Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya

    ๑๓. ปาฎลิยสุตฺตํ

    13. Pāṭaliyasuttaṃ

    ๓๖๕. เอกํ สมยํ ภควา โกลิเยสุ วิหรติ อุตฺตรํ นาม 1 โกลิยานํ นิคโมฯ อถ โข ปาฎลิโย คามณิ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ปาฎลิโย คามณิ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘สุตํ เมตํ, ภเนฺต – ‘สมโณ โคตโม มายํ ชานาตี’ติฯ เย เต, ภเนฺต, เอวมาหํสุ – ‘สมโณ โคตโม มายํ ชานาตี’ติ, กจฺจิ เต, ภเนฺต, ภควโต วุตฺตวาทิโน, น จ ภควนฺตํ อภูเตน อพฺภาจิกฺขนฺติ, ธมฺมสฺส จานุธมฺมํ พฺยากโรนฺติ, น จ โกจิ สหธมฺมิโก วาทานุวาโท คารยฺหํ ฐานํ อาคจฺฉติ? อนพฺภาจิกฺขิตุกามา หิ มยํ, ภเนฺต, ภควนฺต’’นฺติฯ ‘‘เย เต, คามณิ, เอวมาหํสุ – ‘สมโณ โคตโม มายํ ชานาตี’ติ, วุตฺตวาทิโน เจว เม, เต น จ มํ อภูเตน อพฺภาจิกฺขนฺติ, ธมฺมสฺส จานุธมฺมํ พฺยากโรนฺติ, น จ โกจิ สหธมฺมิโก วาทานุวาโท คารยฺหํ ฐานํ อาคจฺฉตีติ, สจฺจํเยว กิร, โภ, มยํ เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ น สทฺทหาม – ‘สมโณ โคตโม มายํ ชานาตีติ, สมโณ ขลุ โภ โคตโม มายาวี’ติฯ โย นุ โข, คามณิ, เอวํ วเทติ – ‘อหํ มายํ ชานามี’ติ, โส เอวํ วเทติ – ‘อหํ มายาวี’ติฯ ตเถว ตํ ภควา โหติ, ตเถว ตํ สุคต โหตี’’ติฯ เตน หิ, คามณิ, ตเญฺญเวตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามิ; ยถา เต ขเมยฺย, ตถา ตํ พฺยากเรยฺยาสิ –

    365. Ekaṃ samayaṃ bhagavā koliyesu viharati uttaraṃ nāma 2 koliyānaṃ nigamo. Atha kho pāṭaliyo gāmaṇi yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho pāṭaliyo gāmaṇi bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘sutaṃ metaṃ, bhante – ‘samaṇo gotamo māyaṃ jānātī’ti. Ye te, bhante, evamāhaṃsu – ‘samaṇo gotamo māyaṃ jānātī’ti, kacci te, bhante, bhagavato vuttavādino, na ca bhagavantaṃ abhūtena abbhācikkhanti, dhammassa cānudhammaṃ byākaronti, na ca koci sahadhammiko vādānuvādo gārayhaṃ ṭhānaṃ āgacchati? Anabbhācikkhitukāmā hi mayaṃ, bhante, bhagavanta’’nti. ‘‘Ye te, gāmaṇi, evamāhaṃsu – ‘samaṇo gotamo māyaṃ jānātī’ti, vuttavādino ceva me, te na ca maṃ abhūtena abbhācikkhanti, dhammassa cānudhammaṃ byākaronti, na ca koci sahadhammiko vādānuvādo gārayhaṃ ṭhānaṃ āgacchatīti, saccaṃyeva kira, bho, mayaṃ tesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ na saddahāma – ‘samaṇo gotamo māyaṃ jānātīti, samaṇo khalu bho gotamo māyāvī’ti. Yo nu kho, gāmaṇi, evaṃ vadeti – ‘ahaṃ māyaṃ jānāmī’ti, so evaṃ vadeti – ‘ahaṃ māyāvī’ti. Tatheva taṃ bhagavā hoti, tatheva taṃ sugata hotī’’ti. Tena hi, gāmaṇi, taññevettha paṭipucchissāmi; yathā te khameyya, tathā taṃ byākareyyāsi –

    ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, ชานาสิ ตฺวํ โกลิยานํ ลมฺพจูฬเก ภเฎ’’ติ? ‘‘ชานามหํ, ภเนฺต, โกลิยานํ ลมฺพจูฬเก ภเฎ’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, กิมตฺถิยา โกลิยานํ ลมฺพจูฬกา ภฎา’’ติ? ‘‘เย จ, ภเนฺต, โกลิยานํ โจรา เต จ ปฎิเสเธตุํ, ยานิ จ โกลิยานํ ทูเตยฺยานิ ตานิ จ วหาตุํ 3, เอตทตฺถิยา, ภเนฺต, โกลิยานํ ลมฺพจูฬกา ภฎา’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, ชานาสิ ตฺวํ โกลิยานํ ลมฺพจูฬเก ภเฎ สีลวเนฺต วา เต ทุสฺสีเล วา’’ติ? ‘‘ชานามหํ, ภเนฺต, โกลิยานํ ลมฺพจูฬเก ภเฎ ทุสฺสีเล ปาปธเมฺม ; เย จ โลเก ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา โกลิยานํ ลมฺพจูฬกา ภฎา เตสํ อญฺญตรา’’ติฯ ‘‘โย นุ โข, คามณิ, เอวํ วเทยฺย – ‘ปาฎลิโย คามณิ ชานาติ โกลิยานํ ลมฺพจูฬเก ภเฎ ทุสฺสีเล ปาปธเมฺม, ปาฎลิโยปิ คามณิ ทุสฺสีโล ปาปธโมฺม’ติ, สมฺมา นุ โข โส วทมาโน วเทยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต! อเญฺญ, ภเนฺต, โกลิยานํ ลมฺพจูฬกา ภฎา, อโญฺญหมสฺมิฯ อญฺญถาธมฺมา โกลิยานํ ลมฺพจูฬกา ภฎา, อญฺญถาธโมฺมหมสฺมี’’ติฯ ‘‘ตฺวญฺหิ นาม, คามณิ, ลจฺฉสิ – ‘ปาฎลิโย คามณิ ชานาติ โกลิยานํ ลมฺพจูฬเก ภเฎ ทุสฺสีเล ปาปธเมฺม, น จ ปาฎลิโย คามณิ ทุสฺสีโล ปาปธโมฺม’ติ, กสฺมา ตถาคโต น ลจฺฉติ – ‘ตถาคโต มายํ ชานาติ, น จ ตถาคโต มายาวี’ติ? มายํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, มายาย จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ มายาวี กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิ’’ฯ

    ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, jānāsi tvaṃ koliyānaṃ lambacūḷake bhaṭe’’ti? ‘‘Jānāmahaṃ, bhante, koliyānaṃ lambacūḷake bhaṭe’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, kimatthiyā koliyānaṃ lambacūḷakā bhaṭā’’ti? ‘‘Ye ca, bhante, koliyānaṃ corā te ca paṭisedhetuṃ, yāni ca koliyānaṃ dūteyyāni tāni ca vahātuṃ 4, etadatthiyā, bhante, koliyānaṃ lambacūḷakā bhaṭā’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, jānāsi tvaṃ koliyānaṃ lambacūḷake bhaṭe sīlavante vā te dussīle vā’’ti? ‘‘Jānāmahaṃ, bhante, koliyānaṃ lambacūḷake bhaṭe dussīle pāpadhamme ; ye ca loke dussīlā pāpadhammā koliyānaṃ lambacūḷakā bhaṭā tesaṃ aññatarā’’ti. ‘‘Yo nu kho, gāmaṇi, evaṃ vadeyya – ‘pāṭaliyo gāmaṇi jānāti koliyānaṃ lambacūḷake bhaṭe dussīle pāpadhamme, pāṭaliyopi gāmaṇi dussīlo pāpadhammo’ti, sammā nu kho so vadamāno vadeyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante! Aññe, bhante, koliyānaṃ lambacūḷakā bhaṭā, aññohamasmi. Aññathādhammā koliyānaṃ lambacūḷakā bhaṭā, aññathādhammohamasmī’’ti. ‘‘Tvañhi nāma, gāmaṇi, lacchasi – ‘pāṭaliyo gāmaṇi jānāti koliyānaṃ lambacūḷake bhaṭe dussīle pāpadhamme, na ca pāṭaliyo gāmaṇi dussīlo pāpadhammo’ti, kasmā tathāgato na lacchati – ‘tathāgato māyaṃ jānāti, na ca tathāgato māyāvī’ti? Māyaṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, māyāya ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca māyāvī kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi’’.

    ‘‘ปาณาติปาตํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, ปาณาติปาตสฺส จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ ปาณาติปาตี กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ อทินฺนาทานํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, อทินฺนาทานสฺส จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ อทินฺนาทายี กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ กาเมสุมิจฺฉาจารํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, กาเมสุมิจฺฉาจารสฺส จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ กาเมสุมิจฺฉาจารี กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ มุสาวาทํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, มุสาวาทสฺส จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ มุสาวาที กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ ปิสุณวาจํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, ปิสุณวาจาย จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ ปิสุณวาโจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ ผรุสวาจํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, ผรุสวาจาย จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ ผรุสวาโจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ สมฺผปฺปลาปํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, สมฺผปฺปลาปสฺส จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ สมฺผปฺปลาปี กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ อภิชฺฌํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, อภิชฺฌาย จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ อภิชฺฌาลุ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ พฺยาปาทปโทสํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, พฺยาปาทปโทสสฺส จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ พฺยาปนฺนจิโตฺต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ จาหํ, คามณิ, ปชานามิ, มิจฺฉาทิฎฺฐิยา จ วิปากํ, ยถาปฎิปโนฺน จ มิจฺฉาทิฎฺฐิโก กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ

    ‘‘Pāṇātipātaṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, pāṇātipātassa ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca pāṇātipātī kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Adinnādānaṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, adinnādānassa ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca adinnādāyī kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Kāmesumicchācāraṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, kāmesumicchācārassa ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca kāmesumicchācārī kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Musāvādaṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, musāvādassa ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca musāvādī kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Pisuṇavācaṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, pisuṇavācāya ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca pisuṇavāco kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Pharusavācaṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, pharusavācāya ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca pharusavāco kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Samphappalāpaṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, samphappalāpassa ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca samphappalāpī kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Abhijjhaṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, abhijjhāya ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca abhijjhālu kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Byāpādapadosaṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, byāpādapadosassa ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca byāpannacitto kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Micchādiṭṭhiṃ cāhaṃ, gāmaṇi, pajānāmi, micchādiṭṭhiyā ca vipākaṃ, yathāpaṭipanno ca micchādiṭṭhiko kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi.

    ‘‘สนฺติ หิ, คามณิ, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘โย โกจิ ปาณมติปาเตติ, สโพฺพ โส ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทยติฯ โย โกจิ อทินฺนํ อาทิยติ, สโพฺพ โส ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทยติฯ โย โกจิ กาเมสุ มิจฺฉา จรติ, สโพฺพ โส ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทยติฯ โย โกจิ มุสา ภณติ, สโพฺพ โส ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทยตี’’’ติฯ

    ‘‘Santi hi, gāmaṇi, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘yo koci pāṇamatipāteti, sabbo so diṭṭheva dhamme dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedayati. Yo koci adinnaṃ ādiyati, sabbo so diṭṭheva dhamme dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedayati. Yo koci kāmesu micchā carati, sabbo so diṭṭheva dhamme dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedayati. Yo koci musā bhaṇati, sabbo so diṭṭheva dhamme dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedayatī’’’ti.

    ‘‘ทิสฺสติ โข ปน, คามณิ, อิเธกโจฺจ มาลี กุณฺฑลี สุนฺหาโต 5 สุวิลิโตฺต กปฺปิตเกสมสฺสุ อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรโนฺตฯ ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส กิํ อกาสิ มาลี กุณฺฑลี สุนฺหาโต สุวิลิโตฺต กปฺปิตเกสมสฺสุ อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรตี’ติ? ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส รโญฺญ ปจฺจตฺถิกํ ปสยฺห ชีวิตา โวโรเปสิฯ ตสฺส ราชา อตฺตมโน อภิหารมทาสิฯ เตนายํ ปุริโส มาลี กุณฺฑลี สุนฺหาโต สุวิลิโตฺต กปฺปิตเกสมสฺสุ, อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรตี’’’ติฯ

    ‘‘Dissati kho pana, gāmaṇi, idhekacco mālī kuṇḍalī sunhāto 6 suvilitto kappitakesamassu itthikāmehi rājā maññe paricārento. Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso kiṃ akāsi mālī kuṇḍalī sunhāto suvilitto kappitakesamassu itthikāmehi rājā maññe paricāretī’ti? Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso rañño paccatthikaṃ pasayha jīvitā voropesi. Tassa rājā attamano abhihāramadāsi. Tenāyaṃ puriso mālī kuṇḍalī sunhāto suvilitto kappitakesamassu, itthikāmehi rājā maññe paricāretī’’’ti.

    ‘‘ทิสฺสติ โข, คามณิ, อิเธกโจฺจ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิยาย รถิยํ 7 สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ ปริเนตฺวา, ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา, ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉิชฺชมาโนฯ ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส กิํ อกาสิ, ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิยาย รถิยํ สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทตี’ติ 8? ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส ราชเวรี อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา ชีวิตา โวโรเปสิ, เตน นํ ราชาโน คเหตฺวา เอวรูปํ กมฺมการณํ กาเรนฺตี’’’ติฯ

    ‘‘Dissati kho, gāmaṇi, idhekacco daḷhāya rajjuyā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā khuramuṇḍaṃ karitvā kharassarena paṇavena rathiyāya rathiyaṃ 9 siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ parinetvā, dakkhiṇena dvārena nikkhāmetvā, dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chijjamāno. Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso kiṃ akāsi, daḷhāya rajjuyā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā khuramuṇḍaṃ karitvā kharassarena paṇavena rathiyāya rathiyaṃ siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ parinetvā dakkhiṇena dvārena nikkhāmetvā dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chindatī’ti 10? Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso rājaverī itthiṃ vā purisaṃ vā jīvitā voropesi, tena naṃ rājāno gahetvā evarūpaṃ kammakāraṇaṃ kārentī’’’ti.

    ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, อปิ นุ เต เอวรูปํ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’ติ? ‘‘ทิฎฺฐญฺจ โน, ภเนฺต, สุตญฺจ สุยฺยิสฺสติ จา’’ติฯ ‘‘ตตฺร, คามณิ, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘โย โกจิ ปาณมติปาเตติ, สโพฺพ โส ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทยตี’ติ, สจฺจํ วา เต อาหํสุ มุสา วา’’ติ? ‘‘มุสา, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เย ปน เต ตุจฺฉํ มุสา วิลปนฺติ, สีลวโนฺต วา เต ทุสฺสีลา วา’’ติ? ‘‘ทุสฺสีลา , ภเนฺต’’ฯ ‘‘เย ปน เต ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา มิจฺฉาปฎิปนฺนา วา เต สมฺมาปฎิปนฺนา วา’’ติ? ‘‘มิจฺฉาปฎิปนฺนา, ภเนฺต’’ ฯ ‘‘เย ปน เต มิจฺฉาปฎิปนฺนา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา วา เต สมฺมาทิฎฺฐิกา วา’’ติ? ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิกา, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เย ปน เต มิจฺฉาทิฎฺฐิกา กลฺลํ นุ เตสุ ปสีทิตุ’’นฺติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ

    ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, api nu te evarūpaṃ diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’ti? ‘‘Diṭṭhañca no, bhante, sutañca suyyissati cā’’ti. ‘‘Tatra, gāmaṇi, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘yo koci pāṇamatipāteti, sabbo so diṭṭheva dhamme dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedayatī’ti, saccaṃ vā te āhaṃsu musā vā’’ti? ‘‘Musā, bhante’’. ‘‘Ye pana te tucchaṃ musā vilapanti, sīlavanto vā te dussīlā vā’’ti? ‘‘Dussīlā , bhante’’. ‘‘Ye pana te dussīlā pāpadhammā micchāpaṭipannā vā te sammāpaṭipannā vā’’ti? ‘‘Micchāpaṭipannā, bhante’’ . ‘‘Ye pana te micchāpaṭipannā micchādiṭṭhikā vā te sammādiṭṭhikā vā’’ti? ‘‘Micchādiṭṭhikā, bhante’’. ‘‘Ye pana te micchādiṭṭhikā kallaṃ nu tesu pasīditu’’nti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.

    ‘‘ทิสฺสติ โข ปน, คามณิ, อิเธกโจฺจ มาลี กุณฺฑลี…เป.… อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรโนฺตฯ ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส กิํ อกาสิ มาลี กุณฺฑลี…เป.… อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรตี’ติ? ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส รโญฺญ ปจฺจตฺถิกสฺส ปสยฺห รตนํ อหาสิ 11ฯ ตสฺส ราชา อตฺตมโน อภิหารมทาสิฯ เตนายํ ปุริโส มาลี กุณฺฑลี…เป.… อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรตี’’’ติฯ

    ‘‘Dissati kho pana, gāmaṇi, idhekacco mālī kuṇḍalī…pe… itthikāmehi rājā maññe paricārento. Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso kiṃ akāsi mālī kuṇḍalī…pe… itthikāmehi rājā maññe paricāretī’ti? Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso rañño paccatthikassa pasayha ratanaṃ ahāsi 12. Tassa rājā attamano abhihāramadāsi. Tenāyaṃ puriso mālī kuṇḍalī…pe… itthikāmehi rājā maññe paricāretī’’’ti.

    ‘‘ทิสฺสติ โข, คามณิ, อิเธกโจฺจ ทฬฺหาย รชฺชุยา…เป.… ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉิชฺชมาโน ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส กิํ อกาสิ ทฬฺหาย รชฺชุยา…เป.… ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทตี’ติ? ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส คามา วา อรญฺญา วา อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิฯ เตน นํ ราชาโน คเหตฺวา เอวรูปํ กมฺมการณํ กาเรนฺตี’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, อปิ นุ เต เอวรูปํ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’ติ? ‘‘ทิฎฺฐญฺจ โน, ภเนฺต, สุตญฺจ สุยฺยิสฺสติ จา’’ติฯ ‘‘ตตฺร , คามณิ, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘โย โกจิ อทินฺนํ อาทิยติ, สโพฺพ โส ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทยตี’ติ, สจฺจํ วา เต อาหํสุ มุสา วาติ…เป.… กลฺลํ นุ เตสุ ปสีทิตุ’’นฺติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ

    ‘‘Dissati kho, gāmaṇi, idhekacco daḷhāya rajjuyā…pe… dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chijjamāno tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso kiṃ akāsi daḷhāya rajjuyā…pe… dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chindatī’ti? Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso gāmā vā araññā vā adinnaṃ theyyasaṅkhātaṃ ādiyi. Tena naṃ rājāno gahetvā evarūpaṃ kammakāraṇaṃ kārentī’ti. Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, api nu te evarūpaṃ diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’ti? ‘‘Diṭṭhañca no, bhante, sutañca suyyissati cā’’ti. ‘‘Tatra , gāmaṇi, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘yo koci adinnaṃ ādiyati, sabbo so diṭṭheva dhamme dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedayatī’ti, saccaṃ vā te āhaṃsu musā vāti…pe… kallaṃ nu tesu pasīditu’’nti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.

    ‘‘ทิสฺสติ โข ปน, คามณิ, อิเธกโจฺจ มาลี กุณฺฑลี…เป.… อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรโนฺตฯ ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส กิํ อกาสิ มาลี กุณฺฑลี…เป.… อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรตี’ติ? ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส รโญฺญ ปจฺจตฺถิกสฺส ทาเรสุ จาริตฺตํ อาปชฺชิฯ ตสฺส ราชา อตฺตมโน อภิหารมทาสิฯ เตนายํ ปุริโส มาลี กุณฺฑลี…เป.… อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรตี’’’ติฯ

    ‘‘Dissati kho pana, gāmaṇi, idhekacco mālī kuṇḍalī…pe… itthikāmehi rājā maññe paricārento. Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso kiṃ akāsi mālī kuṇḍalī…pe… itthikāmehi rājā maññe paricāretī’ti? Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso rañño paccatthikassa dāresu cārittaṃ āpajji. Tassa rājā attamano abhihāramadāsi. Tenāyaṃ puriso mālī kuṇḍalī…pe… itthikāmehi rājā maññe paricāretī’’’ti.

    ‘‘ทิสฺสติ โข, คามณิ, อิเธกโจฺจ ทฬฺหาย รชฺชุยา…เป.… ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉิชฺชมาโนฯ ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส กิํ อกาสิ ทฬฺหาย รชฺชุยา…เป.… ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทตี’ติ? ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส กุลิตฺถีสุ กุลกุมารีสุ จาริตฺตํ อาปชฺชิ, เตน นํ ราชาโน คเหตฺวา เอวรูปํ กมฺมการณํ กาเรนฺตี’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, อปิ นุ เต เอวรูปํ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’ติ? ‘‘ทิฎฺฐญฺจ โน, ภเนฺต, สุตญฺจ สุยฺยิสฺสติ จา’’ติฯ ‘‘ตตฺร, คามณิ, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘โย โกจิ กาเมสุ มิจฺฉา จรติ, สโพฺพ โส ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทยตี’ติ, สจฺจํ วา เต อาหํสุ มุสา วาติ…เป.… กลฺลํ นุ เตสุ ปสีทิตุ’’นฺติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ

    ‘‘Dissati kho, gāmaṇi, idhekacco daḷhāya rajjuyā…pe… dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chijjamāno. Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso kiṃ akāsi daḷhāya rajjuyā…pe… dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chindatī’ti? Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso kulitthīsu kulakumārīsu cārittaṃ āpajji, tena naṃ rājāno gahetvā evarūpaṃ kammakāraṇaṃ kārentī’ti. Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, api nu te evarūpaṃ diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’ti? ‘‘Diṭṭhañca no, bhante, sutañca suyyissati cā’’ti. ‘‘Tatra, gāmaṇi, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘yo koci kāmesu micchā carati, sabbo so diṭṭheva dhamme dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedayatī’ti, saccaṃ vā te āhaṃsu musā vāti…pe… kallaṃ nu tesu pasīditu’’nti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.

    ‘‘ทิสฺสติ โข ปน, คามณิ, อิเธกโจฺจ มาลี กุณฺฑลี สุนฺหาโต สุวิลิโตฺต กปฺปิตเกสมสฺสุ อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรโนฺตฯ ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส กิํ อกาสิ มาลี กุณฺฑลี สุนฺหาโต สุวิลิโตฺต กปฺปิตเกสมสฺสุ อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรตี’ติ? ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส ราชานํ มุสาวาเทน หาเสสิฯ ตสฺส ราชา อตฺตมโน อภิหารมทาสิฯ เตนายํ ปุริโส มาลี กุณฺฑลี สุนฺหาโต สุวิลิโตฺต กปฺปิตเกสมสฺสุ อิตฺถิกาเมหิ ราชา มเญฺญ ปริจาเรตี’’’ติฯ

    ‘‘Dissati kho pana, gāmaṇi, idhekacco mālī kuṇḍalī sunhāto suvilitto kappitakesamassu itthikāmehi rājā maññe paricārento. Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso kiṃ akāsi mālī kuṇḍalī sunhāto suvilitto kappitakesamassu itthikāmehi rājā maññe paricāretī’ti? Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso rājānaṃ musāvādena hāsesi. Tassa rājā attamano abhihāramadāsi. Tenāyaṃ puriso mālī kuṇḍalī sunhāto suvilitto kappitakesamassu itthikāmehi rājā maññe paricāretī’’’ti.

    ‘‘ทิสฺสติ โข, คามณิ, อิเธกโจฺจ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิยาย รถิยํ สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉิชฺชมาโนฯ ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส กิํ อกาสิ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิยาย รถิยํ สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ ปริเนตฺวา, ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา, ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทตี’ติ? ตเมนํ เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ! อยํ ปุริโส คหปติสฺส วา คหปติปุตฺตสฺส วา มุสาวาเทน อตฺถํ ภญฺชิ, เตน นํ ราชาโน คเหตฺวา เอวรูปํ กมฺมการณํ กาเรนฺตี’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, อปิ นุ เต เอวรูปํ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’ติ? ‘‘ทิฎฺฐญฺจ โน , ภเนฺต, สุตญฺจ สุยฺยิสฺสติ จา’’ติฯ ‘‘ตตฺร, คามณิ, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘โย โกจิ มุสา ภณติ, สโพฺพ โส ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทยตี’ติ, สจฺจํ วา เต อาหํสุ มุสา วา’’ติ ? ‘‘มุสา, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เย ปน เต ตุจฺฉํ มุสา วิลปนฺติ สีลวโนฺต วา เต ทุสฺสีลา วา’’ติ? ‘‘ทุสฺสีลา, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เย ปน เต ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา มิจฺฉาปฎิปนฺนา วา เต สมฺมาปฎิปนฺนา วา’’ติ? ‘‘มิจฺฉาปฎิปนฺนา, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เย ปน เต มิจฺฉาปฎิปนฺนา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา วา เต สมฺมาทิฎฺฐิกา วา’’ติ? ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิกา, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เย ปน เต มิจฺฉาทิฎฺฐิกา กลฺลํ นุ เตสุ ปสีทิตุ’’นฺติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ

    ‘‘Dissati kho, gāmaṇi, idhekacco daḷhāya rajjuyā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā khuramuṇḍaṃ karitvā kharassarena paṇavena rathiyāya rathiyaṃ siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ parinetvā dakkhiṇena dvārena nikkhāmetvā dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chijjamāno. Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso kiṃ akāsi daḷhāya rajjuyā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā khuramuṇḍaṃ karitvā kharassarena paṇavena rathiyāya rathiyaṃ siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ parinetvā, dakkhiṇena dvārena nikkhāmetvā, dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chindatī’ti? Tamenaṃ evamāhaṃsu – ‘ambho! Ayaṃ puriso gahapatissa vā gahapatiputtassa vā musāvādena atthaṃ bhañji, tena naṃ rājāno gahetvā evarūpaṃ kammakāraṇaṃ kārentī’ti. Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, api nu te evarūpaṃ diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’ti? ‘‘Diṭṭhañca no , bhante, sutañca suyyissati cā’’ti. ‘‘Tatra, gāmaṇi, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘yo koci musā bhaṇati, sabbo so diṭṭheva dhamme dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedayatī’ti, saccaṃ vā te āhaṃsu musā vā’’ti ? ‘‘Musā, bhante’’. ‘‘Ye pana te tucchaṃ musā vilapanti sīlavanto vā te dussīlā vā’’ti? ‘‘Dussīlā, bhante’’. ‘‘Ye pana te dussīlā pāpadhammā micchāpaṭipannā vā te sammāpaṭipannā vā’’ti? ‘‘Micchāpaṭipannā, bhante’’. ‘‘Ye pana te micchāpaṭipannā micchādiṭṭhikā vā te sammādiṭṭhikā vā’’ti? ‘‘Micchādiṭṭhikā, bhante’’. ‘‘Ye pana te micchādiṭṭhikā kallaṃ nu tesu pasīditu’’nti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’.

    ‘‘อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ, ภเนฺต! อตฺถิ เม, ภเนฺต, อาวสถาคารํฯ ตตฺถ อตฺถิ มญฺจกานิ, อตฺถิ อาสนานิ, อตฺถิ อุทกมณิโก, อตฺถิ เตลปฺปทีโปฯ ตตฺถ โย สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา วาสํ อุเปติ, เตนาหํ ยถาสตฺติ ยถาพลํ สํวิภชามิฯ ภูตปุพฺพํ, ภเนฺต, จตฺตาโร สตฺถาโร นานาทิฎฺฐิกา นานาขนฺติกา นานารุจิกา, ตสฺมิํ อาวสถาคาเร วาสํ อุปคจฺฉุํ’’ฯ

    ‘‘Acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ, bhante! Atthi me, bhante, āvasathāgāraṃ. Tattha atthi mañcakāni, atthi āsanāni, atthi udakamaṇiko, atthi telappadīpo. Tattha yo samaṇo vā brāhmaṇo vā vāsaṃ upeti, tenāhaṃ yathāsatti yathābalaṃ saṃvibhajāmi. Bhūtapubbaṃ, bhante, cattāro satthāro nānādiṭṭhikā nānākhantikā nānārucikā, tasmiṃ āvasathāgāre vāsaṃ upagacchuṃ’’.

    ‘‘เอโก สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – ‘นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฎฺฐํ, นตฺถิ หุตํ, นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโกฯ นตฺถิ อยํ โลโก, นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฎิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี’’’ติฯ

    ‘‘Eko satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – ‘natthi dinnaṃ, natthi yiṭṭhaṃ, natthi hutaṃ, natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko. Natthi ayaṃ loko, natthi paro loko, natthi mātā, natthi pitā, natthi sattā opapātikā, natthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā sammāpaṭipannā ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentī’’’ti.

    ‘‘เอโก สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – ‘อตฺถิ ทินฺนํ, อตฺถิ ยิฎฺฐํ , อตฺถิ หุตํ, อตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, อตฺถิ อยํ โลโก, อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ มาตา, อตฺถิ ปิตา, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฎิปนฺนา, เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี’’’ติฯ

    ‘‘Eko satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – ‘atthi dinnaṃ, atthi yiṭṭhaṃ , atthi hutaṃ, atthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko, atthi ayaṃ loko, atthi paro loko, atthi mātā, atthi pitā, atthi sattā opapātikā, atthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā sammāpaṭipannā, ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentī’’’ti.

    ‘‘เอโก สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต, กโรโต น กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณํ เจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปาจาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรํ เจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’’’ติฯ

    ‘‘Eko satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – ‘karoto kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato, karoto na karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇaṃ cepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pācāpento, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Uttaraṃ cepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento yajanto yajāpento, natthi tatonidānaṃ puññaṃ, natthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena natthi puññaṃ, natthi puññassa āgamo’’’ti.

    ‘‘เอโก สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต , มุสา ภณโต, กโรโต กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณํ เจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปาจาเปโนฺต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรํ เจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต, ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน อตฺถิ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’’’ติฯ

    ‘‘Eko satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – ‘karoto kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato , musā bhaṇato, karoto karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇaṃ cepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pācāpento, atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Uttaraṃ cepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento, yajanto yajāpento, atthi tatonidānaṃ puññaṃ, atthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena atthi puññaṃ, atthi puññassa āgamo’’’ti.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, อหุเทว กงฺขา, อหุ วิจิกิจฺฉา – ‘โกสุ นาม อิเมสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ อาห, โก มุสา’’’ติ?

    ‘‘Tassa mayhaṃ, bhante, ahudeva kaṅkhā, ahu vicikicchā – ‘kosu nāma imesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ āha, ko musā’’’ti?

    ‘‘อลญฺหิ เต, คามณิ, กงฺขิตุํ, อลํ วิจิกิจฺฉิตุํฯ กงฺขนีเย จ ปน เต ฐาเน วิจิกิจฺฉา อุปฺปนฺนา’’ติฯ ‘‘เอวํ ปสโนฺนหํ, ภเนฺต, ภควติฯ ปโหติ เม ภควา ตถา ธมฺมํ เทเสตุํ ยถาหํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺย’’นฺติฯ

    ‘‘Alañhi te, gāmaṇi, kaṅkhituṃ, alaṃ vicikicchituṃ. Kaṅkhanīye ca pana te ṭhāne vicikicchā uppannā’’ti. ‘‘Evaṃ pasannohaṃ, bhante, bhagavati. Pahoti me bhagavā tathā dhammaṃ desetuṃ yathāhaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyya’’nti.

    ‘‘อตฺถิ, คามณิ, ธมฺมสมาธิฯ ตตฺร เจ ตฺวํ จิตฺตสมาธิํ ปฎิลเภยฺยาสิฯ เอวํ ตฺวํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยาสิฯ กตโม จ, คามณิ, ธมฺมสมาธิ? อิธ, คามณิ, อริยสาวโก ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ, อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฎิวิรโต โหติ, มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฎิวิรโต โหติ, ปิสุณํ วาจํ ปหาย ปิสุณาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติ , ผรุสํ วาจํ ปหาย ผรุสาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติ, สมฺผปฺปลาปํ ปหาย สมฺผปฺปลาปา ปฎิวิรโต โหติ, อภิชฺฌํ ปหาย อนภิชฺฌาลุ โหติ, พฺยาปาทปโทสํ ปหาย อพฺยาปนฺนจิโตฺต โหติ, มิจฺฉาทิฎฺฐิํ ปหาย สมฺมาทิฎฺฐิโก โหติฯ

    ‘‘Atthi, gāmaṇi, dhammasamādhi. Tatra ce tvaṃ cittasamādhiṃ paṭilabheyyāsi. Evaṃ tvaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyyāsi. Katamo ca, gāmaṇi, dhammasamādhi? Idha, gāmaṇi, ariyasāvako pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti, adinnādānaṃ pahāya adinnādānā paṭivirato hoti, kāmesumicchācāraṃ pahāya kāmesumicchācārā paṭivirato hoti, musāvādaṃ pahāya musāvādā paṭivirato hoti, pisuṇaṃ vācaṃ pahāya pisuṇāya vācāya paṭivirato hoti , pharusaṃ vācaṃ pahāya pharusāya vācāya paṭivirato hoti, samphappalāpaṃ pahāya samphappalāpā paṭivirato hoti, abhijjhaṃ pahāya anabhijjhālu hoti, byāpādapadosaṃ pahāya abyāpannacitto hoti, micchādiṭṭhiṃ pahāya sammādiṭṭhiko hoti.

    ‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ, อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยฺวายํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฎฺฐํ, นตฺถิ หุตํ, นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก, นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา, สมฺมคฺคตา สมฺมาปฎิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี’ติฯ ‘สเจ ตสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อปณฺณกตาย มยฺหํ, ยฺวาหํ 13 น กิญฺจิ 14 พฺยาพาเธมิ ตสํ วา ถาวรํ วา? อุภยเมตฺถ 15 กฎคฺคาโห, ยํ จมฺหิ กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสามี’ติ 16ฯ ตสฺส ปาโมชฺชํ ชายติฯ ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติฯ ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติฯ ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวทยติฯ สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ อยํ โข, คามณิ, ธมฺมสมาธิ ฯ ตตฺร เจ ตฺวํ จิตฺตสมาธิํ ปฎิลเภยฺยาสิ, เอวํ ตฺวํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยาสิฯ

    ‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ, iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. So iti paṭisañcikkhati – ‘yvāyaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – natthi dinnaṃ, natthi yiṭṭhaṃ, natthi hutaṃ, natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko, natthi ayaṃ loko, natthi paro loko, natthi mātā, natthi pitā, natthi sattā opapātikā, natthi loke samaṇabrāhmaṇā, sammaggatā sammāpaṭipannā ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentī’ti. ‘Sace tassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, apaṇṇakatāya mayhaṃ, yvāhaṃ 17 na kiñci 18 byābādhemi tasaṃ vā thāvaraṃ vā? Ubhayamettha 19 kaṭaggāho, yaṃ camhi kāyena saṃvuto vācāya saṃvuto manasā saṃvuto, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissāmī’ti 20. Tassa pāmojjaṃ jāyati. Pamuditassa pīti jāyati. Pītimanassa kāyo passambhati. Passaddhakāyo sukhaṃ vedayati. Sukhino cittaṃ samādhiyati. Ayaṃ kho, gāmaṇi, dhammasamādhi . Tatra ce tvaṃ cittasamādhiṃ paṭilabheyyāsi, evaṃ tvaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyyāsi.

    ‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ, อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยฺวายํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – อตฺถิ ทินฺนํ, อตฺถิ ยิฎฺฐํ, อตฺถิ หุตํ, อตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, อตฺถิ อยํ โลโก, อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ มาตา, อตฺถิ ปิตา, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา, สมฺมคฺคตา สมฺมาปฎิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี’ติฯ ‘สเจ ตสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อปณฺณกตาย มยฺหํ, ยฺวาหํ น กิญฺจิ พฺยาพาเธมิ ตสํ วา ถาวรํ วา? อุภยเมตฺถ กฎคฺคาโห, ยํ จมฺหิ กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสามี’ติฯ ตสฺส ปาโมชฺชํ ชายติฯ ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติฯ ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติฯ ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวทยติฯ สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ อยํ โข, คามณิ, ธมฺมสมาธิฯ ตตฺร เจ ตฺวํ จิตฺตสมาธิํ ปฎิลเภยฺยาสิ, เอวํ ตฺวํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยาสิฯ

    ‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ, iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. So iti paṭisañcikkhati – ‘yvāyaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – atthi dinnaṃ, atthi yiṭṭhaṃ, atthi hutaṃ, atthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko, atthi ayaṃ loko, atthi paro loko, atthi mātā, atthi pitā, atthi sattā opapātikā, atthi loke samaṇabrāhmaṇā, sammaggatā sammāpaṭipannā ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentī’ti. ‘Sace tassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, apaṇṇakatāya mayhaṃ, yvāhaṃ na kiñci byābādhemi tasaṃ vā thāvaraṃ vā? Ubhayamettha kaṭaggāho, yaṃ camhi kāyena saṃvuto vācāya saṃvuto manasā saṃvuto, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissāmī’ti. Tassa pāmojjaṃ jāyati. Pamuditassa pīti jāyati. Pītimanassa kāyo passambhati. Passaddhakāyo sukhaṃ vedayati. Sukhino cittaṃ samādhiyati. Ayaṃ kho, gāmaṇi, dhammasamādhi. Tatra ce tvaṃ cittasamādhiṃ paṭilabheyyāsi, evaṃ tvaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyyāsi.

    ‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ, อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยฺวายํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต, กโรโต น กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปาจาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต, ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติฯ ‘สเจ ตสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อปณฺณกตาย มยฺหํ, ยฺวาหํ น กิญฺจิ พฺยาพาเธมิ ตสํ วา ถาวรํ วา? อุภยเมตฺถ กฎคฺคาโห, ยํ จมฺหิ กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสามี’ติ 21ฯ ตสฺส ปาโมชฺชํ ชายติฯ ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติฯ ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติฯ ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวทยติฯ สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ อยํ โข, คามณิ, ธมฺมสมาธิ ตตฺร เจ ตฺวํ จิตฺตสมาธิํ ปฎิลเภยฺยาสิ, เอวํ ตฺวํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยาสิฯ

    ‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ, iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. So iti paṭisañcikkhati – ‘yvāyaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – karoto kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato, karoto na karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pācāpento, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento, yajanto yajāpento, natthi tatonidānaṃ puññaṃ, natthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena natthi puññaṃ, natthi puññassa āgamo’ti. ‘Sace tassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, apaṇṇakatāya mayhaṃ, yvāhaṃ na kiñci byābādhemi tasaṃ vā thāvaraṃ vā? Ubhayamettha kaṭaggāho, yaṃ camhi kāyena saṃvuto vācāya saṃvuto manasā saṃvuto, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissāmī’ti 22. Tassa pāmojjaṃ jāyati. Pamuditassa pīti jāyati. Pītimanassa kāyo passambhati. Passaddhakāyo sukhaṃ vedayati. Sukhino cittaṃ samādhiyati. Ayaṃ kho, gāmaṇi, dhammasamādhi tatra ce tvaṃ cittasamādhiṃ paṭilabheyyāsi, evaṃ tvaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyyāsi.

    ‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต เมตฺตาสหคเต เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ, อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยฺวายํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต, กโรโต กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปาจาเปโนฺต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต, ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน อตฺถิ ปุญฺญํ อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมติฯ สเจ ตสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อปณฺณกตาย มยฺหํ, ยฺวาหํ น กิญฺจิ พฺยาพาเธมิ ตสํ วา ถาวรํ วา? อุภยเมตฺถ กฎคฺคาโห, ยํ จมฺหิ กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสามี’ติฯ ตสฺส ปาโมชฺชํ ชายติฯ ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติฯ ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติฯ ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวทยติฯ สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ อยํ โข, คามณิ, ธมฺมสมาธิฯ ตตฺร เจ ตฺวํ จิตฺตสมาธิํ ปฎิลเภยฺยาสิ, เอวํ ตฺวํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยาสิฯ

    ‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato mettāsahagate cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ, iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. So iti paṭisañcikkhati – ‘yvāyaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – karoto kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato, karoto karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pācāpento, atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento, yajanto yajāpento, atthi tatonidānaṃ puññaṃ, atthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena atthi puññaṃ atthi puññassa āgamoti. Sace tassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, apaṇṇakatāya mayhaṃ, yvāhaṃ na kiñci byābādhemi tasaṃ vā thāvaraṃ vā? Ubhayamettha kaṭaggāho, yaṃ camhi kāyena saṃvuto vācāya saṃvuto manasā saṃvuto, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissāmī’ti. Tassa pāmojjaṃ jāyati. Pamuditassa pīti jāyati. Pītimanassa kāyo passambhati. Passaddhakāyo sukhaṃ vedayati. Sukhino cittaṃ samādhiyati. Ayaṃ kho, gāmaṇi, dhammasamādhi. Tatra ce tvaṃ cittasamādhiṃ paṭilabheyyāsi, evaṃ tvaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyyāsi.

    ‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต กรุณาสหคเต เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ…เป.… มุทิตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ…เป.…ฯ

    ‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato karuṇāsahagate cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati…pe… muditāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati…pe….

    ‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต อุเปกฺขาสหคเต เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ, อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยฺวายํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฎฺฐํ, นตฺถิ หุตํ นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ มาตา นตฺถิ ปิตา นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฎิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีติฯ สเจ ตสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อปณฺณกตาย มยฺหํ, ยฺวาหํ น กิญฺจิ พฺยาพาเธมิ ตสํ วา ถาวรํ วา? อุภยเมตฺถ กฎคฺคาโห, ยํ จมฺหิ กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต , ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสามี’ติฯ ตสฺส ปาโมชฺชํ ชายติฯ ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติฯ ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติฯ ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวทยติฯ สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ อยํ โข, คามณิ, ธมฺมสมาธิฯ ตตฺร เจ ตฺวํ จิตฺตสมาธิํ ปฎิลเภยฺยาสิ, เอวํ ตฺวํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยาสิฯ

    ‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato upekkhāsahagate cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ, iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. So iti paṭisañcikkhati – ‘yvāyaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – natthi dinnaṃ, natthi yiṭṭhaṃ, natthi hutaṃ natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko, natthi ayaṃ loko natthi paro loko, natthi mātā natthi pitā natthi sattā opapātikā, natthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā sammāpaṭipannā ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentīti. Sace tassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, apaṇṇakatāya mayhaṃ, yvāhaṃ na kiñci byābādhemi tasaṃ vā thāvaraṃ vā? Ubhayamettha kaṭaggāho, yaṃ camhi kāyena saṃvuto vācāya saṃvuto manasā saṃvuto , yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissāmī’ti. Tassa pāmojjaṃ jāyati. Pamuditassa pīti jāyati. Pītimanassa kāyo passambhati. Passaddhakāyo sukhaṃ vedayati. Sukhino cittaṃ samādhiyati. Ayaṃ kho, gāmaṇi, dhammasamādhi. Tatra ce tvaṃ cittasamādhiṃ paṭilabheyyāsi, evaṃ tvaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyyāsi.

    ‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต อุเปกฺขาสหคเต เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ, อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยฺวายํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – อตฺถิ ทินฺนํ, อตฺถิ ยิฎฺฐํ, อตฺถิ หุตํ, อตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, อตฺถิ อยํ โลโก อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ มาตา อตฺถิ ปิตา อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฎิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีติฯ สเจ ตสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อปณฺณกตาย มยฺหํ, ยฺวาหํ น กิญฺจิ พฺยาพาเธมิ ตสํ วา ถาวรํ วา? อุภยเมตฺถ กฎคฺคาโห, ยํ จมฺหิ กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสามี’ติฯ ตสฺส ปาโมชฺชํ ชายติฯ ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติฯ ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติฯ ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวทยติฯ สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ อยํ โข, คามณิ, ธมฺมสมาธิฯ ตตฺร เจ ตฺวํ จิตฺตสมาธิํ ปฎิลเภยฺยาสิ, เอวํ ตฺวํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยาสิฯ

    ‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato upekkhāsahagate cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ, iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. So iti paṭisañcikkhati – ‘yvāyaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – atthi dinnaṃ, atthi yiṭṭhaṃ, atthi hutaṃ, atthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko, atthi ayaṃ loko atthi paro loko, atthi mātā atthi pitā atthi sattā opapātikā, atthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā sammāpaṭipannā ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentīti. Sace tassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, apaṇṇakatāya mayhaṃ, yvāhaṃ na kiñci byābādhemi tasaṃ vā thāvaraṃ vā? Ubhayamettha kaṭaggāho, yaṃ camhi kāyena saṃvuto vācāya saṃvuto manasā saṃvuto, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissāmī’ti. Tassa pāmojjaṃ jāyati. Pamuditassa pīti jāyati. Pītimanassa kāyo passambhati. Passaddhakāyo sukhaṃ vedayati. Sukhino cittaṃ samādhiyati. Ayaṃ kho, gāmaṇi, dhammasamādhi. Tatra ce tvaṃ cittasamādhiṃ paṭilabheyyāsi, evaṃ tvaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyyāsi.

    ‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต อุเปกฺขาสหคเต เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ, อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยฺวายํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – กโรโต การยโต, เฉทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต, กโรโต น กรียติ ปาปํ ฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปาจาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต, ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติฯ ‘สเจ ตสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อปณฺณกตาย มยฺหํ, ยฺวาหํ น กิญฺจิ พฺยาพาเธมิ ตสํ วา ถาวรํ วา? อุภยเมตฺถ กฎคฺคาโห, ยํ จมฺหิ กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสามี’ติฯ ตสฺส ปาโมชฺชํ ชายติฯ ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติฯ ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติฯ ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวทยติฯ สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ อยํ โข, คามณิ, ธมฺมสมาธิฯ ตตฺร เจ ตฺวํ จิตฺตสมาธิํ ปฎิลเภยฺยาสิ, เอวํ ตฺวํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยาสิฯ

    ‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato upekkhāsahagate cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ, iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. So iti paṭisañcikkhati – ‘yvāyaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – karoto kārayato, chedato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato, karoto na karīyati pāpaṃ . Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pācāpento, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento, yajanto yajāpento, natthi tatonidānaṃ puññaṃ, natthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena natthi puññaṃ, natthi puññassa āgamo’ti. ‘Sace tassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, apaṇṇakatāya mayhaṃ, yvāhaṃ na kiñci byābādhemi tasaṃ vā thāvaraṃ vā? Ubhayamettha kaṭaggāho, yaṃ camhi kāyena saṃvuto vācāya saṃvuto manasā saṃvuto, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissāmī’ti. Tassa pāmojjaṃ jāyati. Pamuditassa pīti jāyati. Pītimanassa kāyo passambhati. Passaddhakāyo sukhaṃ vedayati. Sukhino cittaṃ samādhiyati. Ayaṃ kho, gāmaṇi, dhammasamādhi. Tatra ce tvaṃ cittasamādhiṃ paṭilabheyyāsi, evaṃ tvaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyyāsi.

    ‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต อุเปกฺขาสหคเต เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ, อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยฺวายํ สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต, กโรโต กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต ปจโนฺต ปาจาเปโนฺต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต, ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน อตฺถิ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติฯ ‘สเจ ตสฺส โภโต สตฺถุโน สจฺจํ วจนํ, อปณฺณกตาย มยฺหํ, ยฺวาหํ น กิญฺจิ พฺยาพาเธมิ ตสํ วา ถาวรํ วา? อุภยเมตฺถ กฎคฺคาโห, ยํ จมฺหิ กาเยน สํวุโต วาจาย สํวุโต มนสา สํวุโต, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสามี’ติฯ ตสฺส ปาโมชฺชํ ชายติฯ ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติฯ ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติฯ ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวทยติฯ สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ อยํ โข, คามณิ, ธมฺมสมาธิฯ ตตฺร เจ ตฺวํ จิตฺตสมาธิํ ปฎิลเภยฺยาสิ, เอวํ ตฺวํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยาสี’’ติฯ

    ‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato upekkhāsahagate cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ, iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. So iti paṭisañcikkhati – ‘yvāyaṃ satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – karoto kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato, karoto karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento chindanto chedāpento pacanto pācāpento, atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento, yajanto yajāpento, atthi tatonidānaṃ puññaṃ, atthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena atthi puññaṃ, atthi puññassa āgamo’ti. ‘Sace tassa bhoto satthuno saccaṃ vacanaṃ, apaṇṇakatāya mayhaṃ, yvāhaṃ na kiñci byābādhemi tasaṃ vā thāvaraṃ vā? Ubhayamettha kaṭaggāho, yaṃ camhi kāyena saṃvuto vācāya saṃvuto manasā saṃvuto, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissāmī’ti. Tassa pāmojjaṃ jāyati. Pamuditassa pīti jāyati. Pītimanassa kāyo passambhati. Passaddhakāyo sukhaṃ vedayati. Sukhino cittaṃ samādhiyati. Ayaṃ kho, gāmaṇi, dhammasamādhi. Tatra ce tvaṃ cittasamādhiṃ paṭilabheyyāsi, evaṃ tvaṃ imaṃ kaṅkhādhammaṃ pajaheyyāsī’’ti.

    เอวํ วุเตฺต, ปาฎลิโย คามณิ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต, อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต…เป.… อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ เตรสมํฯ

    Evaṃ vutte, pāṭaliyo gāmaṇi bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhikkantaṃ, bhante, abhikkantaṃ, bhante…pe… ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti. Terasamaṃ.

    คามณิสํยุตฺตํ สมตฺตํฯ

    Gāmaṇisaṃyuttaṃ samattaṃ.

    ตสฺสุทฺทานํ –

    Tassuddānaṃ –

    จโณฺฑ ปุโฎ โยธาชีโว, หตฺถโสฺส อสิพนฺธโก;

    Caṇḍo puṭo yodhājīvo, hatthasso asibandhako;

    เทสนา สงฺขกุลํ มณิจูฬํ, ภทฺรราสิยปาฎลีติฯ

    Desanā saṅkhakulaṃ maṇicūḷaṃ, bhadrarāsiyapāṭalīti.







    Footnotes:
    1. อุตฺตรกํ นาม (สี.)
    2. uttarakaṃ nāma (sī.)
    3. ตานิ จ ปหาตุํ (สฺยา. กํ.), ตานิ จ ยาตุํ (กตฺถจิ), ตานิ จาวหาตุํ (?)
    4. tāni ca pahātuṃ (syā. kaṃ.), tāni ca yātuṃ (katthaci), tāni cāvahātuṃ (?)
    5. สุนหาโต (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    6. sunahāto (sī. syā. kaṃ. pī.)
    7. รถิกาย รถิกํ (สี.)
    8. ฉิชฺชตีติ (กตฺถจิ)
    9. rathikāya rathikaṃ (sī.)
    10. chijjatīti (katthaci)
    11. ปสยฺห อทินฺนํ รตนํ อาทิยิ (ก.)
    12. pasayha adinnaṃ ratanaṃ ādiyi (ka.)
    13. โยหํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    14. กญฺจิ (?)
    15. อุภยตฺถ เม (?) ม. นิ. ๒.๙๕ ปาฬิยา สํสเนฺทตพฺพํ
    16. ปรํ มรณา น อุปปชฺชิสฺสามีติ (?)
    17. yohaṃ (sī. syā. kaṃ. pī.)
    18. kañci (?)
    19. ubhayattha me (?) ma. ni. 2.95 pāḷiyā saṃsandetabbaṃ
    20. paraṃ maraṇā na upapajjissāmīti (?)
    21. ปรํ มรณา น อุปปชฺชิสฺสามีติ (?)
    22. paraṃ maraṇā na upapajjissāmīti (?)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๓. ปาฎลิยสุตฺตวณฺณนา • 13. Pāṭaliyasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๓. ปาฎลิยสุตฺตวณฺณนา • 13. Pāṭaliyasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact