Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๖. ทุกฺขวโคฺค
6. Dukkhavaggo
๑. ปริวีมํสนสุตฺตํ
1. Parivīmaṃsanasuttaṃ
๕๑. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขโว’’ติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ –
51. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tatra kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhavo’’ti. ‘‘Bhadante’’ti te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca –
‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ปริวีมํสมาโน ปริวีมํเสยฺย สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา’’ติ? ‘‘ภควํมูลกา โน, ภเนฺต, ธมฺมา ภควํเนตฺติกา ภควํปฎิสรณา ฯ สาธุ วต, ภเนฺต, ภควนฺตํเยว ปฎิภาตุ เอตสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถฯ ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, สุณาถ, สาธุกํ มนสิ กโรถ, ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ –
‘‘Kittāvatā nu kho, bhikkhave, bhikkhū parivīmaṃsamāno parivīmaṃseyya sabbaso sammā dukkhakkhayāyā’’ti? ‘‘Bhagavaṃmūlakā no, bhante, dhammā bhagavaṃnettikā bhagavaṃpaṭisaraṇā . Sādhu vata, bhante, bhagavantaṃyeva paṭibhātu etassa bhāsitassa attho. Bhagavato sutvā bhikkhū dhāressantī’’ti. ‘‘Tena hi, bhikkhave, suṇātha, sādhukaṃ manasi karotha, bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca –
‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปริวีมํสมาโน ปริวีมํสติ – ‘ยํ โข อิทํ อเนกวิธํ นานปฺปการกํ ทุกฺขํ โลเก อุปฺปชฺชติ ชรามรณํ; อิทํ นุ โข ทุกฺขํ กิํนิทานํ กิํสมุทยํ กิํชาติกํ กิํปภวํ? กิสฺมิํ สติ ชรามรณํ โหติ, กิสฺมิํ อสติ ชรามรณํ น โหตี’ติ? โส ปริวีมํสมาโน เอวํ ปชานาติ – ‘ยํ โข อิทํ อเนกวิธํ นานปฺปการกํ ทุกฺขํ โลเก อุปฺปชฺชติ ชรามรณํ, อิทํ โข ทุกฺขํ ชาตินิทานํ ชาติสมุทยํ ชาติชาติกํ ชาติปฺปภวํฯ ชาติยา สติ ชรามรณํ โหติ, ชาติยา อสติ ชรามรณํ น โหตี’’’ติฯ
‘‘Idha, bhikkhave, bhikkhu parivīmaṃsamāno parivīmaṃsati – ‘yaṃ kho idaṃ anekavidhaṃ nānappakārakaṃ dukkhaṃ loke uppajjati jarāmaraṇaṃ; idaṃ nu kho dukkhaṃ kiṃnidānaṃ kiṃsamudayaṃ kiṃjātikaṃ kiṃpabhavaṃ? Kismiṃ sati jarāmaraṇaṃ hoti, kismiṃ asati jarāmaraṇaṃ na hotī’ti? So parivīmaṃsamāno evaṃ pajānāti – ‘yaṃ kho idaṃ anekavidhaṃ nānappakārakaṃ dukkhaṃ loke uppajjati jarāmaraṇaṃ, idaṃ kho dukkhaṃ jātinidānaṃ jātisamudayaṃ jātijātikaṃ jātippabhavaṃ. Jātiyā sati jarāmaraṇaṃ hoti, jātiyā asati jarāmaraṇaṃ na hotī’’’ti.
‘‘โส ชรามรณญฺจ ปชานาติ, ชรามรณสมุทยญฺจ ปชานาติ, ชรามรณนิโรธญฺจ ปชานาติ, ยา จ ชรามรณนิโรธสารุปฺปคามินี ปฎิปทา ตญฺจ ปชานาติ, ตถา ปฎิปโนฺน จ โหติ อนุธมฺมจารี; อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ปฎิปโนฺน ชรามรณนิโรธายฯ
‘‘So jarāmaraṇañca pajānāti, jarāmaraṇasamudayañca pajānāti, jarāmaraṇanirodhañca pajānāti, yā ca jarāmaraṇanirodhasāruppagāminī paṭipadā tañca pajānāti, tathā paṭipanno ca hoti anudhammacārī; ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu sabbaso sammā dukkhakkhayāya paṭipanno jarāmaraṇanirodhāya.
‘‘อถาปรํ ปริวีมํสมาโน ปริวีมํสติ – ‘ชาติ ปนายํ กิํนิทานา กิํสมุทยา กิํชาติกา กิํปภวา, กิสฺมิํ สติ ชาติ โหติ, กิสฺมิํ อสติ ชาติ น โหตี’ติ? โส ปริวีมํสมาโน เอวํ ปชานาติ – ‘ชาติ ภวนิทานา ภวสมุทยา ภวชาติกา ภวปฺปภวา; ภเว สติ ชาติ โหติ, ภเว อสติ ชาติ น โหตี’’’ติฯ
‘‘Athāparaṃ parivīmaṃsamāno parivīmaṃsati – ‘jāti panāyaṃ kiṃnidānā kiṃsamudayā kiṃjātikā kiṃpabhavā, kismiṃ sati jāti hoti, kismiṃ asati jāti na hotī’ti? So parivīmaṃsamāno evaṃ pajānāti – ‘jāti bhavanidānā bhavasamudayā bhavajātikā bhavappabhavā; bhave sati jāti hoti, bhave asati jāti na hotī’’’ti.
‘‘โส ชาติญฺจ ปชานาติ, ชาติสมุทยญฺจ ปชานาติ, ชาตินิโรธญฺจ ปชานาติ, ยา จ ชาตินิโรธสารุปฺปคามินี ปฎิปทา ตญฺจ ปชานาติ, ตถา ปฎิปโนฺน จ โหติ อนุธมฺมจารี; อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ปฎิปโนฺน ชาตินิโรธายฯ
‘‘So jātiñca pajānāti, jātisamudayañca pajānāti, jātinirodhañca pajānāti, yā ca jātinirodhasāruppagāminī paṭipadā tañca pajānāti, tathā paṭipanno ca hoti anudhammacārī; ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu sabbaso sammā dukkhakkhayāya paṭipanno jātinirodhāya.
‘‘อถาปรํ ปริวีมํสมาโน ปริวีมํสติ – ‘ภโว ปนายํ กิํนิทาโน…เป.… อุปาทานํ ปนิทํ กิํนิทานํ… ตณฺหา ปนายํ กิํนิทานา… เวทนา… ผโสฺส… สฬายตนํ ปนิทํ กิํนิทานํ… นามรูปํ ปนิทํ… วิญฺญาณํ ปนิทํ… สงฺขารา ปนิเม กิํนิทานา กิํสมุทยา กิํชาติกา กิํปภวา; กิสฺมิํ สติ สงฺขารา โหนฺติ, กิสฺมิํ อสติ สงฺขารา น โหนฺตี’ติ? โส ปริวีมํสมาโน เอวํ ปชานาติ – ‘สงฺขารา อวิชฺชานิทานา อวิชฺชาสมุทยา อวิชฺชาชาติกา อวิชฺชาปภวา; อวิชฺชาย สติ สงฺขารา โหนฺติ, อวิชฺชาย อสติ สงฺขารา น โหนฺตี’’’ติฯ
‘‘Athāparaṃ parivīmaṃsamāno parivīmaṃsati – ‘bhavo panāyaṃ kiṃnidāno…pe… upādānaṃ panidaṃ kiṃnidānaṃ… taṇhā panāyaṃ kiṃnidānā… vedanā… phasso… saḷāyatanaṃ panidaṃ kiṃnidānaṃ… nāmarūpaṃ panidaṃ… viññāṇaṃ panidaṃ… saṅkhārā panime kiṃnidānā kiṃsamudayā kiṃjātikā kiṃpabhavā; kismiṃ sati saṅkhārā honti, kismiṃ asati saṅkhārā na hontī’ti? So parivīmaṃsamāno evaṃ pajānāti – ‘saṅkhārā avijjānidānā avijjāsamudayā avijjājātikā avijjāpabhavā; avijjāya sati saṅkhārā honti, avijjāya asati saṅkhārā na hontī’’’ti.
‘‘โส สงฺขาเร จ ปชานาติ, สงฺขารสมุทยญฺจ ปชานาติ, สงฺขารนิโรธญฺจ ปชานาติ, ยา จ สงฺขารนิโรธสารุปฺปคามินี ปฎิปทา ตญฺจ ปชานาติ, ตถา ปฎิปโนฺน จ โหติ อนุธมฺมจารี ; อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ปฎิปโนฺน สงฺขารนิโรธายฯ
‘‘So saṅkhāre ca pajānāti, saṅkhārasamudayañca pajānāti, saṅkhāranirodhañca pajānāti, yā ca saṅkhāranirodhasāruppagāminī paṭipadā tañca pajānāti, tathā paṭipanno ca hoti anudhammacārī ; ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu sabbaso sammā dukkhakkhayāya paṭipanno saṅkhāranirodhāya.
‘‘อวิชฺชาคโต ยํ, ภิกฺขเว, ปุริสปุคฺคโล ปุญฺญํ เจ สงฺขารํ อภิสงฺขโรติ, ปุญฺญูปคํ โหติ วิญฺญาณํฯ อปุญฺญํ เจ สงฺขารํ อภิสงฺขโรติ, อปุญฺญูปคํ โหติ วิญฺญาณํฯ อาเนญฺชํ เจ สงฺขารํ อภิสงฺขโรติ อาเนญฺชูปคํ โหติ วิญฺญาณํฯ ยโต โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อวิชฺชา ปหีนา โหติ วิชฺชา อุปฺปนฺนา, โส อวิชฺชาวิราคา วิชฺชุปฺปาทา เนว ปุญฺญาภิสงฺขารํ อภิสงฺขโรติ น อปุญฺญาภิสงฺขารํ อภิสงฺขโรติ น อาเนญฺชาภิสงฺขารํ อภิสงฺขโรติฯ อนภิสงฺขโรโนฺต อนภิสเญฺจตยโนฺต น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ; อนุปาทิยํ น ปริตสฺสติ, อปริตสฺสํ ปจฺจตฺตเญฺญว ปรินิพฺพายติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ
‘‘Avijjāgato yaṃ, bhikkhave, purisapuggalo puññaṃ ce saṅkhāraṃ abhisaṅkharoti, puññūpagaṃ hoti viññāṇaṃ. Apuññaṃ ce saṅkhāraṃ abhisaṅkharoti, apuññūpagaṃ hoti viññāṇaṃ. Āneñjaṃ ce saṅkhāraṃ abhisaṅkharoti āneñjūpagaṃ hoti viññāṇaṃ. Yato kho, bhikkhave, bhikkhuno avijjā pahīnā hoti vijjā uppannā, so avijjāvirāgā vijjuppādā neva puññābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkharoti na apuññābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkharoti na āneñjābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkharoti. Anabhisaṅkharonto anabhisañcetayanto na kiñci loke upādiyati; anupādiyaṃ na paritassati, aparitassaṃ paccattaññeva parinibbāyati. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti.
‘‘โส สุขํ เจ เวทนํ เวทยติ, สา อนิจฺจาติ ปชานาติ, อนโชฺฌสิตาติ ปชานาติ, อนภินนฺทิตาติ ปชานาติฯ ทุกฺขํ เจ เวทนํ เวทยติ, สา อนิจฺจาติ ปชานาติ, อนโชฺฌสิตาติ ปชานาติ, อนภินนฺทิตาติ ปชานาติฯ อทุกฺขมสุขํ เจ เวทนํ เวทยติ, สา อนิจฺจาติ ปชานาติ, อนโชฺฌสิตาติ ปชานาติ, อนภินนฺทิตาติ ปชานาติฯ โส สุขํ เจ เวทนํ เวทยติ, วิสํยุโตฺต นํ เวทยติฯ ทุกฺขํ เจ เวทนํ เวทยติ, วิสํยุโตฺต นํ 1 เวทยติฯ อทุกฺขมสุขํ เจ เวทนํ เวทยติ, วิสํยุโตฺต นํ เวทยติฯ
‘‘So sukhaṃ ce vedanaṃ vedayati, sā aniccāti pajānāti, anajjhositāti pajānāti, anabhinanditāti pajānāti. Dukkhaṃ ce vedanaṃ vedayati, sā aniccāti pajānāti, anajjhositāti pajānāti, anabhinanditāti pajānāti. Adukkhamasukhaṃ ce vedanaṃ vedayati, sā aniccāti pajānāti, anajjhositāti pajānāti, anabhinanditāti pajānāti. So sukhaṃ ce vedanaṃ vedayati, visaṃyutto naṃ vedayati. Dukkhaṃ ce vedanaṃ vedayati, visaṃyutto naṃ 2 vedayati. Adukkhamasukhaṃ ce vedanaṃ vedayati, visaṃyutto naṃ vedayati.
‘‘โส กายปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยมาโน กายปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติ, ชีวิตปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยมาโน ชีวิตปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติฯ กายสฺส เภทา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา อิเธว สพฺพเวทยิตานิ อนภินนฺทิตานิ สีตีภวิสฺสนฺติ, สรีรานิ อวสิสฺสนฺตีติ ปชานาติฯ
‘‘So kāyapariyantikaṃ vedanaṃ vedayamāno kāyapariyantikaṃ vedanaṃ vedayāmīti pajānāti, jīvitapariyantikaṃ vedanaṃ vedayamāno jīvitapariyantikaṃ vedanaṃ vedayāmīti pajānāti. Kāyassa bhedā uddhaṃ jīvitapariyādānā idheva sabbavedayitāni anabhinanditāni sītībhavissanti, sarīrāni avasissantīti pajānāti.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส กุมฺภการปากา อุณฺหํ กุมฺภํ อุทฺธริตฺวา สเม ภูมิภาเค ปฎิสิเสฺสยฺย 3ฯ ตตฺร ยายํ อุสฺมา สา ตเตฺถว วูปสเมยฺย, กปลฺลานิ อวสิเสฺสยฺยุํฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กายปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยมาโน กายปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติ, ชีวิตปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยมาโน ชีวิตปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติฯ กายสฺส เภทา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา อิเธว สพฺพเวทยิตานิ อนภินนฺทิตานิ สีตีภวิสฺสนฺติ, สรีรานิ อวสิสฺสนฺตีติ ปชานาติฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, puriso kumbhakārapākā uṇhaṃ kumbhaṃ uddharitvā same bhūmibhāge paṭisisseyya 4. Tatra yāyaṃ usmā sā tattheva vūpasameyya, kapallāni avasisseyyuṃ. Evameva kho, bhikkhave, bhikkhu kāyapariyantikaṃ vedanaṃ vedayamāno kāyapariyantikaṃ vedanaṃ vedayāmīti pajānāti, jīvitapariyantikaṃ vedanaṃ vedayamāno jīvitapariyantikaṃ vedanaṃ vedayāmīti pajānāti. Kāyassa bhedā uddhaṃ jīvitapariyādānā idheva sabbavedayitāni anabhinanditāni sītībhavissanti, sarīrāni avasissantīti pajānāti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ โข ขีณาสโว ภิกฺขุ ปุญฺญาภิสงฺขารํ วา อภิสงฺขเรยฺย อปุญฺญาภิสงฺขารํ วา อภิสงฺขเรยฺย อาเนญฺชาภิสงฺขารํ วา อภิสงฺขเรยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน สงฺขาเรสุ อสติ, สงฺขารนิโรธา อปิ นุ โข วิญฺญาณํ ปญฺญาเยถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน วิญฺญาเณ อสติ, วิญฺญาณนิโรธา อปิ นุ โข นามรูปํ ปญฺญาเยถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน นามรูเป อสติ, นามรูปนิโรธา อปิ นุ โข สฬายตนํ ปญฺญาเยถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน สฬายตเน อสติ, สฬายตนนิโรธา อปิ นุ โข ผโสฺส ปญฺญาเยถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน ผเสฺส อสติ, ผสฺสนิโรธา อปิ นุ โข เวทนา ปญฺญาเยถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน เวทนาย อสติ, เวทนานิโรธา อปิ นุ โข ตณฺหา ปญฺญาเยถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน ตณฺหาย อสติ, ตณฺหานิโรธา อปิ นุ โข อุปาทานํ ปญฺญาเยถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน อุปาทาเน อสติ, อุปาทานนิโรธา อปิ นุ โข ภโว ปญฺญาเยถา’’ติฯ ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน ภเว อสติ, ภวนิโรธา อปิ นุ โข ชาติ ปญฺญาเยถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สพฺพโส วา ปน ชาติยา อสติ, ชาตินิโรธา อปิ นุ โข ชรามรณํ ปญฺญาเยถา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu kho khīṇāsavo bhikkhu puññābhisaṅkhāraṃ vā abhisaṅkhareyya apuññābhisaṅkhāraṃ vā abhisaṅkhareyya āneñjābhisaṅkhāraṃ vā abhisaṅkhareyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana saṅkhāresu asati, saṅkhāranirodhā api nu kho viññāṇaṃ paññāyethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana viññāṇe asati, viññāṇanirodhā api nu kho nāmarūpaṃ paññāyethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana nāmarūpe asati, nāmarūpanirodhā api nu kho saḷāyatanaṃ paññāyethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana saḷāyatane asati, saḷāyatananirodhā api nu kho phasso paññāyethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana phasse asati, phassanirodhā api nu kho vedanā paññāyethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana vedanāya asati, vedanānirodhā api nu kho taṇhā paññāyethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana taṇhāya asati, taṇhānirodhā api nu kho upādānaṃ paññāyethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana upādāne asati, upādānanirodhā api nu kho bhavo paññāyethā’’ti. ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana bhave asati, bhavanirodhā api nu kho jāti paññāyethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sabbaso vā pana jātiyā asati, jātinirodhā api nu kho jarāmaraṇaṃ paññāyethā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘สาธุ สาธุ, ภิกฺขเว, เอวเมตํ, ภิกฺขเว, เนตํ อญฺญถาฯ สทฺทหถ เม ตํ, ภิกฺขเว, อธิมุจฺจถ, นิกฺกงฺขา เอตฺถ โหถ นิพฺพิจิกิจฺฉาฯ เอเสวโนฺต ทุกฺขสฺสา’’ติฯ ปฐมํฯ
‘‘Sādhu sādhu, bhikkhave, evametaṃ, bhikkhave, netaṃ aññathā. Saddahatha me taṃ, bhikkhave, adhimuccatha, nikkaṅkhā ettha hotha nibbicikicchā. Esevanto dukkhassā’’ti. Paṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. ปริวีมํสนสุตฺตวณฺณนา • 1. Parivīmaṃsanasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑. ปริวีมํสนสุตฺตวณฺณนา • 1. Parivīmaṃsanasuttavaṇṇanā