Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๑๐. ปริหานสุตฺตวณฺณนา
10. Parihānasuttavaṇṇanā
๗๙. ทสเม ปริหานาย สํวตฺตนฺตีติ อวุทฺธิยา ภวนฺติ, มคฺคาธิคมสฺส ปริปนฺถาย โหนฺติฯ อธิคตสฺส ปน มคฺคสฺส ปริหานิ นาม นตฺถิฯ ‘‘ตโย ธมฺมา’’ติ ธมฺมาธิฎฺฐานวเสน อุทฺทิฎฺฐธเมฺม ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย วิภชโนฺต ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, เสโข ภิกฺขู’’ติอาทิมาหฯ
79. Dasame parihānāya saṃvattantīti avuddhiyā bhavanti, maggādhigamassa paripanthāya honti. Adhigatassa pana maggassa parihāni nāma natthi. ‘‘Tayo dhammā’’ti dhammādhiṭṭhānavasena uddiṭṭhadhamme puggalādhiṭṭhānāya desanāya vibhajanto ‘‘idha, bhikkhave, sekho bhikkhū’’tiādimāha.
ตตฺถ กมฺมํ อารมิตพฺพโต อาราโม เอตสฺสาติ กมฺมาราโมฯ กเมฺม รโตติ กมฺมรโตฯ กมฺมารามตํ กมฺมาภิรติํ อนุยุโตฺต ปยุโตฺตติ กมฺมารามตมนุยุโตฺตฯ ตตฺถ กมฺมํ นาม อิติกตฺตพฺพํ กมฺมํ, เสยฺยถิทํ – จีวรวิจารณํ, จีวรกรณํ, อุปตฺถมฺภนํ, ปตฺตตฺถวิกํ, อํสพนฺธนํ, กายพนฺธนํ, ธมกรณํ, อาธารกํ, ปาทกถลิกํ, สมฺมชฺชนีติ เอวมาทีนํ อุปกรณานํ กรณํ, ยญฺจ วิหาเร ขณฺฑผุลฺลาทิปฎิสงฺขรณํ ฯ เอกโจฺจ หิ เอตานิ กโรโนฺต สกลทิวสํ เอตาเนว กโรติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ โย ปน เอเตสํ กรณเวลายเมว เอตานิ กโรติ, อุเทฺทสเวลายํ อุเทฺทสํ คณฺหาติ, สชฺฌายเวลายํ สชฺฌายติ, เจติยงฺคณวตฺตาทิกรณเวลายํ เจติยงฺคณวตฺตาทีนิ กโรติ, มนสิการเวลายํ มนสิการํ กโรติ สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐาเน วา ปาริหาริยกมฺมฎฺฐาเน วา, น โส กมฺมาราโม นามฯ ตสฺส ตํ –
Tattha kammaṃ āramitabbato ārāmo etassāti kammārāmo. Kamme ratoti kammarato. Kammārāmataṃ kammābhiratiṃ anuyutto payuttoti kammārāmatamanuyutto. Tattha kammaṃ nāma itikattabbaṃ kammaṃ, seyyathidaṃ – cīvaravicāraṇaṃ, cīvarakaraṇaṃ, upatthambhanaṃ, pattatthavikaṃ, aṃsabandhanaṃ, kāyabandhanaṃ, dhamakaraṇaṃ, ādhārakaṃ, pādakathalikaṃ, sammajjanīti evamādīnaṃ upakaraṇānaṃ karaṇaṃ, yañca vihāre khaṇḍaphullādipaṭisaṅkharaṇaṃ . Ekacco hi etāni karonto sakaladivasaṃ etāneva karoti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Yo pana etesaṃ karaṇavelāyameva etāni karoti, uddesavelāyaṃ uddesaṃ gaṇhāti, sajjhāyavelāyaṃ sajjhāyati, cetiyaṅgaṇavattādikaraṇavelāyaṃ cetiyaṅgaṇavattādīni karoti, manasikāravelāyaṃ manasikāraṃ karoti sabbatthakakammaṭṭhāne vā pārihāriyakammaṭṭhāne vā, na so kammārāmo nāma. Tassa taṃ –
‘‘ยานิ โข ปน ตานิ สพฺรหฺมจารีนํ อุจฺจาวจานิ กิํกรณียานิ, ตตฺถ ทโกฺข โหติ อนลโส, ตตฺรุปายาย วีมํสาย สมนฺนาคโต, อลํ กาตุํ อลํ สํวิธาตุ’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๓๔๕; อ. นิ. ๑๐.๑๘) –
‘‘Yāni kho pana tāni sabrahmacārīnaṃ uccāvacāni kiṃkaraṇīyāni, tattha dakkho hoti analaso, tatrupāyāya vīmaṃsāya samannāgato, alaṃ kātuṃ alaṃ saṃvidhātu’’nti (dī. ni. 3.345; a. ni. 10.18) –
อาทินา สตฺถารา อนุญฺญาตกรณเมว โหติฯ
Ādinā satthārā anuññātakaraṇameva hoti.
ภสฺสาราโมติ โย ภควตา ปฎิกฺขิตฺตราชกถาทิวเสน รตฺตินฺทิวํ วีตินาเมติ, อยํ ภเสฺส ปริยนฺตการี น โหตีติ ภสฺสาราโม นามฯ โย ปน รตฺติมฺปิ ทิวาปิ ธมฺมํ กเถติ, ปญฺหํ วิสฺสเชฺชติ, อยํ อปฺปภโสฺส ภเสฺส ปริยนฺตการีเยวฯ กสฺมา? ‘‘สนฺนิปติตานํ โว, ภิกฺขเว, ทฺวยํ กรณียํ – ธมฺมี วา กถา, อริโย วา ตุณฺหีภาโว’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๗๓) วุตฺตวิธิํเยว ปฎิปโนฺนติฯ
Bhassārāmoti yo bhagavatā paṭikkhittarājakathādivasena rattindivaṃ vītināmeti, ayaṃ bhasse pariyantakārī na hotīti bhassārāmo nāma. Yo pana rattimpi divāpi dhammaṃ katheti, pañhaṃ vissajjeti, ayaṃ appabhasso bhasse pariyantakārīyeva. Kasmā? ‘‘Sannipatitānaṃ vo, bhikkhave, dvayaṃ karaṇīyaṃ – dhammī vā kathā, ariyo vā tuṇhībhāvo’’ti (ma. ni. 1.273) vuttavidhiṃyeva paṭipannoti.
นิทฺทาราโมติ โย ยาวทตฺถํ อุทราวเทหกํ ภุญฺชิตฺวา เสยฺยสุขํ, ปสฺสสุขํ, มิทฺธสุขํ อนุยุญฺชติ, โย จ คจฺฉโนฺตปิ นิสิโนฺนปิ ฐิโตปิ ถินมิทฺธาภิภูโต นิทฺทายติ, อยํ นิทฺทาราโม นามฯ ยสฺส ปน กรชกายเคลเญฺญน จิตฺตํ ภวงฺคํ โอตรติ, นายํ นิทฺทาราโม, เตเนวาห –
Niddārāmoti yo yāvadatthaṃ udarāvadehakaṃ bhuñjitvā seyyasukhaṃ, passasukhaṃ, middhasukhaṃ anuyuñjati, yo ca gacchantopi nisinnopi ṭhitopi thinamiddhābhibhūto niddāyati, ayaṃ niddārāmo nāma. Yassa pana karajakāyagelaññena cittaṃ bhavaṅgaṃ otarati, nāyaṃ niddārāmo, tenevāha –
‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, อคฺคิเวสฺสน, คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฺปฎิกฺกโนฺต จตุคฺคุณํ สงฺฆาฎิํ ปญฺญาเปตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน นิทฺทํ โอกฺกมิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗)ฯ
‘‘Abhijānāmi kho panāhaṃ, aggivessana, gimhānaṃ pacchime māse pacchābhattaṃ piṇḍapātappaṭikkanto catugguṇaṃ saṅghāṭiṃ paññāpetvā dakkhiṇena passena sato sampajāno niddaṃ okkamitā’’ti (ma. ni. 1.387).
เอตฺถ จ ปุถุชฺชนกลฺยาณโกปิ เสโขเตฺวว เวทิตโพฺพฯ ตสฺมา ตสฺส สพฺพสฺสปิ วิเสสาธิคมสฺส อิตเรสํ อุปริ วิเสสาธิคมสฺส จ ปริหานาย วตฺตนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ สุกฺกปกฺขสฺส วุตฺตวิปริยาเยน อตฺถวิภาวนา เวทิตพฺพาฯ
Ettha ca puthujjanakalyāṇakopi sekhotveva veditabbo. Tasmā tassa sabbassapi visesādhigamassa itaresaṃ upari visesādhigamassa ca parihānāya vattantīti veditabbaṃ. Sukkapakkhassa vuttavipariyāyena atthavibhāvanā veditabbā.
คาถาสุ อุทฺธโตติ จิตฺตวิเกฺขปกเรน อุทฺธเจฺจน อุทฺธโต อวูปสโนฺตฯ อปฺปกิจฺจสฺสาติ อนุญฺญาตสฺสปิ วุตฺตปฺปการสฺส กิจฺจสฺส ยุตฺตปฺปยุตฺตกาเลเยว กรณโต อปฺปกิโจฺจ อสฺส ภเวยฺยฯ อปฺปมิโทฺธติ ‘‘ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชายา’’ติอาทินา วุตฺตชาคริยานุโยเคน นิทฺทารหิโต อสฺสฯ อนุทฺธโตติ ภสฺสารามตาย อุปฺปชฺชนกจิตฺตวิเกฺขปสฺส อภสฺสาราโม หุตฺวา ปริวชฺชเนน น อุทฺธโต วูปสนฺตจิโตฺต, สมาหิโตติ อโตฺถฯ เสสํ ปุเพฺพ วุตฺตนยตฺตา สุวิเญฺญยฺยเมวฯ อิติ อิมสฺมิํ วเคฺค ปฐมทุติยปญฺจมฉฎฺฐสตฺตมอฎฺฐมนวเมสุ สุเตฺตสุ วฎฺฎํ กถิตํ, อิตเรสุ วฎฺฎวิวฎฺฎํฯ
Gāthāsu uddhatoti cittavikkhepakarena uddhaccena uddhato avūpasanto. Appakiccassāti anuññātassapi vuttappakārassa kiccassa yuttappayuttakāleyeva karaṇato appakicco assa bhaveyya. Appamiddhoti ‘‘divasaṃ caṅkamena nisajjāyā’’tiādinā vuttajāgariyānuyogena niddārahito assa. Anuddhatoti bhassārāmatāya uppajjanakacittavikkhepassa abhassārāmo hutvā parivajjanena na uddhato vūpasantacitto, samāhitoti attho. Sesaṃ pubbe vuttanayattā suviññeyyameva. Iti imasmiṃ vagge paṭhamadutiyapañcamachaṭṭhasattamaaṭṭhamanavamesu suttesu vaṭṭaṃ kathitaṃ, itaresu vaṭṭavivaṭṭaṃ.
ทสมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dasamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
ตติยวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tatiyavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑๐. ปริหานสุตฺตํ • 10. Parihānasuttaṃ