Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๒๖

    The Middle-Length Suttas Collection 26

    ปาสราสิสุตฺต

    The Noble Search

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery.

    อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สาวตฺถึ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู เยนายสฺมา อานนฺโท เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจุํ: “จิรสฺสุตา โน, อาวุโส อานนฺท, ภควโต สมฺมุขา ธมฺมี กถาฯ สาธุ มยํ, อาวุโส อานนฺท, ลเภยฺยาม ภควโต สมฺมุขา ธมฺมึ กถํ สวนายา”ติฯ

    Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Sāvatthī for alms. Then several bhikkhus went up to Venerable Ānanda and said to him, “Friend, it’s been a long time since we’ve heard a Dhamma talk from the Buddha. It would be good if we got to hear a Dhamma talk from the Buddha.”

    “เตน หายสฺมนฺโต เยน รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม เตนุปสงฺกมถ; อปฺเปว นาม ลเภยฺยาถ ภควโต สมฺมุขา ธมฺมึ กถํ สวนายา”ติฯ

    “Well then, friends, go to the brahmin Rammaka’s hermitage. Hopefully you’ll get to hear a Dhamma talk from the Buddha.”

    “เอวมาวุโส”ติ โข เต ภิกฺขู อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปจฺจโสฺสสุํฯ

    “Yes, friend,” they replied.

    อถ โข ภควา สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน ปุพฺพาราโม มิคารมาตุปาสาโท เตนุปสงฺกมิสฺสาม ทิวาวิหารายา”ติฯ

    Then, after the meal, on his return from almsround, the Buddha addressed Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to the Eastern Monastery, the stilt longhouse of Migāra’s mother for the day’s meditation.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา อายสฺมตา อานนฺเทน สทฺธึ เยน ปุพฺพาราโม มิคารมาตุปาสาโท เตนุปสงฺกมิ ทิวาวิหารายฯ อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน ปุพฺพโกฏฺฐโก เตนุปสงฺกมิสฺสาม คตฺตานิ ปริสิญฺจิตุนฺ”ติฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. So the Buddha went with Ānanda to the Eastern Monastery. In the late afternoon the Buddha came out of retreat and addressed Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to the eastern gate to bathe.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied.

    อถ โข ภควา อายสฺมตา อานนฺเทน สทฺธึ เยน ปุพฺพโกฏฺฐโก เตนุปสงฺกมิ คตฺตานิ ปริสิญฺจิตุํฯ ปุพฺพโกฏฺฐเก คตฺตานิ ปริสิญฺจิตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา เอกจีวโร อฏฺฐาสิ คตฺตานิ ปุพฺพาปยมาโนฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อยํ, ภนฺเต, รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม อวิทูเรฯ รมณีโย, ภนฺเต, รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม; ปาสาทิโก, ภนฺเต, รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโมฯ สาธุ, ภนฺเต, ภควา เยน รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา”ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ

    So the Buddha went with Ānanda to the eastern gate to bathe. When he had bathed and emerged from the water he stood in one robe drying himself. Then Ānanda said to the Buddha, “Sir, the hermitage of the brahmin Rammaka is nearby. It’s so delightful, so lovely. Please visit it out of compassion.” The Buddha consented with silence.

    อถ โข ภควา เยน รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม เตนุปสงฺกมิฯ เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา ภิกฺขู รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสเม ธมฺมิยา กถาย สนฺนิสินฺนา โหนฺติฯ อถ โข ภควา พหิทฺวารโกฏฺฐเก อฏฺฐาสิ กถาปริโยสานํ อาคมยมาโนฯ อถ โข ภควา กถาปริโยสานํ วิทิตฺวา อุกฺกาสิตฺวา อคฺคฬํ อาโกเฏสิฯ วิวรึสุ โข เต ภิกฺขู ภควโต ทฺวารํฯ อถ โข ภควา รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสมํ ปวิสิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา? กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา”ติ?

    He went to the brahmin Rammaka’s hermitage. Now at that time several bhikkhus were sitting together in the hermitage talking about the teaching. The Buddha stood outside the door waiting for the talk to end. When he knew the talk had ended he cleared his throat and knocked with the latch. The bhikkhus opened the door for the Buddha, and he entered the hermitage, where he sat on the seat spread out and addressed the bhikkhus, “Bhikkhus, what were you sitting talking about just now? What conversation was left unfinished?”

    “ภควนฺตเมว โข โน, ภนฺเต, อารพฺภ ธมฺมี กถา วิปฺปกตา, อถ ภควา อนุปฺปตฺโต”ติฯ

    “Sir, our unfinished discussion on the teaching was about the Buddha himself when the Buddha arrived.”

    “สาธุ, ภิกฺขเวฯ เอตํ โข, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ ปติรูปํ กุลปุตฺตานํ สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตานํ ยํ ตุเมฺห ธมฺมิยา กถาย สนฺนิสีเทยฺยาถฯ สนฺนิปติตานํ โว, ภิกฺขเว, ทฺวยํ กรณียํ—ธมฺมี วา กถา, อริโย วา ตุณฺหีภาโวฯ

    “Good, bhikkhus! It’s appropriate for gentlemen like you, who have gone forth in faith from the lay life to homelessness, to sit together and talk about the teaching. When you’re sitting together you should do one of two things: discuss the teachings or keep noble silence.

    เทฺวมา, ภิกฺขเว, ปริเยสนา—อริยา จ ปริเยสนา, อนริยา จ ปริเยสนาฯ

    Bhikkhus, there are these two searches: the noble search and the ignoble search.

    กตมา จ, ภิกฺขเว, อนริยา ปริเยสนา? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ อตฺตนา ชาติธมฺโม สมาโน ชาติธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา ชราธมฺโม สมาโน ชราธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา พฺยาธิธมฺโม สมาโน พฺยาธิธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา มรณธมฺโม สมาโน มรณธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา โสกธมฺโม สมาโน โสกธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา สงฺกิเลสธมฺโม สมาโน สงฺกิเลสธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    And what is the ignoble search? It’s when someone who is themselves liable to be reborn seeks what is also liable to be reborn. Themselves liable to grow old, fall sick, die, sorrow, and become corrupted, they seek what is also liable to these things.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, ชาติธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, ชาติธมฺมํ, ทาสิทาสํ ชาติธมฺมํ, อเชฬกํ ชาติธมฺมํ, กุกฺกุฏสูกรํ ชาติธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ ชาติธมฺมํ, ชาตรูปรชตํ ชาติธมฺมํฯ ชาติธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปนฺโน อตฺตนา ชาติธมฺโม สมาโน ชาติธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    And what should be described as liable to be reborn? Partners and children, male and female bondservants, goats and sheep, chickens and pigs, and elephants and cattle are liable to be reborn. These attachments are liable to be reborn. Someone who is tied, infatuated, and attached to such things, themselves liable to being reborn, seeks what is also liable to be reborn.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, ชราธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, ชราธมฺมํ, ทาสิทาสํ ชราธมฺมํ, อเชฬกํ ชราธมฺมํ, กุกฺกุฏสูกรํ ชราธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ ชราธมฺมํ, ชาตรูปรชตํ ชราธมฺมํฯ ชราธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปนฺโน อตฺตนา ชราธมฺโม สมาโน ชราธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    And what should be described as liable to grow old? Partners and children, male and female bondservants, goats and sheep, chickens and pigs, and elephants and cattle are liable to grow old. These attachments are liable to grow old. Someone who is tied, infatuated, and attached to such things, themselves liable to grow old, seeks what is also liable to grow old.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, พฺยาธิธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, พฺยาธิธมฺมํ, ทาสิทาสํ พฺยาธิธมฺมํ, อเชฬกํ พฺยาธิธมฺมํ, กุกฺกุฏสูกรํ พฺยาธิธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ พฺยาธิธมฺมํฯ พฺยาธิธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปนฺโน อตฺตนา พฺยาธิธมฺโม สมาโน พฺยาธิธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    And what should be described as liable to fall sick? Partners and children, male and female bondservants, goats and sheep, chickens and pigs, and elephants and cattle are liable to fall sick. These attachments are liable to fall sick. Someone who is tied, infatuated, and attached to such things, themselves liable to falling sick, seeks what is also liable to fall sick.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, มรณธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, มรณธมฺมํ, ทาสิทาสํ มรณธมฺมํ, อเชฬกํ มรณธมฺมํ, กุกฺกุฏสูกรํ มรณธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ มรณธมฺมํฯ มรณธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปนฺโน อตฺตนา มรณธมฺโม สมาโน มรณธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    And what should be described as liable to die? Partners and children, male and female bondservants, goats and sheep, chickens and pigs, and elephants and cattle are liable to die. These attachments are liable to die. Someone who is tied, infatuated, and attached to such things, themselves liable to die, seeks what is also liable to die.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, โสกธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, โสกธมฺมํ, ทาสิทาสํ โสกธมฺมํ, อเชฬกํ โสกธมฺมํ, กุกฺกุฏสูกรํ โสกธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ โสกธมฺมํฯ โสกธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปนฺโน อตฺตนา โสกธมฺโม สมาโน โสกธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    And what should be described as liable to sorrow? Partners and children, male and female bondservants, goats and sheep, chickens and pigs, and elephants and cattle are liable to sorrow. These attachments are liable to sorrow. Someone who is tied, infatuated, and attached to such things, themselves liable to sorrow, seeks what is also liable to sorrow.

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, สงฺกิเลสธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, สงฺกิเลสธมฺมํ, ทาสิทาสํ สงฺกิเลสธมฺมํ, อเชฬกํ สงฺกิเลสธมฺมํ, กุกฺกุฏสูกรํ สงฺกิเลสธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ สงฺกิเลสธมฺมํ, ชาตรูปรชตํ สงฺกิเลสธมฺมํฯ สงฺกิเลสธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปนฺโน อตฺตนา สงฺกิเลสธมฺโม สมาโน สงฺกิเลสธมฺมํเยว ปริเยสติฯ อยํ, ภิกฺขเว, อนริยา ปริเยสนาฯ

    And what should be described as liable to corruption? Partners and children, male and female bondservants, goats and sheep, chickens and pigs, elephants and cattle, and gold and money are liable to corruption. These attachments are liable to corruption. Someone who is tied, infatuated, and attached to such things, themselves liable to corruption, seeks what is also liable to corruption. This is the ignoble search.

    กตมา จ, ภิกฺขเว, อริยา ปริเยสนา? อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ อตฺตนา ชาติธมฺโม สมาโน ชาติธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา ชราธมฺโม สมาโน ชราธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชรํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา พฺยาธิธมฺโม สมาโน พฺยาธิธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อพฺยาธึ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา มรณธมฺโม สมาโน มรณธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อมตํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา โสกธมฺโม สมาโน โสกธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อโสกํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา สงฺกิเลสธมฺโม สมาโน สงฺกิเลสธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อสงฺกิลิฏฺฐํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติฯ อยํ, ภิกฺขเว, อริยา ปริเยสนาฯ

    And what is the noble search? It’s when someone who is themselves liable to be reborn, understanding the drawbacks in being liable to be reborn, seeks the unborn supreme sanctuary from the yoke, Nibbana. Themselves liable to grow old, fall sick, die, sorrow, and become corrupted, understanding the drawbacks in these things, they seek the unaging, unailing, undying, sorrowless, uncorrupted supreme sanctuary from the yoke, Nibbana. This is the noble search.

    อหมฺปิ สุทํ, ภิกฺขเว, ปุพฺเพว สมฺโพธา อนภิสมฺพุทฺโธ โพธิสตฺโตว สมาโน อตฺตนา ชาติธมฺโม สมาโน ชาติธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา ชราธมฺโม สมาโน ชราธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา พฺยาธิธมฺโม สมาโน พฺยาธิธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา มรณธมฺโม สมาโน มรณธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา โสกธมฺโม สมาโน โสกธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา สงฺกิเลสธมฺโม สมาโน สงฺกิเลสธมฺมํเยว ปริเยสามิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘กึ นุ โข อหํ อตฺตนา ชาติธมฺโม สมาโน ชาติธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา ชราธมฺโม สมาโน …เป… พฺยาธิธมฺโม สมาโน … มรณธมฺโม สมาโน … โสกธมฺโม สมาโน … อตฺตนา สงฺกิเลสธมฺโม สมาโน สงฺกิเลสธมฺมํเยว ปริเยสามิ? ยนฺนูนาหํ อตฺตนา ชาติธมฺโม สมาโน ชาติธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา ชราธมฺโม สมาโน ชราธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชรํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา พฺยาธิธมฺโม สมาโน พฺยาธิธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อพฺยาธึ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา มรณธมฺโม สมาโน มรณธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อมตํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา โสกธมฺโม สมาโน โสกธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อโสกํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา สงฺกิเลสธมฺโม สมาโน สงฺกิเลสธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อสงฺกิลิฏฺฐํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยนฺ'ติฯ

    Bhikkhus, before my awakening—when I was still unawakened but intent on awakening—I too, being liable to be reborn, sought what is also liable to be reborn. Myself liable to grow old, fall sick, die, sorrow, and become corrupted, I sought what is also liable to these things. Then it occurred to me: ‘Why do I, being liable to be reborn, grow old, fall sick, sorrow, die, and become corrupted, seek things that have the same nature? Why don’t I seek the unborn, unaging, unailing, undying, sorrowless, uncorrupted supreme sanctuary from the yoke, Nibbana?’

    โส โข อหํ, ภิกฺขเว, อปเรน สมเยน ทหโรว สมาโน สุสุกาฬเกโส, ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต ปฐเมน วยสา อกามกานํ มาตาปิตูนํ อสฺสุมุขานํ รุทนฺตานํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชึฯ

    Some time later, while still black-haired, blessed with youth, in the prime of life—though my mother and father wished otherwise, weeping with tearful faces—I shaved off my hair and beard, dressed in ocher robes, and went forth from the lay life to homelessness.

    โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน กิงฺกุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมึฯ อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ: ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส กาลาม, อิมสฺมึ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุนฺ'ติฯ

    Once I had gone forth I set out to discover what is skillful, seeking the supreme state of sublime peace. I approached Āḷāra Kālāma and said to him, ‘Friend Kālāma, I wish to lead the spiritual life in this teaching and training.’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, อาฬาโร กาลาโม มํ เอตทโวจ: ‘วิหรตายสฺมา; ตาทิโส อยํ ธมฺโม ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส นจิรเสฺสว สกํ อาจริยกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา'ติฯ

    Āḷāra Kālāma replied, ‘Stay, venerable. This teaching is such that a sensible person can soon realize their own tradition with their own insight and live having achieved it.’

    โส โข อหํ, ภิกฺขเว, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณึฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตาวตเกเนว โอฏฺฐปหตมตฺเตน ลปิตลาปนมตฺเตน ญาณวาทญฺจ วทามิ เถรวาทญฺจ, ‘ชานามิ ปสฺสามี'ติ จ ปฏิชานามิ อหญฺเจว อญฺเญ จฯ

    I quickly memorized that teaching. So far as lip-recital and oral recitation were concerned, I spoke with knowledge and the authority of the elders. I claimed to know and see, and so did others.

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘น โข อาฬาโร กาลาโม อิมํ ธมฺมํ เกวลํ สทฺธามตฺตเกน สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ; อทฺธา อาฬาโร กาลาโม อิมํ ธมฺมํ ชานํ ปสฺสํ วิหรตี'ติฯ

    Then it occurred to me, ‘It is not solely by mere faith that Āḷāra Kālāma declares: “I realize this teaching with my own insight, and live having achieved it.” Surely he meditates knowing and seeing this teaching.’

    อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ: ‘กิตฺตาวตา โน, อาวุโส กาลาม, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสี'ติ? เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, อาฬาโร กาลาโม อากิญฺจญฺญายตนํ ปเวเทสิฯ

    So I approached Āḷāra Kālāma and said to him, ‘Friend Kālāma, to what extent do you say you’ve realized this teaching with your own insight?’ When I said this, he declared the dimension of nothingness.

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ สทฺธา, มยฺหมฺปตฺถิ สทฺธา; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ วีริยํ, มยฺหมฺปตฺถิ วีริยํ; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ สติ, มยฺหมฺปตฺถิ สติ; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ สมาธิ, มยฺหมฺปตฺถิ สมาธิ; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ ปญฺญา, มยฺหมฺปตฺถิ ปญฺญาฯ ยนฺนูนาหํ ยํ ธมฺมํ อาฬาโร กาลาโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ, ตสฺส ธมฺมสฺส สจฺฉิกิริยาย ปทเหยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสึฯ

    Then it occurred to me, ‘It’s not just Āḷāra Kālāma who has faith, energy, mindfulness, immersion, and wisdom; I too have these things. Why don’t I make an effort to realize the same teaching that Āḷāra Kālāma says he has realized with his own insight?’ I quickly realized that teaching with my own insight, and lived having achieved it.

    อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ: ‘เอตฺตาวตา โน, อาวุโส กาลาม, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี'ติ?

    So I approached Āḷāra Kālāma and said to him, ‘Friend Kālāma, have you realized this teaching with your own insight up to this point, and declare having achieved it?’

    ‘เอตฺตาวตา โข อหํ, อาวุโส, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมี'ติฯ

    ‘I have, friend.’

    ‘อหมฺปิ โข, อาวุโส, เอตฺตาวตา อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ

    ‘I too, friend, have realized this teaching with my own insight up to this point, and live having achieved it.’

    ‘ลาภา โน, อาวุโส, สุลทฺธํ โน, อาวุโส, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ตาทิสํ สพฺรหฺมจารึ ปสฺสามฯ อิติ ยาหํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิฯ ยํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิ ตมหํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมิฯ อิติ ยาหํ ธมฺมํ ชานามิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ, ยํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ ตมหํ ธมฺมํ ชานามิฯ อิติ ยาทิโส อหํ ตาทิโส ตุวํ, ยาทิโส ตุวํ ตาทิโส อหํฯ เอหิ ทานิ, อาวุโส, อุโภว สนฺตา อิมํ คณํ ปริหรามา'ติฯ

    ‘We are fortunate, friend, so very fortunate to see a venerable such as yourself as one of our spiritual companions! So the teaching that I’ve realized with my own insight, and declare having achieved it, you’ve realized with your own insight, and live having achieved it. The teaching that you’ve realized with your own insight, and live having achieved it, I’ve realized with my own insight, and declare having achieved it. So the teaching that I know, you know, and the teaching that you know, I know. I am like you and you are like me. Come now, friend! We should both lead this community together.’

    อิติ โข, ภิกฺขเว, อาฬาโร กาลาโม อาจริโย เม สมาโน อตฺตโน อนฺเตวาสึ มํ สมานํ อตฺตนา สมสมํ ฐเปสิ, อุฬาราย จ มํ ปูชาย ปูเชสิฯ

    And that is how my teacher Āḷāra Kālāma placed me, his student, on the same position as him, and honored me with lofty praise.

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘นายํ ธมฺโม นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สมฺโพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว อากิญฺจญฺญายตนูปปตฺติยา'ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตํ ธมฺมํ อนลงฺกริตฺวา ตสฺมา ธมฺมา นิพฺพิชฺช อปกฺกมึฯ

    Then it occurred to me, ‘This teaching doesn’t lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana. It only leads as far as rebirth in the dimension of nothingness.’ Realizing that this teaching was inadequate, I left disappointed.

    โส โข อหํ, ภิกฺขเว, กึ กุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน เยน อุทโก รามปุตฺโต เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ: ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส, อิมสฺมึ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุนฺ'ติฯ

    I set out to discover what is skillful, seeking the supreme state of sublime peace. I approached Uddaka, son of Rāma, and said to him, ‘Friend, I wish to lead the spiritual life in this teaching and training.’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, อุทโก รามปุตฺโต มํ เอตทโวจ: ‘วิหรตายสฺมา; ตาทิโส อยํ ธมฺโม ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส นจิรเสฺสว สกํ อาจริยกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา'ติฯ

    Uddaka replied, ‘Stay, venerable. This teaching is such that a sensible person can soon realize their own tradition with their own insight and live having achieved it.’

    โส โข อหํ, ภิกฺขเว, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณึฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตาวตเกเนว โอฏฺฐปหตมตฺเตน ลปิตลาปนมตฺเตน ญาณวาทญฺจ วทามิ เถรวาทญฺจ, ‘ชานามิ ปสฺสามี'ติ จ ปฏิชานามิ อหญฺเจว อญฺเญ จฯ

    I quickly memorized that teaching. So far as lip-recital and oral recitation were concerned, I spoke with knowledge and the authority of the elders. I claimed to know and see, and so did others.

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘น โข ราโม อิมํ ธมฺมํ เกวลํ สทฺธามตฺตเกน สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสิ; อทฺธา ราโม อิมํ ธมฺมํ ชานํ ปสฺสํ วิหาสี'ติฯ

    Then it occurred to me, ‘It is not solely by mere faith that Rāma declared: “I realize this teaching with my own insight, and live having achieved it.” Surely he meditated knowing and seeing this teaching.’

    อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, เยน อุทโก รามปุตฺโต เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ: ‘กิตฺตาวตา โน, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสี'ติ?

    So I approached Uddaka, son of Rāma, and said to him, ‘Friend, to what extent did Rāma say he’d realized this teaching with his own insight?’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, อุทโก รามปุตฺโต เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ปเวเทสิฯ

    When I said this, Uddaka, son of Rāma, declared the dimension of neither perception nor non-perception.

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘น โข รามเสฺสว อโหสิ สทฺธา, มยฺหมฺปตฺถิ สทฺธา; น โข รามเสฺสว อโหสิ วีริยํ, มยฺหมฺปตฺถิ วีริยํ; น โข รามเสฺสว อโหสิ สติ, มยฺหมฺปตฺถิ สติ; น โข รามเสฺสว อโหสิ สมาธิ, มยฺหมฺปตฺถิ สมาธิ, น โข รามเสฺสว อโหสิ ปญฺญา, มยฺหมฺปตฺถิ ปญฺญาฯ ยนฺนูนาหํ ยํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสิ, ตสฺส ธมฺมสฺส สจฺฉิกิริยาย ปทเหยฺยนฺ'ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสึฯ

    Then it occurred to me, ‘It’s not just Rāma who had faith, energy, mindfulness, immersion, and wisdom; I too have these things. Why don’t I make an effort to realize the same teaching that Rāma said he had realized with his own insight?’ I quickly realized that teaching with my own insight, and lived having achieved it.

    อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, เยน อุทโก รามปุตฺโต เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ: ‘เอตฺตาวตา โน, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี'ติ?

    So I approached Uddaka, son of Rāma, and said to him, ‘Friend, had Rāma realized this teaching with his own insight up to this point, and declared having achieved it?’

    ‘เอตฺตาวตา โข, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี'ติฯ

    ‘He had, friend.’

    ‘อหมฺปิ โข, อาวุโส, เอตฺตาวตา อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ

    ‘I too have realized this teaching with my own insight up to this point, and live having achieved it.’

    ‘ลาภา โน, อาวุโส, สุลทฺธํ โน, อาวุโส, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ตาทิสํ สพฺรหฺมจารึ ปสฺสามฯ อิติ ยํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสิ, ตํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิฯ ยํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิ, ตํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสิฯ อิติ ยํ ธมฺมํ ราโม อภิญฺญาสิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ, ยํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ, ตํ ธมฺมํ ราโม อภิญฺญาสิฯ อิติ ยาทิโส ราโม อโหสิ ตาทิโส ตุวํ, ยาทิโส ตุวํ ตาทิโส ราโม อโหสิฯ เอหิ ทานิ, อาวุโส, ตุวํ อิมํ คณํ ปริหรา'ติฯ

    ‘We are fortunate, friend, so very fortunate to see a venerable such as yourself as one of our spiritual companions! So the teaching that Rāma had realized with his own insight, and declared having achieved it, you’ve realized with your own insight, and live having achieved it. The teaching that you’ve realized with your own insight, and live having achieved it, Rāma had realized with his own insight, and declared having achieved it. So the teaching that Rāma directly knew, you know, and the teaching you know, Rāma directly knew. Rāma was like you and you are like Rāma. Come now, friend! You should lead this community.’

    อิติ โข, ภิกฺขเว, อุทโก รามปุตฺโต สพฺรหฺมจารี เม สมาโน อาจริยฏฺฐาเน มํ ฐเปสิ, อุฬาราย จ มํ ปูชาย ปูเชสิฯ

    And that is how my spiritual companion Uddaka, son of Rāma, placed me in the position of a teacher, and honored me with lofty praise.

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘นายํ ธมฺโม นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สมฺโพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว เนวสญฺญานาสญฺญายตนูปปตฺติยา'ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตํ ธมฺมํ อนลงฺกริตฺวา ตสฺมา ธมฺมา นิพฺพิชฺช อปกฺกมึฯ

    Then it occurred to me, ‘This teaching doesn’t lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana. It only leads as far as rebirth in the dimension of neither perception nor non-perception.’ Realizing that this teaching was inadequate, I left disappointed.

    โส โข อหํ, ภิกฺขเว, กึ กุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน มคเธสุ อนุปุพฺเพน จาริกํ จรมาโน เยน อุรุเวลา เสนานิคโม ตทวสรึฯ ตตฺถทฺทสํ รมณียํ ภูมิภาคํ, ปาสาทิกญฺจ วนสณฺฑํ, นทิญฺจ สนฺทนฺตึ เสตกํ สุปติตฺถํ รมณียํ, สมนฺตา จ โคจรคามํฯ

    I set out to discover what is skillful, seeking the supreme state of sublime peace. Traveling stage by stage in the Magadhan lands, I arrived at Senānigama near Uruvelā. There I saw a delightful park, a lovely grove with a flowing river that was clean and charming, with smooth banks. And nearby was a village for alms.

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘รมณีโย วต โภ ภูมิภาโค, ปาสาทิโก จ วนสณฺโฑ, นที จ สนฺทติ เสตกา สุปติตฺถา รมณียา, สมนฺตา จ โคจรคาโมฯ อลํ วติทํ กุลปุตฺตสฺส ปธานตฺถิกสฺส ปธานายา'ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตตฺเถว นิสีทึ—อลมิทํ ปธานายาติฯ

    Then it occurred to me, ‘This park is truly delightful, a lovely grove with a flowing river that’s clean and charming, with smooth banks. And nearby there’s a village to go for alms. This is good enough for a gentleman who wishes to put forth effort in meditation.’ So I sat down right there, thinking, ‘This is good enough for meditation.’

    โส โข อหํ, ภิกฺขเว, อตฺตนา ชาติธมฺโม สมาโน ชาติธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมาโน อชาตํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา ชราธมฺโม สมาโน ชราธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชรํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมาโน อชรํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา พฺยาธิธมฺโม สมาโน พฺยาธิธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อพฺยาธึ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมาโน อพฺยาธึ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา มรณธมฺโม สมาโน มรณธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อมตํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา โสกธมฺโม สมาโน โสกธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อโสกํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา สงฺกิเลสธมฺโม สมาโน สงฺกิเลสธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อสงฺกิลิฏฺฐํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมาโน อสงฺกิลิฏฺฐํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํฯ

    And so, being myself liable to be reborn, understanding the drawbacks in being liable to be reborn, I sought the unborn supreme sanctuary from the yoke, Nibbana—and I found it. Being myself liable to grow old, fall sick, die, sorrow, and become corrupted, understanding the drawbacks in these things, I sought the unaging, unailing, undying, sorrowless, uncorrupted supreme sanctuary from the yoke, Nibbana—and I found it.

    ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ: ‘อกุปฺปา เม วิมุตฺติ, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว'ติฯ

    Knowledge and vision arose in me: ‘My freedom is unshakable; this is my last rebirth; now there are no more future lives.’

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘อธิคโต โข มฺยายํ ธมฺโม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโยฯ อาลยรามา โข ปนายํ ปชา อาลยรตา อาลยสมฺมุทิตาฯ อาลยรามาย โข ปน ปชาย อาลยรตาย อาลยสมฺมุทิตาย ทุทฺทสํ อิทํ ฐานํ ยทิทํ—อิทปฺปจฺจยตา ปฏิจฺจสมุปฺปาโทฯ อิทมฺปิ โข ฐานํ ทุทฺทสํ ยทิทํ—สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหากฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํฯ อหญฺเจว โข ปน ธมฺมํ เทเสยฺยํ, ปเร จ เม น อาชาเนยฺยุํ, โส มมสฺส กิลมโถ, สา มมสฺส วิเหสา'ติฯ

    Then it occurred to me, ‘This principle I have discovered is deep, hard to see, hard to understand, peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute. But people like clinging, they love it and enjoy it. It’s hard for them to see this thing; that is, specific conditionality, dependent origination. It’s also hard for them to see this thing; that is, the stilling of all activities, the letting go of all attachments, the ending of craving, fading away, cessation, Nibbana. And if I were to teach the Dhamma, others might not understand me, which would be wearying and troublesome for me.’

    อปิสฺสุ มํ, ภิกฺขเว, อิมา อนจฺฉริยา คาถาโย ปฏิภํสุ ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพา:

    And then these verses, which were neither supernaturally inspired, nor learned before in the past, occurred to me:

    ‘กิจฺเฉน เม อธิคตํ, หลํ ทานิ ปกาสิตุํ; ราคโทสปเรเตหิ, นายํ ธมฺโม สุสมฺพุโธฯ

    ‘I’ve struggled hard to realize this, enough with trying to explain it! Those mired in greed and hate can’t really understand this teaching.

    ปฏิโสตคามึ นิปุณํ, คมฺภีรํ ทุทฺทสํ อณุํ; ราครตฺตา น ทกฺขนฺติ, ตโมขนฺเธน อาวุฏา'ติฯ

    It goes against the stream, subtle, deep, obscure, and very fine. Those besotted by greed cannot see, for they’re shrouded in a mass of darkness.’

    อิติห เม, ภิกฺขเว, ปฏิสญฺจิกฺขโต อปฺโปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมติ, โน ธมฺมเทสนายฯ

    So, as I reflected like this, my mind inclined to remaining passive, not to teaching the Dhamma.

    อถ โข, ภิกฺขเว, พฺรหฺมุโน สหมฺปติสฺส มม เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เอตทโหสิ: ‘นสฺสติ วต โภ โลโก, วินสฺสติ วต โภ โลโก, ยตฺร หิ นาม ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อปฺโปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมติ, โน ธมฺมเทสนายา'ติฯ

    Then Brahmā Sahampati, knowing what I was thinking, thought, ‘Alas! The world will be lost, the world will perish! For the mind of the Realized One, the perfected one, the fully awakened Buddha, inclines to remaining passive, not to teaching the Dhamma.’

    อถ โข, ภิกฺขเว, พฺรหฺมา สหมฺปติ—เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต มม ปุรโต ปาตุรโหสิฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พฺรหฺมา สหมฺปติ เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยนาหํ เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา มํ เอตทโวจ: ‘เทเสตุ, ภนฺเต, ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺมํฯ สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติฯ ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร'ติฯ

    Then, as easily as a strong person would extend or contract their arm, he vanished from the Brahmā realm and reappeared in front of the Buddha. He arranged his robe over one shoulder, raised his joined palms toward the Buddha, and said, ‘Sir, let the Blessed One teach the Dhamma! Let the Holy One teach the Dhamma! There are beings with little dust in their eyes. They’re in decline because they haven’t heard the teaching. There will be those who understand the teaching!’

    อิทมโวจ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมา สหมฺปติฯ อิทํ วตฺวา อถาปรํ เอตทโวจ:

    That’s what Brahmā Sahampati said. Then he went on to say:

    ‘ปาตุรโหสิ มคเธสุ ปุพฺเพ, ธมฺโม อสุทฺโธ สมเลหิ จินฺติโต; อปาปุเรตํ อมตสฺส ทฺวารํ, สุณนฺตุ ธมฺมํ วิมเลนานุพุทฺธํฯ

    ‘Among the Magadhans there appeared in the past an impure teaching thought up by those still stained. Fling open the door to the deathless! Let them hear the teaching the immaculate one discovered.

    เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฏฺฐิโต, ยถาปิ ปเสฺส ชนตํ สมนฺตโต; ตถูปมํ ธมฺมมยํ สุเมธ, ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกฺขุ; โสกาวติณฺณํ ชนตมเปตโสโก, อเวกฺขสฺสุ ชาติชราภิภูตํฯ

    Standing high on a rocky mountain, you can see the people all around. In just the same way, All-seer, so intelligent, having ascended the Temple of Truth, rid of sorrow, look upon the people swamped with sorrow, oppressed by rebirth and old age.

    อุฏฺเฐหิ วีร วิชิตสงฺคาม, สตฺถวาห อณณ วิจร โลเก; เทสสฺสุ ภควา ธมฺมํ, อญฺญาตาโร ภวิสฺสนฺตี'ติฯ

    Rise, hero! Victor in battle, leader of the caravan, wander the world free of debt. Let the Blessed One teach the Dhamma! There will be those who understand!’

    อถ โข อหํ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมุโน จ อชฺเฌสนํ วิทิตฺวา สตฺเตสุ จ การุญฺญตํ ปฏิจฺจ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสึฯ อทฺทสํ โข อหํ, ภิกฺขเว, พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกนฺโต สตฺเต อปฺปรชกฺเข มหารชกฺเข, ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย, สฺวากาเร ทฺวากาเร, สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย, อปฺเปกจฺเจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเต, อปฺเปกจฺเจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเตฯ เสยฺยถาปิ นาม อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อนฺโตนิมุคฺคโปสีนิ, อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ สโมทกํ ฐิตานิ, อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกํ อจฺจุคฺคมฺม ฐิตานิ อนุปลิตฺตานิ อุทเกน; เอวเมว โข อหํ, ภิกฺขเว, พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกนฺโต อทฺทสํ สตฺเต อปฺปรชกฺเข มหารชกฺเข, ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย, สฺวากาเร ทฺวากาเร, สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย, อปฺเปกจฺเจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเต, อปฺเปกจฺเจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเตฯ

    Then, understanding Brahmā’s invitation, I surveyed the world with the eye of a Buddha, because of my compassion for sentient beings. And I saw sentient beings with little dust in their eyes, and some with much dust in their eyes; with keen faculties and with weak faculties, with good qualities and with bad qualities, easy to teach and hard to teach. And some of them lived seeing the danger in the fault to do with the next world, while others did not. It’s like a pool with blue water lilies, or pink or white lotuses. Some of them sprout and grow in the water without rising above it, thriving underwater. Some of them sprout and grow in the water reaching the water’s surface. And some of them sprout and grow in the water but rise up above the water and stand with no water clinging to them. In the same way, I saw sentient beings with little dust in their eyes, and some with much dust in their eyes.

    อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมานํ สหมฺปตึ คาถาย ปจฺจภาสึ:

    Then I replied in verse to Brahmā Sahampati:

    ‘อปารุตา เตสํ อมตสฺส ทฺวารา, เย โสตวนฺโต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ; วิหึสสญฺญี ปคุณํ น ภาสึ, ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม'ติฯ

    ‘Flung open are the doors to the deathless! Let those with ears to hear commit to faith. Thinking it would be troublesome, Brahmā, I did not teach the sophisticated, sublime Dhamma among humans.’

    อถ โข, ภิกฺขเว, พฺรหฺมา สหมฺปติ ‘กตาวกาโส โขมฺหิ ภควตา ธมฺมเทสนายา'ติ มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺเถวนฺตรธายิฯ

    Then Brahmā Sahampati, knowing that his request for me to teach the Dhamma had been granted, bowed and respectfully circled me, keeping me on his right, before vanishing right there.

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติ?

    Then I thought, ‘Who should I teach first of all? Who will quickly understand this teaching?’

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘อยํ โข อาฬาโร กาลาโม ปณฺฑิโต วิยตฺโต เมธาวี ทีฆรตฺตํ อปฺปรชกฺขชาติโกฯ ยนฺนูนาหํ อาฬารสฺส กาลามสฺส ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํฯ โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติฯ

    Then it occurred to me, ‘That Āḷāra Kālāma is astute, competent, clever, and has long had little dust in his eyes. Why don’t I teach him first of all? He’ll quickly understand the teaching.’

    อถ โข มํ, ภิกฺขเว, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ: ‘สตฺตาหกาลงฺกโต, ภนฺเต, อาฬาโร กาลาโม'ติฯ

    But a deity came to me and said, ‘Sir, Āḷāra Kālāma passed away seven days ago.’

    ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ: ‘สตฺตาหกาลงฺกโต อาฬาโร กาลาโม'ติฯ

    And knowledge and vision arose in me, ‘Āḷāra Kālāma passed away seven days ago.’

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘มหาชานิโย โข อาฬาโร กาลาโมฯ สเจ หิ โส อิมํ ธมฺมํ สุเณยฺย, ขิปฺปเมว อาชาเนยฺยา'ติฯ

    I thought, ‘This is a great loss for Āḷāra Kālāma. If he had heard the teaching, he would have understood it quickly.’

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติ?

    Then I thought, ‘Who should I teach first of all? Who will quickly understand this teaching?’

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘อยํ โข อุทโก รามปุตฺโต ปณฺฑิโต วิยตฺโต เมธาวี ทีฆรตฺตํ อปฺปรชกฺขชาติโกฯ ยนฺนูนาหํ อุทกสฺส รามปุตฺตสฺส ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํฯ โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติฯ

    Then it occurred to me, ‘That Uddaka, son of Rāma, is astute, competent, clever, and has long had little dust in his eyes. Why don’t I teach him first of all? He’ll quickly understand the teaching.’

    อถ โข มํ, ภิกฺขเว, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ: ‘อภิโทสกาลงฺกโต, ภนฺเต, อุทโก รามปุตฺโต'ติฯ

    But a deity came to me and said, ‘Sir, Uddaka, son of Rāma, passed away just last night.’

    ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ: ‘อภิโทสกาลงฺกโต อุทโก รามปุตฺโต'ติฯ

    And knowledge and vision arose in me, ‘Uddaka, son of Rāma, passed away just last night.’

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘มหาชานิโย โข อุทโก รามปุตฺโตฯ สเจ หิ โส อิมํ ธมฺมํ สุเณยฺย, ขิปฺปเมว อาชาเนยฺยา'ติฯ

    I thought, ‘This is a great loss for Uddaka. If he had heard the teaching, he would have understood it quickly.’

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติ?

    Then I thought, ‘Who should I teach first of all? Who will quickly understand this teaching?’

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘พหุการา โข เม ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู, เย มํ ปธานปหิตตฺตํ อุปฏฺฐหึสุฯ ยนฺนูนาหํ ปญฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยนฺ'ติฯ

    Then it occurred to me, ‘The group of five bhikkhus were very helpful to me. They looked after me during my time of resolute striving. Why don’t I teach them first of all?’

    ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ: ‘กหํ นุ โข เอตรหิ ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู วิหรนฺตี'ติ? อทฺทสํ โข อหํ, ภิกฺขเว, ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู พาราณสิยํ วิหรนฺเต อิสิปตเน มิคทาเยฯ อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, อุรุเวลายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา เยน พาราณสี เตน จาริกํ ปกฺกมึฯ

    Then I thought, ‘Where are the group of five bhikkhus staying these days?’ With clairvoyance that is purified and superhuman I saw that the group of five bhikkhus were staying near Varanasi, in the deer park at Isipatana. So, when I had stayed in Uruvelā as long as I pleased, I set out for Varanasi.

    อทฺทสา โข มํ, ภิกฺขเว, อุปโก อาชีวโก อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธึ อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺนํฯ ทิสฺวาน มํ เอตทโวจ: ‘วิปฺปสนฺนานิ โข เต, อาวุโส, อินฺทฺริยานิ, ปริสุทฺโธ ฉวิวณฺโณ ปริโยทาโตฯ กํสิ ตฺวํ, อาวุโส, อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต, โก วา เต สตฺถา, กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสี'ติ?

    While I was traveling along the road between Gayā and Bodhgaya, the Ājīvaka ascetic Upaka saw me and said, ‘Friend, your faculties are so very clear, and your complexion is pure and bright. In whose name have you gone forth, friend? Who is your Teacher? Whose teaching do you believe in?’

    เอวํ วุตฺเต, อหํ, ภิกฺขเว, อุปกํ อาชีวกํ คาถาหิ อชฺฌภาสึ:

    I replied to Upaka in verse:

    ‘สพฺพาภิภู สพฺพวิทูหมสฺมิ, สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อนูปลิตฺโต; สพฺพญฺชโห ตณฺหากฺขเย วิมุตฺโต, สยํ อภิญฺญาย กมุทฺทิเสยฺยํฯ

    ‘I am the champion, the knower of all, unsullied in the midst of all things. I’ve given up all, freed through the ending of craving. Since I know for myself, whose follower should I be?

    น เม อาจริโย อตฺถิ, สทิโส เม น วิชฺชติ; สเทวกสฺมึ โลกสฺมึ, นตฺถิ เม ปฏิปุคฺคโลฯ

    I have no teacher. There is no-one like me. In the world with its gods, I have no rival.

    อหญฺหิ อรหา โลเก, อหํ สตฺถา อนุตฺตโร; เอโกมฺหิ สมฺมาสมฺพุทฺโธ, สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโตฯ

    For in this world, I am the perfected one; I am the supreme Teacher. I alone am fully awakened, cooled, extinguished.

    ธมฺมจกฺกํ ปวตฺเตตุํ, คจฺฉามิ กาสินํ ปุรํ; อนฺธีภูตสฺมึ โลกสฺมึ, อาหญฺฉํ อมตทุนฺทุภินฺ'ติฯ

    I am going to the city of Kāsi to roll forth the Wheel of Dhamma. In this world that is so blind, I’ll beat the deathless drum!’

    ‘ยถา โข ตฺวํ, อาวุโส, ปฏิชานาสิ, อรหสิ อนนฺตชิโน'ติฯ

    ‘According to what you claim, friend, you ought to be the Infinite Victor.’

    ‘มาทิสา เว ชินา โหนฺติ, เย ปตฺตา อาสวกฺขยํ; ชิตา เม ปาปกา ธมฺมา, ตสฺมาหมุปก ชิโน'ติฯ

    ‘The victors are those who, like me, have reached the ending of defilements. I have conquered bad qualities, Upaka—that’s why I’m a victor.’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, อุปโก อาชีวโก ‘หุเปยฺยปาวุโส'ติ วตฺวา สีสํ โอกมฺเปตฺวา อุมฺมคฺคํ คเหตฺวา ปกฺกามิฯ

    When I had spoken, Upaka said: ‘If you say so, friend.’ Shaking his head, he took a wrong turn and left.

    อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, อนุปุพฺเพน จาริกํ จรมาโน เยน พาราณสี อิสิปตนํ มิคทาโย เยน ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู เตนุปสงฺกมึฯ อทฺทสํสุ โข มํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ทูรโต อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน อญฺญมญฺญํ สณฺฐเปสุํ: ‘อยํ โข, อาวุโส, สมโณ โคตโม อาคจฺฉติ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภนฺโต อาวตฺโต พาหุลฺลายฯ โส เนว อภิวาเทตพฺโพ, น ปจฺจุฏฺฐาตพฺโพ; นาสฺส ปตฺตจีวรํ ปฏิคฺคเหตพฺพํฯ อปิ จ โข อาสนํ ฐเปตพฺพํ, สเจ อากงฺขิสฺสติ นิสีทิสฺสตี'ติฯ ยถา ยถา โข อหํ, ภิกฺขเว, อุปสงฺกมึ ตถา ตถา ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู นาสกฺขึสุ สกาย กติกาย สณฺฐาตุํฯ อปฺเปกจฺเจ มํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรํ ปฏิคฺคเหสุํ, อปฺเปกจฺเจ อาสนํ ปญฺญเปสุํ, อปฺเปกจฺเจ ปาโททกํ อุปฏฺฐเปสุํฯ อปิ จ โข มํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรนฺติฯ

    Traveling stage by stage, I arrived at Varanasi, and went to see the group of five bhikkhus in the deer park at Isipatana. The group of five bhikkhus saw me coming off in the distance and stopped each other, saying, ‘Here comes the ascetic Gotama. He’s so indulgent; he strayed from the struggle and returned to indulgence. We shouldn’t bow to him or rise for him or receive his bowl and robe. But we can set out a seat; he can sit if he likes.’ Yet as I drew closer, the group of five bhikkhus were unable to stop themselves as they had agreed. Some came out to greet me and receive my bowl and robe, some spread out a seat, while others set out water for washing my feet. But they still addressed me by name and as ‘friend’.

    เอวํ วุตฺเต, อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ: ‘มา, ภิกฺขเว, ตถาคตํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรถฯ อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํ, อมตมธิคตํ, อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมานา นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ

    So I said to them, ‘Bhikkhus, don’t address me by name and as ‘friend’. The Realized One is perfected, a fully awakened Buddha. Listen up, bhikkhus: I have achieved the Deathless! I shall instruct you, I will teach you the Dhamma. By practicing as instructed you will soon realize the supreme end of the spiritual path in this very life. You will live having achieved with your own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.’

    เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ: ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฏิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ, กึ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภนฺโต อาวตฺโต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสนฺ'ติ?

    But they said to me, ‘Friend Gotama, even by that conduct, that practice, that grueling work you did not achieve any superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones. How could you have achieved such a state now that you’ve become indulgent, strayed from the struggle and returned to indulgence?’

    เอวํ วุตฺเต, อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ: ‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต พาหุลฺลิโก, น ปธานวิพฺภนฺโต, น อาวตฺโต พาหุลฺลายฯ อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํ, อมตมธิคตํ, อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมานา นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ

    So I said to them, ‘The Realized One has not become indulgent, strayed from the struggle and returned to indulgence. The Realized One is perfected, a fully awakened Buddha. Listen up, bhikkhus: I have achieved the Deathless! I shall instruct you, I will teach you the Dhamma. By practicing as instructed you will soon realize the supreme end of the spiritual path in this very life.’

    ทุติยมฺปิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ: ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฏิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ, กึ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภนฺโต อาวตฺโต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสนฺ'ติ?

    But for a second time they said to me, ‘Friend Gotama … you’ve returned to indulgence.’

    ทุติยมฺปิ โข อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ: ‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต พาหุลฺลิโก …เป… อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ

    So for a second time I said to them, ‘The Realized One has not become indulgent …’

    ตติยมฺปิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ: ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฏิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ, กึ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภนฺโต อาวตฺโต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสนฺ'ติ?

    But for a third time they said to me, ‘Friend Gotama, even by that conduct, that practice, that grueling work you did not achieve any superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones. How could you have achieved such a state now that you’ve become indulgent, strayed from the struggle and returned to indulgence?’

    เอวํ วุตฺเต, อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ: ‘อภิชานาถ เม โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อิโต ปุพฺเพ เอวรูปํ ปภาวิตเมตนฺ'ติ?

    So I said to them, ‘Bhikkhus, have you ever known me to speak like this before?’

    ‘โน เหตํ, ภนฺเต'ฯ

    ‘No sir, we have not.’

    ‘อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุทฺโธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํ, อมตมธิคตํ, อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมานา นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ

    ‘The Realized One is perfected, a fully awakened Buddha. Listen up, bhikkhus: I have achieved the Deathless! I shall instruct you, I will teach you the Dhamma. By practicing as instructed you will soon realize the supreme end of the spiritual path in this very life. You will live having achieved with your own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.’

    อสกฺขึ โข อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู สญฺญาเปตุํฯ เทฺวปิ สุทํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู โอวทามิ, ตโย ภิกฺขู ปิณฺฑาย จรนฺติฯ ยํ ตโย ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา อาหรนฺติ เตน ฉพฺพคฺคิยา ยาเปมฯ ตโยปิ สุทํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู โอวทามิ, เทฺว ภิกฺขู ปิณฺฑาย จรนฺติฯ ยํ เทฺว ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา อาหรนฺติ เตน ฉพฺพคฺคิยา ยาเปมฯ

    I was able to persuade the group of five bhikkhus. Then sometimes I advised two bhikkhus, while the other three went for alms. Then those three would feed all six of us with what they brought back. Sometimes I advised three bhikkhus, while the other two went for alms. Then those two would feed all six of us with what they brought back.

    อถ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มยา เอวํ โอวทิยมานา เอวํ อนุสาสิยมานา อตฺตนา ชาติธมฺมา สมานา ชาติธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมานา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุ, อตฺตนา ชราธมฺมา สมานา ชราธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชรํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมานา อชรํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุ, อตฺตนา พฺยาธิธมฺมา สมานา …เป… อตฺตนา มรณธมฺมา สมานา … อตฺตนา โสกธมฺมา สมานา … อตฺตนา สงฺกิเลสธมฺมา สมานา สงฺกิเลสธมฺเม อาทีนวํ วิทิตฺวา อสงฺกิลิฏฺฐํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมานา อสงฺกิลิฏฺฐํ อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุฯ ญาณญฺจ ปน เนสํ ทสฺสนํ อุทปาทิ: ‘อกุปฺปา โน วิมุตฺติ, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว'ติฯ

    As the group of five bhikkhus were being advised and instructed by me like this, being themselves liable to be reborn, understanding the drawbacks in being liable to be reborn, they sought the unborn supreme sanctuary from the yoke, Nibbana—and they found it. Being themselves liable to grow old, fall sick, die, sorrow, and become corrupted, understanding the drawbacks in these things, they sought the unaging, unailing, undying, sorrowless, uncorrupted supreme sanctuary from the yoke, Nibbana—and they found it. Knowledge and vision arose in them: ‘Our freedom is unshakable; this is our last rebirth; now there are no more future lives.’

    ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, กามคุณาฯ กตเม ปญฺจ? จกฺขุวิญฺเญยฺยา รูปา อิฏฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสํหิตา รชนียา, โสตวิญฺเญยฺยา สทฺทา …เป… ฆานวิญฺเญยฺยา คนฺธา … ชิวฺหาวิญฺเญยฺยา รสา … กายวิญฺเญยฺยา โผฏฺฐพฺพา อิฏฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสํหิตา รชนียาฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ กามคุณาฯ

    Bhikkhus, there are these five kinds of sensual stimulation. What five? Sights known by the eye that are likable, desirable, agreeable, pleasant, sensual, and arousing. Sounds known by the ear … Smells known by the nose … Tastes known by the tongue … Touches known by the body that are likable, desirable, agreeable, pleasant, sensual, and arousing. These are the five kinds of sensual stimulation.

    เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อิเม ปญฺจ กามคุเณ คถิตา มุจฺฉิตา อชฺโฌปนฺนา อนาทีนวทสฺสาวิโน อนิสฺสรณปญฺญา ปริภุญฺชนฺติ, เต เอวมสฺสุ เวทิตพฺพา: ‘อนยมาปนฺนา พฺยสนมาปนฺนา ยถากามกรณียา ปาปิมโต'ฯ

    There are ascetics and brahmins who enjoy these five kinds of sensual stimulation tied, infatuated, attached, blind to the drawbacks, and not understanding the escape. You should understand that they have met with calamity and disaster, and the Wicked One can do with them what he wants.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อารญฺญโก มโค พทฺโธ ปาสราสึ อธิสเยยฺยฯ โส เอวมสฺส เวทิตพฺโพ: ‘อนยมาปนฺโน พฺยสนมาปนฺโน ยถากามกรณีโย ลุทฺทสฺสฯ อาคจฺฉนฺเต จ ปน ลุทฺเท เยน กามํ น ปกฺกมิสฺสตี'ติฯ

    Suppose a deer in the wilderness was lying caught on a pile of snares. You’d know that it has met with calamity and disaster, and the hunter can do with them what he wants. And when the hunter comes, it cannot flee where it wants.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา อิเม ปญฺจ กามคุเณ คถิตา มุจฺฉิตา อชฺโฌปนฺนา อนาทีนวทสฺสาวิโน อนิสฺสรณปญฺญา ปริภุญฺชนฺติ, เต เอวมสฺสุ เวทิตพฺพา: ‘อนยมาปนฺนา พฺยสนมาปนฺนา ยถากามกรณียา ปาปิมโต'ฯ

    In the same way, there are ascetics and brahmins who enjoy these five kinds of sensual stimulation tied, infatuated, attached, blind to the drawbacks, and not understanding the escape. You should understand that they have met with calamity and disaster, and the Wicked One can do with them what he wants.

    เย จ โข เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อิเม ปญฺจ กามคุเณ อคถิตา อมุจฺฉิตา อนชฺโฌปนฺนา อาทีนวทสฺสาวิโน นิสฺสรณปญฺญา ปริภุญฺชนฺติ, เต เอวมสฺสุ เวทิตพฺพา: ‘น อนยมาปนฺนา น พฺยสนมาปนฺนา น ยถากามกรณียา ปาปิมโต'ฯ

    There are ascetics and brahmins who enjoy these five kinds of sensual stimulation without being tied, infatuated, or attached, seeing the drawbacks, and understanding the escape. You should understand that they haven’t met with calamity and disaster, and the Wicked One cannot do what he wants with them.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อารญฺญโก มโค อพทฺโธ ปาสราสึ อธิสเยยฺยฯ โส เอวมสฺส เวทิตพฺโพ: ‘น อนยมาปนฺโน น พฺยสนมาปนฺโน น ยถากามกรณีโย ลุทฺทสฺสฯ อาคจฺฉนฺเต จ ปน ลุทฺเท เยน กามํ ปกฺกมิสฺสตี'ติฯ

    Suppose a deer in the wilderness was lying on a pile of snares without being caught. You’d know that it hasn’t met with calamity and disaster, and the hunter cannot do what he wants with them. And when the hunter comes, it can flee where it wants.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา อิเม ปญฺจ กามคุเณ อคถิตา อมุจฺฉิตา อนชฺโฌปนฺนา อาทีนวทสฺสาวิโน นิสฺสรณปญฺญา ปริภุญฺชนฺติ, เต เอวมสฺสุ เวทิตพฺพา: ‘น อนยมาปนฺนา น พฺยสนมาปนฺนา น ยถากามกรณียา ปาปิมโต'ฯ

    In the same way, there are ascetics and brahmins who enjoy these five kinds of sensual stimulation without being tied, infatuated, or attached, seeing the drawbacks, and understanding the escape. You should understand that they haven’t met with calamity and disaster, and the Wicked One cannot do what he wants with them.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อารญฺญโก มโค อรญฺเญ ปวเน จรมาโน วิสฺสตฺโถ คจฺฉติ, วิสฺสตฺโถ ติฏฺฐติ, วิสฺสตฺโถ นิสีทติ, วิสฺสตฺโถ เสยฺยํ กปฺเปติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อนาปาถคโต, ภิกฺขเว, ลุทฺทสฺสฯ

    Suppose there was a wild deer wandering in the forest that walked, stood, sat, and laid down in confidence. Why is that? Because it’s out of the hunter’s range.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อนฺธมกาสิ มารํ อปทํ, วธิตฺวา มารจกฺขุํ อทสฺสนํ คโต ปาปิมโตฯ

    In the same way, a bhikkhu, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, enters and remains in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. This is called a bhikkhu who has blinded Māra, put out his eyes without a trace, and gone where the Wicked One cannot see.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, as the placing of the mind and keeping it connected are stilled, a bhikkhu enters and remains in the second jhāna, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and mind at one, without placing the mind and keeping it connected. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ, สโต จ สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี'ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, with the fading away of rapture, a bhikkhu enters and remains in the third jhāna, where they meditate with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss.’ This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุพฺเพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, a bhikkhu enters and remains in the fourth jhāna, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนนฺโต อากาโส'ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond perceptions of form, with the ending of perceptions of impingement, not focusing on perceptions of diversity, aware that ‘space is infinite’, enters and remains in the dimension of infinite space. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณนฺ'ติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of infinite space, aware that ‘consciousness is infinite’, enters and remains in the dimension of infinite consciousness. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี'ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of infinite consciousness, aware that ‘there is nothing at all’, enters and remains in the dimension of nothingness. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว …เป… ปาปิมโตฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of nothingness, enters and remains in the dimension of neither perception nor non-perception. This is called a bhikkhu who has blinded Māra …

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อนฺธมกาสิ มารํ อปทํ, วธิตฺวา มารจกฺขุํ อทสฺสนํ คโต ปาปิมโตฯ ติณฺโณ โลเก วิสตฺติกํ วิสฺสตฺโถ คจฺฉติ, วิสฺสตฺโถ ติฏฺฐติ, วิสฺสตฺโถ นิสีทติ, วิสฺสตฺโถ เสยฺยํ กปฺเปติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อนาปาถคโต, ภิกฺขเว, ปาปิมโต”ติฯ

    Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of neither perception nor non-perception, enters and remains in the cessation of perception and feeling. And, having seen with wisdom, their defilements come to an end. This is called a bhikkhu who has blinded Māra, put out his eyes without a trace, and gone where the Wicked One cannot see. They’ve crossed over clinging to the world. And they walk, stand, sit, and lie down in confidence. Why is that? Because they’re out of the Wicked One’s range.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.

    ปาสราสิสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ฉฏฺฐํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact