Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๘. ปสูรสุตฺตวณฺณนา
8. Pasūrasuttavaṇṇanā
๘๓๑. อิเธว สุทฺธีติ ปสูรสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ภควติ กิร สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต ปสูโร นาม ปริพฺพาชโก มหาวาที, โส ‘‘อหมสฺมิ สกลชมฺพุทีเป วาเทน อโคฺค, ตสฺมา ยถา ชมฺพุทีปสฺส ชมฺพุปญฺญาณํ, เอวํ มมาปิ ภวิตุํ อรหตี’’ติ ชมฺพุสาขํ ธชํ กตฺวา สกลชมฺพุทีเป ปฎิวาทํ อนาสาเทโนฺต อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ อาคนฺตฺวา นครทฺวาเร วาลิกตฺถลํ กตฺวา ตตฺถ สาขํ อุสฺสาเปตฺวา ‘‘โย มยา สทฺธิํ วาทํ กาตุํ สมโตฺถ, โส อิมํ สาขํ ภญฺชตู’’ติ วตฺวา นครํ ปาวิสิฯ ตํ ฐานํ มหาชโน ปริวาเรตฺวา อฎฺฐาสิฯ เตน จ สมเยน อายสฺมา สาริปุโตฺต ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา สาวตฺถิโต นิกฺขมติฯ โส ตํ ทิสฺวา สมฺพหุเล คามทารเก ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ เอตํ ทารกา’’ติ, เต สพฺพํ อาจิกฺขิํสุฯ ‘‘เตน หิ นํ ตุเมฺห อุทฺธริตฺวา ปาเทหิ ภญฺชถ, ‘วาทตฺถิโก วิหารํ อาคจฺฉตู’ติ จ ภณถา’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ
831.Idhevasuddhīti pasūrasuttaṃ. Kā uppatti? Bhagavati kira sāvatthiyaṃ viharante pasūro nāma paribbājako mahāvādī, so ‘‘ahamasmi sakalajambudīpe vādena aggo, tasmā yathā jambudīpassa jambupaññāṇaṃ, evaṃ mamāpi bhavituṃ arahatī’’ti jambusākhaṃ dhajaṃ katvā sakalajambudīpe paṭivādaṃ anāsādento anupubbena sāvatthiṃ āgantvā nagaradvāre vālikatthalaṃ katvā tattha sākhaṃ ussāpetvā ‘‘yo mayā saddhiṃ vādaṃ kātuṃ samattho, so imaṃ sākhaṃ bhañjatū’’ti vatvā nagaraṃ pāvisi. Taṃ ṭhānaṃ mahājano parivāretvā aṭṭhāsi. Tena ca samayena āyasmā sāriputto bhattakiccaṃ katvā sāvatthito nikkhamati. So taṃ disvā sambahule gāmadārake pucchi – ‘‘kiṃ etaṃ dārakā’’ti, te sabbaṃ ācikkhiṃsu. ‘‘Tena hi naṃ tumhe uddharitvā pādehi bhañjatha, ‘vādatthiko vihāraṃ āgacchatū’ti ca bhaṇathā’’ti vatvā pakkāmi.
ปริพฺพาชโก ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ อาคนฺตฺวา อุทฺธริตฺวา ภคฺคํ สาขํ ทิสฺวา ‘‘เกนิทํ การิต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พุทฺธสาวเกน สาริปุเตฺตนา’’ติ จ วุเตฺต ปมุทิโต หุตฺวา ‘‘อชฺช มม ชยํ สมณสฺส จ ปราชยํ ปณฺฑิตา ปสฺสนฺตู’’ติ ปญฺหวีมํสเก การณิเก อาเนตุํ สาวตฺถิํ ปวิสิตฺวา วีถิสิงฺฆาฎกจจฺจเรสุ วิจรโนฺต ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส อคฺคสาวเกน สห วาเท ปญฺญาปฎิภานํ โสตุกามา โภโนฺต นิกฺขมนฺตู’’ติ อุโคฺฆเสสิฯ ‘‘ปณฺฑิตานํ วจนํ โสสฺสามา’’ติ สาสเน ปสนฺนาปิ อปฺปสนฺนาปิ พหู มนุสฺสา นิกฺขมิํสุฯ ตโต ปสูโร มหาชนปริวุโต ‘‘เอวํ วุเตฺต เอวํ ภณิสฺสามี’’ติอาทีนิ วิตเกฺกโนฺต วิหารํ อคมาสิฯ เถโร ‘‘วิหาเร อุจฺจาสทฺทมหาสโทฺท ชนพฺยากุลญฺจ มา อโหสี’’ติ เชตวนทฺวารโกฎฺฐเก อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา นิสีทิฯ
Paribbājako piṇḍāya caritvā katabhattakicco āgantvā uddharitvā bhaggaṃ sākhaṃ disvā ‘‘kenidaṃ kārita’’nti pucchi. ‘‘Buddhasāvakena sāriputtenā’’ti ca vutte pamudito hutvā ‘‘ajja mama jayaṃ samaṇassa ca parājayaṃ paṇḍitā passantū’’ti pañhavīmaṃsake kāraṇike ānetuṃ sāvatthiṃ pavisitvā vīthisiṅghāṭakacaccaresu vicaranto ‘‘samaṇassa gotamassa aggasāvakena saha vāde paññāpaṭibhānaṃ sotukāmā bhonto nikkhamantū’’ti ugghosesi. ‘‘Paṇḍitānaṃ vacanaṃ sossāmā’’ti sāsane pasannāpi appasannāpi bahū manussā nikkhamiṃsu. Tato pasūro mahājanaparivuto ‘‘evaṃ vutte evaṃ bhaṇissāmī’’tiādīni vitakkento vihāraṃ agamāsi. Thero ‘‘vihāre uccāsaddamahāsaddo janabyākulañca mā ahosī’’ti jetavanadvārakoṭṭhake āsanaṃ paññāpetvā nisīdi.
ปริพฺพาชโก เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตฺวํ, โภ, ปพฺพชิต, มยฺหํ ชมฺพุธชํ ภญฺชาเปสี’’ติ อาหฯ ‘‘อาม ปริพฺพาชกา’’ติ จ วุเตฺต ‘‘โหตุ โน, โภ, กาจิ กถาปวตฺตี’’ติ อาหฯ ‘‘โหตุ ปริพฺพาชกา’’ติ จ เถเรน สมฺปฎิจฺฉิเต ‘‘ตฺวํ, สมณ, ปุจฺฉ, อหํ วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ อาหฯ ตโต นํ เถโร อวจ ‘‘กิํ, ปริพฺพาชก, ทุกฺกรํ ปุจฺฉา, อุทาหุ วิสฺสชฺชน’’นฺติฯ วิสฺสชฺชนํ โภ, ปพฺพชิต, ปุจฺฉาย กิํ ทุกฺกรํฯ ตํ โย หิ โกจิ ยํกิญฺจิ ปุจฺฉตีติฯ ‘‘เตน หิ, ปริพฺพาชก, ตฺวํ ปุจฺฉ, อหํ วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ เอวํ วุเตฺต ปริพฺพาชโก ‘‘สาธุรูโป ภิกฺขุ ฐาเน สาขํ ภญฺชาเปสี’’ติ วิมฺหิตจิโตฺต หุตฺวา เถรํ ปุจฺฉิ – ‘‘โก ปุริสสฺส กาโม’’ติฯ ‘‘สงฺกปฺปราโค ปุริสสฺส กาโม’’ติ (อ. นิ. ๖.๖๓) เถโร อาหฯ โส ตํ สุตฺวา เถเร วิรุทฺธสญฺญี หุตฺวา ปราชยํ อาโรเปตุกาโม อาห – ‘‘จิตฺรวิจิตฺรารมฺมณํ ปน โภ, ปพฺพชิต, ปุริสสฺส กามํ น วเทสี’’ติ? ‘‘อาม, ปริพฺพาชก, น วเทมี’’ติฯ ตโต นํ ปริพฺพาชโก ยาว ติกฺขตฺตุํ ปฎิญฺญํ การาเปตฺวา ‘‘สุณนฺตุ โภโนฺต สมณสฺส วาเท โทส’’นฺติ ปญฺหวีมํสเก อาลปิตฺวา อาห – ‘‘โภ, ปพฺพชิต, ตุมฺหากํ สพฺรหฺมจาริโน อรเญฺญ วิหรนฺตี’’ติ? ‘‘อาม, ปริพฺพาชก, วิหรนฺตี’’ติฯ ‘‘เต ตตฺถ วิหรนฺตา กามวิตกฺกาทโย วิตเกฺก วิตเกฺกนฺตี’’ติ? ‘‘อาม, ปริพฺพาชก, ปุถุชฺชนา สหสา วิตเกฺกนฺตี’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ เตสํ สมณภาโว กุโต? นนุ เต อคาริกา กามโภคิโน โหนฺตี’’ติ เอวญฺจ ปน วตฺวา อถาปรํ เอตทโวจ –
Paribbājako theraṃ upasaṅkamitvā ‘‘tvaṃ, bho, pabbajita, mayhaṃ jambudhajaṃ bhañjāpesī’’ti āha. ‘‘Āma paribbājakā’’ti ca vutte ‘‘hotu no, bho, kāci kathāpavattī’’ti āha. ‘‘Hotu paribbājakā’’ti ca therena sampaṭicchite ‘‘tvaṃ, samaṇa, puccha, ahaṃ vissajjessāmī’’ti āha. Tato naṃ thero avaca ‘‘kiṃ, paribbājaka, dukkaraṃ pucchā, udāhu vissajjana’’nti. Vissajjanaṃ bho, pabbajita, pucchāya kiṃ dukkaraṃ. Taṃ yo hi koci yaṃkiñci pucchatīti. ‘‘Tena hi, paribbājaka, tvaṃ puccha, ahaṃ vissajjessāmī’’ti evaṃ vutte paribbājako ‘‘sādhurūpo bhikkhu ṭhāne sākhaṃ bhañjāpesī’’ti vimhitacitto hutvā theraṃ pucchi – ‘‘ko purisassa kāmo’’ti. ‘‘Saṅkapparāgo purisassa kāmo’’ti (a. ni. 6.63) thero āha. So taṃ sutvā there viruddhasaññī hutvā parājayaṃ āropetukāmo āha – ‘‘citravicitrārammaṇaṃ pana bho, pabbajita, purisassa kāmaṃ na vadesī’’ti? ‘‘Āma, paribbājaka, na vademī’’ti. Tato naṃ paribbājako yāva tikkhattuṃ paṭiññaṃ kārāpetvā ‘‘suṇantu bhonto samaṇassa vāde dosa’’nti pañhavīmaṃsake ālapitvā āha – ‘‘bho, pabbajita, tumhākaṃ sabrahmacārino araññe viharantī’’ti? ‘‘Āma, paribbājaka, viharantī’’ti. ‘‘Te tattha viharantā kāmavitakkādayo vitakke vitakkentī’’ti? ‘‘Āma, paribbājaka, puthujjanā sahasā vitakkentī’’ti. ‘‘Yadi evaṃ tesaṃ samaṇabhāvo kuto? Nanu te agārikā kāmabhogino hontī’’ti evañca pana vatvā athāparaṃ etadavoca –
‘‘น เต เว กามา ยานิ จิตฺรานิ โลเก,
‘‘Na te ve kāmā yāni citrāni loke,
สงฺกปฺปราคญฺจ วเทสิ กามํ;
Saṅkapparāgañca vadesi kāmaṃ;
สงฺกปฺปยํ อกุสเล วิตเกฺก,
Saṅkappayaṃ akusale vitakke,
ภิกฺขุปิ เต เหสฺสติ กามโภคี’’ติฯ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๓๔);
Bhikkhupi te hessati kāmabhogī’’ti. (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.34);
อถ เถโร ปริพฺพาชกสฺส วาเท โทสํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘กิํ, ปริพฺพาชก, สงฺกปฺปราคํ ปุริสสฺส กามํ น วเทสิ, จิตฺรวิจิตฺรารมฺมณํ วเทสี’’ติ? ‘‘อาม, โภ, ปพฺพชิตา’’ติฯ ตโต นํ เถโร ยาว ติกฺขตฺตุํ ปฎิญฺญํ การาเปตฺวา ‘‘สุณาถ, อาวุโส, ปริพฺพาชกสฺส วาเท โทส’’นฺติ ปญฺหวีมํสเก อาลปิตฺวา อาห – ‘‘อาวุโส ปสูร, ตว สตฺถา อตฺถี’’ติ? ‘‘อาม, ปพฺพชิต, อตฺถี’’ติฯ ‘‘โส จกฺขุวิเญฺญยฺยํ รูปารมฺมณํ ปสฺสติ สทฺทารมฺมณาทีนิ วา เสวตี’’ติ? ‘‘อาม, ปพฺพชิต, เสวตี’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ ตสฺส สตฺถุภาโว กุโต, นนุ โส อคาริโก กามโภคี โหตี’’ติ เอวญฺจ ปน วตฺวา อถาปรํ เอตทโวจ –
Atha thero paribbājakassa vāde dosaṃ dassento āha – ‘‘kiṃ, paribbājaka, saṅkapparāgaṃ purisassa kāmaṃ na vadesi, citravicitrārammaṇaṃ vadesī’’ti? ‘‘Āma, bho, pabbajitā’’ti. Tato naṃ thero yāva tikkhattuṃ paṭiññaṃ kārāpetvā ‘‘suṇātha, āvuso, paribbājakassa vāde dosa’’nti pañhavīmaṃsake ālapitvā āha – ‘‘āvuso pasūra, tava satthā atthī’’ti? ‘‘Āma, pabbajita, atthī’’ti. ‘‘So cakkhuviññeyyaṃ rūpārammaṇaṃ passati saddārammaṇādīni vā sevatī’’ti? ‘‘Āma, pabbajita, sevatī’’ti. ‘‘Yadi evaṃ tassa satthubhāvo kuto, nanu so agāriko kāmabhogī hotī’’ti evañca pana vatvā athāparaṃ etadavoca –
‘‘เต เว กามา ยานิ จิตฺรานิ โลเก,
‘‘Te ve kāmā yāni citrāni loke,
สงฺกปฺปราคํ น วเทสิ กามํ;
Saṅkapparāgaṃ na vadesi kāmaṃ;
ปสฺสโนฺต รูปานิ มโนรมานิ,
Passanto rūpāni manoramāni,
สุณโนฺต สทฺทานิ มโนรมานิฯ
Suṇanto saddāni manoramāni.
‘‘ฆายโนฺต คนฺธานิ มโนรมานิ,
‘‘Ghāyanto gandhāni manoramāni,
สายโนฺต รสานิ มโนรมานิ;
Sāyanto rasāni manoramāni;
ผุสโนฺต ผสฺสานิ มโนรมานิ,
Phusanto phassāni manoramāni,
สตฺถาปิ เต เหสฺสติ กามโภคี’’ติฯ
Satthāpi te hessati kāmabhogī’’ti.
เอวํ วุเตฺต นิปฺปฎิภาโน ปริพฺพาชโก ‘‘อยํ ปพฺพชิโต มหาวาที, อิมสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา วาทสตฺถํ สิกฺขิสฺสามี’’ติ สาวตฺถิํ ปวิสิตฺวา ปตฺตจีวรํ ปริเยสิตฺวา เชตวนํ ปวิโฎฺฐ ตตฺถ ลาลุทายิํ สุวณฺณวณฺณํ กายูปปนฺนํ สรีราการากเปฺปสุ สมนฺตปาสาทิกํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ภิกฺขุ มหาปโญฺญ มหาวาที’’ติ มนฺตฺวา ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ตํ วาเทน นิคฺคเหตฺวา สลิเงฺคน ตํเยว ติตฺถายตนํ ปกฺกมิตฺวา ปุน ‘‘สมเณน โคตเมน สทฺธิํ วาทํ กริสฺสามี’’ติ สาวตฺถิยํ ปุริมนเยเนว อุโคฺฆเสตฺวา มหาชนปริวุโต ‘‘เอวํ สมณํ โคตมํ นิคฺคเหสฺสามี’’ติอาทีนิ วทโนฺต เชตวนํ อคมาสิฯ เชตวนทฺวารโกฎฺฐเก อธิวตฺถา เทวตา ‘‘อยํ อภาชนภูโต’’ติ มุขพนฺธมสฺส อกาสิฯ โส ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา มูโค วิย นิสีทิฯ มนุสฺสา ‘‘อิทานิ ปุจฺฉิสฺสติ, อิทานิ ปุจฺฉิสฺสตี’’ติ ตสฺส มุขํ อุโลฺลเกตฺวา ‘‘วเทหิ, โภ ปสูร, วเทหิ, โภ ปสูรา’’ติ อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทา อเหสุํฯ อถ ภควา ‘‘กิํ ปสูโร วทิสฺสตี’’ติ วตฺวา ตตฺถ สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ สุตฺตํ อภาสิฯ
Evaṃ vutte nippaṭibhāno paribbājako ‘‘ayaṃ pabbajito mahāvādī, imassa santike pabbajitvā vādasatthaṃ sikkhissāmī’’ti sāvatthiṃ pavisitvā pattacīvaraṃ pariyesitvā jetavanaṃ paviṭṭho tattha lāludāyiṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ kāyūpapannaṃ sarīrākārākappesu samantapāsādikaṃ disvā ‘‘ayaṃ bhikkhu mahāpañño mahāvādī’’ti mantvā tassa santike pabbajitvā taṃ vādena niggahetvā saliṅgena taṃyeva titthāyatanaṃ pakkamitvā puna ‘‘samaṇena gotamena saddhiṃ vādaṃ karissāmī’’ti sāvatthiyaṃ purimanayeneva ugghosetvā mahājanaparivuto ‘‘evaṃ samaṇaṃ gotamaṃ niggahessāmī’’tiādīni vadanto jetavanaṃ agamāsi. Jetavanadvārakoṭṭhake adhivatthā devatā ‘‘ayaṃ abhājanabhūto’’ti mukhabandhamassa akāsi. So bhagavantaṃ upasaṅkamitvā mūgo viya nisīdi. Manussā ‘‘idāni pucchissati, idāni pucchissatī’’ti tassa mukhaṃ ulloketvā ‘‘vadehi, bho pasūra, vadehi, bho pasūrā’’ti uccāsaddamahāsaddā ahesuṃ. Atha bhagavā ‘‘kiṃ pasūro vadissatī’’ti vatvā tattha sampattaparisāya dhammadesanatthaṃ imaṃ suttaṃ abhāsi.
ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาว อยํ สเงฺขโป – อิเม ทิฎฺฐิคติกา อตฺตโน ทิฎฺฐิํ สนฺธาย อิเธว สุทฺธี อิติ วาทยนฺติ นาเญฺญสุ ธเมฺมสุ วิสุทฺธิมาหุฯ เอวํ สเนฺต อตฺตโน สตฺถาราทีนิ นิสฺสิตา ตเตฺถว ‘‘เอส วาโท สุโภ’’ติ เอวํ สุภํ วทานา หุตฺวา ปุถู สมณพฺราหฺมณา ‘‘สสฺสโต โลโก’’ติอาทีสุ ปเจฺจกสเจฺจสุ นิวิฎฺฐาฯ
Tattha paṭhamagāthāya tāva ayaṃ saṅkhepo – ime diṭṭhigatikā attano diṭṭhiṃ sandhāya idheva suddhī iti vādayanti nāññesu dhammesu visuddhimāhu. Evaṃ sante attano satthārādīni nissitā tattheva ‘‘esa vādo subho’’ti evaṃ subhaṃ vadānā hutvā puthū samaṇabrāhmaṇā ‘‘sassato loko’’tiādīsu paccekasaccesu niviṭṭhā.
๘๓๒. เอวํ นิวิฎฺฐา จ – เต วาทกามาติ คาถาฯ ตตฺถ พาลํ ทหนฺตี มิถุ อญฺญมญฺญนฺติ ‘‘อยํ พาโล อยํ พาโล’’ติ เอวํ เทฺวปิ ชนา อญฺญมญฺญํ พาลํ ทหนฺติ, พาลโต ปสฺสนฺติฯ วทนฺติ เต อญฺญสิตา กโถชฺชนฺติ เต อญฺญมญฺญํ สตฺถาราทิํ นิสฺสิตา กลหํ วทนฺติฯ ปสํสกามา กุสลา วทานาติ ปสํสตฺถิกา อุโภปิ ‘‘มยํ กุสลวาทา ปณฺฑิตวาทา’’ติ เอวํสญฺญิโน หุตฺวาฯ
832. Evaṃ niviṭṭhā ca – te vādakāmāti gāthā. Tattha bālaṃ dahantī mithu aññamaññanti ‘‘ayaṃ bālo ayaṃ bālo’’ti evaṃ dvepi janā aññamaññaṃ bālaṃ dahanti, bālato passanti. Vadanti te aññasitā kathojjanti te aññamaññaṃ satthārādiṃ nissitā kalahaṃ vadanti. Pasaṃsakāmā kusalā vadānāti pasaṃsatthikā ubhopi ‘‘mayaṃ kusalavādā paṇḍitavādā’’ti evaṃsaññino hutvā.
๘๓๓. เอวํ วทาเนสุ จ เตสุ เอโก นิยมโต เอว – ยุโตฺต กถายนฺติ คาถาฯ ตตฺถ ยุโตฺต กถายนฺติ วิวาทกถาย อุสฺสุโกฺกฯ ปสํสมิจฺฉํ วินิฆาติ โหตีติ อตฺตโน ปสํสํ อิจฺฉโนฺต ‘‘กถํ นุ โข นิคฺคเหสฺสามี’’ติอาทินา นเยน ปุเพฺพว สลฺลาปา กถํกถี วินิฆาตี โหติฯ อปาหตสฺมินฺติ ปญฺหวีมํสเกหิ ‘‘อตฺถาปคตํ เต ภณิตํ, พฺยญฺชนาปคตํ เต ภณิต’’นฺติอาทินา นเยน อปหาริเต วาเทฯ นินฺทาย โส กุปฺปตีติ เอวํ อปาหตสฺมิญฺจ วาเท อุปฺปนฺนาย นินฺทาย โส กุปฺปติฯ รนฺธเมสีติ ปรสฺส รนฺธเมว คเวสโนฺตฯ
833. Evaṃ vadānesu ca tesu eko niyamato eva – yutto kathāyanti gāthā. Tattha yutto kathāyanti vivādakathāya ussukko. Pasaṃsamicchaṃ vinighāti hotīti attano pasaṃsaṃ icchanto ‘‘kathaṃ nu kho niggahessāmī’’tiādinā nayena pubbeva sallāpā kathaṃkathī vinighātī hoti. Apāhatasminti pañhavīmaṃsakehi ‘‘atthāpagataṃ te bhaṇitaṃ, byañjanāpagataṃ te bhaṇita’’ntiādinā nayena apahārite vāde. Nindāya so kuppatīti evaṃ apāhatasmiñca vāde uppannāya nindāya so kuppati. Randhamesīti parassa randhameva gavesanto.
๘๓๔. น เกวลญฺจ กุปฺปติ, อปิจ โข ปน ยมสฺส วาทนฺติ คาถาฯ ตตฺถ ปริหีนมาหุ อปาหตนฺติ อตฺถพฺยญฺชนาทิโต อปาหตํ ปริหีนํ วทนฺติฯ ปริเทวตีติ ตโต นิมิตฺตํ โส ‘‘อญฺญํ มยา อาวชฺชิต’’นฺติอาทีหิ วิปฺปลปติฯ โสจตีติ ‘‘ตสฺส ชโย’’ติอาทีนิ อารพฺภ โสจติฯ อุปจฺจคา มนฺติ อนุตฺถุนาตีติ ‘‘โส มํ วาเทน วาทํ อติกฺกโนฺต’’ติอาทินา นเยน สุฎฺฐุตรํ วิปฺปลปติฯ
834. Na kevalañca kuppati, apica kho pana yamassa vādanti gāthā. Tattha parihīnamāhu apāhatanti atthabyañjanādito apāhataṃ parihīnaṃ vadanti. Paridevatīti tato nimittaṃ so ‘‘aññaṃ mayā āvajjita’’ntiādīhi vippalapati. Socatīti ‘‘tassa jayo’’tiādīni ārabbha socati. Upaccagā manti anutthunātīti ‘‘so maṃ vādena vādaṃ atikkanto’’tiādinā nayena suṭṭhutaraṃ vippalapati.
๘๓๕. เอเต วิวาทา สมเณสูติ เอตฺถ ปน สมณา วุจฺจนฺติ พาหิรปริพฺพาชกาฯ เอเตสุ อุคฺฆาติ นิฆาติ โหตีติ เอเตสุ วาเทสุ ชยปราชยาทิวเสน จิตฺตสฺส อุคฺฆาตํ นิฆาตญฺจ ปาปุณโนฺต อุคฺฆาตี นิฆาตี จ โหติฯ วิรเม กโถชฺชนฺติ ปชเหยฺย กลหํฯ น หญฺญทตฺถตฺถิ ปสํสลาภาติ น หิ เอตฺถ ปสํสลาภโต อโญฺญ อโตฺถ อตฺถิฯ
835.Ete vivādā samaṇesūti ettha pana samaṇā vuccanti bāhiraparibbājakā. Etesu ugghāti nighāti hotīti etesu vādesu jayaparājayādivasena cittassa ugghātaṃ nighātañca pāpuṇanto ugghātī nighātī ca hoti. Virame kathojjanti pajaheyya kalahaṃ. Na haññadatthatthi pasaṃsalābhāti na hi ettha pasaṃsalābhato añño attho atthi.
๘๓๖-๗. ฉฎฺฐคาถาย อโตฺถ – ยสฺมา จ น หญฺญทตฺถตฺถิ ปสํสลาภา, ตสฺมา ปรมํ ลาภํ ลภโนฺตปิ ‘‘สุนฺทโร อย’’นฺติ ตตฺถ ทิฎฺฐิยา ปสํสิโต วา ปน โหติ ตํ วาทํ ปริสาย มเชฺฌ ทีเปตฺวา, ตโต โส เตน ชยเตฺถน ตุฎฺฐิํ วา ทนฺตวิทํสกํ วา อาปชฺชโนฺต หสติ, มาเนน จ อุณฺณมติฯ กิํ การณํ? ยสฺมา ตํ ชยตฺถํ ปปฺปุยฺย ยถามาโน ชาโต, เอวํ อุณฺณมโต จ ยา อุณฺณตีติ คาถาฯ ตตฺถ มานาติมานํ วทเต ปเนโสติ เอโส ปน ตํ อุณฺณติํ ‘‘วิฆาตภูมี’’ติ อพุชฺฌมาโน มานญฺจ อติมานญฺจ วทติเยวฯ
836-7. Chaṭṭhagāthāya attho – yasmā ca na haññadatthatthi pasaṃsalābhā, tasmā paramaṃ lābhaṃ labhantopi ‘‘sundaro aya’’nti tattha diṭṭhiyā pasaṃsito vāpana hoti taṃ vādaṃ parisāya majjhe dīpetvā, tato so tena jayatthena tuṭṭhiṃ vā dantavidaṃsakaṃ vā āpajjanto hasati, mānena ca uṇṇamati. Kiṃ kāraṇaṃ? Yasmā taṃ jayatthaṃ pappuyya yathāmāno jāto, evaṃ uṇṇamato ca yā uṇṇatīti gāthā. Tattha mānātimānaṃ vadate panesoti eso pana taṃ uṇṇatiṃ ‘‘vighātabhūmī’’ti abujjhamāno mānañca atimānañca vadatiyeva.
๘๓๘. เอวํ วาเท โทสํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตสฺส วาทํ อสมฺปฎิจฺฉโนฺต ‘‘สูโร’’ติ คาถมาหฯ ตตฺถ ราชขาทายาติ ราชขาทนีเยน, ภตฺตเวตเนนาติ วุตฺตํ โหติฯ อภิคชฺชเมติ ปฎิสูรมิจฺฉนฺติ ยถา โส ปฎิสูรํ อิจฺฉโนฺต อภิคชฺชโนฺต เอติ, เอวํ ทิฎฺฐิคติโก ทิฎฺฐิคติกนฺติ ทเสฺสติฯ เยเนว โส, เตน ปเลหีติ เยน โส ตุยฺหํ ปฎิสูโร, เตน คจฺฉฯ ปุเพฺพว นตฺถิ ยทิทํ ยุธายาติ ยํ ปน อิทํ กิเลสชาตํ ยุทฺธาย สิยา, ตํ เอตํ ปุเพฺพว นตฺถิ, โพธิมูเลเยว ปหีนนฺติ ทเสฺสติฯ เสสคาถา ปากฎสมฺพนฺธาเยวฯ
838. Evaṃ vāde dosaṃ dassetvā idāni tassa vādaṃ asampaṭicchanto ‘‘sūro’’ti gāthamāha. Tattha rājakhādāyāti rājakhādanīyena, bhattavetanenāti vuttaṃ hoti. Abhigajjameti paṭisūramicchanti yathā so paṭisūraṃ icchanto abhigajjanto eti, evaṃ diṭṭhigatiko diṭṭhigatikanti dasseti. Yeneva so, tena palehīti yena so tuyhaṃ paṭisūro, tena gaccha. Pubbevanatthi yadidaṃ yudhāyāti yaṃ pana idaṃ kilesajātaṃ yuddhāya siyā, taṃ etaṃ pubbeva natthi, bodhimūleyeva pahīnanti dasseti. Sesagāthā pākaṭasambandhāyeva.
๘๓๙-๔๐. ตตฺถ วิวาทยนฺตีติ วิวทนฺติฯ ปฎิเสนิกตฺตาติ ปฎิโลมการโกฯ วิเสนิกตฺวาติ กิเลสเสนํ วินาเสตฺวาฯ กิํ ลเภโถติ ปฎิมลฺลํ กิํ ลภิสฺสสิฯ ปสูราติ ตํ ปริพฺพาชกํ อาลปติฯ เยสีธ นตฺถีติ เยสํ อิธ นตฺถิฯ
839-40. Tattha vivādayantīti vivadanti. Paṭisenikattāti paṭilomakārako. Visenikatvāti kilesasenaṃ vināsetvā. Kiṃ labhethoti paṭimallaṃ kiṃ labhissasi. Pasūrāti taṃ paribbājakaṃ ālapati. Yesīdha natthīti yesaṃ idha natthi.
๘๔๑. ปวิตกฺกนฺติ ‘‘ชโย นุ โข เม ภวิสฺสตี’’ติ อาทีนิ วิตเกฺกโนฺตฯ โธเนน ยุคํ สมาคมาติ ธุตกิเลเสน พุเทฺธน สทฺธิํ ยุคคฺคาหํ สมาปโนฺนฯ น หิ ตฺวํ สกฺขสิ สมฺปยาตเวติ โกตฺถุกาทโย วิย สีหาทีหิ, โธเนน สห ยุคํ คเหตฺวา เอกปทมฺปิ สมฺปยาตุํ ยุคคฺคาหเมว วา สมฺปาเทตุํ น สกฺขิสฺสสีติฯ เสสํ สพฺพตฺถ ปากฎเมวาติฯ
841.Pavitakkanti ‘‘jayo nu kho me bhavissatī’’ti ādīni vitakkento. Dhonena yugaṃ samāgamāti dhutakilesena buddhena saddhiṃ yugaggāhaṃ samāpanno. Na hi tvaṃ sakkhasi sampayātaveti kotthukādayo viya sīhādīhi, dhonena saha yugaṃ gahetvā ekapadampi sampayātuṃ yugaggāhameva vā sampādetuṃ na sakkhissasīti. Sesaṃ sabbattha pākaṭamevāti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ปสูรสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya pasūrasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๘. ปสูรสุตฺตํ • 8. Pasūrasuttaṃ