Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) |
๖. ปาสาทิกสุตฺตวณฺณนา
6. Pāsādikasuttavaṇṇanā
นิคณฺฐนาฎปุตฺตกาลงฺกิริยวณฺณนา
Nigaṇṭhanāṭaputtakālaṅkiriyavaṇṇanā
๑๖๔. ลกฺขสฺส สรเวธํ อวิรชฺฌิตฺวาน วิชฺฌนวิธิํ ชานนฺตีติ เวธญฺญาฯ เตนาห ‘‘ธนุมฺหิ กตสิกฺขา’’ติฯ สิปฺปํ อุคฺคหณตฺถายาติ ธนุสิปฺปาทิสิปฺปสฺส อุคฺคหณตฺถายฯ มชฺฌิเมน ปมาเณน สรปาตโยคฺยตาวเสน กตตฺตา ทีฆปาสาโทฯ
164. Lakkhassa saravedhaṃ avirajjhitvāna vijjhanavidhiṃ jānantīti vedhaññā. Tenāha ‘‘dhanumhi katasikkhā’’ti. Sippaṃ uggahaṇatthāyāti dhanusippādisippassa uggahaṇatthāya. Majjhimena pamāṇena sarapātayogyatāvasena katattā dīghapāsādo.
สมฺปติ กาลํ กโตติ อจิรกาลํ กโตฯ เทฺวธิกชาตาติ ชาตเทฺวธิกา สญฺชาตเภทาฯ เทฺวชฺฌชาตาติ ทุวิธภาวปฺปตฺตาฯ ภณฺฑนฺติ ปริภาสนฺติ เอเตนาติ ภณฺฑนํ, วิรุทฺธจิตฺตํฯ ตนฺติ ภณฺฑนํฯ ‘‘อิทํ นหานาทิ น กตฺตพฺพ’’นฺติ ปญฺญตฺตวตฺตํ ปณฺณตฺติฯ ธมฺมวินยนฺติ ปาวจนํ สิทฺธนฺตํฯ วิชฺฌนฺตา มุขสตฺตีหิฯ สหิตํ เมติ มยฺหํ วจนํ สหิตํ สิลิฎฺฐํ ปุพฺพาปรสมฺพนฺธํ อตฺถยุตฺตํ การณยุตฺตํฯ เตนาห ‘‘อตฺถสํหิต’’นฺติฯ อธิจิณฺณนฺติ อาจิณฺณํฯ วิปราวตฺตนฺติ วิโรธทสฺสนวเสน ปราวตฺติตํ, ปราวตฺตํ ทูสิตนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘จิรกาลวเสน ปคุณํ, ตํ มม วาทํ อาคมฺม นิวตฺต’’นฺติฯ ปริเยสมาโน วิจร ตตฺถ คนฺตฺวา สิกฺขาติ อโตฺถฯ สเจ สโกฺกสิ, อิทานิเยว มยา เวฐิตํ โทสํ นิเพฺพเฐหิฯ มรณเมวาติ อญฺญมญฺญฆาตนวเสน มรณเมวฯ นาฎปุตฺตสฺส อิเมติ นาฎปุตฺติยา, เต ปน ตสฺส สิสฺสาติ อาห ‘‘อเนฺตวาสิเกสู’’ติฯ ปุริมปฎิปตฺติโต ปฎินิวตฺตนํ ปฎิวานํ, ตํ รูปํ สภาโว เอเตสนฺติ ปฎิวานรูปาฯ เตนาห ‘‘นิวตฺตนสภาวา’’ติฯ กถนํ อตฺถสฺส อาจิกฺขนํฯ ปเวทนํ เหตุทาหรณานิ อาหริตฺวา โพธนํฯ เตนาห ‘‘ทุปฺปเวทิเตติ ทุวิญฺญาปิเต’’ติฯ น อุปสมาย สํวตฺตตีติ อนุปสมสํวตฺตนํ, ตเทว อนุปสมสํวตฺตนิกํ, ตสฺมิํฯ สมุสฺสิตํ หุตฺวา ปติฎฺฐาเหตุภาวโต ถูปํ, ปติฎฺฐาติ อาห ‘‘ภินฺนถูเปติ ภินฺนปติเฎฺฐ’’ติ, ถูโปติ วา ธมฺมสฺส นิยฺยานภาโว เวทิตโพฺพ อเญฺญ ธเมฺม อภิภุยฺย สมุสฺสิตเฎฺฐน, โส นิคณฺฐสฺส สมเยฯ เกหิจิ อภินฺนสมฺมโตปิ ภิโนฺน วินโฎฺฐ เอว สเพฺพน สพฺพํ อภาวโตติ โส ภินฺนถูโป, โส เอว นิยฺยานภาโว วฎฺฎทุกฺขโต มุจฺจิตุกามานํ ปฎิสรณํ, ตเมตฺถ นตฺถีติ อปฺปฎิสรโณ , ตสฺมิํ ภินฺนถูเป อปฺปฎิสรเณติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Sampati kālaṃ katoti acirakālaṃ kato. Dvedhikajātāti jātadvedhikā sañjātabhedā. Dvejjhajātāti duvidhabhāvappattā. Bhaṇḍanti paribhāsanti etenāti bhaṇḍanaṃ, viruddhacittaṃ. Tanti bhaṇḍanaṃ. ‘‘Idaṃ nahānādi na kattabba’’nti paññattavattaṃ paṇṇatti. Dhammavinayanti pāvacanaṃ siddhantaṃ. Vijjhantā mukhasattīhi. Sahitaṃ meti mayhaṃ vacanaṃ sahitaṃ siliṭṭhaṃ pubbāparasambandhaṃ atthayuttaṃ kāraṇayuttaṃ. Tenāha ‘‘atthasaṃhita’’nti. Adhiciṇṇanti āciṇṇaṃ. Viparāvattanti virodhadassanavasena parāvattitaṃ, parāvattaṃ dūsitanti attho. Tenāha ‘‘cirakālavasena paguṇaṃ, taṃ mama vādaṃ āgamma nivatta’’nti. Pariyesamāno vicara tattha gantvā sikkhāti attho. Sace sakkosi, idāniyeva mayā veṭhitaṃ dosaṃ nibbeṭhehi. Maraṇamevāti aññamaññaghātanavasena maraṇameva. Nāṭaputtassa imeti nāṭaputtiyā, te pana tassa sissāti āha ‘‘antevāsikesū’’ti. Purimapaṭipattito paṭinivattanaṃ paṭivānaṃ, taṃ rūpaṃ sabhāvo etesanti paṭivānarūpā. Tenāha ‘‘nivattanasabhāvā’’ti. Kathanaṃ atthassa ācikkhanaṃ. Pavedanaṃ hetudāharaṇāni āharitvā bodhanaṃ. Tenāha ‘‘duppavediteti duviññāpite’’ti. Na upasamāya saṃvattatīti anupasamasaṃvattanaṃ, tadeva anupasamasaṃvattanikaṃ, tasmiṃ. Samussitaṃ hutvā patiṭṭhāhetubhāvato thūpaṃ, patiṭṭhāti āha ‘‘bhinnathūpeti bhinnapatiṭṭhe’’ti, thūpoti vā dhammassa niyyānabhāvo veditabbo aññe dhamme abhibhuyya samussitaṭṭhena, so nigaṇṭhassa samaye. Kehici abhinnasammatopi bhinno vinaṭṭho eva sabbena sabbaṃ abhāvatoti so bhinnathūpo, so eva niyyānabhāvo vaṭṭadukkhato muccitukāmānaṃ paṭisaraṇaṃ, tamettha natthīti appaṭisaraṇo, tasmiṃ bhinnathūpe appaṭisaraṇeti evamettha attho veditabbo.
อาจริยปฺปมาณนฺติ อาจริยมุฎฺฐิ หุตฺวา ปมาณภูตํฯ นานานีหาเรนาติ นานากาเรนฯ
Ācariyappamāṇanti ācariyamuṭṭhi hutvā pamāṇabhūtaṃ. Nānānīhārenāti nānākārena.
๑๖๕. ตเถว สมุทาจริํสุ ภูตปุพฺพคติยาฯ สามากานนฺติ สามากธญฺญานํฯ
165.Tatheva samudācariṃsu bhūtapubbagatiyā. Sāmākānanti sāmākadhaññānaṃ.
‘‘เยนสฺส อุปชฺฌาโย’’ติ วตฺวา ยถาสฺส อายสฺมโต จุนฺทสฺส ธมฺมภณฺฑาคาริโก อุปชฺฌาโย อโหสิ, ตํ วิตฺถาเรน ทเสฺสตุํ ‘‘พุทฺธกาเล กิรา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ พุทฺธกาเลติ ภูตกถนเมตํ, น วิเสสนํฯ สตฺถุ ปรินิพฺพานโต ปุเรตรเมว หิ ธมฺมเสนาปติ ปรินิพฺพุโตฯ
‘‘Yenassa upajjhāyo’’ti vatvā yathāssa āyasmato cundassa dhammabhaṇḍāgāriko upajjhāyo ahosi, taṃ vitthārena dassetuṃ ‘‘buddhakāle kirā’’tiādi vuttaṃ. Tattha buddhakāleti bhūtakathanametaṃ, na visesanaṃ. Satthu parinibbānato puretarameva hi dhammasenāpati parinibbuto.
ธมฺมรตนปูชาวณฺณนา
Dhammaratanapūjāvaṇṇanā
สทฺธิวิหาริกํ อทาสีติ สทฺธิวิหาริกํ กตฺวา อทาสิฯ
Saddhivihārikaṃadāsīti saddhivihārikaṃ katvā adāsi.
กถาย มูลนฺติ ภควโต สนฺติกา ลภิตพฺพธมฺมกถาย การณํฯ สมุฎฺฐาเปตีติ อุฎฺฐาเปติ, ทาลิทฺทิยปงฺกโต อุทฺธรตีติ อธิปฺปาโยฯ สนฺธมนฺติ สมฺมเทว ธมโนฺตฯ เอเกกสฺมิํ ปหาเรเยว ตโย ตโย วาเร กตฺวา ทิวา นววาเร รตฺติํ นววาเรฯ อุปฎฺฐานเมว คจฺฉติ พุทฺธุปฎฺฐานวเสน, ปญฺหาปุจฺฉนาทิวเสน ปน อนฺตรนฺตราปิ คจฺฉเตว, คจฺฉโนฺต จ ทิวสสฺส…เป.… คจฺฉติฯ ญาตุํ อิจฺฉิตสฺส อตฺถสฺส อุทฺธรณภาวโต ปโญฺหว ปญฺหุทฺธาโร, ตํ คเหตฺวาว คจฺฉติ อตฺตโน มหาปญฺญตาย, สตฺถุ จ ธมฺมเทสนายํ อกิลาสุภาวโตฯ
Kathāya mūlanti bhagavato santikā labhitabbadhammakathāya kāraṇaṃ. Samuṭṭhāpetīti uṭṭhāpeti, dāliddiyapaṅkato uddharatīti adhippāyo. Sandhamanti sammadeva dhamanto. Ekekasmiṃ pahāreyeva tayo tayo vāre katvā divā navavāre rattiṃ navavāre.Upaṭṭhānameva gacchati buddhupaṭṭhānavasena, pañhāpucchanādivasena pana antarantarāpi gacchateva, gacchanto ca divasassa…pe… gacchati. Ñātuṃ icchitassa atthassa uddharaṇabhāvato pañhova pañhuddhāro, taṃ gahetvāva gacchati attano mahāpaññatāya, satthu ca dhammadesanāyaṃ akilāsubhāvato.
อสมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิตธมฺมวินยวณฺณนา
Asammāsambuddhappaveditadhammavinayavaṇṇanā
๑๖๖. อาโรจิเตปิ ตสฺมิํ อเตฺถฯ สามิโก โหติ, ตสฺส สามิกภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘โสว ตสฺสา อาทิมชฺฌปริโยสานํ ชานาตี’’ติ อาหฯ เอวนฺติ วจนสมฺปฎิจฺฉนํฯ จุนฺทเตฺถเรน หิ อานีตํ กถาปาภตํ ภควา สมฺปฎิจฺฉโนฺต ‘‘เอว’’นฺติ อาหฯ ‘‘เอว’’นฺติ ทุรกฺขาเต ธมฺมวินเย สาวกานํ เทฺวธิกาทิภาเวน วิหรณกิริยาปรามสนเญฺหตํฯ
166.Ārocitepi tasmiṃ atthe. Sāmiko hoti, tassa sāmikabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘sova tassā ādimajjhapariyosānaṃ jānātī’’ti āha. Evanti vacanasampaṭicchanaṃ. Cundattherena hi ānītaṃ kathāpābhataṃ bhagavā sampaṭicchanto ‘‘eva’’nti āha. ‘‘Eva’’nti durakkhāte dhammavinaye sāvakānaṃ dvedhikādibhāvena viharaṇakiriyāparāmasanañhetaṃ.
ยสฺมา …เป.… ปากฎํ โหติ พฺยติเรกมุเขน จ เนยฺยสฺส อตฺถสฺส วิภูตภาวาปตฺติโตฯ อถ วา ยสฺมา…เป.… ปากฎํ โหติ โทเสสุ อาทีนวทสฺสเนน ตปฺปฎิปเกฺขสุ คุเณสุ อานิสํสสฺส วิภูตภาวาปตฺติโตฯ โวกฺกมฺมาติ อปสเกฺกตฺวาฯ อาเมฑิตโลเปน จายํ นิเทฺทโส, โวกฺกมฺม โวกฺกมฺมาติ วุตฺตํ โหติ, เตน ตสฺส โวกฺกมนสฺส อนฺตรนฺตราติ อยมโตฺถ ลพฺภตีติ อาห ‘‘น นิรนฺตร’’นฺติอาทิฯ ธมฺมานุธมฺมปฎิปตฺติอาทโยติ เตน สตฺถารา วุตฺตมุตฺติธมฺมสฺส อนุธมฺมํ อปฺปฎิปชฺชนาทโย ฯ อาทิ-สเทฺทน ปาฬิยํ อาคตา อสามีจิปฎิปทาทโย จ สงฺคยฺหนฺติฯ มนุสฺสตฺตมฺปีติ ปิ-สเทฺทน ‘‘วิจารณปญฺญาย อสมฺภโว, โทเสสุ อนภินิเวสิตา, อสนฺทิฎฺฐิปรามาสิตา’’ติ เอวมาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘ตถา เอว’’นฺติ ปเทหิ ยถากฺกมํ ปการสฺส กามํ ติโรกฺขตา, ปจฺจกฺขตา วุจฺจติ, ตถาปิ ยถา ‘‘ตถา ปฎิปชฺชตู’’ติ ปเทน ปฎิปชฺชนากาโร นิยเมตฺวา วิหิโต, ตถา ‘‘เอวํ ปฎิปชฺชตู’’ติ อิมินาปีติ อิทํ ตสฺส อตฺถทสฺสนภาเวน วุตฺตํฯ สมาทปิตตฺตา มิจฺฉาปฎิปทาย อปุญฺญํ ปสวติฯ
Yasmā…pe… pākaṭaṃ hoti byatirekamukhena ca neyyassa atthassa vibhūtabhāvāpattito. Atha vā yasmā…pe… pākaṭaṃ hoti dosesu ādīnavadassanena tappaṭipakkhesu guṇesu ānisaṃsassa vibhūtabhāvāpattito. Vokkammāti apasakketvā. Āmeḍitalopena cāyaṃ niddeso, vokkamma vokkammāti vuttaṃ hoti, tena tassa vokkamanassa antarantarāti ayamattho labbhatīti āha ‘‘na nirantara’’ntiādi. Dhammānudhammapaṭipattiādayoti tena satthārā vuttamuttidhammassa anudhammaṃ appaṭipajjanādayo . Ādi-saddena pāḷiyaṃ āgatā asāmīcipaṭipadādayo ca saṅgayhanti. Manussattampīti pi-saddena ‘‘vicāraṇapaññāya asambhavo, dosesu anabhinivesitā, asandiṭṭhiparāmāsitā’’ti evamādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. ‘‘Tathā eva’’nti padehi yathākkamaṃ pakārassa kāmaṃ tirokkhatā, paccakkhatā vuccati, tathāpi yathā ‘‘tathā paṭipajjatū’’ti padena paṭipajjanākāro niyametvā vihito, tathā ‘‘evaṃ paṭipajjatū’’ti imināpīti idaṃ tassa atthadassanabhāvena vuttaṃ. Samādapitattā micchāpaṭipadāya apuññaṃ pasavati.
๑๖๗. ญายติ มุตฺติธโมฺม เอเตนาติ ญาโย, เตน สตฺถารา วุโตฺต ธมฺมานุธโมฺม, ตํ ปฎิปโนฺนติ ญายปฺปฎิปโนฺน, โส ปน ยสฺมา ตสฺส มุตฺติธมฺมสฺส อธิคเม การณสมฺมโต, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘การณปฺปฎิปโนฺน’’ติฯ นิปฺผาเทสฺสตีติ สาเธสฺสติ, สิทฺธิํ คมิสฺสตีติ วุตฺตํ โหติฯ ทุกฺขนิพฺพตฺตกนฺติ สมฺปติ, อายติญฺจ ทุกฺขสฺส นิพฺพตฺตกํฯ วีริยํ กโรติ มิจฺฉาปฎิปนฺนตฺตาฯ
167. Ñāyati muttidhammo etenāti ñāyo, tena satthārā vutto dhammānudhammo, taṃ paṭipannoti ñāyappaṭipanno, so pana yasmā tassa muttidhammassa adhigame kāraṇasammato, tasmā vuttaṃ ‘‘kāraṇappaṭipanno’’ti. Nipphādessatīti sādhessati, siddhiṃ gamissatīti vuttaṃ hoti. Dukkhanibbattakanti sampati, āyatiñca dukkhassa nibbattakaṃ. Vīriyaṃ karoti micchāpaṭipannattā.
สมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิตธมฺมวินยาทิวณฺณนา
Sammāsambuddhappaveditadhammavinayādivaṇṇanā
๑๖๘. นิยฺยาตีติ วตฺตติ, สํวตฺตตีติ วา อโตฺถฯ
168.Niyyātīti vattati, saṃvattatīti vā attho.
๑๗๐. อิธ สาวกสฺส สมฺมาปฎิปตฺติยา เอกนฺติกอปสฺสยทสฺสนตฺถํ สตฺถุ สมฺมาสมฺพุทฺธตา, ธมฺมสฺส จ สฺวากฺขาตตา กิตฺติตาติ ‘‘สมฺมาปฎิปนฺนสฺส กุลปุตฺตสฺส ปสํสํ ทเสฺสตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ เอวญฺหิ อิมิสฺสา เทสนาย สํกิเลสภาคิยภาเวน อุฎฺฐิตาย โวทานภาคิยภาเวน ยถานุสนฺธินา ปวตฺติ ทีปิตา โหติฯ อโพธิตตฺถาติ อปฺปเวทิตตฺถา, ปรมตฺถํ จตุตฺถสจฺจปฎิเวธํ อปาปิตาติ อโตฺถฯ ปาฬิยํ ‘‘อสฺสา’’ติ ปทํ ‘‘สาวกา สทฺธเมฺม’’ติ ทฺวีหิ ปเทหิ โยเชตพฺพํ ‘‘อสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาวกา, อสฺส สทฺธเมฺม’’ติฯ สพฺพสงฺคหปเทหิ กตนฺติ สพฺพสฺส สาสนตฺถสฺส สงฺคณฺหนปเทหิ เอกชฺฌํ กตํฯ เตนาห ‘‘สพฺพสงฺคาหิกํ กตํ น โหตีติ อโตฺถ’’ติฯ ปุเพฺพนาปรํ สมฺพนฺธตฺถภาเวน สงฺคเหตพฺพตาย วา สงฺคหานิ ปทานิ กตานิ เอตสฺสาติ สงฺคหปทกตํ, พฺรหฺมจริยํฯ ตปฺปฎิเกฺขเปน น จ สงฺคหปทกตนฺติ โยชนาฯ ราคาทิปฎิปกฺขหรณํ, ยถานุสิฎฺฐํ วา ปฎิปชฺชมานานํ วฎฺฎทุกฺขโต ปฎิหรณํ นิพฺพานปาปนํ ปฎิหาโร, โส เอว อา-การสฺส อิ-การํ กตฺวา ปฎิหิโร, ปฎิหิโร เอว ปาฎิหิโร, สห ปาฎิหิเรนาติ สปฺปาฎิหิรํ, ตถา สุปฺปเวทิตตาย สปฺปาฎิหิรํ กตนฺติ สปฺปาฎิหิรกตํฯ ตาทิสํ ปน วฎฺฎโต นิยฺยาเน นิยุตฺตํ, นิยฺยานปฺปโยชนญฺจ โหตีติ อาห ‘‘นิยฺยานิก’’นฺติฯ เทวโลกโตติ เทวโลกโต ปฎฺฐาย รูปีเทวนิกายโต ปภุติฯ สุปฺปกาสิตนฺติ สุฎฺฐุ ปกาสิตํฯ ยาว เทวมนุเสฺสหีติ วา ยาว เทวมนุเสฺสหิ ยตฺตกา เทวา มนุสฺสา จ, ตาว เต สเพฺพ อภิพฺยาเปตฺวา สุปฺปกาสิตํฯ อนุตาปาย โหตีติ อนุตโปฺป, โส ปน อนุตาปํ กโรโนฺต วิย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘อนุตาปกโร โหตี’’ติฯ
170. Idha sāvakassa sammāpaṭipattiyā ekantikaapassayadassanatthaṃ satthu sammāsambuddhatā, dhammassa ca svākkhātatā kittitāti ‘‘sammāpaṭipannassa kulaputtassa pasaṃsaṃ dassetvā’’ti vuttaṃ. Evañhi imissā desanāya saṃkilesabhāgiyabhāvena uṭṭhitāya vodānabhāgiyabhāvena yathānusandhinā pavatti dīpitā hoti. Abodhitatthāti appaveditatthā, paramatthaṃ catutthasaccapaṭivedhaṃ apāpitāti attho. Pāḷiyaṃ ‘‘assā’’ti padaṃ ‘‘sāvakā saddhamme’’ti dvīhi padehi yojetabbaṃ ‘‘assa sammāsambuddhassa sāvakā, assa saddhamme’’ti. Sabbasaṅgahapadehi katanti sabbassa sāsanatthassa saṅgaṇhanapadehi ekajjhaṃ kataṃ. Tenāha ‘‘sabbasaṅgāhikaṃ kataṃ na hotīti attho’’ti. Pubbenāparaṃ sambandhatthabhāvena saṅgahetabbatāya vā saṅgahāni padāni katāni etassāti saṅgahapadakataṃ, brahmacariyaṃ. Tappaṭikkhepena na ca saṅgahapadakatanti yojanā. Rāgādipaṭipakkhaharaṇaṃ, yathānusiṭṭhaṃ vā paṭipajjamānānaṃ vaṭṭadukkhato paṭiharaṇaṃ nibbānapāpanaṃ paṭihāro, so eva ā-kārassa i-kāraṃ katvā paṭihiro, paṭihiro eva pāṭihiro, saha pāṭihirenāti sappāṭihiraṃ, tathā suppaveditatāya sappāṭihiraṃ katanti sappāṭihirakataṃ. Tādisaṃ pana vaṭṭato niyyāne niyuttaṃ, niyyānappayojanañca hotīti āha ‘‘niyyānika’’nti. Devalokatoti devalokato paṭṭhāya rūpīdevanikāyato pabhuti. Suppakāsitanti suṭṭhu pakāsitaṃ. Yāva devamanussehīti vā yāva devamanussehi yattakā devā manussā ca, tāva te sabbe abhibyāpetvā suppakāsitaṃ. Anutāpāya hotīti anutappo, so pana anutāpaṃ karonto viya hotīti vuttaṃ ‘‘anutāpakaro hotī’’ti.
๑๗๒. ถิโรติ ฐิตธโมฺม เกนจิ อสํหาริโย, อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย เถรการกา ธมฺมาฯ
172.Thiroti ṭhitadhammo kenaci asaṃhāriyo, asekkhā sīlakkhandhādayo therakārakā dhammā.
๑๗๓. โยเคหิ เขมตฺตาติ โยเคหิ อนุปทฺทุตตฺตาฯ สทฺธมฺมสฺสาติ อสฺส สทฺธมฺมสฺสฯ อสฺสาติ จ อสฺส สตฺถุโนฯ
173.Yogehi khemattāti yogehi anupaddutattā. Saddhammassāti assa saddhammassa. Assāti ca assa satthuno.
๑๗๔. อุปาสกา พฺรหฺมจาริโน นาม วิเสสโต อนาคามิโนฯ โสตาปนฺนสกทาคามิโนปิ ตาทิสา ตถา วุจฺจนฺตีติ ‘‘พฺรหฺมจริยวาสํ วสมานา อริยสาวกา’’ อิเจฺจว วุตฺตํฯ
174. Upāsakā brahmacārino nāma visesato anāgāmino. Sotāpannasakadāgāminopi tādisā tathā vuccantīti ‘‘brahmacariyavāsaṃ vasamānā ariyasāvakā’’ icceva vuttaṃ.
๑๗๖. สพฺพการณสมฺปนฺนนฺติ ยตฺตเกหิ การเณหิ สมฺปนฺนํ นาม โหติ, เตหิ สเพฺพหิ การเณหิ สมฺปนฺนํ สมฺปตฺตํ อุปคตํ ปริปุณฺณํ, สมนฺนาคตํ วาฯ อิมเมว ธมฺมนฺติ อิมเมว สาสนธมฺมํฯ
176.Sabbakāraṇasampannanti yattakehi kāraṇehi sampannaṃ nāma hoti, tehi sabbehi kāraṇehi sampannaṃ sampattaṃ upagataṃ paripuṇṇaṃ, samannāgataṃ vā. Imameva dhammanti imameva sāsanadhammaṃ.
อุทเกน ปเทสญฺญุนา อตฺตโน ปญฺญาเวยฺยตฺติยตํ ทเสฺสตุํ อนิยฺยานิเก อเตฺถ ปยุตฺตํ ปเหฬิกสทิสํ วจนํ, ภควตา อตฺตโน สพฺพญฺญุตาย นิยฺยานิเก อเตฺถ โยเชตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อุทโก สุท’’นฺติอาทิ วุตฺตนฺติ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘โส กิรา’’ติอาทิมาหฯ
Udakena padesaññunā attano paññāveyyattiyataṃ dassetuṃ aniyyānike atthe payuttaṃ paheḷikasadisaṃ vacanaṃ, bhagavatā attano sabbaññutāya niyyānike atthe yojetvā dassetuṃ ‘‘udako suda’’ntiādi vuttanti taṃ dassetuṃ ‘‘so kirā’’tiādimāha.
สงฺคายิตพฺพธมฺมาทิวณฺณนา
Saṅgāyitabbadhammādivaṇṇanā
๑๗๗. สงฺคมฺม สมาคมฺมาติ ตสฺมิํเยว ฐาเน ลพฺภมานานํ คติวเสน สงฺคมฺม ฐานนฺตรโต ปโกฺกสเนน สมาคตานํ วเสน สมาคมฺมฯ เตนาห ‘‘สงฺคนฺตฺวา สมาคนฺตฺวา’’ติฯ อเตฺถน อตฺถนฺติ ปทนฺตเร อาคตอเตฺถน สห ตตฺถ ตตฺถ อาคตมตฺถํฯ พฺยญฺชเนน พฺยญฺชนนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สมาเนเนฺตหีติ สมานํ กโรเนฺตหิ, โอปมฺมํ วา อาเนเนฺตหิฯ สงฺคายิตพฺพนฺติ สมฺมเทว คายิตพฺพํ กเถตพฺพํ, ตํ ปน สงฺคายนํ วาจนามโคฺคติ อาห ‘‘วาเจตพฺพ’’นฺติฯ
177.Saṅgamma samāgammāti tasmiṃyeva ṭhāne labbhamānānaṃ gativasena saṅgamma ṭhānantarato pakkosanena samāgatānaṃ vasena samāgamma. Tenāha ‘‘saṅgantvā samāgantvā’’ti. Atthena atthanti padantare āgataatthena saha tattha tattha āgatamatthaṃ. Byañjanena byañjananti etthāpi eseva nayo. Samānentehīti samānaṃ karontehi, opammaṃ vā ānentehi. Saṅgāyitabbanti sammadeva gāyitabbaṃ kathetabbaṃ, taṃ pana saṅgāyanaṃ vācanāmaggoti āha ‘‘vācetabba’’nti.
๑๗๘. ตสฺส วา ภาสิเตติ ตสฺส ภิกฺขุโน ภาสิเต อเตฺถ เจว พฺยญฺชเน จฯ อตฺถมิจฺฉาคหณโรปนานิ ยถา โหนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อารมฺมณํ ‘‘สติปฎฺฐาน’’นฺติ คณฺหาติ, น สติเยว ‘‘สติปฎฺฐาน’’นฺติฯ ‘‘สติปฎฺฐานานี’’ติ พฺยญฺชนํ โรเปติ ตสฺมิํ อเตฺถ, น ‘‘สติปฎฺฐานา’’ติฯ อุปปนฺนตรานีติ ยุตฺตตรานิฯ อลฺลีนตรานีติ สิลิฎฺฐตรานิฯ ยา เจวาติ ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํ, วิภตฺติโลเปน วาฯ ปุน ยา เจวาติ ลิงฺควิปลฺลาเสเนว นิเทฺทโสฯ เนว อุสฺสาเทตโพฺพติ น อุกฺกํเสตโพฺพ วิรชฺฌิตฺวา วุตฺตตฺตาฯ น อปสาเทตโพฺพติ น สนฺตเชฺชตโพฺพ วิวาทปริหรณตฺถํฯ ธารณตฺถนฺติ อุปธารณตฺถํ สลฺลกฺขณตฺถํฯ
178.Tassa vā bhāsiteti tassa bhikkhuno bhāsite atthe ceva byañjane ca. Atthamicchāgahaṇaropanāni yathā honti, taṃ dassetuṃ ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’tiādi vuttaṃ. Ārammaṇaṃ ‘‘satipaṭṭhāna’’nti gaṇhāti, na satiyeva ‘‘satipaṭṭhāna’’nti. ‘‘Satipaṭṭhānānī’’tibyañjanaṃ ropeti tasmiṃ atthe, na ‘‘satipaṭṭhānā’’ti. Upapannatarānīti yuttatarāni. Allīnatarānīti siliṭṭhatarāni. Yā cevāti liṅgavipallāsena vuttaṃ, vibhattilopena vā. Puna yā cevāti liṅgavipallāseneva niddeso. Neva ussādetabboti na ukkaṃsetabbo virajjhitvā vuttattā. Na apasādetabboti na santajjetabbo vivādapariharaṇatthaṃ. Dhāraṇatthanti upadhāraṇatthaṃ sallakkhaṇatthaṃ.
๑๘๑. อเตฺถน อุเปตนฺติ อวิปรีเตน อเตฺถน อุเปตํ ตํ ‘‘อยเมตฺถ อโตฺถ’’ติ อุเปจฺจ ปฎิชานิตฺวา ฐิตํฯ ตถารูโป จ ตสฺส พุชฺฌิตา นาม โหตีติ อาห ‘‘อตฺถสฺส วิญฺญาตาร’’นฺติฯ เอวเมตํ ภิกฺขุํ ปสํสถาติ วุตฺตนเยน ธมฺมภาณกํ อมุํ ภิกฺขุํ ‘‘เอวํ ลาภา โน อาวุโส’’ติอาทิอากาเรน ปสํสถฯ อิทานิสฺส ปสํสภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘เอโส หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอสาติ ปริยตฺติธมฺมสฺส สตฺถุกิจฺจกรณโต, ตตฺถ จสฺส สมฺมเทว อวฎฺฐิตภาวโต ‘‘พุโทฺธ นาม เอสา’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘ลาภา โน’’ติอาทินา จสฺส ภิกฺขูนํ ปิยครุภาวํ วิภาเวโนฺต สตฺถา ตํ อตฺตโน ฐาเน ฐเปสีติ วุโตฺตฯ
181.Atthena upetanti aviparītena atthena upetaṃ taṃ ‘‘ayamettha attho’’ti upecca paṭijānitvā ṭhitaṃ. Tathārūpo ca tassa bujjhitā nāma hotīti āha ‘‘atthassa viññātāra’’nti. Evametaṃ bhikkhuṃ pasaṃsathāti vuttanayena dhammabhāṇakaṃ amuṃ bhikkhuṃ ‘‘evaṃ lābhā no āvuso’’tiādiākārena pasaṃsatha. Idānissa pasaṃsabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘eso hī’’tiādi vuttaṃ. Esāti pariyattidhammassa satthukiccakaraṇato, tattha cassa sammadeva avaṭṭhitabhāvato ‘‘buddho nāma esā’’ti vutto. ‘‘Lābhā no’’tiādinā cassa bhikkhūnaṃ piyagarubhāvaṃ vibhāvento satthā taṃ attano ṭhāne ṭhapesīti vutto.
ปจฺจยานุญฺญาตการณาทิวณฺณนา
Paccayānuññātakāraṇādivaṇṇanā
๑๘๒. ตโตปิ อุตฺตริตรนฺติ ยา ปุเพฺพ สมฺมาปฎิปนฺนสฺส ภิกฺขุโน ปสํสนวเสน ‘‘อิธ ปน จุนฺท สตฺถา จ โหติ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๑๖๗, ๑๖๙) ปวตฺติตเทสนาย อุปริ ‘‘อิธ จุนฺท สตฺถา จ โลเก อุทปาที’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๑๗๐, ๑๗๑) เทสนา วฑฺฒิตาฯ ตโตปิ อุตฺตริตรํ สวิเสสํ เทสนํ วเฑฺฒโนฺต ‘‘ปจฺจยเหตู’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปจฺจยเหตูติ ปจฺจยสํวตฺตนเหตุฯ อุปฺปชฺชนกา อาสวาติ ปจฺจยานํ ปริเยสนเหตุ เจว ปริโภคเหตุ จ อุปฺปชฺชนกา กามาสวาทโยฯ เตสํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, อริยสาวโก มิจฺฉาอาชีวํ ปหาย สมฺมาอาชีเวน ชีวิตํ กเปฺปตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๘) ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปฎิสงฺขา โยนิโส จีวรํ ปฎิเสวตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓; อ. นิ. ๖.๕๘) จ สมฺมาปฎิปตฺติํ อุปทิสโนฺต ภควา ปฎิฆาตาย ธมฺมํ เทเสติ นามฯ ‘‘โย ตุเมฺหสุ ปาฬิยา อตฺถพฺยญฺชนานิ มิจฺฉา คณฺหาติ, โส เนว อุสฺสาเทตโพฺพ, น อปสาเทตโพฺพ, สาธุกํ สญฺญาเปตโพฺพ ตเสฺสว อตฺถสฺส นิสนฺติยา’’ติ เอวํ ปริยตฺติธเมฺม มิจฺฉาปฎิปเนฺน สมฺมาปฎิปตฺติยํ ภิกฺขู นิโยเชโนฺต ภควา ภณฺฑนเหตุ อุปฺปชฺชนกานํ สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตาย ธมฺมํ เทเสติ นามฯ ยถา เต น ปวิสนฺตีติ เต อาสวา อตฺตโน จิตฺตสนฺตานํ ยถา น โอตรนฺติฯ มูลฆาเตน ปฎิหนนายาติ ยถา มูลฆาโต โหติ, เอวํ มูลฆาตวเสน ปชหนายฯ ตนฺติ จีวรํฯ ยถา จีวรํ อิทมตฺถิกตเมว อุปาทาย อนุญฺญาตํ, เอวํ ปิณฺฑปาตาทโยปิฯ
182.Tatopi uttaritaranti yā pubbe sammāpaṭipannassa bhikkhuno pasaṃsanavasena ‘‘idha pana cunda satthā ca hoti sammāsambuddho’’tiādinā (dī. ni. 3.167, 169) pavattitadesanāya upari ‘‘idha cunda satthā ca loke udapādī’’tiādinā (dī. ni. 3.170, 171) desanā vaḍḍhitā. Tatopi uttaritaraṃ savisesaṃ desanaṃ vaḍḍhento ‘‘paccayahetū’’tiādimāha. Tattha paccayahetūti paccayasaṃvattanahetu. Uppajjanakā āsavāti paccayānaṃ pariyesanahetu ceva paribhogahetu ca uppajjanakā kāmāsavādayo. Tesaṃ diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ ‘‘idha, bhikkhave, ariyasāvako micchāājīvaṃ pahāya sammāājīvena jīvitaṃ kappetī’’ti (saṃ. ni. 5.8) ‘‘idha, bhikkhave, bhikkhu paṭisaṅkhā yoniso cīvaraṃ paṭisevatī’’tiādinā (ma. ni. 1.23; a. ni. 6.58) ca sammāpaṭipattiṃ upadisanto bhagavā paṭighātāya dhammaṃ deseti nāma. ‘‘Yo tumhesu pāḷiyā atthabyañjanāni micchā gaṇhāti, so neva ussādetabbo, na apasādetabbo, sādhukaṃ saññāpetabbo tasseva atthassa nisantiyā’’ti evaṃ pariyattidhamme micchāpaṭipanne sammāpaṭipattiyaṃ bhikkhū niyojento bhagavā bhaṇḍanahetu uppajjanakānaṃ samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāya dhammaṃ deseti nāma. Yathā te na pavisantīti te āsavā attano cittasantānaṃ yathā na otaranti. Mūlaghātena paṭihananāyāti yathā mūlaghāto hoti, evaṃ mūlaghātavasena pajahanāya. Tanti cīvaraṃ. Yathā cīvaraṃ idamatthikatameva upādāya anuññātaṃ, evaṃ piṇḍapātādayopi.
สุขลฺลิกานุโยคาทิวณฺณนา
Sukhallikānuyogādivaṇṇanā
๑๘๓. สุขิตนฺติ สญฺชาตสุขํฯ ปีณิตนฺติ ธาตํ สุหิตํฯ ตถาภูโต ปน ยสฺมา ถูลสรีโร โหติ, ตสฺมา ‘‘ถูลํ กโรตี’’ติ วุตฺตํฯ
183.Sukhitanti sañjātasukhaṃ. Pīṇitanti dhātaṃ suhitaṃ. Tathābhūto pana yasmā thūlasarīro hoti, tasmā ‘‘thūlaṃ karotī’’ti vuttaṃ.
๑๘๖. นฐิตสภาวาติ อนวฎฺฐิตสภาวา, เอวรูปาย กถาย อนวฎฺฐานภาวโต สภาโวปิ เตสํ อนวฎฺฐิโตติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘ชิวฺหา โน อตฺถี’’ติอาทิฯ กามํ ‘‘ปญฺจหิ จกฺขูหี’’ติ วุตฺตํ, อคฺคหิตคฺคหเณน ปน จตฺตาริ จกฺขูนิ เวทิตพฺพานิฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณญฺหิ สมนฺตจกฺขูติฯ ตสฺส วา เญยฺยธเมฺมสุ ชานนวเสน ปวตฺติํ อุปาทาย ‘‘ชานตา’’ติ วุตฺตํฯ หตฺถามลกํ วิย ปจฺจกฺขโต ทสฺสนวเสน ปวตฺติํ อุปาทาย ‘‘ปสฺสตา’’ติ วุตฺตํฯ เนมํ วุจฺจติ ถมฺภาทีหิ อนุปวิฎฺฐภูมิเปฺปเทโสติ อาห ‘‘คมฺภีรภูมิํ อนุปวิโฎฺฐ’’ติฯ สุฎฺฐุ นิขาโตติ ภูมิํ นิขนิตฺวา สมฺมเทว ฐปิโตฯ ตสฺมินฺติ ขีณาสเวฯ อนชฺฌาจาโร อจโล อสมฺปเวธี, ยสฺมา อชฺฌาจาโร เสตุฆาโต ขีณาสวานํฯ โสตาปนฺนาทโยติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน คหิเตสุ อนาคามิโน ตาว นวสุปิ ฐาเนสุ ขีณาสวา วิย อภพฺพา, โสตาปนฺนสกทาคามิโน ปน ‘‘ตติยปญฺจมฎฺฐาเนสุ อภพฺพา’’ติ น วตฺตพฺพา, อิตเรสุ สตฺตสุ ฐาเนสุ อภพฺพาวฯ
186.Naṭhitasabhāvāti anavaṭṭhitasabhāvā, evarūpāya kathāya anavaṭṭhānabhāvato sabhāvopi tesaṃ anavaṭṭhitoti adhippāyo. Tenāha ‘‘jivhā no atthī’’tiādi. Kāmaṃ ‘‘pañcahi cakkhūhī’’ti vuttaṃ, aggahitaggahaṇena pana cattāri cakkhūni veditabbāni. Sabbaññutaññāṇañhi samantacakkhūti. Tassa vā ñeyyadhammesu jānanavasena pavattiṃ upādāya ‘‘jānatā’’ti vuttaṃ. Hatthāmalakaṃ viya paccakkhato dassanavasena pavattiṃ upādāya ‘‘passatā’’ti vuttaṃ. Nemaṃ vuccati thambhādīhi anupaviṭṭhabhūmippedesoti āha ‘‘gambhīrabhūmiṃ anupaviṭṭho’’ti. Suṭṭhu nikhātoti bhūmiṃ nikhanitvā sammadeva ṭhapito. Tasminti khīṇāsave. Anajjhācāro acalo asampavedhī, yasmā ajjhācāro setughāto khīṇāsavānaṃ. Sotāpannādayoti ettha ādi-saddena gahitesu anāgāmino tāva navasupi ṭhānesu khīṇāsavā viya abhabbā, sotāpannasakadāgāmino pana ‘‘tatiyapañcamaṭṭhānesu abhabbā’’ti na vattabbā, itaresu sattasu ṭhānesu abhabbāva.
ปญฺหพฺยากรณวณฺณนา
Pañhabyākaraṇavaṇṇanā
๑๘๗. คิหิพฺยญฺชเนนาติ คิหิลิเงฺคนฯ ขีณาสโว ปน คิหิพฺยญฺชเนน อรหตฺตํ ปโตฺตปิ น ติฎฺฐติ วิเวกฎฺฐานสฺส อภาวาติ อธิปฺปาโยฯ ตสฺส วเสนาติ ภุมฺมเทวตฺตภาเว ฐตฺวา อรหตฺตปฺปตฺตสฺส วเสนฯ อยํ ปโญฺหติ ‘‘อภโพฺพ โส นว ฐานานิ อชฺฌาจริตุ’’นฺติ อยํ ปโญฺห อาคโต อิตรสฺส ปพฺพชฺชาย, ปรินิพฺพาเนน วา อภพฺพตาย อวุตฺตสิทฺธตฺตาฯ ยทิ เอวํ กถํ ภิกฺขุคหณนฺติ อาห ‘‘ภินฺนโทสตฺตา’’ติอาทิฯ อปริเจฺฉทนฺติ อปริยนฺตํ, ตยิทํ สุวิปุลนฺติ อาห ‘‘มหนฺต’’นฺติฯ เญยฺยสฺส หิ วิปุลตาย ญาณสฺส วิปุลตา เวทิตพฺพา, เอเตน ‘‘อปริเจฺฉท’’นฺติ วุจฺจมานมฺปิ เญยฺยํ สตฺถุ ญาณสฺส วเสน ปริเจฺฉทเมวาติ ทสฺสิตํ โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ญาณปริยนฺติกํ เนยฺย’’นฺติ (มหานิ. ๖๙, ๑๕๖; จูฬนิ. ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕) อนาคเต อปญฺญาปนนฺติ อนาคเต วิสเย ญาณสฺส อปญฺญาปนํฯ ‘‘ปจฺจกฺขํ วิย กตฺวา’’ติ กสฺมา วิย-สทฺทคฺคหณํ กตํ, นนุ พุทฺธานํ สพฺพมฺปิ ญาณํ อตฺตโน วิสยํ ปจฺจกฺขเมว กตฺวา ปวตฺตติ เอกปฺปมาณภาวโตติ? สจฺจเมตํ, ‘‘อกฺข’’นฺติ ปน จกฺขาทิอินฺทฺริยํ วุจฺจติ, ตํ อกฺขํ ปติ วตฺตตีติ จกฺขาทินิสฺสิตํ วิญฺญาณํ, ตสฺส จ อารมฺมณํ ‘‘ปจฺจกฺข’’นฺติ โลเก นิรุฬฺหเมตนฺติ ตํ นิทสฺสนํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ปจฺจกฺขํ วิย กตฺวา’’ติ อโวจ, น ปน ภควโต ญาณสฺส อปฺปจฺจกฺขากาเรน ปวตฺตนโตฯ ตถา หิ วทนฺติ –
187.Gihibyañjanenāti gihiliṅgena. Khīṇāsavo pana gihibyañjanena arahattaṃ pattopi na tiṭṭhati vivekaṭṭhānassa abhāvāti adhippāyo. Tassa vasenāti bhummadevattabhāve ṭhatvā arahattappattassa vasena. Ayaṃ pañhoti ‘‘abhabbo so nava ṭhānāni ajjhācaritu’’nti ayaṃ pañho āgato itarassa pabbajjāya, parinibbānena vā abhabbatāya avuttasiddhattā. Yadi evaṃ kathaṃ bhikkhugahaṇanti āha ‘‘bhinnadosattā’’tiādi. Aparicchedanti apariyantaṃ, tayidaṃ suvipulanti āha ‘‘mahanta’’nti. Ñeyyassa hi vipulatāya ñāṇassa vipulatā veditabbā, etena ‘‘apariccheda’’nti vuccamānampi ñeyyaṃ satthu ñāṇassa vasena paricchedamevāti dassitaṃ hoti. Vuttañhetaṃ ‘‘ñāṇapariyantikaṃ neyya’’nti (mahāni. 69, 156; cūḷani. 85; paṭi. ma. 3.5) anāgateapaññāpananti anāgate visaye ñāṇassa apaññāpanaṃ. ‘‘Paccakkhaṃ viya katvā’’ti kasmā viya-saddaggahaṇaṃ kataṃ, nanu buddhānaṃ sabbampi ñāṇaṃ attano visayaṃ paccakkhameva katvā pavattati ekappamāṇabhāvatoti? Saccametaṃ, ‘‘akkha’’nti pana cakkhādiindriyaṃ vuccati, taṃ akkhaṃ pati vattatīti cakkhādinissitaṃ viññāṇaṃ, tassa ca ārammaṇaṃ ‘‘paccakkha’’nti loke niruḷhametanti taṃ nidassanaṃ katvā dassento ‘‘paccakkhaṃ viya katvā’’ti avoca, na pana bhagavato ñāṇassa appaccakkhākārena pavattanato. Tathā hi vadanti –
‘‘อาวิภูตํ ปกาสนํ, อนุปทฺทุตเจตสํ;
‘‘Āvibhūtaṃ pakāsanaṃ, anupaddutacetasaṃ;
อตีตานาคเต ญาณํ, ปจฺจกฺขานํ วสิสฺสตี’’ติฯ
Atītānāgate ñāṇaṃ, paccakkhānaṃ vasissatī’’ti.
อญฺญตฺถ วิหิตเกนาติ อญฺญสฺมิํ วิสเย ปวตฺติเตนฯ สงฺคาเหตพฺพนฺติ สมํ กตฺวา กถยิตพฺพํ, กถนํ ปน ปญฺญาปนํ นาม โหตีติ ปญฺญาเปตพฺพนฺติ อโตฺถ วุโตฺตฯ ตาทิสนฺติ สตตํ สมิตํ ปวตฺตกํฯ ญาณํ นาม นตฺถีติ อาวชฺชเนน วินา ญาณุปฺปตฺติยา อสมฺภวโตฯ เอกากาเรน จ ญาเณ ปวตฺตมาเน นานาการสฺส วิสยสฺส อวโพโธ น สิยาฯ อถาปิ สิยา, อนิรุปิตรูเปเนว อวโพโธ สิยา, เตน จ ญาณํ เญยฺยํ อญฺญาตสทิสเมว สิยาฯ น หิ ‘‘อิทํ ต’’นฺติ วิเวเกน อนวพุโทฺธ อโตฺถ ญาโต นาม โหติ, ตสฺมา ‘‘จรโต จ ติฎฺฐโต จา’’ติอาทิ พาลลาปนมตฺตํฯ เตนาห ‘‘ยถริว พาลา อพฺยตฺตา, เอวํ มญฺญนฺตี’’ติฯ
Aññattha vihitakenāti aññasmiṃ visaye pavattitena. Saṅgāhetabbanti samaṃ katvā kathayitabbaṃ, kathanaṃ pana paññāpanaṃ nāma hotīti paññāpetabbanti attho vutto. Tādisanti satataṃ samitaṃ pavattakaṃ. Ñāṇaṃ nāma natthīti āvajjanena vinā ñāṇuppattiyā asambhavato. Ekākārena ca ñāṇe pavattamāne nānākārassa visayassa avabodho na siyā. Athāpi siyā, anirupitarūpeneva avabodho siyā, tena ca ñāṇaṃ ñeyyaṃ aññātasadisameva siyā. Na hi ‘‘idaṃ ta’’nti vivekena anavabuddho attho ñāto nāma hoti, tasmā ‘‘carato ca tiṭṭhato cā’’tiādi bālalāpanamattaṃ. Tenāha ‘‘yathariva bālā abyattā, evaṃ maññantī’’ti.
สติํ อนุสฺสรตีติ สตานุสาริ, สติยานุวตฺตนวเสน ปวตฺตญาณํฯ เตนาห ‘‘ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติสมฺปยุตฺตก’’นฺติ ฯ ญาณํ เปเสสีติ ญาณํ ปวเตฺตสิฯ สพฺพตฺถกเมว เญยฺยาวรณสฺส สุปฺปหีนตฺตา อปฺปฎิหตํ อนิวาริตํ ญาณํ คจฺฉติ ปวตฺตติเจฺจว อโตฺถฯ ‘‘โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติ (จูฬนิ. ๒๑๑) วจนโต จตุมคฺคญาณํ โพธิ, ตโต ตสฺส อธิคตตฺตา อุปฺปชฺชนกํ ปจฺจเวกฺขณญาณํ ‘‘โพธิชํ ญาณํ อุปฺปชฺชตี’’ติ วุตฺตํฯ โพธิชํ โพธิมูเล ชาตํ จตุมคฺคญาณํ, ตญฺจ โข อนาคตํ อารพฺภ อุทฺทิสฺส ตสฺส อปฺปวตฺติอตฺถํ ตถาคตสฺส อุปฺปชฺชติ ตสฺส อุปฺปนฺนตฺตา อายติํ ปุนพฺภวาภาวโตฯ กถํ ตถาคโต อนาคตมทฺธานํ อารพฺภ อตีรกํ ญาณทสฺสนํ ปญฺญาเปตีติ? อตีตสฺส ปน อทฺธุโน มหนฺตตาย อตีรกํ ญาณทสฺสนํ ตตฺถ ปญฺญาเปตีติ โก เอตฺถ วิโรโธฯ ติตฺถิยา ปน อิมมตฺถํ ยาถาวโต อชานนฺตา – ‘‘ตยิทํ กิํ สุ, ตยิทํ กถํสู’’ติ อตฺตโน อญฺญาณเมว ปากฎํ กโรนฺติฯ ตสฺมา ภควตา สสนฺตติปริยาปนฺนธมฺมปฺปวตฺติํ สนฺธาย ‘‘อญฺญวิหิตกํ ญาณทสฺสน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อิตรํ ปน สนฺธาย วุจฺจมาเน สติ ตถารูเป ปโยชเน อนาคตมฺปิ อทฺธานํ อารพฺภ อตีรกเมว ญาณทสฺสนํ ปญฺญาเปยฺย ภควาติ อนตฺถสํหิตนฺติ อยเมตฺถ อโตฺถติ อาห ‘‘น อิธโลกตฺถํ วา ปรโลกตฺถํ วา นิสฺสิต’’นฺติฯ ยํ ปน สตฺตานํ อนตฺถาวหตฺตา อนตฺถสํหิตํ, ตตฺถ เสตุฆาโต ตถาคตสฺสฯ ‘‘ภารตยุทฺธสีตาหรณสทิส’’นฺติ อิมินา ตสฺสา กถาย เยภุเยฺยน อภูตตฺถตํ ทีเปติฯ สเหตุกนฺติ ญาปเกน เหตุนา สเหตุกํฯ โส ปน เหตุ เยน นิทสฺสเนน สาธียติ, ตํ ตสฺส การณนฺติ เตน สการณํ กตฺวาฯ ยถา หิ ปฎิญฺญาตตฺถสาธนโต เหตุ, เอวํ สาธกํ นิทสฺสนนฺติฯ ยุตฺตปตฺตกาเลเยวาติ ยุตฺตานํ ปตฺตกาเล เอวฯ เย หิ เวเนยฺยา ตสฺสา กถาย ยุตฺตา อนุจฺฉวิกา, เตสํเยว โยชเน สนฺธาย วา กถาย ปโตฺต อุปการาวโห กาโล, ตทา เอว กเถตีติ อโตฺถฯ
Satiṃ anussaratīti satānusāri, satiyānuvattanavasena pavattañāṇaṃ. Tenāha ‘‘pubbenivāsānussatisampayuttaka’’nti . Ñāṇaṃ pesesīti ñāṇaṃ pavattesi. Sabbatthakameva ñeyyāvaraṇassa suppahīnattā appaṭihataṃ anivāritaṃ ñāṇaṃ gacchati pavattaticceva attho. ‘‘Bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇa’’nti (cūḷani. 211) vacanato catumaggañāṇaṃ bodhi, tato tassa adhigatattā uppajjanakaṃ paccavekkhaṇañāṇaṃ ‘‘bodhijaṃ ñāṇaṃ uppajjatī’’ti vuttaṃ. Bodhijaṃ bodhimūle jātaṃ catumaggañāṇaṃ, tañca kho anāgataṃ ārabbha uddissa tassa appavattiatthaṃ tathāgatassa uppajjati tassa uppannattā āyatiṃ punabbhavābhāvato. Kathaṃ tathāgato anāgatamaddhānaṃ ārabbha atīrakaṃ ñāṇadassanaṃ paññāpetīti? Atītassa pana addhuno mahantatāya atīrakaṃ ñāṇadassanaṃ tattha paññāpetīti ko ettha virodho. Titthiyā pana imamatthaṃ yāthāvato ajānantā – ‘‘tayidaṃ kiṃ su, tayidaṃ kathaṃsū’’ti attano aññāṇameva pākaṭaṃ karonti. Tasmā bhagavatā sasantatipariyāpannadhammappavattiṃ sandhāya ‘‘aññavihitakaṃ ñāṇadassana’’ntiādi vuttaṃ. Itaraṃ pana sandhāya vuccamāne sati tathārūpe payojane anāgatampi addhānaṃ ārabbha atīrakameva ñāṇadassanaṃ paññāpeyya bhagavāti anatthasaṃhitanti ayamettha atthoti āha ‘‘na idhalokatthaṃ vā paralokatthaṃ vā nissita’’nti. Yaṃ pana sattānaṃ anatthāvahattā anatthasaṃhitaṃ, tattha setughāto tathāgatassa. ‘‘Bhāratayuddhasītāharaṇasadisa’’nti iminā tassā kathāya yebhuyyena abhūtatthataṃ dīpeti. Sahetukanti ñāpakena hetunā sahetukaṃ. So pana hetu yena nidassanena sādhīyati, taṃ tassa kāraṇanti tena sakāraṇaṃ katvā. Yathā hi paṭiññātatthasādhanato hetu, evaṃ sādhakaṃ nidassananti. Yuttapattakāleyevāti yuttānaṃ pattakāle eva. Ye hi veneyyā tassā kathāya yuttā anucchavikā, tesaṃyeva yojane sandhāya vā kathāya patto upakārāvaho kālo, tadā eva kathetīti attho.
๑๘๘. ‘‘ตถา ตเถว คทนโต’’ติ อิมินา ‘‘ตถาคโต’’ติ อาเมฑิตโลเปนายํ นิเทฺทโสติ ทเสฺสติฯ ตถา ตเถวาติ จ ธมฺมอตฺถสภาวานุรูปํ, เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปญฺจาติ อธิปฺปาโยฯ ทิฎฺฐนฺติ รูปายตนํ ทฎฺฐพฺพโต, เตน ยํ ทิฎฺฐํ, ยํ ทิสฺสติ, ยํ ทกฺขติ, ยํ สติ สมวาเย ปเสฺสยฺยํ, ตํ สพฺพํ ‘‘ทิฎฺฐํ’’ เตฺวว คหิตํ กาลวิเสสสฺส อนามฎฺฐภาวโตฯ ‘‘สุต’’นฺติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ สุตนฺติ สทฺทายตนํ โสตพฺพโตฯ มุตนฺติ สนิสฺสเยน ฆานาทิอินฺทฺริเยน สยํ ปตฺวา ปาปุณิตฺวา คเหตพฺพํฯ เตนาห ‘‘ปตฺวา คเหตพฺพโต’’ติฯ วิญฺญาตนฺติ วิชานิตพฺพํ, ตํ ปน ทิฎฺฐาทิวินิมุตฺตํ วิเญฺญยฺยนฺติ อาห ‘‘สุขทุกฺขาทิธมฺมายตน’’นฺติฯ ปตฺตนฺติ ยถา ตถา ปตฺตํ, หตฺถคตํ อธิคตนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ปริเยสิตฺวา วา อปริเยสิตฺวา วา’’ติฯ ปริเยสิตนฺติ ปตฺติยามตฺถํ ปริยิฎฺฐํ, ตํ ปน ปตฺตํ วา สิยา อปฺปตฺตํ วา อุภยถาปิ ปริเยสิตเมวาติ อาห ‘‘ปตฺตํ วา อปฺปตฺตํ วา’’ติฯ ปททฺวเยนาปิ ทฺวิปฺปการมฺปิ ปตฺตํ, ทฺวิปฺปการมฺปิ ปริเยสิตํ, เตน เตน ปกาเรน ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธนฺติ ทเสฺสติฯ จิเตฺตน อนุสญฺจริตนฺติ โจปนํ อปาเปตฺวา จิเตฺตเนว อนุสํจริตํ, ปริวิตกฺกิตนฺติ อโตฺถฯ ปีตกนฺติ อาทีติ อาทิ-สเทฺทน โลหิตกโอทาตาทิ สพฺพํ รูปารมฺมณวิภาคํ สงฺคณฺหาติฯ สุมโนติ ราควเสน, โลภวเสน, สทฺธาทิวเสน วา สุมโนฯ ทุมฺมโนติ พฺยาปาทวิตกฺกวเสน, วิหิํสาวิตกฺกวเสน วา ทุมฺมโนฯ มชฺฌโตฺตติ อญฺญาณวเสน วา ญาณวเสน วา มชฺฌโตฺตฯ เอเสว นโย สพฺพตฺถฯ ตตฺถ ตตฺถ อาทิ-สเทฺทน สงฺขสโทฺท ปณวสโทฺท, ปตฺตคโนฺธ ปุปฺผคโนฺธ, ปตฺตรโส ผลรโส, อุปาทินฺนํ อนุปาทินฺนํ, มชฺฌตฺตเวทนา กุสลกมฺมํ อกุสลกมฺมนฺติ เอวํ อาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ
188.‘‘Tathā tatheva gadanato’’ti iminā ‘‘tathāgato’’ti āmeḍitalopenāyaṃ niddesoti dasseti. Tathā tathevāti ca dhammaatthasabhāvānurūpaṃ, veneyyajjhāsayānurūpañcāti adhippāyo. Diṭṭhanti rūpāyatanaṃ daṭṭhabbato, tena yaṃ diṭṭhaṃ, yaṃ dissati, yaṃ dakkhati, yaṃ sati samavāye passeyyaṃ, taṃ sabbaṃ ‘‘diṭṭhaṃ’’ tveva gahitaṃ kālavisesassa anāmaṭṭhabhāvato. ‘‘Suta’’ntiādīsupi eseva nayo. Sutanti saddāyatanaṃ sotabbato. Mutanti sanissayena ghānādiindriyena sayaṃ patvā pāpuṇitvā gahetabbaṃ. Tenāha ‘‘patvā gahetabbato’’ti. Viññātanti vijānitabbaṃ, taṃ pana diṭṭhādivinimuttaṃ viññeyyanti āha ‘‘sukhadukkhādidhammāyatana’’nti. Pattanti yathā tathā pattaṃ, hatthagataṃ adhigatanti attho. Tenāha ‘‘pariyesitvā vā apariyesitvā vā’’ti. Pariyesitanti pattiyāmatthaṃ pariyiṭṭhaṃ, taṃ pana pattaṃ vā siyā appattaṃ vā ubhayathāpi pariyesitamevāti āha ‘‘pattaṃ vā appattaṃ vā’’ti. Padadvayenāpi dvippakārampi pattaṃ, dvippakārampi pariyesitaṃ, tena tena pakārena tathāgatena abhisambuddhanti dasseti. Cittena anusañcaritanti copanaṃ apāpetvā citteneva anusaṃcaritaṃ, parivitakkitanti attho. Pītakanti ādīti ādi-saddena lohitakaodātādi sabbaṃ rūpārammaṇavibhāgaṃ saṅgaṇhāti. Sumanoti rāgavasena, lobhavasena, saddhādivasena vā sumano. Dummanoti byāpādavitakkavasena, vihiṃsāvitakkavasena vā dummano. Majjhattoti aññāṇavasena vā ñāṇavasena vā majjhatto. Eseva nayo sabbattha. Tattha tattha ādi-saddena saṅkhasaddo paṇavasaddo, pattagandho pupphagandho, pattaraso phalaraso, upādinnaṃ anupādinnaṃ, majjhattavedanā kusalakammaṃ akusalakammanti evaṃ ādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo.
อปฺปตฺตนฺติ ญาเณน อสมฺปตฺตํ, อวิทิตนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ญาเณน อสจฺฉิกต’’นฺติฯ ตเถว คตตฺตาติ ตเถว ญาตตฺตา อภิสมฺพุทฺธตฺตาฯ คต-สเทฺทน เอกตฺถํ พุทฺธิอตฺถนฺติ อโตฺถฯ ‘‘คติอตฺถา หิ ธาตโว พุทฺธิอตฺถา ภวนฺตี’’ติ อกฺขรจินฺตกาฯ
Appattanti ñāṇena asampattaṃ, aviditanti attho. Tenāha ‘‘ñāṇena asacchikata’’nti. Tatheva gatattāti tatheva ñātattā abhisambuddhattā. Gata-saddena ekatthaṃ buddhiatthanti attho. ‘‘Gatiatthā hi dhātavo buddhiatthā bhavantī’’ti akkharacintakā.
อพฺยากตฎฺฐานาทิวณฺณนา
Abyākataṭṭhānādivaṇṇanā
๑๘๙. ‘‘อสมตํ กเถตฺวา’’ติ วตฺวา สโมปิ นาม โกจิ นตฺถิ, กุโต อุตฺตริตโรติ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุตฺตรต’’นฺติ วุตฺตํฯ สา ปนายํ อสมตา, อนุตฺตรตา จ สพฺพญฺญุตํ ปูเรตฺวา ฐิตาติ ทเสฺสตุํ ‘‘สพฺพญฺญุต’’นฺติ วุตฺตํฯ สา สพฺพญฺญุตา สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺติภาเวน โลเก ปากฎา ชาตาติ ทเสฺสตุํ ‘‘ธมฺมราชภาวํ กเถตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ ตถา สพฺพญฺญุภาเวน จ สตฺถา อิเมสุ ทิฎฺฐิคตวิปลฺลาเสสุ เอวํ ปฎิปชฺชตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิทานี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สีหนาทนฺติ อภีตนาทํ เสฎฺฐนาทํฯ เสฎฺฐนาโท เหส, ยทิทํ ฐปนียสฺส ปญฺหสฺส ฐปนียภาวทสฺสนํฯ ฐปนียตา จสฺส ปาฬิอารุฬฺหา เอว ‘‘น เหต’’นฺติอาทินาฯ ยถา อุปจิตกมฺมกิเลเสน อิตฺถตฺตํ อาคนฺตพฺพํ, ตถา นํ อาคโตติ ตถาคโต, สโตฺตฯ ตถา หิ โส รูปาทีสุ สโตฺต วิสโตฺตติ กตฺวา ‘‘สโตฺต’’ติ จ วุจฺจติฯ อิตฺถตฺตนฺติ จ ปฎิลทฺธตฺตา ตถา ปจฺจกฺขภูโต อตฺตภาโวติ เวทิตโพฺพฯ
189. ‘‘Asamataṃ kathetvā’’ti vatvā samopi nāma koci natthi, kuto uttaritaroti dassetuṃ ‘‘anuttarata’’nti vuttaṃ. Sā panāyaṃ asamatā, anuttaratā ca sabbaññutaṃ pūretvā ṭhitāti dassetuṃ ‘‘sabbaññuta’’nti vuttaṃ. Sā sabbaññutā saddhammavaracakkavattibhāvena loke pākaṭā jātāti dassetuṃ ‘‘dhammarājabhāvaṃ kathetvā’’ti vuttaṃ. Tathā sabbaññubhāvena ca satthā imesu diṭṭhigatavipallāsesu evaṃ paṭipajjatīti dassento ‘‘idānī’’tiādimāha. Tattha sīhanādanti abhītanādaṃ seṭṭhanādaṃ. Seṭṭhanādo hesa, yadidaṃ ṭhapanīyassa pañhassa ṭhapanīyabhāvadassanaṃ. Ṭhapanīyatā cassa pāḷiāruḷhā eva ‘‘na heta’’ntiādinā. Yathā upacitakammakilesena itthattaṃ āgantabbaṃ, tathā naṃ āgatoti tathāgato, satto. Tathā hi so rūpādīsu satto visattoti katvā ‘‘satto’’ti ca vuccati. Itthattanti ca paṭiladdhattā tathā paccakkhabhūto attabhāvoti veditabbo.
‘‘อตฺถสํหิตํ น โหตี’’ติ อิมินา อุภยตฺถ วิธุรตาทสฺสเนน นิรตฺถกวิปฺปลาปตํ ตสฺส วาทสฺส วิภาเวติ, อุภยโลกตฺถวิธุรมฺปิ สมานํ ‘‘กิํ นุ โข วิวฎฺฎนิสฺสิต’’นฺติ โกจิ อาสเงฺกยฺยาติ ตทาสงฺกานิวตฺตนตฺถํ ‘‘น จ ธมฺมสํหิต’’นฺติ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘นวโลกุตฺตรธมฺมนิสฺสิตํ น โหตี’’ติฯ ยทิปิ ตํ น วิวโฎฺฎคตํ โหติ, วิวฎฺฎสฺส ปน อธิฎฺฐานภูตํ นุ โขติ โกจิ อาสเงฺกยฺยาติ ตทาสงฺกานิวตฺตนตฺถํ ‘‘น อาทิพฺรหฺมจริยก’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Atthasaṃhitaṃ na hotī’’ti iminā ubhayattha vidhuratādassanena niratthakavippalāpataṃ tassa vādassa vibhāveti, ubhayalokatthavidhurampi samānaṃ ‘‘kiṃ nu kho vivaṭṭanissita’’nti koci āsaṅkeyyāti tadāsaṅkānivattanatthaṃ ‘‘na ca dhammasaṃhita’’nti vuttaṃ. Tenāha ‘‘navalokuttaradhammanissitaṃ na hotī’’ti. Yadipi taṃ na vivaṭṭogataṃ hoti, vivaṭṭassa pana adhiṭṭhānabhūtaṃ nu khoti koci āsaṅkeyyāti tadāsaṅkānivattanatthaṃ ‘‘na ādibrahmacariyaka’’ntiādi vuttaṃ.
๑๙๐. กามํ ตณฺหาปิ ทุกฺขสภาวตฺตา ‘‘ทุกฺข’’นฺติ พฺยากาตพฺพา, ปภวภาเวน ปน สา ตโต วิสุํ กาตพฺพาติ ‘‘ตณฺหํ ฐเปตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘ตเสฺสว ทุกฺขสฺส ปภาวิกา’’ติอาทิฯ นนุ จ อวิชฺชาทโยปิ ทุกฺขสฺส สมุทโยติ? สจฺจํ สมุทโย, ตสฺสา ปน กมฺมสฺส วิจิตฺตภาวเหตุโต, ทุกฺขุปฺปาทเน วิเสสปจฺจยภาวโต จ สาติสโย สมุทยโฎฺฐติ สา เอว สุเตฺตสุ ตถา วุตฺตาฯ เตนาห ‘‘ตณฺหา ทุกฺขสมุทโยติ พฺยากต’’นฺติฯ อุภินฺนํ อปฺปวตฺตีติ ทุกฺขสมุทยานํ อปฺปวตฺตินิมิตฺตํฯ ‘‘ทุกฺขปริชานโน’’ติอาทิ มคฺคกิจฺจทสฺสนํ, เตน มคฺคสฺส ภาวนโตฺถปิ อตฺถโต ทสฺสิโตวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ น หิ ภาวนาภิสมเยน วินา ปริญฺญาภิสมยาทโย สมฺภวนฺตีติฯ สจฺจววตฺถาปนํ อปฺปมาทปฎิปตฺติภาวโต อสโมฺมหกลฺยาณกิตฺติสทฺทาทินิมิตฺตตาย ยถา สาติสยํ อิธโลกตฺถาวหํ, เอวํ ยาว ญาณสฺส ติกฺขวิสทภาวปฺปตฺติยา อภาเวน นวโลกุตฺตรธมฺมสมฺปาปกํ น โหติ, ตาว ตตฺถ ตตฺถ สมฺปตฺติภเว อพฺภุทยสมฺปตฺติ อนุคตเมว สิยาติ วุตฺตํ ‘‘เอตํ อิธโลกปรโลกตฺถนิสฺสิต’’นฺติฯ นวโลกุตฺตรธมฺมนิสฺสิตนฺติ นววิธมฺปิ โลกุตฺตรธมฺมํ นิสฺสาย ปวตฺตํ ตทธิคมูปายภาวโตฯ ยสฺมา สจฺจสโมฺพธํ อุทฺทิสฺส สาสนพฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ, น อญฺญทตฺถํ, ตสฺมา เอตํ สจฺจววตฺถาปนํ ‘‘อาทิปธาน’’นฺติ วุตฺตํ ปฐมตรํ จิเตฺต อาทาตพฺพโตฯ
190. Kāmaṃ taṇhāpi dukkhasabhāvattā ‘‘dukkha’’nti byākātabbā, pabhavabhāvena pana sā tato visuṃ kātabbāti ‘‘taṇhaṃ ṭhapetvā’’ti vuttaṃ. Tenāha ‘‘tasseva dukkhassa pabhāvikā’’tiādi. Nanu ca avijjādayopi dukkhassa samudayoti? Saccaṃ samudayo, tassā pana kammassa vicittabhāvahetuto, dukkhuppādane visesapaccayabhāvato ca sātisayo samudayaṭṭhoti sā eva suttesu tathā vuttā. Tenāha ‘‘taṇhā dukkhasamudayotibyākata’’nti. Ubhinnaṃ appavattīti dukkhasamudayānaṃ appavattinimittaṃ. ‘‘Dukkhaparijānano’’tiādi maggakiccadassanaṃ, tena maggassa bhāvanatthopi atthato dassitovāti daṭṭhabbaṃ. Na hi bhāvanābhisamayena vinā pariññābhisamayādayo sambhavantīti. Saccavavatthāpanaṃ appamādapaṭipattibhāvato asammohakalyāṇakittisaddādinimittatāya yathā sātisayaṃ idhalokatthāvahaṃ, evaṃ yāva ñāṇassa tikkhavisadabhāvappattiyā abhāvena navalokuttaradhammasampāpakaṃ na hoti, tāva tattha tattha sampattibhave abbhudayasampatti anugatameva siyāti vuttaṃ ‘‘etaṃ idhalokaparalokatthanissita’’nti. Navalokuttaradhammanissitanti navavidhampi lokuttaradhammaṃ nissāya pavattaṃ tadadhigamūpāyabhāvato. Yasmā saccasambodhaṃ uddissa sāsanabrahmacariyaṃ vussati, na aññadatthaṃ, tasmā etaṃ saccavavatthāpanaṃ ‘‘ādipadhāna’’nti vuttaṃ paṭhamataraṃ citte ādātabbato.
ปุพฺพนฺตสหคตทิฎฺฐินิสฺสยวณฺณนา
Pubbantasahagatadiṭṭhinissayavaṇṇanā
๑๙๑. ตํ มยา พฺยากตเมวาติ ตํ มยา ตถา พฺยากตเมว, พฺยากาตพฺพํ นาม มยา อพฺยากตํ นตฺถีติ พฺยากรณาเวกเลฺลน อตฺตโน ธมฺมสุธมฺมตาย พุทฺธสุพุทฺธตํ วิภาเวติฯ เตนาห ‘‘สีหนาทํ นทโนฺต’’ติฯ ปุริมุปฺปนฺนา ทิฎฺฐิโย อปราปรุปฺปนฺนานํ ทิฎฺฐีนํ อวสฺสยา โหนฺตีติ ‘‘ทิฎฺฐิโยว ทิฎฺฐินิสฺสยา’’ติ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐิคติกาติ ทิฎฺฐิคติโย, ทิฎฺฐิปฺปวตฺติโยติ อโตฺถฯ อิทเมว ทสฺสนํ สจฺจนฺติ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ อิทเมว ทสฺสนํ สจฺจํ อโมฆํ อวิปรีตํฯ อเญฺญสํ วจนํ โมฆนฺติ ‘‘อสสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ เอวมาทิกํ อเญฺญสํ สมณพฺราหฺมณานํ วจนํ โมฆํ ตุจฺฉํ, มิจฺฉาติ อโตฺถฯ น สยํ กาตโพฺพติ อสยํกาโรติ อาห ‘‘อสยํกโต’’ติ, ยาทิจฺฉิกตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
191.Taṃ mayā byākatamevāti taṃ mayā tathā byākatameva, byākātabbaṃ nāma mayā abyākataṃ natthīti byākaraṇāvekallena attano dhammasudhammatāya buddhasubuddhataṃ vibhāveti. Tenāha ‘‘sīhanādaṃ nadanto’’ti. Purimuppannā diṭṭhiyo aparāparuppannānaṃ diṭṭhīnaṃ avassayā hontīti ‘‘diṭṭhiyova diṭṭhinissayā’’ti vuttaṃ. Diṭṭhigatikāti diṭṭhigatiyo, diṭṭhippavattiyoti attho. Idameva dassanaṃ saccanti ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti idameva dassanaṃ saccaṃ amoghaṃ aviparītaṃ. Aññesaṃ vacanaṃ moghanti ‘‘asassato attā ca loko cā’’ti evamādikaṃ aññesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ vacanaṃ moghaṃ tucchaṃ, micchāti attho. Na sayaṃ kātabboti asayaṃkāroti āha ‘‘asayaṃkato’’ti, yādicchikattāti adhippāyo.
๑๙๒. อตฺถิ โขติ เอตฺถ โข-สโทฺท ปุจฺฉายํ, อตฺถิ นูติ อยเมตฺถ อโตฺถติ อาห ‘‘อตฺถิ โข อิทํ อาวุโส วุจฺจตี’’ติอาทิฯ อาวุโส ยํ ตุเมฺหหิ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ วุจฺจติ, อิทมตฺถิ โข อิทํ วาจามตฺตํ, โน นตฺถิ, ตสฺมา วาจาวตฺถุมตฺตโต ตสฺส ยํ โข เต เอวมาหํสุ ‘‘อิทเมว สจฺจํ โมฆํ อญฺญ’’นฺติ, ตํ เตสํ นานุชานามีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ จ โยชนา จ เวทิตพฺพาฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ พฺรหฺมชาลฎีกายํ (ที. นิ. ฎี. ๑.๓๐) วุตฺตเมวฯ ทิฎฺฐิปญฺญตฺติยาติ ทิฎฺฐิยา ปญฺญาปเน ‘‘เอวํ เอสา ทิฎฺฐิ อุปฺปนฺนา’’ติ ตสฺสา ทิฎฺฐิยา สมุทยโต, อตฺถงฺคมโต, อสฺสาทโต, อาทีนวโต, นิสฺสรณโต จ ยาถาวโต ปญฺญาปเนฯ อวิปรีตวุตฺติยา สเมน ญาเณน สมํ กญฺจิ เนว สมนุปสฺสามิฯ อธิปญฺญตฺตีติ อภิเญฺญยฺยธมฺมปญฺญาปนาฯ ยํ อชานนฺตา พาหิรกา ทิฎฺฐิปญฺญตฺติเยว อลฺลีนาติ ตญฺจ ปญฺญตฺติโต อชานนฺตา ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรนฺติฯ เอตฺถ จ ยายํ ‘‘ทิฎฺฐิปญฺญตฺติ นามา’’ติ วุตฺตา ทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิคติเกหิ เอวํ คหิตตาย วิภาวนา, ตตฺถ จ ภควโต อุตฺตริตโร นาม โกจิ นตฺถิ, สฺวายมโตฺถ พฺรหฺมชาเล (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๐) วิภาวิโต เอวฯ ‘‘อธิปญฺญตฺตี’’ติ วุตฺตา ปน วิภาวิยมานา โลกสฺส นิพฺพิทาเหตุภาเวน พหุลีการาติ ตสฺสา วเสน ภควา อนุตฺตรภาวํ ปเวเทโนฺต ‘เนว อตฺตนา สมสมํ สมนุปสฺสามี’ติ สีหนาทํ นที’’ติ เกจิฯ อฎฺฐกถายํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๙๒) ปน ‘‘ยญฺจ วุตฺตํ ‘ปญฺญตฺติยา’ติ ยญฺจ ‘อธิปญฺญตฺตี’ติ , อุภยเมตํ อตฺถโต เอก’’นฺติ ‘‘อิธ ปน ปญฺญตฺติยาติ เอตฺถาปิ ปญฺญตฺติ เจว อธิปญฺญตฺติ จ อธิเปฺปตา, อธิปญฺญตฺตีติ เอตฺถาปี’’ติ จ วุตฺตา, อุภยสฺสปิ วเสเนตฺถ ภควา สีหนาทํ นทีติ วิญฺญายติฯ อุภยํ เปตํ อตฺถโต เอกนฺติ จ ปญฺญตฺติภาวสามญฺญํ สนฺธาย วุตฺตํ, น เภทาภาวโตฯ เตนาห ‘‘เภทโต หี’’ติอาทิฯ ขนฺธปญฺญตฺตีติ ขนฺธานํ ‘‘ขนฺธา’’ติ ปญฺญาปนา ทสฺสนา ปกาสนา ฐปนา นิกฺขิปนาฯ ‘‘อาจิกฺขติ ทเสฺสติ ปญฺญาเปติ ปฎฺฐเปตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๒๐, ๙๗) อาคตฎฺฐาเน หิ ปญฺญาปนา ทสฺสนา ปกาสนา ปญฺญตฺติ นาม, ‘‘สุปญฺญตฺตํ มญฺจปีฐ’’นฺติ (ปารา. ๒๖๙) อาคตฎฺฐาเน ฐปนา นิกฺขิปนา ปญฺญตฺติ นาม, อิธ อุภยมฺปิ ยุชฺชติฯ
192.Atthikhoti ettha kho-saddo pucchāyaṃ, atthi nūti ayamettha atthoti āha ‘‘atthikho idaṃ āvuso vuccatī’’tiādi. Āvuso yaṃ tumhehi ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti vuccati, idamatthi kho idaṃ vācāmattaṃ, no natthi, tasmā vācāvatthumattato tassa yaṃ kho te evamāhaṃsu ‘‘idameva saccaṃ moghaṃ añña’’nti, taṃ tesaṃ nānujānāmīti evamettha attho ca yojanā ca veditabbā. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ brahmajālaṭīkāyaṃ (dī. ni. ṭī. 1.30) vuttameva. Diṭṭhipaññattiyāti diṭṭhiyā paññāpane ‘‘evaṃ esā diṭṭhi uppannā’’ti tassā diṭṭhiyā samudayato, atthaṅgamato, assādato, ādīnavato, nissaraṇato ca yāthāvato paññāpane. Aviparītavuttiyā samena ñāṇena samaṃ kañci neva samanupassāmi. Adhipaññattīti abhiññeyyadhammapaññāpanā. Yaṃ ajānantā bāhirakā diṭṭhipaññattiyeva allīnāti tañca paññattito ajānantā thāmasā parāmāsā abhinivissa voharanti. Ettha ca yāyaṃ ‘‘diṭṭhipaññatti nāmā’’ti vuttā diṭṭhiyā diṭṭhigatikehi evaṃ gahitatāya vibhāvanā, tattha ca bhagavato uttaritaro nāma koci natthi, svāyamattho brahmajāle (dī. ni. aṭṭha. 1.30) vibhāvito eva. ‘‘Adhipaññattī’’ti vuttā pana vibhāviyamānā lokassa nibbidāhetubhāvena bahulīkārāti tassā vasena bhagavā anuttarabhāvaṃ pavedento ‘neva attanā samasamaṃ samanupassāmī’ti sīhanādaṃ nadī’’ti keci. Aṭṭhakathāyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 3.192) pana ‘‘yañca vuttaṃ ‘paññattiyā’ti yañca ‘adhipaññattī’ti , ubhayametaṃ atthato eka’’nti ‘‘idha pana paññattiyāti etthāpi paññatti ceva adhipaññatti ca adhippetā, adhipaññattīti etthāpī’’ti ca vuttā, ubhayassapi vasenettha bhagavā sīhanādaṃ nadīti viññāyati. Ubhayaṃ petaṃ atthato ekanti ca paññattibhāvasāmaññaṃ sandhāya vuttaṃ, na bhedābhāvato. Tenāha ‘‘bhedato hī’’tiādi. Khandhapaññattīti khandhānaṃ ‘‘khandhā’’ti paññāpanā dassanā pakāsanā ṭhapanā nikkhipanā. ‘‘Ācikkhati dasseti paññāpeti paṭṭhapetī’’ti (saṃ. ni. 2.20, 97) āgataṭṭhāne hi paññāpanā dassanā pakāsanā paññatti nāma, ‘‘supaññattaṃ mañcapīṭha’’nti (pārā. 269) āgataṭṭhāne ṭhapanā nikkhipanā paññatti nāma, idha ubhayampi yujjati.
ทิฎฺฐินิสฺสยปฺปหานวณฺณนา
Diṭṭhinissayappahānavaṇṇanā
๑๙๖. ปชหนตฺถนฺติ อจฺจนฺตาย ปฎินิสฺสชฺชนตฺถํฯ ยสฺมา เตน ปชหเนน สเพฺพ ทิฎฺฐินิสฺสยา สมฺมเทว อติกฺกนฺตา โหนฺติ วีติกฺกนฺตา, ตสฺมา ‘‘สมติกฺกมายาติ ตเสฺสว เววจน’’นฺติ อโวจฯ น เกวลํ สติปฎฺฐานา กถิตมตฺตา, อถ โข เวเนยฺยสนฺตาเน ปติฎฺฐาปิตาติ ทเสฺสตุํ ‘‘เทสิตา’’ติ วตฺวา ‘‘ปญฺญตฺตา’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘เทสิตาติ กถิตาฯ ปญฺญตฺตาติ ฐปิตา’’ติฯ อิทานิ สติปฎฺฐานเทสนาย ทิฎฺฐินิสฺสยานํ เอกนฺติกํ ปหานาวหภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘สติปฎฺฐานภาวนาย หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สติปฎฺฐานภาวนายาติ อิมินา เตสํ ภาวนาย เอว เนสํ ปหานํ, เทสนา ปน ตทุปนิสฺสยภาวโต ตถา วุตฺตาติ ทเสฺสติฯ เสสํ สพฺพํ สุวิเญฺญยฺยเมวาติฯ
196.Pajahanatthanti accantāya paṭinissajjanatthaṃ. Yasmā tena pajahanena sabbe diṭṭhinissayā sammadeva atikkantā honti vītikkantā, tasmā ‘‘samatikkamāyāti tasseva vevacana’’nti avoca. Na kevalaṃ satipaṭṭhānā kathitamattā, atha kho veneyyasantāne patiṭṭhāpitāti dassetuṃ ‘‘desitā’’ti vatvā ‘‘paññattā’’ti vuttanti āha ‘‘desitāti kathitā. Paññattāti ṭhapitā’’ti. Idāni satipaṭṭhānadesanāya diṭṭhinissayānaṃ ekantikaṃ pahānāvahabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘satipaṭṭhānabhāvanāya hī’’tiādi vuttaṃ. Tattha satipaṭṭhānabhāvanāyāti iminā tesaṃ bhāvanāya eva nesaṃ pahānaṃ, desanā pana tadupanissayabhāvato tathā vuttāti dasseti. Sesaṃ sabbaṃ suviññeyyamevāti.
ปาสาทิกสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนาฯ
Pāsādikasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๖. ปาสาทิกสุตฺตํ • 6. Pāsādikasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๖. ปาสาทิกสุตฺตวณฺณนา • 6. Pāsādikasuttavaṇṇanā