Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๑. โพธิวโคฺค
1. Bodhivaggo
๑. ปฐมโพธิสุตฺตวณฺณนา
1. Paṭhamabodhisuttavaṇṇanā
๑. ยํ ปเนตฺถ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิกํ นิทานํ, ตตฺถ เอวนฺติ นิปาตปทํฯ เมติอาทีนิ นามปทานิฯ อุรุเวลายํ วิหรตีติ เอตฺถ วีติ อุปสคฺคปทํ, หรตีติ อาขฺยาตปทนฺติ อิมินาว นเยน สพฺพตฺถ ปทวิภาโค เวทิตโพฺพฯ
1. Yaṃ panettha ‘‘evaṃ me suta’’ntiādikaṃ nidānaṃ, tattha evanti nipātapadaṃ. Metiādīni nāmapadāni. Uruvelāyaṃ viharatīti ettha vīti upasaggapadaṃ, haratīti ākhyātapadanti imināva nayena sabbattha padavibhāgo veditabbo.
อตฺถโต ปน เอวํสโทฺท ตาว อุปมูปเทสสมฺปหํสนครหณวจนสมฺปฎิคฺคหาการ- นิทสฺสนาวธารณปุจฺฉาอิทมตฺถปริมาณาทิ อเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา เหส ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจน, กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (ธ. ป. ๕๓) อุปมายํ อาคโตฯ ‘‘เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ, เอวํ เต ปฎิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๒๒) อุปเทเสฯ ‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) สมฺปหํสเนฯ ‘‘เอวเมวํ ปนายํ วสลี ยสฺมิํ วา ตสฺมิํ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส วณฺณํ ภาสตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๘๗) ครหเณฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺตติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓; ม. นิ. ๑.๑) วจนสมฺปฎิคฺคเหฯ ‘‘เอวํ พฺยา โข อหํ, ภเนฺต, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๙๘) อากาเรฯ ‘‘เอหิ ตฺวํ, มาณวก, เยน สมโณ อานโนฺท เตนุปสงฺกม, อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ ‘สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี’ติ, เอวญฺจ วเทหิ ‘สาธุ กิร ภวํ อานโนฺท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ, เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’ติ’’อาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๕) นิทสฺสเนฯ ‘‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, กาลามา, อิเม ธมฺมา กุสลา วา อกุสลา วา’ติ? ‘อกุสลา, ภเนฺต’ฯ ‘สาวชฺชา วา อนวชฺชา วา’ติ? ‘สาวชฺชา, ภเนฺต’ฯ ‘วิญฺญูครหิตา วา วิญฺญุปฺปสตฺถา วา’ติ? ‘วิญฺญูครหิตา, ภเนฺต’ฯ ‘สมตฺตา สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ, โน’วา? ‘กถํ โว เอตฺถ โหตี’ติ? ‘สมตฺตา, ภเนฺต, สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ, เอวํ โน เอตฺถ โหตีติ’’’อาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) อวธารเณฯ ‘‘เอวเมเต สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา กปฺปิตเกสมสฺสู อามุตฺตมาลาภรณา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๘๖) ปุจฺฉายํฯ ‘‘เอวํคตานิ ปุถุสิปฺปายตนานิ (ที. นิ. ๑.๑๘๒), เอวํวิโธ เอวมากาโร’’ติอาทีสุ อิทํสทฺทสฺส อเตฺถฯ คตสโทฺท หิ ปการปริยาโย, ตถา วิธาการสทฺทาฯ ตถา หิ วิธยุตฺตคตสเทฺท โลกิยา ปการเตฺถ วทนฺติฯ ‘‘เอวํ ลหุปริวตฺตํ เอวมายุปริยโนฺต’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๑.๔๘) ปริมาเณฯ
Atthato pana evaṃsaddo tāva upamūpadesasampahaṃsanagarahaṇavacanasampaṭiggahākāra- nidassanāvadhāraṇapucchāidamatthaparimāṇādi anekatthappabhedo. Tathā hesa ‘‘evaṃ jātena maccena, kattabbaṃ kusalaṃ bahu’’nti evamādīsu (dha. pa. 53) upamāyaṃ āgato. ‘‘Evaṃ te abhikkamitabbaṃ, evaṃ te paṭikkamitabba’’ntiādīsu (a. ni. 4.122) upadese. ‘‘Evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’tiādīsu (a. ni. 3.66) sampahaṃsane. ‘‘Evamevaṃ panāyaṃ vasalī yasmiṃ vā tasmiṃ vā tassa muṇḍakassa samaṇakassa vaṇṇaṃ bhāsatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.187) garahaṇe. ‘‘Evaṃ, bhanteti kho te bhikkhū bhagavato paccassosu’’ntiādīsu (dī. ni. 2.3; ma. ni. 1.1) vacanasampaṭiggahe. ‘‘Evaṃ byā kho ahaṃ, bhante, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.398) ākāre. ‘‘Ehi tvaṃ, māṇavaka, yena samaṇo ānando tenupasaṅkama, upasaṅkamitvā mama vacanena samaṇaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ puccha ‘subho māṇavo todeyyaputto bhavantaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchatī’ti, evañca vadehi ‘sādhu kira bhavaṃ ānando yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ, tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’ti’’ādīsu (dī. ni. 1.445) nidassane. ‘‘‘Taṃ kiṃ maññatha, kālāmā, ime dhammā kusalā vā akusalā vā’ti? ‘Akusalā, bhante’. ‘Sāvajjā vā anavajjā vā’ti? ‘Sāvajjā, bhante’. ‘Viññūgarahitā vā viññuppasatthā vā’ti? ‘Viññūgarahitā, bhante’. ‘Samattā samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti, no’vā? ‘Kathaṃ vo ettha hotī’ti? ‘Samattā, bhante, samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti, evaṃ no ettha hotīti’’’ādīsu (a. ni. 3.66) avadhāraṇe. ‘‘Evamete sunhātā suvilittā kappitakesamassū āmuttamālābharaṇā’’tiādīsu (dī. ni. 1.286) pucchāyaṃ. ‘‘Evaṃgatāni puthusippāyatanāni (dī. ni. 1.182), evaṃvidho evamākāro’’tiādīsu idaṃsaddassa atthe. Gatasaddo hi pakārapariyāyo, tathā vidhākārasaddā. Tathā hi vidhayuttagatasadde lokiyā pakāratthe vadanti. ‘‘Evaṃ lahuparivattaṃ evamāyupariyanto’’tiādīsu (a. ni. 1.48) parimāṇe.
นนุ จ ‘‘เอวํ วิตกฺกิตํ โน ตุเมฺหหิ, เอวมายุปริยโนฺต’’ติ เจตฺถ เอวํสเทฺทน ปุจฺฉนาการปริมาณาการานํ วุตฺตตฺตา อาการโตฺถ เอว เอวํสโทฺทติฯ น, วิเสสสพฺภาวโตฯ อาการมตฺตวาจโก เหตฺถ เอวํสโทฺท อาการโตฺถติ อธิเปฺปโตฯ ‘‘เอวํ พฺยา โข’’ติอาทีสุ ปน อาการวิเสสวจโนฯ อาการวิเสสวาจิโน เจเต เอวํสทฺทา ปุจฺฉนาการปริมาณาการานํ วาจกตฺตาฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจนา’’ติอาทีนิ อุปมานอุทาหรณานิ ยุชฺชนฺติฯ ตตฺถ หิ –
Nanu ca ‘‘evaṃ vitakkitaṃ no tumhehi, evamāyupariyanto’’ti cettha evaṃsaddena pucchanākāraparimāṇākārānaṃ vuttattā ākārattho eva evaṃsaddoti. Na, visesasabbhāvato. Ākāramattavācako hettha evaṃsaddo ākāratthoti adhippeto. ‘‘Evaṃ byā kho’’tiādīsu pana ākāravisesavacano. Ākāravisesavācino cete evaṃsaddā pucchanākāraparimāṇākārānaṃ vācakattā. Evañca katvā ‘‘evaṃ jātena maccenā’’tiādīni upamānaudāharaṇāni yujjanti. Tattha hi –
‘‘ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา, กยิรา มาลาคุเณ พหู;
‘‘Yathāpi puppharāsimhā, kayirā mālāguṇe bahū;
เอวํ ชาเตน มเจฺจน, กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ’’นฺติฯ –
Evaṃ jātena maccena, kattabbaṃ kusalaṃ bahu’’nti. –
เอตฺถ ปุปฺผราสิฎฺฐานียโต มนุสฺสุปฺปตฺติ สปฺปุริสูปนิสฺสยสทฺธมฺมสฺสวนโยนิโสมนสิการโภคสมฺปตฺติอาทิโต ทานาทิปุญฺญกิริยาเหตุสมุทายโต โสภาสุคนฺธตาทิคุณวิเสสโยคโต มาลาคุณสทิสิโย พหุกา ปุญฺญกิริยา มริตพฺพสภาวตาย มเจฺจน กตฺตพฺพาติ อเภทตาย ปุปฺผราสิ มาลาคุณา จ อุปมา, เตสํ อุปมานากาโร ยถาสเทฺทน อนิยมโต วุโตฺตฯ ปุน เอวํสเทฺทน นิยมนวเสน วุโตฺตฯ โส ปน อุปมากาโร นิยมิยมาโน อตฺถโต อุปมา เอว โหตีติ วุตฺตํ ‘‘อุปมายํ อาคโต’’ติฯ
Ettha puppharāsiṭṭhānīyato manussuppatti sappurisūpanissayasaddhammassavanayonisomanasikārabhogasampattiādito dānādipuññakiriyāhetusamudāyato sobhāsugandhatādiguṇavisesayogato mālāguṇasadisiyo bahukā puññakiriyā maritabbasabhāvatāya maccena kattabbāti abhedatāya puppharāsi mālāguṇā ca upamā, tesaṃ upamānākāro yathāsaddena aniyamato vutto. Puna evaṃsaddena niyamanavasena vutto. So pana upamākāro niyamiyamāno atthato upamā eva hotīti vuttaṃ ‘‘upamāyaṃ āgato’’ti.
ตถา ‘‘เอวํ อิมินา อากาเรน อภิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทินา อุปทิสิยมานาย สมณสารุปฺปาย อากปฺปสมฺปตฺติยา โย ตตฺถ อุปเทสากาโร, โส อตฺถโต อุปเทโสเยวาติ วุตฺตํ – ‘‘เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ, เอวํ เต ปฎิกฺกมิตพฺพนฺติอาทีสุ อุปเทเส’’ติฯ
Tathā ‘‘evaṃ iminā ākārena abhikkamitabba’’ntiādinā upadisiyamānāya samaṇasāruppāya ākappasampattiyā yo tattha upadesākāro, so atthato upadesoyevāti vuttaṃ – ‘‘evaṃ te abhikkamitabbaṃ, evaṃ te paṭikkamitabbantiādīsu upadese’’ti.
‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติ เอตฺถ ภควตา ยถาวุตฺตมตฺถํ อวิปรีตโต ชานเนฺตหิ กตํ ยํ ตตฺถ วิชฺชมานคุณานํ ปกาเรหิ หํสนํ อุทคฺคตากรณํ สมฺปหํสนํ, โส ตตฺถ ปหํสนากาโรติ วุตฺตนเยน โยเชตพฺพํฯ
‘‘Evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’ti ettha bhagavatā yathāvuttamatthaṃ aviparītato jānantehi kataṃ yaṃ tattha vijjamānaguṇānaṃ pakārehi haṃsanaṃ udaggatākaraṇaṃ sampahaṃsanaṃ, so tattha pahaṃsanākāroti vuttanayena yojetabbaṃ.
‘‘เอวเมวํ ปนาย’’นฺติ เอตฺถ ครหณากาโรติ วุตฺตนเยน โยเชตพฺพํฯ โส จ ครหณากาโร ‘‘วสลี’’ติอาทิขุํสนสทฺทสนฺนิธานโต อิธ เอวํสเทฺทน ปกาสิโตติ วิญฺญายติฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อุปมาการาทโยปิ อุปมาทิวเสน วุตฺตานํ ปุปฺผราสิอาทิสทฺทานํ สนฺนิธานโต วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ
‘‘Evamevaṃ panāya’’nti ettha garahaṇākāroti vuttanayena yojetabbaṃ. So ca garahaṇākāro ‘‘vasalī’’tiādikhuṃsanasaddasannidhānato idha evaṃsaddena pakāsitoti viññāyati. Yathā cettha, evaṃ upamākārādayopi upamādivasena vuttānaṃ puppharāsiādisaddānaṃ sannidhānato vuttāti veditabbaṃ.
‘‘เอวํ โน’’ติ เอตฺถาปิ เตสํ ยถาวุตฺตธมฺมานํ อหิตทุกฺขาวหภาเวน สนฺนิฎฺฐานชนนตฺถํ อนุมติคฺคหณวเสน ‘‘โน วา กถํ โว เอตฺถ โหตี’’ติ ปุจฺฉาย กตาย ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติ วุตฺตตฺตา ตทาการสนฺนิฎฺฐานํ เอวํสเทฺทน อาวิกตํฯ โส ปน เตสํ ธมฺมานํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนากาโร นิยมิยมาโน อวธารณโตฺถ โหตีติ วุตฺตํ – ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตีติอาทีสุ อวธารเณ’’ติฯ
‘‘Evaṃ no’’ti etthāpi tesaṃ yathāvuttadhammānaṃ ahitadukkhāvahabhāvena sanniṭṭhānajananatthaṃ anumatiggahaṇavasena ‘‘no vā kathaṃ vo ettha hotī’’ti pucchāya katāya ‘‘evaṃ no ettha hotī’’ti vuttattā tadākārasanniṭṭhānaṃ evaṃsaddena āvikataṃ. So pana tesaṃ dhammānaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattanākāro niyamiyamāno avadhāraṇattho hotīti vuttaṃ – ‘‘evaṃ no ettha hotītiādīsu avadhāraṇe’’ti.
‘‘เอวญฺจ วเทหี’’ติ ยถาหํ วทามิ เอวํ สมณํ อานนฺทํ วเทหีติ วทนากาโร อิทานิ วตฺตโพฺพ เอวํสเทฺทน นิทสฺสียตีติ ‘‘นิทสฺสนโตฺถ’’ติ วุตฺตํฯ
‘‘Evañca vadehī’’ti yathāhaṃ vadāmi evaṃ samaṇaṃ ānandaṃ vadehīti vadanākāro idāni vattabbo evaṃsaddena nidassīyatīti ‘‘nidassanattho’’ti vuttaṃ.
เอวมาการวิเสสวาจีนมฺปิ เอเตสํ เอวํสทฺทานํ อุปมาทิวิเสสตฺถวุตฺติตาย อุปมาทิอตฺถตา วุตฺตาฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ ปน ธมฺมสฺส สาธุกํ สวนมนสิกาเร นิโยชิเตหิ ภิกฺขูหิ ตตฺถ ปติฎฺฐิตภาวสฺส ปฎิชานนวเสน วุตฺตตฺตา ตตฺถ เอวํสโทฺท วจนสมฺปฎิคฺคหโตฺถฯ เตน เอวํ, ภเนฺตติ สาธุ, ภเนฺต, สุฎฺฐุ, ภเนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ สฺวายมิธ อาการนิทสฺสนาวธารเณสุ ทฎฺฐโพฺพฯ
Evamākāravisesavācīnampi etesaṃ evaṃsaddānaṃ upamādivisesatthavuttitāya upamādiatthatā vuttā. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti pana dhammassa sādhukaṃ savanamanasikāre niyojitehi bhikkhūhi tattha patiṭṭhitabhāvassa paṭijānanavasena vuttattā tattha evaṃsaddo vacanasampaṭiggahattho. Tena evaṃ, bhanteti sādhu, bhante, suṭṭhu, bhanteti vuttaṃ hoti. Svāyamidha ākāranidassanāvadhāraṇesu daṭṭhabbo.
ตตฺถ อาการเตฺถน เอวํสเทฺทน เอตมตฺถํ ทีเปติ – นานานยนิปุณมเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ วิวิธปาฎิหาริยํ ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธคมฺภีรํ สพฺพสตฺตานํ สกสกภาสานุรูปโต โสตปถมาคจฺฉนฺตํ ตสฺส ภควโต วจนํ สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุํ, สพฺพถาเมน ปน โสตุกามตํ ชเนตฺวาปิ เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอเกนากาเรน สุตนฺติฯ
Tattha ākāratthena evaṃsaddena etamatthaṃ dīpeti – nānānayanipuṇamanekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ atthabyañjanasampannaṃ vividhapāṭihāriyaṃ dhammatthadesanāpaṭivedhagambhīraṃ sabbasattānaṃ sakasakabhāsānurūpato sotapathamāgacchantaṃ tassa bhagavato vacanaṃ sabbappakārena ko samattho viññātuṃ, sabbathāmena pana sotukāmataṃ janetvāpi evaṃ me sutaṃ, mayāpi ekenākārena sutanti.
เอตฺถ จ เอกตฺตนานตฺตอพฺยาปารเอวํธมฺมตาสงฺขาตา นนฺทิยาวตฺตติปุกฺขลสีหวิกฺกีฬิตทิสาโลจนองฺกุสสงฺขาตา จ อสฺสาทาทิวิสยาทิเภเทน นานาวิธา นยา นานานยาฯ นยา วา ปาฬิคติโย, ตา จ ปญฺญตฺติอนุปญฺญตฺตาทิวเสน สํกิเลสภาคิยาทิโลกิยาทิตทุภยโวมิสฺสกาทิวเสน กุสลาทิวเสน ขนฺธาทิวเสน, สงฺคหาทิวเสน, สมยวิมุตฺตาทิวเสน, ฐปนาทิวเสน , กุสลมูลาทิวเสน, ติกปฎฺฐานาทิวเสน จ นานปฺปการาติ นานานยา, เตหิ นิปุณํ สณฺหํ สุขุมนฺติ นานานยนิปุณํฯ
Ettha ca ekattanānattaabyāpāraevaṃdhammatāsaṅkhātā nandiyāvattatipukkhalasīhavikkīḷitadisālocanaaṅkusasaṅkhātā ca assādādivisayādibhedena nānāvidhā nayā nānānayā. Nayā vā pāḷigatiyo, tā ca paññattianupaññattādivasena saṃkilesabhāgiyādilokiyāditadubhayavomissakādivasena kusalādivasena khandhādivasena, saṅgahādivasena, samayavimuttādivasena, ṭhapanādivasena , kusalamūlādivasena, tikapaṭṭhānādivasena ca nānappakārāti nānānayā, tehi nipuṇaṃ saṇhaṃ sukhumanti nānānayanipuṇaṃ.
อาสโยว อชฺฌาสโย, โส จ สสฺสตาทิเภเทน อปฺปรชกฺขตาทิเภเทน จ อเนกวิโธฯ อตฺตชฺฌาสยาทิโก เอว วา อเนโก อชฺฌาสโย อเนกชฺฌาสโยฯ โส สมุฎฺฐานํ อุปฺปตฺติเหตุ เอตสฺสาติ อเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํฯ
Āsayova ajjhāsayo, so ca sassatādibhedena apparajakkhatādibhedena ca anekavidho. Attajjhāsayādiko eva vā aneko ajjhāsayo anekajjhāsayo. So samuṭṭhānaṃ uppattihetu etassāti anekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ.
สีลาทิอตฺถสมฺปตฺติยา ตพฺพิภาวนพฺยญฺชนสมฺปตฺติยา สงฺกาสนปกาสนวิวรณวิภชนอุตฺตานีกรณปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตตฺตา อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํฯ
Sīlādiatthasampattiyā tabbibhāvanabyañjanasampattiyā saṅkāsanapakāsanavivaraṇavibhajanauttānīkaraṇapaññattivasena chahi atthapadehi akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatattā atthabyañjanasampannaṃ.
อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีเภเทน เตสุ จ เอเกกสฺส วิสยาทิเภเทน วิวิธํ พหุวิธํ วา ปาฎิหาริยํ เอตสฺสาติ วิวิธปาฎิหาริยํฯ ตตฺถ ปฎิปกฺขหรณโต ราคาทิกิเลสาปนยนโต ปาฎิหาริยนฺติ อเตฺถ สติ ภควโต น ปฎิปกฺขา ราคาทโย สนฺติ เย หริตพฺพา, ปุถุชฺชนานมฺปิ วิคตูปกฺกิเลเส อฎฺฐคุณสมนฺนาคเต จิเตฺต หตปฎิปเกฺข อิทฺธิวิธํ ปวตฺตติ, ตสฺมา ตตฺถ ปวตฺตโวหาเรน จ น สกฺกา อิธ ปาฎิหาริยนฺติ วตฺตุํฯ สเจ ปน มหาการุณิกสฺส ภควโต เวเนยฺยคตา จ กิเลสา ปฎิปกฺขา, เตสํ หรณโต ปาฎิหาริยนฺติ วุตฺตํ, เอวํ สติ ยุตฺตเมตํฯ อถ วา ภควโต เจว สาสนสฺส จ ปฎิปกฺขา ติตฺถิยา, เตสํ หรณโต ปาฎิหาริยํฯ เต หิ ทิฎฺฐิหรณวเสน ทิฎฺฐิปฺปกาสเน อสมตฺถภาเวน จ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีหิ หริตา อปนีตา โหนฺติฯ ปฎีติ วา อยํ สโทฺท ปจฺฉาติ เอตสฺส อตฺถํ โพเธติ ‘‘ตสฺมิํ ปฎิปวิฎฺฐมฺหิ, อโญฺญ อาคญฺฉิ พฺราหฺมโณ’’ติอาทีสุ (จูฬนิ. ปารายนวคฺค, วตฺถุคาถา ๔) วิยฯ ตสฺมา สมาหิเต จิเตฺต วิคตูปกฺกิเลเส กตกิเจฺจน ปจฺฉา หริตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ ปฎิหาริยํฯ อตฺตโน วา อุปกฺกิเลเสสุ จตุตฺถชฺฌานมเคฺคหิ หริเตสุ ปจฺฉา หรณํ ปฎิหาริยํฯ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิโย วิคตูปกฺกิเลเสน กตกิเจฺจน สตฺตหิตตฺถํ ปุน ปวเตฺตตพฺพา, หริเตสุ จ อตฺตโน อุปกฺกิเลเสสุ ปรสตฺตานํ อุปกฺกิเลสหรณานิ โหนฺตีติ ปฎิหาริยานิ ภวนฺติฯ ปฎิหาริยเมว ปาฎิหาริยํ, ปฎิหาริเย วา อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีสมุทาเย ภวํ เอเกกํ ปาฎิหาริยนฺติ วุจฺจติฯ ปฎิหาริยํ วา จตุตฺถชฺฌานํ มโคฺค จ ปฎิปกฺขหรณโตฯ ตตฺถ ชาตํ นิมิตฺตภูตโต ตโต วา อาคตนฺติ ปาฎิหาริยนฺติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Iddhiādesanānusāsanībhedena tesu ca ekekassa visayādibhedena vividhaṃ bahuvidhaṃ vā pāṭihāriyaṃ etassāti vividhapāṭihāriyaṃ. Tattha paṭipakkhaharaṇato rāgādikilesāpanayanato pāṭihāriyanti atthe sati bhagavato na paṭipakkhā rāgādayo santi ye haritabbā, puthujjanānampi vigatūpakkilese aṭṭhaguṇasamannāgate citte hatapaṭipakkhe iddhividhaṃ pavattati, tasmā tattha pavattavohārena ca na sakkā idha pāṭihāriyanti vattuṃ. Sace pana mahākāruṇikassa bhagavato veneyyagatā ca kilesā paṭipakkhā, tesaṃ haraṇato pāṭihāriyanti vuttaṃ, evaṃ sati yuttametaṃ. Atha vā bhagavato ceva sāsanassa ca paṭipakkhā titthiyā, tesaṃ haraṇato pāṭihāriyaṃ. Te hi diṭṭhiharaṇavasena diṭṭhippakāsane asamatthabhāvena ca iddhiādesanānusāsanīhi haritā apanītā honti. Paṭīti vā ayaṃ saddo pacchāti etassa atthaṃ bodheti ‘‘tasmiṃ paṭipaviṭṭhamhi, añño āgañchi brāhmaṇo’’tiādīsu (cūḷani. pārāyanavagga, vatthugāthā 4) viya. Tasmā samāhite citte vigatūpakkilese katakiccena pacchā haritabbaṃ pavattetabbanti paṭihāriyaṃ. Attano vā upakkilesesu catutthajjhānamaggehi haritesu pacchā haraṇaṃ paṭihāriyaṃ. Iddhiādesanānusāsaniyo vigatūpakkilesena katakiccena sattahitatthaṃ puna pavattetabbā, haritesu ca attano upakkilesesu parasattānaṃ upakkilesaharaṇāni hontīti paṭihāriyāni bhavanti. Paṭihāriyameva pāṭihāriyaṃ, paṭihāriye vā iddhiādesanānusāsanīsamudāye bhavaṃ ekekaṃ pāṭihāriyanti vuccati. Paṭihāriyaṃ vā catutthajjhānaṃ maggo ca paṭipakkhaharaṇato. Tattha jātaṃ nimittabhūtato tato vā āgatanti pāṭihāriyanti attho veditabbo.
ยสฺมา ปน ตนฺติอตฺถเทสนา ตโพฺพหาราภิสมยสงฺขาตา เหตุเหตุผลตทุภยปญฺญตฺติปฎิเวธสงฺขาตา วา ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธา คมฺภีรา, สสาทีหิ วิย มหาสมุโทฺท อนุปจิตกุสลสมฺภาเรหิ อลพฺภเนยฺยปฺปติฎฺฐา ทุปฺปริโยคาหา จ, ตสฺมา เตหิ จตูหิ คมฺภีรภาเวหิ ยุตฺตนฺติ ภควโต วจนํ ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธคมฺภีรํฯ
Yasmā pana tantiatthadesanā tabbohārābhisamayasaṅkhātā hetuhetuphalatadubhayapaññattipaṭivedhasaṅkhātā vā dhammatthadesanāpaṭivedhā gambhīrā, sasādīhi viya mahāsamuddo anupacitakusalasambhārehi alabbhaneyyappatiṭṭhā duppariyogāhā ca, tasmā tehi catūhi gambhīrabhāvehi yuttanti bhagavato vacanaṃ dhammatthadesanāpaṭivedhagambhīraṃ.
เอโก เอว ภควโต ธมฺมเทสนาโฆโส, เอกสฺมิํ ขเณ ปวตฺตมาโน นานาภาสานํ สตฺตานํ อตฺตโน อตฺตโน ภาสาวเสน อปุพฺพํ อจริมํ คหณูปโค โหติฯ อจิเนฺตโยฺย หิ พุทฺธานํ พุทฺธานุภาโวติ สพฺพสตฺตานํ สกสกภาสานุรูปโต โสตปถํ อาคจฺฉตีติ เวทิตพฺพํฯ
Eko eva bhagavato dhammadesanāghoso, ekasmiṃ khaṇe pavattamāno nānābhāsānaṃ sattānaṃ attano attano bhāsāvasena apubbaṃ acarimaṃ gahaṇūpago hoti. Acinteyyo hi buddhānaṃ buddhānubhāvoti sabbasattānaṃ sakasakabhāsānurūpato sotapathaṃ āgacchatīti veditabbaṃ.
นิทสฺสนเตฺถน ‘‘นาหํ สยมฺภู, น มยา อิทํ สจฺฉิกต’’นฺติ อตฺตานํ ปริโมเจโนฺต ‘‘เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอวํ สุต’’นฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลํ สุตฺตํ นิทเสฺสติฯ
Nidassanatthena ‘‘nāhaṃ sayambhū, na mayā idaṃ sacchikata’’nti attānaṃ parimocento ‘‘evaṃ me sutaṃ, mayāpi evaṃ suta’’nti idāni vattabbaṃ sakalaṃ suttaṃ nidasseti.
อวธารณเตฺถน ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานโนฺท, คติมนฺตานํ, สติมนฺตานํ, ธิติมนฺตานํ, อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙-๒๒๓) เอวํ ภควตา, ‘‘อายสฺมา อานโนฺท อตฺถกุสโล, ธมฺมกุสโล, พฺยญฺชนกุสโล, นิรุตฺติกุสโล, ปุพฺพาปรกุสโล’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๖๙) เอวํ ธมฺมเสนาปตินา จ ปสตฺถภาวานุรูปํ อตฺตโน ธารณพลํ ทเสฺสโนฺต สตฺตานํ โสตุกามตํ ชเนติฯ ‘‘เอวํ เม สุตํ, ตญฺจ โข อตฺถโต วา พฺยญฺชนโต วา อนูนมนธิกํ, เอวเมว น อญฺญถา ทฎฺฐพฺพ’’นฺติฯ อญฺญถาติ ภควโต สมฺมุขา สุตาการโต อญฺญถา น ปน ภควตา เทสิตาการโตฯ อจิเนฺตยฺยานุภาวา หิ ภควโต เทสนา, สา เนว สพฺพากาเรน สกฺกา วิญฺญาตุนฺติ วุโตฺตวายมโตฺถฯ สุตาการาวิรุชฺฌนเมว หิ ธารณพลํฯ
Avadhāraṇatthena ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ bahussutānaṃ yadidaṃ ānando, gatimantānaṃ, satimantānaṃ, dhitimantānaṃ, upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.219-223) evaṃ bhagavatā, ‘‘āyasmā ānando atthakusalo, dhammakusalo, byañjanakusalo, niruttikusalo, pubbāparakusalo’’ti (a. ni. 5.169) evaṃ dhammasenāpatinā ca pasatthabhāvānurūpaṃ attano dhāraṇabalaṃ dassento sattānaṃ sotukāmataṃ janeti. ‘‘Evaṃ me sutaṃ, tañca kho atthato vā byañjanato vā anūnamanadhikaṃ, evameva na aññathā daṭṭhabba’’nti. Aññathāti bhagavato sammukhā sutākārato aññathā na pana bhagavatā desitākārato. Acinteyyānubhāvā hi bhagavato desanā, sā neva sabbākārena sakkā viññātunti vuttovāyamattho. Sutākārāvirujjhanameva hi dhāraṇabalaṃ.
เมสโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิสฺส ‘‘คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺย’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๙๔; สุ. นิ. ๘๑) มยาติ อโตฺถฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๘๘; ๕.๓๘๒; อ. นิ. ๔.๒๕๗) มยฺหนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๙) มมาติ อโตฺถฯ อิธ ปน ‘‘มยา สุตํ, มม สุต’’นฺติ จ อตฺถทฺวเย ยุชฺชติฯ
Mesaddo tīsu atthesu dissati. Tathā hissa ‘‘gāthābhigītaṃ me abhojaneyya’’ntiādīsu (saṃ. ni. 1.194; su. ni. 81) mayāti attho. ‘‘Sādhu me, bhante, bhagavā saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.88; 5.382; a. ni. 4.257) mayhanti attho. ‘‘Dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavathā’’tiādīsu (ma. ni. 1.29) mamāti attho. Idha pana ‘‘mayā sutaṃ, mama suta’’nti ca atthadvaye yujjati.
เอตฺถ จ โย ปโร น โหติ, โส อตฺตาติ เอวํ วตฺตเพฺพ นิยกชฺฌตฺตสงฺขาเต สสนฺตาเน วตฺตนโต ติวิโธปิ เมสโทฺท กิญฺจาปิ เอกสฺมิํเยว อเตฺถ ทิสฺสติ, กรณสมฺปทานาทิวิเสสสงฺขาโต ปน วิญฺญายเตวายํ อตฺถเภโทติ ‘‘เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสตี’’ติ วุโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Ettha ca yo paro na hoti, so attāti evaṃ vattabbe niyakajjhattasaṅkhāte sasantāne vattanato tividhopi mesaddo kiñcāpi ekasmiṃyeva atthe dissati, karaṇasampadānādivisesasaṅkhāto pana viññāyatevāyaṃ atthabhedoti ‘‘me-saddo tīsu atthesu dissatī’’ti vuttoti daṭṭhabbaṃ.
สุตนฺติ อยํ สุตสโทฺท สอุปสโคฺค อนุปสโคฺค จ คมนวิสฺสุตกิลินฺนูปจิตานุโยคโสตวิเญฺญยฺย โสตทฺวารานุสาร วิญฺญาตาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ กิญฺจาปิ หิ อุปสโคฺค กิริยํ วิเสเสติ, โชตกภาวโต ปน สติปิ ตสฺมิํ สุตสโทฺท เอว ตํ ตมตฺถํ วทตีติ อนุปสคฺคสฺส สุตสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร สอุปสคฺคสฺส คหณํ น วิรุชฺฌติฯ
Sutanti ayaṃ sutasaddo saupasaggo anupasaggo ca gamanavissutakilinnūpacitānuyogasotaviññeyya sotadvārānusāra viññātādianekatthappabhedo. Kiñcāpi hi upasaggo kiriyaṃ viseseti, jotakabhāvato pana satipi tasmiṃ sutasaddo eva taṃ tamatthaṃ vadatīti anupasaggassa sutasaddassa atthuddhāre saupasaggassa gahaṇaṃ na virujjhati.
ตตฺถ ‘‘เสนาย ปสุโต’’ติอาทีสุ คจฺฉโนฺตติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต’’ติอาทีสุ (อุทา. ๑๑) วิสฺสุตธมฺมสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺสา’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๖๕๗) กิเลเสน กิลินฺนา กิลินฺนสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๗.๑๒) อุปจิตนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เย ฌานปฺปสุตา ธีรา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๘๑) ฌานานุยุตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) โสตวิเญฺญยฺยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธโร สุตสนฺนิจโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๓๙) โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตธโรติ อโตฺถฯ อิธ ปนสฺส ‘‘โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริต’’นฺติ วา ‘‘อุปธารณ’’นฺติ วา อโตฺถฯ เม-สทฺทสฺส หิ มยาติ อเตฺถ สติ ‘‘เอวํ มยา สุตํ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริต’’นฺติ ยุชฺชติฯ มมาติ อเตฺถ สติ ‘‘เอวํ มม สุตํ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธารณ’’นฺติ ยุชฺชติฯ
Tattha ‘‘senāya pasuto’’tiādīsu gacchantoti attho. ‘‘Sutadhammassa passato’’tiādīsu (udā. 11) vissutadhammassāti attho. ‘‘Avassutā avassutassā’’tiādīsu (pāci. 657) kilesena kilinnā kilinnassāti attho. ‘‘Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’ntiādīsu (khu. pā. 7.12) upacitanti attho. ‘‘Ye jhānappasutā dhīrā’’tiādīsu (dha. pa. 181) jhānānuyuttāti attho. ‘‘Diṭṭhaṃ sutaṃ muta’’ntiādīsu (ma. ni. 1.241) sotaviññeyyanti attho. ‘‘Sutadharo sutasannicayo’’tiādīsu (ma. ni. 1.339) sotadvārānusāraviññātadharoti attho. Idha panassa ‘‘sotadvārānusārena upadhārita’’nti vā ‘‘upadhāraṇa’’nti vā attho. Me-saddassa hi mayāti atthe sati ‘‘evaṃ mayā sutaṃ sotadvārānusārena upadhārita’’nti yujjati. Mamāti atthe sati ‘‘evaṃ mama sutaṃ sotadvārānusārena upadhāraṇa’’nti yujjati.
เอวเมเตสุ ตีสุ ปเทสุ ยสฺมา สุตสทฺทสนฺนิธาเน ปยุเตฺตน เอวํสเทฺทน สวนกิริยาโชตเกน ภวิตพฺพํ, ตสฺมา เอวนฺติ โสตวิญฺญาณสมฺปฎิจฺฉนาทิโสตทฺวาริกวิญฺญาณานนฺตรํ อุปฺปนฺนมโนทฺวาริกวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสนํฯ เมติ วุตฺตวิญฺญาณสมงฺคีปุคฺคลนิทสฺสนํฯ สพฺพานิ หิ วากฺยานิ เอวการตฺถสหิตานิเยว อวธารณผลตฺตา เตสํฯ สุตนฺติ อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขปโต อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนํฯ ยถา หิ สุตํ สุตเมวาติ วตฺตพฺพตํ อรหติ ตถา ตํ สมฺมา สุตํ อนูนคฺคหณํ อนธิกคฺคหณํ อวิปรีตคฺคหณญฺจ โหตีติฯ อถ วา สทฺทนฺตรตฺถาโปหนวเสน สโทฺท อตฺถํ วทตีติ เอตสฺมิํ ปเกฺข ยสฺมา สุตนฺติ เอตสฺส อสุตํ น โหตีติ อยมโตฺถ วุโตฺต, ตสฺมา สุตนฺติ อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขปโต อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เอวํ เม สุตํ, น มยา อิทํ ทิฎฺฐํ, น สยมฺภูญาเณน สจฺฉิกตํ, น อญฺญถา วา อุปลทฺธํฯ อปิ จ สุตํว, ตญฺจ โข สมฺมเทวาติฯ อวธารณเตฺถ วา เอวํสเทฺท อยมตฺถโยชนา, ตทเปกฺขสฺส สุตสทฺทสฺส นิยมโตฺถ สมฺภวตีติ ตทเปกฺขสฺส สุตสทฺทสฺส อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขโป อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนตา จ เวทิตพฺพาฯ อิติ สวนเหตุสวนวิเสสวเสนปิ สุตสทฺทสฺส อตฺถโยชนา กตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Evametesu tīsu padesu yasmā sutasaddasannidhāne payuttena evaṃsaddena savanakiriyājotakena bhavitabbaṃ, tasmā evanti sotaviññāṇasampaṭicchanādisotadvārikaviññāṇānantaraṃ uppannamanodvārikaviññāṇakiccanidassanaṃ. Meti vuttaviññāṇasamaṅgīpuggalanidassanaṃ. Sabbāni hi vākyāni evakāratthasahitāniyeva avadhāraṇaphalattā tesaṃ. Sutanti assavanabhāvappaṭikkhepato anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassanaṃ. Yathā hi sutaṃ sutamevāti vattabbataṃ arahati tathā taṃ sammā sutaṃ anūnaggahaṇaṃ anadhikaggahaṇaṃ aviparītaggahaṇañca hotīti. Atha vā saddantaratthāpohanavasena saddo atthaṃ vadatīti etasmiṃ pakkhe yasmā sutanti etassa asutaṃ na hotīti ayamattho vutto, tasmā sutanti assavanabhāvappaṭikkhepato anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – evaṃ me sutaṃ, na mayā idaṃ diṭṭhaṃ, na sayambhūñāṇena sacchikataṃ, na aññathā vā upaladdhaṃ. Api ca sutaṃva, tañca kho sammadevāti. Avadhāraṇatthe vā evaṃsadde ayamatthayojanā, tadapekkhassa sutasaddassa niyamattho sambhavatīti tadapekkhassa sutasaddassa assavanabhāvappaṭikkhepo anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassanatā ca veditabbā. Iti savanahetusavanavisesavasenapi sutasaddassa atthayojanā katāti daṭṭhabbaṃ.
ตถา เอวนฺติ ตสฺสา โสตทฺวารานุสาเรน ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณโต นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺติภาวปฺปกาสนํ อาการโตฺถ เอวํสโทฺทติ กริตฺวาฯ เมติ อตฺตปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสนํ ยถาวุตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา ปริยตฺติธมฺมารมฺมณตฺตาฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขโป – นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา กรณภูตาย มยา น อญฺญํ กตํ, อิทํ ปน กตํ, อยํ ธโมฺม สุโตติฯ
Tathā evanti tassā sotadvārānusārena pavattāya viññāṇavīthiyā nānatthabyañjanaggahaṇato nānappakārena ārammaṇe pavattibhāvappakāsanaṃ ākārattho evaṃsaddoti karitvā. Meti attappakāsanaṃ. Sutanti dhammappakāsanaṃ yathāvuttāya viññāṇavīthiyā pariyattidhammārammaṇattā. Ayañhettha saṅkhepo – nānappakārena ārammaṇe pavattāya viññāṇavīthiyā karaṇabhūtāya mayā na aññaṃ kataṃ, idaṃ pana kataṃ, ayaṃ dhammo sutoti.
ตถา เอวนฺติ นิทสฺสิตพฺพปฺปกาสนํ นิทสฺสนโตฺถ เอวํสโทฺทติ กตฺวา นิทเสฺสตพฺพสฺส นิทฺทิสิตพฺพภาวโตฯ ตสฺมา เอวํสเทฺทน สกลมฺปิ สุตฺตํ ปจฺจามฎฺฐนฺติ เวทิตพฺพํฯ เมติ ปุคฺคลปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสนํฯ สุตสเทฺทน หิ ลพฺภมานา สวนกิริยา สวนวิญฺญาณปฺปพนฺธปฺปฎิพทฺธา, ตตฺถ จ ปุคฺคลโวหาโร, น จ ปุคฺคลโวหารรหิเต ธมฺมปฺปพเนฺธ สวนกิริยา ลพฺภติฯ ตสฺสายํ สเงฺขปโตฺถ – ยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิสฺสามิ, ตํ มยา เอวํ สุตนฺติฯ
Tathā evanti nidassitabbappakāsanaṃ nidassanattho evaṃsaddoti katvā nidassetabbassa niddisitabbabhāvato. Tasmā evaṃsaddena sakalampi suttaṃ paccāmaṭṭhanti veditabbaṃ. Meti puggalappakāsanaṃ. Sutanti puggalakiccappakāsanaṃ. Sutasaddena hi labbhamānā savanakiriyā savanaviññāṇappabandhappaṭibaddhā, tattha ca puggalavohāro, na ca puggalavohārarahite dhammappabandhe savanakiriyā labbhati. Tassāyaṃ saṅkhepattho – yaṃ suttaṃ niddisissāmi, taṃ mayā evaṃ sutanti.
ตถา เอวนฺติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานารมฺมณปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโส อาการโตฺถ เอว เอวํสโทฺทติ กตฺวาฯ เอวนฺติ หิ อยมาการปญฺญตฺติ ธมฺมานํ ตํ ตํ ปวตฺติอาการํ อุปาทาย ปญฺญเปตพฺพสภาวตฺตาฯ เมติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโส, โสตโพฺพ หิ ธโมฺม สวนกิริยากตฺตุปุคฺคลสฺส สวนกิริยาวเสน ปวตฺติฎฺฐานํ โหติฯ เอตฺตาวตา นานปฺปกาเรน ปวเตฺตน จิตฺตสนฺตาเนน ตํสมงฺคิโน กตฺตุ วิสเย คหณสนฺนิฎฺฐานํ ทสฺสิตํ โหติฯ
Tathā evanti yassa cittasantānassa nānārammaṇappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso ākārattho eva evaṃsaddoti katvā. Evanti hi ayamākārapaññatti dhammānaṃ taṃ taṃ pavattiākāraṃ upādāya paññapetabbasabhāvattā. Meti kattuniddeso. Sutanti visayaniddeso, sotabbo hi dhammo savanakiriyākattupuggalassa savanakiriyāvasena pavattiṭṭhānaṃ hoti. Ettāvatā nānappakārena pavattena cittasantānena taṃsamaṅgino kattu visaye gahaṇasanniṭṭhānaṃ dassitaṃ hoti.
อถ วา เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโส, สุตานญฺหิ ธมฺมานํ คหิตาการสฺส นิทสฺสนสฺส อวธารณสฺส วา ปกาสนสภาเวน เอวํสเทฺทน ตทาการาทิธารณสฺส ปุคฺคลโวหารุปาทานธมฺมพฺยาปารภาวโต ปุคฺคลกิจฺจํนาม นิทฺทิฎฺฐํ โหตีติฯ สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโส, ปุคฺคลวาทิโนปิ หิ สวนกิริยา วิญฺญาณนิรเปกฺขา น โหตีติฯ เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโสฯ เมติ หิ สทฺทปฺปวตฺติ เอกเนฺตเนว สตฺตวิเสสวิสยา วิญฺญาณกิจฺจญฺจ ตเตฺถว สโมทหิตพฺพนฺติฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – มยา สวนกิจฺจวิญฺญาณสมงฺคินา ปุคฺคเลน วิญฺญาณวเสน ลทฺธสวนกิจฺจโวหาเรน สุตนฺติฯ
Atha vā evanti puggalakiccaniddeso, sutānañhi dhammānaṃ gahitākārassa nidassanassa avadhāraṇassa vā pakāsanasabhāvena evaṃsaddena tadākārādidhāraṇassa puggalavohārupādānadhammabyāpārabhāvato puggalakiccaṃnāma niddiṭṭhaṃ hotīti. Sutanti viññāṇakiccaniddeso, puggalavādinopi hi savanakiriyā viññāṇanirapekkhā na hotīti. Meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso. Meti hi saddappavatti ekanteneva sattavisesavisayā viññāṇakiccañca tattheva samodahitabbanti. Ayaṃ panettha saṅkhepo – mayā savanakiccaviññāṇasamaṅginā puggalena viññāṇavasena laddhasavanakiccavohārena sutanti.
ตถา เอวนฺติ จ เมติ จ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ สพฺพสฺส หิ สทฺทาธิคมนียสฺส อตฺถสฺส ปญฺญตฺติมุเขเนว ปฎิปชฺชิตพฺพตฺตา สพฺพปญฺญตฺตีนญฺจ วิชฺชมานาทีสุ ฉสุ ปญฺญตฺตีสุ อวโรโธ, ตสฺมา โย มายามรีจิอาทโย วิย อภูตโตฺถ อนุสฺสวาทีหิ คเหตโพฺพ วิย อนุตฺตมโตฺถปิ น โหติฯ โส รูปสทฺทาทิโก รุปฺปนานุภวนาทิโก จ ปรมตฺถสภาโว สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน วิชฺชติฯ โย ปน เอวนฺติ จ เมติ จ วุจฺจมาโน อาการโตฺถ, โส อปรมตฺถสภาโว สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อนุปลพฺภมาโน อวิชฺชมานปญฺญตฺติ นามฯ ตสฺมา กิเญฺหตฺถ ตํ ปรมตฺถโต อตฺถิ, ยํ เอวนฺติ วา เมติ วา นิเทฺทสํ ลเภถ? สุตนฺติ วิชฺชมานปญฺญตฺติ, ยญฺหิ ตํ เอตฺถ โสเตน อุปลทฺธํ, ตํ ปรมตฺถโต วิชฺชมานนฺติฯ
Tathā evanti ca meti ca saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññatti. Sabbassa hi saddādhigamanīyassa atthassa paññattimukheneva paṭipajjitabbattā sabbapaññattīnañca vijjamānādīsu chasu paññattīsu avarodho, tasmā yo māyāmarīciādayo viya abhūtattho anussavādīhi gahetabbo viya anuttamatthopi na hoti. So rūpasaddādiko ruppanānubhavanādiko ca paramatthasabhāvo saccikaṭṭhaparamatthavasena vijjati. Yo pana evanti ca meti ca vuccamāno ākārattho, so aparamatthasabhāvo saccikaṭṭhaparamatthavasena anupalabbhamāno avijjamānapaññatti nāma. Tasmā kiñhettha taṃ paramatthato atthi, yaṃ evanti vā meti vā niddesaṃ labhetha? Sutanti vijjamānapaññatti, yañhi taṃ ettha sotena upaladdhaṃ, taṃ paramatthato vijjamānanti.
ตถา เอวนฺติ โสตปถมาคเต ธเมฺม อุปาทาย เตสํ อุปธาริตาการาทีนํ ปจฺจามสนวเสนฯ เมติ สสนฺตติปริยาปเนฺน ขเนฺธ กรณาทิวิเสสวิสิเฎฺฐ อุปาทาย วตฺตพฺพโต อุปาทาปญฺญตฺติฯ สุตนฺติ ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต อุปนิธาปญฺญตฺติฯ ทิฎฺฐาทิสภาวรหิเต สทฺทายตเน ปวตฺตมาโนปิ สุตโวหาโร ทุติยํ ตติยนฺติอาทิโก วิย ปฐมาทีนิ, ทิฎฺฐมุตวิญฺญาเต อเปกฺขิตฺวา สุตนฺติ วิเญฺญยฺยตฺตา ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตโพฺพ โหติฯ อสุตํ น โหตีติ หิ สุตนฺติ ปกาสิโตยมโตฺถติฯ
Tathā evanti sotapathamāgate dhamme upādāya tesaṃ upadhāritākārādīnaṃ paccāmasanavasena. Meti sasantatipariyāpanne khandhe karaṇādivisesavisiṭṭhe upādāya vattabbato upādāpaññatti. Sutanti diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato upanidhāpaññatti. Diṭṭhādisabhāvarahite saddāyatane pavattamānopi sutavohāro dutiyaṃ tatiyantiādiko viya paṭhamādīni, diṭṭhamutaviññāte apekkhitvā sutanti viññeyyattā diṭṭhādīni upanidhāya vattabbo hoti. Asutaṃ na hotīti hi sutanti pakāsitoyamatthoti.
เอตฺถ จ เอวนฺติวจเนน อสโมฺมหํ ทีเปติฯ ปฎิวิทฺธา หิ อตฺตนา สุตสฺส ปการวิเสสา เอวนฺติ อิธ อายสฺมตา อานเนฺทน ปจฺจามฎฺฐา, เตนสฺส อสโมฺมโห ทีปิโต โหติฯ น หิ สมฺมูโฬฺห นานปฺปการปฎิเวธสมโตฺถ โหติ, ปจฺจยาการวเสน นานปฺปการา ทุปฺปฎิวิทฺธา จ สุตฺตนฺตาติ ทีปิตนฺติฯ สุตนฺติวจเนน สุตสฺส อสโมฺมสํ ทีเปติ, สุตาการสฺส ยาถาวโต ทสฺสิยมานตฺตาฯ ยสฺส หิ สุตํ สมฺมุฎฺฐํ โหติ, น โส กาลนฺตเร มยา สุตนฺติ ปฎิชานาติฯ อิจฺจสฺส อสโมฺมเหน ปญฺญาสิทฺธิ, สโมฺมหาภาเวน ปญฺญาย เอว วา สวนกาลสมฺภูตาย ตทุตฺตริกาลปญฺญาสิทฺธิ, ตถา อสโมฺมเสน สติสิทฺธิฯ ตตฺถ ปญฺญาปุพฺพงฺคมาย สติยา พฺยญฺชนาวธารณสมตฺถตาฯ พฺยญฺชนานญฺหิ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ อากาโร นาติคมฺภีโร, ยถาสุตํ ธารณเมว ตตฺถ กรณียนฺติ สติยา พฺยาปาโร อธิโก, ปญฺญา ตตฺถ คุณีภูตา โหติ ปญฺญาย ปุพฺพงฺคมาติ กตฺวาฯ สติปุพฺพงฺคมาย ปญฺญาย อตฺถปฺปฎิเวธสมตฺถตาฯ อตฺถสฺส หิ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ อากาโร คมฺภีโรติ ปญฺญาย พฺยาปาโร อธิโก, สติ ตตฺถ คุณีภูตาเยวาติ สติยา ปุพฺพงฺคมายาติ กตฺวาฯ ตทุภยสมตฺถตาโยเคน อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺส ธมฺมโกสสฺส อนุปาลนสมตฺถตาย ธมฺมภณฺฑาคาริกตฺตสิทฺธิฯ
Ettha ca evantivacanena asammohaṃ dīpeti. Paṭividdhā hi attanā sutassa pakāravisesā evanti idha āyasmatā ānandena paccāmaṭṭhā, tenassa asammoho dīpito hoti. Na hi sammūḷho nānappakārapaṭivedhasamattho hoti, paccayākāravasena nānappakārā duppaṭividdhā ca suttantāti dīpitanti. Sutantivacanena sutassa asammosaṃ dīpeti, sutākārassa yāthāvato dassiyamānattā. Yassa hi sutaṃ sammuṭṭhaṃ hoti, na so kālantare mayā sutanti paṭijānāti. Iccassa asammohena paññāsiddhi, sammohābhāvena paññāya eva vā savanakālasambhūtāya taduttarikālapaññāsiddhi, tathā asammosena satisiddhi. Tattha paññāpubbaṅgamāya satiyā byañjanāvadhāraṇasamatthatā. Byañjanānañhi paṭivijjhitabbo ākāro nātigambhīro, yathāsutaṃ dhāraṇameva tattha karaṇīyanti satiyā byāpāro adhiko, paññā tattha guṇībhūtā hoti paññāya pubbaṅgamāti katvā. Satipubbaṅgamāya paññāya atthappaṭivedhasamatthatā. Atthassa hi paṭivijjhitabbo ākāro gambhīroti paññāya byāpāro adhiko, sati tattha guṇībhūtāyevāti satiyā pubbaṅgamāyāti katvā. Tadubhayasamatthatāyogena atthabyañjanasampannassa dhammakosassa anupālanasamatthatāya dhammabhaṇḍāgārikattasiddhi.
อปโร นโย – เอวนฺติวจเนน โยนิโสมนสิการํ ทีเปติ, เตน จ วุจฺจมานานํ อาการนิทสฺสนาวธารณตฺถานํ อุปริ วกฺขมานานํ นานปฺปการปฺปฎิเวธโชตกานํ อวิปรีตสิทฺธิ ธมฺมวิสยตฺตาฯ น หิ อโยนิโส มนสิกโรโต นานปฺปการปฺปฎิเวโธ สมฺภวติฯ สุตนฺติวจเนน อวิเกฺขปํ ทีเปติ, ‘‘ปฐมโพธิสุตฺตํ กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทิปุจฺฉาวเสน ปกรณปตฺตสฺส วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส สวนํ สมาธานมนฺตเรน น สมฺภวติ วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺส สวนาภาวโตฯ ตถา หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต ปุคฺคโล สพฺพสมฺปตฺติยา วุจฺจมาโนปิ ‘‘น มยา สุตํ, ปุน ภณถา’’ติ ภณติฯ โยนิโสมนสิกาเรน เจตฺถ อตฺตสมฺมาปณิธิํ ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตํ สาเธติ สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตสฺส ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา ตทภาวโตฯ อวิเกฺขเปน สทฺธมฺมสฺสวนํ สปฺปุริสูปนิสฺสยญฺจ สาเธติ อสฺสุตวโต สปฺปุริสูปนิสฺสยวิรหิตสฺส จ ตทภาวโตฯ น หิ วิกฺขิโตฺต โสตุํ สโกฺกติ, น จ สปฺปุริเส อนุปนิสฺสยมานสฺส สวนํ อตฺถีติฯ
Aparo nayo – evantivacanena yonisomanasikāraṃ dīpeti, tena ca vuccamānānaṃ ākāranidassanāvadhāraṇatthānaṃ upari vakkhamānānaṃ nānappakārappaṭivedhajotakānaṃ aviparītasiddhi dhammavisayattā. Na hi ayoniso manasikaroto nānappakārappaṭivedho sambhavati. Sutantivacanena avikkhepaṃ dīpeti, ‘‘paṭhamabodhisuttaṃ kattha bhāsita’’ntiādipucchāvasena pakaraṇapattassa vakkhamānassa suttassa savanaṃ samādhānamantarena na sambhavati vikkhittacittassa savanābhāvato. Tathā hi vikkhittacitto puggalo sabbasampattiyā vuccamānopi ‘‘na mayā sutaṃ, puna bhaṇathā’’ti bhaṇati. Yonisomanasikārena cettha attasammāpaṇidhiṃ pubbe ca katapuññataṃ sādheti sammā appaṇihitattassa pubbe akatapuññassa vā tadabhāvato. Avikkhepena saddhammassavanaṃ sappurisūpanissayañca sādheti assutavato sappurisūpanissayavirahitassa ca tadabhāvato. Na hi vikkhitto sotuṃ sakkoti, na ca sappurise anupanissayamānassa savanaṃ atthīti.
อปโร นโย – ‘‘ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานปฺปการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโส’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา จ โส ภควโต วจนสฺส อตฺถพฺยญฺชนปฺปเภทปริเจฺฉทวเสน สกลสาสนสมฺปตฺติโอคาหเนน นิรวเสสํ ปรหิตปาริปูรีกรณภูโต เอวํ ภทฺทโก อากาโร น สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตสฺส ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา โหติฯ ตสฺมา เอวนฺติ อิมินา ภทฺทเกน อากาเรน ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติมตฺตโน ทีเปติ, สุตนฺติ สวนโยเคน ปุริมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติํฯ น หิ อปฺปติรูเป เทเส วสโต สปฺปุริสูปนิสฺสยวิรหิตสฺส จ สวนํ อตฺถิฯ อิจฺจสฺส ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา อาสยสุทฺธิ สิทฺธา โหติฯ สมฺมา ปณิหิตจิโตฺต ปุเพฺพ จ กตปุโญฺญ วิสุทฺธาสโย โหติ ตทสุทฺธิเหตูนํ กิเลสานํ ทูรีภาวโตฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘สมฺมา ปณิหิตํ จิตฺตํ, เสยฺยโส นํ ตโต กเร’’ติ (ธ. ป. ๔๓) ‘‘กตปุโญฺญสิ ตฺวํ, อานนฺท, ปธานมนุยุญฺช, ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโว’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๐๗) จฯ ปุริมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา ปโยคสุทฺธิฯ ปติรูปเทสวาเสน หิ สปฺปุริสูปนิสฺสเยน จ สาธูนํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชเนน ปริสุทฺธปฺปโยโค โหติฯ ตาย จ อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธิ, ปุเพฺพเยว ตณฺหาทิฎฺฐิสํกิเลสานํ วิโสธิตตฺตา ปโยคสุทฺธิยา อาคมพฺยตฺติสิทฺธิฯ สุปริสุทฺธกายวจีปโยโค หิ วิปฺปฎิสาราภาวโต อวิกฺขิตฺตจิโตฺต ปริยตฺติยํ วิสารโท โหติฯ อิติ ปโยคาสยสุทฺธสฺส อาคมาธิคมสมฺปนฺนสฺส วจนํ อรุณุคฺคมนํ วิย สูริยสฺส อุทยโต โยนิโสมนสิกาโร วิย จ กุสลกมฺมสฺส อรหติ ภควโต วจนสฺส ปุพฺพงฺคมํ ภวิตุนฺติ ฐาเน นิทานํ ฐเปโนฺต เอวํ เม สุตนฺติอาทิมาหฯ
Aparo nayo – ‘‘yassa cittasantānassa nānappakārappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso’’ti vuttaṃ. Yasmā ca so bhagavato vacanassa atthabyañjanappabhedaparicchedavasena sakalasāsanasampattiogāhanena niravasesaṃ parahitapāripūrīkaraṇabhūto evaṃ bhaddako ākāro na sammā appaṇihitattassa pubbe akatapuññassa vā hoti. Tasmā evanti iminā bhaddakena ākārena pacchimacakkadvayasampattimattano dīpeti, sutanti savanayogena purimacakkadvayasampattiṃ. Na hi appatirūpe dese vasato sappurisūpanissayavirahitassa ca savanaṃ atthi. Iccassa pacchimacakkadvayasiddhiyā āsayasuddhi siddhā hoti. Sammā paṇihitacitto pubbe ca katapuñño visuddhāsayo hoti tadasuddhihetūnaṃ kilesānaṃ dūrībhāvato. Tathā hi vuttaṃ ‘‘sammā paṇihitaṃ cittaṃ, seyyaso naṃ tato kare’’ti (dha. pa. 43) ‘‘katapuññosi tvaṃ, ānanda, padhānamanuyuñja, khippaṃ hohisi anāsavo’’ti (dī. ni. 2.207) ca. Purimacakkadvayasiddhiyā payogasuddhi. Patirūpadesavāsena hi sappurisūpanissayena ca sādhūnaṃ diṭṭhānugatiāpajjanena parisuddhappayogo hoti. Tāya ca āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhi, pubbeyeva taṇhādiṭṭhisaṃkilesānaṃ visodhitattā payogasuddhiyā āgamabyattisiddhi. Suparisuddhakāyavacīpayogo hi vippaṭisārābhāvato avikkhittacitto pariyattiyaṃ visārado hoti. Iti payogāsayasuddhassa āgamādhigamasampannassa vacanaṃ aruṇuggamanaṃ viya sūriyassa udayato yonisomanasikāro viya ca kusalakammassa arahati bhagavato vacanassa pubbaṅgamaṃ bhavitunti ṭhāne nidānaṃ ṭhapento evaṃ me sutantiādimāha.
อปโร นโย – เอวนฺติ อิมินา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว นานปฺปการปฺปฎิเวธทีปเกน วจเนน อตฺตโน อตฺถปฎิภานปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํ ทีเปติฯ สุตนฺติ อิมินา เอวํสทฺทสนฺนิธานโต วกฺขมานาเปกฺขาย วา โสตพฺพเภทปฺปฎิเวธทีปเกน ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํ ทีเปติฯ เอวนฺติ จ อิทํ วุตฺตนเยเนว โยนิโสมนสิการทีปกวจนํ ภาสมาโน ‘‘เอเต ธมฺมา มยา มนสานุเปกฺขิตา ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธา’’ติ ทีเปติฯ ปริยตฺติธโมฺม หิ ‘‘อิธ สีลํ กถิตํ, อิธ สมาธิ, อิธ ปญฺญา, เอตฺตกา เอตฺถ อนุสนฺธิโย’’ติอาทินา นเยน มนสา อนุเปกฺขิโต อนุสฺสวาการปริวิตกฺกสหิตาย ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติภูตาย ญาตปริญฺญาสงฺขาตาย วา ทิฎฺฐิยา ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตรูปารูปธเมฺม ‘‘อิติ รูปํ, เอตฺตกํ รูป’’นฺติอาทินา นเยน สุฎฺฐุ ววตฺถเปตฺวา ปฎิวิโทฺธ อตฺตโน จ ปเรสญฺจ หิตสุขาวโห โหตีติฯ สุตนฺติ อิทํ สวนโยคทีปกวจนํ ภาสมาโน ‘‘พหู มยา ธมฺมา สุตา ธาตา วจสา ปริจิตา’’ติ ทีเปติฯ โสตาวธานปฺปฎิพทฺธา หิ ปริยตฺติธมฺมสฺส สวนธารณปริจยาฯ ตทุภเยนปิ ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตภาเวน, อตฺถพฺยญฺชนปาริปูริํ ทีเปโนฺต สวเน อาทรํ ชเนติฯ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณญฺหิ ธมฺมํ อาทเรน อสฺสุณโนฺต มหตา หิตา ปริพาหิโร โหตีติ อาทรํ ชเนตฺวา สกฺกจฺจํ ธโมฺม โสตโพฺพฯ
Aparo nayo – evanti iminā pubbe vuttanayeneva nānappakārappaṭivedhadīpakena vacanena attano atthapaṭibhānapaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ dīpeti. Sutanti iminā evaṃsaddasannidhānato vakkhamānāpekkhāya vā sotabbabhedappaṭivedhadīpakena dhammaniruttipaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ dīpeti. Evanti ca idaṃ vuttanayeneva yonisomanasikāradīpakavacanaṃ bhāsamāno ‘‘ete dhammā mayā manasānupekkhitā diṭṭhiyā suppaṭividdhā’’ti dīpeti. Pariyattidhammo hi ‘‘idha sīlaṃ kathitaṃ, idha samādhi, idha paññā, ettakā ettha anusandhiyo’’tiādinā nayena manasā anupekkhito anussavākāraparivitakkasahitāya dhammanijjhānakkhantibhūtāya ñātapariññāsaṅkhātāya vā diṭṭhiyā tattha tattha vuttarūpārūpadhamme ‘‘iti rūpaṃ, ettakaṃ rūpa’’ntiādinā nayena suṭṭhu vavatthapetvā paṭividdho attano ca paresañca hitasukhāvaho hotīti. Sutanti idaṃ savanayogadīpakavacanaṃ bhāsamāno ‘‘bahū mayā dhammā sutā dhātā vacasā paricitā’’ti dīpeti. Sotāvadhānappaṭibaddhā hi pariyattidhammassa savanadhāraṇaparicayā. Tadubhayenapi dhammassa svākkhātabhāvena, atthabyañjanapāripūriṃ dīpento savane ādaraṃ janeti. Atthabyañjanaparipuṇṇañhi dhammaṃ ādarena assuṇanto mahatā hitā paribāhiro hotīti ādaraṃ janetvā sakkaccaṃ dhammo sotabbo.
‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อิมินา ปน สกเลน วจเนน อายสฺมา อานโนฺท ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมํ อตฺตโน อทหโนฺต อสปฺปุริสภูมิํ อติกฺกมติ, สาวกตฺตํ ปฎิชานโนฺต สปฺปุริสภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสทฺธมฺมา จิตฺตํ วุฎฺฐาเปติ, สทฺธเมฺม จิตฺตํ ปติฎฺฐาเปติฯ ‘‘เกวลํ สุตเมเวตํ มยา, ตเสฺสว ปน ภควโต วจน’’นฺติ ทีเปโนฺต อตฺตานํ ปริโมเจติ, สตฺถารํ อปทิสติ, ชินวจนํ อเปฺปติ, ธมฺมเนตฺติํ ปติฎฺฐาเปติฯ
‘‘Evaṃme suta’’nti iminā pana sakalena vacanena āyasmā ānando tathāgatappaveditaṃ dhammaṃ attano adahanto asappurisabhūmiṃ atikkamati, sāvakattaṃ paṭijānanto sappurisabhūmiṃ okkamati. Tathā asaddhammā cittaṃ vuṭṭhāpeti, saddhamme cittaṃ patiṭṭhāpeti. ‘‘Kevalaṃ sutamevetaṃ mayā, tasseva pana bhagavato vacana’’nti dīpento attānaṃ parimoceti, satthāraṃ apadisati, jinavacanaṃ appeti, dhammanettiṃ patiṭṭhāpeti.
อปิจ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อตฺตนา อุปฺปาทิตภาวํ อปฺปฎิชานโนฺต ปุริมสฺสวนํ วิวรโนฺต ‘‘สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตมิทํ มยา ตสฺส ภควโต จตุเวสารชฺชวิสารทสฺส ทสพลธรสฺส อาสภฎฺฐานฎฺฐายิโน สีหนาทนาทิโน สพฺพสตฺตุตฺตมสฺส ธมฺมิสฺสรสฺส ธมฺมราชสฺส ธมฺมาธิปติโน ธมฺมทีปสฺส ธมฺมสรณสฺส สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺติโน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, น เอตฺถ อเตฺถ วา ธเมฺม วา ปเท วา พฺยญฺชเน วา กงฺขา วา วิมติ วา กตฺตพฺพา’’ติ สพฺพเทวมนุสฺสานํ อิมสฺมิํ ธเมฺม อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ, สทฺธาสมฺปทํ อุปฺปาเทติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Apica ‘‘evaṃ me suta’’nti attanā uppāditabhāvaṃ appaṭijānanto purimassavanaṃ vivaranto ‘‘sammukhā paṭiggahitamidaṃ mayā tassa bhagavato catuvesārajjavisāradassa dasabaladharassa āsabhaṭṭhānaṭṭhāyino sīhanādanādino sabbasattuttamassa dhammissarassa dhammarājassa dhammādhipatino dhammadīpassa dhammasaraṇassa saddhammavaracakkavattino sammāsambuddhassa, na ettha atthe vā dhamme vā pade vā byañjane vā kaṅkhā vā vimati vā kattabbā’’ti sabbadevamanussānaṃ imasmiṃ dhamme assaddhiyaṃ vināseti, saddhāsampadaṃ uppādeti. Tenetaṃ vuccati –
‘‘วินาสยติ อสฺสทฺธํ, สทฺธํ วเฑฺฒติ สาสเน;
‘‘Vināsayati assaddhaṃ, saddhaṃ vaḍḍheti sāsane;
เอวํ เม สุตมิเจฺจวํ, วทํ โคตมสาวโก’’ติฯ
Evaṃ me sutamiccevaṃ, vadaṃ gotamasāvako’’ti.
เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโสฯ อยญฺหิ เอกสโทฺท อญฺญเสฎฺฐาสหายสงฺขฺยาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิ อยํ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺติ อิเตฺถเก อภิวทนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๗; อุทา. ๕๕) อเญฺญ ทิสฺสติฯ ‘‘เจตโส เอโกทิภาว’’นฺติอาทีสุ (ปารา. ๑๑; ที. นิ. ๑.๒๒๘) เสเฎฺฐฯ ‘‘เอโก วูปกโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๔๔๕; ที. นิ. ๑.๔๐๕) อสหาเยฯ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) สงฺขฺยายํ, อิธาปิ สงฺขฺยายเมว ทฎฺฐโพฺพฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโส’’ติฯ
Ekanti gaṇanaparicchedaniddeso. Ayañhi ekasaddo aññaseṭṭhāsahāyasaṅkhyādīsu dissati. Tathā hi ayaṃ ‘‘sassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamaññanti ittheke abhivadantī’’tiādīsu (ma. ni. 3.27; udā. 55) aññe dissati. ‘‘Cetaso ekodibhāva’’ntiādīsu (pārā. 11; dī. ni. 1.228) seṭṭhe. ‘‘Eko vūpakaṭṭho’’tiādīsu (cūḷava. 445; dī. ni. 1.405) asahāye. ‘‘Ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29) saṅkhyāyaṃ, idhāpi saṅkhyāyameva daṭṭhabbo. Tena vuttaṃ – ‘‘ekanti gaṇanaparicchedaniddeso’’ti.
สมยนฺติ ปริจฺฉินฺนนิเทฺทโสฯ เอกํ สมยนฺติ อนิยมิตปริทีปนํฯ ตตฺถ สมยสโทฺท –
Samayanti paricchinnaniddeso. Ekaṃ samayanti aniyamitaparidīpanaṃ. Tattha samayasaddo –
‘‘สมวาเย ขเณ กาเล, สมูเห เหตุทิฎฺฐิสุ;
‘‘Samavāye khaṇe kāle, samūhe hetudiṭṭhisu;
ปฎิลาเภ ปหาเน จ, ปฎิเวเธ จ ทิสฺสติ’’ฯ
Paṭilābhe pahāne ca, paṭivedhe ca dissati’’.
ตถา หิสฺส ‘‘อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๗) สมวาโย อโตฺถ, ยุตฺตกาลญฺจ ปจฺจยสามคฺคิญฺจ ลภิตฺวาติ หิ อธิปฺปาโย, ตสฺมา ปจฺจยสมวาโยติ เวทิตโพฺพ ฯ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) ขโณ, โอกาโสติ อโตฺถฯ ตถาคตุปฺปาทาทิโก หิ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส โอกาโส ตปฺปจฺจยปฺปฎิลาภเหตุตฺตา, ขโณ เอว จ สมโย, โย ขโณติ จ สมโยติ จ วุจฺจติ, โส เอโก เยวาติ หิ อโตฺถฯ ‘‘อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๓๕๘) กาโลฯ ‘‘มหาสมโย ปวนสฺมิ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๓๒) สมูโหฯ มหาสมโยติ หิ ภิกฺขูนํ เทวตานญฺจ มหาสนฺนิปาโตติ อโตฺถฯ ‘‘สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ, ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ ‘ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย น ปริปูรการี’ติ, อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๓๕) เหตุฯ สิกฺขาปทสฺส การณญฺหิ อิธ สมโยติ อธิเปฺปตํฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฎิวสตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๖๐) ทิฎฺฐิฯ ตตฺถ หิ นิสินฺนา ติตฺถิยา อตฺตโน อตฺตโน ทิฎฺฐิสงฺขาตํ สมยํ ปวทนฺตีติ โส ปริพฺพาชการาโม ‘‘สมยปฺปวาทโก’’ติ วุจฺจติฯ
Tathā hissa ‘‘appeva nāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’’ti evamādīsu (dī. ni. 1.447) samavāyo attho, yuttakālañca paccayasāmaggiñca labhitvāti hi adhippāyo, tasmā paccayasamavāyoti veditabbo . ‘‘Ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29) khaṇo, okāsoti attho. Tathāgatuppādādiko hi maggabrahmacariyassa okāso tappaccayappaṭilābhahetuttā, khaṇo eva ca samayo, yo khaṇoti ca samayoti ca vuccati, so eko yevāti hi attho. ‘‘Uṇhasamayo pariḷāhasamayo’’tiādīsu (pāci. 358) kālo. ‘‘Mahāsamayo pavanasmi’’ntiādīsu (dī. ni. 2.332) samūho. Mahāsamayoti hi bhikkhūnaṃ devatānañca mahāsannipātoti attho. ‘‘Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi, bhagavā kho sāvatthiyaṃ viharati, bhagavāpi maṃ jānissati ‘bhaddāli nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya na paripūrakārī’ti, ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosī’’tiādīsu (ma. ni. 2.135) hetu. Sikkhāpadassa kāraṇañhi idha samayoti adhippetaṃ. ‘‘Tena kho pana samayena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme paṭivasatī’’tiādīsu (ma. ni. 2.260) diṭṭhi. Tattha hi nisinnā titthiyā attano attano diṭṭhisaṅkhātaṃ samayaṃ pavadantīti so paribbājakārāmo ‘‘samayappavādako’’ti vuccati.
‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถ, โย จโตฺถ สมฺปรายิโก;
‘‘Diṭṭhe dhamme ca yo attho, yo cattho samparāyiko;
อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙) –
Atthābhisamayā dhīro, paṇḍitoti pavuccatī’’ti. (saṃ. ni. 1.129) –
อาทีสุ ปฎิลาโภฯ อตฺถาภิสมยาติ หิ อตฺถสฺส อธิคมาติ อโตฺถฯ ‘‘สมฺมา มานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๘) ปหานํฯ อธิกรณํ สมยํ วูปสมนํ อปคโมติ อภิสมโย ปหานํฯ ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ อภิสมยโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ปฎิ. ม. ๒.๘) ปฎิเวโธ ฯ ปฎิเวโธติ หิ อภิสเมตพฺพโต อภิสมโย, อภิสมโยว อโตฺถ อภิสมยโฎฺฐติ ปีฬนาทีนิ อภิสเมตพฺพภาเวน เอกีภาวํ อุปเนตฺวา วุตฺตานิ, อภิสมยสฺส วา ปฎิเวธสฺส วิสยภูโต อโตฺถ อภิสมยโฎฺฐติ ตาเนว ตถา เอกเนฺตน วุตฺตานิฯ ตตฺถ ปีฬนํ ทุกฺขสจฺจสฺส ตํสมงฺคิโน หิํสนํ อวิปฺผาริกตากรณํฯ สนฺตาโป ทุกฺขทุกฺขตาทิวเสน สนฺตปฺปนํ ปริทหนํฯ
Ādīsu paṭilābho. Atthābhisamayāti hi atthassa adhigamāti attho. ‘‘Sammā mānābhisamayā antamakāsi dukkhassā’’tiādīsu (ma. ni. 1.28) pahānaṃ. Adhikaraṇaṃ samayaṃ vūpasamanaṃ apagamoti abhisamayo pahānaṃ. ‘‘Dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho abhisamayaṭṭho’’tiādīsu (paṭi. ma. 2.8) paṭivedho . Paṭivedhoti hi abhisametabbato abhisamayo, abhisamayova attho abhisamayaṭṭhoti pīḷanādīni abhisametabbabhāvena ekībhāvaṃ upanetvā vuttāni, abhisamayassa vā paṭivedhassa visayabhūto attho abhisamayaṭṭhoti tāneva tathā ekantena vuttāni. Tattha pīḷanaṃ dukkhasaccassa taṃsamaṅgino hiṃsanaṃ avipphārikatākaraṇaṃ. Santāpo dukkhadukkhatādivasena santappanaṃ paridahanaṃ.
เอตฺถ จ สหการีการณสนฺนิชฺฌํ สเมติ สมเวตีติ สมวาโย สมโยฯ สเมติ สมาคจฺฉติ เอตฺถ มคฺคพฺรหฺมจริยํ ตทาธารปุคฺคเลหีติ ขโณ สมโยฯ สเมติ เอตฺถ เอเตน วา สํคจฺฉติ สโตฺต สภาวธโมฺม วา อุปฺปาทาทีหิ สหชาตาทีหิ วาติ กาโล สมโยฯ ธมฺมปฺปวตฺติมตฺตตาย อตฺถโต อภูโตปิ หิ กาโล ธมฺมปฺปวตฺติยา อธิกรณํ กรณํ วิย จ กปฺปนามตฺตสิเทฺธนานุรูเปน โวหรียตีติฯ สมํ, สห วา อวยวานํ อยนํ ปวตฺติ อวฎฺฐานนฺติ สมูโห สมโย ยถา สมุทาโยติฯ อวยวสหาวฎฺฐานเมว หิ สมูโหฯ อวเสสปจฺจยานํ สมาคเม สติ เอติ ผลเมตสฺมา อุปฺปชฺชติ ปวตฺตตีติ สมโย เหตุ ยถา สมุทโยติฯ สเมติ สํโยชนภาวโต สมฺพโนฺธ เอติ อตฺตโน วิสเย ปวตฺตติ, ทฬฺหคฺคหณภาวโต วา สํยุตฺตา อยนฺติ ปวตฺตนฺติ สตฺตา ยถาภินิเวสํ เอเตนาติ สมโย ทิฎฺฐิฯ ทิฎฺฐิสํโยชเนน หิ สตฺตา อติวิย พชฺฌนฺตีติฯ สมิติ สงฺคติ สโมธานนฺติ สมโย ปฎิลาโภฯ สมยนํ อุปสมยนํ อปคโมติ สมโย ปหานํฯ สมุเจฺฉทปฺปหานภาวโต ปน อธิโก สมโยติ อภิสมโย ยถา อภิธโมฺมติฯ อภิมุขํ ญาเณน สมฺมา เอตโพฺพ อภิสเมตโพฺพติ อภิสมโย, ธมฺมานํ อวิปรีตสภาโวฯ อภิมุขภาเวน สมฺมา เอติ คจฺฉติ พุชฺฌตีติ อภิสมโย, ธมฺมานํ ยถาภูตสภาวาวโพโธฯ เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ สมยสทฺทสฺส ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ
Ettha ca sahakārīkāraṇasannijjhaṃ sameti samavetīti samavāyo samayo. Sameti samāgacchati ettha maggabrahmacariyaṃ tadādhārapuggalehīti khaṇo samayo. Sameti ettha etena vā saṃgacchati satto sabhāvadhammo vā uppādādīhi sahajātādīhi vāti kālo samayo. Dhammappavattimattatāya atthato abhūtopi hi kālo dhammappavattiyā adhikaraṇaṃ karaṇaṃ viya ca kappanāmattasiddhenānurūpena voharīyatīti. Samaṃ, saha vā avayavānaṃ ayanaṃ pavatti avaṭṭhānanti samūho samayo yathā samudāyoti. Avayavasahāvaṭṭhānameva hi samūho. Avasesapaccayānaṃ samāgame sati eti phalametasmā uppajjati pavattatīti samayo hetu yathā samudayoti. Sameti saṃyojanabhāvato sambandho eti attano visaye pavattati, daḷhaggahaṇabhāvato vā saṃyuttā ayanti pavattanti sattā yathābhinivesaṃ etenāti samayo diṭṭhi. Diṭṭhisaṃyojanena hi sattā ativiya bajjhantīti. Samiti saṅgati samodhānanti samayo paṭilābho. Samayanaṃ upasamayanaṃ apagamoti samayo pahānaṃ. Samucchedappahānabhāvato pana adhiko samayoti abhisamayo yathā abhidhammoti. Abhimukhaṃ ñāṇena sammā etabbo abhisametabboti abhisamayo, dhammānaṃ aviparītasabhāvo. Abhimukhabhāvena sammā eti gacchati bujjhatīti abhisamayo, dhammānaṃ yathābhūtasabhāvāvabodho. Evaṃ tasmiṃ tasmiṃ atthe samayasaddassa pavatti veditabbā.
สมยสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร อภิสมยสทฺทสฺส คหเณ การณํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อิธ ปนสฺส กาโล อโตฺถ สมวายาทีนํ อสมฺภวโตฯ เทสเทสกปริสา วิย หิ เทสนาย นิทานภาเว กาโล เอว อิจฺฉิตโพฺพติฯ ยสฺมา ปเนตฺถ สมโยติ กาโล อธิเปฺปโต, ตสฺมา สํวจฺฉรอุตุมาสทฺธมาสรตฺติทิวสปุพฺพณฺหมชฺฌนฺหิกสายนฺหปฐมยาม- มชฺฌิมยามปจฺฉิมยามมุหุตฺตาทีสุ กาลเภทภูเตสุ สมเยสุ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ
Samayasaddassa atthuddhāre abhisamayasaddassa gahaṇe kāraṇaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Idha panassa kālo attho samavāyādīnaṃ asambhavato. Desadesakaparisā viya hi desanāya nidānabhāve kālo eva icchitabboti. Yasmā panettha samayoti kālo adhippeto, tasmā saṃvaccharautumāsaddhamāsarattidivasapubbaṇhamajjhanhikasāyanhapaṭhamayāma- majjhimayāmapacchimayāmamuhuttādīsu kālabhedabhūtesu samayesu ekaṃ samayanti dīpeti.
กสฺมา ปเนตฺถ อนิยมิตวเสเนว กาโล นิทฺทิโฎฺฐ, น อุตุสํวจฺฉราทิวเสน นิยเมตฺวา นิทฺทิโฎฺฐติ เจ? กิญฺจาปิ เอเตสุ สํวจฺฉราทีสุ สมเยสุ ยํ ยํ สุตฺตํ ยสฺมิํ ยสฺมิํ สํวจฺฉเร อุตุมฺหิ มาเส ปเกฺข รตฺติภาเค ทิวสภาเค วา วุตฺตํ, สพฺพมฺปิ ตํ เถรสฺส สุวิทิตํ สุววตฺถาปิตํ ปญฺญายฯ ยสฺมา ปน ‘‘เอวํ เม สุตํ อสุกสํวจฺฉเร อสุกอุตุมฺหิ อสุกมาเส อสุกปเกฺข อสุกรตฺติภาเค อสุกทิวสภาเค วา’’ติ เอวํ วุเตฺต น สกฺกา สุเขน ธาเรตุํ วา อุทฺทิสิตุํ วา อุทฺทิสาเปตุํ วา, พหุ จ วตฺตพฺพํ โหติ, ตสฺมา เอเกเนว ปเทน ตมตฺถํ สโมธาเนตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ
Kasmā panettha aniyamitavaseneva kālo niddiṭṭho, na utusaṃvaccharādivasena niyametvā niddiṭṭhoti ce? Kiñcāpi etesu saṃvaccharādīsu samayesu yaṃ yaṃ suttaṃ yasmiṃ yasmiṃ saṃvacchare utumhi māse pakkhe rattibhāge divasabhāge vā vuttaṃ, sabbampi taṃ therassa suviditaṃ suvavatthāpitaṃ paññāya. Yasmā pana ‘‘evaṃ me sutaṃ asukasaṃvacchare asukautumhi asukamāse asukapakkhe asukarattibhāge asukadivasabhāge vā’’ti evaṃ vutte na sakkā sukhena dhāretuṃ vā uddisituṃ vā uddisāpetuṃ vā, bahu ca vattabbaṃ hoti, tasmā ekeneva padena tamatthaṃ samodhānetvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha.
เย วา อิเม คโพฺภกฺกนฺติสมโย ชาติสมโย สํเวคสมโย อภินิกฺขมนสมโย ทุกฺกรการิกสมโย มารวิชยสมโย อภิสโมฺพธิสมโย ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย เทสนาสมโย ปรินิพฺพานสมโยติ เอวมาทโย ภควโต เทวมนุเสฺสสุ อติวิย ปกาสา อเนกกาลปฺปเภทา เอว สมยา, เตสุ สมเยสุ เทสนาสมยสงฺขาตํ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ โย วายํ ญาณกรุณากิจฺจสมเยสุ กรุณากิจฺจสมโย, อตฺตหิตปรหิตปฺปฎิปตฺติสมเยสุ ปรหิตปฺปฎิปตฺติสมโย, สนฺนิปติตานํ กรณียทฺวยสมเยสุ ธมฺมกถาสมโย, เทสนาปฎิปตฺติสมเยสุ เทสนาสมโย, เตสุ สมเยสุ อญฺญตรสมยํ สนฺธาย ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ
Ye vā ime gabbhokkantisamayo jātisamayo saṃvegasamayo abhinikkhamanasamayo dukkarakārikasamayo māravijayasamayo abhisambodhisamayo diṭṭhadhammasukhavihārasamayo desanāsamayo parinibbānasamayoti evamādayo bhagavato devamanussesu ativiya pakāsā anekakālappabhedā eva samayā, tesu samayesu desanāsamayasaṅkhātaṃ ekaṃ samayanti dīpeti. Yo vāyaṃ ñāṇakaruṇākiccasamayesu karuṇākiccasamayo, attahitaparahitappaṭipattisamayesu parahitappaṭipattisamayo, sannipatitānaṃ karaṇīyadvayasamayesu dhammakathāsamayo, desanāpaṭipattisamayesu desanāsamayo, tesu samayesu aññatarasamayaṃ sandhāya ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha.
กสฺมา ปเนตฺถ ยถา อภิธเมฺม ‘‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ (ธ. ส. ๑) จ อิโต อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๐๐) จ ภุมฺมวจเนน นิเทฺทโส กโต, วินเย จ ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา’’ติ (ปารา. ๑) กรณวจเนน นิเทฺทโส กโต, ตถา อกตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อจฺจนฺตสํโยคเตฺถ อุปโยควจเนน นิเทฺทโส กโตติ? ตตฺถ ตถา, อิธ จ อญฺญถา อตฺถสมฺภวโตฯ ตตฺถ หิ อภิธเมฺม อิโต อเญฺญสุ จ สุตฺตเนฺตสุ อาธารวิสยสงฺขาโต อธิกรณโตฺถ กิริยาย กิริยนฺตรลกฺขณสงฺขาโต ภาเวนภาวลกฺขณโตฺถ จ สมฺภวตีติฯ อธิกรณญฺหิ กาลโตฺถ สมูหโตฺถ จ สมโย ตตฺถ วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ, ตถา กาโล สภาวธมฺมปฺปวตฺติมตฺตตาย ปรมตฺถโต อวิชฺชมาโนปิ อาธารภาเวน ปญฺญาโต ตงฺขณปฺปวตฺตานํ ตโต ปุเพฺพ ปรโต จ อภาวโต ยถา ‘‘ปุพฺพเณฺห ชาโต สายเนฺห ชาโต’’ติอาทีสุฯ สมูโหติปิ อวยววินิมุโตฺต ปรมตฺถโต อวิชฺชมาโนปิ กปฺปนามตฺตสิเทฺธน รูเปน อวยวานํ อาธารภาเวน ปญฺญาปียติ, ยถา ‘‘รุเกฺข สาขา, ยโว ยวราสิมฺหิ สมุฎฺฐิโต’’ติอาทีสุฯ ยสฺมิํ กาเล ธมฺมปุเญฺช จ กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว กาเล ธมฺมปุเญฺช จ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อยญฺหิ ตตฺถ อโตฺถฯ ตถา ขณสมวายเหตุสงฺขาตสฺส สมยสฺส ภาเวน ตตฺถ วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ ภาโว ลกฺขียติฯ ยถา หิ ‘‘คาวีสุ ทุยฺหมานาสุ คโต, ทุทฺธาสุ อาคโต’’ติ เอตฺถ คาวีนํ โทหนกิริยาย คมนกิริยา ลกฺขียติ, เอวํ อิธาปิ ยสฺมิํ สมเยติ วุเตฺต จ ปทตฺถสฺส สตฺตาวิรหาภาวโต สตีติ อยมโตฺถ วิญฺญายมาโน เอว โหตีติ สมยสฺส สตฺตากิริยาย จิตฺตสฺส อุปฺปาทกิริยา ผสฺสาทีนํ ภวนกิริยา จ ลกฺขียติฯ ตถา ยสฺมิํ สมเย ยสฺมิํ นวเม ขเณ ยสฺมิํ โยนิโสมนสิการาทิเหตุมฺหิ ปจฺจยสมวาเย วา สติ กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย ขเณ เหตุมฺหิ ปจฺจยสมวาเย จ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติฯ ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ภุมฺมวจเนน นิเทฺทโส กโตฯ
Kasmā panettha yathā abhidhamme ‘‘yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hotī’’ti (dha. sa. 1) ca ito aññesu suttapadesu ‘‘yasmiṃ samaye, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehī’’ti (a. ni. 4.200) ca bhummavacanena niddeso kato, vinaye ca ‘‘tena samayena buddho bhagavā’’ti (pārā. 1) karaṇavacanena niddeso kato, tathā akatvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti accantasaṃyogatthe upayogavacanena niddeso katoti? Tattha tathā, idha ca aññathā atthasambhavato. Tattha hi abhidhamme ito aññesu ca suttantesu ādhāravisayasaṅkhāto adhikaraṇattho kiriyāya kiriyantaralakkhaṇasaṅkhāto bhāvenabhāvalakkhaṇattho ca sambhavatīti. Adhikaraṇañhi kālattho samūhattho ca samayo tattha vuttānaṃ phassādidhammānaṃ, tathā kālo sabhāvadhammappavattimattatāya paramatthato avijjamānopi ādhārabhāvena paññāto taṅkhaṇappavattānaṃ tato pubbe parato ca abhāvato yathā ‘‘pubbaṇhe jāto sāyanhe jāto’’tiādīsu. Samūhotipi avayavavinimutto paramatthato avijjamānopi kappanāmattasiddhena rūpena avayavānaṃ ādhārabhāvena paññāpīyati, yathā ‘‘rukkhe sākhā, yavo yavarāsimhi samuṭṭhito’’tiādīsu. Yasmiṃ kāle dhammapuñje ca kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva kāle dhammapuñje ca phassādayopi hontīti ayañhi tattha attho. Tathā khaṇasamavāyahetusaṅkhātassa samayassa bhāvena tattha vuttānaṃ phassādidhammānaṃ bhāvo lakkhīyati. Yathā hi ‘‘gāvīsu duyhamānāsu gato, duddhāsu āgato’’ti ettha gāvīnaṃ dohanakiriyāya gamanakiriyā lakkhīyati, evaṃ idhāpi yasmiṃ samayeti vutte ca padatthassa sattāvirahābhāvato satīti ayamattho viññāyamāno eva hotīti samayassa sattākiriyāya cittassa uppādakiriyā phassādīnaṃ bhavanakiriyā ca lakkhīyati. Tathā yasmiṃ samaye yasmiṃ navame khaṇe yasmiṃ yonisomanasikārādihetumhi paccayasamavāye vā sati kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃ samaye khaṇe hetumhi paccayasamavāye ca phassādayopi hontīti. Tasmā tadatthajotanatthaṃ bhummavacanena niddeso kato.
วินเย จ ‘‘อเนฺนน วสติ, อเชฺฌเนน วสตี’’ติอาทีสุ วิย เหตุอโตฺถ, ‘‘ผรสุนา ฉินฺทติ, กุทาเลน ขณตี’’ติอาทีสุ วิย กรณโตฺถ จ สมฺภวติฯ โย หิ สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย ธมฺมเสนาปติอาทีหิปิ ทุพฺพิเญฺญโยฺย, เตน สมเยน กรณภูเตน เหตุภูเตน จ วีติกฺกมํ สุตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา โอติณฺณวตฺถุกํ ปุคฺคลํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา วิครหิตฺวา จ ตํ ตํ วตฺถุํ โอติณฺณสมยสงฺขาตํ กาลํ อนติกฺกมิตฺวา สิกฺขาปทานิ ปญฺญาเปโนฺต ตติยปาราชิกาทีนํ วิย สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา เหตุํ อเปกฺขมาโน ตตฺถ ตตฺถ วิหาสิ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ วินเย กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตฯ
Vinaye ca ‘‘annena vasati, ajjhenena vasatī’’tiādīsu viya hetuattho, ‘‘pharasunā chindati, kudālena khaṇatī’’tiādīsu viya karaṇattho ca sambhavati. Yo hi sikkhāpadapaññattisamayo dhammasenāpatiādīhipi dubbiññeyyo, tena samayena karaṇabhūtena hetubhūtena ca vītikkamaṃ sutvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā otiṇṇavatthukaṃ puggalaṃ paṭipucchitvā vigarahitvā ca taṃ taṃ vatthuṃ otiṇṇasamayasaṅkhātaṃ kālaṃ anatikkamitvā sikkhāpadāni paññāpento tatiyapārājikādīnaṃ viya sikkhāpadapaññattiyā hetuṃ apekkhamāno tattha tattha vihāsi, tasmā tadatthajotanatthaṃ vinaye karaṇavacanena niddeso kato.
อิธ ปน อญฺญสฺมิญฺจ เอวํชาติเก อจฺจนฺตสํโยคโตฺถ สมฺภวติฯ ยสฺมิญฺหิ สมเย สห สมุฎฺฐานเหตุนา อิทํ อุทานํ อุปฺปนฺนํ, อจฺจนฺตเมว ตํ สมยํ อริยวิหารปุพฺพงฺคมาย ธมฺมปจฺจเวกฺขณาย ภควา วิหาสิ, ตสฺมา ‘‘มาสํ อเชฺฌตี’’ติอาทีสุ วิย อุปโยคตฺถโชตนตฺถํ อิธ อุปโยควจเนน นิเทฺทโส กโตฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Idha pana aññasmiñca evaṃjātike accantasaṃyogattho sambhavati. Yasmiñhi samaye saha samuṭṭhānahetunā idaṃ udānaṃ uppannaṃ, accantameva taṃ samayaṃ ariyavihārapubbaṅgamāya dhammapaccavekkhaṇāya bhagavā vihāsi, tasmā ‘‘māsaṃ ajjhetī’’tiādīsu viya upayogatthajotanatthaṃ idha upayogavacanena niddeso kato. Tenetaṃ vuccati –
‘‘ตํ ตํ อตฺถมเปกฺขิตฺวา, ภุเมฺมน กรเณน จ;
‘‘Taṃ taṃ atthamapekkhitvā, bhummena karaṇena ca;
อญฺญตฺร สมโย วุโตฺต, อุปโยเคน โส อิธา’’ติฯ
Aññatra samayo vutto, upayogena so idhā’’ti.
โปราณา ปน วณฺณยนฺติ – ‘‘ยสฺมิํ สมเย’’ติ วา ‘‘เตน สมเยนา’’ติ วา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วา อภิลาปมตฺตเภโท เอส นิเทฺทโส, สพฺพตฺถ ภุมฺมเมว อโตฺถติฯ ตสฺมา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วุเตฺตปิ เอกสฺมิํ สมเยติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Porāṇā pana vaṇṇayanti – ‘‘yasmiṃ samaye’’ti vā ‘‘tena samayenā’’ti vā ‘‘ekaṃ samaya’’nti vā abhilāpamattabhedo esa niddeso, sabbattha bhummameva atthoti. Tasmā ‘‘ekaṃ samaya’’nti vuttepi ekasmiṃ samayeti attho veditabbo.
ภควาติ ครุฯ ครุญฺหิ โลเก ‘‘ภควา’’ติ วทนฺติฯ อยญฺจ สพฺพคุณวิสิฎฺฐตาย สพฺพสตฺตานํ ครุ, ตสฺมา ภควาติ เวทิตโพฺพฯ โปราเณหิปิ วุตฺตํ –
Bhagavāti garu. Garuñhi loke ‘‘bhagavā’’ti vadanti. Ayañca sabbaguṇavisiṭṭhatāya sabbasattānaṃ garu, tasmā bhagavāti veditabbo. Porāṇehipi vuttaṃ –
‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐํ, ภควาติ วจนมุตฺตมํ;
‘‘Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhaṃ, bhagavāti vacanamuttamaṃ;
ครุ คารวยุโตฺต โส, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ
Garu gāravayutto so, bhagavā tena vuccatī’’ti.
ตตฺถ เสฎฺฐวาจกวจนํ เสฎฺฐนฺติ วุตฺตํ เสฎฺฐคุณสหจรณโตฯ อถ วา วุจฺจตีติ วจนํ, อโตฺถฯ ภควาติ วจนํ เสฎฺฐนฺติ ภควาติ อิมินา วจเนน วจนีโย โย อโตฺถ, โส เสโฎฺฐติ อโตฺถฯ ภควาติ วจนมุตฺตมนฺติ เอตฺถาปิ วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ คารวยุโตฺตติ ครุภาวยุโตฺต ครุคุณโยคโต วิเสสครุกรณารหตาย วา คารวยุโตฺตฯ เอวํ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุคารวาธิวจนํ ภควาติ อิทํ วจนนฺติ เวทิตพฺพํฯ อปิจ –
Tattha seṭṭhavācakavacanaṃ seṭṭhanti vuttaṃ seṭṭhaguṇasahacaraṇato. Atha vā vuccatīti vacanaṃ, attho. Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhanti bhagavāti iminā vacanena vacanīyo yo attho, so seṭṭhoti attho. Bhagavāti vacanamuttamanti etthāpi vuttanayeneva attho veditabbo. Gāravayuttoti garubhāvayutto garuguṇayogato visesagarukaraṇārahatāya vā gāravayutto. Evaṃ guṇavisiṭṭhasattuttamagarugāravādhivacanaṃ bhagavāti idaṃ vacananti veditabbaṃ. Apica –
‘‘ภคี ภชี ภาคี วิภตฺตวา อิติ,
‘‘Bhagī bhajī bhāgī vibhattavā iti,
อกาสิ ภคฺคนฺติ ครูติ ภาคฺยวา;
Akāsi bhagganti garūti bhāgyavā;
พหูหิ ญาเยหิ สุภาวิตตฺตโน,
Bahūhi ñāyehi subhāvitattano,
ภวนฺตโค โส ภควาติ วุจฺจตี’’ติฯ –
Bhavantago so bhagavāti vuccatī’’ti. –
นิเทฺทเส (มหานิ. ๘๔) อาคตนเยน –
Niddese (mahāni. 84) āgatanayena –
‘‘ภาคฺยวา ภคฺควา ยุโตฺต, ภเคหิ จ วิภตฺตวา;
‘‘Bhāgyavā bhaggavā yutto, bhagehi ca vibhattavā;
ภตฺตวา วนฺตคมโน, ภเวสุ ภควา ตโต’’ติฯ –
Bhattavā vantagamano, bhavesu bhagavā tato’’ti. –
อิมาย คาถาย จ วเสน ภควาติ ปทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โส ปนายํ อโตฺถ สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔๒) วุโตฺต, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยเนว วิวริตโพฺพฯ
Imāya gāthāya ca vasena bhagavāti padassa attho veditabbo. So panāyaṃ attho sabbākārena visuddhimagge (visuddhi. 1.142) vutto, tasmā tattha vuttanayeneva vivaritabbo.
อปิจ ภาเค วนิ, ภเค วา วมีติ ภควาฯ ตถาคโต หิ ทานสีลาทิปารมิธเมฺม ฌานวิโมกฺขาทิอุตฺตริมนุสฺสธเมฺม วนิ ภชิ เสวิ พหุลมกาสิ, ตสฺมา ภควาฯ อถ วา เตเยว ‘‘เวเนยฺยสตฺตสนฺตาเนสุ กถํ นุ โข อุปฺปเชฺชยฺยุ’’นฺติ วนิ อภิปตฺถยีติ ภควาฯ อถ วา ภคสงฺขาตํ อิสฺสริยํ ยสญฺจ วมิ อุคฺคิริ เขฬปิณฺฑํ วิย อนเปโกฺข ฉฑฺฑยีติ ภควาฯ ตถา หิ ตถาคโต หตฺถคตํ จกฺกวตฺติสิริํ เทวโลกาธิปจฺจสทิสํ จาตุทฺทีปิสฺสริยํ, จกฺกวตฺติสมฺปตฺติสนฺนิสฺสยญฺจ สตฺตรตนสมุชฺชลํ ยสํ ติณายปิ อมญฺญมาโน นิรเปโกฺข ปหาย อภินิกฺขมิตฺวา สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมา อิเม สิริอาทิเก ภเค วมีติ ภควาฯ อถ วา ภานิ นาม นกฺขตฺตานิ, เตหิ สมํ คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตีติ ภคาฯ สิเนรุยุคนฺธรอุตฺตรกุรุหิมวนฺตาทิภาชนโลกวิเสสสนฺนิสฺสยโสภา กปฺปฎฺฐิติภาวโต, เตปิ ภเค วมิ, ตนฺนิวาสิสตฺตาวาสสมติกฺกมนโต ตปฺปฎิพทฺธฉนฺทราคปฺปหาเนน ปชหีติฯ เอวมฺปิ ภเค วมีติ ภควาติ เอวมาทินา นเยน ภควาติ ปทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Apica bhāge vani, bhage vā vamīti bhagavā. Tathāgato hi dānasīlādipāramidhamme jhānavimokkhādiuttarimanussadhamme vani bhaji sevi bahulamakāsi, tasmā bhagavā. Atha vā teyeva ‘‘veneyyasattasantānesu kathaṃ nu kho uppajjeyyu’’nti vani abhipatthayīti bhagavā. Atha vā bhagasaṅkhātaṃ issariyaṃ yasañca vami uggiri kheḷapiṇḍaṃ viya anapekkho chaḍḍayīti bhagavā. Tathā hi tathāgato hatthagataṃ cakkavattisiriṃ devalokādhipaccasadisaṃ cātuddīpissariyaṃ, cakkavattisampattisannissayañca sattaratanasamujjalaṃ yasaṃ tiṇāyapi amaññamāno nirapekkho pahāya abhinikkhamitvā sammāsambodhiṃ abhisambuddho, tasmā ime siriādike bhage vamīti bhagavā. Atha vā bhāni nāma nakkhattāni, tehi samaṃ gacchanti pavattantīti bhagā. Sineruyugandharauttarakuruhimavantādibhājanalokavisesasannissayasobhā kappaṭṭhitibhāvato, tepi bhage vami, tannivāsisattāvāsasamatikkamanato tappaṭibaddhachandarāgappahānena pajahīti. Evampi bhage vamīti bhagavāti evamādinā nayena bhagavāti padassa attho veditabbo.
เอตฺตาวตา เจตฺถ เอวํ เม สุตนฺติ วจเนน ยถาสุตํ ธมฺมํ สวนวเสน ภาสโนฺต ภควโต ธมฺมสรีรํ ปจฺจกฺขํ กโรติ, เตน ‘‘นยิทํ อติกฺกนฺตสตฺถุกํ ปาวจนํ, อยํ โว สตฺถา’’ติ สตฺถุ อทสฺสเนน อุกฺกณฺฐิตํ ชนํ สมสฺสาเสติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘โย โข, อานนฺท, มยา ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๖; มิ. ป. ๔.๑.๑)ฯ เอกํ สมยํ ภควาติ วจเนน ตสฺมิํ สมเย ภควโต อวิชฺชมานภาวํ ทเสฺสโนฺต รูปกายปรินิพฺพานํ สาเธติ, เตน ‘‘เอวํวิธสฺส นาม ธมฺมสฺส เทเสตา ทสพลธโร วชิรสงฺฆาตสมานกาโย โสปิ ภควา ปรินิพฺพุโต, เกนเญฺญน ชีวิเต อาสา ชเนตพฺพา’’ติ ชีวิตมทมตฺตํ ชนํ สํเวเชติ, สทฺธเมฺม จสฺส อุสฺสาหํ ชเนติฯ
Ettāvatā cettha evaṃ me sutanti vacanena yathāsutaṃ dhammaṃ savanavasena bhāsanto bhagavato dhammasarīraṃ paccakkhaṃ karoti, tena ‘‘nayidaṃ atikkantasatthukaṃ pāvacanaṃ, ayaṃ vo satthā’’ti satthu adassanena ukkaṇṭhitaṃ janaṃ samassāseti. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘yo kho, ānanda, mayā dhammo ca vinayo ca desito paññatto, so vo mamaccayena satthā’’ti (dī. ni. 2.216; mi. pa. 4.1.1). Ekaṃ samayaṃ bhagavāti vacanena tasmiṃ samaye bhagavato avijjamānabhāvaṃ dassento rūpakāyaparinibbānaṃ sādheti, tena ‘‘evaṃvidhassa nāma dhammassa desetā dasabaladharo vajirasaṅghātasamānakāyo sopi bhagavā parinibbuto, kenaññena jīvite āsā janetabbā’’ti jīvitamadamattaṃ janaṃ saṃvejeti, saddhamme cassa ussāhaṃ janeti.
เอวนฺติ จ ภณโนฺต เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ, วกฺขมานสฺส สกลสุตฺตสฺส เอวนฺติ นิทสฺสนโตฯ เม สุตนฺติ สาวกสมฺปตฺติํ สวนสมฺปตฺติญฺจ นิทฺทิสติ, ปฎิสมฺภิทาปเตฺตน ปญฺจสุ ฐาเนสุ ภควตา เอตทเคฺค ฐปิเตน ธมฺมภณฺฑาคาริเกน สุตภาวทีปนโต ‘‘ตญฺจ โข มยาว สุตํ, น อนุสฺสุติกํ, น ปรมฺปราภต’’นฺติ อิมสฺส จตฺถสฺส ทีปนโตฯ เอกํ สมยนฺติ กาลสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ ภควโต อุรุเวลายํ วิหรณสมยภาเวน พุทฺธุปฺปาทปฺปฎิมณฺฑิตภาวทีปนโตฯ พุทฺธุปฺปาทปรมา หิ กาลสมฺปทาฯ ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุภาวทีปนโตฯ
Evanti ca bhaṇanto desanāsampattiṃ niddisati, vakkhamānassa sakalasuttassa evanti nidassanato. Me sutanti sāvakasampattiṃ savanasampattiñca niddisati, paṭisambhidāpattena pañcasu ṭhānesu bhagavatā etadagge ṭhapitena dhammabhaṇḍāgārikena sutabhāvadīpanato ‘‘tañca kho mayāva sutaṃ, na anussutikaṃ, na paramparābhata’’nti imassa catthassa dīpanato. Ekaṃ samayanti kālasampattiṃ niddisati bhagavato uruvelāyaṃ viharaṇasamayabhāvena buddhuppādappaṭimaṇḍitabhāvadīpanato. Buddhuppādaparamā hi kālasampadā. Bhagavāti desakasampattiṃ niddisati guṇavisiṭṭhasattuttamagarubhāvadīpanato.
อุรุเวลายนฺติ มหาเวลายํ, มหเนฺต วาลุการาสิมฺหีติ อโตฺถฯ อถ วา อุรูติ วาลุกา วุจฺจติ, เวลาติ มริยาทาฯ เวลาติกฺกมนเหตุ อาภตา อุรุ อุรุเวลาติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Uruvelāyanti mahāvelāyaṃ, mahante vālukārāsimhīti attho. Atha vā urūti vālukā vuccati, velāti mariyādā. Velātikkamanahetu ābhatā uru uruvelāti evampettha attho daṭṭhabbo.
อตีเต กิร อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ทสสหสฺสตาปสา ตสฺมิํ ปเทเส วิหรนฺตา ‘‘กายกมฺมวจีกมฺมานิ ปเรสมฺปิ ปากฎานิ โหนฺติ, มโนกมฺมํ ปน อปากฎํฯ ตสฺมา โย มิจฺฉาวิตกฺกํ วิตเกฺกติ, โส อตฺตนาว อตฺตานํ โจเทตฺวา ปตฺตปุเฎน วาลุกํ อาหริตฺวา อิมสฺมิํ ฐาเน อากิรตุ, อิทมสฺส ทณฺฑกมฺม’’นฺติ กติกวตฺตํ กตฺวา ตโต ปฎฺฐาย โย ตาทิสํ วิตกฺกํ วิตเกฺกติ, โส ตตฺถ ปตฺตปุเฎน วาลุกํ อาหริตฺวา อากิรติฯ เอวํ ตตฺถ อนุกฺกเมน มหาวาลุการาสิ ชาโต, ตโต นํ ปจฺฉิมา ชนตา ปริกฺขิปิตฺวา เจติยฎฺฐานมกาสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อุรุเวลายนฺติ มหาเวลายํ, มหเนฺต วาลุการาสิมฺหีติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติฯ
Atīte kira anuppanne buddhe dasasahassatāpasā tasmiṃ padese viharantā ‘‘kāyakammavacīkammāni paresampi pākaṭāni honti, manokammaṃ pana apākaṭaṃ. Tasmā yo micchāvitakkaṃ vitakketi, so attanāva attānaṃ codetvā pattapuṭena vālukaṃ āharitvā imasmiṃ ṭhāne ākiratu, idamassa daṇḍakamma’’nti katikavattaṃ katvā tato paṭṭhāya yo tādisaṃ vitakkaṃ vitakketi, so tattha pattapuṭena vālukaṃ āharitvā ākirati. Evaṃ tattha anukkamena mahāvālukārāsi jāto, tato naṃ pacchimā janatā parikkhipitvā cetiyaṭṭhānamakāsi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘uruvelāyanti mahāvelāyaṃ, mahante vālukārāsimhīti attho daṭṭhabbo’’ti.
วิหรตีติ อวิเสเสน อิริยาปถทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรสุ อญฺญตรวิหารสมงฺคิตาปริทีปนํฯ อิธ ปน ฐานนิสชฺชาคมนสยนปฺปเภเทสุ อิริยาปเถสุ อาสนสงฺขาตอิริยาปถสมาโยคปริทีปนํ อริยวิหารสมงฺคิตาปริทีปนญฺจาติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ยสฺมา เอกํ อิริยาปถพาธนํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ อตฺตภาวํ หรติ ปวเตฺตติ, ตสฺมา วิหรตีติ ปทสฺส อิริยาปถวิหารวเสเนตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยสฺมา ปน ภควา ทิพฺพวิหาราทีหิ สตฺตานํ วิวิธํ หิตํ หรติ อุปหรติ อุปเนติ อุปฺปาเทติ, ตสฺมา เตสมฺปิ วเสน วิวิธํ หรตีติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Viharatīti avisesena iriyāpathadibbabrahmaariyavihāresu aññataravihārasamaṅgitāparidīpanaṃ. Idha pana ṭhānanisajjāgamanasayanappabhedesu iriyāpathesu āsanasaṅkhātairiyāpathasamāyogaparidīpanaṃ ariyavihārasamaṅgitāparidīpanañcāti veditabbaṃ. Tattha yasmā ekaṃ iriyāpathabādhanaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ attabhāvaṃ harati pavatteti, tasmā viharatīti padassa iriyāpathavihāravasenettha attho veditabbo. Yasmā pana bhagavā dibbavihārādīhi sattānaṃ vividhaṃ hitaṃ harati upaharati upaneti uppādeti, tasmā tesampi vasena vividhaṃ haratīti evamattho veditabbo.
นชฺชาติ นทติ สนฺทตีติ นที, ตสฺสา นชฺชา, นทิยา นินฺนคายาติ อโตฺถฯ เนรญฺชรายาติ เนลํ ชลมสฺสาติ ‘‘เนลญฺชลายา’’ติ วตฺตเพฺพ ลการสฺส รการํ กตฺวา ‘‘เนรญฺชรายา’’ติ วุตฺตํ, กทฺทมเสวาลปณกาทิโทสรหิตสลิลายาติ อโตฺถฯ เกจิ ‘‘นีลชลายาติ วตฺตเพฺพ เนรญฺชรายาติ วุตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ นามเมว วา เอตํ เอติสฺสา นทิยาติ เวทิตพฺพํฯ ตสฺสา นทิยา ตีเร ยตฺถ ภควา วิหาสิ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘โพธิรุกฺขมูเล’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติ เอตฺถ (จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๑) มคฺคญาณํ โพธีติ วุตฺตํฯ ‘‘ปโปฺปติ โพธิํ วรภูริเมธโส’’ติ เอตฺถ (ที. นิ. ๓.๒๑๗) สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ ตทุภยมฺปิ โพธิํ ภควา เอตฺถ ปโตฺตติ รุโกฺขปิ โพธิรุโกฺขเตฺวว นามํ ลภิฯ อถ วา สตฺต โพชฺฌเงฺค พุชฺฌีติ ภควา โพธิ, เตน พุชฺฌเนฺตน สนฺนิสฺสิตตฺตา โส รุโกฺขปิ โพธิรุโกฺขติ นามํ ลภิ, ตสฺส โพธิรุกฺขสฺสฯ มูเลติ สมีเปฯ อยญฺหิ มูลสโทฺท ‘‘มูลานิ อุทฺธเรยฺย อนฺตมโส อุสีรนาฬมตฺตานิปี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๙๕) มูลมูเล ทิสฺสติฯ ‘‘โลโภ อกุสลมูล’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๐๕) อสาธารณเหตุมฺหิฯ ‘‘ยาวตา มชฺฌนฺหิเก กาเล ฉายา ผรติ, นิวาเต ปณฺณานิ ปตนฺติ, เอตฺตาวตา รุกฺขมูล’’นฺติอาทีสุ สมีเปฯ อิธาปิ สมีเป อธิเปฺปโต, ตสฺมา โพธิรุกฺขสฺส มูเล สมีเปติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Najjāti nadati sandatīti nadī, tassā najjā, nadiyā ninnagāyāti attho. Nerañjarāyāti nelaṃ jalamassāti ‘‘nelañjalāyā’’ti vattabbe lakārassa rakāraṃ katvā ‘‘nerañjarāyā’’ti vuttaṃ, kaddamasevālapaṇakādidosarahitasalilāyāti attho. Keci ‘‘nīlajalāyāti vattabbe nerañjarāyāti vutta’’nti vadanti. Nāmameva vā etaṃ etissā nadiyāti veditabbaṃ. Tassā nadiyā tīre yattha bhagavā vihāsi, taṃ dassetuṃ ‘‘bodhirukkhamūle’’ti vuttaṃ. Tattha ‘‘bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇa’’nti ettha (cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 121) maggañāṇaṃ bodhīti vuttaṃ. ‘‘Pappoti bodhiṃ varabhūrimedhaso’’ti ettha (dī. ni. 3.217) sabbaññutaññāṇaṃ. Tadubhayampi bodhiṃ bhagavā ettha pattoti rukkhopi bodhirukkhotveva nāmaṃ labhi. Atha vā satta bojjhaṅge bujjhīti bhagavā bodhi, tena bujjhantena sannissitattā so rukkhopi bodhirukkhoti nāmaṃ labhi, tassa bodhirukkhassa. Mūleti samīpe. Ayañhi mūlasaddo ‘‘mūlāni uddhareyya antamaso usīranāḷamattānipī’’tiādīsu (a. ni. 4.195) mūlamūle dissati. ‘‘Lobho akusalamūla’’ntiādīsu (dī. ni. 3.305) asādhāraṇahetumhi. ‘‘Yāvatā majjhanhike kāle chāyā pharati, nivāte paṇṇāni patanti, ettāvatā rukkhamūla’’ntiādīsu samīpe. Idhāpi samīpe adhippeto, tasmā bodhirukkhassa mūle samīpeti evamettha attho daṭṭhabbo.
ปฐมาภิสมฺพุโทฺธติ ปฐมํ อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา, สพฺพปฐมํเยวาติ อโตฺถฯ เอตฺตาวตา ธมฺมภณฺฑาคาริเกน อุทานเทสนาย นิทานํ ฐเปเนฺตน กาลเทสเทสกาปเทสา สห วิเสเสน ปกาสิตา โหนฺติฯ
Paṭhamābhisambuddhoti paṭhamaṃ abhisambuddho hutvā, sabbapaṭhamaṃyevāti attho. Ettāvatā dhammabhaṇḍāgārikena udānadesanāya nidānaṃ ṭhapentena kāladesadesakāpadesā saha visesena pakāsitā honti.
เอตฺถาห ‘‘กสฺมา ธมฺมวินยสงฺคเห กยิรมาเน นิทานวจนํ วุตฺตํ, นนุ ภควตา ภาสิตวจนเสฺสว สงฺคโห กาตโพฺพ’’ติ? วุจฺจเต – เทสนาย จิรฎฺฐิติอสโมฺมสสเทฺธยฺยภาวสมฺปาทนตฺถํฯ กาลเทสเทสกวตฺถุอาทีหิ อุปนิพนฺธิตฺวา ฐปิตา หิ เทสนา จิรฎฺฐิติกา โหติ อสโมฺมสา สเทฺธยฺยา จ เทสกาลกตฺตุเหตุนิมิเตฺตหิ อุปนิพโทฺธ วิย โวหารวินิจฺฉโยฯ เตเนว จ อายสฺมตา มหากสฺสเปน ‘‘ปฐมํ, อาวุโส อานนฺท, อุทานํ กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทินา เทสาทีสุ ปุจฺฉาย กตาย วิสฺสชฺชนํ กโรเนฺตน ธมฺมภณฺฑาคาริเกน ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทินา อุทานสฺส นิทานํ ภาสิตนฺติฯ
Etthāha ‘‘kasmā dhammavinayasaṅgahe kayiramāne nidānavacanaṃ vuttaṃ, nanu bhagavatā bhāsitavacanasseva saṅgaho kātabbo’’ti? Vuccate – desanāya ciraṭṭhitiasammosasaddheyyabhāvasampādanatthaṃ. Kāladesadesakavatthuādīhi upanibandhitvā ṭhapitā hi desanā ciraṭṭhitikā hoti asammosā saddheyyā ca desakālakattuhetunimittehi upanibaddho viya vohāravinicchayo. Teneva ca āyasmatā mahākassapena ‘‘paṭhamaṃ, āvuso ānanda, udānaṃ kattha bhāsita’’ntiādinā desādīsu pucchāya katāya vissajjanaṃ karontena dhammabhaṇḍāgārikena ‘‘evaṃ me suta’’ntiādinā udānassa nidānaṃ bhāsitanti.
อปิจ สตฺถุ สมฺปตฺติปกาสนตฺถํ นิทานวจนํฯ ตถาคตสฺส หิ ภควโต ปุพฺพรจนานุมานาคมตกฺกาภาวโต สมฺพุทฺธตฺตสิทฺธิฯ น หิ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปุพฺพรจนาทีหิ อโตฺถ อตฺถิ สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณจารตาย เอกปฺปมาณตฺตา เญยฺยธเมฺมสุฯ ตถา อาจริยมุฎฺฐิธมฺมมจฺฉริยสาสนสาวกานุราคาภาวโต ขีณาสวตฺตสิทฺธิฯ น หิ สพฺพโส ปริกฺขีณาสวสฺส กตฺถจิปิ อาจริยมุฎฺฐิอาทีนํ สมฺภโวติ สุวิสุทฺธสฺส ปรานุคฺคหปฺปวตฺติฯ อิติ เทสกโทสภูตานํ ทิฎฺฐิสีลสมฺปตฺติทูสกานํ อจฺจนฺตํ อวิชฺชาตณฺหานํ อภาวสํสูจเกหิ ญาณสมฺปทาปหานสมฺปทาภิพฺยญฺชเกหิ จ สมฺพุทฺธวิสุทฺธภาเวหิ ปุริมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธิ, ตโต จ อนฺตรายิกนิยฺยานิกธเมฺมสุ สโมฺมหาภาวสิทฺธิโต ปจฺฉิมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธีติ ภควโต จตุเวสารชฺชสมนฺนาคโม อตฺตหิตปรหิตปฺปฎิปตฺติ จ นิทานวจเนน ปกาสิตา โหนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ สมฺปตฺตปริสาย อชฺฌาสยานุรูปํ ฐานุปฺปตฺติกปฺปฎิภาเนน ธมฺมเทสนาทีปนโตฯ อิธ ปน วิมุตฺติสุขปฺปฎิสํเวทนปฎิจฺจสมุปฺปาทมนสิการปกาสเนนาติ โยเชตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สตฺถุ สมฺปตฺติปกาสนตฺถํ นิทานวจน’’นฺติฯ
Apica satthu sampattipakāsanatthaṃ nidānavacanaṃ. Tathāgatassa hi bhagavato pubbaracanānumānāgamatakkābhāvato sambuddhattasiddhi. Na hi sammāsambuddhassa pubbaracanādīhi attho atthi sabbattha appaṭihatañāṇacāratāya ekappamāṇattā ñeyyadhammesu. Tathā ācariyamuṭṭhidhammamacchariyasāsanasāvakānurāgābhāvato khīṇāsavattasiddhi. Na hi sabbaso parikkhīṇāsavassa katthacipi ācariyamuṭṭhiādīnaṃ sambhavoti suvisuddhassa parānuggahappavatti. Iti desakadosabhūtānaṃ diṭṭhisīlasampattidūsakānaṃ accantaṃ avijjātaṇhānaṃ abhāvasaṃsūcakehi ñāṇasampadāpahānasampadābhibyañjakehi ca sambuddhavisuddhabhāvehi purimavesārajjadvayasiddhi, tato ca antarāyikaniyyānikadhammesu sammohābhāvasiddhito pacchimavesārajjadvayasiddhīti bhagavato catuvesārajjasamannāgamo attahitaparahitappaṭipatti ca nidānavacanena pakāsitā honti, tattha tattha sampattaparisāya ajjhāsayānurūpaṃ ṭhānuppattikappaṭibhānena dhammadesanādīpanato. Idha pana vimuttisukhappaṭisaṃvedanapaṭiccasamuppādamanasikārapakāsanenāti yojetabbaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘satthu sampattipakāsanatthaṃ nidānavacana’’nti.
ตถา สาสนสมฺปตฺติปกาสนตฺถํ นิทานวจนํฯ ญาณกรุณาปริคฺคหิตสพฺพกิริยสฺส หิ ภควโต นตฺถิ นิรตฺถกา ปฎิปตฺติ อตฺตหิตา วาฯ ตสฺมา ปเรสํเยว อตฺถาย ปวตฺตสพฺพกิริยสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สกลมฺปิ กายวจีมโนกมฺมํ ยถาปวตฺตํ วุจฺจมานํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ ยถารหํ สตฺตานํ อนุสาสนเฎฺฐน สาสนํ, น กพฺพรจนาฯ ตยิทํ สตฺถุ จริตํ กาลเทสเทสกปริสาปเทสาทีหิ สทฺธิํ ตตฺถ ตตฺถ นิทานวจเนน ยถารหํ ปกาสียติ, อิธ ปน อภิสโมฺพธิวิมุตฺติสุขปฺปฎิสํเวทนปฎิจฺจสมุปฺปาทมนสิกาเรนาติ โยเชตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สาสนสมฺปตฺติปกาสนตฺถํ นิทานวจน’’นฺติฯ
Tathā sāsanasampattipakāsanatthaṃ nidānavacanaṃ. Ñāṇakaruṇāpariggahitasabbakiriyassa hi bhagavato natthi niratthakā paṭipatti attahitā vā. Tasmā paresaṃyeva atthāya pavattasabbakiriyassa sammāsambuddhassa sakalampi kāyavacīmanokammaṃ yathāpavattaṃ vuccamānaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi yathārahaṃ sattānaṃ anusāsanaṭṭhena sāsanaṃ, na kabbaracanā. Tayidaṃ satthu caritaṃ kāladesadesakaparisāpadesādīhi saddhiṃ tattha tattha nidānavacanena yathārahaṃ pakāsīyati, idha pana abhisambodhivimuttisukhappaṭisaṃvedanapaṭiccasamuppādamanasikārenāti yojetabbaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘sāsanasampattipakāsanatthaṃ nidānavacana’’nti.
อปิจ สตฺถุโน ปมาณภาวปฺปกาสเนน สาสนสฺส ปมาณภาวทสฺสนตฺถํ นิทานวจนํฯ สา จสฺส ปมาณภาวทสฺสนตา เหฎฺฐา วุตฺตนยานุสาเรน เวทิตพฺพาฯ ภควาติ หิ อิมินา ตถาคตสฺส ราคโทสโมหาทิสพฺพกิเลสมลทุจฺจริตาทิโทสปฺปหานทีปเนน , สพฺพสตฺตุตฺตมภาวทีปเนน จ อนญฺญสาธารณญาณกรุณาทิคุณวิเสสโยคปริทีปเนน, อยมโตฺถ สพฺพถา ปกาสิโต โหตีติ อิทเมตฺถ นิทานวจนปฺปโยชนสฺส มุขมตฺตทสฺสนํฯ
Apica satthuno pamāṇabhāvappakāsanena sāsanassa pamāṇabhāvadassanatthaṃ nidānavacanaṃ. Sā cassa pamāṇabhāvadassanatā heṭṭhā vuttanayānusārena veditabbā. Bhagavāti hi iminā tathāgatassa rāgadosamohādisabbakilesamaladuccaritādidosappahānadīpanena , sabbasattuttamabhāvadīpanena ca anaññasādhāraṇañāṇakaruṇādiguṇavisesayogaparidīpanena, ayamattho sabbathā pakāsito hotīti idamettha nidānavacanappayojanassa mukhamattadassanaṃ.
ตํ ปเนตํ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อารภิตฺวา ยาว ‘‘อิมํ อุทานํ อุทาเนสี’’ติ ปทํ, ตาว อิมสฺส อุทานสฺส นิทานนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตถา หิ ตํ ยถา ปฎิปโนฺน ภควา อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ, อาทิโต ปฎฺฐาย ตสฺส กายิกเจตสิกปฺปฎิปตฺติยา ปกาสนตฺถํ สงฺคีติกาเรหิ สงฺคีติกาเล ภาสิตวจนํฯ
Taṃ panetaṃ ‘‘evaṃ me suta’’nti ārabhitvā yāva ‘‘imaṃ udānaṃ udānesī’’ti padaṃ, tāva imassa udānassa nidānanti veditabbaṃ. Tathā hi taṃ yathā paṭipanno bhagavā imaṃ udānaṃ udānesi, ādito paṭṭhāya tassa kāyikacetasikappaṭipattiyā pakāsanatthaṃ saṅgītikārehi saṅgītikāle bhāsitavacanaṃ.
นนุ จ ‘‘อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหตี’’ติอาทิ ภควโต เอว วจนํ ภวิตุํ อรหติ, น หิ สตฺถารํ มุญฺจิตฺวา อโญฺญ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ เทเสตุํ สมโตฺถ โหตีติ? สจฺจเมตํ, ยถา ปน ภควา โพธิรุกฺขมูเล ธมฺมสภาวปจฺจเวกฺขณวเสน ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ มนสากาสิ, ตเถว นํ โพธเนยฺยพนฺธวานํ โพธนตฺถํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทสีหนาทสุตฺตาทีสุ เทสิตสฺส จ วจนานํ เทสิตาการสฺส อนุกรณวเสน ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส มนสิการํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ภควตา ภาสิตสฺส อิมสฺส อุทานสฺส ธมฺมสงฺคาหกา มหาเถรา นิทานํ สงฺคายิํสูติ ยถาวุตฺตวจนํ สงฺคีติการานเมว วจนนฺติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ อิโต ปเรสุปิ สุตฺตเนฺตสุ เอเสว นโยฯ
Nanu ca ‘‘imasmiṃ sati idaṃ hotī’’tiādi bhagavato eva vacanaṃ bhavituṃ arahati, na hi satthāraṃ muñcitvā añño paṭiccasamuppādaṃ desetuṃ samattho hotīti? Saccametaṃ, yathā pana bhagavā bodhirukkhamūle dhammasabhāvapaccavekkhaṇavasena paṭiccasamuppādaṃ manasākāsi, tatheva naṃ bodhaneyyabandhavānaṃ bodhanatthaṃ paṭiccasamuppādasīhanādasuttādīsu desitassa ca vacanānaṃ desitākārassa anukaraṇavasena paṭiccasamuppādassa manasikāraṃ aṭṭhuppattiṃ katvā bhagavatā bhāsitassa imassa udānassa dhammasaṅgāhakā mahātherā nidānaṃ saṅgāyiṃsūti yathāvuttavacanaṃ saṅgītikārānameva vacananti niṭṭhamettha gantabbaṃ. Ito paresupi suttantesu eseva nayo.
เอตฺถ จ อตฺตชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโย ปุจฺฉาวสิโก อฎฺฐุปฺปตฺติโกติ จตฺตาโร สุตฺตนิเกฺขปา เวทิตพฺพาฯ ยถา หิ อเนกสตอเนกสหสฺสเภทานิปิ สุตฺตานิ สํกิเลสภาคิยาทิปฎฺฐานนเยน โสฬสวิธตํ นาติวตฺตนฺติ, เอวํ ตานิ สพฺพานิปิ อตฺตชฺฌาสยาทิสุตฺตนิเกฺขปวเสน จตุพฺพิธภาวํ นาติวตฺตนฺติฯ กามเญฺจตฺถ อตฺตชฺฌาสยสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติยา จ ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิเกหิ สทฺธิํ สํสคฺคเภโท สมฺภวติ อชฺฌาสยานุสนฺธิปุจฺฉานุสนฺธิสมฺภวโต, อตฺตชฺฌาสยอฎฺฐุปฺปตฺตีนํ อญฺญมญฺญํ สํสโคฺค นตฺถีติ นิรวเสโส ปฎฺฐานนโย น สมฺภวติฯ ตทโนฺตคธตฺตา วา สมฺภวนฺตานํ เสสนิเกฺขปานํ มูลนิเกฺขปวเสน จตฺตาโร สุตฺตนิเกฺขปาติ วุตฺตํฯ
Ettha ca attajjhāsayo parajjhāsayo pucchāvasiko aṭṭhuppattikoti cattāro suttanikkhepā veditabbā. Yathā hi anekasataanekasahassabhedānipi suttāni saṃkilesabhāgiyādipaṭṭhānanayena soḷasavidhataṃ nātivattanti, evaṃ tāni sabbānipi attajjhāsayādisuttanikkhepavasena catubbidhabhāvaṃ nātivattanti. Kāmañcettha attajjhāsayassa aṭṭhuppattiyā ca parajjhāsayapucchāvasikehi saddhiṃ saṃsaggabhedo sambhavati ajjhāsayānusandhipucchānusandhisambhavato, attajjhāsayaaṭṭhuppattīnaṃ aññamaññaṃ saṃsaggo natthīti niravaseso paṭṭhānanayo na sambhavati. Tadantogadhattā vā sambhavantānaṃ sesanikkhepānaṃ mūlanikkhepavasena cattāro suttanikkhepāti vuttaṃ.
ตตฺรายํ วจนโตฺถ – นิกฺขิปนํ นิเกฺขโป, สุตฺตสฺส นิเกฺขโป สุตฺตนิเกฺขโป, สุตฺตเทสนาติ อโตฺถฯ นิกฺขิปียตีติ วา นิเกฺขโป, สุตฺตํ เอว นิเกฺขโป สุตฺตนิเกฺขโปฯ อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโย, โส อสฺส อตฺถิ การณภูโตติ อตฺตชฺฌาสโย, อตฺตโน อชฺฌาสโย เอตสฺสาติ วา อตฺตชฺฌาสโยฯ ปรชฺฌาสเยปิ เอเสว นโยฯ ปุจฺฉาย วโส ปุจฺฉาวโส, โส เอตสฺส อตฺถีติ ปุจฺฉาวสิโกฯ สุตฺตเทสนาย วตฺถุภูตสฺส อตฺถสฺส อุปฺปตฺติ อตฺถุปฺปตฺติ, อตฺถุปฺปตฺติ เอว อฎฺฐุปฺปตฺติ, สา เอตสฺส อตฺถีติ อฎฺฐุปฺปตฺติโกฯ อถ วา นิกฺขิปียติ สุตฺตํ เอเตนาติ นิเกฺขโป, อตฺตชฺฌาสยาทิ เอวฯ เอตสฺมิํ ปน อตฺถวิกเปฺป อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโยฯ ปเรสํ อชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโยฯ ปุจฺฉียตีติ ปุจฺฉา, ปุจฺฉิตโพฺพ อโตฺถฯ ปุจฺฉนวเสน ปวตฺตํ ธมฺมปฺปฎิคฺคาหกานํ วจนํ ปุจฺฉาวสํ, ตเทว นิเกฺขปสทฺทาเปกฺขาย ปุจฺฉาวสิโกติ ปุลฺลิงฺควเสน วุตฺตํฯ ตถา อตฺถุปฺปตฺติเยว อฎฺฐุปฺปตฺติโกติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tatrāyaṃ vacanattho – nikkhipanaṃ nikkhepo, suttassa nikkhepo suttanikkhepo, suttadesanāti attho. Nikkhipīyatīti vā nikkhepo, suttaṃ eva nikkhepo suttanikkhepo. Attano ajjhāsayo attajjhāsayo, so assa atthi kāraṇabhūtoti attajjhāsayo, attano ajjhāsayo etassāti vā attajjhāsayo. Parajjhāsayepi eseva nayo. Pucchāya vaso pucchāvaso, so etassa atthīti pucchāvasiko. Suttadesanāya vatthubhūtassa atthassa uppatti atthuppatti, atthuppatti eva aṭṭhuppatti, sā etassa atthīti aṭṭhuppattiko. Atha vā nikkhipīyati suttaṃ etenāti nikkhepo, attajjhāsayādi eva. Etasmiṃ pana atthavikappe attano ajjhāsayo attajjhāsayo. Paresaṃ ajjhāsayo parajjhāsayo. Pucchīyatīti pucchā, pucchitabbo attho. Pucchanavasena pavattaṃ dhammappaṭiggāhakānaṃ vacanaṃ pucchāvasaṃ, tadeva nikkhepasaddāpekkhāya pucchāvasikoti pulliṅgavasena vuttaṃ. Tathā atthuppattiyeva aṭṭhuppattikoti evamettha attho veditabbo.
เอตฺถ จ ปเรสํ อินฺทฺริยปริปากาทิการณนิรเปกฺขตฺตา อตฺตชฺฌาสยสฺส วิสุํ สุตฺตนิเกฺขปภาโว ยุโตฺต เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว ธมฺมตนฺติฐปนตฺถํ ปวตฺติตเทสนตฺตา, ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ ปน ปเรสํ อชฺฌาสยปุจฺฉานํ เทสนาปวตฺติเหตุภูตานํ อุปฺปตฺติยํ ปวตฺติตานํ กถมฎฺฐุปฺปตฺติยา อนวโรโธ, ปุจฺฉาวสิกอฎฺฐุปฺปตฺติปุพฺพกานํ วา ปรชฺฌาสยานุโรเธน ปวตฺติตานํ กถํ ปรชฺฌาสเย อนวโรโธติ? น โจเทตพฺพเมตํฯ ปเรสญฺหิ อภินีหารปริปุจฺฉาทิวินิจฺฉยาทิวินิมุตฺตเสฺสว สุตฺตนฺตเทสนาการณุปฺปาทสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติภาเวน คหิตตฺตา ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ วิสุํ คหณํฯ ตถา หิ พฺรหฺมชาลธมฺมทายาทสุตฺตาทีนํ วณฺณาวณฺณอามิสุปฺปาทาทิเทสนานิมิตฺตํ อฎฺฐุปฺปตฺติ วุจฺจติ, ปเรสํ ปุจฺฉาย วินา อชฺฌาสยเมว นิมิตฺตํ กตฺวา เทสิโต ปรชฺฌาสโย, ปุจฺฉาวเสน เทสิโต ปุจฺฉาวสิโกติ ปากโฎยมโตฺถติฯ
Ettha ca paresaṃ indriyaparipākādikāraṇanirapekkhattā attajjhāsayassa visuṃ suttanikkhepabhāvo yutto kevalaṃ attano ajjhāsayeneva dhammatantiṭhapanatthaṃ pavattitadesanattā, parajjhāsayapucchāvasikānaṃ pana paresaṃ ajjhāsayapucchānaṃ desanāpavattihetubhūtānaṃ uppattiyaṃ pavattitānaṃ kathamaṭṭhuppattiyā anavarodho, pucchāvasikaaṭṭhuppattipubbakānaṃ vā parajjhāsayānurodhena pavattitānaṃ kathaṃ parajjhāsaye anavarodhoti? Na codetabbametaṃ. Paresañhi abhinīhāraparipucchādivinicchayādivinimuttasseva suttantadesanākāraṇuppādassa aṭṭhuppattibhāvena gahitattā parajjhāsayapucchāvasikānaṃ visuṃ gahaṇaṃ. Tathā hi brahmajāladhammadāyādasuttādīnaṃ vaṇṇāvaṇṇaāmisuppādādidesanānimittaṃ aṭṭhuppatti vuccati, paresaṃ pucchāya vinā ajjhāsayameva nimittaṃ katvā desito parajjhāsayo, pucchāvasena desito pucchāvasikoti pākaṭoyamatthoti.
ตตฺถ ปฐมาทีนิ ตีณิ โพธิสุตฺตานิ มุจลินฺทสุตฺตํ, อายุสงฺขาโรสฺสชฺชนสุตฺตํ, ปจฺจเวกฺขณสุตฺตํ, ปปญฺจสญฺญาสุตฺตนฺติ อิเมสํ อุทานานํ อตฺตชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ หุหุงฺกสุตฺตํ, พฺราหฺมณชาติกสุตฺตํ, พาหิยสุตฺตนฺติ อิเมสํ อุทานานํ ปุจฺฉาวสิโก นิเกฺขโปฯ ราชสุตฺตํ, สกฺการสุตฺตํ, อุจฺฉาทนสุตฺตํ, ปิณฺฑปาติกสุตฺตํ, สิปฺปสุตฺตํ, โคปาลสุตฺตํ, สุนฺทริกสุตฺตํ , มาตุสุตฺตํ, สงฺฆเภทกสุตฺตํ, อุทปานสุตฺตํ, ตถาคตุปฺปาทสุตฺตํ, โมเนยฺยสุตฺตํ, ปาฎลิคามิยสุตฺตํ, เทฺวปิ ทพฺพสุตฺตานีติ เอเตสํ อุทานานํ อฎฺฐุปฺปตฺติโก นิเกฺขโปฯ ปาลิเลยฺยสุตฺตํ, ปิยสุตฺตํ, นาคสมาลสุตฺตํ, วิสาขาสุตฺตญฺจาติ อิเมสํ อุทานานํ อตฺตชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโย จ นิเกฺขโปฯ เสสานํ เอกปญฺญาสาย สุตฺตานํ ปรชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ เอวเมเตสํ อุทานานํ อตฺตชฺฌาสยาทิวเสน นิเกฺขปวิเสโส เวทิตโพฺพฯ
Tattha paṭhamādīni tīṇi bodhisuttāni mucalindasuttaṃ, āyusaṅkhārossajjanasuttaṃ, paccavekkhaṇasuttaṃ, papañcasaññāsuttanti imesaṃ udānānaṃ attajjhāsayo nikkhepo. Huhuṅkasuttaṃ, brāhmaṇajātikasuttaṃ, bāhiyasuttanti imesaṃ udānānaṃ pucchāvasiko nikkhepo. Rājasuttaṃ, sakkārasuttaṃ, ucchādanasuttaṃ, piṇḍapātikasuttaṃ, sippasuttaṃ, gopālasuttaṃ, sundarikasuttaṃ , mātusuttaṃ, saṅghabhedakasuttaṃ, udapānasuttaṃ, tathāgatuppādasuttaṃ, moneyyasuttaṃ, pāṭaligāmiyasuttaṃ, dvepi dabbasuttānīti etesaṃ udānānaṃ aṭṭhuppattiko nikkhepo. Pālileyyasuttaṃ, piyasuttaṃ, nāgasamālasuttaṃ, visākhāsuttañcāti imesaṃ udānānaṃ attajjhāsayo parajjhāsayo ca nikkhepo. Sesānaṃ ekapaññāsāya suttānaṃ parajjhāsayo nikkhepo. Evametesaṃ udānānaṃ attajjhāsayādivasena nikkhepaviseso veditabbo.
เอตฺถ จ ยานิ อุทานานิ ภควตา ภิกฺขูนํ สมฺมุขา ภาสิตานิ, ตานิ เตหิ ยถาภาสิตสุตฺตานิ วจสา ปริจิตานิ มนสานุเปกฺขิตานิ ธมฺมภณฺฑาคาริกสฺส กถิตานิฯ ยานิ ปน ภควตา ภิกฺขูนํ อสมฺมุขา ภาสิตานิ, ตานิปิ อปรภาเค ภควตา ธมฺมภณฺฑาคาริกสฺส ปุน ภาสิตานิฯ เอวํ สพฺพานิปิ ตานิ อายสฺมา อานโนฺท เอกชฺฌํ กตฺวา ธาเรโนฺต ภิกฺขูนญฺจ วาเจโนฺต อปรภาเค ปฐมมหาสงฺคีติกาเล อุทานเนฺตฺวว สงฺคหํ อาโรเปสีติ เวทิตพฺพํฯ
Ettha ca yāni udānāni bhagavatā bhikkhūnaṃ sammukhā bhāsitāni, tāni tehi yathābhāsitasuttāni vacasā paricitāni manasānupekkhitāni dhammabhaṇḍāgārikassa kathitāni. Yāni pana bhagavatā bhikkhūnaṃ asammukhā bhāsitāni, tānipi aparabhāge bhagavatā dhammabhaṇḍāgārikassa puna bhāsitāni. Evaṃ sabbānipi tāni āyasmā ānando ekajjhaṃ katvā dhārento bhikkhūnañca vācento aparabhāge paṭhamamahāsaṅgītikāle udānantveva saṅgahaṃ āropesīti veditabbaṃ.
เตน โข ปน สมเยนาติอาทีสุ เตน สมเยนาติ จ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนํ, โข ปนาติ นิปาโต, ตสฺมิํ สมเยติ อโตฺถฯ กสฺมิํ ปน สมเย? ยํ สมยํ ภควา อุรุเวลายํ วิหรติ นชฺชา เนรญฺชราย ตีเร โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุโทฺธฯ ตสฺมิํ สมเยฯ สตฺตาหนฺติ สตฺต อหานิ สตฺตาหํ, อจฺจนฺตสํโยคเตฺถ เอตํ อุปโยควจนํฯ ยสฺมา ภควา ตํ สตฺตาหํ นิรนฺตรตาย อจฺจนฺตเมว ผลสมาปตฺติสุเขน วิหาสิ, ตสฺมา สตฺตาหนฺติ อจฺจนฺตสํโยควเสน อุปโยควจนํ วุตฺตํฯ เอกปลฺลเงฺกนาติ วิสาขาปุณฺณมาย อนตฺถงฺคเตเยว สูริเย อปราชิตปลฺลงฺกวเร วชิราสเน นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐาย สกิมฺปิ อนุฎฺฐหิตฺวา ยถาอาภุชิเตน เอเกเนว ปลฺลเงฺกน ฯ
Tena kho pana samayenātiādīsu tena samayenāti ca bhummatthe karaṇavacanaṃ, kho panāti nipāto, tasmiṃ samayeti attho. Kasmiṃ pana samaye? Yaṃ samayaṃ bhagavā uruvelāyaṃ viharati najjā nerañjarāya tīre bodhirukkhamūle paṭhamābhisambuddho. Tasmiṃ samaye. Sattāhanti satta ahāni sattāhaṃ, accantasaṃyogatthe etaṃ upayogavacanaṃ. Yasmā bhagavā taṃ sattāhaṃ nirantaratāya accantameva phalasamāpattisukhena vihāsi, tasmā sattāhanti accantasaṃyogavasena upayogavacanaṃ vuttaṃ. Ekapallaṅkenāti visākhāpuṇṇamāya anatthaṅgateyeva sūriye aparājitapallaṅkavare vajirāsane nisinnakālato paṭṭhāya sakimpi anuṭṭhahitvā yathāābhujitena ekeneva pallaṅkena .
วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทีติ วิมุตฺติสุขํ ผลสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวทิยมาโน นิสิโนฺน โหตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ วิมุตฺตีติ ตทงฺควิมุตฺติ, วิกฺขมฺภนวิมุตฺติ, สมุเจฺฉทวิมุตฺติ, ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติ, นิสฺสรณวิมุตฺตีติ ปญฺจ วิมุตฺติโยฯ ตาสุ ยํ เทยฺยธมฺมปริจฺจาคาทีหิ เตหิ เตหิ คุณเงฺคหิ นามรูปปริเจฺฉทาทีหิ วิปสฺสนเงฺคหิ จ ยาว ตสฺส ตสฺส องฺคสฺส อปริหานิวเสน ปวตฺติ, ตาว ตํตํปฎิปกฺขโต วิมุจฺจนโต วิมุจฺจนํ ปหานํฯ เสยฺยถิทํ ? ทาเนน มจฺฉริยโลภาทิโต, สีเลน ปาณาติปาตาทิโต, นามรูปววตฺถาเนน สกฺกายทิฎฺฐิโต, ปจฺจยปริคฺคเหน อเหตุวิสมเหตุทิฎฺฐีหิ, ตเสฺสว อปรภาเคน กงฺขาวิตรเณน กถํกถีภาวโต, กลาปสมฺมสเนน ‘‘อหํ มมา’’ติ คาหโต, มคฺคามคฺคววตฺถาเนน อมเคฺค มคฺคสญฺญาย, อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา, วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา, ภยทสฺสเนน สภเย อภยสญฺญาย, อาทีนวทสฺสเนน อสฺสาทสญฺญาย, นิพฺพิทานุปสฺสเนน อภิรติสญฺญาย, มุจฺจิตุกมฺยตาญาเณน อมุจฺจิตุกมฺยตาย, อุเปกฺขาญาเณน อนุเปกฺขาย, อนุโลเมน ธมฺมฎฺฐิติยํ นิพฺพาเน จ ปฎิโลมภาวโต, โคตฺรภุนา สงฺขารนิมิตฺตภาวโต วิมุจฺจนํ, อยํ ตทงฺควิมุตฺติ นามฯ ยํ ปน อุปจารปฺปนาเภเทน สมาธินา ยาวสฺส อปริหานิวเสน ปวตฺติ, ตาว กามจฺฉนฺทาทีนํ นีวรณานเญฺจว, วิตกฺกาทีนญฺจ ปจฺจนีกธมฺมานํ, อนุปฺปตฺติสญฺญิตํ วิมุจฺจนํ, อยํ วิกฺขมฺภนวิมุตฺติ นามฯ ยํ จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา ตํตํมคฺควโต อริยสฺส สนฺตาเน ยถารหํ ‘‘ทิฎฺฐิคตานํ ปหานายา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๒๗๗; วิภ. ๖๒๘) นเยน วุตฺตสฺส สมุทยปกฺขิยสฺส กิเลสคณสฺส ปุน อจฺจนฺตํ อปฺปวตฺติภาเวน สมุเจฺฉทปฺปหานวเสน วิมุจฺจนํ, อยํ สมุเจฺฉทวิมุตฺติ นามฯ ยํ ปน ผลกฺขเณ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตํ กิเลสานํ, อยํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติ นามฯ สพฺพสงฺขตนิสฺสฎตฺตา ปน สพฺพสงฺขารวิมุตฺตํ นิพฺพานํ, อยํ นิสฺสรณวิมุตฺติ นามฯ อิธ ปน ภควโต นิพฺพานารมฺมณา ผลวิมุตฺติ อธิเปฺปตาฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทีติ วิมุตฺติสุขํ ผลสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวทิยมาโน นิสิโนฺน โหตีติ อโตฺถ’’ติฯ
Vimuttisukhapaṭisaṃvedīti vimuttisukhaṃ phalasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvediyamāno nisinno hotīti attho. Tattha vimuttīti tadaṅgavimutti, vikkhambhanavimutti, samucchedavimutti, paṭippassaddhivimutti, nissaraṇavimuttīti pañca vimuttiyo. Tāsu yaṃ deyyadhammapariccāgādīhi tehi tehi guṇaṅgehi nāmarūpaparicchedādīhi vipassanaṅgehi ca yāva tassa tassa aṅgassa aparihānivasena pavatti, tāva taṃtaṃpaṭipakkhato vimuccanato vimuccanaṃ pahānaṃ. Seyyathidaṃ ? Dānena macchariyalobhādito, sīlena pāṇātipātādito, nāmarūpavavatthānena sakkāyadiṭṭhito, paccayapariggahena ahetuvisamahetudiṭṭhīhi, tasseva aparabhāgena kaṅkhāvitaraṇena kathaṃkathībhāvato, kalāpasammasanena ‘‘ahaṃ mamā’’ti gāhato, maggāmaggavavatthānena amagge maggasaññāya, udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā, vayadassanena sassatadiṭṭhiyā, bhayadassanena sabhaye abhayasaññāya, ādīnavadassanena assādasaññāya, nibbidānupassanena abhiratisaññāya, muccitukamyatāñāṇena amuccitukamyatāya, upekkhāñāṇena anupekkhāya, anulomena dhammaṭṭhitiyaṃ nibbāne ca paṭilomabhāvato, gotrabhunā saṅkhāranimittabhāvato vimuccanaṃ, ayaṃ tadaṅgavimutti nāma. Yaṃ pana upacārappanābhedena samādhinā yāvassa aparihānivasena pavatti, tāva kāmacchandādīnaṃ nīvaraṇānañceva, vitakkādīnañca paccanīkadhammānaṃ, anuppattisaññitaṃ vimuccanaṃ, ayaṃ vikkhambhanavimutti nāma. Yaṃ catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā taṃtaṃmaggavato ariyassa santāne yathārahaṃ ‘‘diṭṭhigatānaṃ pahānāyā’’tiādinā (dha. sa. 277; vibha. 628) nayena vuttassa samudayapakkhiyassa kilesagaṇassa puna accantaṃ appavattibhāvena samucchedappahānavasena vimuccanaṃ, ayaṃ samucchedavimutti nāma. Yaṃ pana phalakkhaṇe paṭippassaddhattaṃ kilesānaṃ, ayaṃ paṭippassaddhivimutti nāma. Sabbasaṅkhatanissaṭattā pana sabbasaṅkhāravimuttaṃ nibbānaṃ, ayaṃ nissaraṇavimutti nāma. Idha pana bhagavato nibbānārammaṇā phalavimutti adhippetā. Tena vuttaṃ – ‘‘vimuttisukhapaṭisaṃvedīti vimuttisukhaṃ phalasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvediyamāno nisinno hotīti attho’’ti.
วิมุตฺตีติ จ อุปกฺกิเลเสหิ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวเสน จิตฺตสฺส วิมุตฺตภาโว, จิตฺตเมว วา ตถา วิมุตฺตํ เวทิตพฺพํ, ตาย วิมุตฺติยา ชาตํ สมฺปยุตฺตํ วา สุขํ วิมุตฺติสุขํฯ ‘‘ยายํ, ภเนฺต, อุเปกฺขา สเนฺต สุเข วุตฺตา ภควตา’’ติ (ม. นิ. ๒.๘๘) วจนโต อุเปกฺขาปิ เจตฺถ สุขมิเจฺจว เวทิตพฺพาฯ ตถา จ วุตฺตํ สโมฺมหวิโนทนิยํ ‘‘อุเปกฺขา ปน สนฺตตฺตา, สุขมิเจฺจว ภาสิตา’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๓๒)ฯ ภควา หิ จตุตฺถชฺฌานิกํ อรหตฺตสมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, น อิตรํฯ อถ วา ‘‘เตสํ วูปสโม สุโข’’ติอาทีสุ ยถา สงฺขารทุกฺขูปสโม สุโขติ วุจฺจติ, เอวํ สกลกิเลสทุกฺขูปสมภาวโต อคฺคผเล ลพฺภมานา ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติ เอว อิธ สุขนฺติ เวทิตพฺพาฯ ตยิทํ วิมุตฺติสุขํ มคฺควีถิยํ กาลนฺตเรติ ผลจิตฺตสฺส ปวตฺติวิภาเคน ทุวิธํ โหติฯ เอเกกสฺส หิ อริยมคฺคสฺส อนนฺตรา ตสฺส ตเสฺสว วิปากภูตานิ นิพฺพานารมฺมณานิ ตีณิ เทฺว วา ผลจิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติ อนนฺตรวิปากตฺตา โลกุตฺตรกุสลานํฯ ยสฺมิญฺหิ ชวนวาเร อริยมโคฺค อุปฺปชฺชติ, ตตฺถ ยทา เทฺว อนุโลมานิ, ตทา ตติยํ โคตฺรภุ, จตุตฺถํ มคฺคจิตฺตํ, ตโต ปรํ ตีณิ ผลจิตฺตานิ โหนฺติฯ ยทา ปน ตีณิ อนุโลมานิ, ตทา จตุตฺถํ โคตฺรภุ, ปญฺจมํ มคฺคจิตฺตํ, ตโต ปรํ เทฺว ผลจิตฺตานิ โหนฺติฯ เอวํ จตุตฺถํ ปญฺจมํ อปฺปนาวเสน ปวตฺตติ, น ตโต ปรํ ภวงฺคสฺส อาสนฺนตฺตาฯ เกจิ ปน ‘‘ฉฎฺฐมฺปิ จิตฺตํ อเปฺปตี’’ติ วทนฺติ, ตํ อฎฺฐกถาสุ (วิสุทฺธิ. ๒.๘๑๑) ปฎิกฺขิตฺตํฯ เอวํ มคฺควีถิยํ ผลํ เวทิตพฺพํฯ กาลนฺตเร ผลํ ปน ผลสมาปตฺติวเสน ปวตฺตํ, นิโรธา วุฎฺฐหนฺตสฺส อุปฺปชฺชมานญฺจ เอเตเนว สงฺคหิตํฯ สา ปนายํ ผลสมาปตฺติ อตฺถโต โลกุตฺตรกุสลานํ วิปากภูตา นิพฺพานารมฺมณา อปฺปนาติ ทฎฺฐพฺพาฯ
Vimuttīti ca upakkilesehi paṭippassaddhivasena cittassa vimuttabhāvo, cittameva vā tathā vimuttaṃ veditabbaṃ, tāya vimuttiyā jātaṃ sampayuttaṃ vā sukhaṃ vimuttisukhaṃ. ‘‘Yāyaṃ, bhante, upekkhā sante sukhe vuttā bhagavatā’’ti (ma. ni. 2.88) vacanato upekkhāpi cettha sukhamicceva veditabbā. Tathā ca vuttaṃ sammohavinodaniyaṃ ‘‘upekkhā pana santattā, sukhamicceva bhāsitā’’ti (vibha. aṭṭha. 232). Bhagavā hi catutthajjhānikaṃ arahattasamāpattiṃ samāpajjati, na itaraṃ. Atha vā ‘‘tesaṃ vūpasamo sukho’’tiādīsu yathā saṅkhāradukkhūpasamo sukhoti vuccati, evaṃ sakalakilesadukkhūpasamabhāvato aggaphale labbhamānā paṭippassaddhivimutti eva idha sukhanti veditabbā. Tayidaṃ vimuttisukhaṃ maggavīthiyaṃ kālantareti phalacittassa pavattivibhāgena duvidhaṃ hoti. Ekekassa hi ariyamaggassa anantarā tassa tasseva vipākabhūtāni nibbānārammaṇāni tīṇi dve vā phalacittāni uppajjanti anantaravipākattā lokuttarakusalānaṃ. Yasmiñhi javanavāre ariyamaggo uppajjati, tattha yadā dve anulomāni, tadā tatiyaṃ gotrabhu, catutthaṃ maggacittaṃ, tato paraṃ tīṇi phalacittāni honti. Yadā pana tīṇi anulomāni, tadā catutthaṃ gotrabhu, pañcamaṃ maggacittaṃ, tato paraṃ dve phalacittāni honti. Evaṃ catutthaṃ pañcamaṃ appanāvasena pavattati, na tato paraṃ bhavaṅgassa āsannattā. Keci pana ‘‘chaṭṭhampi cittaṃ appetī’’ti vadanti, taṃ aṭṭhakathāsu (visuddhi. 2.811) paṭikkhittaṃ. Evaṃ maggavīthiyaṃ phalaṃ veditabbaṃ. Kālantare phalaṃ pana phalasamāpattivasena pavattaṃ, nirodhā vuṭṭhahantassa uppajjamānañca eteneva saṅgahitaṃ. Sā panāyaṃ phalasamāpatti atthato lokuttarakusalānaṃ vipākabhūtā nibbānārammaṇā appanāti daṭṭhabbā.
เก ตํ สมาปชฺชนฺติ, เก น สมาปชฺชนฺตีติ? สเพฺพปิ ปุถุชฺชนา น สมาปชฺชนฺติ อนธิคตตฺตาฯ ตถา เหฎฺฐิมา อริยา อุปริมํ, อุปริมาปิ อริยา เหฎฺฐิมํ น สมาปชฺชนฺติเยว ปุคฺคลนฺตรภาวูปคมเนน ปฎิปฺปสฺสทฺธภาวโตฯ อตฺตโน เอว ผลํ เต เต อริยา สมาปชฺชนฺติฯ เกจิ ปน ‘‘โสตาปนฺนสกทาคามิโน ผลสมาปตฺติํ น สมาปชฺชนฺติ, อุปริมา เทฺวเยว สมาปชฺชนฺติ สมาธิสฺมิํ ปริปูรการิภาวโต’’ติ วทนฺติฯ ตํ อการณํ ปุถุชฺชนสฺสาปิ อตฺตนา ปฎิลทฺธโลกิยสมาธิสมาปชฺชนโตฯ กิํ วา เอตฺถ การณจินฺตาย? วุตฺตเญฺหตํ ปฎิสมฺภิทายํ ‘‘กตมา ทส สงฺขารุเปกฺขา วิปสฺสนาวเสน อุปฺปชฺชนฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๕๗), กตเม ทส โคตฺรภุธมฺมา วิปสฺสนาวเสน อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๖๐) อิเมสํ ปญฺหานํ วิสฺสชฺชเน โสตาปตฺติผลสมาปตฺตตฺถาย สกทาคามิผลสมาปตฺตตฺถายาติ เตสมฺปิ อริยานํ ผลสมาปตฺติสมาปชฺชนํ วุตฺตํฯ ตสฺมา สเพฺพปิ อริยา ยถาสกํ ผลํ สมาปชฺชนฺตีติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ
Ke taṃ samāpajjanti, ke na samāpajjantīti? Sabbepi puthujjanā na samāpajjanti anadhigatattā. Tathā heṭṭhimā ariyā uparimaṃ, uparimāpi ariyā heṭṭhimaṃ na samāpajjantiyeva puggalantarabhāvūpagamanena paṭippassaddhabhāvato. Attano eva phalaṃ te te ariyā samāpajjanti. Keci pana ‘‘sotāpannasakadāgāmino phalasamāpattiṃ na samāpajjanti, uparimā dveyeva samāpajjanti samādhismiṃ paripūrakāribhāvato’’ti vadanti. Taṃ akāraṇaṃ puthujjanassāpi attanā paṭiladdhalokiyasamādhisamāpajjanato. Kiṃ vā ettha kāraṇacintāya? Vuttañhetaṃ paṭisambhidāyaṃ ‘‘katamā dasa saṅkhārupekkhā vipassanāvasena uppajjanti (paṭi. ma. 1.57), katame dasa gotrabhudhammā vipassanāvasena uppajjantī’’ti (paṭi. ma. 1.60) imesaṃ pañhānaṃ vissajjane sotāpattiphalasamāpattatthāya sakadāgāmiphalasamāpattatthāyāti tesampi ariyānaṃ phalasamāpattisamāpajjanaṃ vuttaṃ. Tasmā sabbepi ariyā yathāsakaṃ phalaṃ samāpajjantīti niṭṭhamettha gantabbaṃ.
กสฺมา ปน เต สมาปชฺชนฺตีติ? ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถํฯ ยถา หิ ราชาโน รชฺชสุขํ, เทวตา ทิพฺพสุขํ อนุภวนฺติ, เอวํ อริยา ‘‘โลกุตฺตรสุขํ อนุภวิสฺสามา’’ติ อทฺธานปริเจฺฉทํ กตฺวา อิจฺฉิตกฺขเณ ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชนฺติฯ
Kasmā pana te samāpajjantīti? Diṭṭhadhammasukhavihāratthaṃ. Yathā hi rājāno rajjasukhaṃ, devatā dibbasukhaṃ anubhavanti, evaṃ ariyā ‘‘lokuttarasukhaṃ anubhavissāmā’’ti addhānaparicchedaṃ katvā icchitakkhaṇe phalasamāpattiṃ samāpajjanti.
กถญฺจสฺสา สมาปชฺชนํ, กถํ ฐานํ, กถํ วุฎฺฐานนฺติ? ทฺวีหิ ตาว อากาเรหิ อสฺสา สมาปชฺชนํ โหติ นิพฺพานโต อญฺญสฺส อารมฺมณสฺส อมนสิการา, นิพฺพานสฺส จ มนสิการาฯ ยถาห –
Kathañcassā samāpajjanaṃ, kathaṃ ṭhānaṃ, kathaṃ vuṭṭhānanti? Dvīhi tāva ākārehi assā samāpajjanaṃ hoti nibbānato aññassa ārammaṇassa amanasikārā, nibbānassa ca manasikārā. Yathāha –
‘‘เทฺว โข, อาวุโส, ปจฺจยา อนิมิตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา สมาปตฺติยา, สพฺพนิมิตฺตานญฺจ อมนสิกาโร, อนิมิตฺตาย จ ธาตุยา มนสิกาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๕๘)ฯ
‘‘Dve kho, āvuso, paccayā animittāya cetovimuttiyā samāpattiyā, sabbanimittānañca amanasikāro, animittāya ca dhātuyā manasikāro’’ti (ma. ni. 1.458).
อยํ ปเนตฺถ สมาปชฺชนกฺกโม – ผลสมาปตฺติตฺถิเกน อริยสาวเกน รโหคเตน ปฎิสลฺลีเนน อุทยพฺพยาทิวเสน สงฺขารา วิปสฺสิตพฺพาฯ ตเสฺสวํ ปวตฺตานุปุพฺพวิปสฺสนเสฺสว สงฺขารารมฺมณโคตฺรภุญาณานนฺตรํ ผลสมาปตฺติวเสน นิโรเธ จิตฺตมเปฺปติ, ผลสมาปตฺตินินฺนภาเวน จ เสกฺขสฺสาปิ ผลเมว อุปฺปชฺชติ, น มโคฺคฯ เย ปน วทนฺติ ‘‘โสตาปโนฺน อตฺตโน ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชิสฺสามีติ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา สกทาคามี โหติ, สกทาคามี จ อนาคามี’’ติฯ เต วตฺตพฺพา – เอวํ สเนฺต อนาคามี อรหา ภวิสฺสติ, อรหา จ ปเจฺจกพุโทฺธ, ปเจฺจกพุโทฺธ จ สมฺพุโทฺธติ อาปเชฺชยฺย, ตสฺมา ยถาภินิเวสํ ยถาชฺฌาสยํ วิปสฺสนา อตฺถํ สาเธตีติ เสกฺขสฺสาปิ ผลเมว อุปฺปชฺชติ, น มโคฺคฯ ผลมฺปิ ตสฺส สเจ อเนน ปฐมชฺฌานิโก มโคฺค อธิคโต, ปฐมชฺฌานิกเมว อุปฺปชฺชติฯ สเจ ทุติยาทีสุ อญฺญตรชฺฌานิโก, ทุติยาทีสุ อญฺญตรชฺฌานิกเมวาติฯ
Ayaṃ panettha samāpajjanakkamo – phalasamāpattitthikena ariyasāvakena rahogatena paṭisallīnena udayabbayādivasena saṅkhārā vipassitabbā. Tassevaṃ pavattānupubbavipassanasseva saṅkhārārammaṇagotrabhuñāṇānantaraṃ phalasamāpattivasena nirodhe cittamappeti, phalasamāpattininnabhāvena ca sekkhassāpi phalameva uppajjati, na maggo. Ye pana vadanti ‘‘sotāpanno attano phalasamāpattiṃ samāpajjissāmīti vipassanaṃ vaḍḍhetvā sakadāgāmī hoti, sakadāgāmī ca anāgāmī’’ti. Te vattabbā – evaṃ sante anāgāmī arahā bhavissati, arahā ca paccekabuddho, paccekabuddho ca sambuddhoti āpajjeyya, tasmā yathābhinivesaṃ yathājjhāsayaṃ vipassanā atthaṃ sādhetīti sekkhassāpi phalameva uppajjati, na maggo. Phalampi tassa sace anena paṭhamajjhāniko maggo adhigato, paṭhamajjhānikameva uppajjati. Sace dutiyādīsu aññatarajjhāniko, dutiyādīsu aññatarajjhānikamevāti.
กสฺมา ปเนตฺถ โคตฺรภุญาณํ มคฺคญาณปุเรจาริกํ วิย นิพฺพานารมฺมณํ น โหตีติ? ผลญาณานํ อนิยฺยานิกภาวโตฯ อริยมคฺคธมฺมาเยว หิ นิยฺยานิกาฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘กตเม ธมฺมา นิยฺยานิกา? จตฺตาโร อริยมคฺคา อปริยาปนฺนา’’ติ (ธ. ส. ๑๒๙๕)ฯ ตสฺมา เอกเนฺตเนว นิยฺยานิกภาวสฺส อุภโต วุฎฺฐานภาเวน ปวตฺตมานสฺส อนนฺตรปจฺจยภูเตน ญาเณน นิมิตฺตโต วุฎฺฐิเตเนว ภวิตพฺพนฺติ ตสฺส นิพฺพานารมฺมณตา ยุตฺตา, น ปน อริยมคฺคสฺส ภาวิตตฺตา ตสฺส วิปากภาเวน ปวตฺตมานานํ กิเลสานํ อสมุจฺฉินฺทนโต อนิยฺยานิกตฺตา อวุฎฺฐานสภาวานํ ผลญาณานํ ปุเรจาริกญาณสฺส กทาจิปิ นิพฺพานารมฺมณตา อุภยตฺถ อนุโลมญาณานํ อตุลฺยาการโตฯ อริยมคฺควีถิยญฺหิ อนุโลมญาณานิ อนิพฺพิทฺธปุพฺพานํ ถูลถูลานํ โลภกฺขนฺธาทีนํ สาติสยํ ปทาลเนน โลกิยญาเณน อุกฺกํสปารมิปฺปตฺตานิ มคฺคญาณานุกูลานิ อุปฺปชฺชนฺติ, ผลสมาปตฺติวีถิยํ ปน ตานิ ตานิ เตน เตน มเคฺคน เตสํ เตสํ กิเลสานํ สมุจฺฉินฺนตฺตา ตตฺถ นิรุสฺสุกฺกานิ เกวลํ อริยานํ ผลสมาปตฺติสุขสมงฺคิภาวสฺส ปริกมฺมมตฺตานิ หุตฺวา อุปฺปชฺชนฺตีติ น เตสํ กุโตจิ วุฎฺฐานสมฺภโว, ยโต เตสํ ปริโยสาเน ญาณํ สงฺขารนิมิตฺตํ วุฎฺฐานโต นิพฺพานารมฺมณํ สิยาฯ เอวญฺจ กตฺวา เสกฺขสฺส อตฺตโน ผลสมาปตฺติวฬญฺชนตฺถาย อุทยพฺพยาทิวเสน สงฺขาเร สมฺมสนฺตสฺส วิปสฺสนาญาณานุปุพฺพาย ผลเมว อุปฺปชฺชติ, น มโคฺคติ อยญฺจ อโตฺถ สมตฺถิโต โหติฯ เอวํ ตาว ผลสมาปตฺติยา สมาปชฺชนํ เวทิตพฺพํฯ
Kasmā panettha gotrabhuñāṇaṃ maggañāṇapurecārikaṃ viya nibbānārammaṇaṃ na hotīti? Phalañāṇānaṃ aniyyānikabhāvato. Ariyamaggadhammāyeva hi niyyānikā. Vuttañhetaṃ ‘‘katame dhammā niyyānikā? Cattāro ariyamaggā apariyāpannā’’ti (dha. sa. 1295). Tasmā ekanteneva niyyānikabhāvassa ubhato vuṭṭhānabhāvena pavattamānassa anantarapaccayabhūtena ñāṇena nimittato vuṭṭhiteneva bhavitabbanti tassa nibbānārammaṇatā yuttā, na pana ariyamaggassa bhāvitattā tassa vipākabhāvena pavattamānānaṃ kilesānaṃ asamucchindanato aniyyānikattā avuṭṭhānasabhāvānaṃ phalañāṇānaṃ purecārikañāṇassa kadācipi nibbānārammaṇatā ubhayattha anulomañāṇānaṃ atulyākārato. Ariyamaggavīthiyañhi anulomañāṇāni anibbiddhapubbānaṃ thūlathūlānaṃ lobhakkhandhādīnaṃ sātisayaṃ padālanena lokiyañāṇena ukkaṃsapāramippattāni maggañāṇānukūlāni uppajjanti, phalasamāpattivīthiyaṃ pana tāni tāni tena tena maggena tesaṃ tesaṃ kilesānaṃ samucchinnattā tattha nirussukkāni kevalaṃ ariyānaṃ phalasamāpattisukhasamaṅgibhāvassa parikammamattāni hutvā uppajjantīti na tesaṃ kutoci vuṭṭhānasambhavo, yato tesaṃ pariyosāne ñāṇaṃ saṅkhāranimittaṃ vuṭṭhānato nibbānārammaṇaṃ siyā. Evañca katvā sekkhassa attano phalasamāpattivaḷañjanatthāya udayabbayādivasena saṅkhāre sammasantassa vipassanāñāṇānupubbāya phalameva uppajjati, na maggoti ayañca attho samatthito hoti. Evaṃ tāva phalasamāpattiyā samāpajjanaṃ veditabbaṃ.
‘‘ตโย โข, อาวุโส, ปจฺจยา อนิมิตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา ฐิติยา, สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิกาโร, อนิมิตฺตาย จ ธาตุยา มนสิกาโร, ปุเพฺพ จ อภิสงฺขาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๕๘) –
‘‘Tayo kho, āvuso, paccayā animittāya cetovimuttiyā ṭhitiyā, sabbanimittānaṃ amanasikāro, animittāya ca dhātuyā manasikāro, pubbe ca abhisaṅkhāro’’ti (ma. ni. 1.458) –
วจนโต ปนสฺสา ตีหากาเรหิ ฐานํ โหติฯ ตตฺถ ปุเพฺพ จ อภิสงฺขาโรติ สมาปตฺติโต ปุเพฺพ กาลปริเจฺฉโทฯ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม กาเล วุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ ปริจฺฉินฺนตฺตา หิสฺสา ยาว โส กาโล นาคจฺฉติ, ตาว วุฎฺฐานํ น โหติฯ
Vacanato panassā tīhākārehi ṭhānaṃ hoti. Tattha pubbe ca abhisaṅkhāroti samāpattito pubbe kālaparicchedo. ‘‘Asukasmiṃ nāma kāle vuṭṭhahissāmī’’ti paricchinnattā hissā yāva so kālo nāgacchati, tāva vuṭṭhānaṃ na hoti.
‘‘เทฺว โข, อาวุโส, ปจฺจยา อนิมิตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา วุฎฺฐานสฺส, สพฺพนิมิตฺตานญฺจ มนสิกาโร, อนิมิตฺตาย จ ธาตุยา อมนสิกาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๕๘) –
‘‘Dve kho, āvuso, paccayā animittāya cetovimuttiyā vuṭṭhānassa, sabbanimittānañca manasikāro, animittāya ca dhātuyā amanasikāro’’ti (ma. ni. 1.458) –
วจนโต ปนสฺสา ทฺวีหากาเรหิ วุฎฺฐานํ โหติฯ ตตฺถ สพฺพนิมิตฺตานนฺติ รูปนิมิตฺตเวทนาสญฺญาสงฺขารวิญฺญาณนิมิตฺตานํฯ กามญฺจ น สพฺพาเนเวตานิ เอกโต มนสิ กโรติ, สพฺพสงฺคาหิกวเสน ปเนวํ วุตฺตํฯ ตสฺมา ยํ ภวงฺคสฺส อารมฺมณํ, ตสฺส มนสิกรเณน ผลสมาปตฺติโต วุฎฺฐานํ โหตีติ เอวํ อสฺสา วุฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ ตยิทํ เอวมิธ สมาปชฺชนวุฎฺฐานํ อรหตฺตผลภูตํ –
Vacanato panassā dvīhākārehi vuṭṭhānaṃ hoti. Tattha sabbanimittānanti rūpanimittavedanāsaññāsaṅkhāraviññāṇanimittānaṃ. Kāmañca na sabbānevetāni ekato manasi karoti, sabbasaṅgāhikavasena panevaṃ vuttaṃ. Tasmā yaṃ bhavaṅgassa ārammaṇaṃ, tassa manasikaraṇena phalasamāpattito vuṭṭhānaṃ hotīti evaṃ assā vuṭṭhānaṃ veditabbaṃ. Tayidaṃ evamidha samāpajjanavuṭṭhānaṃ arahattaphalabhūtaṃ –
‘‘ปฎิปฺปสฺสทฺธทรถํ, อมตารมฺมณํ สุภํ;
‘‘Paṭippassaddhadarathaṃ, amatārammaṇaṃ subhaṃ;
วนฺตโลกามิสํ สนฺตํ, สามญฺญผลมุตฺตมํ’’ฯ
Vantalokāmisaṃ santaṃ, sāmaññaphalamuttamaṃ’’.
อิติ วุตฺตํ สาตาติสาตํ วิมุตฺติสุขํ ปฎิสํเวเทสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทีติ วิมุตฺติสุขํ ผลสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวทิยมาโน นิสิโนฺน โหตีติ อโตฺถ’’ติฯ
Iti vuttaṃ sātātisātaṃ vimuttisukhaṃ paṭisaṃvedesi. Tena vuttaṃ – ‘‘vimuttisukhapaṭisaṃvedīti vimuttisukhaṃ phalasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvediyamāno nisinno hotīti attho’’ti.
อถาติ อธิการเตฺถ นิปาโตฯ โขติ ปทปูรเณฯ เตสุ อธิการเตฺถน อถาติ อิมินา วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทนโต อญฺญํ อธิการํ ทเสฺสติฯ โก ปเนโสติ? ปฎิจฺจสมุปฺปาทมนสิกาโรฯ อถาติ วา ปจฺฉาติ เอตสฺมิํ อเตฺถ นิปาโต, เตน ‘‘ตสฺส สตฺตาหสฺส อจฺจเยนา’’ติ วกฺขมานเมว อตฺถํ โชเตติฯ ตสฺส สตฺตาหสฺสาติ ปลฺลงฺกสตฺตาหสฺสฯ อจฺจเยนาติ อปคเมนฯ ตมฺหา สมาธิมฺหาติ อรหตฺตผลสมาธิโตฯ อิธ ปน ฐตฺวา ปฎิปาฎิยา สตฺต สตฺตาหานิ ทเสฺสตพฺพานีติ เกจิ ตานิ วิตฺถารยิํสุฯ มยํ ปน ตานิ ขนฺธกปาเฐน อิมิสฺสา อุทานปาฬิยา อวิโรธทสฺสนมุเขน ปรโต วณฺณยิสฺสามฯ รตฺติยาติ อวยวสมฺพเนฺธ สามิวจนํฯ ปฐมนฺติ อจฺจนฺตสํโยคเตฺถ อุปโยควจนํฯ ภควา หิ ตสฺสา รตฺติยา สกลมฺปิ ปฐมํ ยามํ เตเนว มนสิกาเรน ยุโตฺต อโหสีติฯ
Athāti adhikāratthe nipāto. Khoti padapūraṇe. Tesu adhikāratthena athāti iminā vimuttisukhapaṭisaṃvedanato aññaṃ adhikāraṃ dasseti. Ko panesoti? Paṭiccasamuppādamanasikāro. Athāti vā pacchāti etasmiṃ atthe nipāto, tena ‘‘tassa sattāhassa accayenā’’ti vakkhamānameva atthaṃ joteti. Tassa sattāhassāti pallaṅkasattāhassa. Accayenāti apagamena. Tamhā samādhimhāti arahattaphalasamādhito. Idha pana ṭhatvā paṭipāṭiyā satta sattāhāni dassetabbānīti keci tāni vitthārayiṃsu. Mayaṃ pana tāni khandhakapāṭhena imissā udānapāḷiyā avirodhadassanamukhena parato vaṇṇayissāma. Rattiyāti avayavasambandhe sāmivacanaṃ. Paṭhamanti accantasaṃyogatthe upayogavacanaṃ. Bhagavā hi tassā rattiyā sakalampi paṭhamaṃ yāmaṃ teneva manasikārena yutto ahosīti.
ปฎิจฺจสมุปฺปาทนฺติ ปจฺจยธมฺมํฯ อวิชฺชาทโย หิ ปจฺจยธมฺมา ปฎิจฺจสมุปฺปาโทฯ กถมิทํ ชานิตพฺพนฺติ เจ? ภควโต วจเนนฯ ภควตา หิ ‘‘ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ, เอตํ นิทานํ, เอส สมุทโย, เอส ปจฺจโย ชรามรณสฺส, ยทิทํ ชาติ…เป.… สงฺขารานํ, ยทิทํ อวิชฺชา’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๐๕ อาทโย) เอวํ อวิชฺชาทโย เหตูติ วุตฺตาฯ ยถา ทฺวาทส ปจฺจยา ทฺวาทส ปฎิจฺจสมุปฺปาทาติฯ
Paṭiccasamuppādanti paccayadhammaṃ. Avijjādayo hi paccayadhammā paṭiccasamuppādo. Kathamidaṃ jānitabbanti ce? Bhagavato vacanena. Bhagavatā hi ‘‘tasmātihānanda, eseva hetu, etaṃ nidānaṃ, esa samudayo, esa paccayo jarāmaraṇassa, yadidaṃ jāti…pe… saṅkhārānaṃ, yadidaṃ avijjā’’ti (dī. ni. 2.105 ādayo) evaṃ avijjādayo hetūti vuttā. Yathā dvādasa paccayā dvādasa paṭiccasamuppādāti.
ตตฺรายํ วจนโตฺถ – อญฺญมญฺญํ ปฎิจฺจ ปฎิมุขํ กตฺวา การณสมวายํ อปฺปฎิกฺขิปิตฺวา สหิเต อุปฺปาเทตีติ ปฎิจฺจสมุปฺปาโทฯ อถ วา ปฎิจฺจ ปเจฺจตพฺพํ ปจฺจยารหตํ ปจฺจยํ ปฎิคนฺตฺวา น วินา เตน สมฺพนฺธสฺส อุปฺปาโท ปฎิจฺจสมุปฺปาโท ฯ ปฎิจฺจสมุปฺปาโทติ เจตฺถ สมุปฺปาทปทฎฺฐานวจนวิเญฺญโยฺย ผลสฺส อุปฺปาทนสมตฺถตายุโตฺต เหตุ, น ปฎิจฺจสมุปฺปตฺติมตฺตํ เวทิตพฺพํฯ อถ วา ปเจฺจตุํ อรหนฺติ นํ ปณฺฑิตาติ ปฎิโจฺจ, สมฺมา สยเมว วา อุปฺปาเทตีติ สมุปฺปาโท, ปฎิโจฺจ จ โส สมุปฺปาโท จาติ ปฎิจฺจสมุปฺปาโทติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Tatrāyaṃ vacanattho – aññamaññaṃ paṭicca paṭimukhaṃ katvā kāraṇasamavāyaṃ appaṭikkhipitvā sahite uppādetīti paṭiccasamuppādo. Atha vā paṭicca paccetabbaṃ paccayārahataṃ paccayaṃ paṭigantvā na vinā tena sambandhassa uppādo paṭiccasamuppādo . Paṭiccasamuppādoti cettha samuppādapadaṭṭhānavacanaviññeyyo phalassa uppādanasamatthatāyutto hetu, na paṭiccasamuppattimattaṃ veditabbaṃ. Atha vā paccetuṃ arahanti naṃ paṇḍitāti paṭicco, sammā sayameva vā uppādetīti samuppādo, paṭicco ca so samuppādo cāti paṭiccasamuppādoti evamettha attho daṭṭhabbo.
อนุโลมนฺติ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต อวิชฺชาทิโก ปจฺจยากาโร อตฺตนา กตฺตพฺพกิจฺจกรณโต อนุโลโมติ วุจฺจติฯ อถ วา อาทิโต ปฎฺฐาย อนฺตํ ปาเปตฺวา วุตฺตตฺตา ปวตฺติยา วา อนุโลมโต อนุโลโม, ตํ อนุโลมํฯ สาธุกํ มนสากาสีติ สกฺกจฺจํ มนสิ อกาสิฯ โย โย ปจฺจยธโมฺม ยสฺส ยสฺส ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมสฺส ยถา ยถา เหตุปจฺจยาทินา ปจฺจยภาเวน ปจฺจโย โหติ, ตํ สพฺพํ อวิปรีตํ อปริหาเปตฺวา อนวเสสโต ปจฺจเวกฺขณวเสน จิเตฺต อกาสีติ อโตฺถฯ ยถา ปน ภควา ปฎิจฺจสมุปฺปาทานุโลมํ มนสากาสิ, ตํ สเงฺขเปน ตาว ทเสฺสตุํ ‘‘อิติ อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชตี’’ติ วุตฺตํฯ
Anulomanti ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādinā nayena vutto avijjādiko paccayākāro attanā kattabbakiccakaraṇato anulomoti vuccati. Atha vā ādito paṭṭhāya antaṃ pāpetvā vuttattā pavattiyā vā anulomato anulomo, taṃ anulomaṃ. Sādhukaṃ manasākāsīti sakkaccaṃ manasi akāsi. Yo yo paccayadhammo yassa yassa paccayuppannadhammassa yathā yathā hetupaccayādinā paccayabhāvena paccayo hoti, taṃ sabbaṃ aviparītaṃ aparihāpetvā anavasesato paccavekkhaṇavasena citte akāsīti attho. Yathā pana bhagavā paṭiccasamuppādānulomaṃ manasākāsi, taṃ saṅkhepena tāva dassetuṃ ‘‘iti imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjatī’’ti vuttaṃ.
ตตฺถ อิตีติ เอวํ, อเนน ปกาเรนาติ อโตฺถฯ อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหตีติ อิมสฺมิํ อวิชฺชาทิเก ปจฺจเย สติ อิทํ สงฺขาราทิกํ ผลํ โหติฯ อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชตีติ อิมสฺส อวิชฺชาทิกสฺส ปจฺจยสฺส อุปฺปาทา อิทํ สงฺขาราทิกํ ผลํ อุปฺปชฺชตีติ อโตฺถฯ อิมสฺมิํ อสติ อิทํ น โหติ, อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌตีติ อวิชฺชาทีนํ อภาเว สงฺขาราทีนํ อภาวสฺส อวิชฺชาทีนํ นิโรเธ สงฺขาราทีนํ นิโรธสฺส จ ทุติยตติยสุตฺตวจเนน เอตสฺมิํ ปจฺจยลกฺขเณ นิยโม ทสฺสิโต โหติ – อิมสฺมิํ สติ เอว, นาสติฯ อิมสฺสุปฺปาทา เอว, นานุปฺปาทาฯ อนิโรธา เอว, น นิโรธาติฯ เตเนตํ ลกฺขณํ อโนฺตคธนิยมํ อิธ ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ นิโรโธติ จ อวิชฺชาทีนํ วิราคาธิคเมน อายติํ อนุปฺปาโท อปฺปวตฺติฯ ตถา หิ วุตฺตํ – ‘‘อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ’’ติอาทิฯ นิโรธนิโรธี จ อุปฺปาทนิโรธีภาเวน วุโตฺต ‘‘อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌตี’’ติฯ
Tattha itīti evaṃ, anena pakārenāti attho. Imasmiṃ sati idaṃ hotīti imasmiṃ avijjādike paccaye sati idaṃ saṅkhārādikaṃ phalaṃ hoti. Imassuppādā idaṃ uppajjatīti imassa avijjādikassa paccayassa uppādā idaṃ saṅkhārādikaṃ phalaṃ uppajjatīti attho. Imasmiṃ asati idaṃ na hoti, imassa nirodhā idaṃ nirujjhatīti avijjādīnaṃ abhāve saṅkhārādīnaṃ abhāvassa avijjādīnaṃ nirodhe saṅkhārādīnaṃ nirodhassa ca dutiyatatiyasuttavacanena etasmiṃ paccayalakkhaṇe niyamo dassito hoti – imasmiṃ sati eva, nāsati. Imassuppādā eva, nānuppādā. Anirodhā eva, na nirodhāti. Tenetaṃ lakkhaṇaṃ antogadhaniyamaṃ idha paṭiccasamuppādassa vuttanti daṭṭhabbaṃ. Nirodhoti ca avijjādīnaṃ virāgādhigamena āyatiṃ anuppādo appavatti. Tathā hi vuttaṃ – ‘‘avijjāya tveva asesavirāganirodhā saṅkhāranirodho’’tiādi. Nirodhanirodhī ca uppādanirodhībhāvena vutto ‘‘imassa nirodhā idaṃ nirujjhatī’’ti.
เตเนตํ ทเสฺสติ – อนิโรโธ อุปฺปาโท นาม, โส เจตฺถ อตฺถิภาโวติปิ วุจฺจตีติฯ ‘‘อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหตี’’ติ อิทเมว หิ ลกฺขณํ ปริยายนฺตเรน ‘‘อิมสฺส อุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชตี’’ติ วทเนฺตน ปเรน ปุริมํ วิเสสิตํ โหติฯ ตสฺมา น ธรมานตํเยว สนฺธาย ‘‘อิมสฺมิํ สตี’’ติ วุตฺตํ, อถ โข มเคฺคน อนิรุทฺธภาวญฺจาติ วิญฺญายติฯ ยสฺมา จ ‘‘อิมสฺมิํ อสติ อิทํ น โหติ, อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌตี’’ติ ทฺวิธาปิ อุทฺทิฎฺฐสฺส ลกฺขณสฺส นิเทฺทสํ วทเนฺตน ‘‘อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ’’ติอาทินา นิโรโธ เอว วุโตฺต, ตสฺมา นตฺถิภาโวปิ นิโรโธ เอวาติ นตฺถิภาววิรุโทฺธ อตฺถิภาโว อนิโรโธติ ทสฺสิตํ โหติฯ เตน อนิโรธสงฺขาเตน อตฺถิภาเวน อุปฺปาทํ วิเสเสติฯ ตโต น อิธ อตฺถิภาวมตฺตํ อุปฺปาโทติ อโตฺถ อธิเปฺปโต, อถ โข อนิโรธสงฺขาโต อตฺถิภาโว จาติ อยมโตฺถ วิภาวิโตติฯ เอวเมตํ ลกฺขณทฺวยวจนํ อญฺญมญฺญวิเสสนวิเสสิตพฺพภาเวน สาตฺถกนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Tenetaṃ dasseti – anirodho uppādo nāma, so cettha atthibhāvotipi vuccatīti. ‘‘Imasmiṃ sati idaṃ hotī’’ti idameva hi lakkhaṇaṃ pariyāyantarena ‘‘imassa uppādā idaṃ uppajjatī’’ti vadantena parena purimaṃ visesitaṃ hoti. Tasmā na dharamānataṃyeva sandhāya ‘‘imasmiṃ satī’’ti vuttaṃ, atha kho maggena aniruddhabhāvañcāti viññāyati. Yasmā ca ‘‘imasmiṃ asati idaṃ na hoti, imassa nirodhā idaṃ nirujjhatī’’ti dvidhāpi uddiṭṭhassa lakkhaṇassa niddesaṃ vadantena ‘‘avijjāya tveva asesavirāganirodhā saṅkhāranirodho’’tiādinā nirodho eva vutto, tasmā natthibhāvopi nirodho evāti natthibhāvaviruddho atthibhāvo anirodhoti dassitaṃ hoti. Tena anirodhasaṅkhātena atthibhāvena uppādaṃ viseseti. Tato na idha atthibhāvamattaṃ uppādoti attho adhippeto, atha kho anirodhasaṅkhāto atthibhāvo cāti ayamattho vibhāvitoti. Evametaṃ lakkhaṇadvayavacanaṃ aññamaññavisesanavisesitabbabhāvena sātthakanti veditabbaṃ.
โก ปนายํ อนิโรโธ นาม, โย ‘‘อตฺถิภาโว, อุปฺปาโท’’ติ จ วุจฺจตีติ? อปฺปหีนภาโว จ, อนิพฺพตฺติตผลารหตาปหาเนหิ ผลานุปฺปาทนารหตา จฯ เย หิ ปหาตพฺพา อกุสลา ธมฺมา, เตสํ อริยมเคฺคน อสมุคฺฆาฎิตภาโว จฯ เย ปน น ปหาตพฺพา กุสลาพฺยากตา ธมฺมา, ยานิ เตสุ สํโยชนานิ อขีณาสวานํ เตสํ อปริกฺขีณตา จฯ อสมุคฺฆาฎิตานุสยตาย หิ สสํโยชนา ขนฺธปฺปวตฺติ ปฎิจฺจสมุปฺปาโทฯ ตถา จ วุตฺตํ –
Ko panāyaṃ anirodho nāma, yo ‘‘atthibhāvo, uppādo’’ti ca vuccatīti? Appahīnabhāvo ca, anibbattitaphalārahatāpahānehi phalānuppādanārahatā ca. Ye hi pahātabbā akusalā dhammā, tesaṃ ariyamaggena asamugghāṭitabhāvo ca. Ye pana na pahātabbā kusalābyākatā dhammā, yāni tesu saṃyojanāni akhīṇāsavānaṃ tesaṃ aparikkhīṇatā ca. Asamugghāṭitānusayatāya hi sasaṃyojanā khandhappavatti paṭiccasamuppādo. Tathā ca vuttaṃ –
‘‘ยาย จ, ภิกฺขเว, อวิชฺชาย นิวุตสฺส พาลสฺส ยาย จ ตณฺหาย สมฺปยุตฺตสฺส อยํ กาโย สมุทาคโต, สา เจว อวิชฺชา พาลสฺส อปฺปหีนา, สา จ ตณฺหา อปริกฺขีณาฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น, ภิกฺขเว, พาโล อจริ พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย, ตสฺมา พาโล กายสฺส เภทา กายูปโค โหติ, โส กายูปโค สมาโน น ปริมุจฺจติ ชาติยา ชรามรเณนา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๒.๑๙)ฯ
‘‘Yāya ca, bhikkhave, avijjāya nivutassa bālassa yāya ca taṇhāya sampayuttassa ayaṃ kāyo samudāgato, sā ceva avijjā bālassa appahīnā, sā ca taṇhā aparikkhīṇā. Taṃ kissa hetu? Na, bhikkhave, bālo acari brahmacariyaṃ sammā dukkhakkhayāya, tasmā bālo kāyassa bhedā kāyūpago hoti, so kāyūpago samāno na parimuccati jātiyā jarāmaraṇenā’’tiādi (saṃ. ni. 2.19).
ขีณสํโยชนานํ ปน อวิชฺชาย อภาวโต สงฺขารานํ, ตณฺหุปาทานานํ อภาวโต อุปาทานภวานํ อสมฺภโวติ วฎฺฎสฺส อุปเจฺฉโท ปญฺญายิสฺสตีติฯ เตเนวาห –
Khīṇasaṃyojanānaṃ pana avijjāya abhāvato saṅkhārānaṃ, taṇhupādānānaṃ abhāvato upādānabhavānaṃ asambhavoti vaṭṭassa upacchedo paññāyissatīti. Tenevāha –
‘‘ฉนฺนํ เตฺวว, ผคฺคุณ, ผสฺสายตนานํ อเสสวิราคนิโรธา ผสฺสนิโรโธ, ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๒.๑๒)ฯ
‘‘Channaṃ tveva, phagguṇa, phassāyatanānaṃ asesavirāganirodhā phassanirodho, phassanirodhā vedanānirodho’’tiādi (saṃ. ni. 2.12).
น หิ อคฺคมคฺคาธิคมโต อุทฺธํ ยาว ปรินิพฺพานา สฬายตนาทีนํ อปฺปวตฺติฯ อถ โข นตฺถิตา นิโรธสทฺทวจนียตา ขีณสํโยชนตาติ นิโรโธ วุโตฺตฯ อปิจ จิรกตมฺปิ กมฺมํ อนิพฺพตฺติตผลตาย อปฺปหีนาหารตาย จ ผลารหํ สนฺตํ เอว นาม โหติ, น นิพฺพตฺติตผลํ , นาปิ ปหีนาหารนฺติฯ ผลุปฺปตฺติปจฺจยานํ อวิชฺชาสงฺขาราทีนํ วุตฺตนเยเนว ผลารหภาโว อนิโรโธติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ อนิรุทฺธภาเวเนว หิ เยน วินา ผลํ น สมฺภวติ, ตํ การณํ อตีตนฺติปิ อิมสฺมิํ สตีติ อิมินา วจเนน วุตฺตํฯ ตโตเยว จ อวุสิตพฺรหฺมจริยสฺส อปฺปวตฺติธมฺมตํ อนาปโนฺน ปจฺจยุปฺปาโท กาลเภทํ อนามสิตฺวา อนิวตฺตนาย เอว อิมสฺส อุปฺปาทาติ วุโตฺตฯ อถ วา อวเสสปจฺจยสมวาเย อวิชฺชมานสฺสปิ วิชฺชมานสฺส วิย ปเคว วิชฺชมานสฺส ยา ผลุปฺปตฺติอภิมุขตา, สา อิมสฺส อุปฺปาทาติ วุตฺตาฯ ตถา หิ ตโต ผลํ อุปฺปชฺชตีติ ตทวตฺถํ การณํ ผลสฺส อุปฺปาทนภาเวน อุฎฺฐิตํ อุปฺปติตํ นาม โหติ, น วิชฺชมานมฺปิ อตทวตฺถนฺติ ตทวตฺถตา อุปฺปาโทติ เวทิตโพฺพฯ
Na hi aggamaggādhigamato uddhaṃ yāva parinibbānā saḷāyatanādīnaṃ appavatti. Atha kho natthitā nirodhasaddavacanīyatā khīṇasaṃyojanatāti nirodho vutto. Apica cirakatampi kammaṃ anibbattitaphalatāya appahīnāhāratāya ca phalārahaṃ santaṃ eva nāma hoti, na nibbattitaphalaṃ , nāpi pahīnāhāranti. Phaluppattipaccayānaṃ avijjāsaṅkhārādīnaṃ vuttanayeneva phalārahabhāvo anirodhoti veditabbo. Evaṃ aniruddhabhāveneva hi yena vinā phalaṃ na sambhavati, taṃ kāraṇaṃ atītantipi imasmiṃ satīti iminā vacanena vuttaṃ. Tatoyeva ca avusitabrahmacariyassa appavattidhammataṃ anāpanno paccayuppādo kālabhedaṃ anāmasitvā anivattanāya eva imassa uppādāti vutto. Atha vā avasesapaccayasamavāye avijjamānassapi vijjamānassa viya pageva vijjamānassa yā phaluppattiabhimukhatā, sā imassa uppādāti vuttā. Tathā hi tato phalaṃ uppajjatīti tadavatthaṃ kāraṇaṃ phalassa uppādanabhāvena uṭṭhitaṃ uppatitaṃ nāma hoti, na vijjamānampi atadavatthanti tadavatthatā uppādoti veditabbo.
ตตฺถ สตีติ อิมินา วิชฺชมานตามเตฺตน ปจฺจยภาวํ วทโนฺต อพฺยาปารตํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส ทเสฺสติฯ อุปฺปาทาติ อุปฺปตฺติธมฺมตํ อสพฺพกาลภาวิตํ ผลุปฺปตฺติอภิมุขตญฺจ ทีเปโนฺต อนิจฺจตํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส ทเสฺสติฯ ‘‘สติ, นาสติ, อุปฺปาทา, น นิโรธา’’ติ ปน เหตุอเตฺถหิ ภุมฺมนิสฺสกฺกวจเนหิ สมตฺถิตํ นิทานสมุทยชาติปภวภาวํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส ทเสฺสติฯ เหตุอตฺถตา เจตฺถ ภุมฺมวจเน ยสฺส ภาเว ตทวินาภาวิผลสฺส ภาโว ลกฺขียติ, ตตฺถ ปวตฺติยา เวทิตพฺพา ยถา ‘‘อธนานํ ธเน อนนุปฺปทียมาเน ทาลิทฺทิยํ เวปุลฺลํ อคมาสี’’ติ (ที. นิ. ๓.๙๑) จ ‘‘นิปฺผเนฺนสุ สเสฺสสุ สุภิกฺขํ ชายตี’’ติ จฯ นิสฺสกฺกวจนสฺสาปิ เหตุอตฺถตา ผลสฺส ปภเว ปกติยญฺจ ปวตฺติโต ยถา ‘‘กลลา โหติ อพฺพุทํ, อพฺพุทา ชายตี เปสี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๓๕) จ ‘‘หิมวตา คงฺคา ปภวนฺติ, สิงฺคโต สโร ชายตี’’ติ จฯ อวิชฺชาทิภาเว จ ตทวินาภาเวน สงฺขาราทิภาโว ลกฺขียติ, อวิชฺชาทีหิ จ สงฺขาราทโย ปภวนฺติ ปกริยนฺติ จาติ เต เตสํ ปภโว ปกติ จ, ตสฺมา ตทตฺถทีปนตฺถํ ‘‘อิมสฺมิํ สติ อิมสฺส อุปฺปาทา’’ติ เหตุอเตฺถ ภุมฺมนิสฺสกฺกนิเทฺทสา กตาติฯ
Tattha satīti iminā vijjamānatāmattena paccayabhāvaṃ vadanto abyāpārataṃ paṭiccasamuppādassa dasseti. Uppādāti uppattidhammataṃ asabbakālabhāvitaṃ phaluppattiabhimukhatañca dīpento aniccataṃ paṭiccasamuppādassa dasseti. ‘‘Sati, nāsati, uppādā, na nirodhā’’ti pana hetuatthehi bhummanissakkavacanehi samatthitaṃ nidānasamudayajātipabhavabhāvaṃ paṭiccasamuppādassa dasseti. Hetuatthatā cettha bhummavacane yassa bhāve tadavinābhāviphalassa bhāvo lakkhīyati, tattha pavattiyā veditabbā yathā ‘‘adhanānaṃ dhane ananuppadīyamāne dāliddiyaṃ vepullaṃ agamāsī’’ti (dī. ni. 3.91) ca ‘‘nipphannesu sassesu subhikkhaṃ jāyatī’’ti ca. Nissakkavacanassāpi hetuatthatā phalassa pabhave pakatiyañca pavattito yathā ‘‘kalalā hoti abbudaṃ, abbudā jāyatī pesī’’ti (saṃ. ni. 1.235) ca ‘‘himavatā gaṅgā pabhavanti, siṅgato saro jāyatī’’ti ca. Avijjādibhāve ca tadavinābhāvena saṅkhārādibhāvo lakkhīyati, avijjādīhi ca saṅkhārādayo pabhavanti pakariyanti cāti te tesaṃ pabhavo pakati ca, tasmā tadatthadīpanatthaṃ ‘‘imasmiṃ sati imassa uppādā’’ti hetuatthe bhummanissakkaniddesā katāti.
ยสฺมา เจตฺถ ‘‘อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชตี’’ติ สเงฺขเปน อุทฺทิฎฺฐสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทิโก นิเทฺทโส, ตสฺมา ยถาวุโตฺต อตฺถิภาโว อุปฺปาโท จ เตสํ เตสํ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานํ ปจฺจยภาโวติ วิญฺญายติฯ น หิ อนิรุทฺธตาสงฺขาตํ อตฺถิภาวํ อุปฺปาทญฺจ อนิวตฺตสภาวตาสงฺขาตํ อุทยาวตฺถตาสงฺขาตํ วา ‘‘สติ เอว, นาสติ, อุปฺปาทา เอว, น นิโรธา’’ติ อโนฺตคธนิยเมหิ วจเนหิ อภิหิตํ มุญฺจิตฺวา อโญฺญ ปจฺจยภาโว นาม อตฺถิ, ตสฺมา ยถาวุโตฺต อตฺถิภาโว อุปฺปาโท จ ปจฺจยภาโวติ เวทิตพฺพํฯ เยปิ ปฎฺฐาเน อาคตา เหตุอาทโย จตุวีสติ ปจฺจยา, เตปิ เอตเสฺสว ปจฺจยภาวสฺส วิเสสาติ เวทิตพฺพาฯ อิติ ยถา วิตฺถาเรน อนุโลมํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ มนสิ อกาสิ, ตํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ยทิทํ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Yasmā cettha ‘‘imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjatī’’ti saṅkhepena uddiṭṭhassa paṭiccasamuppādassa ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādiko niddeso, tasmā yathāvutto atthibhāvo uppādo ca tesaṃ tesaṃ paccayuppannadhammānaṃ paccayabhāvoti viññāyati. Na hi aniruddhatāsaṅkhātaṃ atthibhāvaṃ uppādañca anivattasabhāvatāsaṅkhātaṃ udayāvatthatāsaṅkhātaṃ vā ‘‘sati eva, nāsati, uppādā eva, na nirodhā’’ti antogadhaniyamehi vacanehi abhihitaṃ muñcitvā añño paccayabhāvo nāma atthi, tasmā yathāvutto atthibhāvo uppādo ca paccayabhāvoti veditabbaṃ. Yepi paṭṭhāne āgatā hetuādayo catuvīsati paccayā, tepi etasseva paccayabhāvassa visesāti veditabbā. Iti yathā vitthārena anulomaṃ paṭiccasamuppādaṃ manasi akāsi, taṃ dassetuṃ, ‘‘yadidaṃ avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādi vuttaṃ.
ตตฺถ ยทิทนฺติ นิปาโต, ตสฺส โย อยนฺติ อโตฺถฯ อวิชฺชาปจฺจยาติอาทีสุ อวินฺทิยํ กายทุจฺจริตาทิํ วินฺทตีติ อวิชฺชา, วินฺทิยํ กายสุจริตาทิํ น วินฺทตีติ อวิชฺชา, ธมฺมานํ อวิปรีตสภาวํ อวิทิตํ กโรตีติ อวิชฺชา, อนฺตวิรหิเต สํสาเร ภวาทีสุ สเตฺต ชวาเปตีติ อวิชฺชา, อวิชฺชมาเนสุ ชวติ วิชฺชมาเนสุ น ชวตีติ อวิชฺชา, วิชฺชาย ปฎิปกฺขาติ อวิชฺชา, สา ‘‘ทุเกฺข อญฺญาณ’’นฺติอาทินา จตุพฺพิธา เวทิตพฺพาฯ ปฎิจฺจ น วินา ผลํ เอติ อุปฺปชฺชติ เจว ปวตฺตติ จาติ ปจฺจโย, อุปการกโตฺถ วา ปจฺจโยฯ อวิชฺชา จ สา ปจฺจโย จาติ อวิชฺชาปจฺจโย, ตสฺมา อวิชฺชาปจฺจยาฯ สงฺขโรนฺตีติ สงฺขารา, โลกิยกุสลากุสลเจตนา, สา ปุญฺญาปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขารวเสน ติวิธา เวทิตพฺพาฯ วิชานาตีติ วิญฺญาณํ, ตํ โลกิยวิปากวิญฺญาณวเสน ทฺวตฺติํสวิธํฯ นมตีติ นามํ, เวทนาทิกฺขนฺธตฺตยํฯ รุปฺปตีติ รูปํ, ภูตรูปํ จกฺขาทิอุปาทารูปญฺจฯ อายตติ อายตญฺจ สํสารทุกฺขํ นยตีติ อายตนํ ฯ ผุสตีติ ผโสฺสฯ เวทยตีติ เวทนาฯ อิทมฺปิ ทฺวยํ ทฺวารวเสน ฉพฺพิธํ, วิปากวเสน คหเณ ฉตฺติํสวิธํฯ ปริตสฺสตีติ ตณฺหา, สา กามตณฺหาทิวเสน สเงฺขปโต ติวิธา, วิตฺถารโต อฎฺฐุตฺตรสตวิธา จฯ อุปาทียตีติ อุปาทานํ, ตํ กามุปาทานาทิวเสน จตุพฺพิธํฯ ภวติ ภาวยติ จาติ ภโว, โส กมฺมูปปตฺติเภทโต ทุวิโธฯ ชนนํ ชาติฯ ชีรณํ ชราฯ มรนฺติ เตนาติ มรณํฯ โสจนํ โสโกฯ ปริเทวนํ ปริเทโวฯ ทุกฺขยตีติ ทุกฺขํ, อุปฺปาทฎฺฐิติวเสน เทฺวธา ขณตีติ ทุกฺขํฯ ทุมนสฺส ภาโว โทมนสฺสํฯ ภุโส อายาโส อุปายาโส ฯ สมฺภวนฺตีติ นิพฺพตฺตนฺติฯ น เกวลญฺจ โสกาทีหิเยว, อถ โข สพฺพปเทหิ ‘‘สมฺภวนฺตี’’ติ ปทสฺส โยชนา กาตพฺพาฯ เอวญฺหิ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺตี’’ติ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนววตฺถานํ ทสฺสิตํ โหติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
Tattha yadidanti nipāto, tassa yo ayanti attho. Avijjāpaccayātiādīsu avindiyaṃ kāyaduccaritādiṃ vindatīti avijjā, vindiyaṃ kāyasucaritādiṃ na vindatīti avijjā, dhammānaṃ aviparītasabhāvaṃ aviditaṃ karotīti avijjā, antavirahite saṃsāre bhavādīsu satte javāpetīti avijjā, avijjamānesu javati vijjamānesu na javatīti avijjā, vijjāya paṭipakkhāti avijjā, sā ‘‘dukkhe aññāṇa’’ntiādinā catubbidhā veditabbā. Paṭicca na vinā phalaṃ eti uppajjati ceva pavattati cāti paccayo, upakārakattho vā paccayo. Avijjā ca sā paccayo cāti avijjāpaccayo, tasmā avijjāpaccayā. Saṅkharontīti saṅkhārā, lokiyakusalākusalacetanā, sā puññāpuññāneñjābhisaṅkhāravasena tividhā veditabbā. Vijānātīti viññāṇaṃ, taṃ lokiyavipākaviññāṇavasena dvattiṃsavidhaṃ. Namatīti nāmaṃ, vedanādikkhandhattayaṃ. Ruppatīti rūpaṃ, bhūtarūpaṃ cakkhādiupādārūpañca. Āyatati āyatañca saṃsāradukkhaṃ nayatīti āyatanaṃ. Phusatīti phasso. Vedayatīti vedanā. Idampi dvayaṃ dvāravasena chabbidhaṃ, vipākavasena gahaṇe chattiṃsavidhaṃ. Paritassatīti taṇhā, sā kāmataṇhādivasena saṅkhepato tividhā, vitthārato aṭṭhuttarasatavidhā ca. Upādīyatīti upādānaṃ, taṃ kāmupādānādivasena catubbidhaṃ. Bhavati bhāvayati cāti bhavo, so kammūpapattibhedato duvidho. Jananaṃ jāti. Jīraṇaṃ jarā. Maranti tenāti maraṇaṃ. Socanaṃ soko. Paridevanaṃ paridevo. Dukkhayatīti dukkhaṃ, uppādaṭṭhitivasena dvedhā khaṇatīti dukkhaṃ. Dumanassa bhāvo domanassaṃ. Bhuso āyāso upāyāso. Sambhavantīti nibbattanti. Na kevalañca sokādīhiyeva, atha kho sabbapadehi ‘‘sambhavantī’’ti padassa yojanā kātabbā. Evañhi ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā sambhavantī’’ti paccayapaccayuppannavavatthānaṃ dassitaṃ hoti. Esa nayo sabbattha.
ตตฺถ อญฺญาณลกฺขณา อวิชฺชา, สโมฺมหนรสา, ฉาทนปจฺจุปฎฺฐานา, อาสวปทฎฺฐานาฯ อภิสงฺขรณลกฺขณา สงฺขารา, อายูหนรสา, สํวิทหนปจฺจุปฎฺฐานา, อวิชฺชาปทฎฺฐานาฯ วิชานนลกฺขณํ วิญฺญาณํ, ปุพฺพงฺคมรสํ, ปฎิสนฺธิปจฺจุปฎฺฐานํ, สงฺขารปทฎฺฐานํ, วตฺถารมฺมณปทฎฺฐานํ วาฯ นมนลกฺขณํ นามํ, สมฺปโยครสํ, อวินิโพฺภคปจฺจุปฎฺฐานํ, วิญฺญาณปทฎฺฐานํฯ รุปฺปนลกฺขณํ รูปํ, วิกิรณรสํ, อปฺปเหยฺยภาวปจฺจุปฎฺฐานํ, วิญฺญาณปทฎฺฐานํฯ อายตนลกฺขณํ สฬายตนํ, ทสฺสนาทิรสํ, วตฺถุทฺวารภาวปจฺจุปฎฺฐานํ, นามรูปปทฎฺฐานํฯ ผุสนลกฺขโณ ผโสฺส, สงฺฆฎฺฎนรโส, สงฺคติปจฺจุปฎฺฐาโน, สฬายตนปทฎฺฐาโนฯ อนุภวนลกฺขณา เวทนา, วิสยรสสโมฺภครสา, สุขทุกฺขปจฺจุปฎฺฐานา, ผสฺสปทฎฺฐานาฯ เหตุภาวลกฺขณา ตณฺหา, อภินนฺทนรสา, อติตฺติภาวปจฺจุปฎฺฐานา, เวทนาปทฎฺฐานาฯ คหณลกฺขณํ อุปาทานํ, อมุญฺจนรสํ, ตณฺหาทฬฺหตฺตทิฎฺฐิปจฺจุปฎฺฐานํ, ตณฺหาปทฎฺฐานํฯ กมฺมกมฺมผลลกฺขโณ ภโว, ภวนภาวนรโส, กุสลากุสลาพฺยากตปจฺจุปฎฺฐาโน, อุปาทานปทฎฺฐาโนฯ ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปฐมาภินิพฺพตฺติลกฺขณา ชาติ, นิยฺยาตนรสา, อตีตภวโต อิธุปฺปนฺนปจฺจุปฎฺฐานา, ทุกฺขวิจิตฺตตาปจฺจุปฎฺฐานา วาฯ ขนฺธปริปากลกฺขณา ชรา, มรณูปนยนรสา, โยพฺพนวินาสปจฺจุปฎฺฐานาฯ จุติลกฺขณํ มรณํ , วิสํโยครสํ, คติวิปฺปวาสปจฺจุปฎฺฐานํฯ อโนฺตนิชฺฌานลกฺขโณ โสโก, เจตโส นิชฺฌานรโส, อนุโสจนปจฺจุปฎฺฐาโนฯ ลาลปฺปนลกฺขโณ ปริเทโว, คุณโทสปริกิตฺตนรโส, สมฺภมปจฺจุปฎฺฐาโนฯ กายปีฬนลกฺขณํ ทุกฺขํ, ทุปฺปญฺญานํ โทมนสฺสกรณรสํ, กายิกาพาธปจฺจุปฎฺฐานํฯ จิตฺตปีฬนลกฺขณํ โทมนสฺสํ, มโนวิฆาตนรสํ, มานสพฺยาธิปจฺจุปฎฺฐานํฯ จิตฺตปริทหนลกฺขโณ อุปายาโส, นิตฺถุนนรโส, วิสาทปจฺจุปฎฺฐาโนฯ เอวเมเต อวิชฺชาทโย ลกฺขณาทิโตปิ เวทิตพฺพาติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน สพฺพาการสมฺปนฺนํ วินิจฺฉยํ อิจฺฉเนฺตน สโมฺมหวิโนทนิยา (วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๕) วิภงฺคฎฺฐกถาย คเหตโพฺพฯ
Tattha aññāṇalakkhaṇā avijjā, sammohanarasā, chādanapaccupaṭṭhānā, āsavapadaṭṭhānā. Abhisaṅkharaṇalakkhaṇā saṅkhārā, āyūhanarasā, saṃvidahanapaccupaṭṭhānā, avijjāpadaṭṭhānā. Vijānanalakkhaṇaṃ viññāṇaṃ, pubbaṅgamarasaṃ, paṭisandhipaccupaṭṭhānaṃ, saṅkhārapadaṭṭhānaṃ, vatthārammaṇapadaṭṭhānaṃ vā. Namanalakkhaṇaṃ nāmaṃ, sampayogarasaṃ, avinibbhogapaccupaṭṭhānaṃ, viññāṇapadaṭṭhānaṃ. Ruppanalakkhaṇaṃ rūpaṃ, vikiraṇarasaṃ, appaheyyabhāvapaccupaṭṭhānaṃ, viññāṇapadaṭṭhānaṃ. Āyatanalakkhaṇaṃ saḷāyatanaṃ, dassanādirasaṃ, vatthudvārabhāvapaccupaṭṭhānaṃ, nāmarūpapadaṭṭhānaṃ. Phusanalakkhaṇo phasso, saṅghaṭṭanaraso, saṅgatipaccupaṭṭhāno, saḷāyatanapadaṭṭhāno. Anubhavanalakkhaṇā vedanā, visayarasasambhogarasā, sukhadukkhapaccupaṭṭhānā, phassapadaṭṭhānā. Hetubhāvalakkhaṇā taṇhā, abhinandanarasā, atittibhāvapaccupaṭṭhānā, vedanāpadaṭṭhānā. Gahaṇalakkhaṇaṃ upādānaṃ, amuñcanarasaṃ, taṇhādaḷhattadiṭṭhipaccupaṭṭhānaṃ, taṇhāpadaṭṭhānaṃ. Kammakammaphalalakkhaṇo bhavo, bhavanabhāvanaraso, kusalākusalābyākatapaccupaṭṭhāno, upādānapadaṭṭhāno. Tattha tattha bhave paṭhamābhinibbattilakkhaṇā jāti, niyyātanarasā, atītabhavato idhuppannapaccupaṭṭhānā, dukkhavicittatāpaccupaṭṭhānā vā. Khandhaparipākalakkhaṇā jarā, maraṇūpanayanarasā, yobbanavināsapaccupaṭṭhānā. Cutilakkhaṇaṃ maraṇaṃ , visaṃyogarasaṃ, gativippavāsapaccupaṭṭhānaṃ. Antonijjhānalakkhaṇo soko, cetaso nijjhānaraso, anusocanapaccupaṭṭhāno. Lālappanalakkhaṇo paridevo, guṇadosaparikittanaraso, sambhamapaccupaṭṭhāno. Kāyapīḷanalakkhaṇaṃ dukkhaṃ, duppaññānaṃ domanassakaraṇarasaṃ, kāyikābādhapaccupaṭṭhānaṃ. Cittapīḷanalakkhaṇaṃ domanassaṃ, manovighātanarasaṃ, mānasabyādhipaccupaṭṭhānaṃ. Cittaparidahanalakkhaṇo upāyāso, nitthunanaraso, visādapaccupaṭṭhāno. Evamete avijjādayo lakkhaṇāditopi veditabbāti. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana sabbākārasampannaṃ vinicchayaṃ icchantena sammohavinodaniyā (vibha. aṭṭha. 225) vibhaṅgaṭṭhakathāya gahetabbo.
เอวนฺติ นิทฺทิฎฺฐสฺส นิทสฺสนํ, เตน อวิชฺชาทีเหว การเณหิ, น อิสฺสรนิมฺมานาทีหีติ ทเสฺสติฯ เอตสฺสาติ ยถาวุตฺตสฺสฯ เกวลสฺสาติ อสมฺมิสฺสสฺส สกลสฺส วาฯ ทุกฺขกฺขนฺธสฺสาติ ทุกฺขสมูหสฺส, น สตฺตสฺส, นาปิ ชีวสฺส, นาปิ สุภสุขาทีนํฯ สมุทโย โหตีติ นิพฺพตฺติ สมฺภวติฯ
Evanti niddiṭṭhassa nidassanaṃ, tena avijjādīheva kāraṇehi, na issaranimmānādīhīti dasseti. Etassāti yathāvuttassa. Kevalassāti asammissassa sakalassa vā. Dukkhakkhandhassāti dukkhasamūhassa, na sattassa, nāpi jīvassa, nāpi subhasukhādīnaṃ. Samudayo hotīti nibbatti sambhavati.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ ยฺวายํ อวิชฺชาทิวเสน สงฺขาราทิกสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหตีติ วุโตฺต, สพฺพากาเรน เอตมตฺถํ วิทิตฺวาฯ ตายํ เวลายนฺติ ตายํ ตสฺส อตฺถสฺส วิทิตเวลายํฯ อิมํ อุทานํ อุทาเนสีติ อิมํ ตสฺมิํ อเตฺถ วิทิเต เหตุโน จ เหตุสมุปฺปนฺนธมฺมสฺส จ ปชานนาย อานุภาวทีปกํ ‘‘ยทา หเว ปาตุภวนฺตี’’ติอาทิกํ โสมนสฺสสมฺปยุตฺตญาณสมุฎฺฐานํ อุทานํ อุทาเนสิ, อตฺตมนวาจํ นิจฺฉาเรสีติ วุตฺตํ โหติฯ
Etamatthaṃviditvāti yvāyaṃ avijjādivasena saṅkhārādikassa dukkhakkhandhassa samudayo hotīti vutto, sabbākārena etamatthaṃ viditvā. Tāyaṃ velāyanti tāyaṃ tassa atthassa viditavelāyaṃ. Imaṃ udānaṃ udānesīti imaṃ tasmiṃ atthe vidite hetuno ca hetusamuppannadhammassa ca pajānanāya ānubhāvadīpakaṃ ‘‘yadā have pātubhavantī’’tiādikaṃ somanassasampayuttañāṇasamuṭṭhānaṃ udānaṃ udānesi, attamanavācaṃ nicchāresīti vuttaṃ hoti.
ตสฺสโตฺถ – ยทาติ ยสฺมิํ กาเลฯ หเวติ พฺยตฺตนฺติ อิมสฺมิํ อเตฺถ นิปาโตฯ เกจิ ปน ‘‘หเวติ อาหเว ยุเทฺธ’’ติ อตฺถํ วทนฺติ, ‘‘โยเธถ มารํ ปญฺญาวุเธนา’’ติ (ธ. ป. ๔๐) วจนโต กิเลสมาเรน ยุชฺฌนสมเยติ เตสํ อธิปฺปาโยฯ ปาตุภวนฺตีติ อุปฺปชฺชนฺติฯ ธมฺมาติ อนุโลมปจฺจยาการปฎิเวธสาธกา โพธิปกฺขิยธมฺมาฯ อถ วา ปาตุภวนฺตีติ ปกาเสนฺติ, อภิสมยวเสน พฺยตฺตา ปากฎา โหนฺติฯ ธมฺมาติ จตุอริยสจฺจธมฺมา, อาตาโป วุจฺจติ กิเลสสนฺตาปนเฎฺฐน วีริยํฯ อาตาปิโนติ สมฺมปฺปธานวีริยวโตฯ ฌายโตติ อารมฺมณูปนิชฺฌาเนน ลกฺขณูปนิชฺฌาเนน ฌายนฺตสฺสฯ พฺราหฺมณสฺสาติ พาหิตปาปสฺส ขีณาสวสฺสฯ อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพาติ อถสฺส เอวํ ปาตุภูตธมฺมสฺส ยา เอตา ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, ผุสตีติฯ โน กโลฺล ปโญฺหติ ภควา อโวจา’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๑๒) นเยน, ‘‘กตมํ นุ โข, ภเนฺต, ชรามรณํ, กสฺส จ ปนิทํ ชรามรณนฺติฯ โน กโลฺล ปโญฺหติ ภควา อโวจา’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๓๕) นเยน ปจฺจยากาเร กงฺขา วุตฺตา, ยา จ ปจฺจยาการเสฺสว อปฺปฎิวิทฺธตฺตา ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) โสฬส กงฺขา อาคตาฯ ตา สพฺพา วปยนฺติ อปคจฺฉนฺติ นิรุชฺฌนฺติฯ กสฺมา? ยโต ปชานาติ สเหตุธมฺมํ, ยสฺมา อวิชฺชาทิเกน เหตุนา สเหตุกํ อิมํ สงฺขาราทิกํ เกวลํ ทุกฺขกฺขนฺธธมฺมํ ปชานาติ อญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌีติฯ
Tassattho – yadāti yasmiṃ kāle. Haveti byattanti imasmiṃ atthe nipāto. Keci pana ‘‘haveti āhave yuddhe’’ti atthaṃ vadanti, ‘‘yodhetha māraṃ paññāvudhenā’’ti (dha. pa. 40) vacanato kilesamārena yujjhanasamayeti tesaṃ adhippāyo. Pātubhavantīti uppajjanti. Dhammāti anulomapaccayākārapaṭivedhasādhakā bodhipakkhiyadhammā. Atha vā pātubhavantīti pakāsenti, abhisamayavasena byattā pākaṭā honti. Dhammāti catuariyasaccadhammā, ātāpo vuccati kilesasantāpanaṭṭhena vīriyaṃ. Ātāpinoti sammappadhānavīriyavato. Jhāyatoti ārammaṇūpanijjhānena lakkhaṇūpanijjhānena jhāyantassa. Brāhmaṇassāti bāhitapāpassa khīṇāsavassa. Athassa kaṅkhā vapayanti sabbāti athassa evaṃ pātubhūtadhammassa yā etā ‘‘ko nu kho, bhante, phusatīti. No kallo pañhoti bhagavā avocā’’tiādinā (saṃ. ni. 2.12) nayena, ‘‘katamaṃ nu kho, bhante, jarāmaraṇaṃ, kassa ca panidaṃ jarāmaraṇanti. No kallo pañhoti bhagavā avocā’’tiādinā (saṃ. ni. 2.35) nayena paccayākāre kaṅkhā vuttā, yā ca paccayākārasseva appaṭividdhattā ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādinā (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) soḷasa kaṅkhā āgatā. Tā sabbā vapayanti apagacchanti nirujjhanti. Kasmā? Yato pajānāti sahetudhammaṃ, yasmā avijjādikena hetunā sahetukaṃ imaṃ saṅkhārādikaṃ kevalaṃ dukkhakkhandhadhammaṃ pajānāti aññāsi paṭivijjhīti.
กทา ปนสฺส โพธิปกฺขิยธมฺมา จตุสจฺจธมฺมา วา ปาตุภวนฺติ อุปฺปชฺชนฺติ ปกาเสนฺติ วา? วิปสฺสนามคฺคญาเณสุ ฯ ตตฺถ วิปสฺสนาญาณสมฺปยุตฺตา สติอาทโย วิปสฺสนาญาณญฺจ ยถารหํ อตฺตโน วิสเยสุ ตทงฺคปฺปหานวเสน สุภสญฺญาทิเก ปชหนฺตา กายานุปสฺสนาทิวเสน วิสุํ วิสุํ อุปฺปชฺชนฺติ, มคฺคกฺขเณ ปน เต นิพฺพานมาลมฺพิตฺวา สมุเจฺฉทวเสน ปฎิปเกฺข ปชหนฺตา จตูสุปิ อริยสเจฺจสุ อสโมฺมหปฺปฎิเวธสาธนวเสน สกิเทว อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวํ ตาเวตฺถ โพธิปกฺขิยธมฺมานํ อุปฺปชฺชนเฎฺฐน ปาตุภาโว เวทิตโพฺพฯ
Kadā panassa bodhipakkhiyadhammā catusaccadhammā vā pātubhavanti uppajjanti pakāsenti vā? Vipassanāmaggañāṇesu . Tattha vipassanāñāṇasampayuttā satiādayo vipassanāñāṇañca yathārahaṃ attano visayesu tadaṅgappahānavasena subhasaññādike pajahantā kāyānupassanādivasena visuṃ visuṃ uppajjanti, maggakkhaṇe pana te nibbānamālambitvā samucchedavasena paṭipakkhe pajahantā catūsupi ariyasaccesu asammohappaṭivedhasādhanavasena sakideva uppajjanti. Evaṃ tāvettha bodhipakkhiyadhammānaṃ uppajjanaṭṭhena pātubhāvo veditabbo.
อริยสจฺจธมฺมานํ ปน โลกิยานํ วิปสฺสนากฺขเณ วิปสฺสนาย อารมฺมณกรณวเสน, โลกุตฺตรานํ ตทธิมุตฺตตาวเสน, มคฺคกฺขเณ นิโรธสจฺจสฺส อารมฺมณาภิสมยวเสน, สเพฺพสมฺปิ กิจฺจาภิสมยวเสน ปากฎภาวโต ปกาสนเฎฺฐน ปาตุภาโว เวทิตโพฺพฯ
Ariyasaccadhammānaṃ pana lokiyānaṃ vipassanākkhaṇe vipassanāya ārammaṇakaraṇavasena, lokuttarānaṃ tadadhimuttatāvasena, maggakkhaṇe nirodhasaccassa ārammaṇābhisamayavasena, sabbesampi kiccābhisamayavasena pākaṭabhāvato pakāsanaṭṭhena pātubhāvo veditabbo.
อิติ ภควา สติปิ สพฺพากาเรน สพฺพธมฺมานํ อตฺตโน ญาณสฺส ปากฎภาเว ปฎิจฺจสมุปฺปาทมุเขน วิปสฺสนาภินิเวสสฺส กตตฺตา นิปุณคมฺภีรสุทุทฺทสตาย ปจฺจยาการสฺส ตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อุปฺปนฺนพลวโสมนโสฺส ปฎิปกฺขสมุเจฺฉทวิภาวเนน สทฺธิํ อตฺตโน ตทภิสมยานุภาวทีปกเมเวตฺถ อุทานํ อุทาเนสีติฯ
Iti bhagavā satipi sabbākārena sabbadhammānaṃ attano ñāṇassa pākaṭabhāve paṭiccasamuppādamukhena vipassanābhinivesassa katattā nipuṇagambhīrasududdasatāya paccayākārassa taṃ paccavekkhitvā uppannabalavasomanasso paṭipakkhasamucchedavibhāvanena saddhiṃ attano tadabhisamayānubhāvadīpakamevettha udānaṃ udānesīti.
อยมฺปิ อุทาโน วุโตฺต ภควตา อิติ เม สุตนฺติ อยํ ปาฬิ เกสุจิเยว โปตฺถเกสุ ทิสฺสติฯ ตตฺถ อยมฺปีติ ปิสโทฺท ‘‘อิทมฺปิ พุเทฺธ รตนํ ปณีตํ, อยมฺปิ ปาราชิโก โหตี’’ติอาทีสุ วิย สมฺปิณฺฑนโตฺถ, เตน อุปริมํ สมฺปิเณฺฑติฯ วุโตฺตติ อยํ วุตฺตสโทฺท เกโสหารณวปฺปนวาปสมีกรณชีวิตวุตฺติปมุตฺตภาวปาวจนภาเวน ปวตฺตน อเชฺฌนกถนาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘กาปฎิโก มาณโว ทหโร วุตฺตสิโร’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๔๒๖) เกโสหารเณ อาคโตฯ
Ayampiudāno vutto bhagavatā iti me sutanti ayaṃ pāḷi kesuciyeva potthakesu dissati. Tattha ayampīti pisaddo ‘‘idampi buddhe ratanaṃ paṇītaṃ, ayampi pārājiko hotī’’tiādīsu viya sampiṇḍanattho, tena uparimaṃ sampiṇḍeti. Vuttoti ayaṃ vuttasaddo kesohāraṇavappanavāpasamīkaraṇajīvitavuttipamuttabhāvapāvacanabhāvena pavattana ajjhenakathanādīsu dissati. Tathā hesa ‘‘kāpaṭiko māṇavo daharo vuttasiro’’tiādīsu (ma. ni. 2.426) kesohāraṇe āgato.
‘‘คาโว ตสฺส ปชายนฺติ, เขเตฺต วุตฺตํ วิรูหติ;
‘‘Gāvo tassa pajāyanti, khette vuttaṃ virūhati;
วุตฺตานํ ผลมสฺนาติ, โย มิตฺตานํ น ทุพฺภตี’’ติฯ –
Vuttānaṃ phalamasnāti, yo mittānaṃ na dubbhatī’’ti. –
อาทีสุ (ชา. ๒.๒๒.๑๙) วปฺปเนฯ ‘‘โน จ โข ปฎิวุตฺต’’นฺติอาทีสุ (ปารา. ๒๘๙) อฎฺฐทณฺฑกาทีหิ วาปสมีกรเณฯ ‘‘ปนฺนโลโม ปรทตฺตวุโตฺต มิคภูเตน เจตสา วิหรามี’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๓๓๒) ชีวิตวุตฺติยํฯ ‘‘ปณฺฑุปลาโส พนฺธนา ปวุโตฺต อภโพฺพ หริตตฺตายา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๙๒) พนฺธนโต ปมุตฺตภาเวฯ ‘‘คีตํ วุตฺตํ สมีหิต’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๘๕) ปาวจนภาเวน ปวตฺติเตฯ ‘‘วุโตฺต ปารายโณ’’ติอาทีสุ อเชฺฌเนฯ ‘‘วุตฺตํ โข ปเนตํ ภควตา ‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถ, มา อามิสทายาทา’’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๐) กถเนฯ อิธาปิ กถเน เอว ทฎฺฐโพฺพ, เตน อยมฺปิ อุทาโน ภาสิโตติ อโตฺถฯ อิตีติ เอวํฯ เม สุตนฺติ ปททฺวยสฺส อโตฺถ นิทานวณฺณนายํ สพฺพาการโต วุโตฺตเยวฯ ปุเพฺพ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ นิทานวเสน วุโตฺตเยว หิ อโตฺถ อิธ นิคมนวเสน ‘‘อิติ เม สุต’’นฺติ ปุน วุโตฺตฯ วุตฺตเสฺสว หิ อตฺถสฺส ปุน วจนํ นิคมนนฺติฯ อิติสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาโร เอวํ-สเทฺทน สมานตฺถตาย ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ เอตฺถ วิย, อตฺถโยชนา จ อิติวุตฺตกวณฺณนาย อเมฺหหิ ปกาสิตาเยวาติ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพติฯ
Ādīsu (jā. 2.22.19) vappane. ‘‘No ca kho paṭivutta’’ntiādīsu (pārā. 289) aṭṭhadaṇḍakādīhi vāpasamīkaraṇe. ‘‘Pannalomo paradattavutto migabhūtena cetasā viharāmī’’tiādīsu (cūḷava. 332) jīvitavuttiyaṃ. ‘‘Paṇḍupalāso bandhanā pavutto abhabbo haritattāyā’’tiādīsu (pārā. 92) bandhanato pamuttabhāve. ‘‘Gītaṃ vuttaṃ samīhita’’ntiādīsu (dī. ni. 1.285) pāvacanabhāvena pavattite. ‘‘Vutto pārāyaṇo’’tiādīsu ajjhene. ‘‘Vuttaṃ kho panetaṃ bhagavatā ‘dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavatha, mā āmisadāyādā’’’tiādīsu (ma. ni. 1.30) kathane. Idhāpi kathane eva daṭṭhabbo, tena ayampi udāno bhāsitoti attho. Itīti evaṃ. Me sutanti padadvayassa attho nidānavaṇṇanāyaṃ sabbākārato vuttoyeva. Pubbe ‘‘evaṃ me suta’’nti nidānavasena vuttoyeva hi attho idha nigamanavasena ‘‘iti me suta’’nti puna vutto. Vuttasseva hi atthassa puna vacanaṃ nigamananti. Itisaddassa atthuddhāro evaṃ-saddena samānatthatāya ‘‘evaṃ me suta’’nti ettha viya, atthayojanā ca itivuttakavaṇṇanāya amhehi pakāsitāyevāti tattha vuttanayeneva veditabboti.
ปรมตฺถทีปนิยา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถาย
Paramatthadīpaniyā khuddakanikāyaṭṭhakathāya
อุทานสํวณฺณนาปฐมโพธิสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Udānasaṃvaṇṇanāpaṭhamabodhisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๑. ปฐมโพธิสุตฺตํ • 1. Paṭhamabodhisuttaṃ