Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๖. ปาสราสิสุตฺตํ

    6. Pāsarāsisuttaṃ

    ๒๗๒. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู เยนายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจุํ – ‘‘จิรสฺสุตา โน, อาวุโส อานนฺท, ภควโต สมฺมุขา ธมฺมี กถาฯ สาธุ มยํ, อาวุโส อานนฺท, ลเภยฺยาม ภควโต สมฺมุขา ธมฺมิํ กถํ สวนายา’’ติฯ ‘‘เตน หายสฺมโนฺต เยน รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม เตนุปสงฺกมถ; อเปฺปว นาม ลเภยฺยาถ ภควโต สมฺมุขา ธมฺมิํ กถํ สวนายา’’ติฯ ‘‘เอวมาวุโส’’ติ โข เต ภิกฺขู อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปจฺจโสฺสสุํฯ

    272. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya sāvatthiṃ piṇḍāya pāvisi. Atha kho sambahulā bhikkhū yenāyasmā ānando tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ ānandaṃ etadavocuṃ – ‘‘cirassutā no, āvuso ānanda, bhagavato sammukhā dhammī kathā. Sādhu mayaṃ, āvuso ānanda, labheyyāma bhagavato sammukhā dhammiṃ kathaṃ savanāyā’’ti. ‘‘Tena hāyasmanto yena rammakassa brāhmaṇassa assamo tenupasaṅkamatha; appeva nāma labheyyātha bhagavato sammukhā dhammiṃ kathaṃ savanāyā’’ti. ‘‘Evamāvuso’’ti kho te bhikkhū āyasmato ānandassa paccassosuṃ.

    อถ โข ภควา สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิ – ‘‘อายามานนฺท, เยน ปุพฺพาราโม มิคารมาตุปาสาโท เตนุปสงฺกมิสฺสาม ทิวาวิหารายา’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข อายสฺมา อานโนฺท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา อายสฺมตา อานเนฺทน สทฺธิํ เยน ปุพฺพาราโม มิคารมาตุปาสาโท เตนุปสงฺกมิ ทิวาวิหารายฯ อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิ – ‘‘อายามานนฺท, เยน ปุพฺพโกฎฺฐโก เตนุปสงฺกมิสฺสาม คตฺตานิ ปริสิญฺจิตุ’’นฺติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข อายสฺมา อานโนฺท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ

    Atha kho bhagavā sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi – ‘‘āyāmānanda, yena pubbārāmo migāramātupāsādo tenupasaṅkamissāma divāvihārāyā’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho āyasmā ānando bhagavato paccassosi. Atha kho bhagavā āyasmatā ānandena saddhiṃ yena pubbārāmo migāramātupāsādo tenupasaṅkami divāvihārāya. Atha kho bhagavā sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhito āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi – ‘‘āyāmānanda, yena pubbakoṭṭhako tenupasaṅkamissāma gattāni parisiñcitu’’nti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho āyasmā ānando bhagavato paccassosi.

    ๒๗๓. อถ โข ภควา อายสฺมตา อานเนฺทน สทฺธิํ เยน ปุพฺพโกฎฺฐโก เตนุปสงฺกมิ คตฺตานิ ปริสิญฺจิตุํฯ ปุพฺพโกฎฺฐเก คตฺตานิ ปริสิญฺจิตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา เอกจีวโร อฎฺฐาสิ คตฺตานิ ปุพฺพาปยมาโนฯ อถ โข อายสฺมา อานโนฺท ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อยํ, ภเนฺต, รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม อวิทูเรฯ รมณีโย, ภเนฺต, รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม; ปาสาทิโก, ภเนฺต, รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโมฯ สาธุ, ภเนฺต, ภควา เยน รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ

    273. Atha kho bhagavā āyasmatā ānandena saddhiṃ yena pubbakoṭṭhako tenupasaṅkami gattāni parisiñcituṃ. Pubbakoṭṭhake gattāni parisiñcitvā paccuttaritvā ekacīvaro aṭṭhāsi gattāni pubbāpayamāno. Atha kho āyasmā ānando bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ayaṃ, bhante, rammakassa brāhmaṇassa assamo avidūre. Ramaṇīyo, bhante, rammakassa brāhmaṇassa assamo; pāsādiko, bhante, rammakassa brāhmaṇassa assamo. Sādhu, bhante, bhagavā yena rammakassa brāhmaṇassa assamo tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’ti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena.

    อถ โข ภควา เยน รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสโม เตนุปสงฺกมิฯ เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา ภิกฺขู รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสเม ธมฺมิยา กถาย สนฺนิสินฺนา โหนฺติฯ อถ โข ภควา พหิทฺวารโกฎฺฐเก อฎฺฐาสิ กถาปริโยสานํ อาคมยมาโนฯ อถ โข ภควา กถาปริโยสานํ วิทิตฺวา อุกฺกาสิตฺวา อคฺคฬํ อาโกเฎสิฯ วิวริํสุ โข เต ภิกฺขู ภควโต ทฺวารํฯ อถ โข ภควา รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสมํ ปวิสิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘กายนุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา? กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา’’ติ ? ‘‘ภควนฺตเมว โข โน, ภเนฺต, อารพฺภ ธมฺมี กถา วิปฺปกตา, อถ ภควา อนุปฺปโตฺต’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภิกฺขเว! เอตํ โข, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ ปติรูปํ กุลปุตฺตานํ สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตานํ ยํ ตุเมฺห ธมฺมิยา กถาย สนฺนิสีเทยฺยาถฯ สนฺนิปติตานํ โว, ภิกฺขเว, ทฺวยํ กรณียํ – ธมฺมี วา กถา, อริโย วา ตุณฺหีภาโว’’ฯ

    Atha kho bhagavā yena rammakassa brāhmaṇassa assamo tenupasaṅkami. Tena kho pana samayena sambahulā bhikkhū rammakassa brāhmaṇassa assame dhammiyā kathāya sannisinnā honti. Atha kho bhagavā bahidvārakoṭṭhake aṭṭhāsi kathāpariyosānaṃ āgamayamāno. Atha kho bhagavā kathāpariyosānaṃ viditvā ukkāsitvā aggaḷaṃ ākoṭesi. Vivariṃsu kho te bhikkhū bhagavato dvāraṃ. Atha kho bhagavā rammakassa brāhmaṇassa assamaṃ pavisitvā paññatte āsane nisīdi. Nisajja kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘kāyanuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā? Kā ca pana vo antarākathā vippakatā’’ti ? ‘‘Bhagavantameva kho no, bhante, ārabbha dhammī kathā vippakatā, atha bhagavā anuppatto’’ti. ‘‘Sādhu, bhikkhave! Etaṃ kho, bhikkhave, tumhākaṃ patirūpaṃ kulaputtānaṃ saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitānaṃ yaṃ tumhe dhammiyā kathāya sannisīdeyyātha. Sannipatitānaṃ vo, bhikkhave, dvayaṃ karaṇīyaṃ – dhammī vā kathā, ariyo vā tuṇhībhāvo’’.

    ๒๗๔. ‘‘เทฺวมา, ภิกฺขเว, ปริเยสนา – อริยา จ ปริเยสนา, อนริยา จ ปริเยสนาฯ

    274. ‘‘Dvemā, bhikkhave, pariyesanā – ariyā ca pariyesanā, anariyā ca pariyesanā.

    ‘‘กตมา จ, ภิกฺขเว, อนริยา ปริเยสนา? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน ชาติธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา ชราธโมฺม สมาโน ชราธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา พฺยาธิธโมฺม สมาโน พฺยาธิธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา มรณธโมฺม สมาโน มรณธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา โสกธโมฺม สมาโน โสกธมฺมํเยว ปริเยสติ, อตฺตนา สํกิเลสธโมฺม สมาโน สํกิเลสธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    ‘‘Katamā ca, bhikkhave, anariyā pariyesanā? Idha, bhikkhave, ekacco attanā jātidhammo samāno jātidhammaṃyeva pariyesati, attanā jarādhammo samāno jarādhammaṃyeva pariyesati, attanā byādhidhammo samāno byādhidhammaṃyeva pariyesati, attanā maraṇadhammo samāno maraṇadhammaṃyeva pariyesati, attanā sokadhammo samāno sokadhammaṃyeva pariyesati, attanā saṃkilesadhammo samāno saṃkilesadhammaṃyeva pariyesati.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, ชาติธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, ชาติธมฺมํ, ทาสิทาสํ ชาติธมฺมํ, อเชฬกํ ชาติธมฺมํ, กุกฺกุฎสูกรํ ชาติธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ ชาติธมฺมํ, ชาตรูปรชตํ ชาติธมฺมํฯ ชาติธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต 1 มุจฺฉิโต อชฺฌาปโนฺน อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน ชาติธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, jātidhammaṃ vadetha? Puttabhariyaṃ, bhikkhave, jātidhammaṃ, dāsidāsaṃ jātidhammaṃ, ajeḷakaṃ jātidhammaṃ, kukkuṭasūkaraṃ jātidhammaṃ, hatthigavāssavaḷavaṃ jātidhammaṃ, jātarūparajataṃ jātidhammaṃ. Jātidhammā hete, bhikkhave, upadhayo. Etthāyaṃ gathito 2 mucchito ajjhāpanno attanā jātidhammo samāno jātidhammaṃyeva pariyesati.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, ชราธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, ชราธมฺมํ, ทาสิทาสํ ชราธมฺมํ, อเชฬกํ ชราธมฺมํ, กุกฺกุฎสูกรํ ชราธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ ชราธมฺมํ , ชาตรูปรชตํ ชราธมฺมํฯ ชราธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปโนฺน อตฺตนา ชราธโมฺม สมาโน ชราธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, jarādhammaṃ vadetha? Puttabhariyaṃ, bhikkhave, jarādhammaṃ, dāsidāsaṃ jarādhammaṃ, ajeḷakaṃ jarādhammaṃ, kukkuṭasūkaraṃ jarādhammaṃ, hatthigavāssavaḷavaṃ jarādhammaṃ , jātarūparajataṃ jarādhammaṃ. Jarādhammā hete, bhikkhave, upadhayo. Etthāyaṃ gathito mucchito ajjhāpanno attanā jarādhammo samāno jarādhammaṃyeva pariyesati.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, พฺยาธิธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, พฺยาธิธมฺมํ, ทาสิทาสํ พฺยาธิธมฺมํ, อเชฬกํ พฺยาธิธมฺมํ, กุกฺกุฎสูกรํ พฺยาธิธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ พฺยาธิธมฺมํฯ พฺยาธิธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปโนฺน อตฺตนา พฺยาธิธโมฺม สมาโน พฺยาธิธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, byādhidhammaṃ vadetha? Puttabhariyaṃ, bhikkhave, byādhidhammaṃ, dāsidāsaṃ byādhidhammaṃ, ajeḷakaṃ byādhidhammaṃ, kukkuṭasūkaraṃ byādhidhammaṃ, hatthigavāssavaḷavaṃ byādhidhammaṃ. Byādhidhammā hete, bhikkhave, upadhayo. Etthāyaṃ gathito mucchito ajjhāpanno attanā byādhidhammo samāno byādhidhammaṃyeva pariyesati.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, มรณธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, มรณธมฺมํ, ทาสิทาสํ มรณธมฺมํ, อเชฬกํ มรณธมฺมํ, กุกฺกุฎสูกรํ มรณธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ มรณธมฺมํฯ มรณธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปโนฺน อตฺตนา มรณธโมฺม สมาโน มรณธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, maraṇadhammaṃ vadetha? Puttabhariyaṃ, bhikkhave, maraṇadhammaṃ, dāsidāsaṃ maraṇadhammaṃ, ajeḷakaṃ maraṇadhammaṃ, kukkuṭasūkaraṃ maraṇadhammaṃ, hatthigavāssavaḷavaṃ maraṇadhammaṃ. Maraṇadhammā hete, bhikkhave, upadhayo. Etthāyaṃ gathito mucchito ajjhāpanno attanā maraṇadhammo samāno maraṇadhammaṃyeva pariyesati.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, โสกธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, โสกธมฺมํ, ทาสิทาสํ โสกธมฺมํ, อเชฬกํ โสกธมฺมํ, กุกฺกุฎสูกรํ โสกธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ โสกธมฺมํฯ โสกธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปโนฺน อตฺตนา โสกธโมฺม สมาโน โสกธมฺมํเยว ปริเยสติฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, sokadhammaṃ vadetha? Puttabhariyaṃ, bhikkhave, sokadhammaṃ, dāsidāsaṃ sokadhammaṃ, ajeḷakaṃ sokadhammaṃ, kukkuṭasūkaraṃ sokadhammaṃ, hatthigavāssavaḷavaṃ sokadhammaṃ. Sokadhammā hete, bhikkhave, upadhayo. Etthāyaṃ gathito mucchito ajjhāpanno attanā sokadhammo samāno sokadhammaṃyeva pariyesati.

    ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, สํกิเลสธมฺมํ วเทถ? ปุตฺตภริยํ, ภิกฺขเว, สํกิเลสธมฺมํ, ทาสิทาสํ สํกิเลสธมฺมํ, อเชฬกํ สํกิเลสธมฺมํ , กุกฺกุฎสูกรํ สํกิเลสธมฺมํ, หตฺถิควาสฺสวฬวํ สํกิเลสธมฺมํ, ชาตรูปรชตํ สํกิเลสธมฺมํฯ สํกิเลสธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยฯ เอตฺถายํ คถิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปโนฺน อตฺตนา สํกิเลสธโมฺม สมาโน สํกิเลสธมฺมํเยว ปริเยสติฯ อยํ, ภิกฺขเว, อนริยา ปริเยสนาฯ

    ‘‘Kiñca, bhikkhave, saṃkilesadhammaṃ vadetha? Puttabhariyaṃ, bhikkhave, saṃkilesadhammaṃ, dāsidāsaṃ saṃkilesadhammaṃ, ajeḷakaṃ saṃkilesadhammaṃ , kukkuṭasūkaraṃ saṃkilesadhammaṃ, hatthigavāssavaḷavaṃ saṃkilesadhammaṃ, jātarūparajataṃ saṃkilesadhammaṃ. Saṃkilesadhammā hete, bhikkhave, upadhayo. Etthāyaṃ gathito mucchito ajjhāpanno attanā saṃkilesadhammo samāno saṃkilesadhammaṃyeva pariyesati. Ayaṃ, bhikkhave, anariyā pariyesanā.

    ๒๗๕. ‘‘กตมา จ, ภิกฺขเว, อริยา ปริเยสนา? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน ชาติธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา ชราธโมฺม สมาโน ชราธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชรํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา พฺยาธิธโมฺม สมาโน พฺยาธิธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อพฺยาธิํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา มรณธโมฺม สมาโน มรณธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อมตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา โสกธโมฺม สมาโน โสกธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อโสกํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติ, อตฺตนา สํกิเลสธโมฺม สมาโน สํกิเลสธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อสํกิลิฎฺฐํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสติฯ อยํ, ภิกฺขเว, อริยา ปริเยสนาฯ

    275. ‘‘Katamā ca, bhikkhave, ariyā pariyesanā? Idha, bhikkhave, ekacco attanā jātidhammo samāno jātidhamme ādīnavaṃ viditvā ajātaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesati, attanā jarādhammo samāno jarādhamme ādīnavaṃ viditvā ajaraṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesati, attanā byādhidhammo samāno byādhidhamme ādīnavaṃ viditvā abyādhiṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesati, attanā maraṇadhammo samāno maraṇadhamme ādīnavaṃ viditvā amataṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesati, attanā sokadhammo samāno sokadhamme ādīnavaṃ viditvā asokaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesati, attanā saṃkilesadhammo samāno saṃkilesadhamme ādīnavaṃ viditvā asaṃkiliṭṭhaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesati. Ayaṃ, bhikkhave, ariyā pariyesanā.

    ๒๗๖. ‘‘อหมฺปิ สุทํ, ภิกฺขเว, ปุเพฺพว สโมฺพธา อนภิสมฺพุโทฺธ โพธิสโตฺตว สมาโน อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน ชาติธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา ชราธโมฺม สมาโน ชราธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา พฺยาธิธโมฺม สมาโน พฺยาธิธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา มรณธโมฺม สมาโน มรณธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา โสกธโมฺม สมาโน โสกธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา สํกิเลสธโมฺม สมาโน สํกิเลสธมฺมํเยว ปริเยสามิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘กิํ นุ โข อหํ อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน ชาติธมฺมํเยว ปริเยสามิ, อตฺตนา ชราธโมฺม สมาโน…เป.… พฺยาธิธโมฺม สมาโน… มรณธโมฺม สมาโน… โสกธโมฺม สมาโน… อตฺตนา สํกิเลสธโมฺม สมาโน สํกิเลสธมฺมํเยว ปริเยสามิ? ยํนูนาหํ อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน ชาติธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา ชราธโมฺม สมาโน ชราธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชรํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา พฺยาธิธโมฺม สมาโน พฺยาธิธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อพฺยาธิํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา มรณธโมฺม สมาโน มรณธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อมตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา โสกธโมฺม สมาโน โสกธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อโสกํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺยํ, อตฺตนา สํกิเลสธโมฺม สมาโน สํกิเลสธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อสํกิลิฎฺฐํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยเสยฺย’นฺติฯ

    276. ‘‘Ahampi sudaṃ, bhikkhave, pubbeva sambodhā anabhisambuddho bodhisattova samāno attanā jātidhammo samāno jātidhammaṃyeva pariyesāmi, attanā jarādhammo samāno jarādhammaṃyeva pariyesāmi, attanā byādhidhammo samāno byādhidhammaṃyeva pariyesāmi, attanā maraṇadhammo samāno maraṇadhammaṃyeva pariyesāmi, attanā sokadhammo samāno sokadhammaṃyeva pariyesāmi, attanā saṃkilesadhammo samāno saṃkilesadhammaṃyeva pariyesāmi. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘kiṃ nu kho ahaṃ attanā jātidhammo samāno jātidhammaṃyeva pariyesāmi, attanā jarādhammo samāno…pe… byādhidhammo samāno… maraṇadhammo samāno… sokadhammo samāno… attanā saṃkilesadhammo samāno saṃkilesadhammaṃyeva pariyesāmi? Yaṃnūnāhaṃ attanā jātidhammo samāno jātidhamme ādīnavaṃ viditvā ajātaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyeseyyaṃ, attanā jarādhammo samāno jarādhamme ādīnavaṃ viditvā ajaraṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyeseyyaṃ, attanā byādhidhammo samāno byādhidhamme ādīnavaṃ viditvā abyādhiṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyeseyyaṃ, attanā maraṇadhammo samāno maraṇadhamme ādīnavaṃ viditvā amataṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyeseyyaṃ, attanā sokadhammo samāno sokadhamme ādīnavaṃ viditvā asokaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyeseyyaṃ, attanā saṃkilesadhammo samāno saṃkilesadhamme ādīnavaṃ viditvā asaṃkiliṭṭhaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyeseyya’nti.

    ๒๗๗. ‘‘โส โข อหํ, ภิกฺขเว, อปเรน สมเยน ทหโรว สมาโน สุสุกาฬเกโส , ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต ปฐเมน วยสา อกามกานํ มาตาปิตูนํ อสฺสุมุขานํ รุทนฺตานํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิํฯ โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน กิํ กุสลคเวสี 3 อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมิํฯ อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ – ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส กาลาม, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุ’นฺติฯ เอวํ วุเตฺต, ภิกฺขเว, อาฬาโร กาลาโม มํ เอตทโวจ – ‘วิหรตายสฺมา; ตาทิโส อยํ ธโมฺม ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส นจิรเสฺสว สกํ อาจริยกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา’ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณิํฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตาวตเกเนว โอฎฺฐปหตมเตฺตน ลปิตลาปนมเตฺตน ญาณวาทญฺจ วทามิ เถรวาทญฺจ, ‘ชานามิ ปสฺสามี’ติ จ ปฎิชานามิ อหเญฺจว อเญฺญ จฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘น โข อาฬาโร กาลาโม อิมํ ธมฺมํ เกวลํ สทฺธามตฺตเกน สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ; อทฺธา อาฬาโร กาลาโม อิมํ ธมฺมํ ชานํ ปสฺสํ วิหรตี’ติฯ

    277. ‘‘So kho ahaṃ, bhikkhave, aparena samayena daharova samāno susukāḷakeso , bhadrena yobbanena samannāgato paṭhamena vayasā akāmakānaṃ mātāpitūnaṃ assumukhānaṃ rudantānaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajiṃ. So evaṃ pabbajito samāno kiṃ kusalagavesī 4 anuttaraṃ santivarapadaṃ pariyesamāno yena āḷāro kālāmo tenupasaṅkamiṃ. Upasaṅkamitvā āḷāraṃ kālāmaṃ etadavocaṃ – ‘icchāmahaṃ, āvuso kālāma, imasmiṃ dhammavinaye brahmacariyaṃ caritu’nti. Evaṃ vutte, bhikkhave, āḷāro kālāmo maṃ etadavoca – ‘viharatāyasmā; tādiso ayaṃ dhammo yattha viññū puriso nacirasseva sakaṃ ācariyakaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyyā’ti. So kho ahaṃ, bhikkhave, nacirasseva khippameva taṃ dhammaṃ pariyāpuṇiṃ. So kho ahaṃ, bhikkhave, tāvatakeneva oṭṭhapahatamattena lapitalāpanamattena ñāṇavādañca vadāmi theravādañca, ‘jānāmi passāmī’ti ca paṭijānāmi ahañceva aññe ca. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘na kho āḷāro kālāmo imaṃ dhammaṃ kevalaṃ saddhāmattakena sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedeti; addhā āḷāro kālāmo imaṃ dhammaṃ jānaṃ passaṃ viharatī’ti.

    ‘‘อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ – ‘กิตฺตาวตา โน, อาวุโส กาลาม, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสี’ติ 5? เอวํ วุเตฺต, ภิกฺขเว, อาฬาโร กาลาโม อากิญฺจญฺญายตนํ ปเวเทสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ สทฺธา, มยฺหํปตฺถิ สทฺธา; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ วีริยํ, มยฺหํปตฺถิ วีริยํ; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ สติ, มยฺหํปตฺถิ สติ; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ สมาธิ, มยฺหํปตฺถิ สมาธิ; น โข อาฬารเสฺสว กาลามสฺส อตฺถิ ปญฺญา, มยฺหํปตฺถิ ปญฺญาฯ ยํนูนาหํ ยํ ธมฺมํ อาฬาโร กาลาโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทติ, ตสฺส ธมฺมสฺส สจฺฉิกิริยาย ปทเหยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสิํฯ

    ‘‘Atha khvāhaṃ, bhikkhave, yena āḷāro kālāmo tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā āḷāraṃ kālāmaṃ etadavocaṃ – ‘kittāvatā no, āvuso kālāma, imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedesī’ti 6? Evaṃ vutte, bhikkhave, āḷāro kālāmo ākiñcaññāyatanaṃ pavedesi. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘na kho āḷārasseva kālāmassa atthi saddhā, mayhaṃpatthi saddhā; na kho āḷārasseva kālāmassa atthi vīriyaṃ, mayhaṃpatthi vīriyaṃ; na kho āḷārasseva kālāmassa atthi sati, mayhaṃpatthi sati; na kho āḷārasseva kālāmassa atthi samādhi, mayhaṃpatthi samādhi; na kho āḷārasseva kālāmassa atthi paññā, mayhaṃpatthi paññā. Yaṃnūnāhaṃ yaṃ dhammaṃ āḷāro kālāmo sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedeti, tassa dhammassa sacchikiriyāya padaheyya’nti. So kho ahaṃ, bhikkhave, nacirasseva khippameva taṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihāsiṃ.

    ‘‘อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจํ –

    ‘‘Atha khvāhaṃ, bhikkhave, yena āḷāro kālāmo tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā āḷāraṃ kālāmaṃ etadavocaṃ –

    ‘เอตฺตาวตา โน, อาวุโส กาลาม, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี’ติ?

    ‘Ettāvatā no, āvuso kālāma, imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesī’ti?

    ‘เอตฺตาวตา โข อหํ, อาวุโส, อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมี’ติฯ

    ‘Ettāvatā kho ahaṃ, āvuso, imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedemī’ti.

    ‘อหมฺปิ โข, อาวุโส, เอตฺตาวตา อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ

    ‘Ahampi kho, āvuso, ettāvatā imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmī’ti.

    ‘ลาภา โน, อาวุโส, สุลทฺธํ โน, อาวุโส, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ตาทิสํ สพฺรหฺมจาริํ ปสฺสามฯ อิติ ยาหํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิฯ ยํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิ ตมหํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทมิฯ อิติ ยาหํ ธมฺมํ ชานามิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ, ยํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ ตมหํ ธมฺมํ ชานามิฯ อิติ ยาทิโส อหํ ตาทิโส ตุวํ, ยาทิโส ตุวํ ตาทิโส อหํฯ เอหิ ทานิ, อาวุโส, อุโภว สนฺตา อิมํ คณํ ปริหรามา’ติฯ อิติ โข, ภิกฺขเว, อาฬาโร กาลาโม อาจริโย เม สมาโน (อตฺตโน) 7 อเนฺตวาสิํ มํ สมานํ อตฺตนา 8 สมสมํ ฐเปสิ, อุฬาราย จ มํ ปูชาย ปูเชสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘นายํ ธโมฺม นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สโมฺพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว อากิญฺจญฺญายตนูปปตฺติยา’ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตํ ธมฺมํ อนลงฺกริตฺวา ตสฺมา ธมฺมา นิพฺพิชฺช อปกฺกมิํฯ

    ‘Lābhā no, āvuso, suladdhaṃ no, āvuso, ye mayaṃ āyasmantaṃ tādisaṃ sabrahmacāriṃ passāma. Iti yāhaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedemi taṃ tvaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharasi. Yaṃ tvaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharasi tamahaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedemi. Iti yāhaṃ dhammaṃ jānāmi taṃ tvaṃ dhammaṃ jānāsi, yaṃ tvaṃ dhammaṃ jānāsi tamahaṃ dhammaṃ jānāmi. Iti yādiso ahaṃ tādiso tuvaṃ, yādiso tuvaṃ tādiso ahaṃ. Ehi dāni, āvuso, ubhova santā imaṃ gaṇaṃ pariharāmā’ti. Iti kho, bhikkhave, āḷāro kālāmo ācariyo me samāno (attano) 9 antevāsiṃ maṃ samānaṃ attanā 10 samasamaṃ ṭhapesi, uḷārāya ca maṃ pūjāya pūjesi. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘nāyaṃ dhammo nibbidāya na virāgāya na nirodhāya na upasamāya na abhiññāya na sambodhāya na nibbānāya saṃvattati, yāvadeva ākiñcaññāyatanūpapattiyā’ti. So kho ahaṃ, bhikkhave, taṃ dhammaṃ analaṅkaritvā tasmā dhammā nibbijja apakkamiṃ.

    ๒๗๘. ‘‘โส โข อหํ, ภิกฺขเว, กิํ กุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน เยน อุทโก 11 รามปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ – ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส 12, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุ’นฺติฯ เอวํ วุเตฺต, ภิกฺขเว, อุทโก รามปุโตฺต มํ เอตทโวจ – ‘วิหรตายสฺมา; ตาทิโส อยํ ธโมฺม ยตฺถ วิญฺญู ปุริโส นจิรเสฺสว สกํ อาจริยกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา’ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณิํฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตาวตเกเนว โอฎฺฐปหตมเตฺตน ลปิตลาปนมเตฺตน ญาณวาทญฺจ วทามิ เถรวาทญฺจ, ‘ชานามิ ปสฺสามี’ติ จ ปฎิชานามิ อหเญฺจว อเญฺญ จฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘น โข ราโม อิมํ ธมฺมํ เกวลํ สทฺธามตฺตเกน สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสิ; อทฺธา ราโม อิมํ ธมฺมํ ชานํ ปสฺสํ วิหาสี’ติฯ

    278. ‘‘So kho ahaṃ, bhikkhave, kiṃ kusalagavesī anuttaraṃ santivarapadaṃ pariyesamāno yena udako 13 rāmaputto tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā udakaṃ rāmaputtaṃ etadavocaṃ – ‘icchāmahaṃ, āvuso 14, imasmiṃ dhammavinaye brahmacariyaṃ caritu’nti. Evaṃ vutte, bhikkhave, udako rāmaputto maṃ etadavoca – ‘viharatāyasmā; tādiso ayaṃ dhammo yattha viññū puriso nacirasseva sakaṃ ācariyakaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyyā’ti. So kho ahaṃ, bhikkhave, nacirasseva khippameva taṃ dhammaṃ pariyāpuṇiṃ. So kho ahaṃ, bhikkhave, tāvatakeneva oṭṭhapahatamattena lapitalāpanamattena ñāṇavādañca vadāmi theravādañca, ‘jānāmi passāmī’ti ca paṭijānāmi ahañceva aññe ca. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘na kho rāmo imaṃ dhammaṃ kevalaṃ saddhāmattakena sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedesi; addhā rāmo imaṃ dhammaṃ jānaṃ passaṃ vihāsī’ti.

    ‘‘อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, เยน อุทโก รามปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ – ‘กิตฺตาวตา โน, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสี’ติ? เอวํ วุเตฺต, ภิกฺขเว, อุทโก รามปุโตฺต เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ปเวเทสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘น โข รามเสฺสว อโหสิ สทฺธา, มยฺหํปตฺถิ สทฺธา; น โข รามเสฺสว อโหสิ วีริยํ , มยฺหํปตฺถิ วีริยํ; น โข รามเสฺสว อโหสิ สติ, มยฺหํปตฺถิ สติ; น โข รามเสฺสว อโหสิ สมาธิ, มยฺหํปตฺถิ สมาธิ, น โข รามเสฺสว อโหสิ ปญฺญา, มยฺหํปตฺถิ ปญฺญาฯ ยํนูนาหํ ยํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามีติ ปเวเทสิ, ตสฺส ธมฺมสฺส สจฺฉิกิริยาย ปทเหยฺย’นฺติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, นจิรเสฺสว ขิปฺปเมว ตํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสิํฯ

    ‘‘Atha khvāhaṃ, bhikkhave, yena udako rāmaputto tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā udakaṃ rāmaputtaṃ etadavocaṃ – ‘kittāvatā no, āvuso, rāmo imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedesī’ti? Evaṃ vutte, bhikkhave, udako rāmaputto nevasaññānāsaññāyatanaṃ pavedesi. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘na kho rāmasseva ahosi saddhā, mayhaṃpatthi saddhā; na kho rāmasseva ahosi vīriyaṃ , mayhaṃpatthi vīriyaṃ; na kho rāmasseva ahosi sati, mayhaṃpatthi sati; na kho rāmasseva ahosi samādhi, mayhaṃpatthi samādhi, na kho rāmasseva ahosi paññā, mayhaṃpatthi paññā. Yaṃnūnāhaṃ yaṃ dhammaṃ rāmo sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmīti pavedesi, tassa dhammassa sacchikiriyāya padaheyya’nti. So kho ahaṃ, bhikkhave, nacirasseva khippameva taṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihāsiṃ.

    ‘‘อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, เยน อุทโก รามปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํ; อุปสงฺกมิตฺวา อุทกํ รามปุตฺตํ เอตทโวจํ –

    ‘‘Atha khvāhaṃ, bhikkhave, yena udako rāmaputto tenupasaṅkamiṃ; upasaṅkamitvā udakaṃ rāmaputtaṃ etadavocaṃ –

    ‘เอตฺตาวตา โน, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี’ติ?

    ‘Ettāvatā no, āvuso, rāmo imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesī’ti?

    ‘เอตฺตาวตา โข, อาวุโส, ราโม อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสี’ติฯ

    ‘Ettāvatā kho, āvuso, rāmo imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesī’ti.

    ‘อหมฺปิ โข, อาวุโส, เอตฺตาวตา อิมํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรามี’ติฯ

    ‘Ahampi kho, āvuso, ettāvatā imaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharāmī’ti.

    ‘ลาภา โน, อาวุโส, สุลทฺธํ โน, อาวุโส, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ตาทิสํ สพฺรหฺมจาริํ ปสฺสามฯ อิติ ยํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสิ, ตํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิฯ ยํ ตฺวํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรสิ, ตํ ธมฺมํ ราโม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช ปเวเทสิฯ อิติ ยํ ธมฺมํ ราโม อภิญฺญาสิ ตํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ, ยํ ตฺวํ ธมฺมํ ชานาสิ, ตํ ธมฺมํ ราโม อภิญฺญาสิฯ อิติ ยาทิโส ราโม อโหสิ ตาทิโส ตุวํ, ยาทิโส ตุวํ ตาทิโส ราโม อโหสิฯ เอหิ ทานิ, อาวุโส, ตุวํ อิมํ คณํ ปริหรา’ติ ฯ อิติ โข, ภิกฺขเว , อุทโก รามปุโตฺต สพฺรหฺมจารี เม สมาโน อาจริยฎฺฐาเน มํ ฐเปสิ, อุฬาราย จ มํ ปูชาย ปูเชสิฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘นายํ ธโมฺม นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สโมฺพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว เนวสญฺญานาสญฺญายตนูปปตฺติยา’ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตํ ธมฺมํ อนลงฺกริตฺวา ตสฺมา ธมฺมา นิพฺพิชฺช อปกฺกมิํฯ

    ‘Lābhā no, āvuso, suladdhaṃ no, āvuso, ye mayaṃ āyasmantaṃ tādisaṃ sabrahmacāriṃ passāma. Iti yaṃ dhammaṃ rāmo sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesi, taṃ tvaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharasi. Yaṃ tvaṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharasi, taṃ dhammaṃ rāmo sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja pavedesi. Iti yaṃ dhammaṃ rāmo abhiññāsi taṃ tvaṃ dhammaṃ jānāsi, yaṃ tvaṃ dhammaṃ jānāsi, taṃ dhammaṃ rāmo abhiññāsi. Iti yādiso rāmo ahosi tādiso tuvaṃ, yādiso tuvaṃ tādiso rāmo ahosi. Ehi dāni, āvuso, tuvaṃ imaṃ gaṇaṃ pariharā’ti . Iti kho, bhikkhave , udako rāmaputto sabrahmacārī me samāno ācariyaṭṭhāne maṃ ṭhapesi, uḷārāya ca maṃ pūjāya pūjesi. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘nāyaṃ dhammo nibbidāya na virāgāya na nirodhāya na upasamāya na abhiññāya na sambodhāya na nibbānāya saṃvattati, yāvadeva nevasaññānāsaññāyatanūpapattiyā’ti. So kho ahaṃ, bhikkhave, taṃ dhammaṃ analaṅkaritvā tasmā dhammā nibbijja apakkamiṃ.

    ๒๗๙. ‘‘โส โข อหํ, ภิกฺขเว, กิํ กุสลคเวสี อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน มคเธสุ อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน อุรุเวลา เสนานิคโม ตทวสริํฯ ตตฺถทฺทสํ รมณียํ ภูมิภาคํ, ปาสาทิกญฺจ วนสณฺฑํ, นทิญฺจ สนฺทนฺติํ เสตกํ สุปติตฺถํ รมณียํ, สมนฺตา 15 จ โคจรคามํ ฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘รมณีโย วต, โภ, ภูมิภาโค, ปาสาทิโก จ วนสโณฺฑ, นที จ สนฺทติ เสตกา สุปติตฺถา รมณียา, สมนฺตา จ โคจรคาโมฯ อลํ วติทํ กุลปุตฺตสฺส ปธานตฺถิกสฺส ปธานายา’ติฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, ตเตฺถว นิสีทิํ – อลมิทํ ปธานายาติฯ

    279. ‘‘So kho ahaṃ, bhikkhave, kiṃ kusalagavesī anuttaraṃ santivarapadaṃ pariyesamāno magadhesu anupubbena cārikaṃ caramāno yena uruvelā senānigamo tadavasariṃ. Tatthaddasaṃ ramaṇīyaṃ bhūmibhāgaṃ, pāsādikañca vanasaṇḍaṃ, nadiñca sandantiṃ setakaṃ supatitthaṃ ramaṇīyaṃ, samantā 16 ca gocaragāmaṃ . Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘ramaṇīyo vata, bho, bhūmibhāgo, pāsādiko ca vanasaṇḍo, nadī ca sandati setakā supatitthā ramaṇīyā, samantā ca gocaragāmo. Alaṃ vatidaṃ kulaputtassa padhānatthikassa padhānāyā’ti. So kho ahaṃ, bhikkhave, tattheva nisīdiṃ – alamidaṃ padhānāyāti.

    ๒๘๐. ‘‘โส โข อหํ, ภิกฺขเว, อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน ชาติธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมาโน อชาตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา ชราธโมฺม สมาโน ชราธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชรํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมาโน อชรํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา พฺยาธิธโมฺม สมาโน พฺยาธิธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อพฺยาธิํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมาโน อพฺยาธิํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา มรณธโมฺม สมาโน มรณธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อมตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา โสกธโมฺม สมาโน โสกธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อโสกํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํ, อตฺตนา สํกิเลสธโมฺม สมาโน สํกิเลสธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อสํกิลิฎฺฐํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมาโน อสํกิลิฎฺฐํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํฯ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ – ‘อกุปฺปา เม วิมุตฺติ, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’ติฯ

    280. ‘‘So kho ahaṃ, bhikkhave, attanā jātidhammo samāno jātidhamme ādīnavaṃ viditvā ajātaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesamāno ajātaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃ, attanā jarādhammo samāno jarādhamme ādīnavaṃ viditvā ajaraṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesamāno ajaraṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃ, attanā byādhidhammo samāno byādhidhamme ādīnavaṃ viditvā abyādhiṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesamāno abyādhiṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃ, attanā maraṇadhammo samāno maraṇadhamme ādīnavaṃ viditvā amataṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃ, attanā sokadhammo samāno sokadhamme ādīnavaṃ viditvā asokaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃ, attanā saṃkilesadhammo samāno saṃkilesadhamme ādīnavaṃ viditvā asaṃkiliṭṭhaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesamāno asaṃkiliṭṭhaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃ. Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi – ‘akuppā me vimutti, ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavo’ti.

    ๒๘๑. ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘อธิคโต โข มฺยายํ ธโมฺม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สโนฺต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโยฯ อาลยรามา โข ปนายํ ปชา อาลยรตา อาลยสมฺมุทิตาฯ อาลยรามา โข ปนายํ ปชา อาลยรตาย อาลยสมฺมุทิตาย ทุทฺทสํ อิทํ ฐานํ ยทิทํ – อิทปฺปจฺจยตา ปฎิจฺจสมุปฺปาโทฯ อิทมฺปิ โข ฐานํ ทุทฺทสํ ยทิทํ – สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฎินิสฺสโคฺค ตณฺหากฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํฯ อหเญฺจว โข ปน ธมฺมํ เทเสยฺยํ, ปเร จ เม น อาชาเนยฺยุํ, โส มมสฺส กิลมโถ, สา มมสฺส วิเหสา’ติฯ อปิสฺสุ มํ, ภิกฺขเว, อิมา อนจฺฉริยา คาถาโย ปฎิภํสุ ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพา –

    281. ‘‘Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘adhigato kho myāyaṃ dhammo gambhīro duddaso duranubodho santo paṇīto atakkāvacaro nipuṇo paṇḍitavedanīyo. Ālayarāmā kho panāyaṃ pajā ālayaratā ālayasammuditā. Ālayarāmā kho panāyaṃ pajā ālayaratāya ālayasammuditāya duddasaṃ idaṃ ṭhānaṃ yadidaṃ – idappaccayatā paṭiccasamuppādo. Idampi kho ṭhānaṃ duddasaṃ yadidaṃ – sabbasaṅkhārasamatho sabbūpadhipaṭinissaggo taṇhākkhayo virāgo nirodho nibbānaṃ. Ahañceva kho pana dhammaṃ deseyyaṃ, pare ca me na ājāneyyuṃ, so mamassa kilamatho, sā mamassa vihesā’ti. Apissu maṃ, bhikkhave, imā anacchariyā gāthāyo paṭibhaṃsu pubbe assutapubbā –

    ‘กิเจฺฉน เม อธิคตํ, หลํ ทานิ ปกาสิตุํ;

    ‘Kicchena me adhigataṃ, halaṃ dāni pakāsituṃ;

    ราคโทสปเรเตหิ, นายํ ธโมฺม สุสมฺพุโธฯ

    Rāgadosaparetehi, nāyaṃ dhammo susambudho.

    ‘ปฎิโสตคามิํ นิปุณํ, คมฺภีรํ ทุทฺทสํ อณุํ;

    ‘Paṭisotagāmiṃ nipuṇaṃ, gambhīraṃ duddasaṃ aṇuṃ;

    ราครตฺตา น ทกฺขนฺติ, ตโมขเนฺธน อาวุฎา’’’ติ 17

    Rāgarattā na dakkhanti, tamokhandhena āvuṭā’’’ti 18.

    ๒๘๒. ‘‘อิติห เม, ภิกฺขเว, ปฎิสญฺจิกฺขโต อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมติ, โน ธมฺมเทสนายฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พฺรหฺมุโน สหมฺปติสฺส มม เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เอตทโหสิ – ‘นสฺสติ วต โภ โลโก, วินสฺสติ วต โภ โลโก, ยตฺร หิ นาม ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมติ 19, โน ธมฺมเทสนายา’ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พฺรหฺมา สหมฺปติ – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมว – พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต มม ปุรโต ปาตุรโหสิฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พฺรหฺมา สหมฺปติ เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยนาหํ เตนญฺชลิํ ปณาเมตฺวา มํ เอตทโวจ – ‘เทเสตุ, ภเนฺต, ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺมํฯ สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติฯ ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร’ติฯ อิทมโวจ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมา สหมฺปติฯ อิทํ วตฺวา อถาปรํ เอตทโวจ –

    282. ‘‘Itiha me, bhikkhave, paṭisañcikkhato appossukkatāya cittaṃ namati, no dhammadesanāya. Atha kho, bhikkhave, brahmuno sahampatissa mama cetasā cetoparivitakkamaññāya etadahosi – ‘nassati vata bho loko, vinassati vata bho loko, yatra hi nāma tathāgatassa arahato sammāsambuddhassa appossukkatāya cittaṃ namati 20, no dhammadesanāyā’ti. Atha kho, bhikkhave, brahmā sahampati – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evameva – brahmaloke antarahito mama purato pāturahosi. Atha kho, bhikkhave, brahmā sahampati ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā yenāhaṃ tenañjaliṃ paṇāmetvā maṃ etadavoca – ‘desetu, bhante, bhagavā dhammaṃ, desetu sugato dhammaṃ. Santi sattā apparajakkhajātikā, assavanatā dhammassa parihāyanti. Bhavissanti dhammassa aññātāro’ti. Idamavoca, bhikkhave, brahmā sahampati. Idaṃ vatvā athāparaṃ etadavoca –

    ‘ปาตุรโหสิ มคเธสุ ปุเพฺพ,

    ‘Pāturahosi magadhesu pubbe,

    ธโมฺม อสุโทฺธ สมเลหิ จินฺติโต;

    Dhammo asuddho samalehi cintito;

    อปาปุเรตํ 21 อมตสฺส ทฺวารํ,

    Apāpuretaṃ 22 amatassa dvāraṃ,

    สุณนฺตุ ธมฺมํ วิมเลนานุพุทฺธํฯ

    Suṇantu dhammaṃ vimalenānubuddhaṃ.

    ‘เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโต,

    ‘Sele yathā pabbatamuddhaniṭṭhito,

    ยถาปิ ปเสฺส ชนตํ สมนฺตโต;

    Yathāpi passe janataṃ samantato;

    ตถูปมํ ธมฺมมยํ สุเมธ,

    Tathūpamaṃ dhammamayaṃ sumedha,

    ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกฺขุ;

    Pāsādamāruyha samantacakkhu;

    โสกาวติณฺณํ 23 ชนตมเปตโสโก,

    Sokāvatiṇṇaṃ 24 janatamapetasoko,

    อเวกฺขสฺสุ ชาติชราภิภูตํฯ

    Avekkhassu jātijarābhibhūtaṃ.

    ‘อุเฎฺฐหิ วีร วิชิตสงฺคาม,

    ‘Uṭṭhehi vīra vijitasaṅgāma,

    สตฺถวาห อณณ วิจร โลเก;

    Satthavāha aṇaṇa vicara loke;

    เทสสฺสุ 25 ภควา ธมฺมํ,

    Desassu 26 bhagavā dhammaṃ,

    อญฺญาตาโร ภวิสฺสนฺตี’’’ติฯ

    Aññātāro bhavissantī’’’ti.

    ๒๘๓. ‘‘อถ โข อหํ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมุโน จ อเชฺฌสนํ วิทิตฺวา สเตฺตสุ จ การุญฺญตํ ปฎิจฺจ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสิํฯ อทฺทสํ โข อหํ, ภิกฺขเว, พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต สเตฺต อปฺปรชเกฺข มหารชเกฺข, ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย, สฺวากาเร ทฺวากาเร, สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย, อเปฺปกเจฺจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน 27 วิหรเนฺต, อเปฺปกเจฺจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน 28 วิหรเนฺตฯ เสยฺยถาปิ นาม อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อเปฺปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อโนฺตนิมุคฺคโปสีนิ, อเปฺปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ สโมทกํ ฐิตานิ, อเปฺปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกํ อจฺจุคฺคมฺม ฐิตานิ 29 อนุปลิตฺตานิ อุทเกน; เอวเมว โข อหํ, ภิกฺขเว, พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต อทฺทสํ สเตฺต อปฺปรชเกฺข มหารชเกฺข, ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย, สฺวากาเร ทฺวากาเร, สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย, อเปฺปกเจฺจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรเนฺต, อเปฺปกเจฺจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรเนฺตฯ อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมานํ สหมฺปติํ คาถาย ปจฺจภาสิํ –

    283. ‘‘Atha kho ahaṃ, bhikkhave, brahmuno ca ajjhesanaṃ viditvā sattesu ca kāruññataṃ paṭicca buddhacakkhunā lokaṃ volokesiṃ. Addasaṃ kho ahaṃ, bhikkhave, buddhacakkhunā lokaṃ volokento satte apparajakkhe mahārajakkhe, tikkhindriye mudindriye, svākāre dvākāre, suviññāpaye duviññāpaye, appekacce paralokavajjabhayadassāvine 30 viharante, appekacce na paralokavajjabhayadassāvine 31 viharante. Seyyathāpi nāma uppaliniyaṃ vā paduminiyaṃ vā puṇḍarīkiniyaṃ vā appekaccāni uppalāni vā padumāni vā puṇḍarīkāni vā udake jātāni udake saṃvaḍḍhāni udakānuggatāni antonimuggaposīni, appekaccāni uppalāni vā padumāni vā puṇḍarīkāni vā udake jātāni udake saṃvaḍḍhāni udakānuggatāni samodakaṃ ṭhitāni, appekaccāni uppalāni vā padumāni vā puṇḍarīkāni vā udake jātāni udake saṃvaḍḍhāni udakaṃ accuggamma ṭhitāni 32 anupalittāni udakena; evameva kho ahaṃ, bhikkhave, buddhacakkhunā lokaṃ volokento addasaṃ satte apparajakkhe mahārajakkhe, tikkhindriye mudindriye, svākāre dvākāre, suviññāpaye duviññāpaye, appekacce paralokavajjabhayadassāvine viharante, appekacce na paralokavajjabhayadassāvine viharante. Atha khvāhaṃ, bhikkhave, brahmānaṃ sahampatiṃ gāthāya paccabhāsiṃ –

    ‘อปารุตา เตสํ อมตสฺส ทฺวารา,

    ‘Apārutā tesaṃ amatassa dvārā,

    เย โสตวโนฺต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ;

    Ye sotavanto pamuñcantu saddhaṃ;

    วิหิํสสญฺญี ปคุณํ น ภาสิํ,

    Vihiṃsasaññī paguṇaṃ na bhāsiṃ,

    ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม’’’ติฯ

    Dhammaṃ paṇītaṃ manujesu brahme’’’ti.

    ‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, พฺรหฺมา สหมฺปติ ‘กตาวกาโส โขมฺหิ ภควตา ธมฺมเทสนายา’ติ มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตเตฺถวนฺตรธายิฯ

    ‘‘Atha kho, bhikkhave, brahmā sahampati ‘katāvakāso khomhi bhagavatā dhammadesanāyā’ti maṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā tatthevantaradhāyi.

    ๒๘๔. ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติ? ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘อยํ โข อาฬาโร กาลาโม ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ทีฆรตฺตํ อปฺปรชกฺขชาติโกฯ ยํนูนาหํ อาฬารสฺส กาลามสฺส ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํฯ โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติฯ อถ โข มํ, ภิกฺขเว, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘สตฺตาหกาลงฺกโต, ภเนฺต, อาฬาโร กาลาโม’ติฯ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ – ‘สตฺตาหกาลงฺกโต อาฬาโร กาลาโม’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘มหาชานิโย โข อาฬาโร กาลาโมฯ สเจ หิ โส อิมํ ธมฺมํ สุเณยฺย, ขิปฺปเมว อาชาเนยฺยา’ติฯ

    284. ‘‘Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ; ko imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti? Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘ayaṃ kho āḷāro kālāmo paṇḍito viyatto medhāvī dīgharattaṃ apparajakkhajātiko. Yaṃnūnāhaṃ āḷārassa kālāmassa paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ. So imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti. Atha kho maṃ, bhikkhave, devatā upasaṅkamitvā etadavoca – ‘sattāhakālaṅkato, bhante, āḷāro kālāmo’ti. Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi – ‘sattāhakālaṅkato āḷāro kālāmo’ti. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘mahājāniyo kho āḷāro kālāmo. Sace hi so imaṃ dhammaṃ suṇeyya, khippameva ājāneyyā’ti.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติ? ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘อยํ โข อุทโก รามปุโตฺต ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ทีฆรตฺตํ อปฺปรชกฺขชาติโกฯ ยํนูนาหํ อุทกสฺส รามปุตฺตสฺส ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํฯ โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติฯ อถ โข มํ, ภิกฺขเว, เทวตา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘อภิโทสกาลงฺกโต, ภเนฺต, อุทโก รามปุโตฺต’ติฯ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ – ‘อภิโทสกาลงฺกโต อุทโก รามปุโตฺต’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘มหาชานิโย โข อุทโก รามปุโตฺตฯ สเจ หิ โส อิมํ ธมฺมํ สุเณยฺย , ขิปฺปเมว อาชาเนยฺยา’ติฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ; ko imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti? Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘ayaṃ kho udako rāmaputto paṇḍito viyatto medhāvī dīgharattaṃ apparajakkhajātiko. Yaṃnūnāhaṃ udakassa rāmaputtassa paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ. So imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti. Atha kho maṃ, bhikkhave, devatā upasaṅkamitvā etadavoca – ‘abhidosakālaṅkato, bhante, udako rāmaputto’ti. Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi – ‘abhidosakālaṅkato udako rāmaputto’ti. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘mahājāniyo kho udako rāmaputto. Sace hi so imaṃ dhammaṃ suṇeyya , khippameva ājāneyyā’ti.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ , ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ; โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี’ติ? ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘พหุการา โข เม ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู, เย มํ ปธานปหิตตฺตํ อุปฎฺฐหิํสุฯ ยํนูนาหํ ปญฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสิ – ‘กหํ นุ โข เอตรหิ ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู วิหรนฺตี’ติ? อทฺทสํ โข อหํ, ภิกฺขเว, ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู พาราณสิยํ วิหรเนฺต อิสิปตเน มิคทาเยฯ อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, อุรุเวลายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา เยน พาราณสี เตน จาริกํ ปกฺกมิํ 33

    ‘‘Tassa mayhaṃ , bhikkhave, etadahosi – ‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyaṃ; ko imaṃ dhammaṃ khippameva ājānissatī’ti? Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘bahukārā kho me pañcavaggiyā bhikkhū, ye maṃ padhānapahitattaṃ upaṭṭhahiṃsu. Yaṃnūnāhaṃ pañcavaggiyānaṃ bhikkhūnaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’nti. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosi – ‘kahaṃ nu kho etarahi pañcavaggiyā bhikkhū viharantī’ti? Addasaṃ kho ahaṃ, bhikkhave, dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena pañcavaggiye bhikkhū bārāṇasiyaṃ viharante isipatane migadāye. Atha khvāhaṃ, bhikkhave, uruvelāyaṃ yathābhirantaṃ viharitvā yena bārāṇasī tena cārikaṃ pakkamiṃ 34.

    ๒๘๕. ‘‘อทฺทสา โข มํ, ภิกฺขเว, อุปโก อาชีวโก อนฺตรา 35 จ คยํ อนฺตรา จ โพธิํ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปนฺนํฯ ทิสฺวาน มํ เอตทโวจ – ‘วิปฺปสนฺนานิ โข เต, อาวุโส, อินฺทฺริยานิ, ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ ปริโยทาโต! กํสิ ตฺวํ, อาวุโส, อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต, โก วา เต สตฺถา, กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสี’ติ ? เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภิกฺขเว, อุปกํ อาชีวกํ คาถาหิ อชฺฌภาสิํ –

    285. ‘‘Addasā kho maṃ, bhikkhave, upako ājīvako antarā 36 ca gayaṃ antarā ca bodhiṃ addhānamaggappaṭipannaṃ. Disvāna maṃ etadavoca – ‘vippasannāni kho te, āvuso, indriyāni, parisuddho chavivaṇṇo pariyodāto! Kaṃsi tvaṃ, āvuso, uddissa pabbajito, ko vā te satthā, kassa vā tvaṃ dhammaṃ rocesī’ti ? Evaṃ vutte, ahaṃ, bhikkhave, upakaṃ ājīvakaṃ gāthāhi ajjhabhāsiṃ –

    ‘สพฺพาภิภู สพฺพวิทูหมสฺมิ, สเพฺพสุ ธเมฺมสุ อนูปลิโตฺต;

    ‘Sabbābhibhū sabbavidūhamasmi, sabbesu dhammesu anūpalitto;

    สพฺพญฺชโห ตณฺหากฺขเย วิมุโตฺต, สยํ อภิญฺญาย กมุทฺทิเสยฺยํฯ

    Sabbañjaho taṇhākkhaye vimutto, sayaṃ abhiññāya kamuddiseyyaṃ.

    ‘น เม อาจริโย อตฺถิ, สทิโส เม น วิชฺชติ;

    ‘Na me ācariyo atthi, sadiso me na vijjati;

    สเทวกสฺมิํ โลกสฺมิํ, นตฺถิ เม ปฎิปุคฺคโลฯ

    Sadevakasmiṃ lokasmiṃ, natthi me paṭipuggalo.

    ‘อหญฺหิ อรหา โลเก, อหํ สตฺถา อนุตฺตโร;

    ‘Ahañhi arahā loke, ahaṃ satthā anuttaro;

    เอโกมฺหิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโตฯ

    Ekomhi sammāsambuddho, sītibhūtosmi nibbuto.

    ‘ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตุํ, คจฺฉามิ กาสินํ ปุรํ;

    ‘Dhammacakkaṃ pavattetuṃ, gacchāmi kāsinaṃ puraṃ;

    อนฺธีภูตสฺมิํ 37 โลกสฺมิํ, อาหญฺฉํ อมตทุนฺทุภิ’นฺติฯ

    Andhībhūtasmiṃ 38 lokasmiṃ, āhañchaṃ amatadundubhi’nti.

    ‘ยถา โข ตฺวํ, อาวุโส, ปฎิชานาสิ, อรหสิ อนนฺตชิโน’ติ!

    ‘Yathā kho tvaṃ, āvuso, paṭijānāsi, arahasi anantajino’ti!

    ‘มาทิสา เว ชินา โหนฺติ, เย ปตฺตา อาสวกฺขยํ;

    ‘Mādisā ve jinā honti, ye pattā āsavakkhayaṃ;

    ชิตา เม ปาปกา ธมฺมา, ตสฺมาหมุปก ชิโน’ติฯ

    Jitā me pāpakā dhammā, tasmāhamupaka jino’ti.

    ‘‘เอวํ วุเตฺต, ภิกฺขเว, อุปโก อาชีวโก ‘หุเปยฺยปาวุโส’ติ 39 วตฺวา สีสํ โอกเมฺปตฺวา อุมฺมคฺคํ คเหตฺวา ปกฺกามิฯ

    ‘‘Evaṃ vutte, bhikkhave, upako ājīvako ‘hupeyyapāvuso’ti 40 vatvā sīsaṃ okampetvā ummaggaṃ gahetvā pakkāmi.

    ๒๘๖. ‘‘อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน พาราณสี อิสิปตนํ มิคทาโย เยน ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิํฯ อทฺทสํสุ โข มํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ทูรโต อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน อญฺญมญฺญํ สณฺฐเปสุํ 41 – ‘อยํ โข, อาวุโส, สมโณ โคตโม อาคจฺฉติ พาหุลฺลิโก 42 ปธานวิพฺภโนฺต อาวโตฺต พาหุลฺลายฯ โส เนว อภิวาเทตโพฺพ, น ปจฺจุฎฺฐาตโพฺพ; นาสฺส ปตฺตจีวรํ ปฎิคฺคเหตพฺพํฯ อปิ จ โข อาสนํ ฐเปตพฺพํ, สเจ อากงฺขิสฺสติ นิสีทิสฺสตี’ติฯ ยถา ยถา โข อหํ, ภิกฺขเว, อุปสงฺกมิํ ตถา ตถา ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู นาสกฺขิํสุ สกาย กติกาย สณฺฐาตุํฯ อเปฺปกเจฺจ มํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรํ ปฎิคฺคเหสุํ, อเปฺปกเจฺจ อาสนํ ปญฺญเปสุํ, อเปฺปกเจฺจ ปาโททกํ อุปฎฺฐเปสุํฯ อปิ จ โข มํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรนฺติฯ

    286. ‘‘Atha khvāhaṃ, bhikkhave, anupubbena cārikaṃ caramāno yena bārāṇasī isipatanaṃ migadāyo yena pañcavaggiyā bhikkhū tenupasaṅkamiṃ. Addasaṃsu kho maṃ, bhikkhave, pañcavaggiyā bhikkhū dūrato āgacchantaṃ. Disvāna aññamaññaṃ saṇṭhapesuṃ 43 – ‘ayaṃ kho, āvuso, samaṇo gotamo āgacchati bāhulliko 44 padhānavibbhanto āvatto bāhullāya. So neva abhivādetabbo, na paccuṭṭhātabbo; nāssa pattacīvaraṃ paṭiggahetabbaṃ. Api ca kho āsanaṃ ṭhapetabbaṃ, sace ākaṅkhissati nisīdissatī’ti. Yathā yathā kho ahaṃ, bhikkhave, upasaṅkamiṃ tathā tathā pañcavaggiyā bhikkhū nāsakkhiṃsu sakāya katikāya saṇṭhātuṃ. Appekacce maṃ paccuggantvā pattacīvaraṃ paṭiggahesuṃ, appekacce āsanaṃ paññapesuṃ, appekacce pādodakaṃ upaṭṭhapesuṃ. Api ca kho maṃ nāmena ca āvusovādena ca samudācaranti.

    ‘‘เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ – ‘มา, ภิกฺขเว, ตถาคตํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรถ 45ฯ อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุโทฺธ ฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํ, อมตมธิคตํ, อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฎฺฐํ ตถา ปฎิปชฺชมานา นจิรเสฺสว – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา’ติฯ เอวํ วุเตฺต, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ – ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฎิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ, กิํ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภโนฺต อาวโตฺต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสส’นฺติ? เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ – ‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต พาหุลฺลิโก, น ปธานวิพฺภโนฺต, น อาวโตฺต พาหุลฺลาย ฯ อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํ, อมตมธิคตํ, อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฎฺฐํ ตถา ปฎิปชฺชมานา นจิรเสฺสว – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา’ติฯ ทุติยมฺปิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ – ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฎิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ, กิํ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภโนฺต อาวโตฺต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสส’นฺติ? ทุติยมฺปิ โข อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ – ‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต พาหุลฺลิโก…เป.… อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา’ติฯ ตติยมฺปิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มํ เอตทโวจุํ – ‘ตายปิ โข ตฺวํ, อาวุโส โคตม, อิริยาย ตาย ปฎิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ, กิํ ปน ตฺวํ เอตรหิ พาหุลฺลิโก ปธานวิพฺภโนฺต อาวโตฺต พาหุลฺลาย อธิคมิสฺสสิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสส’นฺติ?

    ‘‘Evaṃ vutte, ahaṃ, bhikkhave, pañcavaggiye bhikkhū etadavocaṃ – ‘mā, bhikkhave, tathāgataṃ nāmena ca āvusovādena ca samudācaratha 46. Arahaṃ, bhikkhave, tathāgato sammāsambuddho . Odahatha, bhikkhave, sotaṃ, amatamadhigataṃ, ahamanusāsāmi, ahaṃ dhammaṃ desemi. Yathānusiṭṭhaṃ tathā paṭipajjamānā nacirasseva – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissathā’ti. Evaṃ vutte, bhikkhave, pañcavaggiyā bhikkhū maṃ etadavocuṃ – ‘tāyapi kho tvaṃ, āvuso gotama, iriyāya tāya paṭipadāya tāya dukkarakārikāya nājjhagamā uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ, kiṃ pana tvaṃ etarahi bāhulliko padhānavibbhanto āvatto bāhullāya adhigamissasi uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesa’nti? Evaṃ vutte, ahaṃ, bhikkhave, pañcavaggiye bhikkhū etadavocaṃ – ‘na, bhikkhave, tathāgato bāhulliko, na padhānavibbhanto, na āvatto bāhullāya . Arahaṃ, bhikkhave, tathāgato sammāsambuddho. Odahatha, bhikkhave, sotaṃ, amatamadhigataṃ, ahamanusāsāmi, ahaṃ dhammaṃ desemi. Yathānusiṭṭhaṃ tathā paṭipajjamānā nacirasseva – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissathā’ti. Dutiyampi kho, bhikkhave, pañcavaggiyā bhikkhū maṃ etadavocuṃ – ‘tāyapi kho tvaṃ, āvuso gotama, iriyāya tāya paṭipadāya tāya dukkarakārikāya nājjhagamā uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ, kiṃ pana tvaṃ etarahi bāhulliko padhānavibbhanto āvatto bāhullāya adhigamissasi uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesa’nti? Dutiyampi kho ahaṃ, bhikkhave, pañcavaggiye bhikkhū etadavocaṃ – ‘na, bhikkhave, tathāgato bāhulliko…pe… upasampajja viharissathā’ti. Tatiyampi kho, bhikkhave, pañcavaggiyā bhikkhū maṃ etadavocuṃ – ‘tāyapi kho tvaṃ, āvuso gotama, iriyāya tāya paṭipadāya tāya dukkarakārikāya nājjhagamā uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ, kiṃ pana tvaṃ etarahi bāhulliko padhānavibbhanto āvatto bāhullāya adhigamissasi uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanavisesa’nti?

    ‘‘เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู เอตทโวจํ – ‘อภิชานาถ เม โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อิโต ปุเพฺพ เอวรูปํ ปภาวิตเมต’นฺติ 47? ‘โน เหตํ, ภเนฺต’ฯ ‘อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ โอทหถ, ภิกฺขเว, โสตํ, อมตมธิคตํ, อหมนุสาสามิ, อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฎฺฐํ ตถา ปฎิปชฺชมานา นจิรเสฺสว – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา’ติฯ

    ‘‘Evaṃ vutte, ahaṃ, bhikkhave, pañcavaggiye bhikkhū etadavocaṃ – ‘abhijānātha me no tumhe, bhikkhave, ito pubbe evarūpaṃ pabhāvitameta’nti 48? ‘No hetaṃ, bhante’. ‘Arahaṃ, bhikkhave, tathāgato sammāsambuddho. Odahatha, bhikkhave, sotaṃ, amatamadhigataṃ, ahamanusāsāmi, ahaṃ dhammaṃ desemi. Yathānusiṭṭhaṃ tathā paṭipajjamānā nacirasseva – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissathā’ti.

    ‘‘อสกฺขิํ โข อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู สญฺญาเปตุํฯ เทฺวปิ สุทํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู โอวทามิ, ตโย ภิกฺขู ปิณฺฑาย จรนฺติฯ ยํ ตโย ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา อาหรนฺติ เตน ฉพฺพคฺคิยา 49 ยาเปมฯ ตโยปิ สุทํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู โอวทามิ, เทฺว ภิกฺขู ปิณฺฑาย จรนฺติฯ ยํ เทฺว ภิกฺขู ปิณฺฑาย จริตฺวา อาหรนฺติ เตน ฉพฺพคฺคิยา ยาเปมฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มยา เอวํ โอวทิยมานา เอวํ อนุสาสิยมานา อตฺตนา ชาติธมฺมา สมานา ชาติธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมานา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุ, อตฺตนา ชราธมฺมา สมานา ชราธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชรํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมานา อชรํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุ, อตฺตนา พฺยาธิธมฺมา สมานา…เป.… อตฺตนา มรณธมฺมา สมานา… อตฺตนา โสกธมฺมา สมานา… อตฺตนา สํกิเลสธมฺมา สมานา สํกิเลสธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อสํกิลิฎฺฐํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสมานา อสํกิลิฎฺฐํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุฯ ญาณญฺจ ปน เนสํ ทสฺสนํ อุทปาทิ – ‘อกุปฺปา โน วิมุตฺติ 50, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’ติฯ

    ‘‘Asakkhiṃ kho ahaṃ, bhikkhave, pañcavaggiye bhikkhū saññāpetuṃ. Dvepi sudaṃ, bhikkhave, bhikkhū ovadāmi, tayo bhikkhū piṇḍāya caranti. Yaṃ tayo bhikkhū piṇḍāya caritvā āharanti tena chabbaggiyā 51 yāpema. Tayopi sudaṃ, bhikkhave, bhikkhū ovadāmi, dve bhikkhū piṇḍāya caranti. Yaṃ dve bhikkhū piṇḍāya caritvā āharanti tena chabbaggiyā yāpema. Atha kho, bhikkhave, pañcavaggiyā bhikkhū mayā evaṃ ovadiyamānā evaṃ anusāsiyamānā attanā jātidhammā samānā jātidhamme ādīnavaṃ viditvā ajātaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesamānā ajātaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃsu, attanā jarādhammā samānā jarādhamme ādīnavaṃ viditvā ajaraṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesamānā ajaraṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃsu, attanā byādhidhammā samānā…pe… attanā maraṇadhammā samānā… attanā sokadhammā samānā… attanā saṃkilesadhammā samānā saṃkilesadhamme ādīnavaṃ viditvā asaṃkiliṭṭhaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesamānā asaṃkiliṭṭhaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃsu. Ñāṇañca pana nesaṃ dassanaṃ udapādi – ‘akuppā no vimutti 52, ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavo’ti.

    ๒๘๗. ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, กามคุณาฯ กตเม ปญฺจ? จกฺขุวิเญฺญยฺยา รูปา อิฎฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสํหิตา รชนียา, โสตวิเญฺญยฺยา สทฺทา…เป.… ฆานวิเญฺญยฺยา คนฺธา… ชิวฺหาวิเญฺญยฺยา รสา… กายวิเญฺญยฺยา โผฎฺฐพฺพา อิฎฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสํหิตา รชนียาฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ กามคุณาฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อิเม ปญฺจ กามคุเณ คถิตา มุจฺฉิตา อโชฺฌปนฺนา อนาทีนวทสฺสาวิโน อนิสฺสรณปญฺญา ปริภุญฺชนฺติ, เต เอวมสฺสุ เวทิตพฺพา – ‘อนยมาปนฺนา พฺยสนมาปนฺนา ยถากามกรณียา ปาปิมโต’ 53ฯ ‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อารญฺญโก มโค พโทฺธ ปาสราสิํ อธิสเยยฺยฯ โส เอวมสฺส เวทิตโพฺพ – อนยมาปโนฺน พฺยสนมาปโนฺน ยถากามกรณีโย ลุทฺทสฺสฯ อาคจฺฉเนฺต จ ปน ลุเทฺท เยน กามํ น ปกฺกมิสฺสตี’ติฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา อิเม ปญฺจ กามคุเณ คถิตา มุจฺฉิตา อโชฺฌปนฺนา อนาทีนวทสฺสาวิโน อนิสฺสรณปญฺญา ปริภุญฺชนฺติ, เต เอวมสฺสุ เวทิตพฺพา – ‘อนยมาปนฺนา พฺยสนมาปนฺนา ยถากามกรณียา ปาปิมโต’ฯ เย จ โข เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อิเม ปญฺจ กามคุเณ อคถิตา อมุจฺฉิตา อนโชฺฌปนฺนา อาทีนวทสฺสาวิโน นิสฺสรณปญฺญา ปริภุญฺชนฺติ, เต เอวมสฺสุ เวทิตพฺพา – ‘น อนยมาปนฺนา น พฺยสนมาปนฺนา น ยถากามกรณียา ปาปิมโต’ฯ

    287. ‘‘Pañcime, bhikkhave, kāmaguṇā. Katame pañca? Cakkhuviññeyyā rūpā iṭṭhā kantā manāpā piyarūpā kāmūpasaṃhitā rajanīyā, sotaviññeyyā saddā…pe… ghānaviññeyyā gandhā… jivhāviññeyyā rasā… kāyaviññeyyā phoṭṭhabbā iṭṭhā kantā manāpā piyarūpā kāmūpasaṃhitā rajanīyā. Ime kho, bhikkhave, pañca kāmaguṇā. Ye hi keci, bhikkhave, samaṇā vā brāhmaṇā vā ime pañca kāmaguṇe gathitā mucchitā ajjhopannā anādīnavadassāvino anissaraṇapaññā paribhuñjanti, te evamassu veditabbā – ‘anayamāpannā byasanamāpannā yathākāmakaraṇīyā pāpimato’ 54. ‘Seyyathāpi, bhikkhave, āraññako mago baddho pāsarāsiṃ adhisayeyya. So evamassa veditabbo – anayamāpanno byasanamāpanno yathākāmakaraṇīyo luddassa. Āgacchante ca pana ludde yena kāmaṃ na pakkamissatī’ti. Evameva kho, bhikkhave, ye hi keci samaṇā vā brāhmaṇā vā ime pañca kāmaguṇe gathitā mucchitā ajjhopannā anādīnavadassāvino anissaraṇapaññā paribhuñjanti, te evamassu veditabbā – ‘anayamāpannā byasanamāpannā yathākāmakaraṇīyā pāpimato’. Ye ca kho keci, bhikkhave, samaṇā vā brāhmaṇā vā ime pañca kāmaguṇe agathitā amucchitā anajjhopannā ādīnavadassāvino nissaraṇapaññā paribhuñjanti, te evamassu veditabbā – ‘na anayamāpannā na byasanamāpannā na yathākāmakaraṇīyā pāpimato’.

    ‘‘เสยฺยถาปิ , ภิกฺขเว, อารญฺญโก มโค อพโทฺธ ปาสราสิํ อธิสเยยฺยฯ โส เอวมสฺส เวทิตโพฺพ – ‘น อนยมาปโนฺน น พฺยสนมาปโนฺน น ยถากามกรณีโย ลุทฺทสฺสฯ อาคจฺฉเนฺต จ ปน ลุเทฺท เยน กามํ ปกฺกมิสฺสตี’ติฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย หิ เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา อิเม ปญฺจ กามคุเณ อคถิตา อมุจฺฉิตา อนโชฺฌปนฺนา อาทีนวทสฺสาวิโน นิสฺสรณปญฺญา ปริภุญฺชนฺติ, เต เอวมสฺสุ เวทิตพฺพา – ‘น อนยมาปนฺนา น พฺยสนมาปนฺนา น ยถากามกรณียา ปาปิมโต’ฯ

    ‘‘Seyyathāpi , bhikkhave, āraññako mago abaddho pāsarāsiṃ adhisayeyya. So evamassa veditabbo – ‘na anayamāpanno na byasanamāpanno na yathākāmakaraṇīyo luddassa. Āgacchante ca pana ludde yena kāmaṃ pakkamissatī’ti. Evameva kho, bhikkhave, ye hi keci samaṇā vā brāhmaṇā vā ime pañca kāmaguṇe agathitā amucchitā anajjhopannā ādīnavadassāvino nissaraṇapaññā paribhuñjanti, te evamassu veditabbā – ‘na anayamāpannā na byasanamāpannā na yathākāmakaraṇīyā pāpimato’.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อารญฺญโก มโค อรเญฺญ ปวเน จรมาโน วิสฺสโตฺถ คจฺฉติ, วิสฺสโตฺถ ติฎฺฐติ, วิสฺสโตฺถ นิสีทติ, วิสฺสโตฺถ เสยฺยํ กเปฺปติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อนาปาถคโต, ภิกฺขเว, ลุทฺทสฺสฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อนฺธมกาสิ มารํ อปทํ, วธิตฺวา มารจกฺขุํ อทสฺสนํ คโต ปาปิมโตฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, āraññako mago araññe pavane caramāno vissattho gacchati, vissattho tiṭṭhati, vissattho nisīdati, vissattho seyyaṃ kappeti. Taṃ kissa hetu? Anāpāthagato, bhikkhave, luddassa. Evameva kho, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu andhamakāsi māraṃ apadaṃ, vadhitvā māracakkhuṃ adassanaṃ gato pāpimato.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว…เป.… ปาปิมโตฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave…pe… pāpimato.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ, สโต จ สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทติ ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว…เป.… ปาปิมโตฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu pītiyā ca virāgā upekkhako ca viharati, sato ca sampajāno, sukhañca kāyena paṭisaṃvedeti yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti ‘upekkhako satimā sukhavihārī’ti tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave…pe… pāpimato.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว…เป.… ปาปิมโตฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave…pe… pāpimato.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนโนฺต อากาโส’ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว…เป.… ปาปิมโตฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā ‘ananto ākāso’ti ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave…pe… pāpimato.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณ’นฺติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว…เป.… ปาปิมโตฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu sabbaso ākāsānañcāyatanaṃ samatikkamma ‘anantaṃ viññāṇa’nti viññāṇañcāyatanaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave…pe… pāpimato.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี’ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว…เป.… ปาปิมโตฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu sabbaso viññāṇañcāyatanaṃ samatikkamma ‘natthi kiñcī’ti ākiñcaññāyatanaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave…pe… pāpimato.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว…เป.… ปาปิมโตฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu sabbaso ākiñcaññāyatanaṃ samatikkamma nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave…pe… pāpimato.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อนฺธมกาสิ มารํ อปทํ, วธิตฺวา มารจกฺขุํ อทสฺสนํ คโต ปาปิมโตฯ ติโณฺณ โลเก วิสตฺติกํ วิสฺสโตฺถ คจฺฉติ, วิสฺสโตฺถ ติฎฺฐติ, วิสฺสโตฺถ นิสีทติ, วิสฺสโตฺถ เสยฺยํ กเปฺปติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อนาปาถคโต, ภิกฺขเว, ปาปิมโต’’ติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu sabbaso nevasaññānāsaññāyatanaṃ samatikkamma saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja viharati, paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā honti. Ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu andhamakāsi māraṃ apadaṃ, vadhitvā māracakkhuṃ adassanaṃ gato pāpimato. Tiṇṇo loke visattikaṃ vissattho gacchati, vissattho tiṭṭhati, vissattho nisīdati, vissattho seyyaṃ kappeti. Taṃ kissa hetu? Anāpāthagato, bhikkhave, pāpimato’’ti.

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ

    Idamavoca bhagavā. Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti.

    ปาสราสิสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ฉฎฺฐํฯ

    Pāsarāsisuttaṃ niṭṭhitaṃ chaṭṭhaṃ.







    Footnotes:
    1. คธีโต (สฺยา. ก.)
    2. gadhīto (syā. ka.)
    3. กิํกุสลํคเวสี (ก.)
    4. kiṃkusalaṃgavesī (ka.)
    5. อุปสมฺปชฺช ปเวเทสีติ (สี. สฺยา. ปี.)
    6. upasampajja pavedesīti (sī. syā. pī.)
    7. ( ) นตฺถิ (สี. สฺยา. ปี.)
    8. อตฺตโน (สี. ปี.)
    9. ( ) natthi (sī. syā. pī.)
    10. attano (sī. pī.)
    11. อุทฺทโก (สี. สฺยา. ปี.)
    12. อาวุโส ราม (สี. สฺยา. ก.) มหาสโตฺต รามปุตฺตเมว อโวจ, น รามํ, ราโม หิ ตตฺถ คณาจริโย ภเวยฺย, ตทา จ กาลงฺกโต อสโนฺตฯ เตเนเวตฺถ รามายตฺตานิ กฺริยปทานิ อตีตกาลวเสน อาคตานิ, อุทโก จ รามปุโตฺต มหาสตฺตสฺส สพฺรหฺมจารีเตฺวว วุโตฺต, น อาจริโยติฯ ฎีกายํ จ ‘‘ปาฬิยํ รามเสฺสว สมาปตฺติลาภิตา อาคตา น อุทกสฺสา’’ติ อาทิ ปจฺฉาภาเค ปกาสิตา
    13. uddako (sī. syā. pī.)
    14. āvuso rāma (sī. syā. ka.) mahāsatto rāmaputtameva avoca, na rāmaṃ, rāmo hi tattha gaṇācariyo bhaveyya, tadā ca kālaṅkato asanto. tenevettha rāmāyattāni kriyapadāni atītakālavasena āgatāni, udako ca rāmaputto mahāsattassa sabrahmacārītveva vutto, na ācariyoti. ṭīkāyaṃ ca ‘‘pāḷiyaṃ rāmasseva samāpattilābhitā āgatā na udakassā’’ti ādi pacchābhāge pakāsitā
    15. สามนฺตา (?)
    16. sāmantā (?)
    17. อาวฎาติ (สี.), อาวุตา (สฺยา.)
    18. āvaṭāti (sī.), āvutā (syā.)
    19. นมิสฺสติ (?)
    20. namissati (?)
    21. อวาปุเรตํ (สี.)
    22. avāpuretaṃ (sī.)
    23. โสกาวกิณฺณํ (สฺยา.)
    24. sokāvakiṇṇaṃ (syā.)
    25. เทเสตุ (สฺยา. ก.)
    26. desetu (syā. ka.)
    27. ทสฺสาวิโน (สฺยา. กํ. ก.)
    28. ทสฺสาวิโน (สฺยา. กํ. ก.)
    29. ติฎฺฐนฺติ (สี. สฺยา. ปี.)
    30. dassāvino (syā. kaṃ. ka.)
    31. dassāvino (syā. kaṃ. ka.)
    32. tiṭṭhanti (sī. syā. pī.)
    33. ปกฺกามิํ (สฺยา. ปี. ก.)
    34. pakkāmiṃ (syā. pī. ka.)
    35. อาชีวิโก (สี. ปี. ก.)
    36. ājīviko (sī. pī. ka.)
    37. อนฺธภูตสฺมิํ (สี. สฺยา. ปี.)
    38. andhabhūtasmiṃ (sī. syā. pī.)
    39. หุเวยฺยปาวุโส (สี. ปี.), หุเวยฺยาวุโส (สฺยา.)
    40. huveyyapāvuso (sī. pī.), huveyyāvuso (syā.)
    41. อญฺญมญฺญํ กติกํ สณฺฐเปสุํ (วินยปิฎเก มหาวเคฺค)
    42. พาหุลิโก (สี. ปี.) สารตฺถทีปนีฎีกาย สเมติ
    43. aññamaññaṃ katikaṃ saṇṭhapesuṃ (vinayapiṭake mahāvagge)
    44. bāhuliko (sī. pī.) sāratthadīpanīṭīkāya sameti
    45. สมุทาจริตฺถ (สี. สฺยา. ปี.)
    46. samudācarittha (sī. syā. pī.)
    47. ภาสิตเมตนฺติ (สี. สฺยา. วินเยปิ)
    48. bhāsitametanti (sī. syā. vinayepi)
    49. ฉพฺพคฺคา (สี. สฺยา.)
    50. อกุปฺปา เนสํ วิมุตฺติ (ก.)
    51. chabbaggā (sī. syā.)
    52. akuppā nesaṃ vimutti (ka.)
    53. ปาปิมโต’’ติ (?)
    54. pāpimato’’ti (?)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๖. ปาสราสิสุตฺตวณฺณนา • 6. Pāsarāsisuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๖. ปาสราสิสุตฺตวณฺณนา • 6. Pāsarāsisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact