaccha etissā pokkharaṇiyā matamanussassa sāṭake ca kahāpaṇasahassañca aṅgulimuddikañca gahetvā sarīramassa yathā na uṭṭhahati, evaṃ udake osīdāpehī’’ti āha. So tathā akāsi. Sā punapi kujjhitvā ‘‘purimadivase tāva me puttakānaṃ upāhanā khādituṃ na adāsi, ajja matamanussaṃ khādituṃ na deti, hotu, ito dāni tatiyadivase eko sapattarājā āgantvā nagaraṃ parikkhipissati. Atha naṃ pitā yuddhatthāya pesessati, tatra te sīsaṃ chindissanti, atha te galalohitaṃ pivitvā veraṃ muñcissāmi. Tvaṃ mayā saddhiṃ veraṃ bandhasi, jānissāmī’’ti viravitvā bodhisattaṃ tajjetvā puttake gahetvā nikkhamati.

    ตติยทิวเส เอโก สปตฺตราชา อาคนฺตฺวา นครํ ปริวาเรสิฯ ราชา โพธิสตฺตํ ‘‘คจฺฉ, ตาต, เตน สทฺธิํ ยุชฺฌา’’ติ อาหฯ ‘‘มยา, เทว, เอกํ ทิฎฺฐํ อตฺถิ, คนฺตุํ น วิสหามิ, ชีวิตนฺตรายํ ภายามี’’ติฯ ‘‘มยฺหํ ตยิ มเต วา อมเต วา กิํ, คจฺฉาเหว ตฺว’’นฺติ? โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ มหาสโตฺต ปริสํ คเหตฺวา สปตฺตรโญฺญ ฐิตทฺวาเรน อนิกฺขมิตฺวา อญฺญํ ทฺวารํ วิวริตฺวา นิกฺขมิฯ ตสฺมิํ คจฺฉเนฺต สกลนครํ ตุจฺฉํ วิย อโหสิฯ สเพฺพ เตเนว สทฺธิํ นิกฺขมิํสุฯ โส เอกสฺมิํ สภาคฎฺฐาเน ขนฺธาวารํ นิวาเสตฺวา อจฺฉิฯ ราชา จิเนฺตสิ ‘‘อุปราชา นครํ ตุจฺฉํ กตฺวา พลํ คเหตฺวา ปลายิ, สปตฺตราชาปิ นครํ ปริวาเรตฺวา ฐิโต, อิทานิ มยฺหํ ชีวิตํ นตฺถี’’ติฯ โส ‘‘ชีวิตํ รกฺขิสฺสามี’’ติ เทวิญฺจ ปุโรหิตญฺจ ปรนฺตปํ นาเมกํ ปาทมูลิกญฺจ ทาสํ คเหตฺวา รตฺติภาเค อญฺญาตกเวเสน ปลายิตฺวา อรญฺญํ ปาวิสิฯ โพธิสโตฺต ตสฺส ปลาตภาวํ ญตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา ยุทฺธํ กตฺวา สปตฺตํ ปลาเปตฺวา รชฺชํ คณฺหิฯ ปิตาปิสฺส เอกสฺมิํ นทีตีเร ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา ผลาผเลน ยาเปโนฺต วสิฯ ราชา จ ปุโรหิโต จ ผลาผลตฺถาย คจฺฉนฺติฯ ปรนฺตปทาโส เทวิยา สทฺธิํ ปณฺณสาลายเมว โหติฯ ตตฺราปิ ราชานํ ปฎิจฺจ เทวิยา กุจฺฉิสฺมิํ คโพฺภ ปติฎฺฐาสิฯ สา อภิณฺหสํสคฺควเสน ปรนฺตเปน สทฺธิํ อติจริฯ สา เอกทิวสํ ปรนฺตปํ อาห ‘‘รญฺญา ญาเต เนว ตว, น มยฺหํ ชีวิตํ อตฺถิ, ตสฺมา มาเรหิ น’’นฺติฯ ‘‘กถํ มาเรมี’’ติ? เอส ตํ ขคฺคญฺจ นฺหานสาฎกญฺจ คาหาเปตฺวา นฺหายิตุํ คจฺฉติ, ตตฺรสฺส นฺหานฎฺฐาเน ปมาทํ ญตฺวา ขเคฺคน สีสํ ฉินฺทิตฺวา สรีรํ ขณฺฑาขณฺฑิกํ กตฺวา ภูมิยํ นิขณาหีติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ

    Tatiyadivase eko sapattarājā āgantvā nagaraṃ parivāresi. Rājā bodhisattaṃ ‘‘gaccha, tāta, tena saddhiṃ yujjhā’’ti āha. ‘‘Mayā, deva, ekaṃ diṭṭhaṃ atthi, gantuṃ na visahāmi, jīvitantarāyaṃ bhāyāmī’’ti. ‘‘Mayhaṃ tayi mate vā amate vā kiṃ, gacchāheva tva’’nti? So ‘‘sādhu, devā’’ti mahāsatto parisaṃ gahetvā sapattarañño ṭhitadvārena anikkhamitvā aññaṃ dvāraṃ vivaritvā nikkhami. Tasmiṃ gacchante sakalanagaraṃ tucchaṃ viya ahosi. Sabbe teneva saddhiṃ nikkhamiṃsu. So ekasmiṃ sabhāgaṭṭhāne khandhāvāraṃ nivāsetvā acchi. Rājā cintesi ‘‘uparājā nagaraṃ tucchaṃ katvā balaṃ gahetvā palāyi, sapattarājāpi nagaraṃ parivāretvā ṭhito, idāni mayhaṃ jīvitaṃ natthī’’ti. So ‘‘jīvitaṃ rakkhissāmī’’ti deviñca purohitañca parantapaṃ nāmekaṃ pādamūlikañca dāsaṃ gahetvā rattibhāge aññātakavesena palāyitvā araññaṃ pāvisi. Bodhisatto tassa palātabhāvaṃ ñatvā nagaraṃ pavisitvā yuddhaṃ katvā sapattaṃ palāpetvā rajjaṃ gaṇhi. Pitāpissa ekasmiṃ nadītīre paṇṇasālaṃ kāretvā phalāphalena yāpento vasi. Rājā ca purohito ca phalāphalatthāya gacchanti. Parantapadāso deviyā saddhiṃ paṇṇasālāyameva hoti. Tatrāpi rājānaṃ paṭicca deviyā kucchismiṃ gabbho patiṭṭhāsi. Sā abhiṇhasaṃsaggavasena parantapena saddhiṃ aticari. Sā ekadivasaṃ parantapaṃ āha ‘‘raññā ñāte neva tava, na mayhaṃ jīvitaṃ atthi, tasmā mārehi na’’nti. ‘‘Kathaṃ māremī’’ti? Esa taṃ khaggañca nhānasāṭakañca gāhāpetvā nhāyituṃ gacchati, tatrassa nhānaṭṭhāne pamādaṃ ñatvā khaggena sīsaṃ chinditvā sarīraṃ khaṇḍākhaṇḍikaṃ katvā bhūmiyaṃ nikhaṇāhīti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.

    อเถกทิวสํ ปุโรหิโตเยว ผลาผลตฺถาย คนฺตฺวา อวิทูเร รโญฺญ นฺหานติตฺถสามเนฺต เอกํ รุกฺขํ อารุยฺห ผลาผลํ คณฺหาติฯ ราชา ‘‘นฺหายิสฺสามี’’ติ ปรนฺตปํ ขคฺคญฺจ นฺหานสาฎกญฺจ คาหาเปตฺวา นทีตีรํ อคมาสิฯ ตตฺถ นํ นฺหานกาเล ปมาทมาปนฺนํ ‘‘มาเรสฺสามี’’ติ ปรนฺตโป คีวาย คเหตฺวา ขคฺคํ อุกฺขิปิฯ โส มรณภเยน วิรวิฯ ปุโรหิโต ตํ สทฺทํ สุตฺวา โอโลเกโนฺต ปรนฺตปํ ราชานํ มาเรนฺตํ ทิสฺวา ภีตตสิโต สาขํ วิสฺสเชฺชตฺวา รุกฺขโต โอรุยฺห เอกํ คุมฺพํ ปวิสิตฺวา นิลียิฯ ปรนฺตโป ตสฺส สาขาวิสฺสชฺชนสทฺทํ สุตฺวา ราชานํ มาเรตฺวา ภูมิยํ ขณิตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน สาขาวิสฺสชฺชนสโทฺท อโหสิ, โก นุ โข เอตฺถา’’ติ วิจินโนฺต กญฺจิ อทิสฺวา นฺหตฺวา คโตฯ ตสฺส คตกาเล ปุโรหิโต นิสินฺนฎฺฐานา นิกฺขมิตฺวา รโญฺญ สรีรํ ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺทิตฺวา อาวาเฎ นิขาตภาวํ ญตฺวา นฺหตฺวา อตฺตโน วธภเยน อนฺธเวสํ คเหตฺวา ปณฺณสาลํ อคมาสิฯ ตํ ทิสฺวา ปรนฺตโป ‘‘กิํ เต, พฺราหฺมณ, กต’’นฺติ อาหฯ โส อชานโนฺต วิย ‘‘เทว, อกฺขีนิ เม นาเสตฺวา อาคโตมฺหิ, อุสฺสนฺนาสีวิเส อรเญฺญ เอกสฺมิํ วมฺมิกปเสฺส อฎฺฐาสิํ, ตเตฺรเกน อาสีวิเสน นาสวาโต วิสฺสโฎฺฐ เม ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ ปรนฺตโป ‘‘น มํ สญฺชานาติ, ‘เทวา’ติ วทติ, สมสฺสาเสสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, มา จินฺตยิ, อหํ ตํ ปฎิชคฺคิสฺสามี’’ติ อสฺสาเสตฺวา ผลาผลํ ทตฺวา สนฺตเปฺปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ปรนฺตปทาโส ผลาผลํ อาหริ, เทวีปิ ปุตฺตํ วิชายิฯ สา ปุเตฺต วฑฺฒเนฺต เอกทิวสํ ปจฺจูสสมเย สุขนิสินฺนา สณิกํ ปรนฺตปทาสํ เอตทโวจ ‘‘ตฺวํ ราชานํ มาเรโนฺต เกนจิ ทิโฎฺฐ’’ติฯ ‘‘น มํ โกจิ อทฺทส, สาขาวิสฺสชฺชนสทฺทํ ปน อโสฺสสิํ, ตสฺสา สาขาย มนุเสฺสน วา ติรจฺฉาเนน วา วิสฺสฎฺฐภาวํ น ชานามิ, ยทา กทาจิ ปน เม ภยํ อาคจฺฉนฺตํ สาขาวิสฺสฎฺฐฎฺฐานโต อาคมิสฺสตี’’ติ ตาย สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Athekadivasaṃ purohitoyeva phalāphalatthāya gantvā avidūre rañño nhānatitthasāmante ekaṃ rukkhaṃ āruyha phalāphalaṃ gaṇhāti. Rājā ‘‘nhāyissāmī’’ti parantapaṃ khaggañca nhānasāṭakañca gāhāpetvā nadītīraṃ agamāsi. Tattha naṃ nhānakāle pamādamāpannaṃ ‘‘māressāmī’’ti parantapo gīvāya gahetvā khaggaṃ ukkhipi. So maraṇabhayena viravi. Purohito taṃ saddaṃ sutvā olokento parantapaṃ rājānaṃ mārentaṃ disvā bhītatasito sākhaṃ vissajjetvā rukkhato oruyha ekaṃ gumbaṃ pavisitvā nilīyi. Parantapo tassa sākhāvissajjanasaddaṃ sutvā rājānaṃ māretvā bhūmiyaṃ khaṇitvā ‘‘imasmiṃ ṭhāne sākhāvissajjanasaddo ahosi, ko nu kho etthā’’ti vicinanto kañci adisvā nhatvā gato. Tassa gatakāle purohito nisinnaṭṭhānā nikkhamitvā rañño sarīraṃ khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinditvā āvāṭe nikhātabhāvaṃ ñatvā nhatvā attano vadhabhayena andhavesaṃ gahetvā paṇṇasālaṃ agamāsi. Taṃ disvā parantapo ‘‘kiṃ te, brāhmaṇa, kata’’nti āha. So ajānanto viya ‘‘deva, akkhīni me nāsetvā āgatomhi, ussannāsīvise araññe ekasmiṃ vammikapasse aṭṭhāsiṃ, tatrekena āsīvisena nāsavāto vissaṭṭho me bhavissatī’’ti āha. Parantapo ‘‘na maṃ sañjānāti, ‘devā’ti vadati, samassāsessāmi na’’nti cintetvā ‘‘brāhmaṇa, mā cintayi, ahaṃ taṃ paṭijaggissāmī’’ti assāsetvā phalāphalaṃ datvā santappesi. Tato paṭṭhāya parantapadāso phalāphalaṃ āhari, devīpi puttaṃ vijāyi. Sā putte vaḍḍhante ekadivasaṃ paccūsasamaye sukhanisinnā saṇikaṃ parantapadāsaṃ etadavoca ‘‘tvaṃ rājānaṃ mārento kenaci diṭṭho’’ti. ‘‘Na maṃ koci addasa, sākhāvissajjanasaddaṃ pana assosiṃ, tassā sākhāya manussena vā tiracchānena vā vissaṭṭhabhāvaṃ na jānāmi, yadā kadāci pana me bhayaṃ āgacchantaṃ sākhāvissaṭṭhaṭṭhānato āgamissatī’’ti tāya saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๕๔.

    154.

    ‘‘อาคมิสฺสติ เม ปาปํ, อาคมิสฺสติ เม ภยํ;

    ‘‘Āgamissati me pāpaṃ, āgamissati me bhayaṃ;

    ตทา หิ จลิตา สาขา, มนุเสฺสน มิเคน วา’’ติฯ

    Tadā hi calitā sākhā, manussena migena vā’’ti.

    ตตฺถ ปาปนฺติ ลามกํ อนิฎฺฐํ อกนฺตํฯ ภยนฺติ จิตฺตุตฺราสภยมฺปิ เม อาคมิสฺสติ, น สกฺกา นาคนฺตุํฯ กิํการณา? ตทา หิ จลิตา สาขา มนุเสฺสน มิเคน วาติ น ปญฺญายติ, ตสฺมา ตโต มํ ภยํ อาคมิสฺสติฯ

    Tattha pāpanti lāmakaṃ aniṭṭhaṃ akantaṃ. Bhayanti cittutrāsabhayampi me āgamissati, na sakkā nāgantuṃ. Kiṃkāraṇā? Tadā hi calitā sākhā manussena migena vāti na paññāyati, tasmā tato maṃ bhayaṃ āgamissati.

    เต ‘‘ปุโรหิโต นิทฺทายตี’’ติ มญฺญิํสุฯ โส ปน อนิทฺทายมาโนว เตสํ กถํ อโสฺสสิฯ อเถกทิวสํ ปุโรหิโต ปรนฺตปทาเส ผลาผลตฺถาย คเต อตฺตโน พฺราหฺมณิํ สริตฺวา วิลปโนฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Te ‘‘purohito niddāyatī’’ti maññiṃsu. So pana aniddāyamānova tesaṃ kathaṃ assosi. Athekadivasaṃ purohito parantapadāse phalāphalatthāya gate attano brāhmaṇiṃ saritvā vilapanto dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๕๕.

    155.

    ‘‘ภีรุยา นูน เม กาโม, อวิทูเร วสนฺติยา;

    ‘‘Bhīruyā nūna me kāmo, avidūre vasantiyā;

    กริสฺสติ กิสํ ปณฺฑุํ, สาว สาขา ปรนฺตป’’นฺติฯ

    Karissati kisaṃ paṇḍuṃ, sāva sākhā parantapa’’nti.

    ตตฺถ ภีรุยาติ อิตฺถี จ นาม อปฺปมตฺตเกนาปิ ภายติ, ตสฺมา ‘‘ภีรู’’ติ วุจฺจติฯ อวิทูเรติ นาติทูเร อิโต กติปยโยชนมตฺถเก วสนฺติยา ภีรุยา มยฺหํ พฺราหฺมณิยา โย มม กาโม อุปฺปโนฺน, โส นูน มํ กิสญฺจ ปณฺฑุญฺจ กริสฺสตีติ ทเสฺสติฯ ‘‘สาว สาขา’’ติ อิมินา ปน โอปมฺมํ ทเสฺสติ, ยถา สาขา ปรนฺตปํ กิสํ ปณฺฑุํ กโรติ, เอวนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha bhīruyāti itthī ca nāma appamattakenāpi bhāyati, tasmā ‘‘bhīrū’’ti vuccati. Avidūreti nātidūre ito katipayayojanamatthake vasantiyā bhīruyā mayhaṃ brāhmaṇiyā yo mama kāmo uppanno, so nūna maṃ kisañca paṇḍuñca karissatīti dasseti. ‘‘Sāva sākhā’’ti iminā pana opammaṃ dasseti, yathā sākhā parantapaṃ kisaṃ paṇḍuṃ karoti, evanti attho.

    อิติ พฺราหฺมโณ คาถเมว วทติ, อตฺถํ ปน น กเถติ, ตสฺมา อิมาย คาถาย กิจฺจํ เทวิยา อปากฎํฯ อถ นํ ‘‘กิํ กเถสิ พฺราหฺมณา’’ติ อาหฯ โสปิ ‘‘สลฺลกฺขิตํ เม’’ติ วตฺวา ปุน เอกทิวสํ ตติยํ คาถมาห –

    Iti brāhmaṇo gāthameva vadati, atthaṃ pana na katheti, tasmā imāya gāthāya kiccaṃ deviyā apākaṭaṃ. Atha naṃ ‘‘kiṃ kathesi brāhmaṇā’’ti āha. Sopi ‘‘sallakkhitaṃ me’’ti vatvā puna ekadivasaṃ tatiyaṃ gāthamāha –

    ๑๕๖.

    156.

    ‘‘โสจยิสฺสติ มํ กนฺตา, คาเม วสมนินฺทิตา;

    ‘‘Socayissati maṃ kantā, gāme vasamaninditā;

    กริสฺสติ กิสํ ปณฺฑุํ, สาว สาขา ปรนฺตป’’นฺติฯ

    Karissati kisaṃ paṇḍuṃ, sāva sākhā parantapa’’nti.

    ตตฺถ โสจยิสฺสตีติ โสกุปฺปาทเนน สุกฺขาเปสฺสติฯ กนฺตาติ อิฎฺฐภริยาฯ คาเม วสนฺติ พาราณสิยํ วสนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ อนินฺทิตาติ อครหิตา อุตฺตมรูปธราฯ

    Tattha socayissatīti sokuppādanena sukkhāpessati. Kantāti iṭṭhabhariyā. Gāme vasanti bārāṇasiyaṃ vasantīti adhippāyo. Aninditāti agarahitā uttamarūpadharā.

    ปุเนกทิวสํ จตุตฺถํ คาถมาห –

    Punekadivasaṃ catutthaṃ gāthamāha –

    ๑๕๗.

    157.

    ‘‘ตยา มํ อสิตาปงฺคิ, สิตานิ ภณิตานิ จ;

    ‘‘Tayā maṃ asitāpaṅgi, sitāni bhaṇitāni ca;

    กิสํ ปณฺฑุํ กริสฺสนฺติ, สาว สาขา ปรนฺตป’’นฺติฯ

    Kisaṃ paṇḍuṃ karissanti, sāva sākhā parantapa’’nti.

    ตตฺถ ตยา มํ อสิตาปงฺคีติ ตยา มํ อสิตา อปงฺคิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ภเทฺท, อกฺขิโกฎิโต อญฺชนสลากาย นีหริตฺวา อภิสงฺขตอสิตาปงฺคิ ตยา ปวตฺติตานิ มนฺทหสิตานิ จ มธุรภาสิตานิ จ มํ สา วิสฺสฎฺฐสาขา วิรวมานา ปรนฺตปํ วิย กิสํ ปณฺฑุํ กริสฺสตีติฯ ป-การสฺส ว-การํ กตฺวา ‘‘วงฺคี’’ติปิ ปาโฐเยวฯ

    Tattha tayā maṃ asitāpaṅgīti tayā maṃ asitā apaṅgi. Idaṃ vuttaṃ hoti – bhadde, akkhikoṭito añjanasalākāya nīharitvā abhisaṅkhataasitāpaṅgi tayā pavattitāni mandahasitāni ca madhurabhāsitāni ca maṃ sā vissaṭṭhasākhā viravamānā parantapaṃ viya kisaṃ paṇḍuṃ karissatīti. Pa-kārassa va-kāraṃ katvā ‘‘vaṅgī’’tipi pāṭhoyeva.

    อปรภาเค กุมาโร วยปฺปโตฺต อโหสิ โสฬสวสฺสุเทฺทสิโกฯ อถ นํ พฺราหฺมโณ ยฎฺฐิโกฎิํ คาหาเปตฺวา นฺหานติตฺถํ คนฺตฺวา อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา โอโลเกสิฯ กุมาโร ‘‘นนุ ตฺวํ พฺราหฺมณ, อโนฺธ’’ติ อาหฯ โส ‘‘นาหํ อโนฺธ, อิมินา เม อุปาเยน ชีวิตํ รกฺขามี’’ติ วตฺวา ‘‘ตว ปิตรํ ชานาสี’’ติ อาหฯ ‘‘อยํ เม ปิตา’’ติ วุเตฺต ‘‘นายํ ตว ปิตา, ปิตา ปน เต พาราณสิราชา, อยํ ตุมฺหากํ ทาโส, โส มาตริ เต วิปฺปฎิปชฺชิตฺวา อิมสฺมิํ ฐาเน ตว ปิตรํ มาเรตฺวา นิขณี’’ติ อฎฺฐีนิ นีหริตฺวา ทเสฺสสิฯ กุมารสฺส พลวโกโธ อุปฺปชฺชิฯ อถ นํ ‘‘อิทานิ กิํ กโรมี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ยํ เต อิสฺมิํเยว ติเตฺถ ปิตุ เตน กตํ, ตํ กโรหี’’ติ สพฺพํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิตฺวา กุมารํ กติปาหํ ถรุคณฺหนํ สิกฺขาเปสิฯ อเถกทิวสํ กุมาโร ขคฺคญฺจ นฺหานสาฎกญฺจ คเหตฺวา ‘‘นฺหายิตุํ คจฺฉาม, ตาตา’’ติ อาหฯ ปรนฺตโป ‘‘สาธู’’ติ เตน สทฺธิํ คโตฯ อถสฺส นฺหายิตุํ โอติณฺณกาเล ทกฺขิณหเตฺถน อสิํ, วามหเตฺถน จูฬํ คเหตฺวา ‘‘ตฺวํ กิร อิมสฺมิํเยว ติเตฺถ มม ปิตรํ จูฬาย คเหตฺวา วิรวนฺตํ มาเรสิ, อหมฺปิ ตํ ตเถว กริสฺสามี’’ติ อาหฯ โส มรณภยภีโต ปริเทวมาโน เทฺว คาถา อภาสิ –

    Aparabhāge kumāro vayappatto ahosi soḷasavassuddesiko. Atha naṃ brāhmaṇo yaṭṭhikoṭiṃ gāhāpetvā nhānatitthaṃ gantvā akkhīni ummīletvā olokesi. Kumāro ‘‘nanu tvaṃ brāhmaṇa, andho’’ti āha. So ‘‘nāhaṃ andho, iminā me upāyena jīvitaṃ rakkhāmī’’ti vatvā ‘‘tava pitaraṃ jānāsī’’ti āha. ‘‘Ayaṃ me pitā’’ti vutte ‘‘nāyaṃ tava pitā, pitā pana te bārāṇasirājā, ayaṃ tumhākaṃ dāso, so mātari te vippaṭipajjitvā imasmiṃ ṭhāne tava pitaraṃ māretvā nikhaṇī’’ti aṭṭhīni nīharitvā dassesi. Kumārassa balavakodho uppajji. Atha naṃ ‘‘idāni kiṃ karomī’’ti pucchi. ‘‘Yaṃ te ismiṃyeva titthe pitu tena kataṃ, taṃ karohī’’ti sabbaṃ pavattiṃ ācikkhitvā kumāraṃ katipāhaṃ tharugaṇhanaṃ sikkhāpesi. Athekadivasaṃ kumāro khaggañca nhānasāṭakañca gahetvā ‘‘nhāyituṃ gacchāma, tātā’’ti āha. Parantapo ‘‘sādhū’’ti tena saddhiṃ gato. Athassa nhāyituṃ otiṇṇakāle dakkhiṇahatthena asiṃ, vāmahatthena cūḷaṃ gahetvā ‘‘tvaṃ kira imasmiṃyeva titthe mama pitaraṃ cūḷāya gahetvā viravantaṃ māresi, ahampi taṃ tatheva karissāmī’’ti āha. So maraṇabhayabhīto paridevamāno dve gāthā abhāsi –

    ๑๕๘.

    158.

    ‘‘อาคมา นูน โส สโทฺท, อสํสิ นูน โส ตว;

    ‘‘Āgamā nūna so saddo, asaṃsi nūna so tava;

    อกฺขาตํ นูน ตํ เตน, โย ตํ สาขมกมฺปยิฯ

    Akkhātaṃ nūna taṃ tena, yo taṃ sākhamakampayi.

    ๑๕๙.

    159.

    ‘‘อิทํ โข ตํ สมาคมฺม, มม พาลสฺส จินฺติตํ;

    ‘‘Idaṃ kho taṃ samāgamma, mama bālassa cintitaṃ;

    ตทา หิ จลิตา สาขา, มนุเสฺสน มิเคน วา’’ติฯ

    Tadā hi calitā sākhā, manussena migena vā’’ti.

    ตตฺถ อาคมาติ โส สาขสโทฺท นูน ตํ อาคโต สมฺปโตฺตฯ อสํสิ นูน โส ตวาติ โส สโทฺท ตว อาโรเจสิ มเญฺญฯ อกฺขาตํ นูน ตํ เตนาติ โย สโตฺต ตทา ตํ สาขํ อกมฺปยิ, เตน ‘‘เอวํ เต ปิตา มาริโต’’ติ นูน ตํ การณํ อกฺขาตํฯ สมาคมฺมาติ สงฺคมฺม, สมาคตนฺติ อโตฺถฯ ยํ มม พาลสฺส ‘‘ตทา จลิตา สาขา มนุเสฺสน มิเคน วา, ตโต เม ภยํ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ จินฺติตํ ปริวิตกฺกิตํ อโหสิ, อิทํ ตยา สทฺธิํ สมาคตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tattha āgamāti so sākhasaddo nūna taṃ āgato sampatto. Asaṃsi nūna so tavāti so saddo tava ārocesi maññe. Akkhātaṃ nūna taṃ tenāti yo satto tadā taṃ sākhaṃ akampayi, tena ‘‘evaṃ te pitā mārito’’ti nūna taṃ kāraṇaṃ akkhātaṃ. Samāgammāti saṅgamma, samāgatanti attho. Yaṃ mama bālassa ‘‘tadā calitā sākhā manussena migena vā, tato me bhayaṃ uppajjissatī’’ti cintitaṃ parivitakkitaṃ ahosi, idaṃ tayā saddhiṃ samāgatanti vuttaṃ hoti.

    ตโต กุมาโร โอสานคาถมาห –

    Tato kumāro osānagāthamāha –

    ๑๖๐.

    160.

    ‘‘ตเถว ตฺวํ อเวเทสิ, อวญฺจิ ปิตรํ มม;

    ‘‘Tatheva tvaṃ avedesi, avañci pitaraṃ mama;

    หนฺตฺวา สาขาหิ ฉาเทโนฺต, อาคมิสฺสติ เม ภย’’นฺติฯ

    Hantvā sākhāhi chādento, āgamissati me bhaya’’nti.

    ตตฺถ ตเถว ตฺวํ อเวเทสีติ ตเถว ตฺวํ อญฺญาสิฯ อวญฺจิ ปิตรํ มมาติ ตฺวํ มม ปิตรํ ‘‘นฺหายิตุํ คจฺฉามา’’ติ วิสฺสาเสตฺวา นฺหายนฺตํ มาเรตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺทิตฺวา นิขณิตฺวา ‘‘สเจ โกจิ ชานิสฺสติ, มยฺหมฺปิ เอวรูปํ ภยํ อาคจฺฉิสฺสตี’’ติ วเญฺจสิ, อิทํ โข ปน มรณภยํ อิทานิ ตวาคตนฺติฯ

    Tattha tatheva tvaṃ avedesīti tatheva tvaṃ aññāsi. Avañci pitaraṃ mamāti tvaṃ mama pitaraṃ ‘‘nhāyituṃ gacchāmā’’ti vissāsetvā nhāyantaṃ māretvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinditvā nikhaṇitvā ‘‘sace koci jānissati, mayhampi evarūpaṃ bhayaṃ āgacchissatī’’ti vañcesi, idaṃ kho pana maraṇabhayaṃ idāni tavāgatanti.

    อิติ ตํ วตฺวา ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา นิขณิตฺวา สาขาหิ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ขคฺคํ โธวิตฺวา นฺหตฺวา ปณฺณสาลํ คนฺตฺวา ตสฺส มาริตภาวํ ปุโรหิตสฺส กเถตฺวา มาตรํ ปริภาสิตฺวา ‘‘อิธ กิํ กริสฺสามา’’ติ ตโย ชนา พาราณสิเมว อคมํสุฯ โพธิสโตฺต กนิฎฺฐสฺส โอปรชฺชํ ทตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สคฺคปทํ ปูเรสิฯ

    Iti taṃ vatvā tattheva jīvitakkhayaṃ pāpetvā nikhaṇitvā sākhāhi paṭicchādetvā khaggaṃ dhovitvā nhatvā paṇṇasālaṃ gantvā tassa māritabhāvaṃ purohitassa kathetvā mātaraṃ paribhāsitvā ‘‘idha kiṃ karissāmā’’ti tayo janā bārāṇasimeva agamaṃsu. Bodhisatto kaniṭṭhassa oparajjaṃ datvā dānādīni puññāni katvā saggapadaṃ pūresi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปิตุราชา เทวทโตฺต อโหสิ, ปุโรหิโต อานโนฺท, ปุตฺตราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā piturājā devadatto ahosi, purohito ānando, puttarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    ปรนฺตปชาตกวณฺณนา เอกาทสมาฯ

    Parantapajātakavaṇṇanā ekādasamā.

    คนฺธารวโคฺค ทุติโยฯ

    Gandhāravaggo dutiyo.

    ชาตกุทฺทานํ –

    Jātakuddānaṃ –

    กุกฺกุ มโนช สุตโน, คิชฺฌ ทพฺภปุปฺผ ปณฺณโก;

    Kukku manoja sutano, gijjha dabbhapuppha paṇṇako;

    สตฺตุภสฺต อฎฺฐิเสโน, กปิ พกพฺรหฺมา ทสฯ

    Sattubhasta aṭṭhiseno, kapi bakabrahmā dasa.

    คนฺธาโร มหากปิ จ, กุมฺภกาโร ทฬฺหธโมฺม;

    Gandhāro mahākapi ca, kumbhakāro daḷhadhammo;

    โสมทโตฺต สุสีโม จ, โกฎสิมฺพลิ ธูมการี;

    Somadatto susīmo ca, koṭasimbali dhūmakārī;

    ชาคโร กุมฺมาสปิโณฺฑ, ปรนฺตปา เอกาทสฯ

    Jāgaro kummāsapiṇḍo, parantapā ekādasa.

    สตฺตกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sattakanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๑๖. ปรนฺตปชาตกํ • 416. Parantapajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact