A World of Knowledge
    Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā)

    ๖. ปาสาทิกสุตฺตวณฺณนา

    6. Pāsādikasuttavaṇṇanā

    นิคณฺฐนาฎปุตฺตกาลงฺกิริยวณฺณนา

    Nigaṇṭhanāṭaputtakālaṅkiriyavaṇṇanā

    ๑๖๔. เอวํ เม สุตนฺติ ปาสาทิกสุตฺตํฯ ตตฺรายมนุตฺตานปทวณฺณนา – เวธญฺญา นาม สกฺยาติ ธนุมฺหิ กตสิกฺขา เวธญฺญนามกา เอเก สกฺยาฯ เตสํ อมฺพวเน ปาสาเทติ เตสํ อมฺพวเน สิปฺปํ อุคฺคณฺหตฺถาย กโต ทีฆปาสาโท อตฺถิ, ตตฺถ วิหรติฯ อธุนา กาลงฺกโตติ สมฺปติ กาลงฺกโตฯ เทฺวธิกชาตาติ เทฺวชฺฌชาตา, เทฺวภาคา ชาตาฯ ภณฺฑนาทีสุ ภณฺฑนํ ปุพฺพภาคกลโห, ตํ ทณฺฑาทานาทิวเสน ปณฺณตฺติวีติกฺกมวเสน จ วฑฺฒิตํ กลโหฯ ‘‘น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสี’’ติอาทินา นเยน วิรุทฺธวจนํ วิวาโทฯ วิตุทนฺตาติ วิชฺฌนฺตาฯ สหิตํ เมติ มม วจนํ อตฺถสญฺหิตํฯ อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตนฺติ ยํ ตว อธิจิณฺณํ จิรกาลาเสวนวเสน ปคุณํ, ตํ มม วาทํ อาคมฺม นิวตฺตํฯ อาโรปิโต เต วาโทติ ตุยฺหํ อุปริ มยา โทโส อาโรปิโตฯ จร วาทปฺปโมกฺขายาติ ภตฺตปุฎํ อาทาย ตํ ตํ อุปสงฺกมิตฺวา วาทปฺปโมกฺขตฺถาย อุตฺตริ ปริเยสมาโน วิจรฯ นิเพฺพเฐหิ วาติ อถ วา มยา อาโรปิตโทสโต อตฺตานํ โมเจหิฯ สเจ ปโหสีติ สเจ สโกฺกสิฯ วโธเยวาติ มรณเมวฯ นาฎปุตฺติเยสูติ นาฎปุตฺตสฺส อเนฺตวาสิเกสุฯ นิพฺพินฺนรูปาติ อุกฺกณฺฐิตสภาวา อภิวาทนาทีนิปิ น กโรนฺติฯ วิรตฺตรูปาติ วิคตเปมาฯ ปฎิวานรูปาติ เตสํ สกฺกจฺจกิริยโต นิวตฺตนสภาวาฯ ยถา ตนฺติ ยถา ทุรกฺขาตาทิสภาเว ธมฺมวินเย นิพฺพินฺนวิรตฺตปฺปฎิวานรูเปหิ ภวิตพฺพํ, ตเถว ชาตาติ อโตฺถฯ ทุรกฺขาเตติ ทุกฺกถิเตฯ ทุปฺปเวทิเตติ ทุวิญฺญาปิเตฯ อนุปสมสํวตฺตนิเกติ ราคาทีนํ อุปสมํ กาตุํ อสมเตฺถฯ ภินฺนถูเปติ ภินฺทปฺปติเฎฺฐฯ เอตฺถ หิ นาฎปุโตฺตว เนสํ ปติฎฺฐเฎฺฐน ถูโปฯ โส ปน ภิโนฺน มโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ภินฺนถูเป’’ติฯ อปฺปฎิสรเณติ ตเสฺสว อภาเวน ปฎิสรณวิรหิเตฯ

    164.Evaṃme sutanti pāsādikasuttaṃ. Tatrāyamanuttānapadavaṇṇanā – vedhaññā nāma sakyāti dhanumhi katasikkhā vedhaññanāmakā eke sakyā. Tesaṃ ambavane pāsādeti tesaṃ ambavane sippaṃ uggaṇhatthāya kato dīghapāsādo atthi, tattha viharati. Adhunā kālaṅkatoti sampati kālaṅkato. Dvedhikajātāti dvejjhajātā, dvebhāgā jātā. Bhaṇḍanādīsu bhaṇḍanaṃ pubbabhāgakalaho, taṃ daṇḍādānādivasena paṇṇattivītikkamavasena ca vaḍḍhitaṃ kalaho. ‘‘Na tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāsī’’tiādinā nayena viruddhavacanaṃ vivādo. Vitudantāti vijjhantā. Sahitaṃ meti mama vacanaṃ atthasañhitaṃ. Adhiciṇṇaṃ te viparāvattanti yaṃ tava adhiciṇṇaṃ cirakālāsevanavasena paguṇaṃ, taṃ mama vādaṃ āgamma nivattaṃ. Āropito te vādoti tuyhaṃ upari mayā doso āropito. Cara vādappamokkhāyāti bhattapuṭaṃ ādāya taṃ taṃ upasaṅkamitvā vādappamokkhatthāya uttari pariyesamāno vicara. Nibbeṭhehi vāti atha vā mayā āropitadosato attānaṃ mocehi. Sace pahosīti sace sakkosi. Vadhoyevāti maraṇameva. Nāṭaputtiyesūti nāṭaputtassa antevāsikesu. Nibbinnarūpāti ukkaṇṭhitasabhāvā abhivādanādīnipi na karonti. Virattarūpāti vigatapemā. Paṭivānarūpāti tesaṃ sakkaccakiriyato nivattanasabhāvā. Yathā tanti yathā durakkhātādisabhāve dhammavinaye nibbinnavirattappaṭivānarūpehi bhavitabbaṃ, tatheva jātāti attho. Durakkhāteti dukkathite. Duppavediteti duviññāpite. Anupasamasaṃvattaniketi rāgādīnaṃ upasamaṃ kātuṃ asamatthe. Bhinnathūpeti bhindappatiṭṭhe. Ettha hi nāṭaputtova nesaṃ patiṭṭhaṭṭhena thūpo. So pana bhinno mato. Tena vuttaṃ ‘‘bhinnathūpe’’ti. Appaṭisaraṇeti tasseva abhāvena paṭisaraṇavirahite.

    นนุ จายํ นาฎปุโตฺต นาฬนฺทวาสิโก, โส กสฺมา ปาวายํ กาลงฺกโตติ? โส กิร อุปาลินา คหปตินา ปฎิวิทฺธสเจฺจน ทสหิ คาถาหิ ภาสิเต พุทฺธคุเณ สุตฺวา อุณฺหํ โลหิตํ ฉเฑฺฑสิฯ อถ นํ อผาสุกํ คเหตฺวา ปาวํ อคมํสุฯ โส ตตฺถ กาลมกาสิฯ กาลํ กุรุมาโน จ จิเนฺตสิ – ‘‘มม ลทฺธิ อนิยฺยานิกา สารวิรหิตา, มยํ ตาว นฎฺฐา, อวเสสชโนปิ มา อปายปูรโก อโหสิ, สเจ ปนาหํ ‘มม สาสนํ อนิยฺยานิก’นฺติ วกฺขามิ, น สทฺทหิสฺสนฺติ, ยํนูนาหํ เทฺวปิ ชเน น เอกนีหาเรน อุคฺคณฺหาเปยฺยํ, เต มมจฺจเยน อญฺญมญฺญํ วิวทิสฺสนฺติ, สตฺถา ตํ วิวาทํ ปฎิจฺจ เอกํ ธมฺมกถํ กเถสฺสติ, ตโต เต สาสนสฺส มหนฺตภาวํ ชานิสฺสนฺตี’’ติฯ

    Nanu cāyaṃ nāṭaputto nāḷandavāsiko, so kasmā pāvāyaṃ kālaṅkatoti? So kira upālinā gahapatinā paṭividdhasaccena dasahi gāthāhi bhāsite buddhaguṇe sutvā uṇhaṃ lohitaṃ chaḍḍesi. Atha naṃ aphāsukaṃ gahetvā pāvaṃ agamaṃsu. So tattha kālamakāsi. Kālaṃ kurumāno ca cintesi – ‘‘mama laddhi aniyyānikā sāravirahitā, mayaṃ tāva naṭṭhā, avasesajanopi mā apāyapūrako ahosi, sace panāhaṃ ‘mama sāsanaṃ aniyyānika’nti vakkhāmi, na saddahissanti, yaṃnūnāhaṃ dvepi jane na ekanīhārena uggaṇhāpeyyaṃ, te mamaccayena aññamaññaṃ vivadissanti, satthā taṃ vivādaṃ paṭicca ekaṃ dhammakathaṃ kathessati, tato te sāsanassa mahantabhāvaṃ jānissantī’’ti.

    อถ นํ เอโก อเนฺตวาสิโก อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘ภเนฺต ตุเมฺห ทุพฺพลา, มยฺหมฺปิ อิมสฺมิํ ธเมฺม สารํ อาจิกฺขถ, อาจริยปฺปมาณ’’นฺติฯ ‘‘อาวุโส, ตฺวํ มมจฺจเยน สสฺสตนฺติ คเณฺหยฺยาสี’’ติฯ อปโรปิ อุปสงฺกมิ, ตํ อุเจฺฉทํ คณฺหาเปสิฯ เอวํ เทฺวปิ ชเน เอกลทฺธิเก อกตฺวา พหู นานานีหาเรน อุคฺคณฺหาเปตฺวา กาลมกาสิฯ เต ตสฺส สรีรกิจฺจํ กตฺวา สนฺนิปติตฺวา อญฺญมญฺญํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กสฺสาวุโส, อาจริโย สารํ อาจิกฺขี’’ติ? เอโก อุฎฺฐหิตฺวา มยฺหนฺติ อาหฯ กิํ อาจิกฺขีติ? สสฺสตนฺติฯ อปโร ตํ ปฎิพาหิตฺวา ‘‘มยฺหํ สารํ อาจิกฺขี’’ติ อาหฯ เอวํ สเพฺพ ‘‘มยฺหํ สารํ อาจิกฺขิ, อหํ เชฎฺฐโก’’ติ อญฺญมญฺญํ วิวาทํ วเฑฺฒตฺวา อโกฺกเส เจว ปริภาเส จ หตฺถปาทปฺปหาราทีนิ จ ปวเตฺตตฺวา เอกมเคฺคน เทฺว อคจฺฉนฺตา นานาทิสาสุ ปกฺกมิํสุฯ

    Atha naṃ eko antevāsiko upasaṅkamitvā āha – ‘‘bhante tumhe dubbalā, mayhampi imasmiṃ dhamme sāraṃ ācikkhatha, ācariyappamāṇa’’nti. ‘‘Āvuso, tvaṃ mamaccayena sassatanti gaṇheyyāsī’’ti. Aparopi upasaṅkami, taṃ ucchedaṃ gaṇhāpesi. Evaṃ dvepi jane ekaladdhike akatvā bahū nānānīhārena uggaṇhāpetvā kālamakāsi. Te tassa sarīrakiccaṃ katvā sannipatitvā aññamaññaṃ pucchiṃsu – ‘‘kassāvuso, ācariyo sāraṃ ācikkhī’’ti? Eko uṭṭhahitvā mayhanti āha. Kiṃ ācikkhīti? Sassatanti. Aparo taṃ paṭibāhitvā ‘‘mayhaṃ sāraṃ ācikkhī’’ti āha. Evaṃ sabbe ‘‘mayhaṃ sāraṃ ācikkhi, ahaṃ jeṭṭhako’’ti aññamaññaṃ vivādaṃ vaḍḍhetvā akkose ceva paribhāse ca hatthapādappahārādīni ca pavattetvā ekamaggena dve agacchantā nānādisāsu pakkamiṃsu.

    ๑๖๕. อถ โข จุโนฺท สมณุเทฺทโสติ อยํ เถโร ธมฺมเสนาปติสฺส กนิฎฺฐภาติโกฯ ตํ ภิกฺขู อนุปสมฺปนฺนกาเล ‘‘จุโนฺท สมณุเทฺทโส’’ติ สมุทาจริตฺวา เถรกาเลปิ ตเถว สมุทาจริํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘จุโนฺท สมณุเทฺทโส’’ติฯ

    165.Atha kho cundo samaṇuddesoti ayaṃ thero dhammasenāpatissa kaniṭṭhabhātiko. Taṃ bhikkhū anupasampannakāle ‘‘cundo samaṇuddeso’’ti samudācaritvā therakālepi tatheva samudācariṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘cundo samaṇuddeso’’ti.

    ‘‘ปาวายํ วสฺสํวุโฎฺฐ เยน สามคาโม, เยนายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมี’’ติ กสฺมา อุปสงฺกมิ? นาฎปุเตฺต กิร กาลงฺกเต ชมฺพุทีเป มนุสฺสา ตตฺถ ตตฺถ กถํ ปวตฺตยิํสุ ‘‘นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต เอโก สตฺถาติ ปญฺญายิตฺถ, ตสฺส กาลงฺกิริยาย สาวกานํ เอวรูโป วิวาโท ชาโตฯ สมโณ ปน โคตโม ชมฺพุทีเป จโนฺท วิย สูริโย วิย จ ปากโฎ, สาวกาปิสฺส ปากฎาเยวฯ กีทิโส นุ โข สมเณ โคตเม ปรินิพฺพุเต สาวกานํ วิวาโท ภวิสฺสตี’’ติ ฯ เถโร ตํ กถํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิมํ กถํ คเหตฺวา ทสพลสฺส อาโรเจสฺสามิ, สตฺถา เอตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เอกํ เทสนํ กเถสฺสตี’’ติฯ โส นิกฺขมิตฺวา เยน สามคาโม, เยนายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมิฯ

    ‘‘Pāvāyaṃ vassaṃvuṭṭho yena sāmagāmo, yenāyasmā ānando tenupasaṅkamī’’ti kasmā upasaṅkami? Nāṭaputte kira kālaṅkate jambudīpe manussā tattha tattha kathaṃ pavattayiṃsu ‘‘nigaṇṭho nāṭaputto eko satthāti paññāyittha, tassa kālaṅkiriyāya sāvakānaṃ evarūpo vivādo jāto. Samaṇo pana gotamo jambudīpe cando viya sūriyo viya ca pākaṭo, sāvakāpissa pākaṭāyeva. Kīdiso nu kho samaṇe gotame parinibbute sāvakānaṃ vivādo bhavissatī’’ti . Thero taṃ kathaṃ sutvā cintesi – ‘‘imaṃ kathaṃ gahetvā dasabalassa ārocessāmi, satthā etaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā ekaṃ desanaṃ kathessatī’’ti. So nikkhamitvā yena sāmagāmo, yenāyasmā ānando tenupasaṅkami.

    สามคาโมติ สามากานํ อุสฺสนฺนตฺตา ตสฺส คามสฺส นามํฯ เยนายสฺมา อานโนฺทติ อุชุเมว ภควโต สนฺติกํ อคนฺตฺวา เยนสฺส อุปชฺฌาโย อายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมิฯ

    Sāmagāmoti sāmākānaṃ ussannattā tassa gāmassa nāmaṃ. Yenāyasmā ānandoti ujumeva bhagavato santikaṃ agantvā yenassa upajjhāyo āyasmā ānando tenupasaṅkami.

    พุทฺธกาเล กิร สาริปุตฺตเตฺถโร จ อานนฺทเตฺถโร จ อญฺญมญฺญํ มมายิํสุฯ สาริปุตฺตเตฺถโร ‘‘มยา กาตพฺพํ สตฺถุ อุปฎฺฐานํ กโรตี’’ติ อานนฺทเตฺถรํ มมายิฯ อานนฺทเตฺถโร ‘‘ภควโต สาวกานํ อโคฺค’’ติ สาริปุตฺตเตฺถรํ มมายิฯ กุลทารเก จ ปพฺพาเชตฺวา สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สนฺติเก อุปชฺฌํ คณฺหาเปสิฯ สาริปุตฺตเตฺถโรปิ ตเถว อกาสิฯ เอวํ เอกเมเกน อตฺตโน ปตฺตจีวรํ ทตฺวา ปพฺพาเชตฺวา อุปชฺฌํ คณฺหาปิตานิ ปญฺจ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ อเหสุํฯ อายสฺมา อานโนฺท ปณีตานิ จีวราทีนิปิ ลภิตฺวา เถรสฺส อทาสิฯ

    Buddhakāle kira sāriputtatthero ca ānandatthero ca aññamaññaṃ mamāyiṃsu. Sāriputtatthero ‘‘mayā kātabbaṃ satthu upaṭṭhānaṃ karotī’’ti ānandattheraṃ mamāyi. Ānandatthero ‘‘bhagavato sāvakānaṃ aggo’’ti sāriputtattheraṃ mamāyi. Kuladārake ca pabbājetvā sāriputtattherassa santike upajjhaṃ gaṇhāpesi. Sāriputtattheropi tatheva akāsi. Evaṃ ekamekena attano pattacīvaraṃ datvā pabbājetvā upajjhaṃ gaṇhāpitāni pañca pañca bhikkhusatāni ahesuṃ. Āyasmā ānando paṇītāni cīvarādīnipi labhitvā therassa adāsi.

    ธมฺมรตนปูชา

    Dhammaratanapūjā

    เอโก กิร พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘พุทฺธรตนสฺส จ สงฺฆรตนสฺส จ ปูชา ปญฺญายติ, กถํ นุ โข ธมฺมรตนํ ปูชิตํ โหตี’’ติ? โส ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ ภควา อาห – ‘‘สเจปิ พฺราหฺมณ ธมฺมรตนํ ปูเชตุกาโม, เอกํ พหุสฺสุตํ ปูเชหี’’ติฯ พหุสฺสุตํ, ภเนฺต, อาจิกฺขถาติฯ ภิกฺขุสงฺฆํ ปุจฺฉาติฯ โส ภิกฺขุสงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘พหุสฺสุตํ, ภเนฺต, อาจิกฺขถา’’ติ อาหฯ อานนฺทเตฺถโร พฺราหฺมณาติฯ พฺราหฺมโณ เถรํ สหสฺสคฺฆนิเกน ติจีวเรน ปูเชสิฯ เถโร ตํ คเหตฺวา ภควโต สนฺติกํ อคมาสิฯ ภควา ‘‘กุโต, อานนฺท, ลทฺธ’’นฺติ อาห? เอเกน, ภเนฺต, พฺราหฺมเณน ทินฺนํ, อิทํ ปนาหํ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ทาตุกาโมติฯ เทหิ, อานนฺทาติฯ จาริกํ ปกฺกโนฺต ภเนฺตติฯ อาคตกาเล เทหีติ, สิกฺขาปทํ ภเนฺต, ปญฺญตฺตนฺติฯ กทา ปน สาริปุโตฺต อาคมิสฺสตีติ? ทสาหมเตฺตน ภเนฺตติฯ ‘‘อนุชานามิ, อานนฺท, ทสาหปรมํ อติเรกจีวรํ นิกฺขิปิตุ’’นฺติ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปสิฯ

    Eko kira brāhmaṇo cintesi – ‘‘buddharatanassa ca saṅgharatanassa ca pūjā paññāyati, kathaṃ nu kho dhammaratanaṃ pūjitaṃ hotī’’ti? So bhagavantaṃ upasaṅkamitvā etamatthaṃ pucchi. Bhagavā āha – ‘‘sacepi brāhmaṇa dhammaratanaṃ pūjetukāmo, ekaṃ bahussutaṃ pūjehī’’ti. Bahussutaṃ, bhante, ācikkhathāti. Bhikkhusaṅghaṃ pucchāti. So bhikkhusaṅghaṃ upasaṅkamitvā ‘‘bahussutaṃ, bhante, ācikkhathā’’ti āha. Ānandatthero brāhmaṇāti. Brāhmaṇo theraṃ sahassagghanikena ticīvarena pūjesi. Thero taṃ gahetvā bhagavato santikaṃ agamāsi. Bhagavā ‘‘kuto, ānanda, laddha’’nti āha? Ekena, bhante, brāhmaṇena dinnaṃ, idaṃ panāhaṃ āyasmato sāriputtassa dātukāmoti. Dehi, ānandāti. Cārikaṃ pakkanto bhanteti. Āgatakāle dehīti, sikkhāpadaṃ bhante, paññattanti. Kadā pana sāriputto āgamissatīti? Dasāhamattena bhanteti. ‘‘Anujānāmi, ānanda, dasāhaparamaṃ atirekacīvaraṃ nikkhipitu’’nti sikkhāpadaṃ paññāpesi.

    สาริปุตฺตเตฺถโรปิ ตเถว ยํกิญฺจิ มนาปํ ลภติ, ตํ อานนฺทเตฺถรสฺส เทติฯ โส อิมมฺปิ อตฺตโน กนิฎฺฐภาติกํ เถรเสฺสว สทฺธิวิหาริกํ อทาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เยนสฺส อุปชฺฌาโย อายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมี’’ติฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อุปชฺฌาโย เม มหาปโญฺญ, โส อิมํ กถํ สตฺถุ อาโรเจสฺสติ, อถ สตฺถา ตทนุรูปํ ธมฺมํ เทเสสฺสตี’’ติฯ กถาปาภตนฺติ กถาย มูลํฯ มูลญฺหิ ‘‘ปาภต’’นฺติ วุจฺจติฯ ยถาห –

    Sāriputtattheropi tatheva yaṃkiñci manāpaṃ labhati, taṃ ānandattherassa deti. So imampi attano kaniṭṭhabhātikaṃ therasseva saddhivihārikaṃ adāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘yenassa upajjhāyo āyasmā ānando tenupasaṅkamī’’ti. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘upajjhāyo me mahāpañño, so imaṃ kathaṃ satthu ārocessati, atha satthā tadanurūpaṃ dhammaṃ desessatī’’ti. Kathāpābhatanti kathāya mūlaṃ. Mūlañhi ‘‘pābhata’’nti vuccati. Yathāha –

    ‘‘อปฺปเกนาปิ เมธาวี, ปาภเตน วิจกฺขโณ;

    ‘‘Appakenāpi medhāvī, pābhatena vicakkhaṇo;

    สมุฎฺฐาเปติ อตฺตานํ, อณุํ อคฺคิํว สนฺธม’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๔);

    Samuṭṭhāpeti attānaṃ, aṇuṃ aggiṃva sandhama’’nti. (jā. 1.1.4);

    ภควนฺตํ ทสฺสนายาติ ภควนฺตํ ทสฺสนตฺถายฯ กิํ ปนาเนน ภควา น ทิฎฺฐปุโพฺพติ? โน น ทิฎฺฐปุโพฺพฯ อยญฺหิ อายสฺมา ทิวา นว วาเร, รตฺติํ นว วาเรติ เอกาหํ อฎฺฐารส วาเร อุปฎฺฐานเมว คจฺฉติฯ ทิวสสฺส ปน สตวารํ วา สหสฺสวารํ วา คนฺตุกาโม สมาโนปิ น อการณา คจฺฉติ, เอกํ ปญฺหุทฺธารํ คเหตฺวาว คจฺฉติฯ โส ตํ ทิวสํ เตน กถาปาภเตน คนฺตุกาโม เอวมาหฯ

    Bhagavantaṃ dassanāyāti bhagavantaṃ dassanatthāya. Kiṃ panānena bhagavā na diṭṭhapubboti? No na diṭṭhapubbo. Ayañhi āyasmā divā nava vāre, rattiṃ nava vāreti ekāhaṃ aṭṭhārasa vāre upaṭṭhānameva gacchati. Divasassa pana satavāraṃ vā sahassavāraṃ vā gantukāmo samānopi na akāraṇā gacchati, ekaṃ pañhuddhāraṃ gahetvāva gacchati. So taṃ divasaṃ tena kathāpābhatena gantukāmo evamāha.

    อสมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิตธมฺมวินยวณฺณนา

    Asammāsambuddhappaveditadhammavinayavaṇṇanā

    ๑๖๖. เอวเญฺหตํ, จุนฺท, โหตีติ ภควา อานนฺทเตฺถเรน อาโรจิเตปิ ยสฺมา น อานนฺทเตฺถโร อิมิสฺสา กถาย สามิโก, จุนฺทเตฺถโร ปน สามิโกฯ โสว ตสฺสา อาทิมชฺฌปริโยสานํ ชานาติฯ ตสฺมา ภควา เตน สทฺธิํ กเถโนฺต ‘‘เอวเญฺหตํ, จุนฺท, โหตี’’ติอาทิมาห ฯ ตสฺสโตฺถ – จุนฺท เอวเญฺหตํ โหติ ทุรกฺขาตาทิสภาเว ธมฺมวินเย สาวกา เทฺวธิกชาตา ภณฺฑนาทีนิ กตฺวา มุขสตฺตีหิ วิตุทนฺตา วิหรนฺติฯ

    166.Evañhetaṃ, cunda, hotīti bhagavā ānandattherena ārocitepi yasmā na ānandatthero imissā kathāya sāmiko, cundatthero pana sāmiko. Sova tassā ādimajjhapariyosānaṃ jānāti. Tasmā bhagavā tena saddhiṃ kathento ‘‘evañhetaṃ, cunda, hotī’’tiādimāha . Tassattho – cunda evañhetaṃ hoti durakkhātādisabhāve dhammavinaye sāvakā dvedhikajātā bhaṇḍanādīni katvā mukhasattīhi vitudantā viharanti.

    อิทานิ ยสฺมา อนิยฺยานิกสาสเนเนว นิยฺยานิกสาสนํ ปากฎํ โหติ, ตสฺมา อาทิโต อนิยฺยานิกสาสนเมว ทเสฺสโนฺต อิธ จุนฺท สตฺถา จ โหติ อสมฺมาสมฺพุโทฺธติอาทิมาหฯ ตตฺถ โวกฺกมฺม จ ตมฺหา ธมฺมา วตฺตตีติ น นิรนฺตรํ ปูเรติ, โอกฺกมิตฺวา โอกฺกมิตฺวา อนฺตรนฺตรํ กตฺวา วตฺตตีติ อโตฺถฯ ตสฺส เต, อาวุโส, ลาภาติ ตสฺส ตุยฺหํ เอเต ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปตฺติอาทโย ลาภาฯ สุลทฺธนฺติ มนุสฺสตฺตมฺปิ เต สุลทฺธํฯ ตถา ปฎิปชฺชตูติ เอวํ ปฎิปชฺชตุฯ ยถา เต สตฺถารา ธโมฺม เทสิโตติ เยน เต อากาเรน สตฺถารา ธโมฺม กถิโตฯ โย จ สมาทเปตีติ โย จ อาจริโย สมาทเปติฯ ยญฺจ สมาทเปตีติ ยํ อเนฺตวาสิํ สมาทเปติฯ โย จ สมาทปิโตติ โย จ เอวํ สมาทปิโต อเนฺตวาสิโกฯ ยถา อาจริเยน สมาทปิตํ, ตถตฺถาย ปฎิปชฺชติฯ สเพฺพ เตติ ตโยปิ เตฯ เอตฺถ หิ อาจริโย สมาทปิตตฺตา อปุญฺญํ ปสวติ, สมาทินฺนเนฺตวาสิโก สมาทินฺนตฺตา, ปฎิปนฺนโก ปฎิปนฺนตฺตาฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สเพฺพ เต พหุํ อปุญฺญํ ปสวนฺตี’’ติฯ เอเตนุปาเยน สพฺพวาเรสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Idāni yasmā aniyyānikasāsaneneva niyyānikasāsanaṃ pākaṭaṃ hoti, tasmā ādito aniyyānikasāsanameva dassento idha cunda satthā ca hoti asammāsambuddhotiādimāha. Tattha vokkamma ca tamhā dhammā vattatīti na nirantaraṃ pūreti, okkamitvā okkamitvā antarantaraṃ katvā vattatīti attho. Tassa te, āvuso, lābhāti tassa tuyhaṃ ete dhammānudhammappaṭipattiādayo lābhā. Suladdhanti manussattampi te suladdhaṃ. Tathā paṭipajjatūti evaṃ paṭipajjatu. Yathā te satthārā dhammo desitoti yena te ākārena satthārā dhammo kathito. Yo ca samādapetīti yo ca ācariyo samādapeti. Yañca samādapetīti yaṃ antevāsiṃ samādapeti. Yo ca samādapitoti yo ca evaṃ samādapito antevāsiko. Yathā ācariyena samādapitaṃ, tathatthāya paṭipajjati. Sabbe teti tayopi te. Ettha hi ācariyo samādapitattā apuññaṃ pasavati, samādinnantevāsiko samādinnattā, paṭipannako paṭipannattā. Tena vuttaṃ – ‘‘sabbe te bahuṃ apuññaṃ pasavantī’’ti. Etenupāyena sabbavāresu attho veditabbo.

    ๑๖๗. อปิเจตฺถ ญายปฺปฎิปโนฺนติ การณปฺปฎิปโนฺนฯ ญายมาราเธสฺสตีติ การณํ นิปฺผาเทสฺสติฯ วีริยํ อารภตีติ อตฺตโน ทุกฺขนิพฺพตฺตกํ วีริยํ กโรติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ทุรกฺขาเต, ภิกฺขเว, ธมฺมวินเย โย อารทฺธวีริโย, โส ทุกฺขํ วิหรติฯ โย กุสีโต, โส สุขํ วิหรตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๑๘)ฯ

    167. Apicettha ñāyappaṭipannoti kāraṇappaṭipanno. Ñāyamārādhessatīti kāraṇaṃ nipphādessati. Vīriyaṃ ārabhatīti attano dukkhanibbattakaṃ vīriyaṃ karoti. Vuttañhetaṃ ‘‘durakkhāte, bhikkhave, dhammavinaye yo āraddhavīriyo, so dukkhaṃ viharati. Yo kusīto, so sukhaṃ viharatī’’ti (a. ni. 1.318).

    สมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิตธมฺมวินยาทิวณฺณนา

    Sammāsambuddhappaveditadhammavinayādivaṇṇanā

    ๑๖๘. เอวํ อนิยฺยานิกสาสนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ นิยฺยานิกสาสนํ ทเสฺสโนฺต อิธ ปน, จุนฺท, สตฺถา จ โหติ สมฺมาสมฺพุโทฺธติอาทิมาหฯ ตตฺถ นิยฺยานิโกติ มคฺคตฺถาย ผลตฺถาย จ นิยฺยาติฯ

    168. Evaṃ aniyyānikasāsanaṃ dassetvā idāni niyyānikasāsanaṃ dassento idha pana, cunda, satthā ca hoti sammāsambuddhotiādimāha. Tattha niyyānikoti maggatthāya phalatthāya ca niyyāti.

    ๑๖๙. วีริยํ อารภตีติ อตฺตโน สุขนิปฺผาทกํ วีริยํ อารภติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘สฺวากฺขาเต, ภิกฺขเว, ธมฺมวินเย โย กุสีโต, โส ทุกฺขํ วิหรติฯ โย อารทฺธวีริโย, โส สุขํ วิหรตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๑๙)ฯ

    169.Vīriyaṃ ārabhatīti attano sukhanipphādakaṃ vīriyaṃ ārabhati. Vuttañhetaṃ ‘‘svākkhāte, bhikkhave, dhammavinaye yo kusīto, so dukkhaṃ viharati. Yo āraddhavīriyo, so sukhaṃ viharatī’’ti (a. ni. 1.319).

    ๑๗๐. อิติ ภควา นิยฺยานิกสาสเน สมฺมาปฎิปนฺนสฺส กุลปุตฺตสฺส ปสํสํ ทเสฺสตฺวา ปุน เทสนํ วเฑฺฒโนฺต อิธ, จุนฺท, สตฺถา จ โลเก อุทปาทีติอาทิมาหฯ ตตฺถ อวิญฺญาปิตตฺถาติ อโพธิตตฺถาฯ สพฺพสงฺคาหปทกตนฺติ สพฺพสงฺคหปเทหิ กตํ, สพฺพสงฺคาหิกํ กตํ น โหตีติ อโตฺถฯ ‘‘สพฺพสงฺคาหปทคต’’นฺติปิ ปาโฐ, น สพฺพสงฺคาหปเทสุ คตํ, น เอกสงฺคหชาตนฺติ อโตฺถฯ สปฺปาฎิหีรกตนฺติ นิยฺยานิกํฯ ยาว เทวมนุเสฺสหีติ เทวโลกโต ยาว มนุสฺสโลกา สุปฺปกาสิตํฯ อนุตโปฺป โหตีติ อนุตาปกโร โหติฯ สตฺถา จ โน โลเกติ อิทํ เตสํ อนุตาปการทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ นานุตโปฺป โหตีติ สตฺถารํ อาคมฺม สาวเกหิ ยํ ปตฺตพฺพํ, ตสฺส ปตฺตตฺตา อนุตาปกโร น โหติฯ

    170. Iti bhagavā niyyānikasāsane sammāpaṭipannassa kulaputtassa pasaṃsaṃ dassetvā puna desanaṃ vaḍḍhento idha, cunda, satthā ca loke udapādītiādimāha. Tattha aviññāpitatthāti abodhitatthā. Sabbasaṅgāhapadakatanti sabbasaṅgahapadehi kataṃ, sabbasaṅgāhikaṃ kataṃ na hotīti attho. ‘‘Sabbasaṅgāhapadagata’’ntipi pāṭho, na sabbasaṅgāhapadesu gataṃ, na ekasaṅgahajātanti attho. Sappāṭihīrakatanti niyyānikaṃ. Yāvadevamanussehīti devalokato yāva manussalokā suppakāsitaṃ. Anutappo hotīti anutāpakaro hoti. Satthā ca no loketi idaṃ tesaṃ anutāpakāradassanatthaṃ vuttaṃ. Nānutappo hotīti satthāraṃ āgamma sāvakehi yaṃ pattabbaṃ, tassa pattattā anutāpakaro na hoti.

    ๑๗๒. เถโรติ ถิโร เถรการเกหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโตฯ ‘‘รตฺตญฺญู’’ติอาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ เอเตหิ เจ ปีติ เอเตหิ เหฎฺฐา วุเตฺตหิฯ

    172.Theroti thiro therakārakehi dhammehi samannāgato. ‘‘Rattaññū’’tiādīni vuttatthāneva. Etehi ce pīti etehi heṭṭhā vuttehi.

    ๑๗๓. ปตฺตโยคเกฺขมาติ จตูหิ โยเคหิ เขมตฺตา อรหตฺตํ อิธ โยคเกฺขมํ นาม, ตํ ปตฺตาติ อโตฺถฯ อลํ สมกฺขาตุํ สทฺธมฺมสฺสาติ สมฺมุขา คหิตตฺตา อสฺส สทฺธมฺมํ สมฺมา อาจิกฺขิตุํ สมตฺถาฯ

    173.Pattayogakkhemāti catūhi yogehi khemattā arahattaṃ idha yogakkhemaṃ nāma, taṃ pattāti attho. Alaṃ samakkhātuṃ saddhammassāti sammukhā gahitattā assa saddhammaṃ sammā ācikkhituṃ samatthā.

    ๑๗๔. พฺรหฺมจาริโนติ พฺรหฺมจริยวาสํ วสมานา อริยสาวกาฯ กามโภคิโนติ คิหิโสตาปนฺนาฯ ‘‘อิทฺธเญฺจวา’’ติอาทีนิ มหาปรินิพฺพาเน วิตฺถาริตาเนวฯ ลาภคฺคยสคฺคปตฺตนฺติ ลาภคฺคเญฺจว ยสคฺคญฺจ ปตฺตํฯ

    174.Brahmacārinoti brahmacariyavāsaṃ vasamānā ariyasāvakā. Kāmabhoginoti gihisotāpannā. ‘‘Iddhañcevā’’tiādīni mahāparinibbāne vitthāritāneva. Lābhaggayasaggapattanti lābhaggañceva yasaggañca pattaṃ.

    ๑๗๕. สนฺติ โข ปน เม, จุนฺท, เอตรหิ เถรา ภิกฺขู สาวกาติ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานาทโย เถราฯ ภิกฺขุนิโยติ เขมาเถรีอุปฺปลวณฺณเถรีอาทโยฯ อุปาสกา สาวกา คิหี โอทาตวตฺถวสนา พฺรหฺมจาริโนติ จิตฺตคหปติหตฺถกอาฬวกาทโยฯ กามโภคิโนติ จูฬอนาถปิณฺฑิกมหาอนาถปิณฺฑิกาทโยฯ พฺรหฺมจารินิโยติ นนฺทมาตาทโยฯ กามโภคินิโยติ ขุชฺชุตฺตราทโยฯ

    175.Santi kho pana me, cunda, etarahi therā bhikkhū sāvakāti sāriputtamoggallānādayo therā. Bhikkhuniyoti khemātherīuppalavaṇṇatherīādayo. Upāsakā sāvakā gihī odātavatthavasanā brahmacārinoti cittagahapatihatthakaāḷavakādayo. Kāmabhoginoti cūḷaanāthapiṇḍikamahāanāthapiṇḍikādayo. Brahmacāriniyoti nandamātādayo. Kāmabhoginiyoti khujjuttarādayo.

    ๑๗๖. สพฺพาการสมฺปนฺนนฺติ สพฺพการณสมฺปนฺนํฯ อิทเมว นฺติ อิทเมว พฺรหฺมจริยํ, อิมเมว ธมฺมํ สมฺมา เหตุนา นเยน วทมาโน วเทยฺยฯ อุทกาสฺสุทนฺติ อุทโก สุทํฯ ปสฺสํ น ปสฺสตีติ ปสฺสโนฺต น ปสฺสติฯ โส กิร อิมํ ปญฺหํ มหาชนํ ปุจฺฉิฯ เตหิ ‘‘น ชานาม, อาจริย, กเถหิ โน’’ติ วุโตฺต โส อาห – ‘‘คมฺภีโร อยํ ปโญฺห อาหารสปฺปาเย สติ โถกํ จิเนฺตตฺวา สกฺกา กเถตุ’’นฺติฯ ตโต เตหิ จตฺตาโร มาเส มหาสกฺกาเร กเต ตํ ปญฺหํ กเถโนฺต กิญฺจ ปสฺสํ น ปสฺสตีติอาทิมาหฯ ตตฺถ สาธุนิสิตสฺสาติ สุฎฺฐุนิสิตสฺส ติขิณสฺส, สุนิสิตขุรสฺส กิร ตลํ ปญฺญายติ, ธารา น ปญฺญายตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ

    176.Sabbākārasampannanti sabbakāraṇasampannaṃ. Idamevatanti idameva brahmacariyaṃ, imameva dhammaṃ sammā hetunā nayena vadamāno vadeyya. Udakāssudanti udako sudaṃ. Passaṃ na passatīti passanto na passati. So kira imaṃ pañhaṃ mahājanaṃ pucchi. Tehi ‘‘na jānāma, ācariya, kathehi no’’ti vutto so āha – ‘‘gambhīro ayaṃ pañho āhārasappāye sati thokaṃ cintetvā sakkā kathetu’’nti. Tato tehi cattāro māse mahāsakkāre kate taṃ pañhaṃ kathento kiñca passaṃ na passatītiādimāha. Tattha sādhunisitassāti suṭṭhunisitassa tikhiṇassa, sunisitakhurassa kira talaṃ paññāyati, dhārā na paññāyatīti ayamettha attho.

    สงฺคายิตพฺพธมฺมาทิวณฺณนา

    Saṅgāyitabbadhammādivaṇṇanā

    ๑๗๗. สงฺคมฺม สมาคมฺมาติ สงฺคนฺตฺวา สมาคนฺตฺวาฯ อเตฺถน อตฺถํ, พฺยญฺชเนน พฺยญฺชนนฺติ อเตฺถน สห อตฺถํ, พฺยญฺชเนนปิ สห พฺยญฺชนํ สมาเนเนฺตหีติ อโตฺถฯ สงฺคายิตพฺพนฺติ วาเจตพฺพํ สชฺฌายิตพฺพํฯ ยถยิทํ พฺรหฺมจริยนฺติ ยถา อิทํ สกลํ สาสนพฺรหฺมจริยํฯ

    177.Saṅgamma samāgammāti saṅgantvā samāgantvā. Atthena atthaṃ, byañjanena byañjananti atthena saha atthaṃ, byañjanenapi saha byañjanaṃ samānentehīti attho. Saṅgāyitabbanti vācetabbaṃ sajjhāyitabbaṃ. Yathayidaṃ brahmacariyanti yathā idaṃ sakalaṃ sāsanabrahmacariyaṃ.

    ๑๗๘. ตตฺร เจติ ตตฺร สงฺฆมเชฺฌ, ตสฺส วา ภาสิเตฯ อตฺถเญฺจว มิจฺฉา คณฺหาติ, พฺยญฺชนานิ จ มิจฺฉา โรเปตีติ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ เอตฺถ อารมฺมณํ ‘‘สติปฎฺฐาน’’นฺติ อตฺถํ คณฺหาติฯ ‘‘สติปฎฺฐานานี’’ติ พฺยญฺชนํ โรเปติฯ อิมสฺส นุ โข, อาวุโส, อตฺถสฺสาติ ‘‘สติเยว สติปฎฺฐาน’’นฺติฯ อตฺถสฺส ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ กิํ นุ โข อิมานิ พฺยญฺชนานิ, อุทาหุ จตฺตาริ สติปฎฺฐานานี’’ติ เอตานิ วา พฺยญฺชนานิฯ กตมานิ โอปายิกตรานีติ อิมสฺส อตฺถสฺส กตมานิ พฺยญฺชนานิ อุปปนฺนตรานิ อลฺลีนตรานิฯ อิเมสญฺจ พฺยญฺชนานนฺติ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ พฺยญฺชนานํ ‘‘สติเยว สติปฎฺฐาน’’นฺติ กิํ นุ โข อยํ อโตฺถ, อุทาหุ ‘‘อารมฺมณํ สติปฎฺฐาน’’นฺติ เอโส อโตฺถติ? อิมสฺส โข, อาวุโส, อตฺถสฺสาติ ‘‘อารมฺมณํ สติปฎฺฐาน’’นฺติ อิมสฺส อตฺถสฺสฯ ยา เจว เอตานีติ ยานิ เจว เอตานิ มยา วุตฺตานิฯ ยา เจว เอโสติ โย เจว เอส มยา วุโตฺตฯ โส เนว อุสฺสาเทตโพฺพติ ตุเมฺหหิ ตาว สมฺมา อเตฺถ จ สมฺมา พฺยญฺชเน จ ฐาตพฺพํฯ โส ปน เนว อุสฺสาเทตโพฺพ, น อปสาเทตโพฺพฯ สญฺญาเปตโพฺพติ ชานาเปตโพฺพฯ ตสฺส จ อตฺถสฺสาติ ‘‘สติเยว สติปฎฺฐาน’’นฺติ อตฺถสฺส จฯ เตสญฺจ พฺยญฺชนานนฺติ ‘‘สติปฎฺฐานา’’ติ พฺยญฺชนานํฯ นิสนฺติยาติ นิสามนตฺถํ ธารณตฺถํฯ อิมินา นเยน สพฺพวาเรสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    178.Tatra ceti tatra saṅghamajjhe, tassa vā bhāsite. Atthañceva micchā gaṇhāti, byañjanāni ca micchā ropetīti ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’ti ettha ārammaṇaṃ ‘‘satipaṭṭhāna’’nti atthaṃ gaṇhāti. ‘‘Satipaṭṭhānānī’’ti byañjanaṃ ropeti. Imassa nu kho, āvuso, atthassāti ‘‘satiyeva satipaṭṭhāna’’nti. Atthassa ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’ti kiṃ nu kho imāni byañjanāni, udāhu cattāri satipaṭṭhānānī’’ti etāni vā byañjanāni. Katamāni opāyikatarānīti imassa atthassa katamāni byañjanāni upapannatarāni allīnatarāni. Imesañcabyañjanānanti ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’ti byañjanānaṃ ‘‘satiyeva satipaṭṭhāna’’nti kiṃ nu kho ayaṃ attho, udāhu ‘‘ārammaṇaṃ satipaṭṭhāna’’nti eso atthoti? Imassa kho, āvuso, atthassāti ‘‘ārammaṇaṃ satipaṭṭhāna’’nti imassa atthassa. Yā ceva etānīti yāni ceva etāni mayā vuttāni. Yā ceva esoti yo ceva esa mayā vutto. So neva ussādetabboti tumhehi tāva sammā atthe ca sammā byañjane ca ṭhātabbaṃ. So pana neva ussādetabbo, na apasādetabbo. Saññāpetabboti jānāpetabbo. Tassa ca atthassāti ‘‘satiyeva satipaṭṭhāna’’nti atthassa ca. Tesañca byañjanānanti ‘‘satipaṭṭhānā’’ti byañjanānaṃ. Nisantiyāti nisāmanatthaṃ dhāraṇatthaṃ. Iminā nayena sabbavāresu attho veditabbo.

    ๑๘๑. ตาทิสนฺติ ตุมฺหาทิสํฯ อตฺถุเปตนฺติ อเตฺถน อุเปตํ อตฺถสฺส วิญฺญาตารํฯ พฺยญฺชนุเปตนฺติ พฺยญฺชเนหิ อุเปตํ พฺยญฺชนานํ วิญฺญาตารํฯ เอวํ เอตํ ภิกฺขุํ ปสํสถฯ เอโส หิ ภิกฺขุ น ตุมฺหากํ สาวโก นาม, พุโทฺธ นาม เอส จุนฺทาติฯ อิติ ภควา พหุสฺสุตํ ภิกฺขุํ อตฺตโน ฐาเน ฐเปสิฯ

    181.Tādisanti tumhādisaṃ. Atthupetanti atthena upetaṃ atthassa viññātāraṃ. Byañjanupetanti byañjanehi upetaṃ byañjanānaṃ viññātāraṃ. Evaṃ etaṃ bhikkhuṃ pasaṃsatha. Eso hi bhikkhu na tumhākaṃ sāvako nāma, buddho nāma esa cundāti. Iti bhagavā bahussutaṃ bhikkhuṃ attano ṭhāne ṭhapesi.

    ปจฺจยานุญฺญาตการณาทิวณฺณนา

    Paccayānuññātakāraṇādivaṇṇanā

    ๑๘๒. อิทานิ ตโตปิ อุตฺตริตรํ เทสนํ วเฑฺฒโนฺต น โว อหํ, จุนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทิฎฺฐธมฺมิกา อาสวา นาม อิธโลเก ปจฺจยเหตุ อุปฺปชฺชนกา อาสวาฯ สมฺปรายิกา อาสวา นาม ปรโลเก ภณฺฑนเหตุ อุปฺปชฺชนกา อาสวาฯ สํวรายาติ ยถา เต น ปวิสนฺติ, เอวํ ปิทหนายฯ ปฎิฆาตายาติ มูลฆาเตน ปฎิหนนายฯ อลํ โว ตํ ยาวเทว สีตสฺส ปฎิฆาตายาติ ตํ ตุมฺหากํ สีตสฺส ปฎิฆาตาย สมตฺถํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ, ยํ โว มยา จีวรํ อนุญฺญาตํ, ตํ ปารุปิตฺวา ทปฺปํ วา มานํ วา กุรุมานา วิหริสฺสถาติ น อนุญฺญาตํ, ตํ ปน ปารุปิตฺวา สีตปฺปฎิฆาตาทีนิ กตฺวา สุขํ สมณธมฺมํ โยนิโส มนสิการํ กริสฺสถาติ อนุญฺญาตํฯ ยถา จ จีวรํ, เอวํ ปิณฺฑปาตาทโยปิฯ อนุปทสํวณฺณนา ปเนตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ

    182. Idāni tatopi uttaritaraṃ desanaṃ vaḍḍhento na vo ahaṃ, cundātiādimāha. Tattha diṭṭhadhammikā āsavā nāma idhaloke paccayahetu uppajjanakā āsavā. Samparāyikā āsavā nāma paraloke bhaṇḍanahetu uppajjanakā āsavā. Saṃvarāyāti yathā te na pavisanti, evaṃ pidahanāya. Paṭighātāyāti mūlaghātena paṭihananāya. Alaṃ vo taṃ yāvadeva sītassa paṭighātāyāti taṃ tumhākaṃ sītassa paṭighātāya samatthaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti, yaṃ vo mayā cīvaraṃ anuññātaṃ, taṃ pārupitvā dappaṃ vā mānaṃ vā kurumānā viharissathāti na anuññātaṃ, taṃ pana pārupitvā sītappaṭighātādīni katvā sukhaṃ samaṇadhammaṃ yoniso manasikāraṃ karissathāti anuññātaṃ. Yathā ca cīvaraṃ, evaṃ piṇḍapātādayopi. Anupadasaṃvaṇṇanā panettha visuddhimagge vuttanayeneva veditabbā.

    สุขลฺลิกานุโยคาทิวณฺณนา

    Sukhallikānuyogādivaṇṇanā

    ๑๘๓. สุขลฺลิกานุโยคนฺติ สุขลฺลิยนานุโยคํ, สุขเสวนาธิมุตฺตนฺติ อโตฺถฯ สุเขตีติ สุขิตํ กโรติฯ ปีเณตีติ ปีณิตํ ถูลํ กโรติฯ

    183.Sukhallikānuyoganti sukhalliyanānuyogaṃ, sukhasevanādhimuttanti attho. Sukhetīti sukhitaṃ karoti. Pīṇetīti pīṇitaṃ thūlaṃ karoti.

    ๑๘๖. อฎฺฐิตธมฺมาติ นฎฺฐิตสภาวาฯ ชิวฺหา โน อตฺถีติ ยํ ยํ อิจฺฉนฺติ, ตํ ตํ กเถนฺติ, กทาจิ มคฺคํ กเถนฺติ, กทาจิ ผลํ กทาจิ นิพฺพานนฺติ อธิปฺปาโยฯ ชานตาติ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ชานเนฺตนฯ ปสฺสตาติ ปญฺจหิ จกฺขูหิ ปสฺสเนฺตนฯ คมฺภีรเนโมติ คมฺภีรภูมิํ อนุปวิโฎฺฐฯ สุนิขาโตติ สุฎฺฐุ นิขาโตฯ เอวเมว โข, อาวุโสติ เอวํ ขีณาสโว อภโพฺพ นว ฐานานิ อชฺฌาจริตุํฯ ตสฺมิํ อนชฺฌาจาโร อจโล อสมฺปเวธีฯ ตตฺถ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรปนาทีสุ โสตาปนฺนาทโยปิ อภพฺพาฯ สนฺนิธิการกํ กาเม ปริภุญฺชิตุนฺติ วตฺถุกาเม จ กิเลสกาเม จ สนฺนิธิํ กตฺวา ปริภุญฺชิตุํฯ เสยฺยถาปิ ปุเพฺพ อคาริกภูโตติ ยถา ปุเพฺพ คิหิภูโต ปริภุญฺชติ, เอวํ ปริภุญฺชิตุํ อภโพฺพฯ

    186.Aṭṭhitadhammāti naṭṭhitasabhāvā. Jivhā no atthīti yaṃ yaṃ icchanti, taṃ taṃ kathenti, kadāci maggaṃ kathenti, kadāci phalaṃ kadāci nibbānanti adhippāyo. Jānatāti sabbaññutaññāṇena jānantena. Passatāti pañcahi cakkhūhi passantena. Gambhīranemoti gambhīrabhūmiṃ anupaviṭṭho. Sunikhātoti suṭṭhu nikhāto. Evameva kho, āvusoti evaṃ khīṇāsavo abhabbo nava ṭhānāni ajjhācarituṃ. Tasmiṃ anajjhācāro acalo asampavedhī. Tattha sañcicca pāṇaṃ jīvitā voropanādīsu sotāpannādayopi abhabbā. Sannidhikārakaṃ kāme paribhuñjitunti vatthukāme ca kilesakāme ca sannidhiṃ katvā paribhuñjituṃ. Seyyathāpi pubbe agārikabhūtoti yathā pubbe gihibhūto paribhuñjati, evaṃ paribhuñjituṃ abhabbo.

    ปญฺหพฺยากรณวณฺณนา

    Pañhabyākaraṇavaṇṇanā

    ๑๘๗. อคารมเชฺฌ วสนฺตา หิ โสตาปนฺนาทโย ยาวชีวํ คิหิพฺยญฺชเนน ติฎฺฐนฺติฯ ขีณาสโว ปน อรหตฺตํ ปตฺวาว มนุสฺสภูโต ปรินิพฺพาติ วา ปพฺพชติ วาฯ จาตุมหาราชิกาทีสุ กามาวจรเทเวสุ มุหุตฺตมฺปิ น ติฎฺฐติฯ กสฺมา? วิเวกฎฺฐานสฺส อภาวาฯ ภุมฺมเทวตฺตภาเว ปน ฐิโต อรหตฺตํ ปตฺวาปิ ติฎฺฐติฯ ตสฺส วเสน อยํ ปโญฺห อาคโตฯ ภินฺนโทสตฺตา ปนสฺส ภิกฺขุภาโว เวทิตโพฺพฯ อตีรกนฺติ อตีรํ อปริเจฺฉทํ มหนฺตํฯ โน จ โข อนาคตนฺติ อนาคตํ ปน อทฺธานํ อารพฺภ เอวํ น ปญฺญเปติ, อตีตเมว มเญฺญ สมโณ โคตโม ชานาติ, น อนาคตํฯ ตถา หิสฺส อตีเต อฑฺฒฉฎฺฐสตชาตกานุสฺสรณํ ปญฺญายติฯ อนาคเต เอวํ พหุํ อนุสฺสรณํ น ปญฺญายตีติ อิมมตฺถํ มญฺญมานา เอวํ วเทยฺยุํฯ ตยิทํ กิํ สูติ อนาคเต อปญฺญาปนํ กิํ นุ โข? กถํสูติ เกน นุ โข การเณน อชานโนฺตเยว นุ โข อนาคตํ นานุสฺสรติ, อนนุสฺสริตุกามตาย นานุสฺสรตีติฯ อญฺญวิหิตเกน ญาณทสฺสเนนาติ ปจฺจกฺขํ วิย กตฺวา ทสฺสนสมตฺถตาย ทสฺสนภูเตน ญาเณน อญฺญตฺถวิหิตเกน ญาเณน อญฺญํ อารพฺภ ปวเตฺตน, อญฺญวิหิตกํ อญฺญํ อารพฺภ ปวตฺตมานํ ญาณทสฺสนํ สงฺคาเหตพฺพํ ปญฺญาเปตพฺพํ มญฺญนฺติฯ เต หิ จรโต จ ติฎฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ญาณทสฺสนํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ มญฺญนฺติ, ตาทิสญฺจ ญาณํ นาม นตฺถิฯ ตสฺมา ยถริว พาลา อพฺยตฺตา, เอวํ มญฺญนฺตีติ เวทิตโพฺพฯ

    187. Agāramajjhe vasantā hi sotāpannādayo yāvajīvaṃ gihibyañjanena tiṭṭhanti. Khīṇāsavo pana arahattaṃ patvāva manussabhūto parinibbāti vā pabbajati vā. Cātumahārājikādīsu kāmāvacaradevesu muhuttampi na tiṭṭhati. Kasmā? Vivekaṭṭhānassa abhāvā. Bhummadevattabhāve pana ṭhito arahattaṃ patvāpi tiṭṭhati. Tassa vasena ayaṃ pañho āgato. Bhinnadosattā panassa bhikkhubhāvo veditabbo. Atīrakanti atīraṃ aparicchedaṃ mahantaṃ. No ca kho anāgatanti anāgataṃ pana addhānaṃ ārabbha evaṃ na paññapeti, atītameva maññe samaṇo gotamo jānāti, na anāgataṃ. Tathā hissa atīte aḍḍhachaṭṭhasatajātakānussaraṇaṃ paññāyati. Anāgate evaṃ bahuṃ anussaraṇaṃ na paññāyatīti imamatthaṃ maññamānā evaṃ vadeyyuṃ. Tayidaṃ kiṃ sūti anāgate apaññāpanaṃ kiṃ nu kho? Kathaṃsūti kena nu kho kāraṇena ajānantoyeva nu kho anāgataṃ nānussarati, ananussaritukāmatāya nānussaratīti. Aññavihitakena ñāṇadassanenāti paccakkhaṃ viya katvā dassanasamatthatāya dassanabhūtena ñāṇena aññatthavihitakena ñāṇena aññaṃ ārabbha pavattena, aññavihitakaṃ aññaṃ ārabbha pavattamānaṃ ñāṇadassanaṃ saṅgāhetabbaṃ paññāpetabbaṃ maññanti. Te hi carato ca tiṭṭhato ca suttassa ca jāgarassa ca satataṃ samitaṃ ñāṇadassanaṃ paccupaṭṭhitaṃ maññanti, tādisañca ñāṇaṃ nāma natthi. Tasmā yathariva bālā abyattā, evaṃ maññantīti veditabbo.

    สตานุสารีติ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติสมฺปยุตฺตกํฯ ยาวตกํ อากงฺขตีติ ยตฺตกํ ญาตุํ อิจฺฉติ, ตตฺตกํ ชานิสฺสามีติ ญาณํ เปเสสิฯ อถสฺส ทุพฺพลปตฺตปุเฎ ปกฺขนฺทนาราโจ วิย อปฺปฎิหตํ อนิวาริตํ ญาณํ คจฺฉติ, เตน ยาวตกํ อากงฺขติ ตาวตกํ อนุสฺสรติฯ โพธิชนฺติ โพธิมูเล ชาตํฯ ญาณํ อุปฺปชฺชตีติ จตุมคฺคญาณํ อุปฺปชฺชติฯ อยมนฺติมา ชาตีติ เตน ญาเณน ชาติมูลสฺส ปหีนตฺตา ปุน อยมนฺติมา ชาติฯ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ อปรมฺปิ ญาณํ อุปฺปชฺชติฯ อนตฺถสํหิตนฺติ น อิธโลกตฺถํ วา ปรโลกตฺถํ วา นิสฺสิตํฯ น ตํ ตถาคโต พฺยากโรตีติ ตํ ภารตยุทฺธสีตาหรณสทิสํ อนิยฺยานิกกถํ ตถาคโต น กเถติฯ ภูตํ ตจฺฉํ อนตฺถสํหิตนฺติ ราชกถาทิติรจฺฉานกถํฯ กาลญฺญู ตถาคโต โหตีติ กาลํ ชานาติฯ สเหตุกํ สการณํ กตฺวา ยุตฺตปตฺตกาเลเยว กเถติฯ

    Satānusārīti pubbenivāsānussatisampayuttakaṃ. Yāvatakaṃ ākaṅkhatīti yattakaṃ ñātuṃ icchati, tattakaṃ jānissāmīti ñāṇaṃ pesesi. Athassa dubbalapattapuṭe pakkhandanārāco viya appaṭihataṃ anivāritaṃ ñāṇaṃ gacchati, tena yāvatakaṃ ākaṅkhati tāvatakaṃ anussarati. Bodhijanti bodhimūle jātaṃ. Ñāṇaṃ uppajjatīti catumaggañāṇaṃ uppajjati. Ayamantimā jātīti tena ñāṇena jātimūlassa pahīnattā puna ayamantimā jāti. Natthidāni punabbhavoti aparampi ñāṇaṃ uppajjati. Anatthasaṃhitanti na idhalokatthaṃ vā paralokatthaṃ vā nissitaṃ. Na taṃ tathāgato byākarotīti taṃ bhāratayuddhasītāharaṇasadisaṃ aniyyānikakathaṃ tathāgato na katheti. Bhūtaṃ tacchaṃ anatthasaṃhitanti rājakathāditiracchānakathaṃ. Kālaññū tathāgato hotīti kālaṃ jānāti. Sahetukaṃ sakāraṇaṃ katvā yuttapattakāleyeva katheti.

    ๑๘๘. ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตีติ ยถา ยถา คทิตพฺพํ, ตถา ตเถว คทนโต ทการสฺส ตการํ กตฺวา ตถาคโตติ วุจฺจตีติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐนฺติ รูปายตนํฯ สุตนฺติ สทฺทายตนํฯ มุตนฺติ มุตฺวา ปตฺวา คเหตพฺพโต คนฺธายตนํ รสายตนํ โผฎฺฐพฺพายตนํฯ วิญฺญาตนฺติ สุขทุกฺขาทิธมฺมายตนํฯ ปตฺตนฺติ ปริเยสิตฺวา วา อปริเยสิตฺวา วา ปตฺตํฯ ปริเยสิตนฺติ ปตฺตํ วา อปตฺตํ วา ปริเยสิตํฯ อนุวิจริตํ มนสาติ จิเตฺตน อนุสญฺจริตํฯ ‘‘ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธ’’นฺติ อิมินา เอตํ ทเสฺสติ, ยญฺหิ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส นีลํ ปีตกนฺติอาทิ รูปารมฺมณํ จกฺขุทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติ, ‘‘อยํ สโตฺต อิมสฺมิํ ขเณ อิมํ นาม รูปารมฺมณํ ทิสฺวา สุมโน วา ทุมฺมโน วา มชฺฌโตฺต วา ชาโต’’ติ สพฺพํ ตํ ตถาคตสฺส เอวํ อภิสมฺพุทฺธํ ฯ ตถา ยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส เภริสโทฺท มุทิงฺคสโทฺทติอาทิ สทฺทารมฺมณํ โสตทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ มูลคโนฺธ ตจคโนฺธติอาทิ คนฺธารมฺมณํ ฆานทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ มูลรโส ขนฺธรโสติอาทิ รสารมฺมณํ ชิวฺหาทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ กกฺขฬํ มุทุกนฺติอาทิ ปถวีธาตุเตโชธาตุวาโยธาตุเภทํ โผฎฺฐพฺพารมฺมณํ กายทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ ‘‘อยํ สโตฺต อิมสฺมิํ ขเณ อิมํ นาม โผฎฺฐพฺพารมฺมณํ ผุสิตฺวา สุมโน วา ทุมฺมโน วา มชฺฌโตฺต วา ชาโต’’ติ สพฺพํ ตํ ตถาคตสฺส เอวํ อภิสมฺพุทฺธํฯ ตถา ยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส สุขทุกฺขาทิเภทํ ธมฺมารมฺมณํ มโนทฺวารสฺส อาปาถมาคจฺฉติ, ‘‘อยํ สโตฺต อิมสฺมิํ ขเณ อิทํ นาม ธมฺมารมฺมณํ วิชานิตฺวา สุมโน วา ทุมฺมโน วา มชฺฌโตฺต วา ชาโต’’ติ สพฺพํ ตํ ตถาคตสฺส เอวํ อภิสมฺพุทฺธํฯ

    188.Tasmā tathāgatoti vuccatīti yathā yathā gaditabbaṃ, tathā tatheva gadanato dakārassa takāraṃ katvā tathāgatoti vuccatīti attho. Diṭṭhanti rūpāyatanaṃ. Sutanti saddāyatanaṃ. Mutanti mutvā patvā gahetabbato gandhāyatanaṃ rasāyatanaṃ phoṭṭhabbāyatanaṃ. Viññātanti sukhadukkhādidhammāyatanaṃ. Pattanti pariyesitvā vā apariyesitvā vā pattaṃ. Pariyesitanti pattaṃ vā apattaṃ vā pariyesitaṃ. Anuvicaritaṃ manasāti cittena anusañcaritaṃ. ‘‘Tathāgatena abhisambuddha’’nti iminā etaṃ dasseti, yañhi aparimāṇāsu lokadhātūsu imassa sadevakassa lokassa nīlaṃ pītakantiādi rūpārammaṇaṃ cakkhudvāre āpāthamāgacchati, ‘‘ayaṃ satto imasmiṃ khaṇe imaṃ nāma rūpārammaṇaṃ disvā sumano vā dummano vā majjhatto vā jāto’’ti sabbaṃ taṃ tathāgatassa evaṃ abhisambuddhaṃ . Tathā yaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu imassa sadevakassa lokassa bherisaddo mudiṅgasaddotiādi saddārammaṇaṃ sotadvāre āpāthamāgacchati. Mūlagandho tacagandhotiādi gandhārammaṇaṃ ghānadvāre āpāthamāgacchati. Mūlaraso khandharasotiādi rasārammaṇaṃ jivhādvāre āpāthamāgacchati. Kakkhaḷaṃ mudukantiādi pathavīdhātutejodhātuvāyodhātubhedaṃ phoṭṭhabbārammaṇaṃ kāyadvāre āpāthamāgacchati. ‘‘Ayaṃ satto imasmiṃ khaṇe imaṃ nāma phoṭṭhabbārammaṇaṃ phusitvā sumano vā dummano vā majjhatto vā jāto’’ti sabbaṃ taṃ tathāgatassa evaṃ abhisambuddhaṃ. Tathā yaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu imassa sadevakassa lokassa sukhadukkhādibhedaṃ dhammārammaṇaṃ manodvārassa āpāthamāgacchati, ‘‘ayaṃ satto imasmiṃ khaṇe idaṃ nāma dhammārammaṇaṃ vijānitvā sumano vā dummano vā majjhatto vā jāto’’ti sabbaṃ taṃ tathāgatassa evaṃ abhisambuddhaṃ.

    ยญฺหิ , จุนฺท, อิเมสํ สตฺตานํ ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ตตฺถ ตถาคเตน อทิฎฺฐํ วา อสุตํ วา อมุตํ วา อวิญฺญาตํ วา นตฺถิฯ อิมสฺส มหาชนสฺส ปริเยสิตฺวา ปตฺตมฺปิ อตฺถิ, ปริเยสิตฺวา อปฺปตฺตมฺปิ อตฺถิฯ อปริเยสิตฺวา ปตฺตมฺปิ อตฺถิ, อปริเยสิตฺวา อปฺปตฺตมฺปิ อตฺถิฯ สพฺพมฺปิ ตํ ตถาคตสฺส อปฺปตฺตํ นาม นตฺถิ, ญาเณน อสจฺฉิกตํ นามฯ ‘‘ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตี’’ติฯ ยํ ยถา โลเกน คตํ ตสฺส ตเถว คตตฺตา ‘‘ตถาคโต’’ติ วุจฺจติฯ ปาฬิยํ ปน อภิสมฺพุทฺธนฺติ วุตฺตํ, ตํ คตสเทฺทน เอกตฺถํฯ อิมินา นเยน สพฺพวาเรสุ ‘‘ตถาคโต’’ติ นิคมนสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพ, ตสฺส ยุตฺติ พฺรหฺมชาเล ตถาคตสทฺทวิตฺถาเร วุตฺตาเยวฯ

    Yañhi , cunda, imesaṃ sattānaṃ diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ tattha tathāgatena adiṭṭhaṃ vā asutaṃ vā amutaṃ vā aviññātaṃ vā natthi. Imassa mahājanassa pariyesitvā pattampi atthi, pariyesitvā appattampi atthi. Apariyesitvā pattampi atthi, apariyesitvā appattampi atthi. Sabbampi taṃ tathāgatassa appattaṃ nāma natthi, ñāṇena asacchikataṃ nāma. ‘‘Tasmā tathāgatoti vuccatī’’ti. Yaṃ yathā lokena gataṃ tassa tatheva gatattā ‘‘tathāgato’’ti vuccati. Pāḷiyaṃ pana abhisambuddhanti vuttaṃ, taṃ gatasaddena ekatthaṃ. Iminā nayena sabbavāresu ‘‘tathāgato’’ti nigamanassa attho veditabbo, tassa yutti brahmajāle tathāgatasaddavitthāre vuttāyeva.

    อพฺยากตฎฺฐานวณฺณนา

    Abyākataṭṭhānavaṇṇanā

    ๑๘๙. เอวํ อตฺตโน อสมตํ อนุตฺตรตํ สพฺพญฺญุตํ ธมฺมราชภาวํ กเถตฺวา อิทานิ ‘‘ปุถุสมณพฺราหฺมณานํ ลทฺธีสุ มยา อญฺญาตํ อทิฎฺฐํ นาม นตฺถิ, สพฺพํ มม ญาณสฺส อโนฺตเยว ปริวตฺตตี’’ติ สีหนาทํ นทโนฺต ฐานํ โข ปเนตํ, จุนฺท, วิชฺชตีติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตถาคโตติ สโตฺตฯ น เหตํ, อาวุโส, อตฺถสํหิตนฺติ อิธโลกปรโลกอตฺถสํหิตํ น โหติฯ น จ ธมฺมสํหิตนฺติ นวโลกุตฺตรธมฺมนิสฺสิตํ น โหติฯ อาทิพฺรหฺมจริยกนฺติ สิกฺขตฺตยสงฺคหิตสฺส สกลสาสนพฺรหฺมจริยสฺส อาทิภูตํ น โหติฯ

    189. Evaṃ attano asamataṃ anuttarataṃ sabbaññutaṃ dhammarājabhāvaṃ kathetvā idāni ‘‘puthusamaṇabrāhmaṇānaṃ laddhīsu mayā aññātaṃ adiṭṭhaṃ nāma natthi, sabbaṃ mama ñāṇassa antoyeva parivattatī’’ti sīhanādaṃ nadanto ṭhānaṃ kho panetaṃ, cunda, vijjatītiādimāha. Tattha tathāgatoti satto. Na hetaṃ, āvuso, atthasaṃhitanti idhalokaparalokaatthasaṃhitaṃ na hoti. Na ca dhammasaṃhitanti navalokuttaradhammanissitaṃ na hoti. Naādibrahmacariyakanti sikkhattayasaṅgahitassa sakalasāsanabrahmacariyassa ādibhūtaṃ na hoti.

    ๑๙๐. อิทํ ทุกฺขนฺติ โขติอาทีสุ ตณฺหํ ฐเปตฺวา อวเสสา เตภุมฺมกา ธมฺมา อิทํ ทุกฺขนฺติ พฺยากตํฯ ตเสฺสว ทุกฺขสฺส ปภาวิกา ชนิกา ตณฺหา ทุกฺขสมุทโยติ พฺยากตํฯ อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ ทุกฺขนิโรโธติ พฺยากตํฯ ทุกฺขปริชานโน สมุทยปชหโน นิโรธสจฺฉิกรโณ อริยมโคฺค ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ พฺยากตํฯ ‘‘เอตญฺหิ, อาวุโส, อตฺถสํหิต’’นฺติอาทีสุ เอตํ อิธโลกปรโลกอตฺถนิสฺสิตํ นวโลกุตฺตรธมฺมนิสฺสิตํ สกลสาสนพฺรหฺมจริยสฺส อาทิ ปธานํ ปุพฺพงฺคมนฺติ อยมโตฺถฯ

    190.Idaṃ dukkhanti khotiādīsu taṇhaṃ ṭhapetvā avasesā tebhummakā dhammā idaṃ dukkhanti byākataṃ. Tasseva dukkhassa pabhāvikā janikā taṇhā dukkhasamudayoti byākataṃ. Ubhinnaṃ appavatti dukkhanirodhoti byākataṃ. Dukkhaparijānano samudayapajahano nirodhasacchikaraṇo ariyamaggo dukkhanirodhagāminī paṭipadāti byākataṃ. ‘‘Etañhi, āvuso, atthasaṃhita’’ntiādīsu etaṃ idhalokaparalokaatthanissitaṃ navalokuttaradhammanissitaṃ sakalasāsanabrahmacariyassa ādi padhānaṃ pubbaṅgamanti ayamattho.

    ปุพฺพนฺตสหคตทิฎฺฐินิสฺสยวณฺณนา

    Pubbantasahagatadiṭṭhinissayavaṇṇanā

    ๑๙๑. อิทานิ ยํ ตํ มยา น พฺยากตํ, ตํ อชานเนฺตน น พฺยากตนฺติ มา เอวํ สญฺญมกํสุฯ ชานโนฺตว อหํ เอวํ ‘‘เอตสฺมิํ พฺยากเตปิ อโตฺถ นตฺถี’’ติ น พฺยากริํฯ ยํ ปน ยถา พฺยากาตพฺพํ, ตํ มยา พฺยากตเมวาติ สีหนาทํ นทโนฺต ปุน เยปิ เต, จุนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทิฎฺฐิโยว ทิฎฺฐินิสฺสยา, ทิฎฺฐินิสฺสิตกา ทิฎฺฐิคติกาติ อโตฺถฯ อิทเมว สจฺจนฺติ อิทเมว ทสฺสนํ สจฺจํฯ โมฆมญฺญนฺติ อเญฺญสํ วจนํ โมฆํฯ อสยํกาโรติ อสยํ กโตฯ

    191. Idāni yaṃ taṃ mayā na byākataṃ, taṃ ajānantena na byākatanti mā evaṃ saññamakaṃsu. Jānantova ahaṃ evaṃ ‘‘etasmiṃ byākatepi attho natthī’’ti na byākariṃ. Yaṃ pana yathā byākātabbaṃ, taṃ mayā byākatamevāti sīhanādaṃ nadanto puna yepi te, cundātiādimāha. Tattha diṭṭhiyova diṭṭhinissayā, diṭṭhinissitakā diṭṭhigatikāti attho. Idameva saccanti idameva dassanaṃ saccaṃ. Moghamaññanti aññesaṃ vacanaṃ moghaṃ. Asayaṃkāroti asayaṃ kato.

    ๑๙๒. ตตฺราติ เตสุ สมณพฺราหฺมเณสุฯ อตฺถิ นุ โข อิทํ อาวุโส วุจฺจตีติ, อาวุโส, ยํ ตุเมฺหหิ สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จาติ วุจฺจติ, อิทมตฺถิ นุ โข อุทาหุ นตฺถีติ เอวมหํ เต ปุจฺฉามีติ อโตฺถฯ ยญฺจ โข เต เอวมาหํสูติ ยํ ปน เต ‘‘อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’’นฺติ วทนฺติ, ตํ เตสํ นานุชานามิฯ ปญฺญตฺติยาติ ทิฎฺฐิปญฺญตฺติยาฯ สมสมนฺติ สเมน ญาเณน สมํฯ ยทิทํ อธิปญฺญตฺตีติ ยา อยํ อธิปญฺญตฺติ นามฯ เอตฺถ อหเมว ภิโยฺย อุตฺตริตโร น มยา สโม อตฺถิฯ ตตฺถ ยญฺจ วุตฺตํ ‘‘ปญฺญตฺติยาติ ยญฺจ อธิปญฺญตฺตี’’ติ อุภยเมตํ อตฺถโต เอกํฯ เภทโต หิ ปญฺญตฺติ อธิปญฺญตฺตีติ ทฺวยํ โหติฯ ตตฺถ ปญฺญตฺติ นาม ทิฎฺฐิปญฺญตฺติฯ อธิปญฺญตฺติ นาม ขนฺธปญฺญตฺติ ธาตุปญฺญตฺติ อายตนปญฺญตฺติ อินฺทฺริยปญฺญตฺติ สจฺจปญฺญตฺติ ปุคฺคลปญฺญตฺตีติ เอวํ วุตฺตา ฉ ปญฺญตฺติโยฯ อิธ ปน ปญฺญตฺติยาติ เอตฺถาปิ ปญฺญตฺติ เจว อธิปญฺญตฺติ จ อธิเปฺปตา, อธิปญฺญตฺตีติ เอตฺถาปิฯ ภควา หิ ปญฺญตฺติยาปิ อนุตฺตโร, อธิปญฺญตฺติยาปิ อนุตฺตโรฯ เตนาห – ‘‘อหเมว ตตฺถ ภิโยฺย ยทิทํ อธิปญฺญตฺตี’’ติฯ

    192.Tatrāti tesu samaṇabrāhmaṇesu. Atthi nu kho idaṃ āvuso vuccatīti, āvuso, yaṃ tumhehi sassato attā ca loko cāti vuccati, idamatthi nu kho udāhu natthīti evamahaṃ te pucchāmīti attho. Yañca kho te evamāhaṃsūti yaṃ pana te ‘‘idameva saccaṃ moghamañña’’nti vadanti, taṃ tesaṃ nānujānāmi. Paññattiyāti diṭṭhipaññattiyā. Samasamanti samena ñāṇena samaṃ. Yadidaṃ adhipaññattīti yā ayaṃ adhipaññatti nāma. Ettha ahameva bhiyyo uttaritaro na mayā samo atthi. Tattha yañca vuttaṃ ‘‘paññattiyāti yañca adhipaññattī’’ti ubhayametaṃ atthato ekaṃ. Bhedato hi paññatti adhipaññattīti dvayaṃ hoti. Tattha paññatti nāma diṭṭhipaññatti. Adhipaññatti nāma khandhapaññatti dhātupaññatti āyatanapaññatti indriyapaññatti saccapaññatti puggalapaññattīti evaṃ vuttā cha paññattiyo. Idha pana paññattiyāti etthāpi paññatti ceva adhipaññatti ca adhippetā, adhipaññattīti etthāpi. Bhagavā hi paññattiyāpi anuttaro, adhipaññattiyāpi anuttaro. Tenāha – ‘‘ahameva tattha bhiyyo yadidaṃ adhipaññattī’’ti.

    ๑๙๖. ปหานายาติ ปชหนตฺถํฯ สมติกฺกมายาติ ตเสฺสว เววจนํฯ เทสิตาติ กถิตาฯ ปญฺญตฺตาติ ฐปิตาฯ สติปฎฺฐานภาวนาย หิ ฆนวินิโพฺภคํ กตฺวา สพฺพธเมฺมสุ ยาถาวโต ทิเฎฺฐสุ ‘‘สุทฺธสงฺขารปุโญฺชยํ นยิธ สตฺตูปลพฺภตี’’ติ สนฺนิฎฺฐานโต สพฺพทิฎฺฐินิสฺสยานํ ปหานํ โหตีติฯ เตน วุตฺตํฯ ทิฎฺฐินิสฺสยานํ ปหานาย สมติกฺกมาย เอวํ มยา อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา เทสิตา ปญฺญตฺตา’’ติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    196.Pahānāyāti pajahanatthaṃ. Samatikkamāyāti tasseva vevacanaṃ. Desitāti kathitā. Paññattāti ṭhapitā. Satipaṭṭhānabhāvanāya hi ghanavinibbhogaṃ katvā sabbadhammesu yāthāvato diṭṭhesu ‘‘suddhasaṅkhārapuñjoyaṃ nayidha sattūpalabbhatī’’ti sanniṭṭhānato sabbadiṭṭhinissayānaṃ pahānaṃ hotīti. Tena vuttaṃ. Diṭṭhinissayānaṃ pahānāya samatikkamāya evaṃ mayā ime cattāro satipaṭṭhānā desitā paññattā’’ti. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.

    สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถาย

    Sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāya

    ปาสาทิกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pāsādikasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๖. ปาสาทิกสุตฺตํ • 6. Pāsādikasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๖. ปาสาทิกสุตฺตวณฺณนา • 6. Pāsādikasuttavaṇṇanā


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact