Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī |
๑๕. ปริกฺขารหารวิภงฺควิภาวนา
15. Parikkhārahāravibhaṅgavibhāvanā
๔๙. เยน เยน สํวณฺณนาวิเสสภูเตน วิภเงฺคน ทุกฺขสจฺจาทีนํ เอกตฺตตาทโย วิภตฺตา, โส สํวณฺณนาวิเสสภูโต ปริปุโณฺณ, ‘‘กตโม ปริกฺขารหารวิภโงฺค นามา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตโม ปริกฺขาโร หาโร’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถาติ เตสุ นิทฺทิเฎฺฐสุ โสฬสสุ เทสนาหาราทีสุ กตโม สํวณฺณนาวิเสโส ปริกฺขาโร หาโร ปริกฺขารหารวิภโงฺค นามาติ ปุจฺฉติฯ ‘‘เย ธมฺมา ยํ ธมฺมํ ชนยนฺตี’’ติอาทินิเทฺทสสฺส อิทานิ มยา วุจฺจมาโน ‘‘โย ธโมฺม ยํ ธมฺมํ ชนยติ, ตสฺส โส ปริกฺขาโร’’ติอาทิโก ปริกฺขารภูตสฺส เหตุโน เจว ปจฺจยสฺส จ วิตฺถารสํวณฺณนาวิเสโส ปริกฺขารวิภโงฺค นามฯ
49. Yena yena saṃvaṇṇanāvisesabhūtena vibhaṅgena dukkhasaccādīnaṃ ekattatādayo vibhattā, so saṃvaṇṇanāvisesabhūto paripuṇṇo, ‘‘katamo parikkhārahāravibhaṅgo nāmā’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha katamo parikkhāro hāro’’tiādi vuttaṃ. Tattha tatthāti tesu niddiṭṭhesu soḷasasu desanāhārādīsu katamo saṃvaṇṇanāviseso parikkhāro hāro parikkhārahāravibhaṅgo nāmāti pucchati. ‘‘Ye dhammā yaṃ dhammaṃ janayantī’’tiādiniddesassa idāni mayā vuccamāno ‘‘yo dhammo yaṃ dhammaṃ janayati, tassa so parikkhāro’’tiādiko parikkhārabhūtassa hetuno ceva paccayassa ca vitthārasaṃvaṇṇanāviseso parikkhāravibhaṅgo nāma.
‘‘กตโม สํวเณฺณตโพฺพ ปริกฺขาโร’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘โย ธโมฺม’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ โย เหตุปจฺจยปฺปกาโร ธโมฺม ยํ ผลภูตํ ธมฺมํ ชนยติ ชเนติ, ตสฺส ผลธมฺมสฺส โส เหตุปจฺจยปฺปกาโร ธโมฺม ปริกฺขาโร นามฯ ‘‘กิํลกฺขโณ ปริกฺขาโร’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ตถา ปุจฺฉิตฺวา ลกฺขณวิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘‘กิํลกฺขโณ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถายํ ปน – ‘‘ตตฺถ ‘โย ธโมฺม ยํ ธมฺมํ ชนยติ, ตสฺส โส ปริกฺขาโร’ติ สเงฺขปโต ปริกฺขารลกฺขณํ วตฺวา ตํ วิภาเคน ทเสฺสตุํ ‘กิํลกฺขโณ’ติอาทิ วุตฺต’’นฺติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๔๙) วุตฺตํฯ ‘‘กิตฺตกา ธมฺมา ชนยนฺตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘เทฺว ธมฺมา ชนยนฺติ เหตุ จ ปจฺจโย จา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘เหตุปิ การณํ, ปจฺจโยปิ การณํ , ตสฺมา การณาเยว เกน ลกฺขเณน ทฺวิธา วุตฺตา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กิํลกฺขโณ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ชนิตพฺพผลโต อเญฺญหิ ผเลหิ อสาธารณลกฺขโณ เหตุ, สพฺพผเลหิ สาธารณลกฺขโณ ปจฺจโย, อิมินา วิเสสลกฺขเณน ทฺวิธา วตฺตพฺพาติ อโตฺถฯ ‘‘สาธารณาสาธารณวิเสโส กีทิโส ภเว’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ยถา กิํ ภเว’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ยถา องฺกุรสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยถา โย สาธารณาสาธารณวิเสโส อตฺถิ, ตถา โส สาธารณาสาธารณวิเสโส กิํ วิย ภเวติ อโตฺถฯ องฺกุรสฺส นิพฺพตฺติยา พีชํ อสาธารณํ ยถา, ตถา เหตุ ผลสฺส นิพฺพตฺติยา อสาธารโณ ภเวฯ ปถวี จ อาโป จ องฺกุรสฺส นิพฺพตฺติยา สาธารณา ภวนฺติ ยถา, ตถา ปจฺจโย ผลสฺส นิพฺพตฺติยา สาธารโณ ภเวฯ สพฺพผลสฺส ปจฺจยตฺตา องฺกุรสฺส พีชํ อสาธารณํ ชนกํ เหตุฯ ‘‘กถํ ปถวี, อาโป จ สาธารณา ชนกาติ สทฺทหิตพฺพา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘องฺกุรสฺส หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สมํ สมานํ ผลํ ภวาเปตีติ สภาโว, โก โส? พีชํ เหตุเยวฯ ‘‘กิํ เหตุปจฺจยานํ วิเสโส พีชงฺกุโรปมาเยว ทเสฺสตโพฺพ, อุทาหุ อญฺญูปมายปิ ทเสฺสตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา อญฺญาย อุปมายปิ วิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยถา วา ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิมาย อุปมายปิ เหตุปจฺจยานํ วิเสโส วิชานิตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ
‘‘Katamo saṃvaṇṇetabbo parikkhāro’’ti pucchitabbattā ‘‘yo dhammo’’tiādi vuttaṃ. Tattha yo hetupaccayappakāro dhammo yaṃ phalabhūtaṃ dhammaṃ janayati janeti, tassa phaladhammassa so hetupaccayappakāro dhammo parikkhāro nāma. ‘‘Kiṃlakkhaṇo parikkhāro’’ti pucchitabbattā tathā pucchitvā lakkhaṇavisesaṃ dassetuṃ ‘‘kiṃlakkhaṇo’’tiādi vuttaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana – ‘‘tattha ‘yo dhammo yaṃ dhammaṃ janayati, tassa so parikkhāro’ti saṅkhepato parikkhāralakkhaṇaṃ vatvā taṃ vibhāgena dassetuṃ ‘kiṃlakkhaṇo’tiādi vutta’’nti (netti. aṭṭha. 49) vuttaṃ. ‘‘Kittakā dhammā janayantī’’ti pucchitabbattā ‘‘dve dhammā janayanti hetu ca paccayo cā’’ti vuttaṃ. ‘‘Hetupi kāraṇaṃ, paccayopi kāraṇaṃ , tasmā kāraṇāyeva kena lakkhaṇena dvidhā vuttā’’ti vattabbattā ‘‘tattha kiṃlakkhaṇo’’tiādi vuttaṃ. Janitabbaphalato aññehi phalehi asādhāraṇalakkhaṇo hetu, sabbaphalehi sādhāraṇalakkhaṇo paccayo, iminā visesalakkhaṇena dvidhā vattabbāti attho. ‘‘Sādhāraṇāsādhāraṇaviseso kīdiso bhave’’ti pucchitabbattā ‘‘yathā kiṃ bhave’’ti pucchitvā ‘‘yathā aṅkurassā’’tiādi vuttaṃ. Yathā yo sādhāraṇāsādhāraṇaviseso atthi, tathā so sādhāraṇāsādhāraṇaviseso kiṃ viya bhaveti attho. Aṅkurassa nibbattiyā bījaṃ asādhāraṇaṃ yathā, tathā hetu phalassa nibbattiyā asādhāraṇo bhave. Pathavī ca āpo ca aṅkurassa nibbattiyā sādhāraṇā bhavanti yathā, tathā paccayo phalassa nibbattiyā sādhāraṇo bhave. Sabbaphalassa paccayattā aṅkurassa bījaṃ asādhāraṇaṃ janakaṃ hetu. ‘‘Kathaṃ pathavī, āpo ca sādhāraṇā janakāti saddahitabbā’’ti pucchitabbattā ‘‘aṅkurassa hī’’tiādi vuttaṃ. Samaṃ samānaṃ phalaṃ bhavāpetīti sabhāvo, ko so? Bījaṃ hetuyeva. ‘‘Kiṃ hetupaccayānaṃ viseso bījaṅkuropamāyeva dassetabbo, udāhu aññūpamāyapi dassetabbo’’ti vattabbattā aññāya upamāyapi visesaṃ dassetuṃ ‘‘yathā vā panā’’tiādi vuttaṃ. Imāya upamāyapi hetupaccayānaṃ viseso vijānitabboti adhippāyo.
พีชงฺกุราทีสุ พาหิเรสุ ปริกฺขารภูตานํ เหตุปจฺจยานํ วิเสโส อาจริเยน วิภโตฺต, อเมฺหหิ จ ญาโต, ‘‘กถํ อชฺฌตฺติเกสุ วิภโตฺต’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘อยญฺหิ สํสาโร’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อถ วา ‘‘พาหิเรสุ ปริกฺขารภูโต เหตุปจฺจโย ยุโตฺต โหตุ, กถํ อชฺฌตฺติเกสุ ยุโตฺต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อยญฺหิ สํสาโร’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถายํ ปน – ‘‘เอวํ พาหิรํ เหตุปจฺจยวิภาคํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อชฺฌตฺติกํ ทเสฺสตุํ ‘อยญฺหิ สํสาโร’ติอาทิ วุตฺต’’นฺติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๔๙) วุตฺตํฯ เหตุปจฺจเยหิ สห สํสาโร ภวตีติ สเหตุปจฺจโยฯ อยํ สํสาโร หิ ยสฺมา สเหตุปจฺจโย หุตฺวา นิพฺพโตฺต, ตสฺมา อชฺฌตฺติเกปิ ปริกฺขารภูโต เหตุปจฺจโย ยุโตฺตเยวาติ ทฎฺฐโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ
Bījaṅkurādīsu bāhiresu parikkhārabhūtānaṃ hetupaccayānaṃ viseso ācariyena vibhatto, amhehi ca ñāto, ‘‘kathaṃ ajjhattikesu vibhatto’’ti pucchitabbattā ‘‘ayañhi saṃsāro’’tiādi vuttaṃ. Atha vā ‘‘bāhiresu parikkhārabhūto hetupaccayo yutto hotu, kathaṃ ajjhattikesu yutto’’ti vattabbattā ‘‘ayañhi saṃsāro’’tiādi vuttaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana – ‘‘evaṃ bāhiraṃ hetupaccayavibhāgaṃ dassetvā idāni ajjhattikaṃ dassetuṃ ‘ayañhi saṃsāro’tiādi vutta’’nti (netti. aṭṭha. 49) vuttaṃ. Hetupaccayehi saha saṃsāro bhavatīti sahetupaccayo. Ayaṃ saṃsāro hi yasmā sahetupaccayo hutvā nibbatto, tasmā ajjhattikepi parikkhārabhūto hetupaccayo yuttoyevāti daṭṭhabboti adhippāyo.
โส อิมสฺส สํสารสฺส สเหตุปจฺจยตฺตํ ยทิ ภควตา วุตฺตํ, เอวํ สติ อเมฺหหิ สทฺทหิตพฺพํ, ‘‘กถํ สทฺทหิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เอวญฺหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอวนฺติ อิมินา อวิชฺชาทินา เหตุปจฺจเยน สโพฺพ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท สํสาโรติ นิพฺพโตฺตติ ภควตา สํสารสฺส สเหตุปจฺจยตฺตํ วุตฺตํ, ตสฺมา สทฺทหิตพฺพํฯ อวิชฺชาทโย สงฺขาราทีนํ ปจฺจโย โหตุ, ‘‘กตโม อวิชฺชาย เหตู’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘อิติ อวิชฺชา อวิชฺชาย เหตู’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘กตโม อวิชฺชาย ปจฺจโย’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘อโยนิโส มนสิกาโร ปจฺจโย’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘กตมา อวิชฺชา กตมาย อวิชฺชาย เหตู’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ปุริมิกา อวิชฺชา ปจฺฉิมิกาย อวิชฺชาย เหตู’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘กตมา ปุริมิกา อวิชฺชา กตมา ปจฺฉิมิกา อวิชฺชา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘อวิชฺชาปริยุฎฺฐานสฺส เหตุภูโต ปุริโม อวิชฺชานุสโย สมนนฺตโรว กิํ, อุทาหุ ปรมฺปรเหตุปิ โหตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘พีชงฺกุโร วิยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ พีชงฺกุโรติ พีชานํ องฺกุโรติ พีชงฺกุโร, พีชานํ สมนนฺตรเหตุตาย องฺกุโร นิพฺพตฺตติ วิยฯ ยตฺถ รุกฺขาทิเก ยํ ผลํ นิพฺพตฺตติ, ตสฺมิํ รุกฺขาทิเก นิพฺพตฺตสฺส อสฺส ผลสฺส อิทํ พีชํ ปน ปรมฺปรเหตุตาย เหตุภูตํ ภวติฯ
So imassa saṃsārassa sahetupaccayattaṃ yadi bhagavatā vuttaṃ, evaṃ sati amhehi saddahitabbaṃ, ‘‘kathaṃ saddahitabba’’nti vattabbattā ‘‘evañhī’’tiādi vuttaṃ. Evanti iminā avijjādinā hetupaccayena sabbo paṭiccasamuppādo saṃsāroti nibbattoti bhagavatā saṃsārassa sahetupaccayattaṃ vuttaṃ, tasmā saddahitabbaṃ. Avijjādayo saṅkhārādīnaṃ paccayo hotu, ‘‘katamo avijjāya hetū’’ti pucchitabbattā ‘‘iti avijjā avijjāya hetū’’ti vuttaṃ. ‘‘Katamo avijjāya paccayo’’ti pucchitabbattā ‘‘ayoniso manasikāro paccayo’’ti vuttaṃ. ‘‘Katamā avijjā katamāya avijjāya hetū’’ti pucchitabbattā ‘‘purimikā avijjā pacchimikāya avijjāya hetū’’ti vuttaṃ. ‘‘Katamā purimikā avijjā katamā pacchimikā avijjā’’ti pucchitabbattā ‘‘tatthā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Avijjāpariyuṭṭhānassa hetubhūto purimo avijjānusayo samanantarova kiṃ, udāhu paramparahetupi hotī’’ti pucchitabbattā ‘‘bījaṅkuro viyā’’tiādi vuttaṃ. Bījaṅkuroti bījānaṃ aṅkuroti bījaṅkuro, bījānaṃ samanantarahetutāya aṅkuro nibbattati viya. Yattha rukkhādike yaṃ phalaṃ nibbattati, tasmiṃ rukkhādike nibbattassa assa phalassa idaṃ bījaṃ pana paramparahetutāya hetubhūtaṃ bhavati.
‘‘พีชํ ปน เอกํเยว โหติ, กถํ ทฺวิธา วตฺตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ทุวิโธ หี’’ติอาทิ วุตฺตํ, สมนนฺตรกาลปรมฺปรกาลเภเทน เหตุปิ ทุวิโธ โหติเยวาติ อโตฺถฯ พีชภูโต เหตุ ทุวิโธ ยถา, เอวํ อวิชฺชาย เหตุภูโต อวิชฺชานุสโยปิ สมนนฺตรเหตุ จ ปรมฺปรเหตุ จาติ กาลเภเทน ทุวิโธ ภวติ, สมนนฺตโร อวิชฺชานุสโย สมนนฺตรสฺส อวิชฺชาปริยุฎฺฐานสฺส สมนนฺตรเหตุ โหติฯ ปุริมตโร อวิชฺชานุสโย ปจฺฉิมตรสฺส อวิชฺชาปริยุฎฺฐานสฺส ปรมฺปรเหตุ โหติฯ อิติ พีชภูโต อสาธารโณ เหตุ, ปถวีอาปาทิโก สาธารโณ ปจฺจโยติ วิเสโส ปากโฎ ยถา, เอวํ อวิชฺชานุสโย อสาธารโณ เหตุ, อโยนิโสมนสิกาโร สาธารโณ ปจฺจโยติ วิเสโส ทฎฺฐโพฺพฯ
‘‘Bījaṃ pana ekaṃyeva hoti, kathaṃ dvidhā vattabba’’nti vattabbattā ‘‘duvidho hī’’tiādi vuttaṃ, samanantarakālaparamparakālabhedena hetupi duvidho hotiyevāti attho. Bījabhūto hetu duvidho yathā, evaṃ avijjāya hetubhūto avijjānusayopi samanantarahetu ca paramparahetu cāti kālabhedena duvidho bhavati, samanantaro avijjānusayo samanantarassa avijjāpariyuṭṭhānassa samanantarahetu hoti. Purimataro avijjānusayo pacchimatarassa avijjāpariyuṭṭhānassa paramparahetu hoti. Iti bījabhūto asādhāraṇo hetu, pathavīāpādiko sādhāraṇo paccayoti viseso pākaṭo yathā, evaṃ avijjānusayo asādhāraṇo hetu, ayonisomanasikāro sādhāraṇo paccayoti viseso daṭṭhabbo.
‘‘เอตฺตเกเนว เหตุปจฺจยานํ วิเสโส วตฺตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ยถา วา ปน ถาลกญฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถายํ ปน – ‘‘ยถา วา ปนาติอาทินาปิ เหตุปจฺจยวิภาคเมว ทเสฺสตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปทีปสฺส ปจฺจยภูตํ ถาลกญฺจ วฎฺฎิ จ เตลญฺจ ปทีปสฺส สภาวเหตุ สมานเหตุ น โหตีติ โยชนาฯ ‘‘ปทีปสฺส ปจฺจยภูตมฺปิ ถาลกาทิกํ สภาวเหตุ น โหตีติ กสฺมา สทฺทหิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘น หิ สกฺกา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปทีปสฺส ปจฺจยภูตํ อนคฺคิกํ อคฺคิรหิตํ ถาลกญฺจ วฎฺฎิญฺจ เตลญฺจ ทีเปตุํ ชาเลตุํ หิ ยสฺมา น สกฺกา, ตสฺมา ปุริโม ปทีโป ปจฺฉิมสฺส ปทีปสฺส สภาวเหตุ โหติ วิย, เอวํ ถาลกาทิกํ สภาวเหตุ น โหติฯ อิติ เอวํปกาโร สภาโว สมาโน ปทีโป เหตุ โหติ ยถา, ปรภาโว อสมาโน ถาลกาทิโก ปจฺจโย โหติ ยถา จ, ตถา อชฺฌตฺติโก สภาโว เหตุ โหติ, พาหิโร อสมาโน ปจฺจโย โหติฯ ชนโก อวิชฺชานุสโย อวิชฺชาปริยุฎฺฐานสฺส เหตุ โหติ, ปริคฺคาหโก อุปตฺถมฺภโก ปจฺจโย โหติฯ อเญฺญหิ ผเลหิ อสาธารโณ เหตุ โหติ, สเพฺพหิ ผเลหิ สาธารโณ ปจฺจโย โหตีติ โยเชตฺวา ปทีโปปมายปิ เหตุปจฺจยานํ ปากโฎ วิเสโส ทฎฺฐโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ
‘‘Ettakeneva hetupaccayānaṃ viseso vattabbo’’ti vattabbattā ‘‘yathā vā pana thālakañcā’’tiādi vuttaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana – ‘‘yathā vā panātiādināpi hetupaccayavibhāgameva dassetī’’ti vuttaṃ. Tattha padīpassa paccayabhūtaṃ thālakañca vaṭṭi ca telañca padīpassa sabhāvahetu samānahetu na hotīti yojanā. ‘‘Padīpassa paccayabhūtampi thālakādikaṃ sabhāvahetu na hotīti kasmā saddahitabba’’nti vattabbattā ‘‘na hi sakkā’’tiādi vuttaṃ. Padīpassa paccayabhūtaṃ anaggikaṃ aggirahitaṃ thālakañca vaṭṭiñca telañca dīpetuṃ jāletuṃ hi yasmā na sakkā, tasmā purimo padīpo pacchimassa padīpassa sabhāvahetu hoti viya, evaṃ thālakādikaṃ sabhāvahetu na hoti. Iti evaṃpakāro sabhāvo samāno padīpo hetu hoti yathā, parabhāvo asamāno thālakādiko paccayo hoti yathā ca, tathā ajjhattiko sabhāvo hetu hoti, bāhiro asamāno paccayo hoti. Janako avijjānusayo avijjāpariyuṭṭhānassa hetu hoti, pariggāhako upatthambhako paccayo hoti. Aññehi phalehi asādhāraṇo hetu hoti, sabbehi phalehi sādhāraṇo paccayo hotīti yojetvā padīpopamāyapi hetupaccayānaṃ pākaṭo viseso daṭṭhabboti adhippāyo.
เหตุปจฺจยปฺปเภทํ การณํ ปริกฺขาโรติ อาจริเยน วุตฺตํ, ตสฺส การณสฺส การณภาโว จ ผลาเปโกฺข โหติ, ตสฺมา ‘‘โย การณภาโว เยนากาเรน โหติ, กตโม โส การณภาโว, กตโม โส อากาโร’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา จ ‘‘ยํ ผลํ เยน วิเสเสน โหติ, กตมํ ตํ ผลํ, กตโม โส วิเสโส’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา จ ‘‘การณผลานํ โย สมฺพโนฺธ โหติ, กตโม โส สมฺพโนฺธ’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา จ ตํ สพฺพํ วิภาเวตุํ ‘‘อวุปเจฺฉทโตฺถ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อยมนุสนฺธฺยโตฺถ จ อฎฺฐกถายํ ‘‘อิทานิ ยสฺมา การณํ ‘ปริกฺขาโร’ติ วุตฺตํ, การณภาโว จ ผลาเปกฺขาย, ตสฺมา การณสฺส โย การณภาโว ยถา จ โส โหติ, ยญฺจ ผลํ, โย จ ตสฺส วิเสโส, โย จ การณผลานํ สมฺพโนฺธ, ตํ สพฺพํ วิภาเวตุํ ‘อวุปเจฺฉทโตฺถ’ติอาทิ วุตฺต’’นฺติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๔๙) อิมินา วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ
Hetupaccayappabhedaṃ kāraṇaṃ parikkhāroti ācariyena vuttaṃ, tassa kāraṇassa kāraṇabhāvo ca phalāpekkho hoti, tasmā ‘‘yo kāraṇabhāvo yenākārena hoti, katamo so kāraṇabhāvo, katamo so ākāro’’ti pucchitabbattā ca ‘‘yaṃ phalaṃ yena visesena hoti, katamaṃ taṃ phalaṃ, katamo so viseso’’ti pucchitabbattā ca ‘‘kāraṇaphalānaṃ yo sambandho hoti, katamo so sambandho’’ti pucchitabbattā ca taṃ sabbaṃ vibhāvetuṃ ‘‘avupacchedattho’’tiādi vuttaṃ. Ayamanusandhyattho ca aṭṭhakathāyaṃ ‘‘idāni yasmā kāraṇaṃ ‘parikkhāro’ti vuttaṃ, kāraṇabhāvo ca phalāpekkhāya, tasmā kāraṇassa yo kāraṇabhāvo yathā ca so hoti, yañca phalaṃ, yo ca tassa viseso, yo ca kāraṇaphalānaṃ sambandho, taṃ sabbaṃ vibhāvetuṃ ‘avupacchedattho’tiādi vutta’’nti (netti. aṭṭha. 49) iminā vuttoti daṭṭhabbo.
ตตฺถ อวุปจฺฉินฺนสฺส เหตุปจฺจยสงฺขาตสฺส การณสฺส โย อนุปเจฺฉทโตฺถ อตฺถิ, โส อนุปเจฺฉทโตฺถ สนฺตติอโตฺถ โหติ ผเลน สมฺพนฺธตฺตา , ยญฺจ การณํ อตฺตโน ผลสฺส ชนกํ อุปตฺถมฺภกํ หุตฺวา นิรุชฺฌติ, โส อนุปจฺฉิโนฺน เอว นาม โหตีติฯ ยญฺจ ผลํ อญฺญสฺส การณํ หุตฺวา นิรุชฺฌติ, ตสฺมิํ อนุปจฺฉิเนฺน ตสฺส จ สนฺตติอโตฺถ โหติฯ ยํ ปน ผลํ อญฺญสฺส ผลสฺส การณํ อหุตฺวา นิรุชฺฌติ, ตํ อุปจฺฉินฺนํ โหติ, ยถา ตํ อรหโต จุติจิตฺตนฺติฯ การณโต นิพฺพตฺตสฺส ผลสฺส โย นิพฺพตฺติอโตฺถ อตฺถิ, โส นิพฺพตฺติอโตฺถ ผลโตฺถ โหติฯ ปฎิสนฺธิกฺขนฺธานํ โย ปฎิสนฺธิอโตฺถ ปฎิสนฺทหนโตฺถ อตฺถิ, โส ปฎิสนฺธิอโตฺถ ปุนพฺภวโตฺถ ปุนพฺภวนโตฺถ โหติฯ กิเลสานํ โย ปลิโพธโตฺถ สนฺตาเน อุปฺปชฺชนโตฺถ อตฺถิ, โส ปลิโพธโตฺถ ปริยุฎฺฐานโตฺถ โหติฯ กิเลสานํ มเคฺคน โย อสมุคฺฆาตโตฺถ อตฺถิ, โส อสมุคฺฆาตโตฺถ อนุสยโตฺถ โหติฯ อวิชฺชาย จตุนฺนํ สจฺจานํ โย อสมฺปฎิเวธโตฺถ อตฺถิ, โส อสมฺปฎิเวธโตฺถ อวิชฺชโตฺถ โหติฯ อรหตฺตมเคฺคน โย อปริญฺญาตโตฺถ อตฺถิ, โส อปริญฺญาตโตฺถ วิญฺญาณสฺส ปฎิสนฺธิวิญฺญาณสฺส พีชโตฺถ โหติฯ
Tattha avupacchinnassa hetupaccayasaṅkhātassa kāraṇassa yo anupacchedattho atthi, so anupacchedattho santatiattho hoti phalena sambandhattā , yañca kāraṇaṃ attano phalassa janakaṃ upatthambhakaṃ hutvā nirujjhati, so anupacchinno eva nāma hotīti. Yañca phalaṃ aññassa kāraṇaṃ hutvā nirujjhati, tasmiṃ anupacchinne tassa ca santatiattho hoti. Yaṃ pana phalaṃ aññassa phalassa kāraṇaṃ ahutvā nirujjhati, taṃ upacchinnaṃ hoti, yathā taṃ arahato cuticittanti. Kāraṇato nibbattassa phalassa yo nibbattiattho atthi, so nibbattiattho phalattho hoti. Paṭisandhikkhandhānaṃ yo paṭisandhiattho paṭisandahanattho atthi, so paṭisandhiattho punabbhavattho punabbhavanattho hoti. Kilesānaṃ yo palibodhattho santāne uppajjanattho atthi, so palibodhattho pariyuṭṭhānattho hoti. Kilesānaṃ maggena yo asamugghātattho atthi, so asamugghātattho anusayattho hoti. Avijjāya catunnaṃ saccānaṃ yo asampaṭivedhattho atthi, so asampaṭivedhattho avijjattho hoti. Arahattamaggena yo apariññātattho atthi, so apariññātattho viññāṇassa paṭisandhiviññāṇassa bījattho hoti.
เอตฺตาวตา การณภาโว จ การณากาโร จ ผลญฺจ ผลวิเสโส จ อาจริเยน วิภโตฺต, อเมฺหหิ จ ญาโต, ‘‘กตโม ปรมฺปรเหตุปจฺจยโตฺถ, กตโม จ สมฺพนฺธโตฺถ’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ยตฺถ อวุปเจฺฉโท’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยตฺถ ยสฺสํ รูปารูปปวตฺติยํ อวุปจฺฉินฺนสฺส เหตุปจฺจยปฺปเภทสฺส การณสฺส โย อวุปเจฺฉโท อตฺถิ, โส อวุปเจฺฉโท ตตฺถ ติสฺสํ รูปารูปปวตฺติยํ สนฺตติ โหติฯ ยตฺถ ยสฺสํ รูปารูปปวตฺติยํ ยา สนฺตติ อตฺถิ, สา สนฺตติตตฺถ รูปารูปปวตฺติยํ นิพฺพตฺติ โหตีติอาทินา โยเชตฺวา ปรมฺปรเหตุอาทิโก วิญฺญาตโพฺพฯ
Ettāvatā kāraṇabhāvo ca kāraṇākāro ca phalañca phalaviseso ca ācariyena vibhatto, amhehi ca ñāto, ‘‘katamo paramparahetupaccayattho, katamo ca sambandhattho’’ti pucchitabbattā ‘‘yattha avupacchedo’’tiādi vuttaṃ. Yattha yassaṃ rūpārūpapavattiyaṃ avupacchinnassa hetupaccayappabhedassa kāraṇassa yo avupacchedo atthi, so avupacchedo tattha tissaṃ rūpārūpapavattiyaṃ santati hoti. Yattha yassaṃ rūpārūpapavattiyaṃ yā santati atthi, sā santatitattha rūpārūpapavattiyaṃ nibbatti hotītiādinā yojetvā paramparahetuādiko viññātabbo.
สีลกฺขโนฺธติ ปริสุทฺธสีลกฺขโนฺธฯ สมาธิกฺขนฺธสฺสาติ มหคฺคตกฺขนฺธสฺส, สมาธิปฎฺฐาโน หิ มหคฺคตธโมฺมฯ ปญฺญากฺขโนฺธติ มคฺคผลปญฺญาปธานกฺขโนฺธฯ โส หิ วิมุตฺติญาณทสฺสนสงฺขาตสฺส ปจฺจเวกฺขณญาณกฺขนฺธสฺส ปจฺจโย โหติฯ ติตฺถญฺญุตาทีนํ อโตฺถ ปทฎฺฐานหารวิภงฺควณฺณนายํ วุโตฺตวฯ
Sīlakkhandhoti parisuddhasīlakkhandho. Samādhikkhandhassāti mahaggatakkhandhassa, samādhipaṭṭhāno hi mahaggatadhammo. Paññākkhandhoti maggaphalapaññāpadhānakkhandho. So hi vimuttiñāṇadassanasaṅkhātassa paccavekkhaṇañāṇakkhandhassa paccayo hoti. Titthaññutādīnaṃ attho padaṭṭhānahāravibhaṅgavaṇṇanāyaṃ vuttova.
สภาโว เหตูติ อาจริเยน วุโตฺต, ‘‘กีทิโส โส สภาโว เหตู’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ยถา วา ปน จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํ ฯ จกฺขุวิญฺญาณํ จกฺขุญฺจ จกฺขุนฺทฺริยญฺจ ปฎิจฺจ นิสฺสยํ กตฺวา รูเป ปฎิจฺจ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชติฯ ตตฺถ จกฺขาทีสุ จกฺขุนฺทฺริยํ อาธิปเตยฺยปจฺจยตาย อินฺทฺริยปจฺจยตาย จกฺขุวิญฺญาณสฺส ปจฺจโย, รูปารมฺมณํ ปุเรชาตารมฺมณปจฺจยตาย ปจฺจโย, อาโลโก สนฺนิสฺสยตาย อุปนิสฺสยตาย ปจฺจโย โหติฯ โส ปจฺจโย โหโนฺต ผเลน จกฺขุวิญฺญาเณน อสมานตฺตา สภาโว เหตุ น โหติ, ปจฺจโย จ โหติ มนสิกาโรฯ กิริยมโนธาตุ ปน ผเลน จกฺขุวิญฺญาเณน วิญฺญาณภาเวน สมานตฺตา สภาโว เหตุ โหติ ยถา, เอวํ สงฺขารา นามกฺขนฺธภาเวน สมานตฺตา วิญฺญาณสฺส ปจฺจยา โหนฺตา สภาโว เหตุ โหนฺติฯ วิญฺญาณํ นามรูเปน เอกสนฺตติวเสน สมานตฺตา นามรูปสฺส ปจฺจโย โหนฺตํ สภาโว เหตุ โหติฯ อิมินา นเยน ‘‘นามรูปํ สฬายตนสฺสา’’ติอาทีสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอวํ วุตฺตปฺปกาโร เหตุ, ปจฺจโย ชนโก, อุปตฺถมฺภโก จ โย โกจิ อุปนิสฺสโย พลวปจฺจโย โหติ, สโพฺพ โส เหตุปจฺจโย ชนกอุปตฺถมฺภโก ชนิตพฺพุปตฺถมฺภิยสฺส ผลสฺส ปริกฺขรณโต อภิสงฺขรณโต นิปฺปริยายโต ปริกฺขาโร นามฯ
Sabhāvo hetūti ācariyena vutto, ‘‘kīdiso so sabhāvo hetū’’ti pucchitabbattā ‘‘yathā vā pana cakkhuñca paṭiccā’’tiādi vuttaṃ . Cakkhuviññāṇaṃ cakkhuñca cakkhundriyañca paṭicca nissayaṃ katvā rūpe paṭicca ārammaṇaṃ katvā uppajjati. Tattha cakkhādīsu cakkhundriyaṃ ādhipateyyapaccayatāya indriyapaccayatāya cakkhuviññāṇassa paccayo, rūpārammaṇaṃ purejātārammaṇapaccayatāya paccayo, āloko sannissayatāya upanissayatāya paccayo hoti. So paccayo honto phalena cakkhuviññāṇena asamānattā sabhāvo hetu na hoti, paccayo ca hoti manasikāro. Kiriyamanodhātu pana phalena cakkhuviññāṇena viññāṇabhāvena samānattā sabhāvo hetu hoti yathā, evaṃ saṅkhārā nāmakkhandhabhāvena samānattā viññāṇassa paccayā hontā sabhāvo hetu honti. Viññāṇaṃ nāmarūpena ekasantativasena samānattā nāmarūpassa paccayo hontaṃ sabhāvo hetu hoti. Iminā nayena ‘‘nāmarūpaṃ saḷāyatanassā’’tiādīsupi attho veditabbo. Evaṃ vuttappakāro hetu, paccayo janako, upatthambhako ca yo koci upanissayo balavapaccayo hoti, sabbo so hetupaccayo janakaupatthambhako janitabbupatthambhiyassa phalassa parikkharaṇato abhisaṅkharaṇato nippariyāyato parikkhāro nāma.
‘‘วุตฺตปฺปกาโร เหตุปจฺจโย ปริกฺขาโร นามาติ เกน อเมฺหหิ สทฺทหิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เตนาหา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตน การณภูเตน สพฺพสฺส เหตุปจฺจยสฺส ปริกฺขารภาเวน อายสฺมา มหากจฺจาโน ‘‘เย ธมฺมา ยํ ธมฺมํ ชนยนฺตี’’ติ ยํ วจนํ อาห, เตน วจเนน สทฺทหิตโพฺพ, ‘‘เย ธมฺมา ยํ ธมฺมํ ชนยนฺตี’’ติ วจนํ นิสฺสาย ตุเมฺหหิ สลฺลเกฺขตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ
‘‘Vuttappakāro hetupaccayo parikkhāro nāmāti kena amhehi saddahitabbo’’ti vattabbattā ‘‘tenāhā’’tiādi vuttaṃ. Tena kāraṇabhūtena sabbassa hetupaccayassa parikkhārabhāvena āyasmā mahākaccāno ‘‘ye dhammā yaṃ dhammaṃ janayantī’’ti yaṃ vacanaṃ āha, tena vacanena saddahitabbo, ‘‘ye dhammā yaṃ dhammaṃ janayantī’’ti vacanaṃ nissāya tumhehi sallakkhetabboti adhippāyo.
‘‘เอตฺตโกว ปริกฺขาโร หาโร ยุญฺชิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘นิยุโตฺต ปริกฺขาโร หาโร’’ติ วุตฺตํ, โย โย ปริกฺขาโร หาโร ยุญฺชิตโพฺพ, โส โส ปริกฺขาโร หาโร นีหริตฺวา ยุโตฺต ยุญฺชิตโพฺพติฯ
‘‘Ettakova parikkhāro hāro yuñjitabbo’’ti vattabbattā ‘‘niyutto parikkhāro hāro’’ti vuttaṃ, yo yo parikkhāro hāro yuñjitabbo, so so parikkhāro hāro nīharitvā yutto yuñjitabboti.
อิติ ปริกฺขารหารวิภเงฺค สตฺติพลานุรูปา รจิตา
Iti parikkhārahāravibhaṅge sattibalānurūpā racitā
วิภาวนา นิฎฺฐิตาฯ
Vibhāvanā niṭṭhitā.
ปณฺฑิเตหิ ปน อฎฺฐกถาฎีกานุสาเรน คมฺภีรโตฺถ วิตฺถารโต วิภชิตฺวา คเหตโพฺพติฯ
Paṇḍitehi pana aṭṭhakathāṭīkānusārena gambhīrattho vitthārato vibhajitvā gahetabboti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / ๑๕. ปริกฺขารหารวิภโงฺค • 15. Parikkhārahāravibhaṅgo
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ขุทฺทกนิกาย (อฎฺฐกถา) • Khuddakanikāya (aṭṭhakathā) / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā / ๑๕. ปริกฺขารหารวิภงฺควณฺณนา • 15. Parikkhārahāravibhaṅgavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / ๑๕. ปริกฺขารหารวิภงฺควณฺณนา • 15. Parikkhārahāravibhaṅgavaṇṇanā