Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๖. ปาสราสิสุตฺตวณฺณนา

    6. Pāsarāsisuttavaṇṇanā

    ๒๗๒. สาธุมยนฺติ เอตฺถ สาธุ-สโทฺท อายาจนโตฺถ, น ‘‘สาธาวุโส’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๒) วิย อภินนฺทนาทิอโตฺถติ อาห ‘‘อายาจนฺตา’’ติฯ เตนาห ปาฬิยํ ‘‘ลเภยฺยามา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ น สโกฺกนฺติ, กสฺมา? พุทฺธา หิ ครู โหนฺติ, ปรมครู อุตฺตมํ คารวฎฺฐานํ, น ยถา ตถา อุปสงฺกมนียาฯ เตนาห ‘‘เอกจาริโก สีโห’’ติอาทิฯ

    272.Sādhumayanti ettha sādhu-saddo āyācanattho, na ‘‘sādhāvuso’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 182) viya abhinandanādiatthoti āha ‘‘āyācantā’’ti. Tenāha pāḷiyaṃ ‘‘labheyyāmā’’tiādi vuttaṃ. Na sakkonti, kasmā? Buddhā hi garū honti, paramagarū uttamaṃ gāravaṭṭhānaṃ, na yathā tathā upasaṅkamanīyā. Tenāha ‘‘ekacāriko sīho’’tiādi.

    ‘‘ปากฎกิริยายา’’ติ สเงฺขเปน วุตฺตํ วิวริตุํ ‘‘ยํ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภควา สพฺพกาลํ กิเมวมกาสีติ? น สพฺพกาลเมวมกาสิฯ ยทา ปน อกาสิ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ภควา ปฐมโพธิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ มนุสฺสตฺตภาเวติ อิมินา ปุริสตฺตภาวํ อุลฺลิเงฺคติฯ ธนปริจฺจาโค กโต นาม นตฺถิ ภควโต ธรมานกาเลติ อธิปฺปาโยฯ

    ‘‘Pākaṭakiriyāyā’’ti saṅkhepena vuttaṃ vivarituṃ ‘‘yaṃ hī’’tiādi vuttaṃ. Bhagavā sabbakālaṃ kimevamakāsīti? Na sabbakālamevamakāsi. Yadā pana akāsi, taṃ dassetuṃ ‘‘bhagavā paṭhamabodhiya’’ntiādi vuttaṃ. Manussattabhāveti iminā purisattabhāvaṃ ulliṅgeti. Dhanapariccāgo kato nāma natthi bhagavato dharamānakāleti adhippāyo.

    มาลากจวรนฺติ มิลาตมาลากจวรํฯ รโชชลฺลํ น อุปลิมฺปติ อจฺฉตรฉวิภาวโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘สุขุมตฺตา ฉวิยา กาเย รโชชลฺลํ น ลิมฺปตี’’ติฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ภควา นหายตีติ อาห ‘‘อุตุคฺคหณตฺถ’’นฺติฯ

    Mālākacavaranti milātamālākacavaraṃ. Rajojallaṃ na upalimpati acchatarachavibhāvato. Vuttañhetaṃ ‘‘sukhumattā chaviyā kāye rajojallaṃ na limpatī’’ti. Yadi evaṃ kasmā bhagavā nahāyatīti āha ‘‘utuggahaṇattha’’nti.

    วิหาโรติ เชตวนวิหาโรฯ วีสติอุสภํ คาวุตสฺส จตุโตฺถ ภาโคติ วทนฺติฯ กทาจีติ กสฺมิญฺจิ พุทฺธุปฺปาเทฯ อจลเมวาติ อปริวตฺตเมว อนญฺญภาวโต, มญฺจานํ ปน อปฺปมหนฺตตาหิ ปาทานํ ปติฎฺฐิตฎฺฐานสฺส หานิวฑฺฒิโย โหนฺติเยวฯ

    Vihāroti jetavanavihāro. Vīsatiusabhaṃ gāvutassa catuttho bhāgoti vadanti. Kadācīti kasmiñci buddhuppāde. Acalamevāti aparivattameva anaññabhāvato, mañcānaṃ pana appamahantatāhi pādānaṃ patiṭṭhitaṭṭhānassa hānivaḍḍhiyo hontiyeva.

    ยนฺตนาฬิกาหิ ปริปุณฺณสุวณฺณรสธาราหิฯ นฺหานวตฺตนฺติ ‘‘ปพฺพชิเตน นาม เอวํ นฺหายิตพฺพ’’นฺติ นหานจาริตฺตํ ทเสฺสตฺวาฯ ยสฺมา ภควโต สรีรํ สุธนฺตจามีกรสมานวณฺณํ สุปริโสธิตปวาฬรุจิรกรจรณาวรํ สุวิสุทฺธนีลรตนาวฬิสทิสเกสตนุรุหํ, ตสฺมา ตหํ ตหํ วินิสฺสตชาติหิงฺคุลกรสูปโสภิตํ อุปริ มหคฺฆรตนาวฬิสญฺฉาทิตํ ชงฺคมมิว กนกคิริสิขรํ วิโรจิตฺถฯ ตสฺมิญฺจ สมเย ทสพลสฺส สรีรโต นิกฺขมิตฺวา ฉพฺพณฺณรสฺมิโย สมนฺตโต อสีติหตฺถปฺปมาเณ ปเทเส อาธาวนฺตี วิธาวนฺตี รตนาวฬิรตนทาม-รตนจุณฺณ-วิปฺปกิณฺณํ วิย, ปสาริตรตนจิตฺตกญฺจนปฎฺฎมิว, อาสิญฺจมานลาขารสธารา-จิตมิว , อุกฺกาสตนิปาตสมากุลมิว, นิรนฺตรํ วิปฺปกิณฺณ-กณิการ-กิงฺกิณิก-ปุปฺผมิว, วายุเวคสมุทฺธต-จินปิฎฺฐจุณฺณ-รญฺชิตมิว, อินฺทธนุ-วิชฺชุลตา-วิตานสนฺถตมิว, คคนตลํ ตํ ฐานํ ปวนญฺจ สมฺมา ผรนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วณฺณภูมิ นาเมสา’’ติอาทิฯ อตฺถนฺติ อุปเมยฺยตฺถํฯ อุปมาโยติ ‘‘อีทิโส จ โหตี’’ติ ยถารหํ ตทนุจฺฉวิกา อุปมาฯ การณานีติ อุปมุปเมยฺยสมฺพนฺธวิภาวนานิ การณานิฯ ปูเรตฺวาติ วณฺณนํ ปริปุณฺณํ กตฺวาฯ ถาโม เวทิตโพฺพ ‘‘อติเตฺถ ปกฺขโนฺท’’ติ อวตฺตพฺพตฺตาฯ

    Yantanāḷikāhi paripuṇṇasuvaṇṇarasadhārāhi. Nhānavattanti ‘‘pabbajitena nāma evaṃ nhāyitabba’’nti nahānacārittaṃ dassetvā. Yasmā bhagavato sarīraṃ sudhantacāmīkarasamānavaṇṇaṃ suparisodhitapavāḷarucirakaracaraṇāvaraṃ suvisuddhanīlaratanāvaḷisadisakesatanuruhaṃ, tasmā tahaṃ tahaṃ vinissatajātihiṅgulakarasūpasobhitaṃ upari mahaggharatanāvaḷisañchāditaṃ jaṅgamamiva kanakagirisikharaṃ virocittha. Tasmiñca samaye dasabalassa sarīrato nikkhamitvā chabbaṇṇarasmiyo samantato asītihatthappamāṇe padese ādhāvantī vidhāvantī ratanāvaḷiratanadāma-ratanacuṇṇa-vippakiṇṇaṃ viya, pasāritaratanacittakañcanapaṭṭamiva, āsiñcamānalākhārasadhārā-citamiva , ukkāsatanipātasamākulamiva, nirantaraṃ vippakiṇṇa-kaṇikāra-kiṅkiṇika-pupphamiva, vāyuvegasamuddhata-cinapiṭṭhacuṇṇa-rañjitamiva, indadhanu-vijjulatā-vitānasanthatamiva, gaganatalaṃ taṃ ṭhānaṃ pavanañca sammā pharanti. Tena vuttaṃ ‘‘vaṇṇabhūmi nāmesā’’tiādi. Atthanti upameyyatthaṃ. Upamāyoti ‘‘īdiso ca hotī’’ti yathārahaṃ tadanucchavikā upamā. Kāraṇānīti upamupameyyasambandhavibhāvanāni kāraṇāni. Pūretvāti vaṇṇanaṃ paripuṇṇaṃ katvā. Thāmo veditabbo ‘‘atitthe pakkhando’’ti avattabbattā.

    ๒๗๓. กณฺณิกาติ สรีรคตพินฺทุกตานิ มณฺฑลานิฯ ปริกฺขารภณฺฑนฺติ อุตฺตราสงฺคํ สงฺฆาฎิญฺจ สนฺธาย วทติฯ กิํ ปนายํ นโย พุทฺธานมฺปิ สรีเร โหตีติ? น โหติ, วตฺตทสฺสนตฺถํ ปเนตํ กตนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘พุทฺธานํ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ คมนวเสน กายสฺสาภินีหรณํ คมนาภิหาโรฯ ยถาธิปฺปายาวตฺตนํ อธิปฺปายโกปนํ

    273.Kaṇṇikāti sarīragatabindukatāni maṇḍalāni. Parikkhārabhaṇḍanti uttarāsaṅgaṃ saṅghāṭiñca sandhāya vadati. Kiṃ panāyaṃ nayo buddhānampi sarīre hotīti? Na hoti, vattadassanatthaṃ panetaṃ katanti dassetuṃ ‘‘buddhānaṃ panā’’tiādi vuttaṃ. Gamanavasena kāyassābhinīharaṇaṃ gamanābhihāro. Yathādhippāyāvattanaṃ adhippāyakopanaṃ.

    อญฺญตราย ปารมิยาติ เนกฺขมฺมปารมิยาฯ วีริยปารมิยาติ อปเรฯ มหาภินิกฺขมนสฺสาติ มหนฺตสฺส จริมภเว อภินิกฺขมนสฺสฯ ตญฺหิ มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ มหนฺตญฺจ ญาติปริวฎฺฎํ มหนฺตญฺจ จกฺกวตฺติสิริํ ปชหิตฺวา สเทวกสฺส โลกสฺส สมารกสฺส จ อจิเนฺตยฺยาปริเมยฺยเภทสฺส มหโต อตฺถาย หิตาย สุขาย ปวตฺตตฺตา มหนียตาย จ มหนฺตํ อภินิกฺขมนนฺติ วุจฺจติฯ

    Aññatarāya pāramiyāti nekkhammapāramiyā. Vīriyapāramiyāti apare. Mahābhinikkhamanassāti mahantassa carimabhave abhinikkhamanassa. Tañhi mahantaṃ bhogakkhandhaṃ mahantañca ñātiparivaṭṭaṃ mahantañca cakkavattisiriṃ pajahitvā sadevakassa lokassa samārakassa ca acinteyyāparimeyyabhedassa mahato atthāya hitāya sukhāya pavattattā mahanīyatāya ca mahantaṃ abhinikkhamananti vuccati.

    ปุริโมติ ‘‘กตมาย นุ กถาย สนฺนิสินฺนา ภวถา’’ติ เอวํ วุตฺตอโตฺถฯ กา จ ปน โวติ เอตฺถ -สโทฺท พฺยติเรเกฯ เตน ยถาปุจฺฉิตาย กถาย วกฺขมานํ วิปฺปกตภาวํ โชเตติฯ ปน-สโทฺท วจนาลงฺกาเรฯ ยาย หิ กถาย เต ภิกฺขู สนฺนิสินฺนา, สา เอว อนฺตรากถาภูตา วิปฺปกตา วิเสเสน ปุน ปุจฺฉียติฯ อญฺญาติ อนฺตรา-สทฺทสฺส อตฺถมาหฯ อญฺญโตฺถ หิ อยํ อนฺตรา-สโทฺท ‘‘ภูมนฺตรํ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา) สมยนฺตร’’นฺติอาทีสุ วิย, อนฺตราติ วา เวมเชฺฌติ อโตฺถฯ ทสกถาวตฺถุนิสฺสิตาติ ‘‘กิํ สีลํ นาม, กถญฺจ ปูเรตพฺพํ, กานิ จสฺส สํกิเลสโวทานานี’’ติอาทินา อปฺปิจฺฉาทินิสฺสิตา สีลาทินิสฺสิตา จ กถาฯ อริโยติ นิโทฺทโสฯ อถ วา อตฺถกาเมหิ อรณีโยติ อริโย, อริยานํ อยนฺติ วา อริโยติฯ ภาวนามนสิการวเสน ตุณฺหี ภวนฺติ, น เอกจฺจพาหิรกปพฺพชิตา วิย มูคพฺพตสมาทาเนนฯ ทุติยชฺฌานมฺปิ อริโย ตุณฺหีภาโว วจีสงฺขารปหานโตฯ มูลกมฺมฎฺฐานนฺติ ปาริหาริย กมฺมฎฺฐานมฺปิฯ ฌานนฺติ ทุติยชฺฌานํฯ

    Purimoti ‘‘katamāya nu kathāya sannisinnā bhavathā’’ti evaṃ vuttaattho. Kā ca pana voti ettha ca-saddo byatireke. Tena yathāpucchitāya kathāya vakkhamānaṃ vippakatabhāvaṃ joteti. Pana-saddo vacanālaṅkāre. Yāya hi kathāya te bhikkhū sannisinnā, sā eva antarākathābhūtā vippakatā visesena puna pucchīyati. Aññāti antarā-saddassa atthamāha. Aññattho hi ayaṃ antarā-saddo ‘‘bhūmantaraṃ (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā) samayantara’’ntiādīsu viya, antarāti vā vemajjheti attho. Dasakathāvatthunissitāti ‘‘kiṃ sīlaṃ nāma, kathañca pūretabbaṃ, kāni cassa saṃkilesavodānānī’’tiādinā appicchādinissitā sīlādinissitā ca kathā. Ariyoti niddoso. Atha vā atthakāmehi araṇīyoti ariyo, ariyānaṃ ayanti vā ariyoti. Bhāvanāmanasikāravasena tuṇhī bhavanti, na ekaccabāhirakapabbajitā viya mūgabbatasamādānena. Dutiyajjhānampi ariyo tuṇhībhāvo vacīsaṅkhārapahānato. Mūlakammaṭṭhānanti pārihāriya kammaṭṭhānampi. Jhānanti dutiyajjhānaṃ.

    ๒๗๔. ‘‘สนฺนิปติตานํ โว, ภิกฺขเว, ทฺวย’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๗๓; อุทา. ๑๒, ๒๘, ๒๙) อฎฺฐุปฺปตฺติวเสน เทสนา ปวตฺตาติ ตสฺสา อุปริเทสนาย สมฺพนฺธํ ทเสฺสตุํ ‘‘เทฺวมา, ภิกฺขเว, ปริเยสนาติ โก อนุสนฺธี’’ติ อนุสนฺธิํ ปุจฺฉติฯ อยํ ตุมฺหากํ ปริเยสนาติ ยา มหาภินิกฺขมนปฎิพทฺธา ธมฺมี กถา, สา ตุมฺหากํ ธมฺมปริเยสนา ธมฺมวิจารณา อริยปริเยสนา นามฯ อปายมคฺคนฺติ อนตฺถาวหํ มคฺคํฯ อุเทฺทสานุกฺกมํ ภินฺทิตฺวาติ อุเทฺทสานุปุพฺพิํ ลงฺฆิตฺวาฯ ธมฺม-สโทฺท ‘‘อโมสธมฺมํ นิพฺพาน’’นฺติอาทีสุ วิย ปกติปริยาโยฯ ชายนสภาโวติ ชายนปกติโกติ อโตฺถฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ

    274. ‘‘Sannipatitānaṃ vo, bhikkhave, dvaya’’nti (ma. ni. 1.273; udā. 12, 28, 29) aṭṭhuppattivasena desanā pavattāti tassā uparidesanāya sambandhaṃ dassetuṃ ‘‘dvemā, bhikkhave, pariyesanāti ko anusandhī’’ti anusandhiṃ pucchati. Ayaṃ tumhākaṃ pariyesanāti yā mahābhinikkhamanapaṭibaddhā dhammī kathā, sā tumhākaṃ dhammapariyesanā dhammavicāraṇā ariyapariyesanā nāma. Apāyamagganti anatthāvahaṃ maggaṃ. Uddesānukkamaṃ bhinditvāti uddesānupubbiṃ laṅghitvā. Dhamma-saddo ‘‘amosadhammaṃ nibbāna’’ntiādīsu viya pakatipariyāyo. Jāyanasabhāvoti jāyanapakatikoti attho. Sesapadesupi eseva nayo.

    สพฺพตฺถาติ ยถา ‘‘ปุตฺตภริย’’นฺติ ทฺวนฺทสมาสวเสน เอกตฺตํ, เอส นโย สพฺพตฺถ ‘‘ทาสิทาส’’นฺติอาทีสุ สพฺพปเทสุฯ ปรโต วิการํ อนาปชฺชิตฺวา สพฺพทา ชาตรูปเมว โหตีติ ชาตรูปํ, สุวณฺณํฯ ธวลสภาวตาย รญฺชียตีติ รชตํ, รูปิยํฯ อิธ ปน สุวณฺณํ ฐเปตฺวา ยํ กิญฺจิ อุปโภคปริโภคารหํ รชตํเตว คหิตํฯ อุปธียติ เอตฺถ ทุกฺขนฺติ อุปธโยฯ จุตีสงฺขาตํ มรณนฺติ เอกภวปริยาปนฺนํ ขนฺธนิโรธสงฺขาตํ มรณมาหฯ ขณิกนิโรโธ ปน ขเณ ขเณฯ เตนาห ‘‘สตฺตานํ วิยา’’ติฯ สํกิลิสฺสตีติ ทูสวิเสน วิย อตฺตานํ ทูสิสฺสติฯ เตนาห ภควา – ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, ชาตรูปสฺส อุปกฺกิเลสา อโย โลห’’นฺติอาทิ (อ. นิ. ๕.๒๓)ฯ มลํ คเหตฺวาติ เยหิ สหโยคโต มลินํ โหติ, เตสํ มลินภาวปจฺจยานํ วเสน มลํ คเหตฺวาฯ ชีรณโต ชราธมฺมวาเร ชาตรูปํ คหิตนฺติ โยชนาฯ เย ปน ชาติธมฺมวาเรปิ ชาตรูปํ น ปฐนฺติ, เตสํ อิตเรสํ วิย ชีรณธมฺมวาเร สรูปโต อนาคตมฺปิ อุปธิคฺคหเณน คหิตเมวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปริคฺคเห ฐิตานํ ปน วเสน วุจฺจมาเน อปากฎานมฺปิ ชาติชรามรณานํ วเสน โยชนา ลพฺภเตวฯ ชาตรูปสีเสน เจตฺถ สพฺพสฺสปิ อนินฺทฺริยพทฺธสฺส คหณํ ทฎฺฐพฺพํ, ปุตฺตภริยาทิคฺคหเณน วิย มิตฺตามจฺจาทิคฺคหณํฯ

    Sabbatthāti yathā ‘‘puttabhariya’’nti dvandasamāsavasena ekattaṃ, esa nayo sabbattha ‘‘dāsidāsa’’ntiādīsu sabbapadesu. Parato vikāraṃ anāpajjitvā sabbadā jātarūpameva hotīti jātarūpaṃ, suvaṇṇaṃ. Dhavalasabhāvatāya rañjīyatīti rajataṃ, rūpiyaṃ. Idha pana suvaṇṇaṃ ṭhapetvā yaṃ kiñci upabhogaparibhogārahaṃ rajataṃteva gahitaṃ. Upadhīyati ettha dukkhanti upadhayo. Cutīsaṅkhātaṃ maraṇanti ekabhavapariyāpannaṃ khandhanirodhasaṅkhātaṃ maraṇamāha. Khaṇikanirodho pana khaṇe khaṇe. Tenāha ‘‘sattānaṃ viyā’’ti. Saṃkilissatīti dūsavisena viya attānaṃ dūsissati. Tenāha bhagavā – ‘‘pañcime, bhikkhave, jātarūpassa upakkilesā ayo loha’’ntiādi (a. ni. 5.23). Malaṃ gahetvāti yehi sahayogato malinaṃ hoti, tesaṃ malinabhāvapaccayānaṃ vasena malaṃ gahetvā. Jīraṇato jarādhammavāre jātarūpaṃ gahitanti yojanā. Ye pana jātidhammavārepi jātarūpaṃ na paṭhanti, tesaṃ itaresaṃ viya jīraṇadhammavāre sarūpato anāgatampi upadhiggahaṇena gahitamevāti daṭṭhabbaṃ. Pariggahe ṭhitānaṃ pana vasena vuccamāne apākaṭānampi jātijarāmaraṇānaṃ vasena yojanā labbhateva. Jātarūpasīsena cettha sabbassapi anindriyabaddhassa gahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ, puttabhariyādiggahaṇena viya mittāmaccādiggahaṇaṃ.

    ๒๗๕. อริเยหิ ปริเยสนา, อริยานํ ปริเยสนาติ วา อริยปริเยสนาติ สมาสทฺวยํ ทเสฺสติ ‘‘อยํ, ภิกฺขเว’’ติอาทินาฯ

    275. Ariyehi pariyesanā, ariyānaṃ pariyesanāti vā ariyapariyesanāti samāsadvayaṃ dasseti ‘‘ayaṃ, bhikkhave’’tiādinā.

    ๒๗๖. มูลโต ปฎฺฐายาติ ยํ มหาภินิกฺขมนสฺส มูลภาเวสุอาทีนวทสฺสนํ, ตโต ปฎฺฐายฯ ยสฺมา เต ภิกฺขู ตตฺถ มหาภินิกฺขมนกถาย สนฺนิสินฺนา, สา จ เนสํ อนฺตรากถา วิปฺปกตา, ตสฺมา ภควา เตสํ มูลโต ปฎฺฐาย มหาภินิกฺขมนกถํ กเถตุํ อารภิฯ อหมฺปิ ปุเพฺพติ วิเสสวจนํ อปริปกฺกญาเณน สยํ จริมภเว ตีสุ ปาสาเทสุ ติวิธนาฎกปริวารสฺส ทิพฺพสมฺปตฺติสทิสาย มหาสมฺปตฺติยา อนุภวนํ, อภินิกฺขมิตฺวา ปธานปทหนวเสน อตฺตกิลมถานุโยคญฺจ สนฺธายาหฯ อนริยปริเยสนํ ปริเยสินฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ปญฺจวคฺคิยาปีติ ยถาสกํ คิหิโภคํ อนุยุตฺตา ตํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา อตฺตกิลมถานุโยเค ฐิตา สตฺถุ ธมฺมจกฺกปวตฺตนเทสนาย (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) ตมฺปิ ปหาย อริยปริเยสนํ ปริเยสิํสูติฯ

    276.Mūlato paṭṭhāyāti yaṃ mahābhinikkhamanassa mūlabhāvesuādīnavadassanaṃ, tato paṭṭhāya. Yasmā te bhikkhū tattha mahābhinikkhamanakathāya sannisinnā, sā ca nesaṃ antarākathā vippakatā, tasmā bhagavā tesaṃ mūlato paṭṭhāya mahābhinikkhamanakathaṃ kathetuṃ ārabhi. Ahampi pubbeti visesavacanaṃ aparipakkañāṇena sayaṃ carimabhave tīsu pāsādesu tividhanāṭakaparivārassa dibbasampattisadisāya mahāsampattiyā anubhavanaṃ, abhinikkhamitvā padhānapadahanavasena attakilamathānuyogañca sandhāyāha. Anariyapariyesanaṃ pariyesinti etthāpi eseva nayo. Pañcavaggiyāpīti yathāsakaṃ gihibhogaṃ anuyuttā taṃ pahāya pabbajitvā attakilamathānuyoge ṭhitā satthu dhammacakkapavattanadesanāya (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 13; paṭi. ma. 2.30) tampi pahāya ariyapariyesanaṃ pariyesiṃsūti.

    ๒๗๗. กามํ ทหร-สโทฺท ‘‘ทหรํ กุมารํ มนฺทํ อุตฺตานเสยฺยก’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๔๙๖) เอตฺถ พาลทารเก อาคโต, ‘‘ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต’’ติ ปน วกฺขมานตฺตา ยุวาวตฺถา อิธ ทหร-สเทฺทน วุตฺตาติ อาห ‘‘ตรุโณว สมาโน’’ติฯ ปฐมวเยน เอกูนติํสวยตฺตาฯ ชาติยา หิ ยาว เตตฺติํสวยา ปฐมวโยฯ อนาทรเตฺถ สามิวจนํ ยถา ‘‘เทวทตฺตสฺส รุทนฺตสฺส ปพฺพชี’’ติฯ กามํ อสฺสุมุจฺจนํ โรทนํ, ตํ อสฺสุมุขานนฺติ อิมินา ปกาสิตํ, ตํ ปน วตฺวา ‘‘รุทนฺตาน’’นฺติ วจนํ พลวโสกสมุฎฺฐานํ อาโรทนวตฺถุํ ปกาเสตีติ อาห ‘‘กนฺทิตฺวา โรทมานาน’’นฺติฯ กิํ กุสลนฺติ คเวสมาโนติ กินฺติ สพฺพโส อวชฺชรหิตํ เอกนฺต นิยฺยานิกํ ปริเยสมาโนฯ วรปทนฺติ วฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณตฺถิเกหิ เอกเนฺตน วรณียเฎฺฐน วรํ, ปชฺชิตพฺพเฎฺฐน ปทํฯ ตุงฺคสรีรตาย ทีโฆ, ปิงฺคลจกฺขุตาย ปิงฺคโลติ ทีฆปิงฺคโลฯ ธโมฺมติ วินโย, สมโยติ อโตฺถฯ สุตฺวาว อุคฺคณฺหินฺติ เตน วุจฺจมานสฺส สวนมเตฺตเนว อุคฺคณฺหิํ วาจุคฺคตํ อกาสิํฯ

    277. Kāmaṃ dahara-saddo ‘‘daharaṃ kumāraṃ mandaṃ uttānaseyyaka’’nti (ma. ni. 1.496) ettha bāladārake āgato, ‘‘bhadrena yobbanena samannāgato’’ti pana vakkhamānattā yuvāvatthā idha dahara-saddena vuttāti āha ‘‘taruṇova samāno’’ti. Paṭhamavayena ekūnatiṃsavayattā. Jātiyā hi yāva tettiṃsavayā paṭhamavayo. Anādaratthe sāmivacanaṃ yathā ‘‘devadattassa rudantassa pabbajī’’ti. Kāmaṃ assumuccanaṃ rodanaṃ, taṃ assumukhānanti iminā pakāsitaṃ, taṃ pana vatvā ‘‘rudantāna’’nti vacanaṃ balavasokasamuṭṭhānaṃ ārodanavatthuṃ pakāsetīti āha ‘‘kanditvā rodamānāna’’nti. Kiṃ kusalanti gavesamānoti kinti sabbaso avajjarahitaṃ ekanta niyyānikaṃ pariyesamāno. Varapadanti vaṭṭadukkhanissaraṇatthikehi ekantena varaṇīyaṭṭhena varaṃ, pajjitabbaṭṭhena padaṃ. Tuṅgasarīratāya dīgho, piṅgalacakkhutāya piṅgaloti dīghapiṅgalo. Dhammoti vinayo, samayoti attho. Sutvāva uggaṇhinti tena vuccamānassa savanamatteneva uggaṇhiṃ vācuggataṃ akāsiṃ.

    ปฎิลปนมตฺตเกนาติ ปุน ลปนมตฺตเกนฯ ชานาตีติ ญาโณ, ญาโณติ วาโท ญาณวาโท, ตํ ญาณวาทํฯ ‘‘วทามี’’ติ อาคตตฺตา อฎฺฐกถายํ ‘‘ชานามี’’ติ อุตฺตมปุริสวเสน อโตฺถ วุโตฺตฯ อเญฺญปิ พหูติ อเญฺญปิ พหู มม ตถาภาวํ ชานนฺตา ‘‘อยํ อิมํ ธมฺมํ ชานาตี’’ติ, ‘‘อกมฺปนียตาย ถิโร’’ติ วา เอวํ วทนฺติฯ ลาภีติ อญฺญาสีติ ธมฺมสฺส อุทฺทิสเนน มหาปญฺญตาย ‘‘อยํ อตฺตนา คตมคฺคํ ปเวเทติ, น อนุสฺสุติโก’’ติ อญฺญาสิฯ อสฺสาติ โพธิสตฺตสฺสฯ เอตทโหสีติ เอตํ ‘‘น โข อาฬาโร กาลาโม’’ติอาทิ มนสิ อโหสิ, จิเนฺตสีติ อโตฺถฯ

    Paṭilapanamattakenāti puna lapanamattakena. Jānātīti ñāṇo, ñāṇoti vādo ñāṇavādo, taṃ ñāṇavādaṃ. ‘‘Vadāmī’’ti āgatattā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘jānāmī’’ti uttamapurisavasena attho vutto. Aññepi bahūti aññepi bahū mama tathābhāvaṃ jānantā ‘‘ayaṃ imaṃ dhammaṃ jānātī’’ti, ‘‘akampanīyatāya thiro’’ti vā evaṃ vadanti. Lābhīti aññāsīti dhammassa uddisanena mahāpaññatāya ‘‘ayaṃ attanā gatamaggaṃ pavedeti, na anussutiko’’ti aññāsi. Assāti bodhisattassa. Etadahosīti etaṃ ‘‘na kho āḷāro kālāmo’’tiādi manasi ahosi, cintesīti attho.

    เหฎฺฐิมสมาปตฺตีหิ วินา อุปริมสมาปตฺตีนํ สมฺปาทนสฺส อสมฺภวโต ‘‘สตฺต สมาปตฺติโย มํ ชานาเปสี’’ติ อาหฯ ปโยคํ กเรยฺยนฺติ ภาวนํ อนุยุเญฺชยฺยนฺติ อโตฺถฯ เอวมาหาติ เอวํ ‘‘อหํ, อาวุโส’’ติอาทิมาห, สตฺตนฺนํ สมาปตฺตีนํ อธิคมํ ปจฺจญฺญาสีติ อโตฺถฯ

    Heṭṭhimasamāpattīhi vinā uparimasamāpattīnaṃ sampādanassa asambhavato ‘‘satta samāpattiyo maṃ jānāpesī’’ti āha. Payogaṃ kareyyanti bhāvanaṃ anuyuñjeyyanti attho. Evamāhāti evaṃ ‘‘ahaṃ, āvuso’’tiādimāha, sattannaṃ samāpattīnaṃ adhigamaṃ paccaññāsīti attho.

    อนุสูยโกติ อนิสฺสุกีฯ เตน มหาปุริเส ปสาทํ ปเวเทสิฯ โพธิสตฺตสฺส ตา สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา ฐิตสฺส ปุริมชาติปริจเยน ญาณสฺส จ มหนฺตตาย ตาสํ คติ จ อภิสมฺปราโย จ อุปฎฺฐาสิ ฯ เตน ‘‘วฎฺฎปริยาปนฺนา เอเวตา’’ติ นิจฺฉโย อุทปาทิฯ เตนาห ‘‘นายํ ธโมฺม นิพฺพิทายา’’ติอาทิฯ เอกจฺจานํ วิราคภาวนาสมติกฺกมาวโหปิ เนว เตสมฺปิ อจฺจนฺตาย สมติกฺกมาวโห, สยญฺจ วฎฺฎปริยาปโนฺนเยว, ตสฺมา เนว วเฎฺฎ นิพฺพินฺทนตฺถาย, ยทเคฺคน น นิพฺพิทาย, ตทเคฺคน น วิรชฺชนตฺถาย, ราคาทีนํ ปาปธมฺมานํ น นิรุชฺฌนตฺถาย, น อุปสมตฺถาย, ตสฺมา ตํ อภิเญฺญยฺยธมฺมํ น อภิชานนตฺถาย…เป.… สํวตฺตตีติ โยชนาฯ

    Anusūyakoti anissukī. Tena mahāpurise pasādaṃ pavedesi. Bodhisattassa tā samāpattiyo nibbattetvā ṭhitassa purimajātiparicayena ñāṇassa ca mahantatāya tāsaṃ gati ca abhisamparāyo ca upaṭṭhāsi . Tena ‘‘vaṭṭapariyāpannā evetā’’ti nicchayo udapādi. Tenāha ‘‘nāyaṃ dhammo nibbidāyā’’tiādi. Ekaccānaṃ virāgabhāvanāsamatikkamāvahopi neva tesampi accantāya samatikkamāvaho, sayañca vaṭṭapariyāpannoyeva, tasmā neva vaṭṭe nibbindanatthāya, yadaggena na nibbidāya, tadaggena na virajjanatthāya, rāgādīnaṃ pāpadhammānaṃ na nirujjhanatthāya, na upasamatthāya, tasmā taṃ abhiññeyyadhammaṃ na abhijānanatthāya…pe… saṃvattatīti yojanā.

    ยาวเทว อากิญฺจญฺญายตนุปปตฺติยาติ สตฺตสุ สมาปตฺตีสุ อุกฺกฎฺฐํ คเหตฺวา วทติฯ อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย อจุติธมฺมํ ปริเยสิตุํ ยุตฺตตฺตา ตญฺจ อนติกฺกนฺตชาติธมฺมเมวาติ มหาสโตฺต ปชหตีติ อาห ‘‘ยญฺจ ฐานํ ปาเปตี’’ติอาทิฯ ตโต ปฎฺฐายาติ ยทา สมาปตฺติธมฺมสฺส คติญฺจ อภิสมฺปรายญฺจ อพฺภญฺญาสิ, ตโต ปฎฺฐายฯ มกฺขิกาวเสนาติ โภชนสฺส มกฺขิกามิสฺสตาวเสนฯ มนํ น อุปฺปาเทติ ภุญฺชิตุนฺติ อธิปฺปาโยฯ มหเนฺตน อุสฺสาเหนาติ อิทํ กติปาหํ ตตฺถ ภาวนานุโยคมตฺตํ สนฺธาย วุตฺตํ, น อเญฺญสํ วิย กสิณปริกมฺมาทิกรณํฯ น หิ อนฺติมภวิกโพธิสตฺตานํ สมาปตฺตินิพฺพตฺตเน ภาริยํ นามฯ อนลงฺกริตฺวาติ อนุ อนุ อลํกตฺวา ปุนปฺปุนํ ‘‘อิมินา น กิญฺจิ ปโยชน’’นฺติ กตฺวาฯ

    Yāvadeva ākiñcaññāyatanupapattiyāti sattasu samāpattīsu ukkaṭṭhaṃ gahetvā vadati. Uṭṭhāya samuṭṭhāya acutidhammaṃ pariyesituṃ yuttattā tañca anatikkantajātidhammamevāti mahāsatto pajahatīti āha ‘‘yañca ṭhānaṃ pāpetī’’tiādi. Tato paṭṭhāyāti yadā samāpattidhammassa gatiñca abhisamparāyañca abbhaññāsi, tato paṭṭhāya. Makkhikāvasenāti bhojanassa makkhikāmissatāvasena. Manaṃ na uppādeti bhuñjitunti adhippāyo. Mahantena ussāhenāti idaṃ katipāhaṃ tattha bhāvanānuyogamattaṃ sandhāya vuttaṃ, na aññesaṃ viya kasiṇaparikammādikaraṇaṃ. Na hi antimabhavikabodhisattānaṃ samāpattinibbattane bhāriyaṃ nāma. Analaṅkaritvāti anu anu alaṃkatvā punappunaṃ ‘‘iminā na kiñci payojana’’nti katvā.

    ๒๗๘. วาจาย อุคฺคหิตมโตฺตวาติ เอตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนยานุสาเรน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    278.Vācāya uggahitamattovāti ettha pubbe vuttanayānusārena attho veditabbo.

    ๒๗๙. มหาเวลา วิย มหาเวลา, วิปุลวาลิกปุญฺชตาย มหโนฺต เวลาตโฎ วิยาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘มหาวาลิกราสีติ อโตฺถ’’ติฯ อุรุ มรุ สิกตา วาลุกา วณฺณุ วาลิกาติ อิเม สทฺทา สมานตฺถา, พฺยญฺชนเมว นานํฯ

    279. Mahāvelā viya mahāvelā, vipulavālikapuñjatāya mahanto velātaṭo viyāti attho. Tenāha ‘‘mahāvālikarāsīti attho’’ti. Uru maru sikatā vālukā vaṇṇu vālikāti ime saddā samānatthā, byañjanameva nānaṃ.

    เสนา นิคจฺฉิ นิวิสิ เอตฺถาติ เสนานิคโม, เสนาย นิวิฎฺฐฎฺฐานํฯ เสนานิคาโมติ ปน อยํ สมญฺญา อปรกาลิกาฯ โคจรคามนิทสฺสนเญฺจตํฯ อุปริสุตฺตสฺมินฺติ มหาสจฺจกสุเตฺตฯ อิธ ปน โพธิปลฺลโงฺก อธิเปฺปโต อริยปริเยสนาย วุจฺจมานตฺตาฯ

    Senā nigacchi nivisi etthāti senānigamo, senāya niviṭṭhaṭṭhānaṃ. Senānigāmoti pana ayaṃ samaññā aparakālikā. Gocaragāmanidassanañcetaṃ. Uparisuttasminti mahāsaccakasutte. Idha pana bodhipallaṅko adhippeto ariyapariyesanāya vuccamānattā.

    ๒๘๐. ‘‘ญาณทสฺสน’’นฺติ จ เอกชฺฌํ คหิตปททฺวยวิสยวิเสสสฺส อนามฎฺฐตฺตา ‘‘เม’’ติ จ คหิตตฺตา อนวเสสเญยฺยาวโพธนสมตฺถเมว ญาณวิเสสํ โพเธติ, น ญาณมตฺตํ, น ทสฺสนมตฺตนฺติ อาห ‘‘สพฺพธมฺมทสฺสนสมตฺถญฺจ เม สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อุทปาที’’ติฯ อกุปฺปตายาติ วิโมกฺขนฺตตาย สพฺพโส ปฎิปกฺขธเมฺมหิ อสโงฺขภนียตายฯ เตนาห ‘‘ราคาทีหิ น กุปฺปตี’’ติฯ อารมฺมณสนฺตตายปิ ตทารมฺมณานํ อตฺถิ วิเสโส ยถา ตํ ‘‘อาเนญฺชวิหาเร’’ติ อาห ‘‘อกุปฺปารมฺมณตาย จา’’ติฯ ปจฺจเวกฺขณญาณมฺปีติ น เกวลํ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว, อถ โข ยถาธิคเต ปฎิเวธสทฺธเมฺม เอกูนวีสติวิธปจฺจเวกฺขณญาณมฺปิฯ

    280. ‘‘Ñāṇadassana’’nti ca ekajjhaṃ gahitapadadvayavisayavisesassa anāmaṭṭhattā ‘‘me’’ti ca gahitattā anavasesañeyyāvabodhanasamatthameva ñāṇavisesaṃ bodheti, na ñāṇamattaṃ, na dassanamattanti āha ‘‘sabbadhammadassanasamatthañca me sabbaññutaññāṇaṃ udapādī’’ti. Akuppatāyāti vimokkhantatāya sabbaso paṭipakkhadhammehi asaṅkhobhanīyatāya. Tenāha ‘‘rāgādīhina kuppatī’’ti. Ārammaṇasantatāyapi tadārammaṇānaṃ atthi viseso yathā taṃ ‘‘āneñjavihāre’’ti āha ‘‘akuppārammaṇatāya cā’’ti. Paccavekkhaṇañāṇampīti na kevalaṃ sabbaññutaññāṇameva, atha kho yathādhigate paṭivedhasaddhamme ekūnavīsatividhapaccavekkhaṇañāṇampi.

    ๒๘๑. ปฎิวิโทฺธติ (ที. นิ. ฎี. ๒.๖๔; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑๗๒; สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๗) สยมฺภุญาเณน ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติอาทินา ปฎิมุขํ นิพฺพิชฺฌนวเสน ปโตฺต, ยถาภูตํ อวพุโทฺธติ อโตฺถฯ คมฺภีโรติ มหาสมุโทฺท วิย มกสตุณฺฑสูจิยา อญฺญตฺร สมุปจิตปริปกฺกญาณสมฺภาเรหิ อเญฺญสํ ญาเณน อลพฺภเนยฺยปติโฎฺฐฯ เตนาห ‘‘อุตฺตานภาวปฎิเกฺขปวจนเมต’’นฺติฯ โย อลพฺภเนยฺยปติโฎฺฐ, โส โอคาหิตุมสกฺกุเณยฺยตาย สรูปโต จ ปสฺสิตุํ น สกฺกาติ อาห ‘‘คมฺภีรตฺตาว ทุทฺทโส’’ติฯ ทุเกฺขน ทฎฺฐโพฺพติ กิเจฺฉน เกนจิเทว ทฎฺฐโพฺพฯ ยํ ปน ทฎฺฐุเมว น สกฺกา, ตสฺส โอคาเหตฺวา อนุ อนุ พุชฺฌเน กถา เอว นตฺถีติ อาห ‘‘ทุทฺทสตฺตาว ทุรนุโพโธ’’ติฯ ทุเกฺขน อวพุชฺฌิตโพฺพ อวโพธสฺส ทุกฺกรภาวโตฯ อิมสฺมิํ ฐาเน – ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, กตมํ นุ โข ทุกฺกรตรํ วา ทุรภิสมฺภวตรํ วา’’ติ สุตฺตปทํ (สํ. นิ. ๕.๑๑๑๕) วตฺตพฺพํฯ สนฺตารมฺมณตาย วา สโนฺตฯ นิพฺพุตสพฺพปริฬาหตาย นิพฺพุโตฯ ปธานภาวํ นีโตติ วา ปณีโตฯ อติตฺติกรเฎฺฐน อตปฺปโก สาทุรสโภชนํ วิยฯ เอตฺถ จ นิโรธสจฺจํ สนฺตํ อารมฺมณนฺติ สนฺตารมฺมณํ, มคฺคสจฺจํ สนฺตํ สนฺตารมฺมณญฺจาติ สนฺตารมฺมณํฯ อนุปสนฺตสภาวานํ กิเลสานํ สงฺขารานญฺจ อภาวโต นิพฺพุตสพฺพปริฬาหตาย สนฺตปณีตภาเวเนว จ อเสจนกตาย อตปฺปกตา ทฎฺฐพฺพาฯ เตนาห ‘‘อิทํ ทฺวยํ โลกุตฺตรเมว สนฺธาย วุตฺต’’นฺติฯ อุตฺตมญาณวิสยตฺตา น ตเกฺกน อวจริตโพฺพ, ตโต เอว นิปุณญาณโคจรตาย จ สโณฺหฯ สุขุมสภาวตฺตา จ นิปุโณ, พาลานํ อวิสยตฺตา ปณฺฑิเตหิ เอว เวทิตโพฺพติ ปณฺฑิตเวทนีโยฯ อาลียนฺติ อภิรมิตพฺพเฎฺฐน เสวียนฺตีติ อาลยา, ปญฺจ กามคุณาฯ อาลยนฺติ อลฺลียนฺตี อภิรมณวเสน เสวนฺตีติ อาลยา, ตณฺหาวิจริตานิฯ รมนฺตีติ รติํ วินฺทนฺติ กีฬนฺติ ลฬนฺติฯ อาลยรตาติ อาลยนิรตาฯ

    281.Paṭividdhoti (dī. ni. ṭī. 2.64; saṃ. ni. ṭī. 1.1.172; sārattha. ṭī. mahāvagga 3.7) sayambhuñāṇena ‘‘idaṃ dukkha’’ntiādinā paṭimukhaṃ nibbijjhanavasena patto, yathābhūtaṃ avabuddhoti attho. Gambhīroti mahāsamuddo viya makasatuṇḍasūciyā aññatra samupacitaparipakkañāṇasambhārehi aññesaṃ ñāṇena alabbhaneyyapatiṭṭho. Tenāha ‘‘uttānabhāvapaṭikkhepavacanameta’’nti. Yo alabbhaneyyapatiṭṭho, so ogāhitumasakkuṇeyyatāya sarūpato ca passituṃ na sakkāti āha ‘‘gambhīrattāva duddaso’’ti. Dukkhena daṭṭhabboti kicchena kenacideva daṭṭhabbo. Yaṃ pana daṭṭhumeva na sakkā, tassa ogāhetvā anu anu bujjhane kathā eva natthīti āha ‘‘duddasattāva duranubodho’’ti. Dukkhena avabujjhitabbo avabodhassa dukkarabhāvato. Imasmiṃ ṭhāne – ‘‘taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, katamaṃ nu kho dukkarataraṃ vā durabhisambhavataraṃ vā’’ti suttapadaṃ (saṃ. ni. 5.1115) vattabbaṃ. Santārammaṇatāya vā santo. Nibbutasabbapariḷāhatāya nibbuto. Padhānabhāvaṃ nītoti vā paṇīto. Atittikaraṭṭhena atappako sādurasabhojanaṃ viya. Ettha ca nirodhasaccaṃ santaṃ ārammaṇanti santārammaṇaṃ, maggasaccaṃ santaṃ santārammaṇañcāti santārammaṇaṃ. Anupasantasabhāvānaṃ kilesānaṃ saṅkhārānañca abhāvato nibbutasabbapariḷāhatāya santapaṇītabhāveneva ca asecanakatāya atappakatā daṭṭhabbā. Tenāha ‘‘idaṃ dvayaṃ lokuttarameva sandhāya vutta’’nti. Uttamañāṇavisayattā na takkena avacaritabbo, tato eva nipuṇañāṇagocaratāya ca saṇho. Sukhumasabhāvattā ca nipuṇo, bālānaṃ avisayattā paṇḍitehi eva veditabboti paṇḍitavedanīyo. Ālīyanti abhiramitabbaṭṭhena sevīyantīti ālayā, pañca kāmaguṇā. Ālayanti allīyantī abhiramaṇavasena sevantīti ālayā, taṇhāvicaritāni. Ramantīti ratiṃ vindanti kīḷanti laḷanti. Ālayaratāti ālayaniratā.

    ฐานํ สนฺธายาติ ฐาน-สทฺทํ สนฺธายฯ อตฺถโต ปน ฐานนฺติ จ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท เอว อธิเปฺปโตฯ ติฎฺฐติ ผลํ ตทายตฺตวุตฺติตายาติ ฐานํ, สงฺขาราทีนํ ปจฺจยภูตา อวิชฺชาทโยฯ อิเมสํ สงฺขาราทีนํ ปจฺจยาติ อิทปฺปจฺจยา, อวิชฺชาทโยวฯ อิทปฺปจฺจยา เอว อิทปฺปจฺจยตา ยถา ‘‘เทโว เอว เทวตา’’ติ, อิทปฺปจฺจยานํ วา อวิชฺชาทีนํ อตฺตโน ผลํ ปติ ปจฺจยภาโว อุปฺปาทนสมตฺถตา อิทปฺปจฺจยตาฯ เตน สมตฺถปจฺจยลกฺขโณ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท ทสฺสิโต โหติฯ ปฎิจฺจ สมุปฺปชฺชติ ผลํ เอตสฺมาติ ปฎิจฺจสมุปฺปาโทฯ ปททฺวเยนปิ ธมฺมานํ ปจฺจยโฎฺฐ เอว วิภาวิโตฯ เตนาห ‘‘สงฺขาราทิปจฺจยานํ เอตํ อธิวจน’’นฺติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนายํ (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๒.๕๗๒-๕๗๓) วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ

    Ṭhānaṃ sandhāyāti ṭhāna-saddaṃ sandhāya. Atthato pana ṭhānanti ca paṭiccasamuppādo eva adhippeto. Tiṭṭhati phalaṃ tadāyattavuttitāyāti ṭhānaṃ, saṅkhārādīnaṃ paccayabhūtā avijjādayo. Imesaṃ saṅkhārādīnaṃ paccayāti idappaccayā, avijjādayova. Idappaccayā eva idappaccayatā yathā ‘‘devo eva devatā’’ti, idappaccayānaṃ vā avijjādīnaṃ attano phalaṃ pati paccayabhāvo uppādanasamatthatā idappaccayatā. Tena samatthapaccayalakkhaṇo paṭiccasamuppādo dassito hoti. Paṭicca samuppajjati phalaṃ etasmāti paṭiccasamuppādo. Padadvayenapi dhammānaṃ paccayaṭṭho eva vibhāvito. Tenāha ‘‘saṅkhārādipaccayānaṃ etaṃ adhivacana’’nti. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimaggasaṃvaṇṇanāyaṃ (visuddhi. mahāṭī. 2.572-573) vuttanayena veditabbo.

    สพฺพสงฺขารสมโถติอาทิ สพฺพนฺติ สพฺพสงฺขารสมถาทิสทฺทาภิเธยฺยํ สพฺพํ อตฺถโต นิพฺพานเมวฯ อิทานิ ตสฺส นิพฺพานภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยสฺมา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ นฺติ นิพฺพานํฯ อาคมฺมาติ ปฎิจฺจ อริยมคฺคสฺส อารมฺมณปจฺจยภาวเหตุฯ สมฺมนฺตีติ อปฺปฎิสนฺธิกูปสมวเสน สมฺมนฺติฯ ตถา สนฺตา สวิเสสํ อุปสนฺตา นาม โหนฺตีติ อาห ‘‘วูปสมฺมนฺตี’’ติฯ เอเตน ‘‘สเพฺพ สงฺขารา สมฺมนฺติ เอตฺถาติ สพฺพสงฺขารสมโถ, นิพฺพาน’’นฺติ ทเสฺสติฯ สพฺพสงฺขตวิสํยุเตฺต จ นิพฺพาเน สพฺพสงฺขารวูปสมปริยาโย เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ปฎินิสฺสฎฺฐาติ สมุเจฺฉทวเสน ปริจฺจตฺตา โหนฺติฯ สพฺพา ตณฺหาติ อฎฺฐสตปฺปเภทา สพฺพาปิ ตณฺหาฯ สเพฺพ กิเลสราคาติ กามราครูปราคาทิเภทา สเพฺพปิ กิเลสภูตา ราคา, สเพฺพปิ วา กิเลสา อิธ ‘‘กิเลสราคา’’ติ เวทิตพฺพา, น โลภวิเสสา เอว จิตฺตสฺส วิปริณตภาวาปาทนโต ฯ ยถาห ‘‘รตฺตมฺปิ จิตฺตํ วิปริณตํ, ทุฎฺฐมฺปิ จิตฺตํ วิปริณตํ, มูฬฺหมฺปิ จิตฺตํ วิปริณต’’นฺติ (ปารา. ๒๗๑)ฯ วิรชฺชนฺตีติ ปลุชฺชนฺติฯ

    Sabbasaṅkhārasamathotiādi sabbanti sabbasaṅkhārasamathādisaddābhidheyyaṃ sabbaṃ atthato nibbānameva. Idāni tassa nibbānabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘yasmā hī’’tiādi vuttaṃ. Nti nibbānaṃ. Āgammāti paṭicca ariyamaggassa ārammaṇapaccayabhāvahetu. Sammantīti appaṭisandhikūpasamavasena sammanti. Tathā santā savisesaṃ upasantā nāma hontīti āha ‘‘vūpasammantī’’ti. Etena ‘‘sabbe saṅkhārā sammanti etthāti sabbasaṅkhārasamatho, nibbāna’’nti dasseti. Sabbasaṅkhatavisaṃyutte ca nibbāne sabbasaṅkhāravūpasamapariyāyo heṭṭhā vuttanayeneva veditabbo. Sesapadesupi eseva nayo. Paṭinissaṭṭhāti samucchedavasena pariccattā honti. Sabbā taṇhāti aṭṭhasatappabhedā sabbāpi taṇhā. Sabbe kilesarāgāti kāmarāgarūparāgādibhedā sabbepi kilesabhūtā rāgā, sabbepi vā kilesā idha ‘‘kilesarāgā’’ti veditabbā, na lobhavisesā eva cittassa vipariṇatabhāvāpādanato . Yathāha ‘‘rattampi cittaṃ vipariṇataṃ, duṭṭhampi cittaṃ vipariṇataṃ, mūḷhampi cittaṃ vipariṇata’’nti (pārā. 271). Virajjantīti palujjanti.

    จิรนิสชฺชาจิรภาสเนหิ ปิฎฺฐิอาคิลายนตาลุคลโสสาทิวเสน กายกิลมโถ เจว กายวิเหสา จ เวทิตพฺพาฯ สา จ โข เทสนาย อตฺถํ อชานนฺตานํ วเสน วุตฺตา, ชานนฺตานํ ปน เทสนาย กายปริสฺสโมปิ สตฺถุ อปริสฺสโมวฯ เตนาห ภควา – ‘‘น จ มํ ธมฺมาธิกรณํ วิเหเสสี’’ติ (อุทา. ๑๐)ฯ เตเนวาห ‘‘ยา อชานนฺตานํ เทสนา นาม, โส มม กิลมโถ อสฺสา’’ติฯ อุภยนฺติ จิตฺตกิลมโถ เจว จิตฺตวิเหสา จาติ อุภยเมฺปตํ พุทฺธานํ นตฺถิ โพธิมูเลเยว สมุจฺฉินฺนตฺตาฯ

    Ciranisajjācirabhāsanehi piṭṭhiāgilāyanatālugalasosādivasena kāyakilamatho ceva kāyavihesā ca veditabbā. Sā ca kho desanāya atthaṃ ajānantānaṃ vasena vuttā, jānantānaṃ pana desanāya kāyaparissamopi satthu aparissamova. Tenāha bhagavā – ‘‘na ca maṃ dhammādhikaraṇaṃ vihesesī’’ti (udā. 10). Tenevāha ‘‘yā ajānantānaṃ desanā nāma, so mama kilamatho assā’’ti. Ubhayanti cittakilamatho ceva cittavihesā cāti ubhayampetaṃ buddhānaṃ natthi bodhimūleyeva samucchinnattā.

    อนุพฺรูหนํ สมฺปิณฺฑนํฯ โสติ ‘‘อปิสฺสู’’ติ นิปาโตฯ นฺติ ปฎิ-สทฺทโยเคน สามิอเตฺถ อุปโยควจนนฺติ อาห ‘‘มมา’’ติฯ วุทฺธิปฺปตฺตา วา อจฺฉริยา อนจฺฉริยาฯ วุทฺธิอโตฺถปิ หิ อ-กาโร โหติ ยถา ‘‘อเสกฺขา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ๑๑.ติกมาติกา)ฯ กปฺปานํ สตสหสฺสํ จตฺตาริ จ อสเงฺขฺยยฺยานิ สเทวกสฺส โลกสฺส ธมฺมสํวิภาคกรณตฺถเมว ปารมิโย ปูเรตฺวา อิทานิ อธิคตธมฺมรชฺชสฺส ตตฺถ อโปฺปสฺสุกฺกตาปตฺติทีปนตา, คาถาตฺถสฺส อจฺฉริยตา, ตสฺส วุทฺธิปฺปตฺติ จาติ เวทิตพฺพํฯ อตฺถทฺวาเรน หิ คาถานํ อนจฺฉริยตาฯ โคจรา อเหสุนฺติ อุปฎฺฐเหสุํฯ อุปฎฺฐานญฺจ วิตเกฺกตพฺพตาติ อาห ‘‘ปริวิตกฺกยิตพฺพตํ ปาปุณิํสู’’ติฯ

    Anubrūhanaṃ sampiṇḍanaṃ. Soti ‘‘apissū’’ti nipāto. Manti paṭi-saddayogena sāmiatthe upayogavacananti āha ‘‘mamā’’ti. Vuddhippattā vā acchariyā anacchariyā. Vuddhiatthopi hi a-kāro hoti yathā ‘‘asekkhā dhammā’’ti (dha. sa. 11.tikamātikā). Kappānaṃ satasahassaṃ cattāri ca asaṅkhyeyyāni sadevakassa lokassa dhammasaṃvibhāgakaraṇatthameva pāramiyo pūretvā idāni adhigatadhammarajjassa tattha appossukkatāpattidīpanatā, gāthātthassa acchariyatā, tassa vuddhippatti cāti veditabbaṃ. Atthadvārena hi gāthānaṃ anacchariyatā. Gocarā ahesunti upaṭṭhahesuṃ. Upaṭṭhānañca vitakketabbatāti āha ‘‘parivitakkayitabbataṃ pāpuṇiṃsū’’ti.

    ยทิ สุขาปฎิปทาว, กถํ กิจฺฉตาติ อาห ‘‘ปารมีปูรณกาเล ปนา’’ติอาทิฯ เอวมาทีนิ ทุปฺปริจฺจชานิ เทนฺตสฺสฯ ห-อิติ วา ‘‘พฺยตฺต’’นฺติ เอตสฺมิํ อเตฺถ นิปาโตฯ เอกํสเตฺถติ เกจิฯ ห พฺยตฺตํ, เอกํเสน วา อลํ นิปฺปโยชนํ เอวํ กิเจฺฉน อธิคตสฺส ธมฺมสฺส เทสิตนฺติ โยชนาฯ หลนฺติ วา ‘‘อล’’นฺติ อิมินา สมานตฺถํ ปทํ ‘‘หลนฺติ วทามี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ฎี. ๒.๖๕; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑๗๒) วิยฯ ราคโทสปริผุเฎฺฐหีติ ผุฎฺฐวิเสน วิย สเปฺปน ราเคน โทเสน จ สมฺผุเฎฺฐหิ อภิภูเตหิฯ ราคโทสานุคเตหีติ ราเคน จ โทเสน จ อนุพเนฺธหิฯ

    Yadi sukhāpaṭipadāva, kathaṃ kicchatāti āha ‘‘pāramīpūraṇakāle panā’’tiādi. Evamādīni duppariccajāni dentassa. Ha-iti vā ‘‘byatta’’nti etasmiṃ atthe nipāto. Ekaṃsattheti keci. Ha byattaṃ, ekaṃsena vā alaṃ nippayojanaṃ evaṃ kicchena adhigatassa dhammassa desitanti yojanā. Halanti vā ‘‘ala’’nti iminā samānatthaṃ padaṃ ‘‘halanti vadāmī’’tiādīsu (dī. ni. ṭī. 2.65; saṃ. ni. ṭī. 1.1.172) viya. Rāgadosapariphuṭṭhehīti phuṭṭhavisena viya sappena rāgena dosena ca samphuṭṭhehi abhibhūtehi. Rāgadosānugatehīti rāgena ca dosena ca anubandhehi.

    กามราครตฺตา ภวราครตฺตา จ นีวรเณหิ นิวุตตาย, ทิฎฺฐิราครตฺตา วิปรีตาภินิเวเสนฯ น ทกฺขนฺตีติ ยาถาวโต ธมฺมํ น ปฎิวิชฺฌิสฺสนฺติฯ เอวํ คาหาเปตุนฺติ ‘‘อนิจฺจ’’นฺติอาทินา สภาเวน ยาถาวโต ธมฺมํ ชานาเปตุํฯ ราคโทสปเรตตาปิ เนสํ สมฺมูฬฺหภาเวเนวาติ อาห ‘‘ตโมขเนฺธน อาวุฎา’’ติฯ

    Kāmarāgarattā bhavarāgarattā ca nīvaraṇehi nivutatāya, diṭṭhirāgarattā viparītābhinivesena. Na dakkhantīti yāthāvato dhammaṃ na paṭivijjhissanti. Evaṃ gāhāpetunti ‘‘anicca’’ntiādinā sabhāvena yāthāvato dhammaṃ jānāpetuṃ. Rāgadosaparetatāpi nesaṃ sammūḷhabhāvenevāti āha ‘‘tamokhandhena āvuṭā’’ti.

    ๒๘๒. ธมฺมเทสนาย อโปฺปสฺสุกฺกตาปตฺติยา การณํ วิภาเวตุํ ‘‘กสฺมา ปนา’’ติอาทินา สยเมว โจทนํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตตฺถ อญฺญาตเวเสนาติ อิมสฺส ภควโต สาวกภาวูปคมเนน อญฺญาตรูเปนฯ ตาปสเวเสนาติ เกจิฯ โส ปน อรหตฺตาธิคเมเนว วิคเจฺฉยฺยฯ ติวิธํ การณํ อโปฺปสฺสุกฺกตาปตฺติยา ปฎิปกฺขสฺส พลวภาโว, ธมฺมสฺส คมฺภีรตา, ตตฺถ จ สาติสยํ คารวนฺติ, ต ทเสฺสตุํ ‘‘ตสฺส หี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ (ตตฺถ ปฎิปกฺขา นาม ราคาทโย กิเลสา สมฺมาปฎิปตฺติยา อนฺตรายกรตฺตาฯ เตสํ พลวภาวโต จิรปริภาวนาย สตฺตสนฺตานโต ทุพฺพิโสธิยตาย เต สเตฺต มตฺตหตฺถิโน วิย ทุพฺพลปุริสํ อธิภวิตฺวา อโชฺฌตฺถริตฺวา อนยพฺยสนํ อาปาเทนฺตา อเนกสตโยชนายามวิตฺถารํ สุนิจิตํ ฆนสนฺนิเวสํ กณฺฎกทุคฺคมฺปิ อธิเสนฺติฯ ทูรปฺปเภททุเจฺฉชฺชตาหิ ทุพฺพิโสธิยตํ ปน ทเสฺสตุํ ‘‘อถสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ จ อโนฺต อมฎฺฐตาย กญฺชิยปุณฺณา ลาพุฯ จิรปาริวาสิกตาย ตกฺกภริตา จาฎิฯ เสฺนหตินฺตทุพฺพลภาเวน วสาปีตปิโลติกาฯ เตลมิสฺสิตตาย อญฺชนมกฺขิตหโตฺถ ทุพฺพิโสธนียา วุตฺตา, หีนูปมา เจตา รูปปพนฺธภาวโต อจิรกาลิกตฺตา จ มลีนตาย, กิเลสสํกิเลโส เอว ปน ทุพฺพิโสธนียตโร อนาทิกาลิกตฺตา อนุสยิตตฺตา จฯ เตนาห ‘‘อติสํกิลิฎฺฐา’’ติฯ ยถา จ ทุพฺพิโสธนียตรตาย, เอวํ คมฺภีรทุทฺทสทุรนุโพธานมฺปิ วุตฺตอุปมา หีนูปมาว)ฯ

    282. Dhammadesanāya appossukkatāpattiyā kāraṇaṃ vibhāvetuṃ ‘‘kasmā panā’’tiādinā sayameva codanaṃ samuṭṭhāpeti. Tattha aññātavesenāti imassa bhagavato sāvakabhāvūpagamanena aññātarūpena. Tāpasavesenāti keci. So pana arahattādhigameneva vigaccheyya. Tividhaṃ kāraṇaṃ appossukkatāpattiyā paṭipakkhassa balavabhāvo, dhammassa gambhīratā, tattha ca sātisayaṃ gāravanti, ta dassetuṃ ‘‘tassa hī’’tiādi āraddhaṃ. (Tattha paṭipakkhā nāma rāgādayo kilesā sammāpaṭipattiyā antarāyakarattā. Tesaṃ balavabhāvato ciraparibhāvanāya sattasantānato dubbisodhiyatāya te satte mattahatthino viya dubbalapurisaṃ adhibhavitvā ajjhottharitvā anayabyasanaṃ āpādentā anekasatayojanāyāmavitthāraṃ sunicitaṃ ghanasannivesaṃ kaṇṭakaduggampi adhisenti. Dūrappabhedaducchejjatāhi dubbisodhiyataṃ pana dassetuṃ ‘‘athassā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ca anto amaṭṭhatāya kañjiyapuṇṇā lābu. Cirapārivāsikatāya takkabharitā cāṭi. Snehatintadubbalabhāvena vasāpītapilotikā. Telamissitatāya añjanamakkhitahattho dubbisodhanīyā vuttā, hīnūpamā cetā rūpapabandhabhāvato acirakālikattā ca malīnatāya, kilesasaṃkileso eva pana dubbisodhanīyataro anādikālikattā anusayitattā ca. Tenāha ‘‘atisaṃkiliṭṭhā’’ti. Yathā ca dubbisodhanīyataratāya, evaṃ gambhīraduddasaduranubodhānampi vuttaupamā hīnūpamāva).

    ปฎิปกฺขวิคมเนน คมฺภีโรปิ ธโมฺม สุปากโฎ ภเวยฺยฯ ปฎิปกฺขวิคมนํ ปน สมฺมาปฎิปตฺติปฎิพทฺธํ, สา สทฺธมฺมสฺสวนาธีนาฯ ตํ สตฺถริ ธเมฺม จ ปสาทายตฺตํ, โส ครุฎฺฐานิยานํ อเชฺฌสนเหตุโกติ ปนาฬิกาย สตฺตานํ ธมฺมสมฺปฎิปตฺติยา พฺรหฺมยาจนานิมิตฺตนฺติ ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ

    Paṭipakkhavigamanena gambhīropi dhammo supākaṭo bhaveyya. Paṭipakkhavigamanaṃ pana sammāpaṭipattipaṭibaddhaṃ, sā saddhammassavanādhīnā. Taṃ satthari dhamme ca pasādāyattaṃ, so garuṭṭhāniyānaṃ ajjhesanahetukoti panāḷikāya sattānaṃ dhammasampaṭipattiyā brahmayācanānimittanti taṃ dassento ‘‘apicā’’tiādimāha.

    อุปกฺกิเลสภูตํ อปฺปํ ราคาทิรชํ เอตสฺสาติ อปฺปรชํ, อปฺปรชํ อกฺขิ ปญฺญาจกฺขุ เยสํ เต ตํสภาวาติ กตฺวา อปฺปรชกฺขชาติกาติ อยมโตฺถ วิภาวิโต ‘‘ปญฺญามเย’’ติอาทินาฯ อปฺปํ ราคาทิรชํ เยสํ ตํสภาวา อปฺปรชกฺขชาติกาติ เอวมฺปิ สทฺทโตฺถ สมฺภวติฯ ทานาทิทสปุญฺญกิริยวตฺถูนิ สรณคมนปรหิตปริณามเนหิ สทฺธิํ (ทฺวาทส โหนฺตีติ) ‘‘ทฺวาทสปุญฺญกิริยวเสนา’’ติ วุตฺตํฯ

    Upakkilesabhūtaṃ appaṃ rāgādirajaṃ etassāti apparajaṃ, apparajaṃ akkhi paññācakkhu yesaṃ te taṃsabhāvāti katvā apparajakkhajātikāti ayamattho vibhāvito ‘‘paññāmaye’’tiādinā. Appaṃ rāgādirajaṃ yesaṃ taṃsabhāvā apparajakkhajātikāti evampi saddattho sambhavati. Dānādidasapuññakiriyavatthūni saraṇagamanaparahitapariṇāmanehi saddhiṃ (dvādasa hontīti) ‘‘dvādasapuññakiriyavasenā’’ti vuttaṃ.

    ราคาทิมเลน สมเลหิ ปูรณาทีหิ ฉหิ สตฺถาเรหิ สตฺถุปฎิเญฺญหิ กพฺพรจนาวเสน จินฺตากวิอาทิภาเว ฐตฺวา ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภานํ จินฺติโตฯ เต กิร พุทฺธโกลาหลานุสฺสเวน สญฺชาตกุตูหลํ โลกํ วเญฺจตฺวา โกหเญฺญ ฐตฺวา สพฺพญฺญุตํ ปฎิชานนฺตา ยํ กิญฺจิ อธมฺมํเยว ธโมฺมติ ทีเปสุํฯ เตนาห ‘‘เต หิ ปุเรตรํ อุปฺปชฺชิตฺวา’’ติอาทิฯ อปาปุเรตนฺติ เอตํ กสฺสปสฺส ภควโต สาสนนฺตรธานโต ปภุติ ปิหิตํ นิพฺพานนครสฺส มหาทฺวารํ อริยมคฺคํ สทฺธมฺมเทสนาหเตฺถน อปาปุร วิวรฯ

    Rāgādimalena samalehi pūraṇādīhi chahi satthārehi satthupaṭiññehi kabbaracanāvasena cintākaviādibhāve ṭhatvā takkapariyāhataṃ vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhānaṃ cintito. Te kira buddhakolāhalānussavena sañjātakutūhalaṃ lokaṃ vañcetvā kohaññe ṭhatvā sabbaññutaṃ paṭijānantā yaṃ kiñci adhammaṃyeva dhammoti dīpesuṃ. Tenāha ‘‘te hi puretaraṃ uppajjitvā’’tiādi. Apāpuretanti etaṃ kassapassa bhagavato sāsanantaradhānato pabhuti pihitaṃ nibbānanagarassa mahādvāraṃ ariyamaggaṃ saddhammadesanāhatthena apāpura vivara.

    เสลปพฺพโต อุโจฺจ โหติ ถิโร จ, น ปํสุปพฺพโต มิสฺสกปพฺพโต จาติ อาห ‘‘เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนี’’ติฯ ธมฺมมยํ ปาสาทนฺติ โลกุตฺตรธมฺมมาหฯ โส หิ สพฺพโส ปสาทาวโห, สพฺพธเมฺม อติกฺกมฺม อพฺภุคฺคตเฎฺฐน ปาสาทสทิโส จฯ ปญฺญาปริยาโย วา อิธ ธมฺม-สโทฺทฯ สา หิ อพฺภุคฺคตเฎฺฐน ‘‘ปาสาโท’’ติ อภิธเมฺม (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๖) นิทฺทิฎฺฐาฯ ตถา จาห –

    Selapabbato ucco hoti thiro ca, na paṃsupabbato missakapabbato cāti āha ‘‘sele yathā pabbatamuddhanī’’ti. Dhammamayaṃ pāsādanti lokuttaradhammamāha. So hi sabbaso pasādāvaho, sabbadhamme atikkamma abbhuggataṭṭhena pāsādasadiso ca. Paññāpariyāyo vā idha dhamma-saddo. Sā hi abbhuggataṭṭhena ‘‘pāsādo’’ti abhidhamme (dha. sa. aṭṭha. 16) niddiṭṭhā. Tathā cāha –

    ‘‘ปญฺญาปาสาทมารุยฺห, อโสโก โสกินิํ ปชํ;

    ‘‘Paññāpāsādamāruyha, asoko sokiniṃ pajaṃ;

    ปพฺพตโฎฺฐว ภูมเฎฺฐ, ธีโร พาเล อเวกฺขตี’’ติฯ (ธ. ป. ๒๘);

    Pabbataṭṭhova bhūmaṭṭhe, dhīro bāle avekkhatī’’ti. (dha. pa. 28);

    อุเฎฺฐหีติ วา ธมฺมเทสนาย อโปฺปสฺสุกฺกตาสงฺขาตสโงฺกจาปตฺติโต กิลาสุภาวโต อุฎฺฐหฯ

    Uṭṭhehīti vā dhammadesanāya appossukkatāsaṅkhātasaṅkocāpattito kilāsubhāvato uṭṭhaha.

    ๒๘๓. ครุฎฺฐานิยํ ปยิรุปาสิตฺวา ครุตรํ ปโยชนํ อุทฺทิสฺส อภิปตฺถนา อเชฺฌสนา, สาปิ อตฺถโต ยาจนาว โหตีติ อาห ‘‘อเชฺฌสนนฺติ ยาจน’’นฺติฯ ปเทสวิสยํ ญาณทสฺสนํ อหุตฺวา พุทฺธานํเยว อาเวณิกภาวโต อิทํ ญาณทฺวยํ ‘‘พุทฺธจกฺขู’’ติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘อิเมสญฺหิ ทฺวินฺนํ ญาณานํ พุทฺธจกฺขูติ นาม’’นฺติฯ ติณฺณํ มคฺคญาณานนฺติ เหฎฺฐิมานํ ติณฺณํ มคฺคญาณานํ ‘‘ธมฺมจกฺขู’’ติ นามํ จตุสจฺจธมฺมทสฺสนมตฺตภาวโตฯ ยโต ตานิ ญาณานิ วิชฺชูปมภาเวน วุตฺตานิ, อคฺคมคฺคญาณํ ปน ญาณกิจฺจสฺส สิขาปฺปตฺติยา น ทสฺสนมตฺตํ โหตีติ ‘‘ธมฺมจกฺขู’’ติ น วุจฺจติ, ตโต ตํ วชิรูปมภาเวน วุตฺตํฯ วุตฺตนเยนาติ ‘‘อปฺปรชกฺขา’’ติ เอตฺถ วุตฺตนเยนฯ ยสฺมา มนฺทกิเลสา ‘‘อปฺปรชกฺขา’’ติ วุตฺตา, ตสฺมา พหลกิเลสา ‘‘มหารชกฺขา’’ติ เวทิตพฺพาฯ ปฎิปกฺขวิธมนสมตฺถตาย ติกฺขานิ สูรานิ วิสทานิ, วุตฺตวิปริยาเยน มุทูนิฯ สทฺธาทโย อาการาติ สทฺทหนาทิปฺปกาเร วทติฯ สุนฺทราติ กลฺยาณาฯ สโมฺมหวิโนทนิยํ (วิภ. อฎฺฐ. ๘๑๔) ปน ‘‘เยสํ อาสยาทโย โกฎฺฐาสา สุนฺทรา, เต สฺวาการา, วิปรีตา ทฺวาการา’’ติ วุตฺตํ, ตํ อิมาย อตฺถวณฺณนาย อญฺญทตฺถุ สํสนฺทติ สเมตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ การณํ นาม ปจฺจยากาโร, สจฺจานิ วาฯ

    283. Garuṭṭhāniyaṃ payirupāsitvā garutaraṃ payojanaṃ uddissa abhipatthanā ajjhesanā, sāpi atthato yācanāva hotīti āha ‘‘ajjhesananti yācana’’nti. Padesavisayaṃ ñāṇadassanaṃ ahutvā buddhānaṃyeva āveṇikabhāvato idaṃ ñāṇadvayaṃ ‘‘buddhacakkhū’’ti vuccatīti āha ‘‘imesañhi dvinnaṃ ñāṇānaṃ buddhacakkhūti nāma’’nti. Tiṇṇaṃ maggañāṇānanti heṭṭhimānaṃ tiṇṇaṃ maggañāṇānaṃ ‘‘dhammacakkhū’’ti nāmaṃ catusaccadhammadassanamattabhāvato. Yato tāni ñāṇāni vijjūpamabhāvena vuttāni, aggamaggañāṇaṃ pana ñāṇakiccassa sikhāppattiyā na dassanamattaṃ hotīti ‘‘dhammacakkhū’’ti na vuccati, tato taṃ vajirūpamabhāvena vuttaṃ. Vuttanayenāti ‘‘apparajakkhā’’ti ettha vuttanayena. Yasmā mandakilesā ‘‘apparajakkhā’’ti vuttā, tasmā bahalakilesā ‘‘mahārajakkhā’’ti veditabbā. Paṭipakkhavidhamanasamatthatāya tikkhāni sūrāni visadāni, vuttavipariyāyena mudūni. Saddhādayo ākārāti saddahanādippakāre vadati. Sundarāti kalyāṇā. Sammohavinodaniyaṃ (vibha. aṭṭha. 814) pana ‘‘yesaṃ āsayādayo koṭṭhāsā sundarā, te svākārā, viparītā dvākārā’’ti vuttaṃ, taṃ imāya atthavaṇṇanāya aññadatthu saṃsandati sametīti daṭṭhabbaṃ. Kāraṇaṃ nāma paccayākāro, saccāni vā.

    อยํ ปเนตฺถ ปาฬีติ เอตฺถ อปฺปรชกฺขาทิปทานํ อตฺถวิภาวเน อยํ ตสฺสตฺถสฺส วิภาวนี ปาฬิฯ สทฺธาทีนํ วิมุตฺติปริปาจกธมฺมานํ พลวภาโว ตปฺปฎิปกฺขานํ ปาปธมฺมานํ ทุพฺพลภาเวเนว โหติ, เตสญฺจ พลวภาโว สทฺธาทีนํ ทุพฺพลภาเวนาติ วิมุตฺติปริปาจกธมฺมานํ อตฺถิตานตฺถิตาวเสน อปฺปรชกฺขมหารชกฺขตาทโย ปาฬิยํ วิภชิตฺวา ทสฺสิตาฯ ขนฺธาทโย เอว ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน โลโกฯ สมฺปตฺติภวภูโต โลโก สมฺปตฺติภวโลโก, สุคติสงฺขาโต อุปปตฺติภโวฯ สมฺปตฺติ สมฺภวติ เอเตนาติ สมฺปตฺติสมฺภวโลโกฯ สุคติสํวตฺตนิโย กมฺมภโวฯ ทุคฺคติ สงฺขาตอุปปตฺติภวทุคฺคติ สํวตฺตนิยกมฺมภวา วิปตฺติภวโลกวิปตฺติสมฺภวโลกา

    Ayaṃ panettha pāḷīti ettha apparajakkhādipadānaṃ atthavibhāvane ayaṃ tassatthassa vibhāvanī pāḷi. Saddhādīnaṃ vimuttiparipācakadhammānaṃ balavabhāvo tappaṭipakkhānaṃ pāpadhammānaṃ dubbalabhāveneva hoti, tesañca balavabhāvo saddhādīnaṃ dubbalabhāvenāti vimuttiparipācakadhammānaṃ atthitānatthitāvasena apparajakkhamahārajakkhatādayo pāḷiyaṃ vibhajitvā dassitā. Khandhādayo eva lujjanapalujjanaṭṭhena loko. Sampattibhavabhūto loko sampattibhavaloko, sugatisaṅkhāto upapattibhavo. Sampatti sambhavati etenāti sampattisambhavaloko. Sugatisaṃvattaniyo kammabhavo. Duggati saṅkhātaupapattibhavaduggati saṃvattaniyakammabhavā vipattibhavalokavipattisambhavalokā.

    ปุน เอกกทุกาทิวเสน โลกํ วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘เอโก โลโก’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อาหาราทโย วิย หิ อาหารฎฺฐิติกา สงฺขารา ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน โลโกติฯ เอตฺถ เอโก โลโก สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกาติ ยายํ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย กถาย สพฺพสงฺขารานํ ปจฺจยายตฺตวุตฺติ, ตาย สเพฺพ สงฺขารา เอโกว โลโก เอกวิโธ ปการนฺตรสฺส อภาวโตฯ เทฺว โลกาติอาทีสุปิ อิมินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ นามคฺคหเณน เจตฺถ นิพฺพานสฺส อคฺคหณํ ตสฺส อโลกสภาวตฺตาฯ นนุ จ อาหารฎฺฐิติกาติ เอตฺถ ปจฺจยายตฺตวุตฺติตาย มคฺคผลานมฺปิ โลกตา อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ ปริเญฺญยฺยานํ ทุกฺขสจฺจธมฺมานํ อิธ ‘‘โลโก’’ติ อธิเปฺปตตฺตาฯ อถ วา น ลุชฺชติ น ปลุชฺชตีติ โย คหิโต ตถา น โหติ, โส โลโกติ ตํ-คหณรหิตานํ โลกุตฺตรานํ นตฺถิ โลกตาฯ อุปาทานานํ อารมฺมณภูตา ขนฺธา อุปาทานกฺขนฺธาฯ ทสายตนานีติ ทส รูปายตนานิฯ เสสเมตฺถ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Puna ekakadukādivasena lokaṃ vibhajitvā dassetuṃ ‘‘eko loko’’tiādi vuttaṃ. Āhārādayo viya hi āhāraṭṭhitikā saṅkhārā lujjanapalujjanaṭṭhena lokoti. Ettha eko loko sabbe sattā āhāraṭṭhitikāti yāyaṃ puggalādhiṭṭhānāya kathāya sabbasaṅkhārānaṃ paccayāyattavutti, tāya sabbe saṅkhārā ekova loko ekavidho pakārantarassa abhāvato. Dve lokātiādīsupi iminā nayena attho veditabbo. Nāmaggahaṇena cettha nibbānassa aggahaṇaṃ tassa alokasabhāvattā. Nanu ca āhāraṭṭhitikāti ettha paccayāyattavuttitāya maggaphalānampi lokatā āpajjatīti? Nāpajjati pariññeyyānaṃ dukkhasaccadhammānaṃ idha ‘‘loko’’ti adhippetattā. Atha vā na lujjati na palujjatīti yo gahito tathā na hoti, so lokoti taṃ-gahaṇarahitānaṃ lokuttarānaṃ natthi lokatā. Upādānānaṃ ārammaṇabhūtā khandhā upādānakkhandhā. Dasāyatanānīti dasa rūpāyatanāni. Sesamettha suviññeyyameva.

    วิวฎฺฎชฺฌาสยสฺส อธิเปฺปตตฺตา ตสฺส จ สพฺพํ เตภูมกกมฺมํ ครหิตพฺพํ วชฺชิตพฺพญฺจ หุตฺวา อุปฎฺฐาตีติ วุตฺตํ ‘‘สเพฺพ อภิสงฺขารา วชฺชํ, สเพฺพ ภวคามิกมฺมา วชฺช’’นฺติฯ อปฺปรชกฺขมหารชกฺขาทีสุ ปญฺจสุ ทุเกสุ เอเกกสฺมิํ ทส ทส กตฺวา ‘‘ปญฺญาสาย อากาเรหิ อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ ชานาตี’’ติ วุตฺตํฯ อถ วา อนฺวยโต พฺยติเรกโต จ สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ ปโรปริยตฺตํ ชานาตีติ กตฺวา ตถา วุตฺตํฯ เอตฺถ จ อปฺปรชกฺขาทิภพฺพาทิวเสน อาวเชฺชนฺตสฺส ภควโต เต สตฺตา ปุญฺชปุญฺชาว หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, น เอเกกาฯ

    Vivaṭṭajjhāsayassa adhippetattā tassa ca sabbaṃ tebhūmakakammaṃ garahitabbaṃ vajjitabbañca hutvā upaṭṭhātīti vuttaṃ ‘‘sabbe abhisaṅkhārā vajjaṃ, sabbe bhavagāmikammā vajja’’nti. Apparajakkhamahārajakkhādīsu pañcasu dukesu ekekasmiṃ dasa dasa katvā ‘‘paññāsāya ākārehi imāni pañcindriyāni jānātī’’ti vuttaṃ. Atha vā anvayato byatirekato ca saddhādīnaṃ indriyānaṃ paropariyattaṃ jānātīti katvā tathā vuttaṃ. Ettha ca apparajakkhādibhabbādivasena āvajjentassa bhagavato te sattā puñjapuñjāva hutvā upaṭṭhahanti, na ekekā.

    อุปฺปลานิ เอตฺถ สนฺตีติ อุปฺปลินี, คโจฺฉปิ ชลาสโยปิ, อิธ ปน ชลาสโย อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘อุปฺปลวเน’’ติฯ ยานิ อุทกสฺส อโนฺต นิมุคฺคาเนว หุตฺวา ปุสนฺติ วฑฺฒนฺติ, ตานิ อโนฺตนิมุคฺคโปสีนิฯ ทีปิตานีติ อฎฺฐกถายํ ปกาสิตานิ, อิเธว วา ‘‘อญฺญานิปี’’ติอาทินา ภาสิตานิฯ

    Uppalāni ettha santīti uppalinī, gacchopi jalāsayopi, idha pana jalāsayo adhippetoti āha ‘‘uppalavane’’ti. Yāni udakassa anto nimuggāneva hutvā pusanti vaḍḍhanti, tāni antonimuggaposīni. Dīpitānīti aṭṭhakathāyaṃ pakāsitāni, idheva vā ‘‘aññānipī’’tiādinā bhāsitāni.

    อุคฺฆฎิตญฺญูติ อุคฺฆฎิตํ นาม ญาณุคฺฆฎนํ, ญาเณ อุคฺฆฎิตมเตฺต เอว ชานาตีติ อโตฺถฯ วิปญฺจิตํ วิตฺถาริตเมว อตฺถํ ชานาตีติ วิปญฺจิตญฺญูฯ อุเทฺทสาทีหิ เนตโพฺพติ เนโยฺยฯ สห อุทาหฎเวลายาติ อุทาหาเร อุทาหฎมเตฺตเยวฯ ธมฺมาภิสมโยติ จตุสจฺจธมฺมสฺส ญาเณน สทฺธิํ อภิสมโยฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติอาทินา นเยน สํขิเตฺตน มาติกาย ฐปิยมานาย เทสนานุสาเรน ญาณํ เปเสตฺวา อรหตฺตํ คณฺหิตุํ สมโตฺถ ปุคฺคโล ‘‘อุคฺฆฎิตญฺญู’’ติ วุจฺจติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ สํขิเตฺตน มาติกํ ฐเปตฺวา วิตฺถาเรน อเตฺถ วิภชิยมาเน อรหตฺตํ ปาปุณิตุํ สมโตฺถ ปุคฺคโล ‘‘วิปญฺจิตญฺญู’’ติ วุจฺจติฯ อุเทฺทสโตติ อุเทฺทสเหตุ, อุทฺทิสนฺตสฺส, อุทฺทิสาเปนฺตสฺส วาติ อโตฺถฯ ปริปุจฺฉโตติ อตฺถํ ปริปุจฺฉนฺตสฺสฯ อนุปุเพฺพน ธมฺมาภิสมโย โหตีติ อนุกฺกเมน อรหตฺตปฺปตฺติ โหติฯ น ตาย ชาติยา ธมฺมาภิสมโย โหตีติ เตน อตฺตภาเวน มคฺคํ วา ผลํ วา อนฺตมโส ฌานํ วา วิปสฺสนํ วา นิพฺพเตฺตตุํ น สโกฺกติฯ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ปทปรโมติ อยํ ปุคฺคโล พฺยญฺชนปทเมว ปรมํ อสฺสาติ ปทปรโมติ วุจฺจติฯ

    Ugghaṭitaññūti ugghaṭitaṃ nāma ñāṇugghaṭanaṃ, ñāṇe ugghaṭitamatte eva jānātīti attho. Vipañcitaṃ vitthāritameva atthaṃ jānātīti vipañcitaññū. Uddesādīhi netabboti neyyo. Saha udāhaṭavelāyāti udāhāre udāhaṭamatteyeva. Dhammābhisamayoti catusaccadhammassa ñāṇena saddhiṃ abhisamayo. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’tiādinā nayena saṃkhittena mātikāya ṭhapiyamānāya desanānusārena ñāṇaṃ pesetvā arahattaṃ gaṇhituṃ samattho puggalo ‘‘ugghaṭitaññū’’ti vuccati. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ saṃkhittena mātikaṃ ṭhapetvā vitthārena atthe vibhajiyamāne arahattaṃ pāpuṇituṃ samattho puggalo ‘‘vipañcitaññū’’ti vuccati. Uddesatoti uddesahetu, uddisantassa, uddisāpentassa vāti attho. Paripucchatoti atthaṃ paripucchantassa. Anupubbena dhammābhisamayo hotīti anukkamena arahattappatti hoti. Na tāya jātiyā dhammābhisamayo hotīti tena attabhāvena maggaṃ vā phalaṃ vā antamaso jhānaṃ vā vipassanaṃ vā nibbattetuṃ na sakkoti. Ayaṃ vuccati puggalo padaparamoti ayaṃ puggalo byañjanapadameva paramaṃ assāti padaparamoti vuccati.

    กมฺมาวรเณนาติ (วิภ. อฎฺฐ. ๘๒๖) ปญฺจวิเธน อานนฺตริยกเมฺมนฯ วิปากาวรเณนาติ อเหตุกปฎิสนฺธิยาฯ ยสฺมา ปน ทุเหตุกานมฺปิ อริยมคฺคปฎิเวโธ นตฺถิ, ตสฺมา ทุเหตุกา ปฎิสนฺธิปิ ‘‘วิปากาวรณเมวา’’ติ เวทิตพฺพาฯ กิเลสาวรเณนาติ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิยาฯ อสฺสทฺธาติ พุทฺธาทีสุ สทฺธารหิตาฯ อจฺฉนฺทิกาติ กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉนฺทรหิตาฯ อุตฺตรกุรุกา มนุสฺสา อจฺฉนฺทิกฎฺฐานํ ปวิฎฺฐาฯ ทุปฺปญฺญาติ ภวงฺคปญฺญาย ปริหีนาฯ ภวงฺคปญฺญาย ปน ปริปุณฺณายปิ ยสฺส ภวงฺคํ โลกุตฺตรสฺส ปจฺจโย น โหติ, โสปิ ทุปฺปโญฺญ เอว นามฯ อภพฺพา นิยามํ โอกฺกมิตุํ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺตนฺติ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺตนิยามสงฺขาตํ มคฺคํ โอกฺกมิตุํ อธิคนฺตุํ อภพฺพาฯ น กมฺมาวรเณนาติอาทีนิ วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตพฺพานิฯ

    Kammāvaraṇenāti (vibha. aṭṭha. 826) pañcavidhena ānantariyakammena. Vipākāvaraṇenāti ahetukapaṭisandhiyā. Yasmā pana duhetukānampi ariyamaggapaṭivedho natthi, tasmā duhetukā paṭisandhipi ‘‘vipākāvaraṇamevā’’ti veditabbā. Kilesāvaraṇenāti niyatamicchādiṭṭhiyā. Assaddhāti buddhādīsu saddhārahitā. Acchandikāti kattukamyatākusalacchandarahitā. Uttarakurukā manussā acchandikaṭṭhānaṃ paviṭṭhā. Duppaññāti bhavaṅgapaññāya parihīnā. Bhavaṅgapaññāya pana paripuṇṇāyapi yassa bhavaṅgaṃ lokuttarassa paccayo na hoti, sopi duppañño eva nāma. Abhabbā niyāmaṃ okkamituṃ kusalesu dhammesu sammattanti kusalesu dhammesu sammattaniyāmasaṅkhātaṃ maggaṃ okkamituṃ adhigantuṃ abhabbā. Na kammāvaraṇenātiādīni vuttavipariyāyena veditabbāni.

    นิพฺพานสฺส ทฺวารํ ปวิสนมโคฺคฯ วิวริตฺวา ฐปิโต มหากรุณูปนิสฺสเยน สยมฺภุญาเณน อธิคตตฺตาฯ สทฺธํ ปมุญฺจนฺตูติ อตฺตโน สทฺธํ ปเวเสนฺตุ, สทฺทหนาการํ อุปฎฺฐเปนฺตูติ อโตฺถฯ สุเขน อกิเจฺฉน ปวตฺตนียตาย สุปฺปวตฺติตํฯ น ภาสิํ น ภาสิสฺสามีติ จิเนฺตสิํฯ

    Nibbānassa dvāraṃ pavisanamaggo. Vivaritvā ṭhapito mahākaruṇūpanissayena sayambhuñāṇena adhigatattā. Saddhaṃ pamuñcantūti attano saddhaṃ pavesentu, saddahanākāraṃ upaṭṭhapentūti attho. Sukhena akicchena pavattanīyatāya suppavattitaṃ. Na bhāsiṃ na bhāsissāmīti cintesiṃ.

    ๒๘๔. ธมฺมํ เทเสสฺสามีติ เอวํ ปวตฺติตธมฺมเทสนาปฎิสํยุตฺตสฺส วิตกฺกสฺส สตฺตมสตฺตาหโต ปรํ อฎฺฐมสตฺตาเหเยว อุปฺปนฺนตฺตา วุตฺตํ ‘‘อฎฺฐเม สตฺตาเห’’ติฯ น อิตรสตฺตาหานิ วิย ปฎินิยตกิจฺจลกฺขิตสฺส อฎฺฐมสตฺตาหสฺส นาม ปวตฺติตสฺส สพฺภาวาฯ

    284. Dhammaṃ desessāmīti evaṃ pavattitadhammadesanāpaṭisaṃyuttassa vitakkassa sattamasattāhato paraṃ aṭṭhamasattāheyeva uppannattā vuttaṃ ‘‘aṭṭhame sattāhe’’ti. Na itarasattāhāni viya paṭiniyatakiccalakkhitassa aṭṭhamasattāhassa nāma pavattitassa sabbhāvā.

    วิวฎนฺติ เทวตาวิคฺคเหน วิวฎองฺคปจฺจงฺคนิทฺทาย ชนานํ ปากฎํ วิปฺปการนฺติ อโตฺถฯ ‘‘พุทฺธตฺตํ อนธิคนฺตฺวา น ปจฺจาคมิสฺสามี’’ติ อุปฺปนฺนวิตกฺกาติสยเหตุเกน ปถวีปริวตฺตนเจติยํ นาม ทเสฺสตฺวาฯ สากิยโกลิยมลฺลรชฺชวเสน ตีณิ รชฺชานิฯ รุกฺขมูเลติ นิโคฺรธมูเลฯ วตฺวา ปกฺกามิ, ปกฺกมนฺติยา จสฺสา มหาสโตฺต อาการํ ทเสฺสสิ สุวณฺณถาลคฺคหณาย, สา ‘‘ตุมฺหากํ ตํ ปริจฺจตฺตเมวา’’ติ ปกฺกามิฯ

    Vivaṭanti devatāviggahena vivaṭaaṅgapaccaṅganiddāya janānaṃ pākaṭaṃ vippakāranti attho. ‘‘Buddhattaṃ anadhigantvā na paccāgamissāmī’’ti uppannavitakkātisayahetukena pathavīparivattanacetiyaṃ nāma dassetvā. Sākiyakoliyamallarajjavasena tīṇi rajjāni. Rukkhamūleti nigrodhamūle. Vatvā pakkāmi, pakkamantiyā cassā mahāsatto ākāraṃ dassesi suvaṇṇathālaggahaṇāya, sā ‘‘tumhākaṃ taṃ pariccattamevā’’ti pakkāmi.

    ทิวาวิหารํ กตฺวาติ นานาสมาปตฺติโย สมาปชฺชเนน ทิวาวิหารํ วิหริตฺวาฯ ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ, อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตุ, อุปสุสฺสตุ สรีเร มํสโลหิต’’นฺติอาทินา สุเตฺต (ม. นิ. ๒.๑๘๔; สํ. นิ. ๒.๒๓๗; อ. นิ. ๒.๕; ๘.๑๓; มหานิ. ๑๗, ๑๙๖) อาคตนเยน จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐหิตฺวา

    Divāvihāraṃ katvāti nānāsamāpattiyo samāpajjanena divāvihāraṃ viharitvā. ‘‘Kāmaṃ taco ca nhāru ca, aṭṭhi ca avasissatu, upasussatu sarīre maṃsalohita’’ntiādinā sutte (ma. ni. 2.184; saṃ. ni. 2.237; a. ni. 2.5; 8.13; mahāni. 17, 196) āgatanayena caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhahitvā.

    นวโยชนนฺติ อุเพฺพธโต วุตฺตํ, ปุถุลโต ทฺวาทสโยชนา, ทีฆโต ยาว จกฺกวาฬา อายตาติ วทนฺติฯ อโชฺฌตฺถรโนฺต อุปสงฺกมิตฺวา – ‘‘อุเฎฺฐหิ โส, สิทฺธตฺถ, อหํ อิมสฺส ปลฺลงฺกสฺส อนุจฺฉวิโก’’ติ วตฺวา ตตฺถ สกฺขิํ โอตาเรโนฺต อตฺตโน ปริสํ นิทฺทิสิฯ เอกปฺปหาเรเนว – ‘‘อยเมว อนุจฺฉวิโก, อยเมว อนุจฺฉวิโก’’ติ โกลาหลมกาสิ, ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต…เป.… หตฺถํ ปสาเรติฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    Navayojananti ubbedhato vuttaṃ, puthulato dvādasayojanā, dīghato yāva cakkavāḷā āyatāti vadanti. Ajjhottharanto upasaṅkamitvā – ‘‘uṭṭhehi so, siddhattha, ahaṃ imassa pallaṅkassa anucchaviko’’ti vatvā tattha sakkhiṃ otārento attano parisaṃ niddisi. Ekappahāreneva – ‘‘ayameva anucchaviko, ayameva anucchaviko’’ti kolāhalamakāsi, taṃ sutvā mahāsatto…pe… hatthaṃ pasāreti. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘อเจตนายํ ปถวี, อวิญฺญาย สุขํ ทุขํ;

    ‘‘Acetanāyaṃ pathavī, aviññāya sukhaṃ dukhaṃ;

    สาปิ ทานพลา มยฺหํ, สตฺตกฺขตฺตุํ ปกมฺปถา’’ติฯ (จริยา. ๑.๑๒๔);

    Sāpi dānabalā mayhaṃ, sattakkhattuṃ pakampathā’’ti. (cariyā. 1.124);

    ปุเพฺพนิวาสญาณํ วิโสเธตฺวาติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธ สีหาวโลกนญาเยนฯ วฎฺฎวิวฎฺฎํ สมฺมสิตฺวาติ จตุสจฺจมนสิการํ สนฺธายาหฯ อิมสฺส ปลฺลงฺกสฺส อตฺถายาติ ปลฺลงฺกสีเสน อธิคตวิเสสํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ หิ สิขาปฺปตฺตวิมุตฺติสุขํ อวิชหโนฺต อนฺตรนฺตรา จ ปฎิจฺจสมุปฺปาทงฺคํ มนสิกโรโนฺต เอกปลฺลเงฺกน นิสีทิฯ เอกจฺจานนฺติ ยา อธิคตมคฺคา สจฺฉิกตนิโรธา เอกเทเสน จ พุทฺธคุเณ ชานนฺติ, ตา ฐเปตฺวา ตทเญฺญสํ เทวตานํฯ อเญฺญปิ พุทฺธตฺตกราติ วิสาขาปุณฺณมโต ปฎฺฐาย รตฺตินฺทิวํ เอวํ นิจฺจสมาหิตภาวเหตุกานํ พุทฺธคุณานํ อุปริ อเญฺญปิ พุทฺธตฺตสาธกา, ‘‘อยํ พุโทฺธ’’ติ พุทฺธภาวสฺส ปเรสํ วิภาวนา ธมฺมา กิํ นุ โข อตฺถีติ โยชนาฯ

    Pubbenivāsañāṇaṃ visodhetvāti ānetvā sambandho sīhāvalokanañāyena. Vaṭṭavivaṭṭaṃ sammasitvāti catusaccamanasikāraṃ sandhāyāha. Imassa pallaṅkassa atthāyāti pallaṅkasīsena adhigatavisesaṃ dasseti. Tattha hi sikhāppattavimuttisukhaṃ avijahanto antarantarā ca paṭiccasamuppādaṅgaṃ manasikaronto ekapallaṅkena nisīdi. Ekaccānanti yā adhigatamaggā sacchikatanirodhā ekadesena ca buddhaguṇe jānanti, tā ṭhapetvā tadaññesaṃ devatānaṃ. Aññepi buddhattakarāti visākhāpuṇṇamato paṭṭhāya rattindivaṃ evaṃ niccasamāhitabhāvahetukānaṃ buddhaguṇānaṃ upari aññepi buddhattasādhakā, ‘‘ayaṃ buddho’’ti buddhabhāvassa paresaṃ vibhāvanā dhammā kiṃ nu kho atthīti yojanā.

    อนิมิเสหีติ ธมฺมปีติวิปฺผารวเสน ปสาทวิกสิตนิจฺจลตาย นิเมสรหิเตหิฯ รตนจงฺกเมติ เทวตาหิ มาปิเต รตนมยจงฺกเมฯ รตนภูตานํ สตฺตนฺนํ ปกรณานํ ตตฺถ จ อนนฺตนยสฺส ธมฺมรตนสฺส สมฺมสเนน ตํ ฐานํ รตนฆรเจติยํ นาม ชาตนฺติปิ วทนฺติฯ เอวนฺติ วกฺขมานากาเรนฯ ฉพฺพณฺณานํ รสฺมีนํ ทเนฺตหิ นิกฺขมนโต ฉทฺทนฺตนาคกุลํ วิยาติ นิทสฺสนํ วุตฺตํฯ

    Animisehīti dhammapītivipphāravasena pasādavikasitaniccalatāya nimesarahitehi. Ratanacaṅkameti devatāhi māpite ratanamayacaṅkame. Ratanabhūtānaṃ sattannaṃ pakaraṇānaṃ tattha ca anantanayassa dhammaratanassa sammasanena taṃ ṭhānaṃ ratanagharacetiyaṃ nāma jātantipi vadanti. Evanti vakkhamānākārena. Chabbaṇṇānaṃ rasmīnaṃ dantehi nikkhamanato chaddantanāgakulaṃ viyāti nidassanaṃ vuttaṃ.

    เหฎฺฐา โลหปาสาทปฺปมาโณติ นวภูมกสฺส สพฺพปฐมสฺส โลหปาสาทสฺส เหฎฺฐา โลหปาสาทปฺปมาโณฯ ขนฺธกฎฺฐกถายํ (มหาว. อฎฺฐ. ๕) ปน ตตฺถ ‘‘ภณฺฑาคารคพฺภปฺปมาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Heṭṭhā lohapāsādappamāṇoti navabhūmakassa sabbapaṭhamassa lohapāsādassa heṭṭhā lohapāsādappamāṇo. Khandhakaṭṭhakathāyaṃ (mahāva. aṭṭha. 5) pana tattha ‘‘bhaṇḍāgāragabbhappamāṇa’’nti vuttaṃ.

    ปจฺจเคฺฆติ อภินเวฯ ปเจฺจกํ มหคฺฆตาย ปจฺจเคฺฆติ เกจิ, ตํ น สุนฺทรํฯ น หิ พุทฺธา ภควโนฺต มหคฺฆํ ปฎิคฺคณฺหนฺติ ปริภุญฺชนฺติ วาฯ ปิณฺฑปาตนฺติ เอตฺถ มนฺถญฺจ มธุปิณฺฑิกญฺจ สนฺธาย วทติฯ อยํ วิตโกฺกติ – ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ อยํ ปริวิตโกฺกฯ

    Paccaggheti abhinave. Paccekaṃ mahagghatāya paccaggheti keci, taṃ na sundaraṃ. Na hi buddhā bhagavanto mahagghaṃ paṭiggaṇhanti paribhuñjanti vā. Piṇḍapātanti ettha manthañca madhupiṇḍikañca sandhāya vadati. Ayaṃ vitakkoti – ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti ayaṃ parivitakko.

    ปณฺฑิเจฺจนาติ สมาปตฺติปฎิลาภสํสิเทฺธน อธิคมพาหุสจฺจสงฺขาเตน ปณฺฑิตภาเวนฯ เวยฺยตฺติเยนาติ สมาปตฺติปฎิลาภปจฺจเยน ปาริหาริยปญฺญาสงฺขาเตน พฺยตฺตภาเวนฯ เมธาวีติ ติเหตุกปฎิสนฺธิปญฺญาสงฺขาตาย ตํตํอิติกตฺตพฺพตาปญฺญาสงฺขาตาย จ เมธาย สมนฺนาคโตติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ มหาชานิโยติ มหาปริหานิโกฯ อาคมนปาทาปิ นตฺถีติ อิทํ ปฐมํ วตฺตพฺพํ, อถาหํ ตตฺถ คเจฺฉยฺยํ, คนฺตฺวา เทสิยมานํ ธมฺมมฺปิสฺส โสตุํ โสตปสาโทปิ นตฺถีติ โยชนาฯ กิํ ปน ภควตา อตฺตโน พุทฺธานุภาเวน เต ธมฺมํ ญาเปตุํ น สกฺกาติ? อาม, น สกฺกาฯ น หิ ปรโต โฆสํ อนฺตเรน สาวกานํ ธมฺมาภิสมโย สมฺภวติ, อญฺญถา อิตรปจฺจยรหิตสฺสปิ ธมฺมาภิสมเยน ภวิตพฺพํ, น จ ตํ อตฺถิฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ปจฺจยา สมฺมาทิฎฺฐิยา อุปฺปาทาย ปรโต จ โฆโส อชฺฌตฺตญฺจ โยนิโสมนสิกาโร’’ติ (อ. นิ. ๒.๑๒๗)ฯ ปาฬิยํ รามเสฺสว สมาปตฺติลาภิตา อาคตา, น อุทกสฺส, ตํ ตสฺส โพธิสเตฺตน สมาคตกาลวเสน วุตฺตํ ฯ โส หิ ปุเพฺพปิ ตตฺถ ยุตฺตปฺปยุโตฺต วิหรโนฺต มหาปุริเสน ขิปฺปเญฺญว สมาปตฺตีนํ นิพฺพตฺติตภาวํ สุตฺวา สํเวคชาโต มหาสเตฺต ตโต นิพฺพิชฺช ปกฺกเนฺต ฆเฎโนฺต วายมโนฺต นจิรเสฺสว อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เนวสญฺญานาสญฺญายตเน นิพฺพโตฺตติ อทฺทสา’’ติฯ เอเต อฎฺฐ พฺราหฺมณาติ สมฺพโนฺธฯ ฉฬงฺควาติ ฉฬงฺควิทุโนฯ มนฺตนฺติ มนฺตปทํฯ ‘‘นิชฺฌายิตฺวา’’ติ วจนเสโส, มเนฺตตฺวาติ อโตฺถฯ วิยากริํสูติ กเถสุํฯ

    Paṇḍiccenāti samāpattipaṭilābhasaṃsiddhena adhigamabāhusaccasaṅkhātena paṇḍitabhāvena. Veyyattiyenāti samāpattipaṭilābhapaccayena pārihāriyapaññāsaṅkhātena byattabhāvena. Medhāvīti tihetukapaṭisandhipaññāsaṅkhātāya taṃtaṃitikattabbatāpaññāsaṅkhātāya ca medhāya samannāgatoti evampettha attho daṭṭhabbo. Mahājāniyoti mahāparihāniko. Āgamanapādāpi natthīti idaṃ paṭhamaṃ vattabbaṃ, athāhaṃ tattha gaccheyyaṃ, gantvā desiyamānaṃ dhammampissa sotuṃ sotapasādopi natthīti yojanā. Kiṃ pana bhagavatā attano buddhānubhāvena te dhammaṃ ñāpetuṃ na sakkāti? Āma, na sakkā. Na hi parato ghosaṃ antarena sāvakānaṃ dhammābhisamayo sambhavati, aññathā itarapaccayarahitassapi dhammābhisamayena bhavitabbaṃ, na ca taṃ atthi. Vuttañhetaṃ – ‘‘dveme, bhikkhave, paccayā sammādiṭṭhiyā uppādāya parato ca ghoso ajjhattañca yonisomanasikāro’’ti (a. ni. 2.127). Pāḷiyaṃ rāmasseva samāpattilābhitā āgatā, na udakassa, taṃ tassa bodhisattena samāgatakālavasena vuttaṃ . So hi pubbepi tattha yuttappayutto viharanto mahāpurisena khippaññeva samāpattīnaṃ nibbattitabhāvaṃ sutvā saṃvegajāto mahāsatte tato nibbijja pakkante ghaṭento vāyamanto nacirasseva aṭṭha samāpattiyo nibbattesi. Tena vuttaṃ ‘‘nevasaññānāsaññāyatane nibbattoti addasā’’ti. Ete aṭṭha brāhmaṇāti sambandho. Chaḷaṅgavāti chaḷaṅgaviduno. Mantanti mantapadaṃ. ‘‘Nijjhāyitvā’’ti vacanaseso, mantetvāti attho. Viyākariṃsūti kathesuṃ.

    ยถามนฺตปทนฺติ ลกฺขณมนฺตสงฺขาตเวทวจนานุรูปํฯ คตาติ ปฎิปนฺนาฯ ‘‘เทฺวว คติโย ภวนฺติ อนญฺญา’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๓; ๓.๑๙๙-๒๐๐; ม. นิ. ๒.๓๘๔, ๓๙๘) วุตฺตนิยาเมน นิจฺฉินิตุํ อสโกฺกนฺตา พฺราหฺมณา วุตฺตเมว ปฎิปชฺชิํสุ, น มหาปุริสสฺส พุทฺธภาวปฺปตฺติํ ปจฺจาสีสิํสุฯ อิเม ปน โกณฺฑญฺญาทโย ปญฺจ ‘‘เอกํสโต พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ชาตนิจฺฉยตฺตา มนฺตปทํ อติกฺกนฺตาฯ ปุณฺณปตฺตนฺติ ตุฎฺฐิทานํฯ นิพฺพิตกฺกาติ นิพฺพิกปฺปา, น เทฺวธา ตกฺกาฯ

    Yathāmantapadanti lakkhaṇamantasaṅkhātavedavacanānurūpaṃ. Gatāti paṭipannā. ‘‘Dveva gatiyo bhavanti anaññā’’ti (dī. ni. 2.33; 3.199-200; ma. ni. 2.384, 398) vuttaniyāmena nicchinituṃ asakkontā brāhmaṇā vuttameva paṭipajjiṃsu, na mahāpurisassa buddhabhāvappattiṃ paccāsīsiṃsu. Ime pana koṇḍaññādayo pañca ‘‘ekaṃsato buddho bhavissatī’’ti jātanicchayattā mantapadaṃ atikkantā. Puṇṇapattanti tuṭṭhidānaṃ. Nibbitakkāti nibbikappā, na dvedhā takkā.

    วปฺปกาเลติ วปนกาเลฯ วปนตฺถํ พีชานิ นีหรณเนฺตน ตตฺถ อคฺคํ คเหตฺวา ทานํ พีชคฺคทานํ นามฯ ลายนคฺคาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ธญฺญผลสฺส นาติปริณตกาเล ปุถุกกาเลฯ ลายเนติ สสฺสลายเนฯ ยถา ลูนํ หตฺถกํ กตฺวา เวณิวเสน พนฺธนํ เวณิกรณํฯ เวณิโย ปน ปุริสภารวเสน พนฺธนํ กลาโปฯ ขเล กลาปานํ ฐปนทิวเส อคฺคํ คเหตฺวา ทานํ ขลคฺคํฯ มทฺทิตฺวา วีหีนํ ราสิกรณทิวเส อคฺคํ คเหตฺวา ทานํ ภณฺฑคฺคํฯ โกฎฺฐาคาเร ธญฺญสฺส ปกฺขิปนทิวเส ทานํ โกฎฺฐคฺคํฯ อุทฺธริตฺวาติ ขลโต ธญฺญสฺส อุทฺธริตฺวาฯ นวนฺนํ อคฺคทานานํ ทินฺนตฺตาติ อิทํ ตสฺส รตฺตญฺญูนํ อคฺคภาวตฺถาย กตาภินีหารานุรูปํ ปวตฺติตสาวกปารมิยา จิณฺณเนฺต ปวตฺติตตฺตา วุตฺตํฯ ติณฺณมฺปิ หิ โพธิสตฺตานํ ตํตํปารมิยา สิขาปฺปตฺตกาเล ปวตฺติตํ ปุญฺญํ อปุญฺญํ วา ครุตรวิปากเมว โหติ, ธมฺมสฺส จ สพฺพปฐมํ สจฺฉิกิริยาย วินา กถํ รตฺตญฺญูนํ อคฺคภาวสิทฺธีติฯ พหุการา โข อิเม ปญฺจวคฺคิยาติ อิทํ ปน อุปการานุสฺสรณมตฺตกเมว ปริจยวเสน อาฬารุทกานุสฺสรณํ วิยฯ

    Vappakāleti vapanakāle. Vapanatthaṃ bījāni nīharaṇantena tattha aggaṃ gahetvā dānaṃ bījaggadānaṃ nāma. Lāyanaggādīsupi eseva nayo. Dhaññaphalassa nātipariṇatakāle puthukakāle. Lāyaneti sassalāyane. Yathā lūnaṃ hatthakaṃ katvā veṇivasena bandhanaṃ veṇikaraṇaṃ. Veṇiyo pana purisabhāravasena bandhanaṃ kalāpo. Khale kalāpānaṃ ṭhapanadivase aggaṃ gahetvā dānaṃ khalaggaṃ. Madditvā vīhīnaṃ rāsikaraṇadivase aggaṃ gahetvā dānaṃ bhaṇḍaggaṃ. Koṭṭhāgāre dhaññassa pakkhipanadivase dānaṃ koṭṭhaggaṃ. Uddharitvāti khalato dhaññassa uddharitvā. Navannaṃ aggadānānaṃ dinnattāti idaṃ tassa rattaññūnaṃ aggabhāvatthāya katābhinīhārānurūpaṃ pavattitasāvakapāramiyā ciṇṇante pavattitattā vuttaṃ. Tiṇṇampi hi bodhisattānaṃ taṃtaṃpāramiyā sikhāppattakāle pavattitaṃ puññaṃ apuññaṃ vā garutaravipākameva hoti, dhammassa ca sabbapaṭhamaṃ sacchikiriyāya vinā kathaṃ rattaññūnaṃ aggabhāvasiddhīti. Bahukārā kho ime pañcavaggiyāti idaṃ pana upakārānussaraṇamattakameva paricayavasena āḷārudakānussaraṇaṃ viya.

    ๒๘๕. วิวเรติ มเชฺฌฯ เตนาห ‘‘ติคาวุตนฺตเร ฐาเน’’ติฯ อโยชิยมาเน อุปโยควจนํ น ปาปุณาติ สามิวจนสฺส ปสเงฺค อนฺตรา-สทฺทโยเคน อุปโยควจนสฺส อิจฺฉิตตฺตาฯ เตนาห ‘‘อนฺตราสเทฺทน ปน ยุตฺตตฺตา อุปโยควจนํ กต’’นฺติฯ

    285.Vivareti majjhe. Tenāha ‘‘tigāvutantare ṭhāne’’ti. Ayojiyamāne upayogavacanaṃ na pāpuṇāti sāmivacanassa pasaṅge antarā-saddayogena upayogavacanassa icchitattā. Tenāha ‘‘antarāsaddena pana yuttattā upayogavacanaṃ kata’’nti.

    สพฺพํ เตภูมกธมฺมํ อภิภวิตฺวา ปริญฺญาภิสมยวเสน อติกฺกมิตฺวาฯ จตุภูมกธมฺมํ อนวเสสํ เญยฺยํ สพฺพโส เญยฺยาวรณสฺส ปหีนตฺตา สพฺพญฺญุตญฺญาเณน อเวทิํฯ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนาทินา กิเลเสนฯ อปฺปหาตพฺพมฺปิ กุสลาพฺยากตํ ตปฺปฎิพทฺธกิเลสมถเนน ปหีนตฺตา น โหตีติ อาห ‘‘สพฺพํ เตภูมกธมฺมํ ชหิตฺวา ฐิโต’’ติฯ อารมฺมณโตติ อารมฺมณกรณวเสนฯ

    Sabbaṃ tebhūmakadhammaṃ abhibhavitvā pariññābhisamayavasena atikkamitvā. Catubhūmakadhammaṃ anavasesaṃ ñeyyaṃ sabbaso ñeyyāvaraṇassa pahīnattā sabbaññutaññāṇena avediṃ. Rajjanadussanamuyhanādinā kilesena. Appahātabbampi kusalābyākataṃ tappaṭibaddhakilesamathanena pahīnattā na hotīti āha ‘‘sabbaṃ tebhūmakadhammaṃ jahitvā ṭhito’’ti. Ārammaṇatoti ārammaṇakaraṇavasena.

    กิญฺจาปิ โลกิยธมฺมานมฺปิ ยาทิโส โลกนาถสฺส อธิคโม, น ตาทิโส อธิคโม ปรูปเทโส อตฺถิ, โลกุตฺตรธเมฺม ปนสฺส เลโสปิ นตฺถีติ อาห ‘‘โลกุตฺตรธเมฺม มยฺหํ อาจริโย นาม นตฺถี’’ติฯ ปฎิภาคปุคฺคโลติ สีลาทีหิ คุเณหิ ปฎินิธิภูโต ปุคฺคโลฯ สเหตุนาติ สหธเมฺมน สปาฎิหีรกตายฯ นเยนาติ อภิชานนตาทิวิธินาฯ จตฺตาริ สจฺจานีติ อิทํ ตพฺพินิมุตฺตสฺส เญยฺยสฺส อภาวโต วุตฺตํฯ สยํ พุโทฺธติ สยเมว สยมฺภุญาเณน พุโทฺธฯ วิคตปริฬาหตาย สีติภูโตฯ ตโต เอว นิพฺพุโตฯ อาหญฺฉนฺติ อาหนิสฺสามิฯ เวเนยฺยานํ อมตาธิคมาย อุโคฺฆสนาทิํ กตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนา อมตทุนฺทุภีติ วุตฺตาฯ

    Kiñcāpi lokiyadhammānampi yādiso lokanāthassa adhigamo, na tādiso adhigamo parūpadeso atthi, lokuttaradhamme panassa lesopi natthīti āha ‘‘lokuttaradhamme mayhaṃ ācariyo nāma natthī’’ti. Paṭibhāgapuggaloti sīlādīhi guṇehi paṭinidhibhūto puggalo. Sahetunāti sahadhammena sapāṭihīrakatāya. Nayenāti abhijānanatādividhinā. Cattāri saccānīti idaṃ tabbinimuttassa ñeyyassa abhāvato vuttaṃ. Sayaṃ buddhoti sayameva sayambhuñāṇena buddho. Vigatapariḷāhatāya sītibhūto. Tato eva nibbuto. Āhañchanti āhanissāmi. Veneyyānaṃ amatādhigamāya ugghosanādiṃ katvā satthu dhammadesanā amatadundubhīti vuttā.

    อนนฺตญาโณ ชิตกิเลโสติ อนนฺตชิโนฯ เอวมฺปิ นาม ภเวยฺยาติ เอวํวิเธ นาม รูปรตเน อีทิเสน ญาเณน ภวิตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ อยํ หิสฺส ปพฺพชฺชาย ปจฺจโย ชาโต, กตาธิกาโร เจสฯ ตถา หิ ภควา เตน สมาคมตฺถํ ปทสาว ตํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ

    Anantañāṇo jitakilesoti anantajino. Evampi nāma bhaveyyāti evaṃvidhe nāma rūparatane īdisena ñāṇena bhavitabbanti adhippāyo. Ayaṃ hissa pabbajjāya paccayo jāto, katādhikāro cesa. Tathā hi bhagavā tena samāgamatthaṃ padasāva taṃ maggaṃ paṭipajji.

    โกฎฺฐาสสมฺปนฺนาติ องฺคปจฺจงฺคสงฺขาตอวยวสมฺปนฺนาฯ อฎฺฎียตีติ อโฎฺฎ โหติ, โทมนสฺสํ อาปชฺชตีติ อโตฺถฯ

    Koṭṭhāsasampannāti aṅgapaccaṅgasaṅkhātaavayavasampannā. Aṭṭīyatīti aṭṭo hoti, domanassaṃ āpajjatīti attho.

    อวิหํ อุปปนฺนาเสติ อวิเหสุ นิพฺพตฺตาฯ วิมุตฺตาติ อคฺคผลวิมุตฺติยา วิมุตฺตาฯ เต หิตฺวา มานุสํ เทหํ, ทิพฺพโยคํ อุปชฺฌคุนฺติ เต อุปกา ทโย มานุสํ อตฺตภาวํ ชหิตฺวา โอรมฺภาคิยสํโยชนปฺปหาเนน อวิเหสุ นิพฺพตฺตมตฺตาว อคฺคมคฺคาธิคเมน ทิพฺพโยคํ อุทฺธมฺภาคิยสํโยชนํ สมติกฺกมิํสุฯ

    Avihaṃ upapannāseti avihesu nibbattā. Vimuttāti aggaphalavimuttiyā vimuttā. Te hitvā mānusaṃ dehaṃ, dibbayogaṃ upajjhagunti te upakā dayo mānusaṃ attabhāvaṃ jahitvā orambhāgiyasaṃyojanappahānena avihesu nibbattamattāva aggamaggādhigamena dibbayogaṃ uddhambhāgiyasaṃyojanaṃ samatikkamiṃsu.

    ๒๘๖. สณฺฐเปสุนฺติ ‘‘เนว อภิวาเทตโพฺพ’’ติอาทินา (มหาว. ๑๒) สณฺฐํ กิริยาการํ อกํสุฯ เตนาห ‘‘กติกํ อกํสู’’ติฯ ปธานโตติ ปุเพฺพ อนุฎฺฐิตทุกฺกรจรณโตฯ ปภาวิตนฺติ วาจาสมุฎฺฐานํ, วจีนิจฺฉารณนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อยํ น กิญฺจิ วิเสสํ อธิคมิสฺสตี’’ติ อนุกฺกณฺฐนตฺถํฯ ‘‘มยํ ยตฺถ กตฺถจิ คมิสฺสามา’’ติ มา วิตกฺกยิตฺถฯ โอภาโสติ วิปสฺสโนภาโสฯ นิมิตฺตนฺติ กมฺมฎฺฐานนิมิตฺตํฯ เอกปเทเนวาติ เอกวจเนเนวฯ ‘‘อเนน ปุเพฺพปิ น กิญฺจิ มิจฺฉา วุตฺตปุพฺพ’’นฺติ สติํ ลภิตฺวาฯ ยถาภูตวาทีติ อุปฺปนฺนคารวา

    286.Saṇṭhapesunti ‘‘neva abhivādetabbo’’tiādinā (mahāva. 12) saṇṭhaṃ kiriyākāraṃ akaṃsu. Tenāha ‘‘katikaṃ akaṃsū’’ti. Padhānatoti pubbe anuṭṭhitadukkaracaraṇato. Pabhāvitanti vācāsamuṭṭhānaṃ, vacīnicchāraṇanti attho. ‘‘Ayaṃ na kiñci visesaṃ adhigamissatī’’ti anukkaṇṭhanatthaṃ. ‘‘Mayaṃ yattha katthaci gamissāmā’’ti mā vitakkayittha. Obhāsoti vipassanobhāso. Nimittanti kammaṭṭhānanimittaṃ. Ekapadenevāti ekavacaneneva. ‘‘Anena pubbepi na kiñci micchā vuttapubba’’nti satiṃ labhitvā. Yathābhūtavādīti uppannagāravā.

    อโนฺตวิหาเรเยว อโหสิ ทหรกุมาโร วิย เตหิ ภิกฺขูหิ ปริหริโตฯ มเลติ สํกิเลเสฯ คามโต ภิกฺขูหิ นีหฎํ อุปนีตํ ภตฺตํ เอตสฺสาติ นีหฎภโตฺต, เตน นีหฎภเตฺตน ภควตาฯ เอตฺตกํ กถามคฺคนฺติ – ‘‘เทฺวมา, ภิกฺขเว, ปริเยสนา’’ติ อารภิตฺวา ยาว – ‘‘นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’ติ ปทํ, เอตฺตกํ เทสนามคฺคํฯ กามเญฺจตฺถ – ‘‘ตุเมฺหปิ มมเญฺจว ปญฺจวคฺคิยานญฺจ มคฺคํ อารูฬฺหา, อริยปริเยสนา ตุมฺหากํ ปริเยสนา’’ติ อฎฺฐกถาวจนํฯ เตน ปน – ‘‘โส โข อหํ, ภิกฺขเว, อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน…เป.… อสํกิลิฎฺฐํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมนฺติ, อถ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู มยา เอวํ โอวทิยมานา…เป.… อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ อชฺฌคมํสุ…เป.… นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’ติ อิมเสฺสว สุตฺตปทสฺส อโตฺถ วิภาวิโตติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ภควา ยํ ปุเพฺพ อวจ ตุเมฺหปิ มมเญฺจว ปญฺจวคฺคิยานญฺจ มคฺคํ อารุฬฺหา, อริยปริเยสนา ตุมฺหากํ ปริเยสนาติฯ อิมํ เอกเมว อนุสนฺธิํ ทเสฺสโนฺต อาหรี’’ติฯ

    Antovihāreyeva ahosi daharakumāro viya tehi bhikkhūhi pariharito. Maleti saṃkilese. Gāmato bhikkhūhi nīhaṭaṃ upanītaṃ bhattaṃ etassāti nīhaṭabhatto, tena nīhaṭabhattena bhagavatā. Ettakaṃ kathāmagganti – ‘‘dvemā, bhikkhave, pariyesanā’’ti ārabhitvā yāva – ‘‘natthi dāni punabbhavo’’ti padaṃ, ettakaṃ desanāmaggaṃ. Kāmañcettha – ‘‘tumhepi mamañceva pañcavaggiyānañca maggaṃ ārūḷhā, ariyapariyesanā tumhākaṃ pariyesanā’’ti aṭṭhakathāvacanaṃ. Tena pana – ‘‘so kho ahaṃ, bhikkhave, attanā jātidhammo samāno…pe… asaṃkiliṭṭhaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamanti, atha kho, bhikkhave, pañcavaggiyā bhikkhū mayā evaṃ ovadiyamānā…pe… anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ ajjhagamaṃsu…pe… natthi dāni punabbhavo’’ti imasseva suttapadassa attho vibhāvitoti katvā vuttaṃ ‘‘bhagavā yaṃ pubbe avaca tumhepi mamañceva pañcavaggiyānañca maggaṃ āruḷhā, ariyapariyesanā tumhākaṃ pariyesanāti. Imaṃ ekameva anusandhiṃ dassento āharī’’ti.

    ๒๘๗. อนคาริยานมฺปีติ ปพฺพชิตานมฺปิฯ ปญฺจกามคุณวเสน อนริยปริเยสนา โหติ คธิตาทิภาเวน ปริภุญฺชนโตฯ มิจฺฉาชีววเสนปิ อนริยปริเยสนา โหตีติ ตโต วิเสสนตฺถํ ‘‘ปญฺจกามคุณวเสนา’’ติ วุตฺตํ สจฺฉนฺทราคปริโภคสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ อิทานิ จตูสุ ปจฺจเยสุ กามคุเณ นิทฺธาเรตุํ ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปริโภครโสติ ปริโภคปจฺจยปีติโสมนสฺสํฯ อยํ ปน รสสมานตาวเสน คหณํ อุปาทาย ‘‘รโส’’ติ วุโตฺต, น สภาวโตฯ สภาเวน คหณํ อุปาทาย ปีติโสมนสฺสํ ธมฺมารมฺมณํ สิยา, น รสารมฺมณํฯ อปฺปจฺจเวกฺขณปริโภโคติ ปจฺจเวกฺขณรหิโต ปริโภโค, อิทมตฺถิตํ อนิสฺสาย คธิตาทิภาเวน ปริโภโคติ อโตฺถฯ คธิตาติ ตณฺหาย พทฺธาฯ มุจฺฉิตาติ มุจฺฉํ โมหํ ปมาทํ อาปนฺนาฯ อโชฺฌคาฬฺหาติ อธิโอคาฬฺหา, ตํ ตํ อารมฺมณํ อนุปวิสิตฺวา ฐิตาฯ อาทีนวํ อปสฺสนฺตาติ สจฺฉนฺทราคปริโภเค โทสํ อชานนฺตาฯ อปจฺจเวกฺขิตปริโภคเหตุอาทีนวํ นิสฺสรติ อติกฺกมติ เอเตนาติ นิสฺสรณํ, ปจฺจเวกฺขณญาณํฯ

    287.Anagāriyānampīti pabbajitānampi. Pañcakāmaguṇavasena anariyapariyesanā hoti gadhitādibhāvena paribhuñjanato. Micchājīvavasenapi anariyapariyesanā hotīti tato visesanatthaṃ ‘‘pañcakāmaguṇavasenā’’ti vuttaṃ sacchandarāgaparibhogassa adhippetattā. Idāni catūsu paccayesu kāmaguṇe niddhāretuṃ ‘‘tatthā’’tiādi vuttaṃ. Paribhogarasoti paribhogapaccayapītisomanassaṃ. Ayaṃ pana rasasamānatāvasena gahaṇaṃ upādāya ‘‘raso’’ti vutto, na sabhāvato. Sabhāvena gahaṇaṃ upādāya pītisomanassaṃ dhammārammaṇaṃ siyā, na rasārammaṇaṃ. Appaccavekkhaṇaparibhogoti paccavekkhaṇarahito paribhogo, idamatthitaṃ anissāya gadhitādibhāvena paribhogoti attho. Gadhitāti taṇhāya baddhā. Mucchitāti mucchaṃ mohaṃ pamādaṃ āpannā. Ajjhogāḷhāti adhiogāḷhā, taṃ taṃ ārammaṇaṃ anupavisitvā ṭhitā. Ādīnavaṃ apassantāti sacchandarāgaparibhoge dosaṃ ajānantā. Apaccavekkhitaparibhogahetuādīnavaṃ nissarati atikkamati etenāti nissaraṇaṃ, paccavekkhaṇañāṇaṃ.

    ปาสราสินฺติ ปาสสมุทายํฯ ลุทฺทโก หิ ปาสํ โอเฑฺฑโนฺต น เอกํเยว, น จ เอกสฺมิํเยว ฐาเน โอเฑฺฑติ, อถ โข ตํตํมิคานํ อาคมนมคฺคํ สลฺลเกฺขตฺวา ตตฺถ ตตฺถ โอเฑฺฑโนฺต พหูเยว โอเฑฺฑติ, ตสฺมา เต จิเตฺตน เอกโต คเหตฺวา ‘‘ปาสราสี’’ติ วุตฺตํฯ วาคุรสฺส วา ปาสปเทสานํ พหุภาวโต ‘‘ปาสราสี’’ติ วุตฺตํฯ

    Pāsarāsinti pāsasamudāyaṃ. Luddako hi pāsaṃ oḍḍento na ekaṃyeva, na ca ekasmiṃyeva ṭhāne oḍḍeti, atha kho taṃtaṃmigānaṃ āgamanamaggaṃ sallakkhetvā tattha tattha oḍḍento bahūyeva oḍḍeti, tasmā te cittena ekato gahetvā ‘‘pāsarāsī’’ti vuttaṃ. Vāgurassa vā pāsapadesānaṃ bahubhāvato ‘‘pāsarāsī’’ti vuttaṃ.

    ปาสราสิสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Pāsarāsisuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๖. ปาสราสิสุตฺตํ • 6. Pāsarāsisuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๖. ปาสราสิสุตฺตวณฺณนา • 6. Pāsarāsisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact