Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    ปาฎลิคามวตฺถุกถาวณฺณนา

    Pāṭaligāmavatthukathāvaṇṇanā

    ๒๘๕. ปาฎลิคาโมติ (อุทา. อฎฺฐ. ๗๖) เอวํนามโก มคธรเฎฺฐ เอโก คาโมฯ ตสฺส กิร คามสฺส มาปนทิวเส คามงฺคณฎฺฐาเน เทฺว ตโย ปาฎลงฺกุรา ปถวิโต อุพฺภิชฺชิตฺวา นิกฺขมิํสุฯ เตน ตํ ‘‘ปาฎลิคาโม’’ เตฺวว โวหริํสุฯ ตทวสรีติ ตํ ปาฎลิคามํ อวสริ อนุปาปุณิฯ ปาฎลิคามิกาติ ปาฎลิคามวาสิโนฯ อุปาสกาติ เต กิร ภควโต ปฐมทสฺสเนน เกจิ สรเณสุ จ สีเลสุ จ ปติฎฺฐิตาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุปาสกา’’ติฯ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสูติ ปาฎลิคาเม กิร อชาตสตฺตุโน ลิจฺฉวิราชูนญฺจ มนุสฺสา กาเลน กาลํ คนฺตฺวา เคหสามิเก เคหโต นีหริตฺวา มาสมฺปิ อฑฺฒมาสมฺปิ วสนฺติฯ เตน ปาฎลิคามวาสิโน มนุสฺสา นิจฺจุปทฺทุตา ‘‘เอเตสเญฺจว อาคตกาเล วสนฎฺฐานํ ภวิสฺสตีติ เอกปเสฺส อิสฺสรานํ ภณฺฑปฎิสามนฎฺฐานํ, เอกปเสฺส วสนฎฺฐานํ, เอกปเสฺส อาคนฺตุกานํ อทฺธิกมนุสฺสานํ, เอกปเสฺส ทลิทฺทานํ กปณมนุสฺสานํ, เอกปเสฺส คิลานานํ วสนฎฺฐานํ ภวิสฺสตี’’ติ สเพฺพสํ อญฺญมญฺญํ อฆเฎฺฎตฺวา วสนปฺปโหนกํ นครมเชฺฌ มหติํ สาลํ กาเรสุํ, ตสฺส นามํ อาวสถาคารนฺติฯ อาคนฺตฺวา วสนฺติ เอตฺถ อาคนฺตุกาติ อาวสโถ, ตเทว อาคารํ อาวสถาคารํ

    285.Pāṭaligāmoti (udā. aṭṭha. 76) evaṃnāmako magadharaṭṭhe eko gāmo. Tassa kira gāmassa māpanadivase gāmaṅgaṇaṭṭhāne dve tayo pāṭalaṅkurā pathavito ubbhijjitvā nikkhamiṃsu. Tena taṃ ‘‘pāṭaligāmo’’ tveva vohariṃsu. Tadavasarīti taṃ pāṭaligāmaṃ avasari anupāpuṇi. Pāṭaligāmikāti pāṭaligāmavāsino. Upāsakāti te kira bhagavato paṭhamadassanena keci saraṇesu ca sīlesu ca patiṭṭhitā. Tena vuttaṃ ‘‘upāsakā’’ti. Yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsūti pāṭaligāme kira ajātasattuno licchavirājūnañca manussā kālena kālaṃ gantvā gehasāmike gehato nīharitvā māsampi aḍḍhamāsampi vasanti. Tena pāṭaligāmavāsino manussā niccupaddutā ‘‘etesañceva āgatakāle vasanaṭṭhānaṃ bhavissatīti ekapasse issarānaṃ bhaṇḍapaṭisāmanaṭṭhānaṃ, ekapasse vasanaṭṭhānaṃ, ekapasse āgantukānaṃ addhikamanussānaṃ, ekapasse daliddānaṃ kapaṇamanussānaṃ, ekapasse gilānānaṃ vasanaṭṭhānaṃ bhavissatī’’ti sabbesaṃ aññamaññaṃ aghaṭṭetvā vasanappahonakaṃ nagaramajjhe mahatiṃ sālaṃ kāresuṃ, tassa nāmaṃ āvasathāgāranti. Āgantvā vasanti ettha āgantukāti āvasatho, tadeva āgāraṃ āvasathāgāraṃ.

    ตํ ทิวสญฺจ ตํ นิฎฺฐานํ อคมาสิฯ เต ตตฺถ คนฺตฺวา อิฎฺฐกกมฺมสุธากมฺมจิตฺตกมฺมาทิวเสน สุปรินิฎฺฐิตํ สุสชฺชิตํ เทววิมานสทิสํ ทฺวารโกฎฺฐกโต ปฎฺฐาย โอโลเกตฺวา ‘‘อิทํ อาวสถาคารํ อติวิย มโนรมํ สสฺสิริกํ, เกน นุ โข ปฐมํ ปริภุตฺตํ อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย อสฺสา’’ติ จิเนฺตสุํ, ตสฺมิํเยว จ ขเณ ‘‘ภควา ตํ คามํ อนุปฺปโตฺต’’ติ อโสฺสสุํ, เตน เต อุปฺปนฺนปีติโสมนสฺสา ‘‘อเมฺหหิ ภควา คนฺตฺวาปิ อาเนตโพฺพ สิยา, โส สยเมว อมฺหากํ วสนฎฺฐานํ สมฺปโตฺต, อชฺช มยํ ภควนฺตํ อิธ วสาเปตฺวา ปฐมํ ปริภุญฺชาเปสฺสาม, ตถา ภิกฺขุสงฺฆํ, ภิกฺขุสเงฺฆ อาคเต เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ อาคตเมว ภวิสฺสติ, สตฺถารํ มงฺคลํ วทาเปสฺสาม, ธมฺมํ กถาเปสฺสาม, อิติ ตีหิ รตเนหิ ปริภุเตฺต ปจฺฉา อมฺหากํ ปเรสญฺจ ปริโภโค ภวิสฺสติ, เอวํ โน ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสตี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา เอตทตฺถเมว ภควนฺตํ อุปสงฺกมิํสุฯ ตสฺมา เอวมาหํสุ ‘‘อธิวาเสตุ โน, ภเนฺต, ภควา อาวสถาคาร’’นฺติฯ เตนุปสงฺกมิํสูติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๒๙๗-๒๙๘; ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒๒) กิญฺจาปิ ตํ ทิวสเมว ปรินิฎฺฐิตตฺตา เทววิมานํ วิย สุสชฺชิตํ สุปฎิชคฺคิตํ, พุทฺธารหํ ปน กตฺวา น ปญฺญตฺตํฯ พุทฺธา หิ นาม อรญฺญชฺฌาสยา อรญฺญารามา, อโนฺตคาเม วเสยฺยุํ วา โน วา, ตสฺมา ภควโต รุจิํ ชานิตฺวาว ปญฺญเปสฺสามาติ จิเนฺตตฺวา เต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิํสุ, อิทานิ ภควโต รุจิํ ชานิตฺวา ตถา ปญฺญาเปตุกามา เยนาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมิํสุฯ สพฺพสนฺถริํ อาวสถาคารํ สนฺถริตฺวาติ เอตฺถ สนฺถรณํ สนฺถริ, สโพฺพ สกโล สนฺถริ เอตฺถาติ สพฺพสนฺถริฯ อถ วา สนฺถตนฺติ สนฺถริ, สพฺพํ สนฺถริ สพฺพสนฺถริ, ตํ สพฺพสนฺถริํฯ ภาวนปุํสกนิเทฺทโสวายํ, ยถา สพฺพเมว สนฺถตํ โหติ, เอวํ สนฺถริตฺวาติ อโตฺถฯ สพฺพปฐมํ ตาว ‘‘โคมยํ นาม สพฺพมงฺคเลสุ วฎฺฎตี’’ติ สุธาปริกมฺมกตมฺปิ ภูมิํ อลฺลโคมเยน โอปุญฺชาเปตฺวา ปริสุกฺขภาวํ ญตฺวา ยถา อกฺกนฺตฎฺฐาเน ปทํ ปญฺญายติ, เอวํ จาตุชฺชาติยคเนฺธหิ ลิเมฺปตฺวา อุปริ นานาวณฺณกฎสารเก สนฺถริตฺวา เตสํ อุปริ มหาปิฎฺฐิกโกชเว อาทิํ กตฺวา หตฺถตฺถรณาทีหิ นานาวเณฺณหิ อตฺถรเณหิ สนฺถริตพฺพยุตฺตกํ สโพฺพกาสํ สนฺถราเปสุํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สพฺพสนฺถริํ อาวสถาคารํ สนฺถริตฺวา’’ติฯ

    Taṃ divasañca taṃ niṭṭhānaṃ agamāsi. Te tattha gantvā iṭṭhakakammasudhākammacittakammādivasena supariniṭṭhitaṃ susajjitaṃ devavimānasadisaṃ dvārakoṭṭhakato paṭṭhāya oloketvā ‘‘idaṃ āvasathāgāraṃ ativiya manoramaṃ sassirikaṃ, kena nu kho paṭhamaṃ paribhuttaṃ amhākaṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya assā’’ti cintesuṃ, tasmiṃyeva ca khaṇe ‘‘bhagavā taṃ gāmaṃ anuppatto’’ti assosuṃ, tena te uppannapītisomanassā ‘‘amhehi bhagavā gantvāpi ānetabbo siyā, so sayameva amhākaṃ vasanaṭṭhānaṃ sampatto, ajja mayaṃ bhagavantaṃ idha vasāpetvā paṭhamaṃ paribhuñjāpessāma, tathā bhikkhusaṅghaṃ, bhikkhusaṅghe āgate tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ āgatameva bhavissati, satthāraṃ maṅgalaṃ vadāpessāma, dhammaṃ kathāpessāma, iti tīhi ratanehi paribhutte pacchā amhākaṃ paresañca paribhogo bhavissati, evaṃ no dīgharattaṃ hitāya sukhāya bhavissatī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā etadatthameva bhagavantaṃ upasaṅkamiṃsu. Tasmā evamāhaṃsu ‘‘adhivāsetu no, bhante, bhagavāāvasathāgāra’’nti. Tenupasaṅkamiṃsūti (dī. ni. aṭṭha. 3.297-298; ma. ni. aṭṭha. 2.22) kiñcāpi taṃ divasameva pariniṭṭhitattā devavimānaṃ viya susajjitaṃ supaṭijaggitaṃ, buddhārahaṃ pana katvā na paññattaṃ. Buddhā hi nāma araññajjhāsayā araññārāmā, antogāme vaseyyuṃ vā no vā, tasmā bhagavato ruciṃ jānitvāva paññapessāmāti cintetvā te bhagavantaṃ upasaṅkamiṃsu, idāni bhagavato ruciṃ jānitvā tathā paññāpetukāmā yenāvasathāgāraṃ tenupasaṅkamiṃsu. Sabbasanthariṃ āvasathāgāraṃ santharitvāti ettha santharaṇaṃ santhari, sabbo sakalo santhari etthāti sabbasanthari. Atha vā santhatanti santhari, sabbaṃ santhari sabbasanthari, taṃ sabbasanthariṃ. Bhāvanapuṃsakaniddesovāyaṃ, yathā sabbameva santhataṃ hoti, evaṃ santharitvāti attho. Sabbapaṭhamaṃ tāva ‘‘gomayaṃ nāma sabbamaṅgalesu vaṭṭatī’’ti sudhāparikammakatampi bhūmiṃ allagomayena opuñjāpetvā parisukkhabhāvaṃ ñatvā yathā akkantaṭṭhāne padaṃ paññāyati, evaṃ cātujjātiyagandhehi limpetvā upari nānāvaṇṇakaṭasārake santharitvā tesaṃ upari mahāpiṭṭhikakojave ādiṃ katvā hatthattharaṇādīhi nānāvaṇṇehi attharaṇehi santharitabbayuttakaṃ sabbokāsaṃ santharāpesuṃ. Tena vuttaṃ ‘‘sabbasanthariṃ āvasathāgāraṃ santharitvā’’ti.

    อาสนานีติ มชฺฌฎฺฐาเน ตาว มงฺคลตฺถมฺภํ นิสฺสาย มหารหํ พุทฺธาสนํ ปญฺญเปตฺวา ตตฺถ ยํ ยํ มุทุกญฺจ มโนรมญฺจ ปจฺจตฺถรณํ, ตํ ตํ อตฺถริตฺวา อุภโตโลหิตกํ มนุญฺญทสฺสนํ อุปธานํ อุปทหิตฺวา อุปริ สุวณฺณรชตตารกวิจิตฺตวิตานํ พนฺธิตฺวา คนฺธทามปุปฺผทามปตฺตาทามาทีหิ อลงฺกริตฺวา สมนฺตา ทฺวาทสหเตฺถ ฐาเน ปุปฺผชาลํ กาเรตฺวา ติํสหตฺถมตฺตํ ฐานํ ปฎสาณิยา ปริกฺขิปาเปตฺวา ปจฺฉิมภิตฺติํ นิสฺสาย ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปลฺลงฺกปีฐอปสฺสยปีฐมุณฺฑปีฐาทีนิ ปญฺญปาเปตฺวา อุปริ เสตปจฺจตฺถรเณหิ ปจฺจตฺถราเปตฺวา สาลาย ปาจีนปสฺสํ อตฺตโน นิสชฺชาโยคฺคํ กาเรสุํฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา’’ติฯ

    Āsanānīti majjhaṭṭhāne tāva maṅgalatthambhaṃ nissāya mahārahaṃ buddhāsanaṃ paññapetvā tattha yaṃ yaṃ mudukañca manoramañca paccattharaṇaṃ, taṃ taṃ attharitvā ubhatolohitakaṃ manuññadassanaṃ upadhānaṃ upadahitvā upari suvaṇṇarajatatārakavicittavitānaṃ bandhitvā gandhadāmapupphadāmapattādāmādīhi alaṅkaritvā samantā dvādasahatthe ṭhāne pupphajālaṃ kāretvā tiṃsahatthamattaṃ ṭhānaṃ paṭasāṇiyā parikkhipāpetvā pacchimabhittiṃ nissāya bhikkhusaṅghassa pallaṅkapīṭhaapassayapīṭhamuṇḍapīṭhādīni paññapāpetvā upari setapaccattharaṇehi paccattharāpetvā sālāya pācīnapassaṃ attano nisajjāyoggaṃ kāresuṃ. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘āsanāni paññapetvā’’ti.

    อุทกมณิกนฺติ มหากุจฺฉิกํ สเมขลํ อุทกจาฎิํฯ เอวํ ภควา ภิกฺขุสโงฺฆ จ ยถารุจิยา หตฺถปาเท โธวิสฺสนฺติ, มุขํ วิกฺขาเลสฺสนฺตีติ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ มณิวณฺณสฺส อุทกสฺส ปูเรตฺวา วาสตฺถาย นานาปุปฺผานิ เจว อุทกวาสจุณฺณานิ จ ปกฺขิปิตฺวา กทลิปเณฺณหิ ปิทหิตฺวา ปติฎฺฐเปสุํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุทกมณิกํ ปติฎฺฐาเปตฺวา’’ติฯ

    Udakamaṇikanti mahākucchikaṃ samekhalaṃ udakacāṭiṃ. Evaṃ bhagavā bhikkhusaṅgho ca yathāruciyā hatthapāde dhovissanti, mukhaṃ vikkhālessantīti tesu tesu ṭhānesu maṇivaṇṇassa udakassa pūretvā vāsatthāya nānāpupphāni ceva udakavāsacuṇṇāni ca pakkhipitvā kadalipaṇṇehi pidahitvā patiṭṭhapesuṃ. Tena vuttaṃ ‘‘udakamaṇikaṃ patiṭṭhāpetvā’’ti.

    เตลปทีปํ อาโรเปตฺวาติ รชตสุวณฺณาทิมยทณฺฑาสุ ทณฺฑทีปิกาสุ โยนกรูปกาทีนํ หเตฺถ ฐปิตสุวณฺณรชตาทิมยกปลฺลิกาสุ จ เตลปทีเป ชลยิตฺวาฯ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสูติ เอตฺถ ปน เต ปาฎลิคามิกอุปาสกา น เกวลํ อาวสถาคารเมว, อถ โข สกลสฺมิมฺปิ คาเม วีถิโย สชฺชาเปตฺวา ธเช อุสฺสาเปตฺวา เคหทฺวาเรสุ ปุณฺณฆเฎ จ กทลิอาทโย จ ฐปาเปตฺวา สกลคามํ ทีปมาลาหิ วิปฺปกิณฺณตารกํ วิย กตฺวา ‘‘ขีรปเก ทารเก ขีรํ ปาเยถ, ทหรกุมาเร ลหุํ ลหุํ โภเชตฺวา สยาเปถ, อุจฺจาสทฺทํ มา กริตฺถ, อชฺช เอกรตฺติํ สตฺถา อโนฺตคาเม วสิสฺสติ, พุทฺธา นาม อปฺปสทฺทกามา โหนฺตี’’ติ เภริํ จราเปตฺวา สยํ ทณฺฑทีปิกา อาทาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุฯ

    Telapadīpaṃ āropetvāti rajatasuvaṇṇādimayadaṇḍāsu daṇḍadīpikāsu yonakarūpakādīnaṃ hatthe ṭhapitasuvaṇṇarajatādimayakapallikāsu ca telapadīpe jalayitvā. Yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsūti ettha pana te pāṭaligāmikaupāsakā na kevalaṃ āvasathāgārameva, atha kho sakalasmimpi gāme vīthiyo sajjāpetvā dhaje ussāpetvā gehadvāresu puṇṇaghaṭe ca kadaliādayo ca ṭhapāpetvā sakalagāmaṃ dīpamālāhi vippakiṇṇatārakaṃ viya katvā ‘‘khīrapake dārake khīraṃ pāyetha, daharakumāre lahuṃ lahuṃ bhojetvā sayāpetha, uccāsaddaṃ mā karittha, ajja ekarattiṃ satthā antogāme vasissati, buddhā nāma appasaddakāmā hontī’’ti bheriṃ carāpetvā sayaṃ daṇḍadīpikā ādāya yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu.

    อถ โข ภควา นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน เยน อาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมีติ ‘‘ยสฺส ทานิ, ภเนฺต, ภควา กาลํ มญฺญตี’’ติ เอวํ กิร เตหิ กาเล อาโรจิเต ภควา ลาขารเสน ตินฺตรตฺตโกวิฬารปุปฺผวณฺณํ สุรตฺตํ ทุปฎฺฎํ กตฺตริยา ปทุมํ กเนฺตโนฺต วิย, สํวิธาย ติมณฺฑลํ ปฎิจฺฉาเทโนฺต นิวาเสตฺวา สุวณฺณปามเงฺคน ปทุมกลาปํ ปริกฺขิปโนฺต วิย, วิชฺชุลตาสสฺสิริกํ กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา รตฺตกมฺพเลน คชกุมฺภํ ปริโยนนฺธโนฺต วิย, รตนสตุเพฺพเธ สุวณฺณคฺฆิเก ปวาฬชาลํ ขิปมาโน วิย, มหติ สุวณฺณเจติเย รตฺตกมฺพลกญฺจุกํ ปฎิมุญฺจโนฺต วิย, คจฺฉนฺตํ ปุณฺณจนฺทํ รตฺตวลาหเกน ปฎิจฺฉาทยมาโน วิย, กญฺจนคิริมตฺถเก สุปกฺกลาขารสํ ปริสิญฺจโนฺต วิย, จิตฺตกูฎปพฺพตมตฺถกํ วิชฺชุลตาชาเลน ปริกฺขิปโนฺต วิย จ สจกฺกวาฬสิเนรุยุคนฺธรมหาปถวิํ จาเลตฺวา คหิตนิโคฺรธปลฺลวสมานวณฺณํ รตฺตวรปํสุกูลํ ปารุปิตฺวา วนคหนโต เกสรสีโห วิย, อุทยปพฺพตกูฎโต ปุณฺณจโนฺท วิย, พาลสูริโย วิย จ อตฺตนา นิสินฺนตรุสณฺฑโต นิกฺขมิฯ

    Atha kho bhagavā nivāsetvā pattacīvaramādāya saddhiṃ bhikkhusaṅghena yena āvasathāgāraṃ tenupasaṅkamīti ‘‘yassa dāni, bhante, bhagavā kālaṃ maññatī’’ti evaṃ kira tehi kāle ārocite bhagavā lākhārasena tintarattakoviḷārapupphavaṇṇaṃ surattaṃ dupaṭṭaṃ kattariyā padumaṃ kantento viya, saṃvidhāya timaṇḍalaṃ paṭicchādento nivāsetvā suvaṇṇapāmaṅgena padumakalāpaṃ parikkhipanto viya, vijjulatāsassirikaṃ kāyabandhanaṃ bandhitvā rattakambalena gajakumbhaṃ pariyonandhanto viya, ratanasatubbedhe suvaṇṇagghike pavāḷajālaṃ khipamāno viya, mahati suvaṇṇacetiye rattakambalakañcukaṃ paṭimuñcanto viya, gacchantaṃ puṇṇacandaṃ rattavalāhakena paṭicchādayamāno viya, kañcanagirimatthake supakkalākhārasaṃ parisiñcanto viya, cittakūṭapabbatamatthakaṃ vijjulatājālena parikkhipanto viya ca sacakkavāḷasineruyugandharamahāpathaviṃ cāletvā gahitanigrodhapallavasamānavaṇṇaṃ rattavarapaṃsukūlaṃ pārupitvā vanagahanato kesarasīho viya, udayapabbatakūṭato puṇṇacando viya, bālasūriyo viya ca attanā nisinnatarusaṇḍato nikkhami.

    อถสฺส กายโต เมฆมุขโต วิชฺชุกลาปา วิย รสฺมิโย นิกฺขมิตฺวา สุวณฺณรสธาราปริเสกปิญฺชรปตฺตปุปฺผผลสาขาวิฎเป วิย สมนฺตโต รุเกฺข กริํสุฯ ตาวเทว อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย มหาภิกฺขุสโงฺฆ ภควนฺตํ ปริวาเรสิฯ เต จ นํ ปริวาเรตฺวา ฐิตภิกฺขู เอวรูปา อเหสุํ อปฺปิจฺฉา สนฺตุฎฺฐา ปวิวิตฺตา อสํสฎฺฐา อารทฺธวีริยา วตฺตาโร วจนกฺขมา โจทกา ปาปครหิโน สีลสมฺปนฺนา สมาธิสมฺปนฺนา ปญฺญาสมฺปนฺนา วิมุตฺติสมฺปนฺนา วิมุตฺติญาณทสฺสนสมฺปนฺนาฯ เตหิ ปริวาริโต ภควา รตฺตกมฺพลปริกฺขิโตฺต วิย สุวณฺณกฺขโนฺธ, รตฺตปทุมสณฺฑมชฺฌคตา วิย สุวณฺณนาวา, ปวาฬเวทิกาปริกฺขิโตฺต วิย สุวณฺณปาสาโท วิโรจิตฺถฯ มหากสฺสปปฺปมุขา ปน มหาเถรา เมฆวณฺณํ ปํสุกูลจีวรํ ปารุปิตฺวา มณิวมฺมวมฺมิตา วิย มหานาคา ปริวารยิํสุ วีตราคา ภินฺนกิเลสา วิชฎิตชฎา ฉินฺนพนฺธนา กุเล วา คเณ วา อลคฺคาฯ

    Athassa kāyato meghamukhato vijjukalāpā viya rasmiyo nikkhamitvā suvaṇṇarasadhārāparisekapiñjarapattapupphaphalasākhāviṭape viya samantato rukkhe kariṃsu. Tāvadeva attano attano pattacīvaramādāya mahābhikkhusaṅgho bhagavantaṃ parivāresi. Te ca naṃ parivāretvā ṭhitabhikkhū evarūpā ahesuṃ appicchā santuṭṭhā pavivittā asaṃsaṭṭhā āraddhavīriyā vattāro vacanakkhamā codakā pāpagarahino sīlasampannā samādhisampannā paññāsampannā vimuttisampannā vimuttiñāṇadassanasampannā. Tehi parivārito bhagavā rattakambalaparikkhitto viya suvaṇṇakkhandho, rattapadumasaṇḍamajjhagatā viya suvaṇṇanāvā, pavāḷavedikāparikkhitto viya suvaṇṇapāsādo virocittha. Mahākassapappamukhā pana mahātherā meghavaṇṇaṃ paṃsukūlacīvaraṃ pārupitvā maṇivammavammitā viya mahānāgā parivārayiṃsu vītarāgā bhinnakilesā vijaṭitajaṭā chinnabandhanā kule vā gaṇe vā alaggā.

    อิติ ภควา สยํ วีตราโค วีตราเคหิ, วีตโทโส วีตโทเสหิ, วีตโมโห วีตโมเหหิ , นิตฺตโณฺห นิตฺตเณฺหหิ, นิกฺกิเลโส นิกฺกิเลเสหิ, สยํ พุโทฺธ อนุพุเทฺธหิ ปริวาริโต ปตฺตปริวาริตํ วิย เกสรํ, เกสรปริวาริตา วิย กณฺณิกา, อฎฺฐนาคสหสฺสปริวาริโต วิย ฉทฺทโนฺต นาคราชา, นวุติหํสสหสฺสปริวาริโต วิย ธตรโฎฺฐ หํสราชา, เสนงฺคปริวาริโต วิย จกฺกวตฺตี, มรุคณปริวาริโต วิย สโกฺก เทวราชา, พฺรหฺมคณปริวาริโต วิย หาริตมหาพฺรหฺมา, ตาราคณปริวุโต วิย ปุณฺณจโนฺท อสเมน พุทฺธเวเสน อปริมาเณน พุทฺธวิลาเสน ปาฎลิคามีนํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ

    Iti bhagavā sayaṃ vītarāgo vītarāgehi, vītadoso vītadosehi, vītamoho vītamohehi , nittaṇho nittaṇhehi, nikkileso nikkilesehi, sayaṃ buddho anubuddhehi parivārito pattaparivāritaṃ viya kesaraṃ, kesaraparivāritā viya kaṇṇikā, aṭṭhanāgasahassaparivārito viya chaddanto nāgarājā, navutihaṃsasahassaparivārito viya dhataraṭṭho haṃsarājā, senaṅgaparivārito viya cakkavattī, marugaṇaparivārito viya sakko devarājā, brahmagaṇaparivārito viya hāritamahābrahmā, tārāgaṇaparivuto viya puṇṇacando asamena buddhavesena aparimāṇena buddhavilāsena pāṭaligāmīnaṃ maggaṃ paṭipajji.

    อถสฺส ปุรตฺถิมกายโต สุวณฺณวณฺณา ฆนพุทฺธรสฺมิโย อุฎฺฐหิตฺวา อสีติหตฺถํ ฐานํ อคฺคเหสุํ, ปจฺฉิมกายโต ทกฺขิณปสฺสโต วามปสฺสโต สุวณฺณวณฺณา ฆนรสฺมิโย อุฎฺฐหิตฺวา อสีติหตฺถํ ฐานํ อคฺคเหสุํ, อุปริเกสนฺตโต ปฎฺฐาย สพฺพเกสาวเตฺตหิ โมรคีววณฺณา ฆนพุทฺธรสฺมิโย อุฎฺฐหิตฺวา คคนตเล อสีติหตฺถํ ฐานํ อคฺคเหสุํ, เหฎฺฐาปาทตเลหิ ปวาฬวณฺณา รสฺมิโย อุฎฺฐหิตฺวา ฆนปถวิยํ อสีติหตฺถํ ฐานํ อคฺคเหสุํ, ทนฺตโต อกฺขีนํ เสตฎฺฐานโต, นขานญฺจ มํสวินิมุตฺตฎฺฐานโต โอทาตา ฆนพุทฺธรสฺมิโย อุฎฺฐหิตฺวา อสีติหตฺถํ ฐานํ อคฺคเหสุํ, รตฺตปีตวณฺณานํ สมฺภินฺนฎฺฐานโต มญฺชิฎฺฐวณฺณา รสฺมิโย อุฎฺฐหิตฺวา อสีติหตฺถํ ฐานํ อคฺคเหสุํ, สพฺพตฺถกเมว ปภสฺสรา รสฺมิโย อุฎฺฐหิํสุฯ เอวํ สมนฺตา อสีติหตฺถมตฺตํ ฐานํ ฉพฺพณฺณา พุทฺธรสฺมิโย วิโชฺชตมานา วิปฺผนฺทมานา วิธาวมานา กญฺจนทณฺฑทีปิกาหิ นิจฺฉริตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทมานา มหาปทีปชาลา วิย, จาตุทฺทีปิกมหาเมฆโต นิกฺขนฺตวิชฺชุลตา วิย จ ทิโสทิสํ ปกฺขนฺทิํสุฯ ยาหิ สพฺพทิสาภาคา สุวณฺณจมฺปกปุเปฺผหิ วิกิริยมานา วิย, สุวณฺณฆฎโต นิกฺขนฺตสุวณฺณรสธาราหิ อาสิญฺจิยมานา วิย, ปสาริตสุวณฺณปฎฺฎปริกฺขิตฺตา วิย, เวรมฺภวาตสมุทฺธตกิํสุกกณิการกิกิราตปุปฺผจุณฺณสโมกิณฺณา วิย จีนปิฎฺฐจุณฺณสมฺปริรญฺชิตา วิย จ วิโรจิํสุฯ

    Athassa puratthimakāyato suvaṇṇavaṇṇā ghanabuddharasmiyo uṭṭhahitvā asītihatthaṃ ṭhānaṃ aggahesuṃ, pacchimakāyato dakkhiṇapassato vāmapassato suvaṇṇavaṇṇā ghanarasmiyo uṭṭhahitvā asītihatthaṃ ṭhānaṃ aggahesuṃ, uparikesantato paṭṭhāya sabbakesāvattehi moragīvavaṇṇā ghanabuddharasmiyo uṭṭhahitvā gaganatale asītihatthaṃ ṭhānaṃ aggahesuṃ, heṭṭhāpādatalehi pavāḷavaṇṇā rasmiyo uṭṭhahitvā ghanapathaviyaṃ asītihatthaṃ ṭhānaṃ aggahesuṃ, dantato akkhīnaṃ setaṭṭhānato, nakhānañca maṃsavinimuttaṭṭhānato odātā ghanabuddharasmiyo uṭṭhahitvā asītihatthaṃ ṭhānaṃ aggahesuṃ, rattapītavaṇṇānaṃ sambhinnaṭṭhānato mañjiṭṭhavaṇṇā rasmiyo uṭṭhahitvā asītihatthaṃ ṭhānaṃ aggahesuṃ, sabbatthakameva pabhassarā rasmiyo uṭṭhahiṃsu. Evaṃ samantā asītihatthamattaṃ ṭhānaṃ chabbaṇṇā buddharasmiyo vijjotamānā vipphandamānā vidhāvamānā kañcanadaṇḍadīpikāhi niccharitvā ākāsaṃ pakkhandamānā mahāpadīpajālā viya, cātuddīpikamahāmeghato nikkhantavijjulatā viya ca disodisaṃ pakkhandiṃsu. Yāhi sabbadisābhāgā suvaṇṇacampakapupphehi vikiriyamānā viya, suvaṇṇaghaṭato nikkhantasuvaṇṇarasadhārāhi āsiñciyamānā viya, pasāritasuvaṇṇapaṭṭaparikkhittā viya, verambhavātasamuddhatakiṃsukakaṇikārakikirātapupphacuṇṇasamokiṇṇā viya cīnapiṭṭhacuṇṇasamparirañjitā viya ca virociṃsu.

    ภควโตปิ อสีติอนุพฺยญฺชนพฺยามปฺปภาปริเกฺขปสมุชฺชลํ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตํ สรีรํ อพฺภมหิกาทิอุปกฺกิเลสวิมุตฺตํ สมุชฺชลตารกปภาสิตํ วิย คคนตลํ, วิกสิตํ วิย ปทุมวนํ, สพฺพปาลิผุโลฺล วิย โยชนสติโก ปาริจฺฉตฺตโก, ปฎิปาฎิยา ฐปิตานํ ทฺวตฺติํสจนฺทานํ ทฺวตฺติํสสูริยานํ ทฺวตฺติํสจกฺกวตฺตีนํ ทฺวตฺติํสเทวราชานํ ทฺวตฺติํสมหาพฺรหฺมานํ สิริยา สิริํ อภิภวมานํ วิย วิโรจิตฺถ, ยถา ตํ ทสหิ ปารมีหิ ทสหิ อุปปารมีหิ ทสหิ ปรมตฺถปารมีหีติ สมฺมเทว ปริปูริตาหิ สมติํสาย ปารมีหิ อลงฺกตํ กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ทิเนฺนน ทาเนน รกฺขิเตน สีเลน กเตน กลฺยาณกเมฺมน เอกสฺมิํ อตฺตภาเว สโมสริตฺวา วิปากํ ทาตุํ โอกาสํ อลภมาเนน สมฺพาธปฺปเตฺตน วิย นิพฺพตฺติตํ นาวาสหสฺสสฺส ภณฺฑํ เอกํ นาวํ อาโรปนกาโล วิย, สกฎสหสฺสสฺส ภณฺฑํ เอกํ สกฎํ อาโรปนกาโล วิย, ปญฺจวีสติยา คงฺคานํ สมฺภิชฺช มุขทฺวาเร เอกโต ราสีภูตกาโล วิย จ อโหสิฯ

    Bhagavatopi asītianubyañjanabyāmappabhāparikkhepasamujjalaṃ dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ sarīraṃ abbhamahikādiupakkilesavimuttaṃ samujjalatārakapabhāsitaṃ viya gaganatalaṃ, vikasitaṃ viya padumavanaṃ, sabbapāliphullo viya yojanasatiko pāricchattako, paṭipāṭiyā ṭhapitānaṃ dvattiṃsacandānaṃ dvattiṃsasūriyānaṃ dvattiṃsacakkavattīnaṃ dvattiṃsadevarājānaṃ dvattiṃsamahābrahmānaṃ siriyā siriṃ abhibhavamānaṃ viya virocittha, yathā taṃ dasahi pāramīhi dasahi upapāramīhi dasahi paramatthapāramīhīti sammadeva paripūritāhi samatiṃsāya pāramīhi alaṅkataṃ kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni dinnena dānena rakkhitena sīlena katena kalyāṇakammena ekasmiṃ attabhāve samosaritvā vipākaṃ dātuṃ okāsaṃ alabhamānena sambādhappattena viya nibbattitaṃ nāvāsahassassa bhaṇḍaṃ ekaṃ nāvaṃ āropanakālo viya, sakaṭasahassassa bhaṇḍaṃ ekaṃ sakaṭaṃ āropanakālo viya, pañcavīsatiyā gaṅgānaṃ sambhijja mukhadvāre ekato rāsībhūtakālo viya ca ahosi.

    อิมาย พุทฺธรสฺมิยา โอภาสมานสฺสปิ ภควโต ปุรโต อเนกานิ ทณฺฑทีปิกาสหสฺสานิ อุกฺขิปิํสุ, ตถา ปจฺฉโต วามปเสฺส ทกฺขิณปเสฺสฯ ชาติสุมนจมฺปกวนมาลิการตฺตุปฺปลนีลุปฺปลพกุลสินฺทุวาราทิปุปฺผานิ เจว นีลปีตาทิวณฺณสุคนฺธคนฺธจุณฺณานิ จ จาตุทฺทีปิกมหอาเมฆวิสฺสฎฺฐา สลิลวุฎฺฐิโย วิย วิปฺปกิริํสุฯ ปญฺจงฺคิกตูริยนิโคฺฆสา เจว พุทฺธธมฺมสงฺฆคุณปฎิสํยุตฺตา ถุติโฆสา จ สพฺพา ทิสา ปูรยมานา มุขรา วิย อกํสุฯ เทวสุปณฺณนาคยกฺขคนฺธพฺพมนุสฺสานํ อกฺขีนิ อมตปานํ วิย ลภิํสุฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน ฐตฺวา ปทสหเสฺสหิ คมนวณฺณํ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ตตฺริทํ มุขมตฺตํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒๒; อุทา. อฎฺฐ. ๗๖) –

    Imāya buddharasmiyā obhāsamānassapi bhagavato purato anekāni daṇḍadīpikāsahassāni ukkhipiṃsu, tathā pacchato vāmapasse dakkhiṇapasse. Jātisumanacampakavanamālikārattuppalanīluppalabakulasinduvārādipupphāni ceva nīlapītādivaṇṇasugandhagandhacuṇṇāni ca cātuddīpikamahaāmeghavissaṭṭhā salilavuṭṭhiyo viya vippakiriṃsu. Pañcaṅgikatūriyanigghosā ceva buddhadhammasaṅghaguṇapaṭisaṃyuttā thutighosā ca sabbā disā pūrayamānā mukharā viya akaṃsu. Devasupaṇṇanāgayakkhagandhabbamanussānaṃ akkhīni amatapānaṃ viya labhiṃsu. Imasmiṃ pana ṭhāne ṭhatvā padasahassehi gamanavaṇṇaṃ vattuṃ vaṭṭati. Tatridaṃ mukhamattaṃ (ma. ni. aṭṭha. 2.22; udā. aṭṭha. 76) –

    ‘‘เอวํ สพฺพงฺคสมฺปโนฺน, กมฺปยโนฺต วสุนฺธรํ;

    ‘‘Evaṃ sabbaṅgasampanno, kampayanto vasundharaṃ;

    อเหฐยโนฺต ปาณานิ, ยาติ โลกวินายโกฯ

    Aheṭhayanto pāṇāni, yāti lokavināyako.

    ‘‘ทกฺขิณํ ปฐมํ ปาทํ, อุทฺธรโนฺต นราสโภ;

    ‘‘Dakkhiṇaṃ paṭhamaṃ pādaṃ, uddharanto narāsabho;

    คจฺฉโนฺต สิริสมฺปโนฺน, โสภเต ทฺวิปทุตฺตโมฯ

    Gacchanto sirisampanno, sobhate dvipaduttamo.

    ‘‘คจฺฉโต พุทฺธเสฎฺฐสฺส, เหฎฺฐาปาทตลํ มุทุ;

    ‘‘Gacchato buddhaseṭṭhassa, heṭṭhāpādatalaṃ mudu;

    สมํ สมฺผุสเต ภูมิํ, รชสานุปลิมฺปติฯ

    Samaṃ samphusate bhūmiṃ, rajasānupalimpati.

    ‘‘นินฺนํ ฐานํ อุนฺนมติ, คจฺฉเนฺต โลกนายเก;

    ‘‘Ninnaṃ ṭhānaṃ unnamati, gacchante lokanāyake;

    อุนฺนตญฺจ สมํ โหติ, ปถวี จ อเจตนาฯ

    Unnatañca samaṃ hoti, pathavī ca acetanā.

    ‘‘ปาสาณา สกฺขรา เจว, กถลา ขาณุกณฺฎกา;

    ‘‘Pāsāṇā sakkharā ceva, kathalā khāṇukaṇṭakā;

    สเพฺพ มคฺคา วิวชฺชนฺติ, คจฺฉเนฺต โลกนายเกฯ

    Sabbe maggā vivajjanti, gacchante lokanāyake.

    ‘‘นาติทูเร อุทฺธรติ, นาจฺจาสเนฺน จ นิกฺขิปํ;

    ‘‘Nātidūre uddharati, nāccāsanne ca nikkhipaṃ;

    อฆฎฺฎยโนฺต นิยฺยาติ, อุโภ ชาณู จ โคปฺผเกฯ

    Aghaṭṭayanto niyyāti, ubho jāṇū ca gopphake.

    ‘‘นาติสีฆํ ปกฺกมติ, สมฺปนฺนจรโณ มุนิ;

    ‘‘Nātisīghaṃ pakkamati, sampannacaraṇo muni;

    น จาติสณิกํ ยาติ, คจฺฉมาโน สมาหิโตฯ

    Na cātisaṇikaṃ yāti, gacchamāno samāhito.

    ‘‘อุทฺธํ อโธ ติริยญฺจ, ทิสญฺจ วิทิสํ ตถา;

    ‘‘Uddhaṃ adho tiriyañca, disañca vidisaṃ tathā;

    น เปกฺขมาโน โส ยาติ, ยุคมตฺตญฺหิ เปกฺขติฯ

    Na pekkhamāno so yāti, yugamattañhi pekkhati.

    ‘‘นาควิกฺกนฺตจาโร โส, คมเน โสภเต ชิโน;

    ‘‘Nāgavikkantacāro so, gamane sobhate jino;

    จารุ คจฺฉติ โลกโคฺค, หาสยโนฺต สเทวเกฯ

    Cāru gacchati lokaggo, hāsayanto sadevake.

    ‘‘อุสภราชาว โสภโนฺต, จาตุจารีว เกสรี;

    ‘‘Usabharājāva sobhanto, cātucārīva kesarī;

    โตสยโนฺต พหู สเตฺต, คามเสฎฺฐํ อุปาคมี’’ติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒๒; อุทา. อฎฺฐ. ๗๖);

    Tosayanto bahū satte, gāmaseṭṭhaṃ upāgamī’’ti. (ma. ni. aṭṭha. 2.22; udā. aṭṭha. 76);

    วณฺณกาโล นาม กิเรสฯ เอวํวิเธสุ กาเลสุ ภควโต สรีรวเณฺณ วา คุณวเณฺณ วา ธมฺมกถิกสฺส ถาโมเยว ปมาณํฯ จุณฺณิยปเทหิ คาถาพเนฺธหิ วา ยตฺตกํ สโกฺกติ, ตตฺตกํ วตฺตพฺพํ, ‘‘ทุกฺกถิต’’นฺติ วา ‘‘อติเตฺถน ปกฺขโนฺท’’ติ วา น วตฺตโพฺพฯ อปริมาณวณฺณา หิ พุทฺธา ภควโนฺต, เตสํ พุทฺธาปิ อนวเสสโต วณฺณํ วตฺตุํ อสมตฺถาฯ สกลมฺปิ หิ กปฺปํ วทนฺตา ปริโยสาเปตุํ น สโกฺกนฺติ, ปเคว อิตรา ปชาติฯ อิมินา สิริวิลาเสน อลงฺกตปฎิยตฺตํ ปาฎลิคามํ ปวิสิตฺวา ภควา ปสนฺนจิเตฺตน ชเนน ปุปฺผคนฺธธูมวาสจุณฺณาทีหิ ปูชิยมาโน อาวสถาคารํ ปาวิสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข ภควา นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน เยน อาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมี’’ติฯ

    Vaṇṇakālo nāma kiresa. Evaṃvidhesu kālesu bhagavato sarīravaṇṇe vā guṇavaṇṇe vā dhammakathikassa thāmoyeva pamāṇaṃ. Cuṇṇiyapadehi gāthābandhehi vā yattakaṃ sakkoti, tattakaṃ vattabbaṃ, ‘‘dukkathita’’nti vā ‘‘atitthena pakkhando’’ti vā na vattabbo. Aparimāṇavaṇṇā hi buddhā bhagavanto, tesaṃ buddhāpi anavasesato vaṇṇaṃ vattuṃ asamatthā. Sakalampi hi kappaṃ vadantā pariyosāpetuṃ na sakkonti, pageva itarā pajāti. Iminā sirivilāsena alaṅkatapaṭiyattaṃ pāṭaligāmaṃ pavisitvā bhagavā pasannacittena janena pupphagandhadhūmavāsacuṇṇādīhi pūjiyamāno āvasathāgāraṃ pāvisi. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho bhagavā nivāsetvā pattacīvaramādāya saddhiṃ bhikkhusaṅghena yena āvasathāgāraṃ tenupasaṅkamī’’ti.

    ปาเท ปกฺขาเลตฺวาติ ยทิปิ ภควโต ปาเท รโชชลฺลํ น อุปลิมฺปติ, เตสํ ปน อุปาสกานํ กุสลาภิวุทฺธิํ อากงฺขโนฺต ปเรสํ ทิฎฺฐานุคติํ อาปชฺชนตฺถํ ภควา ปาเท ปกฺขาเลสิฯ อปิจ อุปาทินฺนกสรีรํ นาม สีติกาตพฺพมฺปิ โหตีติ ตทตฺถมฺปิ ภควา นหานปาทโธวนานิ กโรติเยวฯ ภควนฺตํเยว ปุรกฺขตฺวาติ ภควนฺตํ ปุรโต กตฺวาฯ ตตฺถ ภควา ภิกฺขูนเญฺจว อุปาสกานญฺจ มเชฺฌ นิสิโนฺน คโนฺธทเกน นหาเปตฺวา ทุกูลจุมฺพเฎน โวทกํ กตฺวา ชาติหิงฺคุลเกน มชฺชิตฺวา รตฺตกมฺพลปลิเวฐิเต ปีเฐ ฐปิตา รตฺตสุวณฺณฆนปฎิมา วิย อติวิย วิโรจิตฺถฯ อยํ ปเนตฺถ โปราณานํ วณฺณภณนมโคฺค –

    Pāde pakkhāletvāti yadipi bhagavato pāde rajojallaṃ na upalimpati, tesaṃ pana upāsakānaṃ kusalābhivuddhiṃ ākaṅkhanto paresaṃ diṭṭhānugatiṃ āpajjanatthaṃ bhagavā pāde pakkhālesi. Apica upādinnakasarīraṃ nāma sītikātabbampi hotīti tadatthampi bhagavā nahānapādadhovanāni karotiyeva. Bhagavantaṃyeva purakkhatvāti bhagavantaṃ purato katvā. Tattha bhagavā bhikkhūnañceva upāsakānañca majjhe nisinno gandhodakena nahāpetvā dukūlacumbaṭena vodakaṃ katvā jātihiṅgulakena majjitvā rattakambalapaliveṭhite pīṭhe ṭhapitā rattasuvaṇṇaghanapaṭimā viya ativiya virocittha. Ayaṃ panettha porāṇānaṃ vaṇṇabhaṇanamaggo –

    ‘‘คนฺตฺวาน มณฺฑลมาฬํ, นาควิกฺกนฺตจารโณ;

    ‘‘Gantvāna maṇḍalamāḷaṃ, nāgavikkantacāraṇo;

    โอภาสยโนฺต โลกโคฺค, นิสีทิ วรมาสเนฯ

    Obhāsayanto lokaggo, nisīdi varamāsane.

    ‘‘ตหิํ นิสิโนฺน นรทมฺมสารถิ,

    ‘‘Tahiṃ nisinno naradammasārathi,

    เทวาติเทโว สตปุญฺญลกฺขโณ;

    Devātidevo satapuññalakkhaṇo;

    พุทฺธาสเน มชฺฌคโต วิโรจติ,

    Buddhāsane majjhagato virocati,

    สุวณฺณเนกฺขํ วิย ปณฺฑุกมฺพเลฯ

    Suvaṇṇanekkhaṃ viya paṇḍukambale.

    ‘‘เนกฺขํ ชโมฺพนทเสฺสว, นิกฺขิตฺตํ ปณฺฑุกมฺพเล;

    ‘‘Nekkhaṃ jambonadasseva, nikkhittaṃ paṇḍukambale;

    วิโรจติ วีตมโล, มณิ เวโรจโน ยถาฯ

    Virocati vītamalo, maṇi verocano yathā.

    ‘‘มหาสาโลว สมฺผุโลฺล, เมรุราชาวลงฺกโต;

    ‘‘Mahāsālova samphullo, merurājāvalaṅkato;

    สุวณฺณถูปสงฺกาโส, ปทุโม โกสโก ยถาฯ

    Suvaṇṇathūpasaṅkāso, padumo kosako yathā.

    ‘‘ชลโนฺต ทีปรุโกฺขว, ปพฺพตเคฺค ยถา สิขี;

    ‘‘Jalanto dīparukkhova, pabbatagge yathā sikhī;

    เทวานํ ปาริจฺฉโตฺตว, สพฺพผุโลฺล วิโรจถา’’ติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒๒; อุทา. อฎฺฐ. ๗๖);

    Devānaṃ pāricchattova, sabbaphullo virocathā’’ti. (ma. ni. aṭṭha. 2.22; udā. aṭṭha. 76);

    ปาฎลิคามิเก อุปาสเก อามเนฺตสีติ ยสฺมา เตสุ อุปาสเกสุ พหู ชนา สีเล ปติฎฺฐิตา, ตสฺมา ปฐมํ ตาว สีลวิปตฺติยา อาทีนวํ ปกาเสตฺวา ปจฺฉา สีลสมฺปทาย อานิสํสํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปญฺจิเม คหปตโย’’ติอาทินา ธมฺมเทสนตฺถํ อามเนฺตสิฯ ตตฺถ ทุสฺสีโลติ นิสฺสีโล (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๑๔๙; อ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๕.๒๑๓; อุทา. อฎฺฐ. ๗๖)ฯ อภาวโตฺถ เหตฺถ ทุ-สโทฺท ‘‘ทุปฺปโญฺญ’’ติอาทีสุ วิยฯ สีลวิปโนฺนติ วิปนฺนสีโล ภินฺนสํวโรฯ เอตฺถ จ ‘‘ทุสฺสีโล’’ติ ปเทน ปุคฺคลสฺส สีลาภาโว วุโตฺตฯ โส ปนสฺส สีลาภาโว ทุวิโธ อสมาทาเนน วา สมาทินฺนสฺส เภเทน วาติฯ เตสุ ปุริโม น ตถา สาวโชฺช, ยถา ทุติโย สาวชฺชตโรฯ ยถาธิเปฺปตาทีนวนิมิตฺตํ สีลาภาวํ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย ทเสฺสตุํ ‘‘สีลวิปโนฺน’’ติ วุตฺตํ, เตน ‘‘ทุสฺสีโล’’ติ ปทสฺส อตฺถํ ทเสฺสติฯ ปมาทาธิกรณนฺติ ปมาทการณาฯ อิทญฺจ สุตฺตํ คหฎฺฐานํ วเสน อาคตํ, ปพฺพชิตานมฺปิ ปน ลพฺภเตวฯ คหโฎฺฐ หิ เยน เยน สิปฺปฎฺฐาเนน ชีวิกํ กเปฺปติ ยทิ กสิยา ยทิ วณิชฺชาย ยทิ โครเกฺขนฯ ปาณาติปาตาทิวเสน ปมโตฺต ตํ ตํ ยถากาลํ สมฺปาเทตุํ น สโกฺกติ, อถสฺส กมฺมํ วินสฺสติฯ มาฆาตกาเล ปาณาติปาตํ ปน อทินฺนาทานาทีนิ จ กโรโนฺต ทณฺฑวเสน มหติํ โภคชานิํ นิคจฺฉติฯ ปพฺพชิโต ทุสฺสีโล ปมาทการณา สีลโต พุทฺธวจนโต ฌานโต สตฺตอริยธนโต จ ชานิํ นิคจฺฉติฯ

    Pāṭaligāmike upāsake āmantesīti yasmā tesu upāsakesu bahū janā sīle patiṭṭhitā, tasmā paṭhamaṃ tāva sīlavipattiyā ādīnavaṃ pakāsetvā pacchā sīlasampadāya ānisaṃsaṃ dassetuṃ ‘‘pañcime gahapatayo’’tiādinā dhammadesanatthaṃ āmantesi. Tattha dussīloti nissīlo (dī. ni. aṭṭha. 2.149; a. ni. aṭṭha. 3.5.213; udā. aṭṭha. 76). Abhāvattho hettha du-saddo ‘‘duppañño’’tiādīsu viya. Sīlavipannoti vipannasīlo bhinnasaṃvaro. Ettha ca ‘‘dussīlo’’ti padena puggalassa sīlābhāvo vutto. So panassa sīlābhāvo duvidho asamādānena vā samādinnassa bhedena vāti. Tesu purimo na tathā sāvajjo, yathā dutiyo sāvajjataro. Yathādhippetādīnavanimittaṃ sīlābhāvaṃ puggalādhiṭṭhānāya desanāya dassetuṃ ‘‘sīlavipanno’’ti vuttaṃ, tena ‘‘dussīlo’’ti padassa atthaṃ dasseti. Pamādādhikaraṇanti pamādakāraṇā. Idañca suttaṃ gahaṭṭhānaṃ vasena āgataṃ, pabbajitānampi pana labbhateva. Gahaṭṭho hi yena yena sippaṭṭhānena jīvikaṃ kappeti yadi kasiyā yadi vaṇijjāya yadi gorakkhena. Pāṇātipātādivasena pamatto taṃ taṃ yathākālaṃ sampādetuṃ na sakkoti, athassa kammaṃ vinassati. Māghātakāle pāṇātipātaṃ pana adinnādānādīni ca karonto daṇḍavasena mahatiṃ bhogajāniṃ nigacchati. Pabbajito dussīlo pamādakāraṇā sīlato buddhavacanato jhānato sattaariyadhanato ca jāniṃ nigacchati.

    ปาปโก กิตฺติสโทฺทติ คหฎฺฐสฺส ‘‘อสุโก อสุกกุเล ชาโต ทุสฺสีโล ปาปธโมฺม ปริจฺจตฺตอิธโลกปรโลโก สลากภตฺตมตฺตมฺปิ น เทตี’’ติ จตุปริสมเชฺฌ ปาปโก กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉติฯ ปพฺพชิตสฺส ‘‘อสุโก นาม สตฺถุสาสเน ปพฺพชิตฺวา นาสกฺขิ สีลานิ รกฺขิตุํ, น พุทฺธวจนํ อุคฺคเหตุํ, เวชฺชกมฺมาทีหิ ชีวติ, ฉหิ อคารเวหิ สมนฺนาคโต’’ติ เอวํ ปาปโก กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉติฯ

    Pāpako kittisaddoti gahaṭṭhassa ‘‘asuko asukakule jāto dussīlo pāpadhammo pariccattaidhalokaparaloko salākabhattamattampi na detī’’ti catuparisamajjhe pāpako kittisaddo abbhuggacchati. Pabbajitassa ‘‘asuko nāma satthusāsane pabbajitvā nāsakkhi sīlāni rakkhituṃ, na buddhavacanaṃ uggahetuṃ, vejjakammādīhi jīvati, chahi agāravehi samannāgato’’ti evaṃ pāpako kittisaddo abbhuggacchati.

    อวิสารโทติ คหโฎฺฐ ตาว ‘‘อวสฺสํ พหูนํ สนฺนิปาตฎฺฐาเน โกจิ มม กมฺมํ ชานิสฺสติ, อถ มํ นิคฺคณฺหิสฺสนฺตี’’ติ วา, ‘‘ราชกุลสฺส วา ทสฺสนฺตี’’ติ สภโย อุปสงฺกมติ, มงฺกุภูโต ปตฺตกฺขโนฺธ อโธมุโข นิสีทติ, วิสารโท หุตฺวา กเถตุํ น สโกฺกติฯ ปพฺพชิโตปิ ‘‘พหู ภิกฺขู สนฺนิปติตา, อวสฺสํ โกจิ มม กมฺมํ ชานิสฺสติ, อถ เม อุโปสถมฺปิ ปวารณมฺปิ ฐเปตฺวา สามญฺญโต จาเวตฺวา นิกฺกฑฺฒิสฺสนฺตี’’ติ สภโย อุปสงฺกมติ, วิสารโท หุตฺวา กเถตุํ น สโกฺกติฯ เอกโจฺจ ปน ทุสฺสีโลปิ สมาโน ทปฺปิโต วิย วทติ, โสปิ อชฺฌาสเยน มงฺกุ โหติเยว วิปฺปฎิสารีภาวโตฯ

    Avisāradoti gahaṭṭho tāva ‘‘avassaṃ bahūnaṃ sannipātaṭṭhāne koci mama kammaṃ jānissati, atha maṃ niggaṇhissantī’’ti vā, ‘‘rājakulassa vā dassantī’’ti sabhayo upasaṅkamati, maṅkubhūto pattakkhandho adhomukho nisīdati, visārado hutvā kathetuṃ na sakkoti. Pabbajitopi ‘‘bahū bhikkhū sannipatitā, avassaṃ koci mama kammaṃ jānissati, atha me uposathampi pavāraṇampi ṭhapetvā sāmaññato cāvetvā nikkaḍḍhissantī’’ti sabhayo upasaṅkamati, visārado hutvā kathetuṃ na sakkoti. Ekacco pana dussīlopi samāno dappito viya vadati, sopi ajjhāsayena maṅku hotiyeva vippaṭisārībhāvato.

    สมฺมูโฬฺห กาลํ กโรตีติ ทุสฺสีลสฺส หิ มรณมเญฺจ นิปนฺนสฺส ทุสฺสีลฺยกมฺมานํ สมาทาย วตฺติตฎฺฐานานิ อาปาถมาคจฺฉนฺติฯ โส อุมฺมีเลตฺวา อตฺตโน ปุตฺตทาราทิทสฺสนวเสน อิธโลกํ ปสฺสติ, นิมีเลตฺวา คตินิมิตฺตุปฎฺฐานวเสน ปรโลกํ ปสฺสติ, ตสฺส จตฺตาโร อปายา กมฺมานุรูปํ อุปฎฺฐหนฺติฯ สตฺติสเตน ปหริยมาโน วิย อคฺคิชาลาย อาลิงฺคิยมาโน วิย จ โหติฯ โส ‘‘วาเรถ วาเรถา’’ติ วิรวโนฺตว มรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สมฺมูโฬฺห กาลํ กโรตี’’ติฯ

    Sammūḷhokālaṃ karotīti dussīlassa hi maraṇamañce nipannassa dussīlyakammānaṃ samādāya vattitaṭṭhānāni āpāthamāgacchanti. So ummīletvā attano puttadārādidassanavasena idhalokaṃ passati, nimīletvā gatinimittupaṭṭhānavasena paralokaṃ passati, tassa cattāro apāyā kammānurūpaṃ upaṭṭhahanti. Sattisatena pahariyamāno viya aggijālāya āliṅgiyamāno viya ca hoti. So ‘‘vāretha vārethā’’ti viravantova marati. Tena vuttaṃ ‘‘sammūḷho kālaṃ karotī’’ti.

    กายสฺส เภทาติ อุปาทินฺนกกฺขนฺธปริจฺจาคาฯ ปรํ มรณาติ ตทนนฺตรํ อภินิพฺพตฺตกฺขนฺธคฺคหเณฯ อถ วา กายสฺส เภทาติ ชีวิตินฺทฺริยสฺส อุปเจฺฉทาฯ ปรํ มรณาติ จุติโต อุทฺธํฯ อปายนฺติอาทิ สพฺพํ นิรยเววจนํฯ นิรโย หิ สคฺคโมกฺขเหตุภูตา ปุญฺญสงฺขาตา อยา อเปตตฺตา, สุขานํ วา อายสฺส อาคมนสฺส อภาวา อปาโยฯ ทุกฺขสฺส คติ ปฎิสรณนฺติ ทุคฺคติ, โทสพหุลตาย วา ทุเฎฺฐน กมฺมุนา นิพฺพตฺตา คตีติ ทุคฺคติฯ วิวสา นิปตนฺติ เอตฺถ ทุกฺกฎการิโนติ วินิปาโต, วินสฺสนฺตา วา เอตฺถ นิปตนฺติ สํภิชฺชมานงฺคปจฺจงฺคาติ วินิปาโตฯ นตฺถิ เอตฺถ อสฺสาทสญฺญิโต อโยติ นิรโย

    Kāyassa bhedāti upādinnakakkhandhapariccāgā. Paraṃ maraṇāti tadanantaraṃ abhinibbattakkhandhaggahaṇe. Atha vā kāyassa bhedāti jīvitindriyassa upacchedā. Paraṃ maraṇāti cutito uddhaṃ. Apāyantiādi sabbaṃ nirayavevacanaṃ. Nirayo hi saggamokkhahetubhūtā puññasaṅkhātā ayā apetattā, sukhānaṃ vā āyassa āgamanassa abhāvā apāyo. Dukkhassa gati paṭisaraṇanti duggati, dosabahulatāya vā duṭṭhena kammunā nibbattā gatīti duggati. Vivasā nipatanti ettha dukkaṭakārinoti vinipāto, vinassantā vā ettha nipatanti saṃbhijjamānaṅgapaccaṅgāti vinipāto. Natthi ettha assādasaññito ayoti nirayo.

    อถ วา อปายคฺคหเณน ติรจฺฉานโยนิํ ทีเปติฯ ติรจฺฉานโยนิ หิ อปาโย สุคติโต อเปตตฺตา, น ทุคฺคติ มเหสกฺขานํ นาคราชาทีนํ สมฺภวโตฯ ทุคฺคติคฺคหเณน เปตฺติวิสยํ ทีเปติฯ โส หิ อปาโย เจว ทุคฺคติ จ สุคติโต อเปตตฺตา ทุกฺขสฺส จ คติภูตตฺตา, น ตุ วินิปาโต อสุรสทิสํ อวินิปติตตฺตาฯ เปตมหิทฺธิกานํ วิมานานิปิ นิพฺพตฺตนฺติฯ วินิปาตคฺคหเณน อสุรกายํ ทีเปติฯ โส หิ ยถาวุเตฺตนเตฺถน อปาโย เจว ทุคฺคติ จ สพฺพสมฺปตฺติสมุสฺสเยหิ วินิปาตตฺตา วินิปาโตติ จ วุจฺจติฯ นิรยคฺคหเณน ปน อวีจิอาทิกํ อเนกปฺปการํ นิรยเมว ทีเปติฯ อุปปชฺชตีติ นิพฺพตฺตติฯ

    Atha vā apāyaggahaṇena tiracchānayoniṃ dīpeti. Tiracchānayoni hi apāyo sugatito apetattā, na duggati mahesakkhānaṃ nāgarājādīnaṃ sambhavato. Duggatiggahaṇena pettivisayaṃ dīpeti. So hi apāyo ceva duggati ca sugatito apetattā dukkhassa ca gatibhūtattā, na tu vinipāto asurasadisaṃ avinipatitattā. Petamahiddhikānaṃ vimānānipi nibbattanti. Vinipātaggahaṇena asurakāyaṃ dīpeti. So hi yathāvuttenatthena apāyo ceva duggati ca sabbasampattisamussayehi vinipātattā vinipātoti ca vuccati. Nirayaggahaṇena pana avīciādikaṃ anekappakāraṃ nirayameva dīpeti. Upapajjatīti nibbattati.

    อานิสํสกถา วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตพฺพาฯ อยํ ปน วิเสโส – สีลวาติ สมาทานวเสน สีลวาฯ สีลสมฺปโนฺนติ ปริสุทฺธํ ปริปุณฺณญฺจ กตฺวา สีลสฺส สมฺปาทเนน สีลสมฺปโนฺนฯ โภคกฺขนฺธนฺติ โภคราสิํฯ สุคติํ สคฺคํ โลกนฺติ เอตฺถ สุคติคฺคหเณน มนุสฺสคติปิ สงฺคยฺหติ, สคฺคคฺคหเณน เทวคติ เอวฯ ตตฺถ สุนฺทรา คตีติ สุคติ, รูปาทีหิ วิสเยหิ สุฎฺฐุ อโคฺคติ สโคฺค, โส สโพฺพปิ ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน โลโกติฯ

    Ānisaṃsakathā vuttavipariyāyena veditabbā. Ayaṃ pana viseso – sīlavāti samādānavasena sīlavā. Sīlasampannoti parisuddhaṃ paripuṇṇañca katvā sīlassa sampādanena sīlasampanno. Bhogakkhandhanti bhogarāsiṃ. Sugatiṃ saggaṃ lokanti ettha sugatiggahaṇena manussagatipi saṅgayhati, saggaggahaṇena devagati eva. Tattha sundarā gatīti sugati, rūpādīhi visayehi suṭṭhu aggoti saggo, so sabbopi lujjanapalujjanaṭṭhena lokoti.

    ปาฎลิคามิเก อุปาสเก พหุเทว รตฺติํ ธมฺมิยา กถายาติ อญฺญายปิ ปาฬิมุตฺตาย ธมฺมกถาย เจว อาวสถานุโมทนกถาย จฯ ตทา หิ ภควา ยสฺมา อชาตสตฺตุนา ตตฺถ ปาฎลิปุตฺตนครํ มาเปเนฺตน อญฺญาสุ คามนิคมราชธานีสุ เย สีลาจารสมฺปนฺนา กุฎุมฺพิกา, เต อาเนตฺวา ธนธญฺญานิ ฆรวตฺถุเขตฺตวตฺถาทีนิ เจว ปริหารญฺจ ทาเปตฺวา นิเวสิยนฺติ, ตสฺมา ปาฎลิคามิกา อุปาสกา อานิสํสทสฺสาวิตาย วิเสสโต สีลครุกาติ สพฺพคุณานญฺจ สีลสฺส อธิฎฺฐานภาวโต เตสํ ปฐมํ สีลานิสํเส ปกาเสตฺวา ตโต ปรํ อากาสคงฺคํ โอตาเรโนฺต วิย ปถโวชํ อากฑฺฒโนฺต วิย มหาชมฺพุํ มตฺถเก คเหตฺวา จาเลโนฺต วิย โยชนปฺปมาณํ มหามธุํ จกฺกยเนฺตน ปีเฬตฺวา สุมธุรรสํ ปายมาโน วิย จ ปาฎลิคามิกานํ อุปาสกานํ หิตสุขาวหํ ปกิณฺณกกถํ กเถโนฺตปิ ‘‘อาวาสทานํ นาเมตํ คหปตโย มหนฺตํ ปุญฺญํ, ตุมฺหากํ อาวาโส มยา ปริภุโตฺต, ภิกฺขุสเงฺฆน ปริภุโตฺต, มยา จ ภิกฺขุสเงฺฆน จ ปริภุเตฺต ธมฺมรตเนนปิ ปริภุโตฺตเยว โหติ, เอวํ ตีหิ รตเนหิ ปริภุเตฺต อปริเมโยฺยว วิปาโก, อปิจ อาวาสทานสฺมิํ ทิเนฺน สพฺพทานํ ทินฺนเมว โหติ, ภูมฎฺฐกปณฺณสาลาย วา สาขามณฺฑปสฺส วา สงฺฆํ อุทฺทิสฺส กตสฺส อานิสํโส ปริจฺฉินฺทิตุํ น สกฺกาฯ อาวาสทานานุภาเวน หิ ภเว นิพฺพตฺตมานสฺสปิ สมฺปีฬิตคพฺภวาโส นาม น โหติ, ทฺวาทสหโตฺถ โอวรโก วิยสฺส มาตุกุจฺฉิ อสมฺพาโธว โหตี’’ติ เอวํ นานานยวิจิตฺตํ พหุํ ธมฺมกถํ กเถตฺวา –

    Pāṭaligāmike upāsake bahudeva rattiṃ dhammiyā kathāyāti aññāyapi pāḷimuttāya dhammakathāya ceva āvasathānumodanakathāya ca. Tadā hi bhagavā yasmā ajātasattunā tattha pāṭaliputtanagaraṃ māpentena aññāsu gāmanigamarājadhānīsu ye sīlācārasampannā kuṭumbikā, te ānetvā dhanadhaññāni gharavatthukhettavatthādīni ceva parihārañca dāpetvā nivesiyanti, tasmā pāṭaligāmikā upāsakā ānisaṃsadassāvitāya visesato sīlagarukāti sabbaguṇānañca sīlassa adhiṭṭhānabhāvato tesaṃ paṭhamaṃ sīlānisaṃse pakāsetvā tato paraṃ ākāsagaṅgaṃ otārento viya pathavojaṃ ākaḍḍhanto viya mahājambuṃ matthake gahetvā cālento viya yojanappamāṇaṃ mahāmadhuṃ cakkayantena pīḷetvā sumadhurarasaṃ pāyamāno viya ca pāṭaligāmikānaṃ upāsakānaṃ hitasukhāvahaṃ pakiṇṇakakathaṃ kathentopi ‘‘āvāsadānaṃ nāmetaṃ gahapatayo mahantaṃ puññaṃ, tumhākaṃ āvāso mayā paribhutto, bhikkhusaṅghena paribhutto, mayā ca bhikkhusaṅghena ca paribhutte dhammaratanenapi paribhuttoyeva hoti, evaṃ tīhi ratanehi paribhutte aparimeyyova vipāko, apica āvāsadānasmiṃ dinne sabbadānaṃ dinnameva hoti, bhūmaṭṭhakapaṇṇasālāya vā sākhāmaṇḍapassa vā saṅghaṃ uddissa katassa ānisaṃso paricchindituṃ na sakkā. Āvāsadānānubhāvena hi bhave nibbattamānassapi sampīḷitagabbhavāso nāma na hoti, dvādasahattho ovarako viyassa mātukucchi asambādhova hotī’’ti evaṃ nānānayavicittaṃ bahuṃ dhammakathaṃ kathetvā –

    ‘‘สีตํ อุณฺหํ ปฎิหนฺติ, ตโต วาฬมิคานิ จ;

    ‘‘Sītaṃ uṇhaṃ paṭihanti, tato vāḷamigāni ca;

    สรีสเป จ มกเส, สิสิเร จาปิ วุฎฺฐิโยฯ

    Sarīsape ca makase, sisire cāpi vuṭṭhiyo.

    ‘‘ตโต วาตาตโป โฆโร, สญฺชาโต ปฎิหญฺญติ;

    ‘‘Tato vātātapo ghoro, sañjāto paṭihaññati;

    เลณตฺถญฺจ สุขตฺถญฺจ, ฌายิตุญฺจ วิปสฺสิตุํฯ

    Leṇatthañca sukhatthañca, jhāyituñca vipassituṃ.

    ‘‘วิหารทานํ สงฺฆสฺส, อคฺคํ พุเทฺธน วณฺณิตํ;

    ‘‘Vihāradānaṃ saṅghassa, aggaṃ buddhena vaṇṇitaṃ;

    ตสฺมา หิ ปณฺฑิโต โปโส, สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโนฯ

    Tasmā hi paṇḍito poso, sampassaṃ atthamattano.

    ‘‘วิหาเร การเย รเมฺม, วาสเยตฺถ พหุสฺสุเต;

    ‘‘Vihāre kāraye ramme, vāsayettha bahussute;

    เตสํ อนฺนญฺจ ปานญฺจ, วตฺถเสนาสนานิ จฯ

    Tesaṃ annañca pānañca, vatthasenāsanāni ca.

    ‘‘ทเทยฺย อุชุภูเตสุ, วิปฺปสเนฺนน เจตสา;

    ‘‘Dadeyya ujubhūtesu, vippasannena cetasā;

    เต ตสฺส ธมฺมํ เทเสนฺติ, สพฺพทุกฺขาปนูทนํ;

    Te tassa dhammaṃ desenti, sabbadukkhāpanūdanaṃ;

    ยํ โส ธมฺมํ อิธญฺญาย, ปรินิพฺพาติ อนาสโว’’ติฯ (จูฬว. ๒๙๕, ๓๑๕) –

    Yaṃ so dhammaṃ idhaññāya, parinibbāti anāsavo’’ti. (cūḷava. 295, 315) –

    เอวํ อยมฺปิ อาวาสทาเน อานิสํโส อยมฺปิ อาวาสทาเน อานิสํโสติ พหุเทว รตฺติํ อติเรกทิยฑฺฒยามํ อาวาสทานานิสํสํ กเถสิฯ ตตฺถ อิมา คาถาว สงฺคหํ อารุฬฺหา, ปกิณฺณกธมฺมเทสนา ปน สงฺคหํ น อาโรหติฯ สนฺทเสฺสตฺวาติอาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ

    Evaṃ ayampi āvāsadāne ānisaṃso ayampi āvāsadāne ānisaṃsoti bahudeva rattiṃ atirekadiyaḍḍhayāmaṃ āvāsadānānisaṃsaṃ kathesi. Tattha imā gāthāva saṅgahaṃ āruḷhā, pakiṇṇakadhammadesanā pana saṅgahaṃ na ārohati. Sandassetvātiādīni vuttatthāneva.

    อภิกฺกนฺตาติ อติกฺกนฺตา เทฺว ยามา คตาฯ ยสฺสทานิ ตุเมฺห กาลํ มญฺญถาติ ยสฺส คมนสฺส ตุเมฺห กาลํ มญฺญถ, คมนกาโล ตุมฺหากํ, คจฺฉถาติ วุตฺตํ โหติฯ กสฺมา ปน ภควา เต อุโยฺยเชสีติ? อนุกมฺปายฯ ติยามรตฺติญฺหิ นิสีทิตฺวา วีตินาเมนฺตานํ เตสํ สรีเร อาพาโธ อุปฺปเชฺชยฺย, ภิกฺขุสโงฺฆปิ จ มหา, ตสฺส สยนนิสชฺชานํ โอกาสํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, อิติ อุภยานุกมฺปาย อุโยฺยเชสิฯ

    Abhikkantāti atikkantā dve yāmā gatā. Yassadāni tumhe kālaṃ maññathāti yassa gamanassa tumhe kālaṃ maññatha, gamanakālo tumhākaṃ, gacchathāti vuttaṃ hoti. Kasmā pana bhagavā te uyyojesīti? Anukampāya. Tiyāmarattiñhi nisīditvā vītināmentānaṃ tesaṃ sarīre ābādho uppajjeyya, bhikkhusaṅghopi ca mahā, tassa sayananisajjānaṃ okāsaṃ laddhuṃ vaṭṭati, iti ubhayānukampāya uyyojesi.

    สุญฺญาคารนฺติ ปาฎิเยกฺกํ สุญฺญาคารํ นาม ตตฺถ นตฺถิฯ เต กิร คหปตโย ตเสฺสว อาวสถาคารสฺส เอกปเสฺส ปฎสาณิํ ปริกฺขิปาเปตฺวา กปฺปิยมญฺจํ ปญฺญเปตฺวา ตตฺถ กปฺปิยปจฺจตฺถรณานิ อตฺถริตฺวา อุปริ สุวณฺณรชตตารกคนฺธมาลาทิทามปฎิมณฺฑิตํ วิตานํ พนฺธิตฺวา คนฺธเตลปทีปํ อาโรปยิํสุ ‘‘อเปฺปว นาม สตฺถา ธมฺมาสนโต วุฎฺฐาย โถกํ วิสฺสเมตุกาโม อิธ นิปเชฺชยฺย, เอวํ โน อิทํ อาวสถาคารํ ภควตา จตูหิ อิริยาปเถหิ ปริภุตฺตํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสตี’’ติฯ สตฺถาปิ ตเทว สนฺธาย ตตฺถ สงฺฆาฎิํ ปญฺญเปตฺวา สีหเสยฺยํ กเปฺปสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘สุญฺญาคารํ ปาวิสี’’ติฯ ตตฺถ ปาทโธวนฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ยาว ธมฺมาสนา อคมาสิ, เอตฺตเก ฐาเน คมนํ นิปฺผนฺนํฯ ธมฺมาสนํ ปตฺวา โถกํ อฎฺฐาสิ, อิทํ ตตฺถ ฐานํฯ เทฺว ยาเม ธมฺมาสเน นิสีทิ, เอตฺตเก ฐาเน นิสชฺชา นิปฺผนฺนาฯ อุปาสเก อุโยฺยเชตฺวา ธมฺมาสนโต โอรุยฺห ยถาวุเตฺต ฐาเน สีหเสยฺยํ กเปฺปสิ ฯ เอตํ ฐานํ ภควตา จตูหิ อิริยาปเถหิ ปริภุตฺตํ อโหสีติฯ

    Suññāgāranti pāṭiyekkaṃ suññāgāraṃ nāma tattha natthi. Te kira gahapatayo tasseva āvasathāgārassa ekapasse paṭasāṇiṃ parikkhipāpetvā kappiyamañcaṃ paññapetvā tattha kappiyapaccattharaṇāni attharitvā upari suvaṇṇarajatatārakagandhamālādidāmapaṭimaṇḍitaṃ vitānaṃ bandhitvā gandhatelapadīpaṃ āropayiṃsu ‘‘appeva nāma satthā dhammāsanato vuṭṭhāya thokaṃ vissametukāmo idha nipajjeyya, evaṃ no idaṃ āvasathāgāraṃ bhagavatā catūhi iriyāpathehi paribhuttaṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya bhavissatī’’ti. Satthāpi tadeva sandhāya tattha saṅghāṭiṃ paññapetvā sīhaseyyaṃ kappesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘suññāgāraṃ pāvisī’’ti. Tattha pādadhovanaṭṭhānato paṭṭhāya yāva dhammāsanā agamāsi, ettake ṭhāne gamanaṃ nipphannaṃ. Dhammāsanaṃ patvā thokaṃ aṭṭhāsi, idaṃ tattha ṭhānaṃ. Dve yāme dhammāsane nisīdi, ettake ṭhāne nisajjā nipphannā. Upāsake uyyojetvā dhammāsanato oruyha yathāvutte ṭhāne sīhaseyyaṃ kappesi . Etaṃ ṭhānaṃ bhagavatā catūhi iriyāpathehi paribhuttaṃ ahosīti.

    ปาฎลิคามวตฺถุกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pāṭaligāmavatthukathāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๑๗๓. ปาฎลิคามวตฺถุ • 173. Pāṭaligāmavatthu

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / ปาฎลิคามวตฺถุกถา • Pāṭaligāmavatthukathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ยาคุมธุโคฬกาทิกถาวณฺณนา • Yāgumadhugoḷakādikathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑๗๓. ปาฎลิคามวตฺถุกถา • 173. Pāṭaligāmavatthukathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact