Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๖. ปาสราสิสุตฺตวณฺณนา

    6. Pāsarāsisuttavaṇṇanā

    ๒๗๒. เอวํ เม สุตนฺติ ปาสราสิสุตฺตํฯ ตตฺถ สาธุ มยํ, อาวุโสติ อายาจนฺตา ภณนฺติฯ เอเต กิร ปญฺจสตา ภิกฺขู ชนปทวาสิโน ‘‘ทสพลํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ สาวตฺถิํ อนุปฺปตฺตาฯ สตฺถุทสฺสนํ ปน เอเตหิ ลทฺธํ, ธมฺมิํ กถํ น ตาว สุณนฺติฯ เต สตฺถุคารเวน ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต , ธมฺมกถํ กเถถา’’ติ วตฺตุํ น สโกฺกนฺติฯ พุทฺธา หิ ครู โหนฺติ, เอกจาริโก สีโห มิคราชา วิย, ปภินฺนกุญฺชโร วิย, ผณกตอาสีวิโส วิย, มหาอคฺคิกฺขโนฺธ วิย จ ทุราสทา วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    272.Evaṃme sutanti pāsarāsisuttaṃ. Tattha sādhu mayaṃ, āvusoti āyācantā bhaṇanti. Ete kira pañcasatā bhikkhū janapadavāsino ‘‘dasabalaṃ passissāmā’’ti sāvatthiṃ anuppattā. Satthudassanaṃ pana etehi laddhaṃ, dhammiṃ kathaṃ na tāva suṇanti. Te satthugāravena ‘‘amhākaṃ, bhante , dhammakathaṃ kathethā’’ti vattuṃ na sakkonti. Buddhā hi garū honti, ekacāriko sīho migarājā viya, pabhinnakuñjaro viya, phaṇakataāsīviso viya, mahāaggikkhandho viya ca durāsadā vuttampi cetaṃ –

    ‘‘อาสีวิโส ยถา โฆโร, มิคราชาว เกสรี;

    ‘‘Āsīviso yathā ghoro, migarājāva kesarī;

    นาโคว กุญฺชโร ทนฺตี, เอวํ พุทฺธา ทุราสทา’’ติฯ

    Nāgova kuñjaro dantī, evaṃ buddhā durāsadā’’ti.

    เอวํ ทุราสทํ สตฺถารํ เต ภิกฺขู สยํ ยาจิตุํ อสโกฺกนฺตา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ยาจมานา ‘‘สาธุ มยํ, อาวุโส’’ติ อาหํสุฯ

    Evaṃ durāsadaṃ satthāraṃ te bhikkhū sayaṃ yācituṃ asakkontā āyasmantaṃ ānandaṃ yācamānā ‘‘sādhu mayaṃ, āvuso’’ti āhaṃsu.

    อเปฺปว นามาติ อปิ นาม ลเภยฺยาถฯ กสฺมา ปน เถโร เต ภิกฺขู ‘‘รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสมํ อุปสงฺกเมยฺยาถา’’ติ อาห? ปากฎกิริยตายฯ ทสพลสฺส หิ กิริยา เถรสฺส ปากฎา โหติ; ชานาติ เถโร, ‘‘อชฺช สตฺถา เชตวเน วสิตฺวา ปุพฺพาราเม ทิวาวิหารํ กริสฺสติ; อชฺช ปุพฺพาราเม วสิตฺวา เชตวเน ทิวาวิหารํ กริสฺสติ; อชฺช เอกโกว ปิณฺฑาย ปวิสิสฺสติ; อชฺช ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อิมสฺมิํ กาเล ชนปทจาริกํ นิกฺขมิสฺสตี’’ติฯ กิํ ปนสฺส เอวํ ชานนตฺถํ เจโตปริยญาณํ อตฺถีติ? นตฺถิฯ อนุมานพุทฺธิยา ปน กตกิริยาย นยคฺคาเหน ชานาติฯ ยญฺหิ ทิวสํ ภควา เชตวเน วสิตฺวา ปุพฺพาราเม ทิวาวิหารํ กาตุกาโม โหติ, ตทา เสนาสนปริกฺขารภณฺฑานํ ปฎิสามนาการํ ทเสฺสติ, เถโร สมฺมชฺชนิสงฺการฉฑฺฑนกาทีนิ ปฎิสาเมติฯ ปุพฺพาราเม วสิตฺวา เชตวนํ ทิวาวิหาราย อาคมนกาเลปิ เอเสว นโยฯ

    Appeva nāmāti api nāma labheyyātha. Kasmā pana thero te bhikkhū ‘‘rammakassa brāhmaṇassa assamaṃ upasaṅkameyyāthā’’ti āha? Pākaṭakiriyatāya. Dasabalassa hi kiriyā therassa pākaṭā hoti; jānāti thero, ‘‘ajja satthā jetavane vasitvā pubbārāme divāvihāraṃ karissati; ajja pubbārāme vasitvā jetavane divāvihāraṃ karissati; ajja ekakova piṇḍāya pavisissati; ajja bhikkhusaṅghaparivuto imasmiṃ kāle janapadacārikaṃ nikkhamissatī’’ti. Kiṃ panassa evaṃ jānanatthaṃ cetopariyañāṇaṃ atthīti? Natthi. Anumānabuddhiyā pana katakiriyāya nayaggāhena jānāti. Yañhi divasaṃ bhagavā jetavane vasitvā pubbārāme divāvihāraṃ kātukāmo hoti, tadā senāsanaparikkhārabhaṇḍānaṃ paṭisāmanākāraṃ dasseti, thero sammajjanisaṅkārachaḍḍanakādīni paṭisāmeti. Pubbārāme vasitvā jetavanaṃ divāvihārāya āgamanakālepi eseva nayo.

    ยทา ปน เอกโก ปิณฺฑาย ปวิสิตุกาโม โหติ, ตทา ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ทฺวารํ ปิธาย ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทติฯ เถโร ‘‘อชฺช ภควา โพธเนยฺยพนฺธวํ ทิสฺวา นิสิโนฺน’’ติ ตาย สญฺญาย ญตฺวา ‘‘อชฺช, อาวุโส, ภควา เอกโก ปวิสิตุกาโม, ตุเมฺห ภิกฺขาจารสชฺชา โหถา’’ติ ภิกฺขูนํ สญฺญํ เทติฯ ยทา ปน ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร ปวิสิตุกาโม โหติ, ตทา คนฺธกุฎิทฺวารํ อุปฑฺฒปิทหิตํ กตฺวา ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทติ, เถโร ตาย สญฺญาย ญตฺวา ปตฺตจีวรคฺคหณตฺถาย ภิกฺขูนํ สญฺญํ เทติฯ ยทา ชนปทจาริกํ นิกฺขมิตุกาโม โหติ, ตทา เอกํ เทฺว อาโลเป อติเรกํ ภุญฺชติ, สพฺพกาลํ จงฺกมนญฺจารุยฺห อปราปรํ จงฺกมติ, เถโร ตาย สญฺญาย ญตฺวา ‘‘ภควา, อาวุโส, ชนปทจาริกํ จริตุกาโม, ตุมฺหากํ กตฺตพฺพํ กโรถา’’ติ ภิกฺขูนํ สญฺญํ เทติฯ

    Yadā pana ekako piṇḍāya pavisitukāmo hoti, tadā pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā gandhakuṭiṃ pavisitvā dvāraṃ pidhāya phalasamāpattiṃ appetvā nisīdati. Thero ‘‘ajja bhagavā bodhaneyyabandhavaṃ disvā nisinno’’ti tāya saññāya ñatvā ‘‘ajja, āvuso, bhagavā ekako pavisitukāmo, tumhe bhikkhācārasajjā hothā’’ti bhikkhūnaṃ saññaṃ deti. Yadā pana bhikkhusaṅghaparivāro pavisitukāmo hoti, tadā gandhakuṭidvāraṃ upaḍḍhapidahitaṃ katvā phalasamāpattiṃ appetvā nisīdati, thero tāya saññāya ñatvā pattacīvaraggahaṇatthāya bhikkhūnaṃ saññaṃ deti. Yadā janapadacārikaṃ nikkhamitukāmo hoti, tadā ekaṃ dve ālope atirekaṃ bhuñjati, sabbakālaṃ caṅkamanañcāruyha aparāparaṃ caṅkamati, thero tāya saññāya ñatvā ‘‘bhagavā, āvuso, janapadacārikaṃ caritukāmo, tumhākaṃ kattabbaṃ karothā’’ti bhikkhūnaṃ saññaṃ deti.

    ภควา ปฐมโพธิยํ วีสติ วสฺสานิ อนิพทฺธวาโส อโหสิ, ปจฺฉา ปญฺจวีสติ วสฺสานิ อโพฺพกิณฺณํ สาวตฺถิํเยว อุปนิสฺสาย วสโนฺต เอกทิวเส เทฺว ฐานานิ ปริภุญฺชติฯ เชตวเน รตฺติํ วสิตฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ทกฺขิณทฺวาเรน สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ปุพฺพาราเม ทิวาวิหารํ กโรติฯ ปุพฺพาราเม รตฺติํ วสิตฺวา ปุนทิวเส ปาจีนทฺวาเรน สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา ทกฺขิณทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา เชตวเน ทิวาวิหารํ กโรติฯ กสฺมา? ทฺวินฺนํ กุลานํ อนุกมฺปายฯ มนุสฺสตฺตภาเว ฐิเตน หิ อนาถปิณฺฑิเกน วิย อเญฺญน เกนจิ, มาตุคามตฺตภาเว ฐิตาย จ วิสาขาย วิย อญฺญาย อิตฺถิยา ตถาคตํ อุทฺทิสฺส ธนปริจฺจาโค กโต นาม นตฺถิ, ตสฺมา ภควา เตสํ อนุกมฺปาย เอกทิวเส อิมานิ เทฺว ฐานานิ ปริภุญฺชติฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส เชตวเน วสิ, ตสฺมา เถโร – ‘‘อชฺช ภควา สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา สายนฺหกาเล คตฺตานิ ปริสิญฺจนตฺถาย ปุพฺพโกฎฺฐกํ คมิสฺสติ; อถาหํ คตฺตานิ ปริสิญฺจิตฺวา ฐิตํ ภควนฺตํ ยาจิตฺวา รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสมํ คเหตฺวา คมิสฺสามิฯ เอวมิเม ภิกฺขู ภควโต สมฺมุขา ลภิสฺสนฺติ ธมฺมกถํ สวนายา’’ติ จิเนฺตตฺวา เต ภิกฺขู เอวมาหฯ

    Bhagavā paṭhamabodhiyaṃ vīsati vassāni anibaddhavāso ahosi, pacchā pañcavīsati vassāni abbokiṇṇaṃ sāvatthiṃyeva upanissāya vasanto ekadivase dve ṭhānāni paribhuñjati. Jetavane rattiṃ vasitvā punadivase bhikkhusaṅghaparivuto dakkhiṇadvārena sāvatthiṃ piṇḍāya pavisitvā pācīnadvārena nikkhamitvā pubbārāme divāvihāraṃ karoti. Pubbārāme rattiṃ vasitvā punadivase pācīnadvārena sāvatthiṃ piṇḍāya pavisitvā dakkhiṇadvārena nikkhamitvā jetavane divāvihāraṃ karoti. Kasmā? Dvinnaṃ kulānaṃ anukampāya. Manussattabhāve ṭhitena hi anāthapiṇḍikena viya aññena kenaci, mātugāmattabhāve ṭhitāya ca visākhāya viya aññāya itthiyā tathāgataṃ uddissa dhanapariccāgo kato nāma natthi, tasmā bhagavā tesaṃ anukampāya ekadivase imāni dve ṭhānāni paribhuñjati. Tasmiṃ pana divase jetavane vasi, tasmā thero – ‘‘ajja bhagavā sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā sāyanhakāle gattāni parisiñcanatthāya pubbakoṭṭhakaṃ gamissati; athāhaṃ gattāni parisiñcitvā ṭhitaṃ bhagavantaṃ yācitvā rammakassa brāhmaṇassa assamaṃ gahetvā gamissāmi. Evamime bhikkhū bhagavato sammukhā labhissanti dhammakathaṃ savanāyā’’ti cintetvā te bhikkhū evamāha.

    มิคารมาตุปาสาโทติ วิสาขาย ปาสาโทฯ สา หิ มิคาเรน เสฎฺฐินา มาตุฎฺฐาเน ฐปิตตฺตา มิคารมาตาติ วุจฺจติฯ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโตติ ตสฺมิํ กิร ปาสาเท ทฺวินฺนํ มหาสาวกานํ สิริคพฺภานํ มเชฺฌ ภควโต สิริคโพฺภ อโหสิฯ เถโร ทฺวารํ วิวริตฺวา อโนฺตคพฺภํ สมฺมชฺชิตฺวา มาลากจวรํ นีหริตฺวา มญฺจปีฐํ ปญฺญเปตฺวา สตฺถุ สญฺญํ อทาสิฯ สตฺถา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน สีหเสยฺยํ อุปคมฺม ทรถํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา อุฎฺฐาย ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทิตฺวา สายนฺหสมเย ตโต วุฎฺฐาสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต’’ติฯ

    Migāramātupāsādoti visākhāya pāsādo. Sā hi migārena seṭṭhinā mātuṭṭhāne ṭhapitattā migāramātāti vuccati. Paṭisallānā vuṭṭhitoti tasmiṃ kira pāsāde dvinnaṃ mahāsāvakānaṃ sirigabbhānaṃ majjhe bhagavato sirigabbho ahosi. Thero dvāraṃ vivaritvā antogabbhaṃ sammajjitvā mālākacavaraṃ nīharitvā mañcapīṭhaṃ paññapetvā satthu saññaṃ adāsi. Satthā sirigabbhaṃ pavisitvā dakkhiṇena passena sato sampajāno sīhaseyyaṃ upagamma darathaṃ paṭippassambhetvā uṭṭhāya phalasamāpattiṃ appetvā nisīditvā sāyanhasamaye tato vuṭṭhāsi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘paṭisallānā vuṭṭhito’’ti.

    ปริสิญฺจิตุนฺติ โย หิ จุณฺณมตฺติกาทีหิ คตฺตานิ อุพฺพเฎฺฎโนฺต มลฺลกมุฎฺฐาทีหิ วา ฆํสโนฺต นฺหายติ, โส นฺหายตีติ วุจฺจติฯ โย ตถา อกตฺวา ปกติยาว นฺหายติ, โส ปริสิญฺจตีติ วุจฺจติฯ ภควโตปิ สรีเร ตถา หริตพฺพํ รโชชลฺลํ นาม น อุปลิมฺปติ, อุตุคฺคหณตฺถํ ปน ภควา เกวลํ อุทกํ โอตรติฯ เตนาห – ‘‘คตฺตานิ ปริสิญฺจิตุ’’นฺติฯ ปุพฺพโกฎฺฐโกติ ปาจีนโกฎฺฐโกฯ

    Parisiñcitunti yo hi cuṇṇamattikādīhi gattāni ubbaṭṭento mallakamuṭṭhādīhi vā ghaṃsanto nhāyati, so nhāyatīti vuccati. Yo tathā akatvā pakatiyāva nhāyati, so parisiñcatīti vuccati. Bhagavatopi sarīre tathā haritabbaṃ rajojallaṃ nāma na upalimpati, utuggahaṇatthaṃ pana bhagavā kevalaṃ udakaṃ otarati. Tenāha – ‘‘gattāni parisiñcitu’’nti. Pubbakoṭṭhakoti pācīnakoṭṭhako.

    สาวตฺถิยํ กิร วิหาโร กทาจิ มหา โหติ กทาจิ ขุทฺทโกฯ ตถา หิ โส วิปสฺสิสฺส ภควโต กาเล โยชนิโก อโหสิ, สิขิสฺส ติคาวุโต, เวสฺสภุสฺส อฑฺฒโยชนิโก, กกุสนฺธสฺส คาวุตปฺปมาโณ, โกณาคมนสฺส อฑฺฒคาวุตปฺปมาโณ, กสฺสปสฺส วีสติอุสภปฺปมาโณ, อมฺหากํ ภควโต กาเล อฎฺฐกรีสปฺปมาโณ ชาโตฯ ตมฺปิ นครํ ตสฺส วิหารสฺส กทาจิ ปาจีนโต โหติ, กทาจิ ทกฺขิณโต, กทาจิ ปจฺฉิมโต, กทาจิ อุตฺตรโตฯ เชตวเน คนฺธกุฎิยํ ปน จตุนฺนํ มญฺจปาทานํ ปติฎฺฐิตฎฺฐานํ อจลเมวฯ

    Sāvatthiyaṃ kira vihāro kadāci mahā hoti kadāci khuddako. Tathā hi so vipassissa bhagavato kāle yojaniko ahosi, sikhissa tigāvuto, vessabhussa aḍḍhayojaniko, kakusandhassa gāvutappamāṇo, koṇāgamanassa aḍḍhagāvutappamāṇo, kassapassa vīsatiusabhappamāṇo, amhākaṃ bhagavato kāle aṭṭhakarīsappamāṇo jāto. Tampi nagaraṃ tassa vihārassa kadāci pācīnato hoti, kadāci dakkhiṇato, kadāci pacchimato, kadāci uttarato. Jetavane gandhakuṭiyaṃ pana catunnaṃ mañcapādānaṃ patiṭṭhitaṭṭhānaṃ acalameva.

    จตฺตาริ หิ อจลเจติยฎฺฐานานิ นาม มหาโพธิปลฺลงฺกฎฺฐานํ อิสิปตเน ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนฎฺฐานํ สงฺกสฺสนครทฺวาเร เทโวโรหณกาเล โสปานสฺส ปติฎฺฐฎฺฐานํ มญฺจปาทฎฺฐานนฺติฯ อยํ ปน ปุพฺพโกฎฺฐโก กสฺสปทสพลสฺส วีสติอุสภวิหารกาเล ปาจีนทฺวาเร โกฎฺฐโก อโหสิฯ โส อิทานิปิ ปุพฺพโกฎฺฐโกเตฺวว ปญฺญายติฯ กสฺสปทสพลสฺส กาเล อจิรวตี นครํ ปริกฺขิปิตฺวา สนฺทมานา ปุพฺพโกฎฺฐกํ ปตฺวา อุทเกน ภินฺทิตฺวา มหนฺตํ อุทกรหทํ มาเปสิ สมติตฺถํ อนุปุพฺพคมฺภีรํฯ ตตฺถ เอกํ รโญฺญ นฺหานติตฺถํ, เอกํ นาครานํ, เอกํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส, เอกํ พุทฺธานนฺติ เอวํ ปาฎิเยกฺกานิ นฺหานติตฺถานิ โหนฺติ รมณียานิ วิปฺปกิณฺณรชตปฎฺฎสทิสวาลิกานิฯ อิติ ภควา อายสฺมตา อานเนฺทน สทฺธิํ เยน อยํ เอวรูโป ปุพฺพโกฎฺฐโก เตนุปสงฺกมิ คตฺตานิ ปริสิญฺจิตุํ ฯ อถายสฺมา อานโนฺท อุทกสาฎิกํ อุปเนสิฯ ภควา รตฺตทุปฎฺฎํ อปเนตฺวา อุทกสาฎิกํ นิวาเสสิฯ เถโร ทุปเฎฺฎน สทฺธิํ มหาจีวรํ อตฺตโน หตฺถคตมกาสิฯ ภควา อุทกํ โอตริฯ สโหตรเณเนวสฺส อุทเก มจฺฉกจฺฉปา สเพฺพ สุวณฺณวณฺณา อเหสุํฯ ยนฺตนาลิกาหิ สุวณฺณรสธารานิสิญฺจมานกาโล วิย สุวณฺณปฎปสารณกาโล วิย จ อโหสิฯ อถ ภควโต นฺหานวตฺตํ ทเสฺสตฺวา นฺหตฺวา ปจฺจุตฺติณฺณสฺส เถโร รตฺตทุปฎฺฎํ อุปเนสิฯ ภควา ตํ นิวาเสตฺวา วิชฺชุลตาสทิสํ กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา มหาจีวรํ อนฺตเนฺตน สํหริตฺวา ปทุมคพฺภสทิสํ กตฺวา อุปนีตํ ทฺวีสุ กเณฺณสุ คเหตฺวา อฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปุพฺพโกฎฺฐเก คตฺตานิ ปริสิญฺจิตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา เอกจีวโร อฎฺฐาสี’’ติฯ

    Cattāri hi acalacetiyaṭṭhānāni nāma mahābodhipallaṅkaṭṭhānaṃ isipatane dhammacakkappavattanaṭṭhānaṃ saṅkassanagaradvāre devorohaṇakāle sopānassa patiṭṭhaṭṭhānaṃ mañcapādaṭṭhānanti. Ayaṃ pana pubbakoṭṭhako kassapadasabalassa vīsatiusabhavihārakāle pācīnadvāre koṭṭhako ahosi. So idānipi pubbakoṭṭhakotveva paññāyati. Kassapadasabalassa kāle aciravatī nagaraṃ parikkhipitvā sandamānā pubbakoṭṭhakaṃ patvā udakena bhinditvā mahantaṃ udakarahadaṃ māpesi samatitthaṃ anupubbagambhīraṃ. Tattha ekaṃ rañño nhānatitthaṃ, ekaṃ nāgarānaṃ, ekaṃ bhikkhusaṅghassa, ekaṃ buddhānanti evaṃ pāṭiyekkāni nhānatitthāni honti ramaṇīyāni vippakiṇṇarajatapaṭṭasadisavālikāni. Iti bhagavā āyasmatā ānandena saddhiṃ yena ayaṃ evarūpo pubbakoṭṭhako tenupasaṅkami gattāni parisiñcituṃ . Athāyasmā ānando udakasāṭikaṃ upanesi. Bhagavā rattadupaṭṭaṃ apanetvā udakasāṭikaṃ nivāsesi. Thero dupaṭṭena saddhiṃ mahācīvaraṃ attano hatthagatamakāsi. Bhagavā udakaṃ otari. Sahotaraṇenevassa udake macchakacchapā sabbe suvaṇṇavaṇṇā ahesuṃ. Yantanālikāhi suvaṇṇarasadhārānisiñcamānakālo viya suvaṇṇapaṭapasāraṇakālo viya ca ahosi. Atha bhagavato nhānavattaṃ dassetvā nhatvā paccuttiṇṇassa thero rattadupaṭṭaṃ upanesi. Bhagavā taṃ nivāsetvā vijjulatāsadisaṃ kāyabandhanaṃ bandhitvā mahācīvaraṃ antantena saṃharitvā padumagabbhasadisaṃ katvā upanītaṃ dvīsu kaṇṇesu gahetvā aṭṭhāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘pubbakoṭṭhake gattāni parisiñcitvā paccuttaritvā ekacīvaro aṭṭhāsī’’ti.

    เอวํ ฐิตสฺส ปน ภควโต สรีรํ วิกสิตกมลุปฺปลสรํ สพฺพปาลิผุลฺลํ ปาริจฺฉตฺตกํ ตารามรีจิวิกสิตํ จ คคนตลํ สิริยา อวหสมานํ วิย วิโรจิตฺถฯ พฺยามปฺปภาปริเกฺขปวิลาสินี จสฺส ทฺวตฺติํสวรลกฺขณมาลา คเนฺถตฺวา ฐปิตา ทฺวตฺติํสจนฺทมาลา วิย, ทฺวตฺติํสสูริยมาลา วิย, ปฎิปาฎิยา ฐปิตา ทฺวตฺติํสจกฺกวตฺติ ทฺวตฺติํสเทวราชา ทฺวตฺติํสมหาพฺรหฺมาโน วิย จ อติวิย วิโรจิตฺถ, วณฺณภูมินาเมสาฯ เอวรูเปสุ ฐาเนสุ พุทฺธานํ สรีรวณฺณํ วา คุณวณฺณํ วา จุณฺณิยปเทหิ วา คาถาหิ วา อตฺถญฺจ อุปมาโย จ การณานิ จ อาหริตฺวา ปฎิพเลน ธมฺมกถิเกน ปูเรตฺวา กเถตุํ วฎฺฎตีติ เอวรูเปสุ ฐาเนสุ ธมฺมกถิกสฺส ถาโม เวทิตโพฺพฯ

    Evaṃ ṭhitassa pana bhagavato sarīraṃ vikasitakamaluppalasaraṃ sabbapāliphullaṃ pāricchattakaṃ tārāmarīcivikasitaṃ ca gaganatalaṃ siriyā avahasamānaṃ viya virocittha. Byāmappabhāparikkhepavilāsinī cassa dvattiṃsavaralakkhaṇamālā ganthetvā ṭhapitā dvattiṃsacandamālā viya, dvattiṃsasūriyamālā viya, paṭipāṭiyā ṭhapitā dvattiṃsacakkavatti dvattiṃsadevarājā dvattiṃsamahābrahmāno viya ca ativiya virocittha, vaṇṇabhūmināmesā. Evarūpesu ṭhānesu buddhānaṃ sarīravaṇṇaṃ vā guṇavaṇṇaṃ vā cuṇṇiyapadehi vā gāthāhi vā atthañca upamāyo ca kāraṇāni ca āharitvā paṭibalena dhammakathikena pūretvā kathetuṃ vaṭṭatīti evarūpesu ṭhānesu dhammakathikassa thāmo veditabbo.

    ๒๗๓. คตฺตานิ ปุพฺพาปยมาโนติ ปกติภาวํ คมยมาโน นิรุทกานิ กุรุมาโน, สุกฺขาปยมาโนติ อโตฺถฯ โสทเกน คเตฺตน จีวรํ ปารุปนฺตสฺส หิ จีวเร กณฺณิกา อุฎฺฐหนฺติ, ปริกฺขารภณฺฑํ ทุสฺสติฯ พุทฺธานํ ปน สรีเร รโชชลฺลํ น อุปลิมฺปติ; ปทุมปเตฺต ปกฺขิตฺตอุทกพินฺทุ วิย อุทกํ วินิวเตฺตตฺวา คจฺฉติ, เอวํ สเนฺตปิ สิกฺขาคารวตาย ภควา, ‘‘ปพฺพชิตวตฺตํ นาเมต’’นฺติ มหาจีวรํ อุโภสุ กเณฺณสุ คเหตฺวา ปุรโต กายํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘ภควา มหาจีวรํ ปารุปิตฺวา มิคารมาตุปาสาทํ อารพฺภ คมนาภิหารโต ปฎฺฐาย ทุนฺนิวตฺติโย ภวิสฺสติ; พุทฺธานญฺหิ อธิปฺปายโกปนํ นาม เอกจาริกสีหสฺส คหณตฺถํ หตฺถปฺปสารณํ วิย; ปภินฺนวรวารณสฺส โสณฺฑาย ปรามสนํ วิย; อุคฺคเตชสฺส อาสีวิสสฺส คีวาย คหณํ วิย จ ภาริยํ โหติฯ อิเธว รมฺมกสฺส พฺราหฺมณสฺส อสฺสมสฺส วณฺณํ กเถตฺวา ตตฺถ คมนตฺถาย ภควนฺตํ ยาจิสฺสามี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อายสฺมา อานโนฺท…เป.… อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติฯ

    273.Gattāni pubbāpayamānoti pakatibhāvaṃ gamayamāno nirudakāni kurumāno, sukkhāpayamānoti attho. Sodakena gattena cīvaraṃ pārupantassa hi cīvare kaṇṇikā uṭṭhahanti, parikkhārabhaṇḍaṃ dussati. Buddhānaṃ pana sarīre rajojallaṃ na upalimpati; padumapatte pakkhittaudakabindu viya udakaṃ vinivattetvā gacchati, evaṃ santepi sikkhāgāravatāya bhagavā, ‘‘pabbajitavattaṃ nāmeta’’nti mahācīvaraṃ ubhosu kaṇṇesu gahetvā purato kāyaṃ paṭicchādetvā aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe thero cintesi – ‘‘bhagavā mahācīvaraṃ pārupitvā migāramātupāsādaṃ ārabbha gamanābhihārato paṭṭhāya dunnivattiyo bhavissati; buddhānañhi adhippāyakopanaṃ nāma ekacārikasīhassa gahaṇatthaṃ hatthappasāraṇaṃ viya; pabhinnavaravāraṇassa soṇḍāya parāmasanaṃ viya; uggatejassa āsīvisassa gīvāya gahaṇaṃ viya ca bhāriyaṃ hoti. Idheva rammakassa brāhmaṇassa assamassa vaṇṇaṃ kathetvā tattha gamanatthāya bhagavantaṃ yācissāmī’’ti. So tathā akāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho āyasmā ānando…pe… anukampaṃ upādāyā’’ti.

    ตตฺถ อนุกมฺปํ อุปาทายาติ ภควโต สมฺมุขา ธมฺมิํ กถํ โสสฺสามาติ ตํ อสฺสมํ คตานํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ, เตสุ การุญฺญํ กตฺวาติ อโตฺถฯ ธมฺมิยา กถายาติ ทสสุ ปารมิตาสุ อญฺญตราย ปารมิยา เจว มหาภินิกฺขมนสฺส จ วณฺณํ กถยมานา สนฺนิสินฺนา โหนฺติฯ อาคมยมาโนติ โอโลกยมาโนฯ อหํ พุโทฺธติ สหสา อปฺปวิสิตฺวา ยาว สา กถา นิฎฺฐาติ, ตาว อฎฺฐาสีติ อโตฺถฯ อคฺคฬํ อาโกเฎสีติ อคฺคนเขน กวาเฎ สญฺญํ อทาสิฯ วิวริํสูติ โสตํ โอทหิตฺวาว นิสินฺนตฺตา ตงฺขณํเยว อาคนฺตฺวา วิวริํสุฯ

    Tattha anukampaṃ upādāyāti bhagavato sammukhā dhammiṃ kathaṃ sossāmāti taṃ assamaṃ gatānaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ anukampaṃ paṭicca, tesu kāruññaṃ katvāti attho. Dhammiyā kathāyāti dasasu pāramitāsu aññatarāya pāramiyā ceva mahābhinikkhamanassa ca vaṇṇaṃ kathayamānā sannisinnā honti. Āgamayamānoti olokayamāno. Ahaṃ buddhoti sahasā appavisitvā yāva sā kathā niṭṭhāti, tāva aṭṭhāsīti attho. Aggaḷaṃ ākoṭesīti agganakhena kavāṭe saññaṃ adāsi. Vivariṃsūti sotaṃ odahitvāva nisinnattā taṅkhaṇaṃyeva āgantvā vivariṃsu.

    ปญฺญเตฺต อาสเนติ พุทฺธกาเล กิร ยตฺถ ยตฺถ เอโกปิ ภิกฺขุ วิหรติ, สพฺพตฺถ พุทฺธาสนํ ปญฺญตฺตเมว โหติฯ กสฺมา? ภควา กิร อตฺตโน สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ผาสุกฎฺฐาเน วิหรเนฺต มนสิ กโรติ ‘‘อสุโก มยฺหํ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คโต, สกฺขิสฺสติ นุ โข วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ โน วา’’ติฯ อถ นํ ปสฺสติ กมฺมฎฺฐานํ วิสฺสเชฺชตฺวา อกุสลวิตเกฺก วิตกฺกยมานํ, ตโต ‘‘กถญฺหิ นาม มาทิสสฺส สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิหรนฺตํ อิมํ กุลปุตฺตํ อกุสลวิตกฺกา อภิภวิตฺวา อนมตเคฺค วฎฺฎทุเกฺข สํสาเรสฺสนฺตี’’ติ ตสฺส อนุคฺคหตฺถํ ตเตฺถว อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา ตํ กุลปุตฺตํ โอวทิตฺวา อากาสํ อุปฺปติตฺวา ปุน อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คจฺฉติฯ อเถวํ โอวทิยมานา เต ภิกฺขู จินฺตยิํสุ – ‘‘สตฺถา อมฺหากํ มนํ ชานิตฺวา อาคนฺตฺวา อมฺหากํ สมีเป ฐิตํเยว อตฺตานํ ทเสฺสติ; ตสฺมิํ ขเณ, ‘ภเนฺต, อิธ นิสีทถ, อิธ นิสีทถา’ติ อาสนปริเยสนํ นาม ภาโร’’ติฯ เต อาสนํ ปญฺญเปตฺวาว วิหรนฺติฯ ยสฺส ปีฐํ อตฺถิ, โส ตํ ปญฺญเปติฯ ยสฺส นตฺถิ, โส มญฺจํ วา ผลกํ วา กฎฺฐํ วา ปาสาณํ วา วาลิกปุญฺชํ วา ปญฺญเปติฯ ตํ อลภมานา ปุราณปณฺณานิปิ สงฺกฑฺฒิตฺวา ตตฺถ ปํสุกูลํ ปตฺถริตฺวา ฐเปนฺติฯ อิธ ปน ปกติปญฺญตฺตเมว อาสนํ อโหสิ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีที’’ติฯ

    Paññatte āsaneti buddhakāle kira yattha yattha ekopi bhikkhu viharati, sabbattha buddhāsanaṃ paññattameva hoti. Kasmā? Bhagavā kira attano santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā phāsukaṭṭhāne viharante manasi karoti ‘‘asuko mayhaṃ santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā gato, sakkhissati nu kho visesaṃ nibbattetuṃ no vā’’ti. Atha naṃ passati kammaṭṭhānaṃ vissajjetvā akusalavitakke vitakkayamānaṃ, tato ‘‘kathañhi nāma mādisassa satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā viharantaṃ imaṃ kulaputtaṃ akusalavitakkā abhibhavitvā anamatagge vaṭṭadukkhe saṃsāressantī’’ti tassa anuggahatthaṃ tattheva attānaṃ dassetvā taṃ kulaputtaṃ ovaditvā ākāsaṃ uppatitvā puna attano vasanaṭṭhānameva gacchati. Athevaṃ ovadiyamānā te bhikkhū cintayiṃsu – ‘‘satthā amhākaṃ manaṃ jānitvā āgantvā amhākaṃ samīpe ṭhitaṃyeva attānaṃ dasseti; tasmiṃ khaṇe, ‘bhante, idha nisīdatha, idha nisīdathā’ti āsanapariyesanaṃ nāma bhāro’’ti. Te āsanaṃ paññapetvāva viharanti. Yassa pīṭhaṃ atthi, so taṃ paññapeti. Yassa natthi, so mañcaṃ vā phalakaṃ vā kaṭṭhaṃ vā pāsāṇaṃ vā vālikapuñjaṃ vā paññapeti. Taṃ alabhamānā purāṇapaṇṇānipi saṅkaḍḍhitvā tattha paṃsukūlaṃ pattharitvā ṭhapenti. Idha pana pakatipaññattameva āsanaṃ ahosi, taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘paññatte āsane nisīdī’’ti.

    กาย นุตฺถาติ กตมาย นุ กถาย สนฺนิสินฺนา ภวถาติ อโตฺถฯ ‘‘กาย เนตฺถา’’ติปิ ปาฬิ, ตสฺสา กตมาย นุ เอตฺถาติ อโตฺถฯ ‘‘กาย โนตฺถา’’ติปิ ปาฬิ, ตสฺสาปิ ปุริโมเยว อโตฺถฯ อนฺตรา กถาติ กมฺมฎฺฐานมนสิการอุเทฺทสปริปุจฺฉาทีนํ อนฺตรา อญฺญา เอกา กถาฯ วิปฺปกตาติ มม อาคมนปจฺจยา อปรินิฎฺฐิตา สิขํ อปฺปตฺตาฯ อถ ภควา อนุปฺปโตฺตติ อถ เอตสฺมิํ กาเล ภควา อาคโตฯ ธมฺมี วา กถาติ ทสกถาวตฺถุนิสฺสิตา วา ธมฺมี กถาฯ อริโย วา ตุณฺหีภาโวติ เอตฺถ ปน ทุติยชฺฌานมฺปิ อริโย ตุณฺหีภาโว มูลกมฺมฎฺฐานมฺปิฯ ตสฺมา ตํ ฌานํ อเปฺปตฺวา นิสิโนฺนปิ, มูลกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา นิสิโนฺนปิ ภิกฺขุ อริเยน ตุณฺหีภาเวน นิสิโนฺนติ เวทิตโพฺพฯ

    Kāyanutthāti katamāya nu kathāya sannisinnā bhavathāti attho. ‘‘Kāya netthā’’tipi pāḷi, tassā katamāya nu etthāti attho. ‘‘Kāya notthā’’tipi pāḷi, tassāpi purimoyeva attho. Antarā kathāti kammaṭṭhānamanasikārauddesaparipucchādīnaṃ antarā aññā ekā kathā. Vippakatāti mama āgamanapaccayā apariniṭṭhitā sikhaṃ appattā. Atha bhagavā anuppattoti atha etasmiṃ kāle bhagavā āgato. Dhammī vā kathāti dasakathāvatthunissitā vā dhammī kathā. Ariyo vā tuṇhībhāvoti ettha pana dutiyajjhānampi ariyo tuṇhībhāvo mūlakammaṭṭhānampi. Tasmā taṃ jhānaṃ appetvā nisinnopi, mūlakammaṭṭhānaṃ gahetvā nisinnopi bhikkhu ariyena tuṇhībhāvena nisinnoti veditabbo.

    ๒๗๔. เทฺวมา, ภิกฺขเว, ปริเยสนาติ โก อนุสนฺธิ? เต ภิกฺขู สมฺมุขา ธมฺมิํ กถํ โสสฺสามาติ เถรสฺส ภารํ อกํสุ, เถโร เตสํ อสฺสมคมนมกาสิฯ เต ตตฺถ นิสีทิตฺวา อติรจฺฉานกถิกา หุตฺวา ธมฺมิยา กถาย นิสีทิํสุฯ อถ ภควา ‘‘อยํ ตุมฺหากํ ปริเยสนา อริยปริเยสนา นามา’’ติ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ กตมา จ, ภิกฺขเว, อนริยปริเยสนาติ เอตฺถ ยถา มคฺคกุสโล ปุริโส ปฐมํ วเชฺชตพฺพํ อปายมคฺคํ ทเสฺสโนฺต ‘‘วามํ มุญฺจิตฺวา ทกฺขิณํ คณฺหา’’ติ วทติฯ เอวํ ภควา เทสนากุสลตาย ปฐมํ วเชฺชตพฺพํ อนริยปริเยสนํ อาจิกฺขิตฺวา ปจฺฉา อิตรํ อาจิกฺขิสฺสามีติ อุเทฺทสานุกฺกมํ ภินฺทิตฺวา เอวมาหฯ ชาติธโมฺมติ ชายนสภาโวฯ ชราธโมฺมติ ชีรณสภาโวฯ พฺยาธิธโมฺมติ พฺยาธิสภาโวฯ มรณธโมฺมติ มรณสภาโวฯ โสกธโมฺมติ โสจนกสภาโวฯ สํกิเลสธโมฺมติ สํกิลิสฺสนสภาโวฯ

    274.Dvemā, bhikkhave, pariyesanāti ko anusandhi? Te bhikkhū sammukhā dhammiṃ kathaṃ sossāmāti therassa bhāraṃ akaṃsu, thero tesaṃ assamagamanamakāsi. Te tattha nisīditvā atiracchānakathikā hutvā dhammiyā kathāya nisīdiṃsu. Atha bhagavā ‘‘ayaṃ tumhākaṃ pariyesanā ariyapariyesanā nāmā’’ti dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha katamā ca, bhikkhave, anariyapariyesanāti ettha yathā maggakusalo puriso paṭhamaṃ vajjetabbaṃ apāyamaggaṃ dassento ‘‘vāmaṃ muñcitvā dakkhiṇaṃ gaṇhā’’ti vadati. Evaṃ bhagavā desanākusalatāya paṭhamaṃ vajjetabbaṃ anariyapariyesanaṃ ācikkhitvā pacchā itaraṃ ācikkhissāmīti uddesānukkamaṃ bhinditvā evamāha. Jātidhammoti jāyanasabhāvo. Jarādhammoti jīraṇasabhāvo. Byādhidhammoti byādhisabhāvo. Maraṇadhammoti maraṇasabhāvo. Sokadhammoti socanakasabhāvo. Saṃkilesadhammoti saṃkilissanasabhāvo.

    ปุตฺตภริยนฺติ ปุตฺตา จ ภริยา จฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ชาตรูปรชตนฺติ เอตฺถ ปน ชาตรูปนฺติ สุวณฺณํฯ รชตนฺติ ยํกิญฺจิ โวหารูปคํ โลหมาสกาทิฯ ชาติธมฺมา เหเต, ภิกฺขเว, อุปธโยติ เอเต ปญฺจกามคุณูปธโย นาม โหนฺติ, เต สเพฺพปิ ชาติธมฺมาติ ทเสฺสติฯ พฺยาธิธมฺมวาราทีสุ ชาตรูปรชตํ น คหิตํ, น เหตสฺส สีสโรคาทโย พฺยาธโย นาม โหนฺติ, น สตฺตานํ วิย จุติสงฺขาตํ มรณํ, น โสโก อุปฺปชฺชติฯ อยาทีหิ ปน สํกิเลเสหิ สํกิลิสฺสตีติ สํกิเลสธมฺมวาเร คหิตํฯ ตถา อุตุสมุฎฺฐานตฺตา ชาติธมฺมวาเรฯ มลํ คเหตฺวา ชีรณโต ชราธมฺมวาเร จฯ

    Puttabhariyanti puttā ca bhariyā ca. Esa nayo sabbattha. Jātarūparajatanti ettha pana jātarūpanti suvaṇṇaṃ. Rajatanti yaṃkiñci vohārūpagaṃ lohamāsakādi. Jātidhammā hete, bhikkhave, upadhayoti ete pañcakāmaguṇūpadhayo nāma honti, te sabbepi jātidhammāti dasseti. Byādhidhammavārādīsu jātarūparajataṃ na gahitaṃ, na hetassa sīsarogādayo byādhayo nāma honti, na sattānaṃ viya cutisaṅkhātaṃ maraṇaṃ, na soko uppajjati. Ayādīhi pana saṃkilesehi saṃkilissatīti saṃkilesadhammavāre gahitaṃ. Tathā utusamuṭṭhānattā jātidhammavāre. Malaṃ gahetvā jīraṇato jarādhammavāre ca.

    ๒๗๕. อยํ , ภิกฺขเว, อริยา ปริเยสนาติ, ภิกฺขเว, อยํ นิโทฺทสตายปิ อริเยหิ ปริเยสิตพฺพตายปิ อริยปริเยสนาติ เวทิตพฺพาฯ

    275.Ayaṃ, bhikkhave, ariyā pariyesanāti, bhikkhave, ayaṃ niddosatāyapi ariyehi pariyesitabbatāyapi ariyapariyesanāti veditabbā.

    ๒๗๖. อหมฺปิ สุทํ, ภิกฺขเวติ กสฺมา อารภิ? มูลโต ปฎฺฐาย มหาภินิกฺขมนํ ทเสฺสตุํฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘ภิกฺขเว, อหมฺปิ ปุเพฺพ อนริยปริเยสนํ ปริเยสิํฯ สฺวาหํ ตํ ปหาย อริยปริเยสนํ ปริเยสิตฺวา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺตฯ ปญฺจวคฺคิยาปิ อนริยปริเยสนํ ปริเยสิํสุฯ เต ตํ ปหาย อริยปริเยสนํ ปริเยสิตฺวา ขีณาสวภูมิํ ปตฺตาฯ ตุเมฺหปิ มม เจว ปญฺจวคฺคิยานญฺจ มคฺคํ อารุฬฺหาฯ อริยปริเยสนา ตุมฺหากํ ปริเยสนา’’ติ มูลโต ปฎฺฐาย อตฺตโน มหาภินิกฺขมนํ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ

    276.Ahampi sudaṃ, bhikkhaveti kasmā ārabhi? Mūlato paṭṭhāya mahābhinikkhamanaṃ dassetuṃ. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘bhikkhave, ahampi pubbe anariyapariyesanaṃ pariyesiṃ. Svāhaṃ taṃ pahāya ariyapariyesanaṃ pariyesitvā sabbaññutaṃ patto. Pañcavaggiyāpi anariyapariyesanaṃ pariyesiṃsu. Te taṃ pahāya ariyapariyesanaṃ pariyesitvā khīṇāsavabhūmiṃ pattā. Tumhepi mama ceva pañcavaggiyānañca maggaṃ āruḷhā. Ariyapariyesanā tumhākaṃ pariyesanā’’ti mūlato paṭṭhāya attano mahābhinikkhamanaṃ dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi.

    ๒๗๗. ตตฺถ ทหโรว สมาโนติ ตรุโณว สมาโนฯ สุสุกาฬเกโสติ สุฎฺฐุ กาฬเกโส, อญฺชนวณฺณเกโสว หุตฺวาติ อโตฺถฯ ภเทฺรนาติ ภทฺทเกนฯ ปฐเมน วยสาติ ติณฺณํ วยานํ ปฐมวเยนฯ อกามกานนฺติ อนิจฺฉมานานํ, อนาทรเตฺถ สามิวจนํฯ อสฺสูนิ มุเข เอเตสนฺติ อสฺสุมุขา; เตสํ อสฺสุมุขานํ, อสฺสุกิลินฺนมุขานนฺติ อโตฺถฯ รุทนฺตานนฺติ กนฺทิตฺวา โรทมานานํฯ กิํ กุสลคเวสีติ กิํ กุสลนฺติ คเวสมาโนฯ อนุตฺตรํ สนฺติวรปทนฺติ อุตฺตมํ สนฺติสงฺขาตํ วรปทํ, นิพฺพานํ ปริเยสมาโนติ อโตฺถฯ เยน อาฬาโร กาลาโมติ เอตฺถ อาฬาโรติ ตสฺส นามํ, ทีฆปิงฺคโล กิเรโสฯ เตนสฺส อาฬาโรติ นามํ อโหสิฯ กาลาโมติ โคตฺตํฯ วิหรตายสฺมาติ วิหรตุ อายสฺมาฯ ยตฺถ วิญฺญู ปุริโสติ ยสฺมิํ ธเมฺม ปณฺฑิโต ปุริโสฯ สกํ อาจริยกนฺติ อตฺตโน อาจริยสมยํฯ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยาติ ปฎิลภิตฺวา วิหเรยฺยฯ เอตฺตาวตา เตน โอกาโส กโต โหติฯ ตํ ธมฺมนฺติ ตํ เตสํ สมยํ ตนฺติํฯ ปริยาปุณินฺติ สุตฺวาว อุคฺคณฺหิํฯ

    277. Tattha daharova samānoti taruṇova samāno. Susukāḷakesoti suṭṭhu kāḷakeso, añjanavaṇṇakesova hutvāti attho. Bhadrenāti bhaddakena. Paṭhamena vayasāti tiṇṇaṃ vayānaṃ paṭhamavayena. Akāmakānanti anicchamānānaṃ, anādaratthe sāmivacanaṃ. Assūni mukhe etesanti assumukhā; tesaṃ assumukhānaṃ, assukilinnamukhānanti attho. Rudantānanti kanditvā rodamānānaṃ. Kiṃkusalagavesīti kiṃ kusalanti gavesamāno. Anuttaraṃ santivarapadanti uttamaṃ santisaṅkhātaṃ varapadaṃ, nibbānaṃ pariyesamānoti attho. Yena āḷāro kālāmoti ettha āḷāroti tassa nāmaṃ, dīghapiṅgalo kireso. Tenassa āḷāroti nāmaṃ ahosi. Kālāmoti gottaṃ. Viharatāyasmāti viharatu āyasmā. Yattha viññū purisoti yasmiṃ dhamme paṇḍito puriso. Sakaṃ ācariyakanti attano ācariyasamayaṃ. Upasampajja vihareyyāti paṭilabhitvā vihareyya. Ettāvatā tena okāso kato hoti. Taṃ dhammanti taṃ tesaṃ samayaṃ tantiṃ. Pariyāpuṇinti sutvāva uggaṇhiṃ.

    โอฎฺฐปหตมเตฺตนาติ เตน วุตฺตสฺส ปฎิคฺคหณตฺถํ โอฎฺฐปหรณมเตฺตน; อปราปรํ กตฺวา โอฎฺฐสญฺจรณมตฺตเกนาติ อโตฺถฯ ลปิตลาปนมเตฺตนาติ เตน ลปิตสฺส ปฎิลาปนมตฺตเกนฯ ญาณวาทนฺติ ชานามีติ วาทํ ฯ เถรวาทนฺติ ถิรภาววาทํ, เถโร อหเมตฺถาติ เอตํ วจนํฯ อหเญฺจว อเญฺญ จาติ น เกวลํ อหํ, อเญฺญปิ พหู เอวํ วทนฺติฯ เกวลํ สทฺธามตฺตเกนาติ ปญฺญาย อสจฺฉิกตฺวา สุเทฺธน สทฺธามตฺตเกเนวฯ โพธิสโตฺต กิร วาจาย ธมฺมํ อุคฺคณฺหโนฺตเยว, ‘‘น กาลามสฺส วาจาย ปริยตฺติมตฺตเมว อสฺมิํ ธเมฺม, อทฺธา เอส สตฺตนฺนํ สมาปตฺตีนํ ลาภี’’ติ อญฺญาสิ, เตนสฺส เอตทโหสิฯ

    Oṭṭhapahatamattenāti tena vuttassa paṭiggahaṇatthaṃ oṭṭhapaharaṇamattena; aparāparaṃ katvā oṭṭhasañcaraṇamattakenāti attho. Lapitalāpanamattenāti tena lapitassa paṭilāpanamattakena. Ñāṇavādanti jānāmīti vādaṃ . Theravādanti thirabhāvavādaṃ, thero ahametthāti etaṃ vacanaṃ. Ahañceva aññe cāti na kevalaṃ ahaṃ, aññepi bahū evaṃ vadanti. Kevalaṃ saddhāmattakenāti paññāya asacchikatvā suddhena saddhāmattakeneva. Bodhisatto kira vācāya dhammaṃ uggaṇhantoyeva, ‘‘na kālāmassa vācāya pariyattimattameva asmiṃ dhamme, addhā esa sattannaṃ samāpattīnaṃ lābhī’’ti aññāsi, tenassa etadahosi.

    อากิญฺจญฺญายตนํ ปเวเทสีติ อากิญฺจญฺญายตนปริโยสานา สตฺต สมาปตฺติโย มํ ชานาเปสิฯ สทฺธาติ อิมาสํ สตฺตนฺนํ สมาปตฺตีนํ นิพฺพตฺตนตฺถาย สทฺธาฯ วีริยาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ปทเหยฺยนฺติ ปโยคํ กเรยฺยํฯ นจิรเสฺสว ตํ ธมฺมํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสินฺติ โพธิสโตฺต กิร วีริยํ ปคฺคเหตฺวา กติปาหเญฺญว สตฺต สุวณฺณนิเสฺสณิโย ปสาเรโนฺต วิย สตฺต สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตสิ; ตสฺมา เอวมาหฯ

    Ākiñcaññāyatanaṃ pavedesīti ākiñcaññāyatanapariyosānā satta samāpattiyo maṃ jānāpesi. Saddhāti imāsaṃ sattannaṃ samāpattīnaṃ nibbattanatthāya saddhā. Vīriyādīsupi eseva nayo. Padaheyyanti payogaṃ kareyyaṃ. Nacirasseva taṃ dhammaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihāsinti bodhisatto kira vīriyaṃ paggahetvā katipāhaññeva satta suvaṇṇanisseṇiyo pasārento viya satta samāpattiyo nibbattesi; tasmā evamāha.

    ลาภา โน, อาวุโสติ อนุสูยโก กิเรส กาลาโมฯ ตสฺมา ‘‘อยํ อธุนาคโต, กินฺติ กตฺวา อิมํ ธมฺมํ นิพฺพเตฺตสี’’ติ อุสูยํ อกตฺวา ปสโนฺน ปสาทํ ปเวเทโนฺต เอวมาหฯ อุโภว สนฺตา อิมํ คณํ ปริหรามาติ ‘‘มหา อยํ คโณ, เทฺวปิ ชนา ปริหรามา’’ติ วตฺวา คณสฺส สญฺญํ อทาสิ, ‘‘อหมฺปิ สตฺตนฺนํ สมาปตฺตีนํ ลาภี, มหาปุริโสปิ สตฺตนฺนเมว , เอตฺตกา ชนา มหาปุริสสฺส สนฺติเก ปริกมฺมํ อุคฺคณฺหถ, เอตฺตกา มยฺห’’นฺติ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา อทาสิฯ อุฬารายาติ อุตฺตมายฯ ปูชายาติ กาลามสฺส กิร อุปฎฺฐากา อิตฺถิโยปิ ปุริสาปิ คนฺธมาลาทีนิ คเหตฺวา อาคจฺฉนฺติฯ กาลาโม – ‘‘คจฺฉถ, มหาปุริสํ ปูเชถา’’ติ วทติฯ เต ตํ ปูเชตฺวา ยํ อวสิฎฺฐํ โหติ, เตน กาลามํ ปูเชนฺติฯ มหคฺฆานิ มญฺจปีฐานิ อาหรนฺติ; ตานิปิ มหาปุริสสฺส ทาเปตฺวา ยทิ อวสิฎฺฐํ โหติ, อตฺตนา คณฺหาติฯ คตคตฎฺฐาเน วรเสนาสนํ โพธิสตฺตสฺส ชคฺคาเปตฺวา เสสกํ อตฺตนา คณฺหาติฯ เอวํ อุฬาราย ปูชาย ปูเชสิฯ นายํ ธโมฺม นิพฺพิทายาติอาทีสุ อยํ สตฺตสมาปตฺติธโมฺม เนว วเฎฺฎ นิพฺพินฺทนตฺถาย, น วิรชฺชนตฺถาย, น ราคาทินิโรธตฺถาย, น อุปสมตฺถาย, น อภิเญฺญยฺยธมฺมํ อภิชานนตฺถาย, น จตุมคฺคสโมฺพธาย, น นิพฺพานสจฺฉิกิริยาย สํวตฺตตีติ อโตฺถฯ

    Lābhā no, āvusoti anusūyako kiresa kālāmo. Tasmā ‘‘ayaṃ adhunāgato, kinti katvā imaṃ dhammaṃ nibbattesī’’ti usūyaṃ akatvā pasanno pasādaṃ pavedento evamāha. Ubhova santā imaṃ gaṇaṃ pariharāmāti ‘‘mahā ayaṃ gaṇo, dvepi janā pariharāmā’’ti vatvā gaṇassa saññaṃ adāsi, ‘‘ahampi sattannaṃ samāpattīnaṃ lābhī, mahāpurisopi sattannameva , ettakā janā mahāpurisassa santike parikammaṃ uggaṇhatha, ettakā mayha’’nti majjhe bhinditvā adāsi. Uḷārāyāti uttamāya. Pūjāyāti kālāmassa kira upaṭṭhākā itthiyopi purisāpi gandhamālādīni gahetvā āgacchanti. Kālāmo – ‘‘gacchatha, mahāpurisaṃ pūjethā’’ti vadati. Te taṃ pūjetvā yaṃ avasiṭṭhaṃ hoti, tena kālāmaṃ pūjenti. Mahagghāni mañcapīṭhāni āharanti; tānipi mahāpurisassa dāpetvā yadi avasiṭṭhaṃ hoti, attanā gaṇhāti. Gatagataṭṭhāne varasenāsanaṃ bodhisattassa jaggāpetvā sesakaṃ attanā gaṇhāti. Evaṃ uḷārāya pūjāya pūjesi. Nāyaṃ dhammo nibbidāyātiādīsu ayaṃ sattasamāpattidhammo neva vaṭṭe nibbindanatthāya, na virajjanatthāya, na rāgādinirodhatthāya, na upasamatthāya, na abhiññeyyadhammaṃ abhijānanatthāya, na catumaggasambodhāya, na nibbānasacchikiriyāya saṃvattatīti attho.

    ยาวเทว อากิญฺจญฺญายตนูปปตฺติยาติ ยาว สฎฺฐิกปฺปสหสฺสายุปริมาเณ อากิญฺจญฺญายตนภเว อุปปตฺติ, ตาวเทว สํวตฺตติ, น ตโต อุทฺธํฯ เอวมยํ ปุนราวตฺตนธโมฺมเยว; ยญฺจ ฐานํ ปาเปติ, ตํ ชาติชรามรเณหิ อปริมุตฺตเมว มจฺจุปาสปริกฺขิตฺตเมวาติฯ ตโต ปฎฺฐาย จ ปน มหาสโตฺต ยถา นาม ฉาตชฺฌตฺตปุริโส มนุญฺญโภชนํ ลภิตฺวา สมฺปิยายมาโนปิ ภุญฺชิตฺวา ปิตฺตวเสน วา เสมฺหวเสน วา มกฺขิกาวเสน วา ฉเฑฺฑตฺวา ปุน เอกํ ปิณฺฑมฺปิ ภุญฺชิสฺสามีติ มนํ น อุปฺปาเทติ; เอวเมว อิมา สตฺต สมาปตฺติโย มหเนฺตน อุสฺสาเหน นิพฺพเตฺตตฺวาปิ, ตาสุ อิมํ ปุนราวตฺติกาทิเภทํ อาทีนวํ ทิสฺวา, ปุน อิมํ ธมฺมํ อาวชฺชิสฺสามิ วา สมาปชฺชิสฺสามิ วา อธิฎฺฐหิสฺสามิ วา วุฎฺฐหิสฺสามิ วา ปจฺจเวกฺขิสฺสามิ วาติ จิตฺตเมว น อุปฺปาเทสิฯ อนลงฺกริตฺวาติ อลํ อิมินา, อลํ อิมินาติ ปุนปฺปุนํ อลงฺกริตฺวาฯ นิพฺพิชฺชาติ นิพฺพินฺทิตฺวาฯ อปกฺกมินฺติ อคมาสิํฯ

    Yāvadeva ākiñcaññāyatanūpapattiyāti yāva saṭṭhikappasahassāyuparimāṇe ākiñcaññāyatanabhave upapatti, tāvadeva saṃvattati, na tato uddhaṃ. Evamayaṃ punarāvattanadhammoyeva; yañca ṭhānaṃ pāpeti, taṃ jātijarāmaraṇehi aparimuttameva maccupāsaparikkhittamevāti. Tato paṭṭhāya ca pana mahāsatto yathā nāma chātajjhattapuriso manuññabhojanaṃ labhitvā sampiyāyamānopi bhuñjitvā pittavasena vā semhavasena vā makkhikāvasena vā chaḍḍetvā puna ekaṃ piṇḍampi bhuñjissāmīti manaṃ na uppādeti; evameva imā satta samāpattiyo mahantena ussāhena nibbattetvāpi, tāsu imaṃ punarāvattikādibhedaṃ ādīnavaṃ disvā, puna imaṃ dhammaṃ āvajjissāmi vā samāpajjissāmi vā adhiṭṭhahissāmi vā vuṭṭhahissāmi vā paccavekkhissāmi vāti cittameva na uppādesi. Analaṅkaritvāti alaṃ iminā, alaṃ imināti punappunaṃ alaṅkaritvā. Nibbijjāti nibbinditvā. Apakkaminti agamāsiṃ.

    ๒๗๘. น โข ราโม อิมํ ธมฺมนฺติ อิธาปิ โพธิสโตฺต ตํ ธมฺมํ อุคฺคณฺหโนฺตเยว อญฺญาสิ – ‘‘นายํ อฎฺฐสมาปตฺติธโมฺม อุทกสฺส วาจาย อุคฺคหิตมโตฺตว, อทฺธา ปเนส อฎฺฐสมาปตฺติลาภี’’ติฯ เตนสฺส เอตทโหสิ – ‘‘น โข ราโม…เป.… ชานํ ปสฺสํ วิหาสี’’ติฯ เสสเมตฺถ ปุริมวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    278.Na kho rāmo imaṃ dhammanti idhāpi bodhisatto taṃ dhammaṃ uggaṇhantoyeva aññāsi – ‘‘nāyaṃ aṭṭhasamāpattidhammo udakassa vācāya uggahitamattova, addhā panesa aṭṭhasamāpattilābhī’’ti. Tenassa etadahosi – ‘‘na kho rāmo…pe… jānaṃ passaṃ vihāsī’’ti. Sesamettha purimavāre vuttanayeneva veditabbaṃ.

    ๒๗๙. เยน อุรุเวลา เสนานิคโมติ เอตฺถ อุรุเวลาติ มหาเวลา, มหาวาลิกราสีติ อโตฺถฯ อถ วา อุรูติ วาลิกา วุจฺจติ; เวลาติ มริยาทา, เวลาติกฺกมนเหตุ อาหฎา อุรุ อุรุเวลาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อตีเต กิร อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ทสสหสฺสา กุลปุตฺตา ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ตสฺมิํ ปเทเส วิหรนฺตา เอกทิวสํ สนฺนิปติตฺวา กติกวตฺตํ อกํสุ – ‘‘กายกมฺมวจีกมฺมานิ นาม ปเรสมฺปิ ปากฎานิ โหนฺติ, มโนกมฺมํ ปน อปากฎํฯ ตสฺมา โย กามวิตกฺกํ วา พฺยาปาทวิตกฺกํ วา วิหิํสาวิตกฺกํ วา วิตเกฺกติ, ตสฺส อโญฺญ โจทโก นาม นตฺถิ; โส อตฺตนาว อตฺตานํ โจเทตฺวา ปตฺตปุเฎน วาลิกํ อาหริตฺวา อิมสฺมิํ ฐาเน อากิรตุ, อิทมสฺส ทณฺฑกมฺม’’นฺติฯ ตโต ปฎฺฐาย โย ตาทิสํ วิตกฺกํ วิตเกฺกติ, โส ตตฺถ ปตฺตปุเฎน วาลิกํ อากิรติ, เอวํ ตตฺถ อนุกฺกเมน มหาวาลิกราสิ ชาโตฯ ตโต ตํ ปจฺฉิมา ชนตา ปริกฺขิปิตฺวา เจติยฎฺฐานมกาสิ; ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อุรุเวลาติ มหาเวลา, มหาวาลิกราสีติ อโตฺถ’’ติฯ ตเมว สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อถ วา อุรูติ วาลิกา วุจฺจติ, เวลาติ มริยาทาฯ เวลาติกฺกมนเหตุ อาหฎา อุรุ อุรุเวลาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติฯ

    279.Yena uruvelā senānigamoti ettha uruvelāti mahāvelā, mahāvālikarāsīti attho. Atha vā urūti vālikā vuccati; velāti mariyādā, velātikkamanahetu āhaṭā uru uruvelāti evamettha attho daṭṭhabbo. Atīte kira anuppanne buddhe dasasahassā kulaputtā tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā tasmiṃ padese viharantā ekadivasaṃ sannipatitvā katikavattaṃ akaṃsu – ‘‘kāyakammavacīkammāni nāma paresampi pākaṭāni honti, manokammaṃ pana apākaṭaṃ. Tasmā yo kāmavitakkaṃ vā byāpādavitakkaṃ vā vihiṃsāvitakkaṃ vā vitakketi, tassa añño codako nāma natthi; so attanāva attānaṃ codetvā pattapuṭena vālikaṃ āharitvā imasmiṃ ṭhāne ākiratu, idamassa daṇḍakamma’’nti. Tato paṭṭhāya yo tādisaṃ vitakkaṃ vitakketi, so tattha pattapuṭena vālikaṃ ākirati, evaṃ tattha anukkamena mahāvālikarāsi jāto. Tato taṃ pacchimā janatā parikkhipitvā cetiyaṭṭhānamakāsi; taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘uruvelāti mahāvelā, mahāvālikarāsīti attho’’ti. Tameva sandhāya vuttaṃ – ‘‘atha vā urūti vālikā vuccati, velāti mariyādā. Velātikkamanahetu āhaṭā uru uruvelāti evamettha attho daṭṭhabbo’’ti.

    เสนานิคโมติ เสนาย นิคโมฯ ปฐมกปฺปิกานํ กิร ตสฺมิํ ฐาเน เสนานิเวโส อโหสิ; ตสฺมา โส ปเทโส เสนานิคโมติ วุจฺจติฯ ‘‘เสนานิ-คาโม’’ติปิ ปาโฐฯ เสนานี นาม สุชาตาย ปิตา, ตสฺส คาโมติ อโตฺถฯ ตทวสรินฺติ ตตฺถ โอสริํฯ รมณียํ ภูมิภาคนฺติ สุปุปฺผิตนานปฺปการชลชถลชปุปฺผวิจิตฺตํ มโนรมฺมํ ภูมิภาคํฯ ปาสาทิกญฺจ วนสณฺฑนฺติ โมรปิญฺฉกลาปสทิสํ ปสาทชนนวนสณฺฑญฺจ อทฺทสํฯ นทิญฺจ สนฺทนฺตินฺติ สนฺทมานญฺจ มณิกฺขนฺธสทิสํ วิมลนีลสีตลสลิลํ เนรญฺชรํ นทิํ อทฺทสํฯ เสตกนฺติ ปริสุทฺธํ นิกฺกทฺทมํฯ สุปติตฺถนฺติ อนุปุพฺพคมฺภีเรหิ สุนฺทเรหิ ติเตฺถหิ อุเปตํฯ รมณียนฺติ รชตปฎฺฎสทิสํ วิปฺปกิณฺณวาลิกํ ปหูตมจฺฉกจฺฉปํ อภิรามทสฺสนํฯ สมนฺตา จ โคจรคามนฺติ ตสฺส ปเทสสฺส สมนฺตา อวิทูเร คมนาคมนสมฺปนฺนํ สมฺปตฺตปพฺพชิตานํ สุลภปิณฺฑํ โคจรคามญฺจ อทฺทสํฯ อลํ วตาติ สมตฺถํ วตฯ ตเตฺถว นิสีทินฺติ โพธิปลฺลเงฺก นิสชฺชํ สนฺธายาหฯ อุปริสุตฺตสฺมิญฺหิ ตเตฺถวาติ ทุกฺกรการิกฎฺฐานํ อธิเปฺปตํ, อิธ ปน โพธิปลฺลโงฺกฯ เตนาห – ‘‘ตเตฺถว นิสีทิ’’นฺติฯ อลมิทํ ปธานายาติ อิทํ ฐานํ ปธานตฺถาย สมตฺถนฺติ เอวํ จิเนฺตตฺวา นิสีทินฺติ อโตฺถฯ

    Senānigamoti senāya nigamo. Paṭhamakappikānaṃ kira tasmiṃ ṭhāne senāniveso ahosi; tasmā so padeso senānigamoti vuccati. ‘‘Senāni-gāmo’’tipi pāṭho. Senānī nāma sujātāya pitā, tassa gāmoti attho. Tadavasarinti tattha osariṃ. Ramaṇīyaṃ bhūmibhāganti supupphitanānappakārajalajathalajapupphavicittaṃ manorammaṃ bhūmibhāgaṃ. Pāsādikañca vanasaṇḍanti morapiñchakalāpasadisaṃ pasādajananavanasaṇḍañca addasaṃ. Nadiñca sandantinti sandamānañca maṇikkhandhasadisaṃ vimalanīlasītalasalilaṃ nerañjaraṃ nadiṃ addasaṃ. Setakanti parisuddhaṃ nikkaddamaṃ. Supatitthanti anupubbagambhīrehi sundarehi titthehi upetaṃ. Ramaṇīyanti rajatapaṭṭasadisaṃ vippakiṇṇavālikaṃ pahūtamacchakacchapaṃ abhirāmadassanaṃ. Samantā ca gocaragāmanti tassa padesassa samantā avidūre gamanāgamanasampannaṃ sampattapabbajitānaṃ sulabhapiṇḍaṃ gocaragāmañca addasaṃ. Alaṃ vatāti samatthaṃ vata. Tattheva nisīdinti bodhipallaṅke nisajjaṃ sandhāyāha. Uparisuttasmiñhi tatthevāti dukkarakārikaṭṭhānaṃ adhippetaṃ, idha pana bodhipallaṅko. Tenāha – ‘‘tattheva nisīdi’’nti. Alamidaṃ padhānāyāti idaṃ ṭhānaṃ padhānatthāya samatthanti evaṃ cintetvā nisīdinti attho.

    ๒๘๐. อชฺฌคมนฺติ อธิคจฺฉิํ ปฎิลภิํฯ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนนฺติ สพฺพธมฺมทสฺสนสมตฺถญฺจ เม สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อุทปาทิฯ อกุปฺปา เม วิมุตฺตีติ มยฺหํ อรหตฺตผลวิมุตฺติ อกุปฺปตาย จ อกุปฺปารมฺมณตาย จ อกุปฺปา, สา หิ ราคาทีหิ น กุปฺปตีติ อกุปฺปตายปิ อกุปฺปา, อกุปฺปํ นิพฺพานมสฺสารมฺมณนฺติปิ อกุปฺปาฯ อยมนฺติมา ชาตีติ อยํ สพฺพปจฺฉิมา ชาติฯ นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโวติ อิทานิ เม ปุน ปฎิสนฺธิ นาม นตฺถีติ เอวํ ปจฺจเวกฺขณญาณมฺปิ เม อุปฺปนฺนนฺติ ทเสฺสติฯ

    280.Ajjhagamanti adhigacchiṃ paṭilabhiṃ. Ñāṇañca pana me dassananti sabbadhammadassanasamatthañca me sabbaññutaññāṇaṃ udapādi. Akuppā me vimuttīti mayhaṃ arahattaphalavimutti akuppatāya ca akuppārammaṇatāya ca akuppā, sā hi rāgādīhi na kuppatīti akuppatāyapi akuppā, akuppaṃ nibbānamassārammaṇantipi akuppā. Ayamantimā jātīti ayaṃ sabbapacchimā jāti. Natthidāni punabbhavoti idāni me puna paṭisandhi nāma natthīti evaṃ paccavekkhaṇañāṇampi me uppannanti dasseti.

    ๒๘๑. อธิคโตติ ปฎิวิโทฺธฯ ธโมฺมติ จตุสจฺจธโมฺมฯ คมฺภีโรติ อุตฺตานภาวปฎิเกฺขปวจนเมตํฯ ทุทฺทโสติ คมฺภีรตฺตาว ทุทฺทโส ทุเกฺขน ทฎฺฐโพฺพ, น สกฺกา สุเขน ทฎฺฐุํฯ ทุทฺทสตฺตาว ทุรนุโพโธ, ทุเกฺขน อวพุชฺฌิตโพฺพ, น สกฺกา สุเขน อวพุชฺฌิตุํฯ สโนฺตติ นิพฺพุโตฯ ปณีโตติ อตปฺปโกฯ อิทํ ทฺวยํ โลกุตฺตรเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ อตกฺกาวจโรติ ตเกฺกน อวจริตโพฺพ โอคาหิตโพฺพ น โหติ, ญาเณเนว อวจริตโพฺพฯ นิปุโณติ สโณฺหฯ ปณฺฑิตเวทนีโยติ สมฺมาปฎิปทํ ปฎิปเนฺนหิ ปณฺฑิเตหิ เวทิตโพฺพฯ อาลยรามาติ สตฺตา ปญฺจสุ กามคุเณสุ อลฺลียนฺติฯ ตสฺมา เต อาลยาติ วุจฺจนฺติฯ อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตานิ อาลยนฺติ, ตสฺมา อาลยาติ วุจฺจนฺติฯ เตหิ อาลเยหิ รมนฺตีติ อาลยรามาฯ อาลเยสุ รตาติ อาลยรตาฯ อาลเยสุ สุฎฺฐุ มุทิตาติ อาลยสมฺมุทิตาฯ ยเถว หิ สุสชฺชิตํ ปุปฺผผลภริตรุกฺขาทิสมฺปนฺนํ อุยฺยานํ ปวิโฎฺฐ ราชา ตาย ตาย สมฺปตฺติยา รมติ, สมฺมุทิโต อาโมทิตปโมทิโต โหติ, น อุกฺกณฺฐติ, สายมฺปิ นิกฺขมิตุํ น อิจฺฉติ; เอวมิเมหิปิ กามาลยตณฺหาลเยหิ สตฺตา รมนฺติ, สํสารวเฎฺฎ สมฺมุทิตา อนุกฺกณฺฐิตา วสนฺติฯ เตน เนสํ ภควา ทุวิธมฺปิ อาลยํ อุยฺยานภูมิํ วิย ทเสฺสโนฺต ‘‘อาลยรามา’’ติอาทิมาหฯ

    281.Adhigatoti paṭividdho. Dhammoti catusaccadhammo. Gambhīroti uttānabhāvapaṭikkhepavacanametaṃ. Duddasoti gambhīrattāva duddaso dukkhena daṭṭhabbo, na sakkā sukhena daṭṭhuṃ. Duddasattāva duranubodho, dukkhena avabujjhitabbo, na sakkā sukhena avabujjhituṃ. Santoti nibbuto. Paṇītoti atappako. Idaṃ dvayaṃ lokuttarameva sandhāya vuttaṃ. Atakkāvacaroti takkena avacaritabbo ogāhitabbo na hoti, ñāṇeneva avacaritabbo. Nipuṇoti saṇho. Paṇḍitavedanīyoti sammāpaṭipadaṃ paṭipannehi paṇḍitehi veditabbo. Ālayarāmāti sattā pañcasu kāmaguṇesu allīyanti. Tasmā te ālayāti vuccanti. Aṭṭhasatataṇhāvicaritāni ālayanti, tasmā ālayāti vuccanti. Tehi ālayehi ramantīti ālayarāmā. Ālayesu ratāti ālayaratā. Ālayesu suṭṭhu muditāti ālayasammuditā. Yatheva hi susajjitaṃ pupphaphalabharitarukkhādisampannaṃ uyyānaṃ paviṭṭho rājā tāya tāya sampattiyā ramati, sammudito āmoditapamodito hoti, na ukkaṇṭhati, sāyampi nikkhamituṃ na icchati; evamimehipi kāmālayataṇhālayehi sattā ramanti, saṃsāravaṭṭe sammuditā anukkaṇṭhitā vasanti. Tena nesaṃ bhagavā duvidhampi ālayaṃ uyyānabhūmiṃ viya dassento ‘‘ālayarāmā’’tiādimāha.

    ยทิทนฺติ นิปาโต, ตสฺส ฐานํ สนฺธาย ‘‘ยํ อิท’’นฺติ, ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ สนฺธาย ‘‘โย อย’’นฺติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อิทปฺปจฺจยตาปฎิจฺจสมุปฺปาโทติ อิเมสํ ปจฺจยา อิทปฺปจฺจยา; อิทปฺปจฺจยา เอว อิทปฺปจฺจยตา; อิทปฺปจฺจยตา จ สา ปฎิจฺจสมุปฺปาโท จาติ อิทปฺปจฺจยตาปฎิจฺจสมุปฺปาโทฯ สงฺขาราทิปจฺจยานเมตํ อธิวจนํฯ สพฺพสงฺขารสมโถติอาทิ สพฺพํ นิพฺพานเมวฯ ยสฺมา หิ ตํ อาคมฺม สพฺพสงฺขารวิปฺผนฺทิตานิ สมฺมนฺติ วูปสมฺมนฺติ, ตสฺมา สพฺพสงฺขารสมโถติ วุจฺจติฯ ยสฺมา จ ตํ อาคมฺม สเพฺพ อุปธโย ปฎินิสฺสฎฺฐา โหนฺติ, สพฺพา ตณฺหา ขียนฺติ, สเพฺพ กิเลสราคา วิรชฺชนฺติ, สพฺพํ ทุกฺขํ นิรุชฺฌติ; ตสฺมา สพฺพูปธิปฎินิสฺสโคฺค ตณฺหากฺขโย วิราโค นิโรโธติ วุจฺจติฯ สา ปเนสา ตณฺหา ภเวน ภวํ, ผเลน วา สทฺธิํ กมฺมํ วินติ สํสิพฺพตีติ กตฺวา วานนฺติ วุจฺจติ, ตโต นิกฺขนฺตํ วานโตติ นิพฺพานํโส มมสฺส กิลมโถติ ยา อชานนฺตานํ เทสนา นาม, โส มม กิลมโถ อสฺส, สา มม วิเหสา อสฺสาติ อโตฺถฯ กายกิลมโถ เจว กายวิเหสา จ อสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ จิเตฺต ปน อุภยเมฺปตํ พุทฺธานํ นตฺถิฯ อปิสฺสูติ อนุพฺรูหนเตฺถ นิปาโต, โส ‘‘น เกวลํ เอตทโหสิ, อิมาปิ คาถา ปฎิภํสู’’ติ ทีเปติฯ นฺติ มมฯ อนจฺฉริยาติ อนุอจฺฉริยาฯ ปฎิภํสูติ ปฎิภานสงฺขาตสฺส ญาณสฺส โคจรา อเหสุํ; ปริวิตกฺกยิตพฺพตํ ปาปุณิํสุฯ

    Yadidanti nipāto, tassa ṭhānaṃ sandhāya ‘‘yaṃ ida’’nti, paṭiccasamuppādaṃ sandhāya ‘‘yo aya’’nti evamattho daṭṭhabbo. Idappaccayatāpaṭiccasamuppādoti imesaṃ paccayā idappaccayā; idappaccayā eva idappaccayatā; idappaccayatā ca sā paṭiccasamuppādo cāti idappaccayatāpaṭiccasamuppādo. Saṅkhārādipaccayānametaṃ adhivacanaṃ. Sabbasaṅkhārasamathotiādi sabbaṃ nibbānameva. Yasmā hi taṃ āgamma sabbasaṅkhāravipphanditāni sammanti vūpasammanti, tasmā sabbasaṅkhārasamathoti vuccati. Yasmā ca taṃ āgamma sabbe upadhayo paṭinissaṭṭhā honti, sabbā taṇhā khīyanti, sabbe kilesarāgā virajjanti, sabbaṃ dukkhaṃ nirujjhati; tasmā sabbūpadhipaṭinissaggo taṇhākkhayo virāgo nirodhoti vuccati. Sā panesā taṇhā bhavena bhavaṃ, phalena vā saddhiṃ kammaṃ vinati saṃsibbatīti katvā vānanti vuccati, tato nikkhantaṃ vānatoti nibbānaṃ. So mamassa kilamathoti yā ajānantānaṃ desanā nāma, so mama kilamatho assa, sā mama vihesā assāti attho. Kāyakilamatho ceva kāyavihesā ca assāti vuttaṃ hoti. Citte pana ubhayampetaṃ buddhānaṃ natthi. Apissūti anubrūhanatthe nipāto, so ‘‘na kevalaṃ etadahosi, imāpi gāthā paṭibhaṃsū’’ti dīpeti. Manti mama. Anacchariyāti anuacchariyā. Paṭibhaṃsūti paṭibhānasaṅkhātassa ñāṇassa gocarā ahesuṃ; parivitakkayitabbataṃ pāpuṇiṃsu.

    กิเจฺฉนาติ ทุเกฺขน, น ทุกฺขาย ปฎิปทายฯ พุทฺธานญฺหิ จตฺตาโรปิ มคฺคา สุขปฺปฎิปทาว โหนฺติฯ ปารมีปูรณกาเล ปน สราคสโทสสโมหเสฺสว สโต อาคตาคตานํ ยาจกานํ , อลงฺกตปฺปฎิยตฺตํ สีสํ กนฺติตฺวา, คลโลหิตํ นีหริตฺวา, สุอญฺชิตานิ อกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา, กุลวํสปฺปทีปํ ปุตฺตํ มนาปจารินิํ ภริยนฺติ เอวมาทีนิ เทนฺตสฺส, อญฺญานิ จ ขนฺติวาทิสทิเสสุ อตฺตภาเวสุ เฉชฺชเภชฺชาทีนิ ปาปุณนฺตสฺส อาคมนิยปฎิปทํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ ฯ หลนฺติ เอตฺถ ห-กาโร นิปาตมโตฺต, อลนฺติ อโตฺถฯ ปกาสิตุนฺติ เทสิตุํ, เอวํ กิเจฺฉน อธิคตสฺส ธมฺมสฺส อลํ เทสิตุํ, ปริยตฺตํ เทสิตุํ, โก อโตฺถ เทสิเตนาติ วุตฺตํ โหติฯ ราคโทสปเรเตหีติ ราคโทสปริผุเฎฺฐหิ ราคโทสานุคเตหิ วาฯ

    Kicchenāti dukkhena, na dukkhāya paṭipadāya. Buddhānañhi cattāropi maggā sukhappaṭipadāva honti. Pāramīpūraṇakāle pana sarāgasadosasamohasseva sato āgatāgatānaṃ yācakānaṃ , alaṅkatappaṭiyattaṃ sīsaṃ kantitvā, galalohitaṃ nīharitvā, suañjitāni akkhīni uppāṭetvā, kulavaṃsappadīpaṃ puttaṃ manāpacāriniṃ bhariyanti evamādīni dentassa, aññāni ca khantivādisadisesu attabhāvesu chejjabhejjādīni pāpuṇantassa āgamaniyapaṭipadaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ . Halanti ettha ha-kāro nipātamatto, alanti attho. Pakāsitunti desituṃ, evaṃ kicchena adhigatassa dhammassa alaṃ desituṃ, pariyattaṃ desituṃ, ko attho desitenāti vuttaṃ hoti. Rāgadosaparetehīti rāgadosapariphuṭṭhehi rāgadosānugatehi vā.

    ปฎิโสตคามินฺติ นิจฺจาทีนํ ปฎิโสตํ อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตา อสุภนฺติ เอวํ คตํ จตุสจฺจธมฺมํฯ ราครตฺตาติ กามราเคน ภวราเคน ทิฎฺฐิราเคน จ รตฺตาฯ น ทกฺขนฺตีติ อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตา อสุภนฺติ อิมินา สภาเวน น ปสฺสิสฺสนฺติ, เต อปสฺสเนฺต โก สกฺขิสฺสติ เอวํ คาหาเปตุํฯ ตโมขเนฺธน อาวุฎาติ อวิชฺชาราสินา อโชฺฌตฺถตาฯ

    Paṭisotagāminti niccādīnaṃ paṭisotaṃ aniccaṃ dukkhamanattā asubhanti evaṃ gataṃ catusaccadhammaṃ. Rāgarattāti kāmarāgena bhavarāgena diṭṭhirāgena ca rattā. Na dakkhantīti aniccaṃ dukkhamanattā asubhanti iminā sabhāvena na passissanti, te apassante ko sakkhissati evaṃ gāhāpetuṃ. Tamokhandhena āvuṭāti avijjārāsinā ajjhotthatā.

    ๒๘๒. อโปฺปสฺสุกฺกตายาติ นิรุสฺสุกฺกภาเวน, อเทเสตุกามตายาติ อโตฺถฯ กสฺมา ปนสฺส เอวํ จิตฺตํ นมิ, นนุ เอส มุโตฺต โมเจสฺสามิ, ติโณฺณ ตาเรสฺสามิฯ

    282.Appossukkatāyāti nirussukkabhāvena, adesetukāmatāyāti attho. Kasmā panassa evaṃ cittaṃ nami, nanu esa mutto mocessāmi, tiṇṇo tāressāmi.

    ‘‘กิํ เม อญฺญาตเวเสน, ธมฺมํ สจฺฉิกเตนิธ;

    ‘‘Kiṃ me aññātavesena, dhammaṃ sacchikatenidha;

    สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา, ตารยิสฺสํ สเทวก’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๖) –

    Sabbaññutaṃ pāpuṇitvā, tārayissaṃ sadevaka’’nti. (bu. vaṃ. 2.56) –

    ปตฺถนํ กตฺวา ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺตติฯ สจฺจเมตํ, ตเทวํ ปจฺจเวกฺขณานุภาเวน ปนสฺส เอวํ จิตฺตํ นมิฯ ตสฺส หิ สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา สตฺตานํ กิเลสคหนตํ, ธมฺมสฺส จ คมฺภีรตํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส สตฺตานํ กิเลสคหนตา จ ธมฺมคมฺภีรตา จ สพฺพากาเรน ปากฎา ชาตาฯ อถสฺส ‘‘อิเม สตฺตา กญฺชิกปุณฺณา ลาพุ วิย, ตกฺกภริตา จาฎิ วิย, วสาเตลปีตปิโลติกา วิย, อญฺชนมกฺขิตหโตฺถ วิย จ กิเลสภริตา อติสํกิลิฎฺฐา ราครตฺตา โทสทุฎฺฐา โมหมูฬฺหา, เต กิํ นาม ปฎิวิชฺฌิสฺสนฺตี’’ติ จินฺตยโต กิเลสคหนปจฺจเวกฺขณานุภาเวนาปิ เอวํ จิตฺตํ นมิฯ

    Patthanaṃ katvā pāramiyo pūretvā sabbaññutaṃ pattoti. Saccametaṃ, tadevaṃ paccavekkhaṇānubhāvena panassa evaṃ cittaṃ nami. Tassa hi sabbaññutaṃ patvā sattānaṃ kilesagahanataṃ, dhammassa ca gambhīrataṃ paccavekkhantassa sattānaṃ kilesagahanatā ca dhammagambhīratā ca sabbākārena pākaṭā jātā. Athassa ‘‘ime sattā kañjikapuṇṇā lābu viya, takkabharitā cāṭi viya, vasātelapītapilotikā viya, añjanamakkhitahattho viya ca kilesabharitā atisaṃkiliṭṭhā rāgarattā dosaduṭṭhā mohamūḷhā, te kiṃ nāma paṭivijjhissantī’’ti cintayato kilesagahanapaccavekkhaṇānubhāvenāpi evaṃ cittaṃ nami.

    ‘‘อยญฺจ ธโมฺม ปถวีสนฺธารกอุทกกฺขโนฺธ วิย คมฺภีโร, ปพฺพเตน ปฎิจฺฉาเทตฺวา ฐปิโต สาสโป วิย ทุทฺทโส, สตธา ภินฺนสฺส วาลสฺส โกฎิยา โกฎิปฎิปาทนํ วิย ทุรนุโพโธฯ นนุ มยา หิ อิมํ ธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิตุํ วายมเนฺตน อทินฺนํ ทานํ นาม นตฺถิ, อรกฺขิตํ สีลํ นาม นตฺถิ, อปริปูริตา กาจิ ปารมี นาม นตฺถิ? ตสฺส เม นิรุสฺสาหํ วิย มารพลํ วิธมนฺตสฺสาปิ ปถวี น กมฺปิตฺถ, ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺตสฺสาปิ น กมฺปิตฺถ, มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ โสเธนฺตสฺสาปิ น กมฺปิตฺถ, ปจฺฉิมยาเม ปน ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ปฎิวิชฺฌนฺตเสฺสว เม ทสสหสฺสิโลกธาตุ กมฺปิตฺถฯ อิติ มาทิเสนาปิ ติกฺขญาเณน กิเจฺฉเนวายํ ธโมฺม ปฎิวิโทฺธ, ตํ โลกิยมหาชนา กถํ ปฎิวิชฺฌิสฺสนฺตี’’ติ ธมฺมคมฺภีรตาปจฺจเวกฺขณานุภาเวนาปิ เอวํ จิตฺตํ นมีติ เวทิตพฺพํฯ

    ‘‘Ayañca dhammo pathavīsandhārakaudakakkhandho viya gambhīro, pabbatena paṭicchādetvā ṭhapito sāsapo viya duddaso, satadhā bhinnassa vālassa koṭiyā koṭipaṭipādanaṃ viya duranubodho. Nanu mayā hi imaṃ dhammaṃ paṭivijjhituṃ vāyamantena adinnaṃ dānaṃ nāma natthi, arakkhitaṃ sīlaṃ nāma natthi, aparipūritā kāci pāramī nāma natthi? Tassa me nirussāhaṃ viya mārabalaṃ vidhamantassāpi pathavī na kampittha, paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussarantassāpi na kampittha, majjhimayāme dibbacakkhuṃ sodhentassāpi na kampittha, pacchimayāme pana paṭiccasamuppādaṃ paṭivijjhantasseva me dasasahassilokadhātu kampittha. Iti mādisenāpi tikkhañāṇena kicchenevāyaṃ dhammo paṭividdho, taṃ lokiyamahājanā kathaṃ paṭivijjhissantī’’ti dhammagambhīratāpaccavekkhaṇānubhāvenāpi evaṃ cittaṃ namīti veditabbaṃ.

    อปิจ พฺรหฺมุนา ยาจิเต เทเสตุกามตายปิสฺส เอวํ จิตฺตํ นมิฯ ชานาติ หิ ภควา – ‘‘มม อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิเตฺต นมมาเน มํ มหาพฺรหฺมา ธมฺมเทสนํ ยาจิสฺสติ, อิเม จ สตฺตา พฺรหฺมครุกา, เต ‘สตฺถา กิร ธมฺมํ น เทเสตุกาโม อโหสิ, อถ นํ มหาพฺรหฺมา ยาจิตฺวา เทสาเปสิ, สโนฺต วต, โภ, ธโมฺม ปณีโต วต, โภ, ธโมฺม’ติ มญฺญมานา สุสฺสูสิสฺสนฺตี’’ติฯ อิทมฺปิสฺส การณํ ปฎิจฺจ อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ, โน ธมฺมเทสนายาติ เวทิตพฺพํฯ

    Apica brahmunā yācite desetukāmatāyapissa evaṃ cittaṃ nami. Jānāti hi bhagavā – ‘‘mama appossukkatāya citte namamāne maṃ mahābrahmā dhammadesanaṃ yācissati, ime ca sattā brahmagarukā, te ‘satthā kira dhammaṃ na desetukāmo ahosi, atha naṃ mahābrahmā yācitvā desāpesi, santo vata, bho, dhammo paṇīto vata, bho, dhammo’ti maññamānā sussūsissantī’’ti. Idampissa kāraṇaṃ paṭicca appossukkatāya cittaṃ nami, no dhammadesanāyāti veditabbaṃ.

    สหมฺปติสฺสาติ โส กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน สหโก นาม เถโร ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ปฐมชฺฌานภูมิยํ กปฺปายุกพฺรหฺมา หุตฺวา นิพฺพโตฺตฯ ตตฺร นํ สหมฺปติพฺรหฺมาติ ปฎิสญฺชานนฺติ, ตํ สนฺธายาห – ‘‘พฺรหฺมุโน สหมฺปติสฺสา’’ติฯ นสฺสติ วต, โภติ โส กิร อิมํ สทฺทํ ตถา นิจฺฉาเรสิ, ยถา ทสสหสฺสิโลกธาตุพฺรหฺมาโน สุตฺวา สเพฺพ สนฺนิปติํสุฯ ยตฺร หิ นามาติ ยสฺมิํ นาม โลเกฯ ปุรโต ปาตุรโหสีติ เตหิ ทสหิ พฺรหฺมสหเสฺสหิ สทฺธิํ ปาตุรโหสิฯ อปฺปรชกฺขชาติกาติ ปญฺญามเย อกฺขิมฺหิ อปฺปํ ปริตฺตํ ราคโทสโมหรชํ เอเตสํ, เอวํสภาวาติ อปฺปรชกฺขชาติกาอสฺสวนตาติ อสฺสวนตายฯ ภวิสฺสนฺตีติ ปุริมพุเทฺธสุ ทสปุญฺญกิริยวเสน กตาธิการา ปริปากคตปทุมานิ วิย สูริยรสฺมิสมฺผสฺสํ, ธมฺมเทสนํเยว อากงฺขมานา จตุปฺปทิกคาถาวสาเน อริยภูมิํ โอกฺกมนารหา น เอโก, น เทฺว, อเนกสตสหสฺสา ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร ภวิสฺสนฺตีติ ทเสฺสติฯ

    Sahampatissāti so kira kassapassa bhagavato sāsane sahako nāma thero paṭhamajjhānaṃ nibbattetvā paṭhamajjhānabhūmiyaṃ kappāyukabrahmā hutvā nibbatto. Tatra naṃ sahampatibrahmāti paṭisañjānanti, taṃ sandhāyāha – ‘‘brahmuno sahampatissā’’ti. Nassati vata, bhoti so kira imaṃ saddaṃ tathā nicchāresi, yathā dasasahassilokadhātubrahmāno sutvā sabbe sannipatiṃsu. Yatra hi nāmāti yasmiṃ nāma loke. Purato pāturahosīti tehi dasahi brahmasahassehi saddhiṃ pāturahosi. Apparajakkhajātikāti paññāmaye akkhimhi appaṃ parittaṃ rāgadosamoharajaṃ etesaṃ, evaṃsabhāvāti apparajakkhajātikā. Assavanatāti assavanatāya. Bhavissantīti purimabuddhesu dasapuññakiriyavasena katādhikārā paripākagatapadumāni viya sūriyarasmisamphassaṃ, dhammadesanaṃyeva ākaṅkhamānā catuppadikagāthāvasāne ariyabhūmiṃ okkamanārahā na eko, na dve, anekasatasahassā dhammassa aññātāro bhavissantīti dasseti.

    ปาตุรโหสีติ ปาตุภวิฯ สมเลหิ จินฺติโตติ สมเลหิ ฉหิ สตฺถาเรหิ จินฺติโตฯ เต หิ ปุเรตรํ อุปฺปชฺชิตฺวา สกลชมฺพุทีเป กณฺฎเก ปตฺถรมานา วิย, วิสํ สิญฺจมานา วิย จ สมลํ มิจฺฉาทิฎฺฐิธมฺมํ เทสยิํสุฯ อปาปุเรตนฺติ วิวร เอตํฯ อมตสฺส ทฺวารนฺติ อมตสฺส นิพฺพานสฺส ทฺวารภูตํ อริยมคฺคํฯ สุณนฺตุ ธมฺมํ วิมเลนานุพุทฺธนฺติ อิเม สตฺตา ราคาทิมลานํ อภาวโต วิมเลน สมฺมาสมฺพุเทฺธน อนุพุทฺธํ จตุสจฺจธมฺมํ สุณนฺตุ ตาว ภควาติ ยาจติฯ

    Pāturahosīti pātubhavi. Samalehi cintitoti samalehi chahi satthārehi cintito. Te hi puretaraṃ uppajjitvā sakalajambudīpe kaṇṭake pattharamānā viya, visaṃ siñcamānā viya ca samalaṃ micchādiṭṭhidhammaṃ desayiṃsu. Apāpuretanti vivara etaṃ. Amatassa dvāranti amatassa nibbānassa dvārabhūtaṃ ariyamaggaṃ. Suṇantu dhammaṃ vimalenānubuddhanti ime sattā rāgādimalānaṃ abhāvato vimalena sammāsambuddhena anubuddhaṃ catusaccadhammaṃ suṇantu tāva bhagavāti yācati.

    เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโตติ เสลมเย เอกคฺฆเน ปพฺพตมุทฺธนิ ยถา ฐิโตวฯ น หิ ตสฺส ฐิตสฺส ทสฺสนตฺถํ คีวุกฺขิปนปสารณาทิกิจฺจํ อตฺถิฯ ตถูปมนฺติ ตปฺปฎิภาคํ เสลปพฺพตูปมํฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ยถา เสลปพฺพตมุทฺธนิ ฐิโตว จกฺขุมา ปุริโส สมนฺตโต ชนตํ ปเสฺสยฺย, ตถา ตฺวมฺปิ, สุเมธ, สุนฺทรปญฺญ-สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สมนฺตจกฺขุ ภควา ธมฺมมยํ ปาสาทมารุยฺห สยํ อเปตโสโก โสกาวติณฺณํ ชาติชราภิภูตํ ชนตํ อเวกฺขสฺสุ อุปธารย อุปปริกฺขฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – ยถา หิ ปพฺพตปาเท สมนฺตา มหนฺตํ เขตฺตํ กตฺวา ตตฺถ เกทารปาฬีสุ กุฎิกาโย กตฺวา รตฺติํ อคฺคิํ ชาเลยฺยุํฯ จตุรงฺคสมนฺนาคตญฺจ อนฺธการํ อสฺส, อถ ตสฺส ปพฺพตสฺส มตฺถเก ฐตฺวา จกฺขุมโต ปุริสสฺส ภูมิํ โอโลกยโต เนว เขตฺตํ, น เกทารปาฬิโย, น กุฎิโย, น ตตฺถ สยิตมนุสฺสา ปญฺญาเยยฺยุํฯ กุฎิกาสุ ปน อคฺคิชาลามตฺตกเมว ปญฺญาเยยฺยฯ เอวํ ธมฺมปาสาทํ อารุยฺห สตฺตนิกายํ โอโลกยโต ตถาคตสฺส, เย เต อกตกลฺยาณา สตฺตา, เต เอกวิหาเร ทกฺขิณชาณุปเสฺส นิสินฺนาปิ พุทฺธจกฺขุสฺส อาปาถํ นาคจฺฉนฺติ, รตฺติํ ขิตฺตา สรา วิย โหนฺติฯ เย ปน กตกลฺยาณา เวเนยฺยปุคฺคลา, เต เอวสฺส ทูเรปิ ฐิตา อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ, โส อคฺคิ วิย หิมวนฺตปพฺพโต วิย จฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Sele yathā pabbatamuddhaniṭṭhitoti selamaye ekagghane pabbatamuddhani yathā ṭhitova. Na hi tassa ṭhitassa dassanatthaṃ gīvukkhipanapasāraṇādikiccaṃ atthi. Tathūpamanti tappaṭibhāgaṃ selapabbatūpamaṃ. Ayaṃ panettha saṅkhepattho – yathā selapabbatamuddhani ṭhitova cakkhumā puriso samantato janataṃ passeyya, tathā tvampi, sumedha, sundarapañña-sabbaññutaññāṇena samantacakkhu bhagavā dhammamayaṃ pāsādamāruyha sayaṃ apetasoko sokāvatiṇṇaṃ jātijarābhibhūtaṃ janataṃ avekkhassu upadhāraya upaparikkha. Ayaṃ panettha adhippāyo – yathā hi pabbatapāde samantā mahantaṃ khettaṃ katvā tattha kedārapāḷīsu kuṭikāyo katvā rattiṃ aggiṃ jāleyyuṃ. Caturaṅgasamannāgatañca andhakāraṃ assa, atha tassa pabbatassa matthake ṭhatvā cakkhumato purisassa bhūmiṃ olokayato neva khettaṃ, na kedārapāḷiyo, na kuṭiyo, na tattha sayitamanussā paññāyeyyuṃ. Kuṭikāsu pana aggijālāmattakameva paññāyeyya. Evaṃ dhammapāsādaṃ āruyha sattanikāyaṃ olokayato tathāgatassa, ye te akatakalyāṇā sattā, te ekavihāre dakkhiṇajāṇupasse nisinnāpi buddhacakkhussa āpāthaṃ nāgacchanti, rattiṃ khittā sarā viya honti. Ye pana katakalyāṇā veneyyapuggalā, te evassa dūrepi ṭhitā āpāthaṃ āgacchanti, so aggi viya himavantapabbato viya ca. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ทูเร สโนฺต ปกาเสนฺติ, หิมวโนฺตว ปพฺพโต;

    ‘‘Dūre santo pakāsenti, himavantova pabbato;

    อสเนฺตตฺถ น ทิสฺสนฺติ, รตฺติํ ขิตฺตา ยถา สรา’’ติฯ (ธ. ป. ๓๐๔);

    Asantettha na dissanti, rattiṃ khittā yathā sarā’’ti. (dha. pa. 304);

    อุเฎฺฐหีติ ภควโต ธมฺมเทสนตฺถํ จาริกจรณํ ยาจโนฺต ภณติฯ วีราติอาทีสุ ภควา วีริยวนฺตตาย วีโรฯ เทวปุตฺตมจฺจุกิเลสมารานํ วิชิตตฺตา วิชิตสงฺคาโมฯ ชาติกนฺตาราทินิตฺถรณตฺถาย เวเนยฺยสตฺถวาหนสมตฺถตาย สตฺถวาโหฯ กามจฺฉนฺทอิณสฺส อภาวโต อณโณติ เวทิตโพฺพฯ

    Uṭṭhehīti bhagavato dhammadesanatthaṃ cārikacaraṇaṃ yācanto bhaṇati. Vīrātiādīsu bhagavā vīriyavantatāya vīro. Devaputtamaccukilesamārānaṃ vijitattā vijitasaṅgāmo. Jātikantārādinittharaṇatthāya veneyyasatthavāhanasamatthatāya satthavāho. Kāmacchandaiṇassa abhāvato aṇaṇoti veditabbo.

    ๒๘๓. อเชฺฌสนนฺติ ยาจนํฯ พุทฺธจกฺขุนาติ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาเณน จ อาสยานุสยญาเณน จฯ อิเมสญฺหิ ทฺวินฺนํ ญาณานํ พุทฺธจกฺขูติ นามํ, สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส สมนฺตจกฺขูติ, ติณฺณํ มคฺคญาณานํ ธมฺมจกฺขูติฯ อปฺปรชเกฺขติอาทีสุ เยสํ วุตฺตนเยเนว ปญฺญาจกฺขุมฺหิ ราคาทิรชํ อปฺปํ, เต อปฺปรชกฺขาฯ เยสํ ตํ มหนฺตํ, เต มหารชกฺขาฯ เยสํ สทฺธาทีนิ อินฺทฺริยานิ ติกฺขานิ, เต ติกฺขินฺทฺริยาฯ เยสํ ตานิ มุทูนิ, เต มุทินฺทฺริยาฯ เยสํ เตเยว สทฺธาทโย อาการา สุนฺทรา, เต สฺวาการาฯ เย กถิตการณํ สลฺลเกฺขนฺติ, สุเขน สกฺกา โหนฺติ วิญฺญาเปตุํ, เต สุวิญฺญาปยาฯ เย ปรโลกเญฺจว วชฺชญฺจ ภยโต ปสฺสนฺติ, เต ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิโน นามฯ

    283.Ajjhesananti yācanaṃ. Buddhacakkhunāti indriyaparopariyattañāṇena ca āsayānusayañāṇena ca. Imesañhi dvinnaṃ ñāṇānaṃ buddhacakkhūti nāmaṃ, sabbaññutaññāṇassa samantacakkhūti, tiṇṇaṃ maggañāṇānaṃ dhammacakkhūti. Apparajakkhetiādīsu yesaṃ vuttanayeneva paññācakkhumhi rāgādirajaṃ appaṃ, te apparajakkhā. Yesaṃ taṃ mahantaṃ, te mahārajakkhā. Yesaṃ saddhādīni indriyāni tikkhāni, te tikkhindriyā. Yesaṃ tāni mudūni, te mudindriyā. Yesaṃ teyeva saddhādayo ākārā sundarā, te svākārā. Ye kathitakāraṇaṃ sallakkhenti, sukhena sakkā honti viññāpetuṃ, te suviññāpayā. Ye paralokañceva vajjañca bhayato passanti, te paralokavajjabhayadassāvino nāma.

    อยํ ปเนตฺถ ปาฬิ – ‘‘สโทฺธ ปุคฺคโล อปฺปรชโกฺข, อสฺสโทฺธ ปุคฺคโล มหารชโกฺขฯ อารทฺธวีริโย…, กุสิโต…, อุปฎฺฐิตสฺสติ…, มุฎฺฐสฺสติ…, สมาหิโต…, อสมาหิโต…, ปญฺญวา…, ทุปฺปโญฺญ ปุคฺคโล มหารชโกฺขฯ ตถา สโทฺธ ปุคฺคโล ติกฺขินฺทฺริโย…เป.… ปญฺญวา ปุคฺคโล ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวี, ทุปฺปโญฺญ ปุคฺคโล น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวีฯ โลโกติ ขนฺธโลโก, อายตนโลโก, ธาตุโลโก, สมฺปตฺติภวโลโก, สมฺปตฺติสมฺภวโลโก, วิปตฺติภวโลโก, วิปตฺติสมฺภวโลโก, เอโก โลโก สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกาฯ เทฺว โลกา – นามญฺจ รูปญฺจฯ ตโย โลกา – ติโสฺส เวทนาฯ จตฺตาโร โลกา – จตฺตาโร อาหาราฯ ปญฺจ โลกา – ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาฯ ฉ โลกา – ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิฯ สตฺต โลกา – สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโยฯ อฎฺฐ โลกา – อฎฺฐ โลกธมฺมาฯ นว โลกา – นว สตฺตาวาสาฯ ทส โลกา – ทสายตนานิฯ ทฺวาทส โลกา – ทฺวาทสายตนานิฯ อฎฺฐารส โลกา – อฎฺฐารสฺส ธาตุโยฯ วชฺชนฺติ สเพฺพ กิเลสา วชฺชา, สเพฺพ ทุจฺจริตา วชฺชา, สเพฺพ อภิสงฺขารา วชฺชา, สเพฺพ ภวคามิกมฺมา วชฺชาฯ อิติ อิมสฺมิญฺจ โลเก อิมสฺมิญฺจ วเชฺช ติพฺพา ภยสญฺญา ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติ, เสยฺยถาปิ อุกฺขิตฺตาสิเก วธเกฯ อิเมหิ ปญฺญาสาย อากาเรหิ อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ ชานาติ ปสฺสติ อญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌิฯ อิทํ ตถาคตสฺส อินฺทฺริยปโรปริยเตฺต ญาณ’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๒)ฯ

    Ayaṃ panettha pāḷi – ‘‘saddho puggalo apparajakkho, assaddho puggalo mahārajakkho. Āraddhavīriyo…, kusito…, upaṭṭhitassati…, muṭṭhassati…, samāhito…, asamāhito…, paññavā…, duppañño puggalo mahārajakkho. Tathā saddho puggalo tikkhindriyo…pe… paññavā puggalo paralokavajjabhayadassāvī, duppañño puggalo na paralokavajjabhayadassāvī. Lokoti khandhaloko, āyatanaloko, dhātuloko, sampattibhavaloko, sampattisambhavaloko, vipattibhavaloko, vipattisambhavaloko, eko loko sabbe sattā āhāraṭṭhitikā. Dve lokā – nāmañca rūpañca. Tayo lokā – tisso vedanā. Cattāro lokā – cattāro āhārā. Pañca lokā – pañcupādānakkhandhā. Cha lokā – cha ajjhattikāni āyatanāni. Satta lokā – satta viññāṇaṭṭhitiyo. Aṭṭha lokā – aṭṭha lokadhammā. Nava lokā – nava sattāvāsā. Dasa lokā – dasāyatanāni. Dvādasa lokā – dvādasāyatanāni. Aṭṭhārasa lokā – aṭṭhārassa dhātuyo. Vajjanti sabbe kilesā vajjā, sabbe duccaritā vajjā, sabbe abhisaṅkhārā vajjā, sabbe bhavagāmikammā vajjā. Iti imasmiñca loke imasmiñca vajje tibbā bhayasaññā paccupaṭṭhitā hoti, seyyathāpi ukkhittāsike vadhake. Imehi paññāsāya ākārehi imāni pañcindriyāni jānāti passati aññāsi paṭivijjhi. Idaṃ tathāgatassa indriyaparopariyatte ñāṇa’’nti (paṭi. ma. 1.112).

    อุปฺปลินิยนฺติ อุปฺปลวเนฯ อิตเรสุปิ เอเสว นโยฯ อโนฺตนิมุคฺคโปสีนีติ ยานิ อโนฺต นิมุคฺคาเนว โปสิยนฺติฯ อุทกํ อจฺจุคฺคมฺม ฐิตานีติ อุทกํ อติกฺกมิตฺวา ฐิตานิฯ ตตฺถ ยานิ อจฺจุคฺคมฺม ฐิตานิ, ตานิ สูริยรสฺมิสมฺผสฺสํ อาคมยมานานิ ฐิตานิ อชฺช ปุปฺผนกานิฯ ยานิ สโมทกํ ฐิตานิ, ตานิ เสฺว ปุปฺผนกานิฯ ยานิ อุทกานุคฺคตานิ อโนฺตนิมุคฺคโปสีนิ, ตานิ ตติยทิวเส ปุปฺผนกานิฯ อุทกา ปน อนุคฺคตานิ อญฺญานิปิ สโรคอุปฺปลาทีนิ นาม อตฺถิ, ยานิ เนว ปุปฺผิสฺสนฺติ, มจฺฉกจฺฉปภกฺขาเนว ภวิสฺสนฺติฯ ตานิ ปาฬิํ นารุฬฺหานิฯ อาหริตฺวา ปน ทีเปตพฺพานีติ ทีปิตานิฯ

    Uppaliniyanti uppalavane. Itaresupi eseva nayo. Antonimuggaposīnīti yāni anto nimuggāneva posiyanti. Udakaṃ accuggamma ṭhitānīti udakaṃ atikkamitvā ṭhitāni. Tattha yāni accuggamma ṭhitāni, tāni sūriyarasmisamphassaṃ āgamayamānāni ṭhitāni ajja pupphanakāni. Yāni samodakaṃ ṭhitāni, tāni sve pupphanakāni. Yāni udakānuggatāni antonimuggaposīni, tāni tatiyadivase pupphanakāni. Udakā pana anuggatāni aññānipi sarogauppalādīni nāma atthi, yāni neva pupphissanti, macchakacchapabhakkhāneva bhavissanti. Tāni pāḷiṃ nāruḷhāni. Āharitvā pana dīpetabbānīti dīpitāni.

    ยเถว หิ ตานิ จตุพฺพิธานิ ปุปฺผานิ, เอวเมว อุคฺฆฎิตญฺญู วิปญฺจิตญฺญู เนโยฺย ปทปรโมติ จตฺตาโร ปุคฺคลาฯ ตตฺถ ‘‘ยสฺส ปุคฺคลสฺส สห อุทาหฎเวลาย ธมฺมาภิสมโย โหติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล อุคฺฆฎิตญฺญูฯ ยสฺส ปุคฺคลสฺส สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อเตฺถ วิภชิยมาเน ธมฺมาภิสมโย โหติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล วิปญฺจิตญฺญูฯ ยสฺส ปุคฺคลสฺส อุเทฺทสโต ปริปุจฺฉโต โยนิโส มนสิกโรโต กลฺยาณมิเตฺต เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต อนุปุเพฺพน ธมฺมาภิสมโย โหติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล เนโยฺยฯ ยสฺส ปุคฺคลสฺส พหุมฺปิ สุณโต พหุมฺปิ ภณโต พหุมฺปิ ธารยโต พหุมฺปิ วาจยโต น ตาย ชาติยา ธมฺมาภิสมโย โหติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ปทปรโม’’ (ปุ. ป. ๑๕๑)ฯ ตตฺถ ภควา อุปฺปลวนาทิสทิสํ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ โอโลเกโนฺต ‘‘อชฺช ปุปฺผนกานิ วิย อุคฺฆฎิตญฺญู, เสฺว ปุปฺผนกานิ วิย วิปญฺจิตญฺญู, ตติยทิวเส ปุปฺผนกานิ วิย เนโยฺย, มจฺฉกจฺฉปภกฺขานิ ปุปฺผานิ วิย ปทปรโม’’ติ อทฺทสฯ ปสฺสโนฺต จ ‘‘เอตฺตกา อปฺปรชกฺขา, เอตฺตกา มหารชกฺขา, ตตฺราปิ เอตฺตกา อุคฺฆฎิตญฺญู’’ติ เอวํ สพฺพาการโตว อทฺทสฯ

    Yatheva hi tāni catubbidhāni pupphāni, evameva ugghaṭitaññū vipañcitaññū neyyo padaparamoti cattāro puggalā. Tattha ‘‘yassa puggalassa saha udāhaṭavelāya dhammābhisamayo hoti, ayaṃ vuccati puggalo ugghaṭitaññū. Yassa puggalassa saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthe vibhajiyamāne dhammābhisamayo hoti, ayaṃ vuccati puggalo vipañcitaññū. Yassa puggalassa uddesato paripucchato yoniso manasikaroto kalyāṇamitte sevato bhajato payirupāsato anupubbena dhammābhisamayo hoti, ayaṃ vuccati puggalo neyyo. Yassa puggalassa bahumpi suṇato bahumpi bhaṇato bahumpi dhārayato bahumpi vācayato na tāya jātiyā dhammābhisamayo hoti, ayaṃ vuccati puggalo padaparamo’’ (pu. pa. 151). Tattha bhagavā uppalavanādisadisaṃ dasasahassilokadhātuṃ olokento ‘‘ajja pupphanakāni viya ugghaṭitaññū, sve pupphanakāni viya vipañcitaññū, tatiyadivase pupphanakāni viya neyyo, macchakacchapabhakkhāni pupphāni viya padaparamo’’ti addasa. Passanto ca ‘‘ettakā apparajakkhā, ettakā mahārajakkhā, tatrāpi ettakā ugghaṭitaññū’’ti evaṃ sabbākāratova addasa.

    ตตฺถ ติณฺณํ ปุคฺคลานํ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว ภควโต ธมฺมเทสนา อตฺถํ สาเธติฯ ปทปรมานํ อนาคเต วาสนตฺถาย โหติฯ อถ ภควา อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อตฺถาวหํ ธมฺมเทสนํ วิทิตฺวา เทเสตุกมฺยตํ อุปฺปาเทตฺวา ปุน สเพฺพปิ ตีสุ ภเวสุ สเตฺต ภพฺพาภพฺพวเสน เทฺว โกฎฺฐาเส อกาสิฯ เย สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘กตเม เต สตฺตา อภพฺพา, เย เต สตฺตา กมฺมาวรเณน สมนฺนาคตา กิเลสาวรเณน สมนฺนาคตา วิปากาวรเณน สมนฺนาคตา อสฺสทฺธา อจฺฉนฺทิกา ทุปฺปญฺญา อภพฺพา นิยามํ โอกฺกมิตุํ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺตํ, อิเม เต สตฺตา อภพฺพาฯ กตเม เต สตฺตา ภพฺพา? เย เต สตฺตา น กมฺมาวรเณน…เป.… อิเม เต สตฺตา ภพฺพา’’ติ (วิภ. ๘๒๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๑๕)ฯ ตตฺถ สเพฺพปิ อภพฺพปุคฺคเล ปหาย ภพฺพปุคฺคเลเยว ญาเณน ปริคฺคเหตฺวา ‘‘เอตฺตกา ราคจริตา, เอตฺตกา โทสโมหจริตา วิตกฺกสทฺธาพุทฺธิจริตา’’ติ ฉ โกฎฺฐาเส อกาสิ; เอวํ กตฺวา ธมฺมํ เทสิสฺสามีติ จิเนฺตสิฯ

    Tattha tiṇṇaṃ puggalānaṃ imasmiṃyeva attabhāve bhagavato dhammadesanā atthaṃ sādheti. Padaparamānaṃ anāgate vāsanatthāya hoti. Atha bhagavā imesaṃ catunnaṃ puggalānaṃ atthāvahaṃ dhammadesanaṃ viditvā desetukamyataṃ uppādetvā puna sabbepi tīsu bhavesu satte bhabbābhabbavasena dve koṭṭhāse akāsi. Ye sandhāya vuttaṃ – ‘‘katame te sattā abhabbā, ye te sattā kammāvaraṇena samannāgatā kilesāvaraṇena samannāgatā vipākāvaraṇena samannāgatā assaddhā acchandikā duppaññā abhabbā niyāmaṃ okkamituṃ kusalesu dhammesu sammattaṃ, ime te sattā abhabbā. Katame te sattā bhabbā? Ye te sattā na kammāvaraṇena…pe… ime te sattā bhabbā’’ti (vibha. 827; paṭi. ma. 1.115). Tattha sabbepi abhabbapuggale pahāya bhabbapuggaleyeva ñāṇena pariggahetvā ‘‘ettakā rāgacaritā, ettakā dosamohacaritā vitakkasaddhābuddhicaritā’’ti cha koṭṭhāse akāsi; evaṃ katvā dhammaṃ desissāmīti cintesi.

    ปจฺจภาสินฺติ ปติอภาสิํฯ อปารุตาติ วิวฎาฯ อมตสฺส ทฺวาราติ อริยมโคฺคฯ โส หิ อมตสงฺขาตสฺส นิพฺพานสฺส ทฺวารํ, โส มยา วิวริตฺวา ฐปิโตติ ทเสฺสติฯ ปมุญฺจนฺตุ สทฺธนฺติ สเพฺพ อตฺตโน สทฺธํ ปมุญฺจนฺตุ, วิสฺสเชฺชนฺตุฯ ปจฺฉิมปททฺวเย อยมโตฺถ, อหญฺหิ อตฺตโน ปคุณํ สุปฺปวตฺติตมฺปิ อิมํ ปณีตํ อุตฺตมํ ธมฺมํ กายวาจากิลมถสญฺญี หุตฺวา น ภาสิํ ฯ อิทานิ ปน สโพฺพ ชโน สทฺธาภาชนํ อุปเนตุ, ปูเรสฺสามิ เนสํ สงฺกปฺปนฺติฯ

    Paccabhāsinti patiabhāsiṃ. Apārutāti vivaṭā. Amatassa dvārāti ariyamaggo. So hi amatasaṅkhātassa nibbānassa dvāraṃ, so mayā vivaritvā ṭhapitoti dasseti. Pamuñcantu saddhanti sabbe attano saddhaṃ pamuñcantu, vissajjentu. Pacchimapadadvaye ayamattho, ahañhi attano paguṇaṃ suppavattitampi imaṃ paṇītaṃ uttamaṃ dhammaṃ kāyavācākilamathasaññī hutvā na bhāsiṃ . Idāni pana sabbo jano saddhābhājanaṃ upanetu, pūressāmi nesaṃ saṅkappanti.

    ๒๘๔. ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตทโหสีติ เอตํ อโหสิ – กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยนฺติ อยํ ธมฺมเทสนาปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อุทปาทีติ อโตฺถฯ กทา ปเนส อุทปาทีติ? พุทฺธภูตสฺส อฎฺฐเม สตฺตาเหฯ

    284.Tassa mayhaṃ, bhikkhave, etadahosīti etaṃ ahosi – kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyyanti ayaṃ dhammadesanāpaṭisaṃyutto vitakko udapādīti attho. Kadā panesa udapādīti? Buddhabhūtassa aṭṭhame sattāhe.

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – โพธิสโตฺต กิร มหาภินิกฺขมนทิวเส วิวฎํ อิตฺถาคารํ ทิสฺวา สํวิคฺคหทโย, ‘‘กณฺฑกํ อาหรา’’ติ ฉนฺนํ อามเนฺตตฺวา ฉนฺนสหาโย อสฺสราชปิฎฺฐิคโต นครโต นิกฺขมิตฺวา กณฺฑกนิวตฺตนเจติยฎฺฐานํ นาม ทเสฺสตฺวา ตีณิ รชฺชานิ อติกฺกมฺม อโนมานทีตีเร ปพฺพชิตฺวา อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน ราชคเห ปิณฺฑาย จริตฺวา ปณฺฑวปพฺพเต นิสิโนฺน มคธิสฺสเรน รญฺญา นามโคตฺตํ ปุจฺฉิตฺวา, ‘‘อิมํ รชฺชํ สมฺปฎิจฺฉาหี’’ติ วุโตฺต, ‘‘อลํ มหาราช, น มยฺหํ รเชฺชน อโตฺถ, อหํ รชฺชํ ปหาย โลกหิตตฺถาย ปธานํ อนุยุญฺชิตฺวา โลเก วิวฎจฺฉโท ภวิสฺสามีติ นิกฺขโนฺต’’ติ วตฺวา, ‘‘เตน หิ พุโทฺธ หุตฺวา ปฐมํ มยฺหํ วิชิตํ โอสเรยฺยาสี’’ติ ปฎิญฺญํ คหิโต กาลามญฺจ อุทกญฺจ อุปสงฺกมิตฺวา เตสํ ธมฺมเทสนาย สารํ อวินฺทโนฺต ตโต ปกฺกมิตฺวา อุรุเวฬาย ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรการิกํ กโรโนฺตปิ อมตํ ปฎิวิชฺฌิตุํ อสโกฺกโนฺต โอฬาริกาหารปฎิเสวเนน กายํ สนฺตเปฺปสิฯ

    Tatrāyaṃ anupubbikathā – bodhisatto kira mahābhinikkhamanadivase vivaṭaṃ itthāgāraṃ disvā saṃviggahadayo, ‘‘kaṇḍakaṃ āharā’’ti channaṃ āmantetvā channasahāyo assarājapiṭṭhigato nagarato nikkhamitvā kaṇḍakanivattanacetiyaṭṭhānaṃ nāma dassetvā tīṇi rajjāni atikkamma anomānadītīre pabbajitvā anupubbena cārikaṃ caramāno rājagahe piṇḍāya caritvā paṇḍavapabbate nisinno magadhissarena raññā nāmagottaṃ pucchitvā, ‘‘imaṃ rajjaṃ sampaṭicchāhī’’ti vutto, ‘‘alaṃ mahārāja, na mayhaṃ rajjena attho, ahaṃ rajjaṃ pahāya lokahitatthāya padhānaṃ anuyuñjitvā loke vivaṭacchado bhavissāmīti nikkhanto’’ti vatvā, ‘‘tena hi buddho hutvā paṭhamaṃ mayhaṃ vijitaṃ osareyyāsī’’ti paṭiññaṃ gahito kālāmañca udakañca upasaṅkamitvā tesaṃ dhammadesanāya sāraṃ avindanto tato pakkamitvā uruveḷāya chabbassāni dukkarakārikaṃ karontopi amataṃ paṭivijjhituṃ asakkonto oḷārikāhārapaṭisevanena kāyaṃ santappesi.

    ตทา จ อุรุเวลคาเม สุชาตา นาม กุฎุมฺพิยธีตา เอกสฺมิํ นิโคฺรธรุเกฺข ปตฺถนมกาสิ – ‘‘สจาหํ สมานชาติกํ กุลฆรํ คนฺตฺวา ปฐมคเพฺภ ปุตฺตํ ลภิสฺสามิ, พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ ตสฺสา สา ปตฺถนา สมิชฺฌิฯ สา วิสาขปุณฺณมทิวเส ปาโตว พลิกมฺมํ กริสฺสามีติ รตฺติยา ปจฺจูสสมเย เอว ปายสํ ปฎิยาเทสิฯ ตสฺมิํ ปายเส ปจฺจมาเน มหนฺตมหนฺตา ปุปฺผุฬา อุฎฺฐหิตฺวา ทกฺขิณาวฎฺฎา หุตฺวา สญฺจรนฺติฯ เอกผุสิตมฺปิ พหิ น คจฺฉติฯ มหาพฺรหฺมา ฉตฺตํ ธาเรสิฯ จตฺตาโร โลกปาลา ขคฺคหตฺถา อารกฺขํ คณฺหิํสุฯ สโกฺก อลาตานิ สมาเนโนฺต อคฺคิํ ชาเลสิฯ เทวตา จตูสุ ทีเปสุ โอชํ สํหริตฺวา ตตฺถ ปกฺขิปิํสุฯ โพธิสโตฺต ภิกฺขาจารกาลํ อาคมยมาโน ปาโตว คนฺตฺวา รุกฺขมูเล นิสีทิฯ รุกฺขมูเล โสธนตฺถาย คตา ธาตี อาคนฺตฺวา สุชาตาย อาโรเจสิ – ‘‘เทวตา รุกฺขมูเล นิสินฺนา’’ติฯ สุชาตา, สพฺพํ ปสาธนํ ปสาเธตฺวา สตสหสฺสคฺฆนิเก สุวณฺณถาเล ปายสํ วเฑฺฒตฺวา อปราย สุวณฺณปาติยา ปิทหิตฺวา อุกฺขิปิตฺวา คตา มหาปุริสํ ทิสฺวา สเหว ปาติยา หเตฺถ ฐเปตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ยถา มยฺหํ มโนรโถ นิปฺผโนฺน, เอวํ ตุมฺหากมฺปิ นิปฺผชฺชตู’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tadā ca uruvelagāme sujātā nāma kuṭumbiyadhītā ekasmiṃ nigrodharukkhe patthanamakāsi – ‘‘sacāhaṃ samānajātikaṃ kulagharaṃ gantvā paṭhamagabbhe puttaṃ labhissāmi, balikammaṃ karissāmī’’ti. Tassā sā patthanā samijjhi. Sā visākhapuṇṇamadivase pātova balikammaṃ karissāmīti rattiyā paccūsasamaye eva pāyasaṃ paṭiyādesi. Tasmiṃ pāyase paccamāne mahantamahantā pupphuḷā uṭṭhahitvā dakkhiṇāvaṭṭā hutvā sañcaranti. Ekaphusitampi bahi na gacchati. Mahābrahmā chattaṃ dhāresi. Cattāro lokapālā khaggahatthā ārakkhaṃ gaṇhiṃsu. Sakko alātāni samānento aggiṃ jālesi. Devatā catūsu dīpesu ojaṃ saṃharitvā tattha pakkhipiṃsu. Bodhisatto bhikkhācārakālaṃ āgamayamāno pātova gantvā rukkhamūle nisīdi. Rukkhamūle sodhanatthāya gatā dhātī āgantvā sujātāya ārocesi – ‘‘devatā rukkhamūle nisinnā’’ti. Sujātā, sabbaṃ pasādhanaṃ pasādhetvā satasahassagghanike suvaṇṇathāle pāyasaṃ vaḍḍhetvā aparāya suvaṇṇapātiyā pidahitvā ukkhipitvā gatā mahāpurisaṃ disvā saheva pātiyā hatthe ṭhapetvā vanditvā ‘‘yathā mayhaṃ manoratho nipphanno, evaṃ tumhākampi nipphajjatū’’ti vatvā pakkāmi.

    โพธิสโตฺต เนรญฺชราย ตีรํ คนฺตฺวา สุวณฺณถาลํ ตีเร ฐเปตฺวา นฺหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา เอกูนปณฺณาสปิเณฺฑ กโรโนฺต ปายสํ ปริภุญฺชิตฺวา ‘‘สจาหํ อชฺช พุโทฺธ ภวามิ, ถาลํ ปฎิโสตํ คจฺฉตู’’ติ ขิปิฯ ถาลํ ปฎิโสตํ คนฺตฺวา โถกํ ฐตฺวา กาลนาคราชสฺส ภวนํ ปวิสิตฺวา ติณฺณํ พุทฺธานํ ถาลานิ อุกฺขิปิตฺวา อฎฺฐาสิฯ

    Bodhisatto nerañjarāya tīraṃ gantvā suvaṇṇathālaṃ tīre ṭhapetvā nhatvā paccuttaritvā ekūnapaṇṇāsapiṇḍe karonto pāyasaṃ paribhuñjitvā ‘‘sacāhaṃ ajja buddho bhavāmi, thālaṃ paṭisotaṃ gacchatū’’ti khipi. Thālaṃ paṭisotaṃ gantvā thokaṃ ṭhatvā kālanāgarājassa bhavanaṃ pavisitvā tiṇṇaṃ buddhānaṃ thālāni ukkhipitvā aṭṭhāsi.

    มหาสโตฺต วนสเณฺฑ ทิวาวิหารํ กตฺวา สายนฺหสมเย โสตฺติเยน ทินฺนา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย คเหตฺวา โพธิมณฺฑํ อารุยฺห ทกฺขิณทิสาภาเค อฎฺฐาสิฯ โส ปเทโส ปทุมินิปเตฺต อุทกพินฺทุ วิย อกมฺปิตฺถฯ มหาสโตฺต, ‘‘อยํ มม คุณํ ธาเรตุํ น สโกฺกตี’’ติ ปจฺฉิมทิสาภาคํ อคมาสิ, โสปิ ตเถว อกมฺปิตฺถฯ อุตฺตรทิสาภาคํ อคมาสิ, โสปิ ตเถว อกมฺปิตฺถฯ ปุรตฺถิมทิสาภาคํ อคมาสิ, ตตฺถ ปลฺลงฺกปฺปมาณํ ฐานํ สุนิขาตอินฺทขิโล วิย นิจฺจลมโหสิฯ มหาสโตฺต ‘‘อิทํ ฐานํ สพฺพพุทฺธานํ กิเลสภญฺชนวิทฺธํสนฎฺฐาน’’นฺติ ตานิ ติณานิ อเคฺค คเหตฺวา จาเลสิฯ ตานิ จิตฺตกาเรน ตูลิกเคฺคน ปริจฺฉินฺนานิ วิย อเหสุํฯ โพธิสโตฺต , ‘‘โพธิํ อปฺปตฺวา อิมํ ปลฺลงฺกํ น ภินฺทิสฺสามี’’ติ จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐหิตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ

    Mahāsatto vanasaṇḍe divāvihāraṃ katvā sāyanhasamaye sottiyena dinnā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo gahetvā bodhimaṇḍaṃ āruyha dakkhiṇadisābhāge aṭṭhāsi. So padeso paduminipatte udakabindu viya akampittha. Mahāsatto, ‘‘ayaṃ mama guṇaṃ dhāretuṃ na sakkotī’’ti pacchimadisābhāgaṃ agamāsi, sopi tatheva akampittha. Uttaradisābhāgaṃ agamāsi, sopi tatheva akampittha. Puratthimadisābhāgaṃ agamāsi, tattha pallaṅkappamāṇaṃ ṭhānaṃ sunikhātaindakhilo viya niccalamahosi. Mahāsatto ‘‘idaṃ ṭhānaṃ sabbabuddhānaṃ kilesabhañjanaviddhaṃsanaṭṭhāna’’nti tāni tiṇāni agge gahetvā cālesi. Tāni cittakārena tūlikaggena paricchinnāni viya ahesuṃ. Bodhisatto , ‘‘bodhiṃ appatvā imaṃ pallaṅkaṃ na bhindissāmī’’ti caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhahitvā pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi.

    ตงฺขณเญฺญว มาโร พาหุสหสฺสํ มาเปตฺวา ทิยฑฺฒโยชนสติกํ คิริเมขลํ นาม หตฺถิํ อารุยฺห นวโยชนํ มารพลํ คเหตฺวา อทฺธกฺขิเกน โอโลกยมาโน ปพฺพโต วิย อโชฺฌตฺถรโนฺต อุปสงฺกมิฯ มหาสโตฺต, ‘‘มยฺหํ ทส ปารมิโย ปูเรนฺตสฺส อโญฺญ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา สกฺขิ นตฺถิ, เวสฺสนฺตรตฺตภาเว ปน มยฺหํ สตฺตสุ วาเรสุ มหาปถวี สกฺขิ อโหสิ; อิทานิปิ เม อยเมว อเจตนา กฎฺฐกลิงฺครูปมา มหาปถวี สกฺขี’’ติ หตฺถํ ปสาเรติฯ มหาปถวี ตาวเทว อยทเณฺฑน ปหตํ กํสถาลํ วิย รวสตํ รวสหสฺสํ มุญฺจมานา วิรวิตฺวา ปริวตฺตมานา มารพลํ จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ มุญฺจนมกาสิฯ มหาสโตฺต สูริเย ธรมาเนเยว มารพลํ วิธมิตฺวา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสญาณํ, มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา ปจฺฉิมยาเม ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ญาณํ โอตาเรตฺวา วฎฺฎวิวฎฺฎํ สมฺมสิตฺวา อรุโณทเย พุโทฺธ หุตฺวา , ‘‘มยา อเนกกปฺปโกฎิสตสหสฺสํ อทฺธานํ อิมสฺส ปลฺลงฺกสฺส อตฺถาย วายาโม กโต’’ติ สตฺตาหํ เอกปลฺลเงฺกน นิสีทิฯ อเถกจฺจานํ เทวตานํ, ‘‘กิํ นุ โข อเญฺญปิ พุทฺธตฺตกรา ธมฺมา อตฺถี’’ติ กงฺขา อุทปาทิฯ

    Taṅkhaṇaññeva māro bāhusahassaṃ māpetvā diyaḍḍhayojanasatikaṃ girimekhalaṃ nāma hatthiṃ āruyha navayojanaṃ mārabalaṃ gahetvā addhakkhikena olokayamāno pabbato viya ajjhottharanto upasaṅkami. Mahāsatto, ‘‘mayhaṃ dasa pāramiyo pūrentassa añño samaṇo vā brāhmaṇo vā devo vā māro vā brahmā vā sakkhi natthi, vessantarattabhāve pana mayhaṃ sattasu vāresu mahāpathavī sakkhi ahosi; idānipi me ayameva acetanā kaṭṭhakaliṅgarūpamā mahāpathavī sakkhī’’ti hatthaṃ pasāreti. Mahāpathavī tāvadeva ayadaṇḍena pahataṃ kaṃsathālaṃ viya ravasataṃ ravasahassaṃ muñcamānā viravitvā parivattamānā mārabalaṃ cakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ muñcanamakāsi. Mahāsatto sūriye dharamāneyeva mārabalaṃ vidhamitvā paṭhamayāme pubbenivāsañāṇaṃ, majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhetvā pacchimayāme paṭiccasamuppāde ñāṇaṃ otāretvā vaṭṭavivaṭṭaṃ sammasitvā aruṇodaye buddho hutvā , ‘‘mayā anekakappakoṭisatasahassaṃ addhānaṃ imassa pallaṅkassa atthāya vāyāmo kato’’ti sattāhaṃ ekapallaṅkena nisīdi. Athekaccānaṃ devatānaṃ, ‘‘kiṃ nu kho aññepi buddhattakarā dhammā atthī’’ti kaṅkhā udapādi.

    อถ ภควา อฎฺฐเม ทิวเส สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย เทวตานํ กงฺขํ ญตฺวา กงฺขาวิธมนตฺถํ อากาเส อุปฺปติตฺวา ยมกปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวา ตาสํ กงฺขํ วิธมิตฺวา ปลฺลงฺกโต อีสกํ ปาจีนนิสฺสิเต อุตฺตรทิสาภาเค ฐตฺวา จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปูริตานํ ปารมีนํ ผลาธิคมฎฺฐานํ ปลฺลงฺกเญฺจว โพธิรุกฺขญฺจ อนิมิเสหิ อกฺขีหิ โอโลกยมาโน สตฺตาหํ วีตินาเมสิ, ตํ ฐานํ อนิมิสเจติยํ นาม ชาตํฯ

    Atha bhagavā aṭṭhame divase samāpattito vuṭṭhāya devatānaṃ kaṅkhaṃ ñatvā kaṅkhāvidhamanatthaṃ ākāse uppatitvā yamakapāṭihāriyaṃ dassetvā tāsaṃ kaṅkhaṃ vidhamitvā pallaṅkato īsakaṃ pācīnanissite uttaradisābhāge ṭhatvā cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pūritānaṃ pāramīnaṃ phalādhigamaṭṭhānaṃ pallaṅkañceva bodhirukkhañca animisehi akkhīhi olokayamāno sattāhaṃ vītināmesi, taṃ ṭhānaṃ animisacetiyaṃ nāma jātaṃ.

    อถ ปลฺลงฺกสฺส จ ฐิตฎฺฐานสฺส จ อนฺตรา ปุรตฺถิมปจฺฉิมโต อายเต รตนจงฺกเม จงฺกมโนฺต สตฺตาหํ วีตินาเมสิ, ตํ ฐานํ รตนจงฺกมเจติยํ นาม ชาตํฯ ตโต ปจฺฉิมทิสาภาเค เทวตา รตนฆรํ มาปยิํสุ, ตตฺถ ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา อภิธมฺมปิฎกํ วิเสสโต เจตฺถ อนนฺตนยสมนฺตปฎฺฐานํ วิจินโนฺต สตฺตาหํ วีตินาเมสิ, ตํ ฐานํ รตนฆรเจติยํ นาม ชาตํฯ เอวํ โพธิสมีเปเยว จตฺตาริ สตฺตาหานิ วีตินาเมตฺวา ปญฺจเม สตฺตาเห โพธิรุกฺขมูลา เยน อชปาลนิโคฺรโธ เตนุปสงฺกมิ, ตตฺราปิ ธมฺมํ วิจินโนฺตเยว วิมุตฺติสุขญฺจ ปฎิสํเวเทโนฺต นิสีทิ, ธมฺมํ วิจินโนฺต เจตฺถ เอวํ อภิธเมฺม นยมคฺคํ สมฺมสิ – ปฐมํ ธมฺมสงฺคณีปกรณํ นาม, ตโต วิภงฺคปกรณํ, ธาตุกถาปกรณํ, ปุคฺคลปญฺญตฺติปกรณํ, กถาวตฺถุ นาม ปกรณํ, ยมกํ นาม ปกรณํ, ตโต มหาปกรณํ ปฎฺฐานํ นามาติฯ

    Atha pallaṅkassa ca ṭhitaṭṭhānassa ca antarā puratthimapacchimato āyate ratanacaṅkame caṅkamanto sattāhaṃ vītināmesi, taṃ ṭhānaṃ ratanacaṅkamacetiyaṃ nāma jātaṃ. Tato pacchimadisābhāge devatā ratanagharaṃ māpayiṃsu, tattha pallaṅkena nisīditvā abhidhammapiṭakaṃ visesato cettha anantanayasamantapaṭṭhānaṃ vicinanto sattāhaṃ vītināmesi, taṃ ṭhānaṃ ratanagharacetiyaṃ nāma jātaṃ. Evaṃ bodhisamīpeyeva cattāri sattāhāni vītināmetvā pañcame sattāhe bodhirukkhamūlā yena ajapālanigrodho tenupasaṅkami, tatrāpi dhammaṃ vicinantoyeva vimuttisukhañca paṭisaṃvedento nisīdi, dhammaṃ vicinanto cettha evaṃ abhidhamme nayamaggaṃ sammasi – paṭhamaṃ dhammasaṅgaṇīpakaraṇaṃ nāma, tato vibhaṅgapakaraṇaṃ, dhātukathāpakaraṇaṃ, puggalapaññattipakaraṇaṃ, kathāvatthu nāma pakaraṇaṃ, yamakaṃ nāma pakaraṇaṃ, tato mahāpakaraṇaṃ paṭṭhānaṃ nāmāti.

    ตตฺถสฺส สณฺหสุขุมปฎฺฐานมฺหิ จิเตฺต โอติเณฺณ ปีติ อุปฺปชฺชิ; ปีติยา อุปฺปนฺนาย โลหิตํ ปสีทิ, โลหิเต ปสเนฺน ฉวิ ปสีทิฯ ฉวิยา ปสนฺนาย ปุรตฺถิมกายโต กูฎาคาราทิปฺปมาณา รสฺมิโย อุฎฺฐหิตฺวา อากาเส ปกฺขนฺทฉทฺทนฺตนาคกุลํ วิย ปาจีนทิสาย อนนฺตานิ จกฺกวาฬานิ ปกฺขนฺทา, ปจฺฉิมกายโต อุฎฺฐหิตฺวา ปจฺฉิมทิสาย, ทกฺขิณํสกูฎโต อุฎฺฐหิตฺวา ทกฺขิณทิสาย, วามํสกูฎโต อุฎฺฐหิตฺวา อุตฺตรทิสาย อนนฺตานิ จกฺกวาฬานิ ปกฺขนฺทา, ปาทตเลหิ ปวาฬงฺกุรวณฺณา รสฺมิโย นิกฺขมิตฺวา มหาปถวิํ วินิวิชฺฌิตฺวา อุทกํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา วาตกฺขนฺธํ ปทาเลตฺวา อชฎากาสํ ปกฺขนฺทา, สีสโต สมฺปริวตฺติยมานํ มณิทามํ วิย นีลวณฺณา รสฺมิวฎฺฎิ อุฎฺฐหิตฺวา ฉ เทวโลเก วินิวิชฺฌิตฺวา นว พฺรหฺมโลเก เวหปฺผเล ปญฺจ สุทฺธาวาเส จ วินิวิชฺฌิตฺวา จตฺตาโร อารุเปฺป อติกฺกมฺม อชฎากาสํ ปกฺขนฺทาฯ ตสฺมิํ ทิวเส อปริมาเณสุ จกฺกวาเฬสุ อปริมาณา สตฺตา สเพฺพ สุวณฺณวณฺณาว อเหสุํฯ ตํ ทิวสญฺจ ปน ภควโต สรีรา นิกฺขนฺตา ยาวชฺชทิวสาปิ ตา รสฺมิโย อนนฺตา โลกธาตุโย คจฺฉนฺติเยวฯ

    Tatthassa saṇhasukhumapaṭṭhānamhi citte otiṇṇe pīti uppajji; pītiyā uppannāya lohitaṃ pasīdi, lohite pasanne chavi pasīdi. Chaviyā pasannāya puratthimakāyato kūṭāgārādippamāṇā rasmiyo uṭṭhahitvā ākāse pakkhandachaddantanāgakulaṃ viya pācīnadisāya anantāni cakkavāḷāni pakkhandā, pacchimakāyato uṭṭhahitvā pacchimadisāya, dakkhiṇaṃsakūṭato uṭṭhahitvā dakkhiṇadisāya, vāmaṃsakūṭato uṭṭhahitvā uttaradisāya anantāni cakkavāḷāni pakkhandā, pādatalehi pavāḷaṅkuravaṇṇā rasmiyo nikkhamitvā mahāpathaviṃ vinivijjhitvā udakaṃ dvidhā bhinditvā vātakkhandhaṃ padāletvā ajaṭākāsaṃ pakkhandā, sīsato samparivattiyamānaṃ maṇidāmaṃ viya nīlavaṇṇā rasmivaṭṭi uṭṭhahitvā cha devaloke vinivijjhitvā nava brahmaloke vehapphale pañca suddhāvāse ca vinivijjhitvā cattāro āruppe atikkamma ajaṭākāsaṃ pakkhandā. Tasmiṃ divase aparimāṇesu cakkavāḷesu aparimāṇā sattā sabbe suvaṇṇavaṇṇāva ahesuṃ. Taṃ divasañca pana bhagavato sarīrā nikkhantā yāvajjadivasāpi tā rasmiyo anantā lokadhātuyo gacchantiyeva.

    เอวํ ภควา อชปาลนิโคฺรเธ สตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา ตโต อปรํ สตฺตาหํ มุจลิเนฺท นิสีทิ, นิสินฺนมตฺตเสฺสว จสฺส สกลํ จกฺกวาฬคพฺภํ ปูเรโนฺต มหาอกาลเมโฆ อุทปาทิฯ เอวรูโป กิร มหาเมโฆ ทฺวีสุเยว กาเลสุ วสฺสติ จกฺกวตฺติมฺหิ วา อุปฺปเนฺน พุเทฺธ วาฯ อิธ พุทฺธกาเล อุทปาทิฯ ตสฺมิํ ปน อุปฺปเนฺน มุจลิโนฺท นาคราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ เมโฆ สตฺถริ มยฺหํ ภวนํ ปวิฎฺฐมเตฺตว อุปฺปโนฺน, วาสาคารมสฺส ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส สตฺตรตนมยํ ปาสาทํ นิมฺมินิตุํ สโกฺกโนฺตปิ เอวํ กเต มยฺหํ มหปฺผลํ น ภวิสฺสติ, ทสพลสฺส กายเวยฺยาวจฺจํ กริสฺสามีติ มหนฺตํ อตฺตภาวํ กตฺวา สตฺถารํ สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิตฺวา อุปริ ผณํ ธาเรสิฯ ปริเกฺขปสฺส อโนฺต โอกาโส เหฎฺฐา โลหปาสาทปฺปมาโณ อโหสิฯ อิจฺฉิติจฺฉิเตน อิริยาปเถน สตฺถา วิหริสฺสตีติ นาคราชสฺส อชฺฌาสโย อโหสิฯ ตสฺมา เอวํ มหนฺตํ โอกาสํ ปริกฺขิปิฯ มเชฺฌ รตนปลฺลโงฺก ปญฺญโตฺต โหติ, อุปริ สุวณฺณตารกวิจิตฺตํ สโมสริตคนฺธทามกุสุมทามเจลวิตานํ อโหสิฯ จตูสุ โกเณสุ คนฺธเตเลน ทีปา ชลิตา, จตูสุ ทิสาสุ วิวริตฺวา จนฺทนกรณฺฑกา ฐปิตาฯ เอวํ ภควา ตํ สตฺตาหํ ตตฺถ วีตินาเมตฺวา ตโต อปรํ สตฺตาหํ ราชายตเน นิสีทิฯ

    Evaṃ bhagavā ajapālanigrodhe sattāhaṃ vītināmetvā tato aparaṃ sattāhaṃ mucalinde nisīdi, nisinnamattasseva cassa sakalaṃ cakkavāḷagabbhaṃ pūrento mahāakālamegho udapādi. Evarūpo kira mahāmegho dvīsuyeva kālesu vassati cakkavattimhi vā uppanne buddhe vā. Idha buddhakāle udapādi. Tasmiṃ pana uppanne mucalindo nāgarājā cintesi – ‘‘ayaṃ megho satthari mayhaṃ bhavanaṃ paviṭṭhamatteva uppanno, vāsāgāramassa laddhuṃ vaṭṭatī’’ti. So sattaratanamayaṃ pāsādaṃ nimminituṃ sakkontopi evaṃ kate mayhaṃ mahapphalaṃ na bhavissati, dasabalassa kāyaveyyāvaccaṃ karissāmīti mahantaṃ attabhāvaṃ katvā satthāraṃ sattakkhattuṃ bhogehi parikkhipitvā upari phaṇaṃ dhāresi. Parikkhepassa anto okāso heṭṭhā lohapāsādappamāṇo ahosi. Icchiticchitena iriyāpathena satthā viharissatīti nāgarājassa ajjhāsayo ahosi. Tasmā evaṃ mahantaṃ okāsaṃ parikkhipi. Majjhe ratanapallaṅko paññatto hoti, upari suvaṇṇatārakavicittaṃ samosaritagandhadāmakusumadāmacelavitānaṃ ahosi. Catūsu koṇesu gandhatelena dīpā jalitā, catūsu disāsu vivaritvā candanakaraṇḍakā ṭhapitā. Evaṃ bhagavā taṃ sattāhaṃ tattha vītināmetvā tato aparaṃ sattāhaṃ rājāyatane nisīdi.

    อฎฺฐเม สตฺตาเห สเกฺกน เทวานมิเนฺทน อาภตํ ทนฺตกฎฺฐญฺจ โอสธหรีตกญฺจ ขาทิตฺวา มุขํ โธวิตฺวา จตูหิ โลกปาเลหิ อุปนีเต ปจฺจเคฺฆ เสลมเย ปเตฺต ตปุสฺสภลฺลิกานํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา ปุน ปจฺจาคนฺตฺวา อชปาลนิโคฺรเธ นิสินฺนสฺส สพฺพพุทฺธานํ อาจิโณฺณ อยํ วิตโกฺก อุทปาทิฯ

    Aṭṭhame sattāhe sakkena devānamindena ābhataṃ dantakaṭṭhañca osadhaharītakañca khāditvā mukhaṃ dhovitvā catūhi lokapālehi upanīte paccagghe selamaye patte tapussabhallikānaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā puna paccāgantvā ajapālanigrodhe nisinnassa sabbabuddhānaṃ āciṇṇo ayaṃ vitakko udapādi.

    ตตฺถ ปณฺฑิโตติ ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคโตฯ วิยโตฺตติ เวยฺยตฺติเยน สมนฺนาคโตฯ เมธาวีติ ฐานุปฺปตฺติยา ปญฺญาย สมนฺนาคโตฯ อปฺปรชกฺขชาติโกติ สมาปตฺติยา วิกฺขมฺภิตตฺตา นิกฺกิเลสชาติโก วิสุทฺธสโตฺตฯ อาชานิสฺสตีติ สลฺลเกฺขสฺสติ ปฎิวิชฺฌิสฺสติฯ ญาณญฺจ ปน เมติ มยฺหมฺปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อุปฺปชฺชิฯ ภควา กิร เทวตาย กถิเตเนว นิฎฺฐํ อคนฺตฺวา สยมฺปิ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน โอโลเกโนฺต อิโต สตฺตมทิวสมตฺถเก กาลํ กตฺวา อากิญฺจญฺญายตเน นิพฺพโตฺตติ อทฺทสฯ ตํ สนฺธายาห – ‘‘ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาที’’ติฯ มหาชานิโยติ สตฺตทิวสพฺภนฺตเร ปตฺตพฺพมคฺคผลโต ปริหีนตฺตา มหตี ชานิ อสฺสาติ มหาชานิโยฯ อกฺขเณ นิพฺพตฺตตฺตา คนฺตฺวา เทสิยมานํ ธมฺมมฺปิสฺส โสตุํ โสตปฺปสาโท นตฺถิ, อิธ ธมฺมเทสนฎฺฐานํ อาคมนปาทาปิ นตฺถิ, เอวํ มหาชานิโย ชาโตติ ทเสฺสติฯ อภิโทสกาลงฺกโตติ อฑฺฒรเตฺต กาลงฺกโตฯ ญาณญฺจ ปน เมติ มยฺหมฺปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อุทปาทิฯ อิธาปิ กิร ภควา เทวตาย วจเนน สนฺนิฎฺฐานํ อกตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาเณน โอโลเกโนฺต ‘‘หิโยฺย อฑฺฒรเตฺต กาลงฺกตฺวา อุทโก รามปุโตฺต เนวสญฺญานาสญฺญายตเน นิพฺพโตฺต’’ติ อทฺทสฯ ตสฺมา เอวมาหฯ เสสํ ปุริมนยสทิสเมวฯ พหุการาติ พหูปการาฯ ปธานปหิตตฺตํ อุปฎฺฐหิํสูติ ปธานตฺถาย เปสิตตฺตภาวํ วสนฎฺฐาเน ปริเวณสมฺมชฺชเนน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อนุพนฺธเนน มุโขทกทนฺตกฎฺฐทานาทินา จ อุปฎฺฐหิํสุฯ เก ปน เต ปญฺจวคฺคิยา นาม? เยเต –

    Tattha paṇḍitoti paṇḍiccena samannāgato. Viyattoti veyyattiyena samannāgato. Medhāvīti ṭhānuppattiyā paññāya samannāgato. Apparajakkhajātikoti samāpattiyā vikkhambhitattā nikkilesajātiko visuddhasatto. Ājānissatīti sallakkhessati paṭivijjhissati. Ñāṇañca pana meti mayhampi sabbaññutaññāṇaṃ uppajji. Bhagavā kira devatāya kathiteneva niṭṭhaṃ agantvā sayampi sabbaññutaññāṇena olokento ito sattamadivasamatthake kālaṃ katvā ākiñcaññāyatane nibbattoti addasa. Taṃ sandhāyāha – ‘‘ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādī’’ti. Mahājāniyoti sattadivasabbhantare pattabbamaggaphalato parihīnattā mahatī jāni assāti mahājāniyo. Akkhaṇe nibbattattā gantvā desiyamānaṃ dhammampissa sotuṃ sotappasādo natthi, idha dhammadesanaṭṭhānaṃ āgamanapādāpi natthi, evaṃ mahājāniyo jātoti dasseti. Abhidosakālaṅkatoti aḍḍharatte kālaṅkato. Ñāṇañca pana meti mayhampi sabbaññutaññāṇaṃ udapādi. Idhāpi kira bhagavā devatāya vacanena sanniṭṭhānaṃ akatvā sabbaññutaññāṇena olokento ‘‘hiyyo aḍḍharatte kālaṅkatvā udako rāmaputto nevasaññānāsaññāyatane nibbatto’’ti addasa. Tasmā evamāha. Sesaṃ purimanayasadisameva. Bahukārāti bahūpakārā. Padhānapahitattaṃ upaṭṭhahiṃsūti padhānatthāya pesitattabhāvaṃ vasanaṭṭhāne pariveṇasammajjanena pattacīvaraṃ gahetvā anubandhanena mukhodakadantakaṭṭhadānādinā ca upaṭṭhahiṃsu. Ke pana te pañcavaggiyā nāma? Yete –

    ราโม ธโช ลกฺขโณ โชติมนฺติ,

    Rāmo dhajo lakkhaṇo jotimanti,

    ยโญฺญ สุโภโช สุยาโม สุทโตฺต;

    Yañño subhojo suyāmo sudatto;

    เอเต ตทา อฎฺฐ อเหสุํ พฺราหฺมณา,

    Ete tadā aṭṭha ahesuṃ brāhmaṇā,

    ฉฬงฺควา มนฺตํ วิยากริํสูติฯ

    Chaḷaṅgavā mantaṃ viyākariṃsūti.

    โพธิสตฺตสฺส ชาตกาเล สุปินปฎิคฺคาหกา เจว ลกฺขณปฎิคฺคาหกา จ อฎฺฐ พฺราหฺมณาฯ เตสุ ตโย เทฺวธา พฺยากริํสุ – ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต อคารํ อชฺฌาวสมาโน ราชา โหติ จกฺกวตฺตี, ปพฺพชมาโน พุโทฺธ’’ติฯ ปญฺจ พฺราหฺมณา เอกํสพฺยากรณา อเหสุํ – ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต อคาเร น ติฎฺฐติ, พุโทฺธว โหตี’’ติฯ เตสุ ปุริมา ตโย ยถามนฺตปทํ คตา, อิเม ปน ปญฺจ มนฺตปทํ อติกฺกนฺตาฯ เต อตฺตนา ลทฺธํ ปุณฺณปตฺตํ ญาตกานํ วิสฺสเชฺชตฺวา ‘‘อยํ มหาปุริโส อคารํ น อชฺฌาวสิสฺสติ, เอกเนฺตน พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ นิพฺพิตกฺกา โพธิสตฺตํ อุทฺทิสฺส สมณปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตาฯ เตสํ ปุตฺตาติปิ วทนฺติฯ ตํ อฎฺฐกถาย ปฎิกฺขิตฺตํฯ

    Bodhisattassa jātakāle supinapaṭiggāhakā ceva lakkhaṇapaṭiggāhakā ca aṭṭha brāhmaṇā. Tesu tayo dvedhā byākariṃsu – ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgato agāraṃ ajjhāvasamāno rājā hoti cakkavattī, pabbajamāno buddho’’ti. Pañca brāhmaṇā ekaṃsabyākaraṇā ahesuṃ – ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgato agāre na tiṭṭhati, buddhova hotī’’ti. Tesu purimā tayo yathāmantapadaṃ gatā, ime pana pañca mantapadaṃ atikkantā. Te attanā laddhaṃ puṇṇapattaṃ ñātakānaṃ vissajjetvā ‘‘ayaṃ mahāpuriso agāraṃ na ajjhāvasissati, ekantena buddho bhavissatī’’ti nibbitakkā bodhisattaṃ uddissa samaṇapabbajjaṃ pabbajitā. Tesaṃ puttātipi vadanti. Taṃ aṭṭhakathāya paṭikkhittaṃ.

    เอเต กิร ทหรกาเลเยว พหู มเนฺต ชานิํสุ, ตสฺมา เต พฺราหฺมณา อาจริยฎฺฐาเน ฐปยิํสุฯ เต ปจฺฉา อเมฺหหิ ปุตฺตทารชฎํ ฉเฑฺฑตฺวา น สกฺกา ภวิสฺสติ ปพฺพชิตุนฺติ ทหรกาเลเยว ปพฺพชิตฺวา รมณียานิ เสนาสนานิ ปริภุญฺชนฺตา วิจริํสุฯ กาเลน กาลํ ปน ‘‘กิํ, โภ, มหาปุริโส มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต’’ติ ปุจฺฉนฺติฯ มนุสฺสา, ‘‘กุหิํ ตุเมฺห มหาปุริสํ ปสฺสิสฺสถ, ตีสุ ปาสาเทสุ ติวิธนาฎกมเชฺฌ เทโว วิย สมฺปตฺติํ อนุโภตี’’ติ วทนฺติฯ เต สุตฺวา, ‘‘น ตาว มหาปุริสสฺส ญาณํ ปริปากํ คจฺฉตี’’ติ อโปฺปสฺสุกฺกา วิหริํสุเยวฯ กสฺมา ปเนตฺถ ภควา, ‘‘พหุการา โข อิเม ปญฺจวคฺคิยา’’ติ อาห? กิํ อุปการกานํเยว เอส ธมฺมํ เทเสติ, อนุปการกานํ น เทเสตีติ? โน น เทเสติฯ ปริจยวเสน เหส อาฬารเญฺจว กาลามํ อุทกญฺจ รามปุตฺตํ โอโลเกสิฯ เอตสฺมิํ ปน พุทฺธเกฺขเตฺต ฐเปตฺวา อญฺญาสิโกณฺฑญฺญํ ปฐมํ ธมฺมํ สจฺฉิกาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ กสฺมา? ตถาวิธอุปนิสฺสยตฺตาฯ

    Ete kira daharakāleyeva bahū mante jāniṃsu, tasmā te brāhmaṇā ācariyaṭṭhāne ṭhapayiṃsu. Te pacchā amhehi puttadārajaṭaṃ chaḍḍetvā na sakkā bhavissati pabbajitunti daharakāleyeva pabbajitvā ramaṇīyāni senāsanāni paribhuñjantā vicariṃsu. Kālena kālaṃ pana ‘‘kiṃ, bho, mahāpuriso mahābhinikkhamanaṃ nikkhanto’’ti pucchanti. Manussā, ‘‘kuhiṃ tumhe mahāpurisaṃ passissatha, tīsu pāsādesu tividhanāṭakamajjhe devo viya sampattiṃ anubhotī’’ti vadanti. Te sutvā, ‘‘na tāva mahāpurisassa ñāṇaṃ paripākaṃ gacchatī’’ti appossukkā vihariṃsuyeva. Kasmā panettha bhagavā, ‘‘bahukārā kho ime pañcavaggiyā’’ti āha? Kiṃ upakārakānaṃyeva esa dhammaṃ deseti, anupakārakānaṃ na desetīti? No na deseti. Paricayavasena hesa āḷārañceva kālāmaṃ udakañca rāmaputtaṃ olokesi. Etasmiṃ pana buddhakkhette ṭhapetvā aññāsikoṇḍaññaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ sacchikātuṃ samattho nāma natthi. Kasmā? Tathāvidhaupanissayattā.

    ปุเพฺพ กิร ปุญฺญกรณกาเล เทฺว ภาตโร อเหสุํฯ เต เอกโตว สสฺสํ อกํสุฯ ตตฺถ เชฎฺฐกสฺส ‘‘เอกสฺมิํ สเสฺส นววาเร อคฺคสสฺสทานํ มยา ทาตพฺพ’’นฺติ อโหสิฯ โส วปฺปกาเล พีชคฺคํ นาม ทตฺวา คพฺภกาเล กนิเฎฺฐน สทฺธิํ มเนฺตสิ – ‘‘คพฺภกาเล คพฺภํ ผาเลตฺวา ทสฺสามา’’ติฯ กนิโฎฺฐ ‘‘ตรุณสสฺสํ นาเสตุกาโมสี’’ติ อาหฯ เชโฎฺฐ กนิฎฺฐสฺส อนนุวตฺตนภาวํ ญตฺวา เขตฺตํ วิภชิตฺวา อตฺตโน โกฎฺฐาสโต คพฺภํ ผาเลตฺวา ขีรํ นีหริตฺวา สปฺปิผาณิเตหิ โยเชตฺวา อทาสิ, ปุถุกกาเล ปุถุกํ กาเรตฺวา อทาสิ, ลายเน ลายนคฺคํ เวณิกรเณ เวณคฺคํ กลาปาทีสุ กลาปคฺคํ ขฬคฺคํ ภณฺฑคฺคํ โกฎฺฐคฺคนฺติ เอวํ เอกสเสฺส นววาเร อคฺคทานํ อทาสิฯ กนิโฎฺฐ ปนสฺส อุทฺธริตฺวา อทาสิ, เตสุ เชโฎฺฐ อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถโร ชาโต, กนิโฎฺฐ สุภทฺทปริพฺพาชโกฯ อิติ เอกสฺมิํ สเสฺส นวนฺนํ อคฺคทานานํ ทินฺนตฺตา ฐเปตฺวา เถรํ อโญฺญ ปฐมํ ธมฺมํ สจฺฉิกาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ ‘‘พหุการา โข อิเม ปญฺจวคฺคิยา’’ติ อิทํ ปน อุปการานุสฺสรณมตฺตเกเนว วุตฺตํฯ

    Pubbe kira puññakaraṇakāle dve bhātaro ahesuṃ. Te ekatova sassaṃ akaṃsu. Tattha jeṭṭhakassa ‘‘ekasmiṃ sasse navavāre aggasassadānaṃ mayā dātabba’’nti ahosi. So vappakāle bījaggaṃ nāma datvā gabbhakāle kaniṭṭhena saddhiṃ mantesi – ‘‘gabbhakāle gabbhaṃ phāletvā dassāmā’’ti. Kaniṭṭho ‘‘taruṇasassaṃ nāsetukāmosī’’ti āha. Jeṭṭho kaniṭṭhassa ananuvattanabhāvaṃ ñatvā khettaṃ vibhajitvā attano koṭṭhāsato gabbhaṃ phāletvā khīraṃ nīharitvā sappiphāṇitehi yojetvā adāsi, puthukakāle puthukaṃ kāretvā adāsi, lāyane lāyanaggaṃ veṇikaraṇe veṇaggaṃ kalāpādīsu kalāpaggaṃ khaḷaggaṃ bhaṇḍaggaṃ koṭṭhagganti evaṃ ekasasse navavāre aggadānaṃ adāsi. Kaniṭṭho panassa uddharitvā adāsi, tesu jeṭṭho aññāsikoṇḍaññatthero jāto, kaniṭṭho subhaddaparibbājako. Iti ekasmiṃ sasse navannaṃ aggadānānaṃ dinnattā ṭhapetvā theraṃ añño paṭhamaṃ dhammaṃ sacchikātuṃ samattho nāma natthi. ‘‘Bahukārā kho ime pañcavaggiyā’’ti idaṃ pana upakārānussaraṇamattakeneva vuttaṃ.

    อิสิปตเน มิคทาเยติ ตสฺมิํ กิร ปเทเส อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ปเจฺจกสมฺพุทฺธา คนฺธมาทนปพฺพเต สตฺตาหํ นิโรธสมาปตฺติยา วีตินาเมตฺวา นิโรธา วุฎฺฐาย นาคลตาทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา อโนตตฺตทเห มุขํ โธวิตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อากาเสน อาคนฺตฺวา นิปตนฺติฯ ตตฺถ จีวรํ ปารุปิตฺวา นคเร ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิจฺจา คมนกาเลปิ ตโตเยว อุปฺปติตฺวา คจฺฉนฺติฯ อิติ อิสโย เอตฺถ นิปตนฺติ อุปฺปตนฺติ จาติ ตํ ฐานํ อิสิปตนนฺติ สงฺขํ คตํฯ มิคานํ ปน อภยตฺถาย ทินฺนตฺตา มิคทาโยติ วุจฺจติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิสิปตเน มิคทาเย’’ติฯ

    Isipatane migadāyeti tasmiṃ kira padese anuppanne buddhe paccekasambuddhā gandhamādanapabbate sattāhaṃ nirodhasamāpattiyā vītināmetvā nirodhā vuṭṭhāya nāgalatādantakaṭṭhaṃ khāditvā anotattadahe mukhaṃ dhovitvā pattacīvaramādāya ākāsena āgantvā nipatanti. Tattha cīvaraṃ pārupitvā nagare piṇḍāya caritvā katabhattakiccā gamanakālepi tatoyeva uppatitvā gacchanti. Iti isayo ettha nipatanti uppatanti cāti taṃ ṭhānaṃ isipatananti saṅkhaṃ gataṃ. Migānaṃ pana abhayatthāya dinnattā migadāyoti vuccati. Tena vuttaṃ ‘‘isipatane migadāye’’ti.

    ๒๘๕. อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธินฺติ คยาย จ โพธิสฺส จ วิวเร ติคาวุตนฺตเร ฐาเนฯ โพธิมณฺฑโต หิ คยา ตีณิ คาวุตานิฯ พาราณสี อฎฺฐารส โยชนานิฯ อุปโก โพธิมณฺฑสฺส จ คยาย จ อนฺตเร ภควนฺตํ อทฺทสฯ อนฺตราสเทฺทน ปน ยุตฺตตฺตา อุปโยควจนํ กตํฯ อีทิเสสุ จ ฐาเนสุ อกฺขรจินฺตกา ‘‘อนฺตรา คามญฺจ นทิญฺจ ยาตี’’ติ เอวํ เอกเมว อนฺตราสทฺทํ ปยุชฺชนฺติฯ โส ทุติยปเทนปิ โยเชตโพฺพ โหติ ฯ อโยชิยมาเน อุปโยควจนํ น ปาปุณาติฯ อิธ ปน โยเชตฺวา เอว วุโตฺตติฯ อทฺธานมคฺคปฎิปนฺนนฺติ อทฺธานสงฺขาตํ มคฺคํ ปฎิปนฺนํ, ทีฆมคฺคปฎิปนฺนนฺติ อโตฺถฯ อทฺธานมคฺคคมนสมยสฺส หิ วิภเงฺค ‘‘อทฺธโยชนํ คจฺฉิสฺสามีติ ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติอาทิวจนโต (ปาจิ. ๒๑๘) อทฺธโยชนมฺปิ อทฺธานมโคฺค โหติฯ โพธิมณฺฑโต ปน คยา ติคาวุตํฯ

    285.Antarā ca gayaṃ antarā ca bodhinti gayāya ca bodhissa ca vivare tigāvutantare ṭhāne. Bodhimaṇḍato hi gayā tīṇi gāvutāni. Bārāṇasī aṭṭhārasa yojanāni. Upako bodhimaṇḍassa ca gayāya ca antare bhagavantaṃ addasa. Antarāsaddena pana yuttattā upayogavacanaṃ kataṃ. Īdisesu ca ṭhānesu akkharacintakā ‘‘antarā gāmañca nadiñca yātī’’ti evaṃ ekameva antarāsaddaṃ payujjanti. So dutiyapadenapi yojetabbo hoti . Ayojiyamāne upayogavacanaṃ na pāpuṇāti. Idha pana yojetvā eva vuttoti. Addhānamaggapaṭipannanti addhānasaṅkhātaṃ maggaṃ paṭipannaṃ, dīghamaggapaṭipannanti attho. Addhānamaggagamanasamayassa hi vibhaṅge ‘‘addhayojanaṃ gacchissāmīti bhuñjitabba’’ntiādivacanato (pāci. 218) addhayojanampi addhānamaggo hoti. Bodhimaṇḍato pana gayā tigāvutaṃ.

    สพฺพาภิภูติ สพฺพํ เตภูมกธมฺมํ อภิภวิตฺวา ฐิโตฯ สพฺพวิทูติ สพฺพํ จตุภูมกธมฺมํ อเวทิํ อญฺญาสิํฯ สเพฺพสุ ธเมฺมสุ อนุปลิโตฺตติ สเพฺพสุ เตภูมกธเมฺมสุ กิเลสเลปเนน อนุปลิโตฺตฯ สพฺพํ ชโหติ สพฺพํ เตภูมกธมฺมํ ชหิตฺวา ฐิโตฯ ตณฺหากฺขเย วิมุโตฺตติ ตณฺหากฺขเย นิพฺพาเน อารมฺมณโต วิมุโตฺตฯ สยํ อภิญฺญายาติ สพฺพํ จตุภูมกธมฺมํ อตฺตนาว ชานิตฺวาฯ กมุทฺทิเสยฺยนฺติ กํ อญฺญํ ‘‘อยํ เม อาจริโย’’ติ อุทฺทิเสยฺยํฯ

    Sabbābhibhūti sabbaṃ tebhūmakadhammaṃ abhibhavitvā ṭhito. Sabbavidūti sabbaṃ catubhūmakadhammaṃ avediṃ aññāsiṃ. Sabbesu dhammesu anupalittoti sabbesu tebhūmakadhammesu kilesalepanena anupalitto. Sabbaṃ jahoti sabbaṃ tebhūmakadhammaṃ jahitvā ṭhito. Taṇhākkhaye vimuttoti taṇhākkhaye nibbāne ārammaṇato vimutto. Sayaṃ abhiññāyāti sabbaṃ catubhūmakadhammaṃ attanāva jānitvā. Kamuddiseyyanti kaṃ aññaṃ ‘‘ayaṃ me ācariyo’’ti uddiseyyaṃ.

    น เม อาจริโย อตฺถีติ โลกุตฺตรธเมฺม มยฺหํ อาจริโย นาม นตฺถิฯ นตฺถิ เม ปฎิปุคฺคโลติ มยฺหํ ปฎิภาคปุคฺคโล นาม นตฺถิฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธติ สเหตุนา นเยน จตฺตาริ สจฺจานิ สยํ พุโทฺธฯ สีติภูโตติ สพฺพกิเลสคฺคินิพฺพาปเนน สีติภูโตฯ กิเลสานํเยว นิพฺพุตตฺตา นิพฺพุโตฯ กาสินํ ปุรนฺติ กาสิรเฎฺฐ นครํฯ อาหญฺฉํ อมตทุนฺทุภินฺติ ธมฺมจกฺกปฎิลาภาย อมตเภริํ ปหริสฺสามีติ คจฺฉามิฯ อรหสิ อนนฺตชิโนติ อนนฺตชิโนติ ภวิตุํ ยุโตฺตฯ หุเปยฺย ปาวุโสติ, อาวุโส, เอวมฺปิ นาม ภเวยฺยฯ ปกฺกามีติ วงฺกหารชนปทํ นาม อคมาสิฯ

    Na me ācariyo atthīti lokuttaradhamme mayhaṃ ācariyo nāma natthi. Natthi me paṭipuggaloti mayhaṃ paṭibhāgapuggalo nāma natthi. Sammāsambuddhoti sahetunā nayena cattāri saccāni sayaṃ buddho. Sītibhūtoti sabbakilesagginibbāpanena sītibhūto. Kilesānaṃyeva nibbutattā nibbuto. Kāsinaṃ puranti kāsiraṭṭhe nagaraṃ. Āhañchaṃ amatadundubhinti dhammacakkapaṭilābhāya amatabheriṃ paharissāmīti gacchāmi. Arahasi anantajinoti anantajinoti bhavituṃ yutto. Hupeyya pāvusoti, āvuso, evampi nāma bhaveyya. Pakkāmīti vaṅkahārajanapadaṃ nāma agamāsi.

    ตเตฺถกํ มิคลุทฺทกคามกํ นิสฺสาย วาสํ กเปฺปสิฯ เชฎฺฐกลุทฺทโก ตํ อุปฎฺฐาสิฯ ตสฺมิญฺจ ชนปเท จณฺฑา มกฺขิกา โหนฺติฯ อถ นํ เอกาย จาฎิยา วสาเปสุํ, มิคลุทฺทโก ทูเร มิควํ คจฺฉโนฺต ‘‘อมฺหากํ อรหเนฺต มา ปมชฺชี’’ติ ฉาวํ นาม ธีตรํ อาณาเปตฺวา อคมาสิ สทฺธิํ ปุตฺตภาตุเกหิฯ สา จสฺส ธีตา ทสฺสนียา โหติ โกฎฺฐาสสมฺปนฺนาฯ ทุติยทิวเส อุปโก ฆรํ อาคโต ตํ ทาริกํ สพฺพํ อุปจารํ กตฺวา ปริวิสิตุํ อุปคตํ ทิสฺวา ราเคน อภิภูโต ภุญฺชิตุมฺปิ อสโกฺกโนฺต ภาชเนน ภตฺตํ อาทาย วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ภตฺตํ เอกมเนฺต นิกฺขิปิตฺวา สเจ ฉาวํ ลภามิ, ชีวามิ, โน เจ, มรามีติ นิราหาโร สยิฯ สตฺตเม ทิวเส มาควิโก อาคนฺตฺวา ธีตรํ อุปกสฺส ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ สา ‘‘เอกทิวสเมว อาคนฺตฺวา ปุน นาคตปุโพฺพ’’ติ อาหฯ มาควิโก อาคตเวเสเนว นํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิสฺสามีติ ตํขณํเยว คนฺตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต, อปฺผาสุก’’นฺติ ปาเท ปรามสโนฺต ปุจฺฉิฯ อุปโก นิตฺถุนโนฺต ปริวตฺตติเยวฯ โส ‘‘วทถ ภเนฺต, ยํ มยา สกฺกา กาตุํ, ตํ สพฺพํ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ อุปโก, ‘‘สเจ ฉาวํ ลภามิ, ชีวามิ, โน เจ, อิเธว มรณํ เสโยฺย’’ติ อาหฯ ชานาสิ ปน, ภเนฺต, กิญฺจิ สิปฺปนฺติฯ น ชานามีติฯ น, ภเนฺต, กิญฺจิ สิปฺปํ อชานเนฺตน สกฺกา ฆราวาสํ อธิฎฺฐาตุนฺติฯ

    Tatthekaṃ migaluddakagāmakaṃ nissāya vāsaṃ kappesi. Jeṭṭhakaluddako taṃ upaṭṭhāsi. Tasmiñca janapade caṇḍā makkhikā honti. Atha naṃ ekāya cāṭiyā vasāpesuṃ, migaluddako dūre migavaṃ gacchanto ‘‘amhākaṃ arahante mā pamajjī’’ti chāvaṃ nāma dhītaraṃ āṇāpetvā agamāsi saddhiṃ puttabhātukehi. Sā cassa dhītā dassanīyā hoti koṭṭhāsasampannā. Dutiyadivase upako gharaṃ āgato taṃ dārikaṃ sabbaṃ upacāraṃ katvā parivisituṃ upagataṃ disvā rāgena abhibhūto bhuñjitumpi asakkonto bhājanena bhattaṃ ādāya vasanaṭṭhānaṃ gantvā bhattaṃ ekamante nikkhipitvā sace chāvaṃ labhāmi, jīvāmi, no ce, marāmīti nirāhāro sayi. Sattame divase māgaviko āgantvā dhītaraṃ upakassa pavattiṃ pucchi. Sā ‘‘ekadivasameva āgantvā puna nāgatapubbo’’ti āha. Māgaviko āgataveseneva naṃ upasaṅkamitvā pucchissāmīti taṃkhaṇaṃyeva gantvā ‘‘kiṃ, bhante, apphāsuka’’nti pāde parāmasanto pucchi. Upako nitthunanto parivattatiyeva. So ‘‘vadatha bhante, yaṃ mayā sakkā kātuṃ, taṃ sabbaṃ karissāmī’’ti āha. Upako, ‘‘sace chāvaṃ labhāmi, jīvāmi, no ce, idheva maraṇaṃ seyyo’’ti āha. Jānāsi pana, bhante, kiñci sippanti. Na jānāmīti. Na, bhante, kiñci sippaṃ ajānantena sakkā gharāvāsaṃ adhiṭṭhātunti.

    โส อาห – ‘‘นาหํ กิญฺจิ สิปฺปํ ชานามิ, อปิจ ตุมฺหากํ มํสหารโก ภวิสฺสามิ, มํสญฺจ วิกฺกีณิสฺสามี’’ติฯ มาควิโก, ‘‘อมฺหากมฺปิ เอตเทว รุจฺจตี’’ติ อุตฺตรสาฎกํ ทตฺวา ฆรํ อาเนตฺวา ธีตรํ อทาสิฯ เตสํ สํวาสมนฺวาย ปุโตฺต วิชายิฯ สุภโทฺทติสฺส นามํ อกํสุฯ ฉาวา ตสฺส โรทนกาเล ‘‘มํสหารกสฺส ปุตฺต, มิคลุทฺทกสฺส ปุตฺต มา โรที’’ติอาทีนิ วทมานา ปุตฺตโตสนคีเตน อุปกํ อุปฺปเณฺฑสิฯ ภเทฺท ตฺวํ มํ อนาโถติ มญฺญสิฯ อตฺถิ เม อนนฺตชิโน นาม สหาโยฯ ตสฺสาหํ สนฺติเก คมิสฺสามีติ อาหฯ ฉาวา เอวมยํ อฎฺฎียตีติ ญตฺวา ปุนปฺปุนํ กเถติฯ โส เอกทิวสํ อนาโรเจตฺวาว มชฺฌิมเทสาภิมุโข ปกฺกามิฯ

    So āha – ‘‘nāhaṃ kiñci sippaṃ jānāmi, apica tumhākaṃ maṃsahārako bhavissāmi, maṃsañca vikkīṇissāmī’’ti. Māgaviko, ‘‘amhākampi etadeva ruccatī’’ti uttarasāṭakaṃ datvā gharaṃ ānetvā dhītaraṃ adāsi. Tesaṃ saṃvāsamanvāya putto vijāyi. Subhaddotissa nāmaṃ akaṃsu. Chāvā tassa rodanakāle ‘‘maṃsahārakassa putta, migaluddakassa putta mā rodī’’tiādīni vadamānā puttatosanagītena upakaṃ uppaṇḍesi. Bhadde tvaṃ maṃ anāthoti maññasi. Atthi me anantajino nāma sahāyo. Tassāhaṃ santike gamissāmīti āha. Chāvā evamayaṃ aṭṭīyatīti ñatvā punappunaṃ katheti. So ekadivasaṃ anārocetvāva majjhimadesābhimukho pakkāmi.

    ภควา จ เตน สมเยน สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน มหาวิหาเรฯ อถ โข ภควา ปฎิกเจฺจว ภิกฺขู อาณาเปสิ – ‘‘โย, ภิกฺขเว, ‘อนนฺตชิโน’ติ ปุจฺฉมาโน อาคจฺฉติ, ตสฺส มํ ทเสฺสยฺยาถา’’ติฯ อุปโกปิ โข ‘‘กุหิํ อนนฺตชิโน วสตี’’ติ ปุจฺฉโนฺต อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ อาคนฺตฺวา วิหารมเชฺฌ ฐตฺวา กุหิํ อนนฺตชิโนติ ปุจฺฉิฯ ตํ ภิกฺขู ภควโต สนฺติกํ นยิํสุฯ โส ภควนฺตํ ทิสฺวา – ‘‘สญฺชานาถ มํ ภควา’’ติ อาหฯ อาม, อุปก, สญฺชานามิ, กุหิํ ปน ตฺวํ วสิตฺถาติฯ วงฺกหารชนปเท, ภเนฺตติฯ อุปก, มหลฺลโกสิ ชาโต ปพฺพชิตุํ สกฺขิสฺสสีติฯ ปพฺพชิสฺสามิ, ภเนฺตติฯ ภควา ปพฺพาเชตฺวา ตสฺส กมฺมฎฺฐานํ อทาสิฯ โส กมฺมฎฺฐาเน กมฺมํ กโรโนฺต อนาคามิผเล ปติฎฺฐาย กาลํ กตฺวา อวิเหสุ นิพฺพโตฺตฯ นิพฺพตฺตกฺขเณเยว อรหตฺตํ ปาปุณีติฯ อวิเหสุ นิพฺพตฺตมตฺตา หิ สตฺต ชนา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ, เตสํ โส อญฺญตโรฯ

    Bhagavā ca tena samayena sāvatthiyaṃ viharati jetavane mahāvihāre. Atha kho bhagavā paṭikacceva bhikkhū āṇāpesi – ‘‘yo, bhikkhave, ‘anantajino’ti pucchamāno āgacchati, tassa maṃ dasseyyāthā’’ti. Upakopi kho ‘‘kuhiṃ anantajino vasatī’’ti pucchanto anupubbena sāvatthiṃ āgantvā vihāramajjhe ṭhatvā kuhiṃ anantajinoti pucchi. Taṃ bhikkhū bhagavato santikaṃ nayiṃsu. So bhagavantaṃ disvā – ‘‘sañjānātha maṃ bhagavā’’ti āha. Āma, upaka, sañjānāmi, kuhiṃ pana tvaṃ vasitthāti. Vaṅkahārajanapade, bhanteti. Upaka, mahallakosi jāto pabbajituṃ sakkhissasīti. Pabbajissāmi, bhanteti. Bhagavā pabbājetvā tassa kammaṭṭhānaṃ adāsi. So kammaṭṭhāne kammaṃ karonto anāgāmiphale patiṭṭhāya kālaṃ katvā avihesu nibbatto. Nibbattakkhaṇeyeva arahattaṃ pāpuṇīti. Avihesu nibbattamattā hi satta janā arahattaṃ pāpuṇiṃsu, tesaṃ so aññataro.

    วุตฺตเญฺหตํ –

    Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อวิหํ อุปปนฺนาเส, วิมุตฺตา สตฺต ภิกฺขโว;

    ‘‘Avihaṃ upapannāse, vimuttā satta bhikkhavo;

    ราคโทสปริกฺขีณา, ติณฺณา โลเก วิสตฺติกํฯ

    Rāgadosaparikkhīṇā, tiṇṇā loke visattikaṃ.

    อุปโก ปลคโณฺฑ จ, ปุกฺกุสาติ จ เต ตโย;

    Upako palagaṇḍo ca, pukkusāti ca te tayo;

    ภทฺทิโย ขณฺฑเทโว จ, พหุรคฺคิ จ สงฺคิโย;

    Bhaddiyo khaṇḍadevo ca, bahuraggi ca saṅgiyo;

    เต หิตฺวา มานุสํ เทหํ, ทิพฺพโยคํ อุปชฺฌคุ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๐๕);

    Te hitvā mānusaṃ dehaṃ, dibbayogaṃ upajjhagu’’nti. (saṃ. ni. 1.105);

    ๒๘๖. สณฺฐเปสุนฺติ กติกํ อกํสุฯ พาหุลฺลิโกติ จีวรพาหุลฺลาทีนํ อตฺถาย ปฎิปโนฺนฯ ปธานวิพฺภโนฺตติ ปธานโต วิพฺภโนฺต ภโฎฺฐ ปริหีโนฯ อาวโตฺต พาหุลฺลายาติ จีวราทีนํ พหุลภาวตฺถาย อาวโตฺตฯ อปิจ โข อาสนํ ฐเปตพฺพนฺติ อปิจ โข ปนสฺส อุจฺจกุเล นิพฺพตฺตสฺส อาสนมตฺตํ ฐเปตพฺพนฺติ วทิํสุฯ นาสกฺขิํสูติ พุทฺธานุภาเวน พุทฺธเตชสา อภิภูตา อตฺตโน กติกาย ฐาตุํ นาสกฺขิํสุฯ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรนฺตีติ โคตมาติ, อาวุโสติ จ วทนฺติฯ อาวุโส โคตม, มยํ อุรุเวลายํ ปธานกาเล ตุยฺหํ ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วิจริมฺหา, มุโขทกํ ทนฺตกฎฺฐํ อทมฺหา, วุตฺถปริเวณํ สมฺมชฺชิมฺหา, ปจฺฉา โก เต วตฺตปฺปฎิปตฺติมกาสิ, กจฺจิ อเมฺหสุ ปกฺกเนฺตสุ น จินฺตยิตฺถาติ เอวรูปิํ กถํ กเถนฺตีติ อโตฺถฯ อิริยายาติ ทุกฺกรอิริยายฯ ปฎิปทายาติ ทุกฺกรปฎิปตฺติยาฯ ทุกฺกรการิกายาติ ปสตปสต-มุคฺคยูสาทิอาหรกรณาทินา ทุกฺกรกรเณนฯ อภิชานาถ เม โนติ อภิชานาถ นุ มมฯ เอวรูปํ ปภาวิตเมตนฺติ เอตํ เอวรูปํ วากฺยเภทนฺติ อโตฺถฯ อปิ นุ อหํ อุรุเวลาย ปธาเน ตุมฺหากํ สงฺคณฺหนตฺถํ อนุกฺกณฺฐนตฺถํ รตฺติํ วา ทิวา วา อาคนฺตฺวา, – ‘‘อาวุโส, มา วิตกฺกยิตฺถ, มยฺหํ โอภาโส วา นิมิตฺตํ วา ปญฺญายตี’’ติ เอวรูปํ กญฺจิ วจนเภทํ อกาสินฺติ อธิปฺปาโยฯ เต เอกปเทเนว สติํ ลภิตฺวา อุปฺปนฺนคารวา, ‘‘หนฺท อทฺธา เอส พุโทฺธ ชาโต’’ติ สทฺทหิตฺวา โน เหตํ, ภเนฺตติ อาหํสุฯ อสกฺขิํ โข อหํ, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู สญฺญาเปตุนฺติ อหํ , ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู พุโทฺธ อหนฺติ ชานาเปตุํ อสกฺขิํฯ ตทา ปน ภควา อุโปสถทิวเสเยว อาคจฺฉิฯ อตฺตโน พุทฺธภาวํ ชานาเปตฺวา โกณฺฑญฺญเตฺถรํ กายสกฺขิํ กตฺวา ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตํ กเถสิฯ สุตฺตปริโยสาเน เถโร อฎฺฐารสหิ พฺรหฺมโกฎีหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ สูริเย ธรมาเนเยว เทสนา นิฎฺฐาสิฯ ภควา ตเตฺถว วสฺสํ อุปคจฺฉิฯ

    286.Saṇṭhapesunti katikaṃ akaṃsu. Bāhullikoti cīvarabāhullādīnaṃ atthāya paṭipanno. Padhānavibbhantoti padhānato vibbhanto bhaṭṭho parihīno. Āvatto bāhullāyāti cīvarādīnaṃ bahulabhāvatthāya āvatto. Apica kho āsanaṃ ṭhapetabbanti apica kho panassa uccakule nibbattassa āsanamattaṃ ṭhapetabbanti vadiṃsu. Nāsakkhiṃsūti buddhānubhāvena buddhatejasā abhibhūtā attano katikāya ṭhātuṃ nāsakkhiṃsu. Nāmena ca āvusovādena ca samudācarantīti gotamāti, āvusoti ca vadanti. Āvuso gotama, mayaṃ uruvelāyaṃ padhānakāle tuyhaṃ pattacīvaraṃ gahetvā vicarimhā, mukhodakaṃ dantakaṭṭhaṃ adamhā, vutthapariveṇaṃ sammajjimhā, pacchā ko te vattappaṭipattimakāsi, kacci amhesu pakkantesu na cintayitthāti evarūpiṃ kathaṃ kathentīti attho. Iriyāyāti dukkarairiyāya. Paṭipadāyāti dukkarapaṭipattiyā. Dukkarakārikāyāti pasatapasata-muggayūsādiāharakaraṇādinā dukkarakaraṇena. Abhijānātha me noti abhijānātha nu mama. Evarūpaṃ pabhāvitametanti etaṃ evarūpaṃ vākyabhedanti attho. Api nu ahaṃ uruvelāya padhāne tumhākaṃ saṅgaṇhanatthaṃ anukkaṇṭhanatthaṃ rattiṃ vā divā vā āgantvā, – ‘‘āvuso, mā vitakkayittha, mayhaṃ obhāso vā nimittaṃ vā paññāyatī’’ti evarūpaṃ kañci vacanabhedaṃ akāsinti adhippāyo. Te ekapadeneva satiṃ labhitvā uppannagāravā, ‘‘handa addhā esa buddho jāto’’ti saddahitvā no hetaṃ, bhanteti āhaṃsu. Asakkhiṃ kho ahaṃ, bhikkhave, pañcavaggiye bhikkhū saññāpetunti ahaṃ , bhikkhave, pañcavaggiye bhikkhū buddho ahanti jānāpetuṃ asakkhiṃ. Tadā pana bhagavā uposathadivaseyeva āgacchi. Attano buddhabhāvaṃ jānāpetvā koṇḍaññattheraṃ kāyasakkhiṃ katvā dhammacakkappavattanasuttaṃ kathesi. Suttapariyosāne thero aṭṭhārasahi brahmakoṭīhi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Sūriye dharamāneyeva desanā niṭṭhāsi. Bhagavā tattheva vassaṃ upagacchi.

    เทฺวปิ สุทํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู โอวทามีติอาทิ ปาฎิปททิวสโต ปฎฺฐาย ปิณฺฑปาตตฺถายปิ คามํ อปฺปวิสนทีปนตฺถํ วุตฺตํฯ เตสญฺหิ ภิกฺขูนํ กมฺมฎฺฐาเนสุ อุปฺปนฺนมลวิโสธนตฺถํ ภควา อโนฺตวิหาเรเยว อโหสิฯ อุปฺปเนฺน อุปฺปเนฺน กมฺมฎฺฐานมเล เตปิ ภิกฺขู ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุจฺฉนฺติฯ ภควาปิ เตสํ นิสินฺนฎฺฐานํ คนฺตฺวา มลํ วิโนเทติฯ อถ เนสํ ภควตา เอวํ นีหฎภเตฺตน โอวทิยมานานํ วปฺปเตฺถโร ปาฎิปททิวเส โสตาปโนฺน อโหสิฯ ภทฺทิยเตฺถโร ทุติยายํ, มหานามเตฺถโร ตติยายํ, อสฺสชิเตฺถโร จตุตฺถิยํฯ ปกฺขสฺส ปน ปญฺจมิยํ สเพฺพว เต เอกโต สนฺนิปาเตตฺวา อนตฺตลกฺขณสุตฺตํ กเถสิ, สุตฺตปริโยสาเน สเพฺพปิ อรหตฺตผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ เตนาห – ‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มยา เอวํ โอวทิยมานา…เป.… อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุ…เป.… นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’ติฯ เอตฺตกํ กถามคฺคํ ภควา ยํ ปุเพฺพ อวจ – ‘‘ตุเมฺหปิ มมเญฺจว ปญฺจวคฺคิยานญฺจ มคฺคํ อารุฬฺหา, อริยปริเยสนา ตุมฺหากํ ปริเยสนา’’ติ อิมํ เอกเมว อนุสนฺธิํ ทเสฺสโนฺต อาหริฯ

    Dvepi sudaṃ, bhikkhave, bhikkhū ovadāmītiādi pāṭipadadivasato paṭṭhāya piṇḍapātatthāyapi gāmaṃ appavisanadīpanatthaṃ vuttaṃ. Tesañhi bhikkhūnaṃ kammaṭṭhānesu uppannamalavisodhanatthaṃ bhagavā antovihāreyeva ahosi. Uppanne uppanne kammaṭṭhānamale tepi bhikkhū bhagavato santikaṃ gantvā pucchanti. Bhagavāpi tesaṃ nisinnaṭṭhānaṃ gantvā malaṃ vinodeti. Atha nesaṃ bhagavatā evaṃ nīhaṭabhattena ovadiyamānānaṃ vappatthero pāṭipadadivase sotāpanno ahosi. Bhaddiyatthero dutiyāyaṃ, mahānāmatthero tatiyāyaṃ, assajitthero catutthiyaṃ. Pakkhassa pana pañcamiyaṃ sabbeva te ekato sannipātetvā anattalakkhaṇasuttaṃ kathesi, suttapariyosāne sabbepi arahattaphale patiṭṭhahiṃsu. Tenāha – ‘‘atha kho, bhikkhave, pañcavaggiyā bhikkhū mayā evaṃ ovadiyamānā…pe… anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃsu…pe… natthi dāni punabbhavo’’ti. Ettakaṃ kathāmaggaṃ bhagavā yaṃ pubbe avaca – ‘‘tumhepi mamañceva pañcavaggiyānañca maggaṃ āruḷhā, ariyapariyesanā tumhākaṃ pariyesanā’’ti imaṃ ekameva anusandhiṃ dassento āhari.

    ๒๘๗. อิทานิ ยสฺมา น อคาริยานํเยว ปญฺจกามคุณปริเยสนา โหติ, อนคาริยานมฺปิ จตฺตาโร ปจฺจเย อปฺปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชนฺตานํ ปญฺจกามคุณวเสน อนริยปริเยสนา โหติ, ตสฺมา ตํ ทเสฺสตุํ ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, กามคุณาติอาทิมาหฯ ตตฺถ นวรเตฺตสุ ปตฺตจีวราทีสุ จกฺขุวิเญฺญยฺยา รูปาติอาทโย จตฺตาโร กามคุณา ลพฺภนฺติฯ รโส ปเนตฺถ ปริโภครโส โหติฯ มนุเญฺญ ปิณฺฑปาเต เภสเชฺช จ ปญฺจปิ ลพฺภนฺติฯ เสนาสนมฺหิ จีวเร วิย จตฺตาโรฯ รโส ปน เอตฺถาปิ ปริโภครโสวฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเวติ กสฺมา อารภิ? เอวํ ปญฺจ กามคุเณ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เย เอวํ วเทยฺยุํ, ‘‘ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย อนริยปริเยสนา นาม กุโต, อริยปริเยสนาว ปพฺพชิตาน’’นฺติ, เตสํ ปฎิเสธนตฺถาย ‘‘ปพฺพชิตานมฺปิ จตูสุ ปจฺจเยสุ อปฺปจฺจเวกฺขณปริโภโค อนริยปริเยสนา เอวา’’ติ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ คธิตาติ ตณฺหาเคเธน คธิตาฯ มุจฺฉิตาติ ตณฺหามุจฺฉาย มุจฺฉิตา ฯ อโชฺฌปนฺนาติ ตณฺหาย อโชฺฌคาฬฺหาฯ อนาทีนวทสฺสาวิโนติ อาทีนวํ อปสฺสนฺตาฯ อนิสฺสรณปญฺญาติ นิสฺสรณํ วุจฺจติ ปจฺจเวกฺขณญาณํฯ เต เตน วิรหิตาฯ

    287. Idāni yasmā na agāriyānaṃyeva pañcakāmaguṇapariyesanā hoti, anagāriyānampi cattāro paccaye appaccavekkhitvā paribhuñjantānaṃ pañcakāmaguṇavasena anariyapariyesanā hoti, tasmā taṃ dassetuṃ pañcime, bhikkhave, kāmaguṇātiādimāha. Tattha navarattesu pattacīvarādīsu cakkhuviññeyyā rūpātiādayo cattāro kāmaguṇā labbhanti. Raso panettha paribhogaraso hoti. Manuññe piṇḍapāte bhesajje ca pañcapi labbhanti. Senāsanamhi cīvare viya cattāro. Raso pana etthāpi paribhogarasova. Ye hi keci, bhikkhaveti kasmā ārabhi? Evaṃ pañca kāmaguṇe dassetvā idāni ye evaṃ vadeyyuṃ, ‘‘pabbajitakālato paṭṭhāya anariyapariyesanā nāma kuto, ariyapariyesanāva pabbajitāna’’nti, tesaṃ paṭisedhanatthāya ‘‘pabbajitānampi catūsu paccayesu appaccavekkhaṇaparibhogo anariyapariyesanā evā’’ti dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha gadhitāti taṇhāgedhena gadhitā. Mucchitāti taṇhāmucchāya mucchitā . Ajjhopannāti taṇhāya ajjhogāḷhā. Anādīnavadassāvinoti ādīnavaṃ apassantā. Anissaraṇapaññāti nissaraṇaṃ vuccati paccavekkhaṇañāṇaṃ. Te tena virahitā.

    อิทานิ ตสฺสตฺถสฺส สาธกํ อุปมํ ทเสฺสโนฺต เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตเตฺรวํ โอปมฺมสํสนฺทนํ เวทิตพฺพํ – อารญฺญกมโค วิย หิ สมณพฺราหฺมณา, ลุทฺทเกน อรเญฺญ ฐปิตปาโส วิย จตฺตาโร ปจฺจยา, ตสฺส ลุทฺทสฺส ปาสราสิํ อโชฺฌตฺถริตฺวา สยนกาโล วิย เตสํ จตฺตาโร ปจฺจเย อปฺปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริโภคกาโลฯ ลุทฺทเก อาคจฺฉเนฺต มคสฺส เยน กามํ อคมนกาโล วิย สมณพฺราหฺมณานํ มารสฺส ยถากามกรณียกาโล, มารวสํ อุปคตภาโวติ อโตฺถฯ มคสฺส ปน อพทฺธสฺส ปาสราสิํ อธิสยิตกาโล วิย สมณพฺราหฺมณานํ จตูสุ ปจฺจเยสุ ปจฺจเวกฺขณปริโภโค, ลุทฺทเก อาคจฺฉเนฺต มคสฺส เยน กามํ คมนํ วิย สมณพฺราหฺมณานํ มารวสํ อนุปคมนํ เวทิตพฺพํฯ วิสฺสโตฺถติ นิพฺภโย นิราสโงฺกฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Idāni tassatthassa sādhakaṃ upamaṃ dassento seyyathāpi, bhikkhavetiādimāha. Tatrevaṃ opammasaṃsandanaṃ veditabbaṃ – āraññakamago viya hi samaṇabrāhmaṇā, luddakena araññe ṭhapitapāso viya cattāro paccayā, tassa luddassa pāsarāsiṃ ajjhottharitvā sayanakālo viya tesaṃ cattāro paccaye appaccavekkhitvā paribhogakālo. Luddake āgacchante magassa yena kāmaṃ agamanakālo viya samaṇabrāhmaṇānaṃ mārassa yathākāmakaraṇīyakālo, māravasaṃ upagatabhāvoti attho. Magassa pana abaddhassa pāsarāsiṃ adhisayitakālo viya samaṇabrāhmaṇānaṃ catūsu paccayesu paccavekkhaṇaparibhogo, luddake āgacchante magassa yena kāmaṃ gamanaṃ viya samaṇabrāhmaṇānaṃ māravasaṃ anupagamanaṃ veditabbaṃ. Vissatthoti nibbhayo nirāsaṅko. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    ปาสราสิสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pāsarāsisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    อริยปริเยสนาติปิ เอตเสฺสว นามํฯ

    Ariyapariyesanātipi etasseva nāmaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๖. ปาสราสิสุตฺตํ • 6. Pāsarāsisuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๖. ปาสราสิสุตฺตวณฺณนา • 6. Pāsarāsisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact