Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. ปฐมทารุกฺขโนฺธปมสุตฺตวณฺณนา

    4. Paṭhamadārukkhandhopamasuttavaṇṇanā

    ๒๔๑. จตุเตฺถ อทฺทสาติ คงฺคาตีเร ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสิโนฺน อทฺทสฯ วุยฺหมานนฺติ จตุรสฺสํ ตเจฺฉตฺวา ปพฺพตนฺตเร ฐปิตํ วาตาตเปน สุปริสุกฺขํ ปาวุสฺสเก เมเฆ วสฺสเนฺต อุทเกน อุปฺลวิตฺวา อนุปุเพฺพน คงฺคาย นทิยา โสเต ปติตํ เตน โสเตน วุยฺหมานํฯ ภิกฺขู อามเนฺตสีติ ‘‘อิมินา ทารุกฺขเนฺธน สทิสํ กตฺวา มม สาสเน สทฺธาปพฺพชิตํ กุลปุตฺตํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ ธมฺมํ เทเสตุกามตาย อามเนฺตสิฯ อมุํ มหนฺตํ ทารุกฺขนฺธํ คงฺคาย นทิยา โสเตน วุยฺหมานนฺติ อิทํ ปน อฎฺฐโทสวิมุตฺตตฺตา โสตปฎิปนฺนสฺส ทารุกฺขนฺธสฺส อปเร สมุทฺทปตฺติยา อนฺตรายกเร อฎฺฐ โทเส ทเสฺสตุํ อารภิฯ

    241. Catutthe addasāti gaṅgātīre paññattavarabuddhāsane nisinno addasa. Vuyhamānanti caturassaṃ tacchetvā pabbatantare ṭhapitaṃ vātātapena suparisukkhaṃ pāvussake meghe vassante udakena uplavitvā anupubbena gaṅgāya nadiyā sote patitaṃ tena sotena vuyhamānaṃ. Bhikkhū āmantesīti ‘‘iminā dārukkhandhena sadisaṃ katvā mama sāsane saddhāpabbajitaṃ kulaputtaṃ dassessāmī’’ti dhammaṃ desetukāmatāya āmantesi. Amuṃ mahantaṃ dārukkhandhaṃ gaṅgāya nadiyā sotena vuyhamānanti idaṃ pana aṭṭhadosavimuttattā sotapaṭipannassa dārukkhandhassa apare samuddapattiyā antarāyakare aṭṭha dose dassetuṃ ārabhi.

    ตตฺรสฺส เอวํ อฎฺฐโทสวิมุตฺตตา เวทิตพฺพา – เอโก หิ คงฺคาย นทิยา อวิทูเร ปพฺพตตเล ชาโต นานาวลฺลีหิ ปลิเวฐิโต ปณฺฑุปลาสตํ อาปชฺชิตฺวา อุปจิกาทีหิ ขชฺชมาโน ตสฺมิํเยว ฐาเน อปณฺณตฺติกภาวํ คจฺฉติ, อยํ ทารุกฺขโนฺธ คงฺคํ โอตริตฺวา วงฺกฎฺฐาเนสุ วิลาสมาโน สาครํ ปตฺวา มณิวเณฺณ อูมิปิเฎฺฐ โสภิตุํ น ลภติฯ

    Tatrassa evaṃ aṭṭhadosavimuttatā veditabbā – eko hi gaṅgāya nadiyā avidūre pabbatatale jāto nānāvallīhi paliveṭhito paṇḍupalāsataṃ āpajjitvā upacikādīhi khajjamāno tasmiṃyeva ṭhāne apaṇṇattikabhāvaṃ gacchati, ayaṃ dārukkhandho gaṅgaṃ otaritvā vaṅkaṭṭhānesu vilāsamāno sāgaraṃ patvā maṇivaṇṇe ūmipiṭṭhe sobhituṃ na labhati.

    อปโร คงฺคาตีเร พหิมูโล อโนฺตสาโข หุตฺวา ชาโต, อยํ กิญฺจาปิ กาเลน กาลํ โอลมฺพินีหิ สาขาหิ อุทกํ ผุสติ, พหิมูลตฺตา ปน คงฺคํ โอตริตฺวา วงฺกฎฺฐาเนสุ วิลาสมาโน สาครํ ปตฺวา มณิวเณฺณ อูมิปิเฎฺฐ โสภิตุํ น ลภติฯ

    Aparo gaṅgātīre bahimūlo antosākho hutvā jāto, ayaṃ kiñcāpi kālena kālaṃ olambinīhi sākhāhi udakaṃ phusati, bahimūlattā pana gaṅgaṃ otaritvā vaṅkaṭṭhānesu vilāsamāno sāgaraṃ patvā maṇivaṇṇe ūmipiṭṭhe sobhituṃ na labhati.

    อปโร มเชฺฌ คงฺคาย ชาโต, ทฬฺหมูเลน ปน สุปฺปติฎฺฐิโต, พหิ จสฺส คตา วงฺกสาขา นานาวลฺลีหิ อาพทฺธา, อยมฺปิ ทฬฺหมูลตฺตา พหิทฺธา วลฺลีหิ อาพทฺธตฺตา จ คงฺคํ โอตริตฺวา…เป.… โสภิตุํ น ลภติฯ

    Aparo majjhe gaṅgāya jāto, daḷhamūlena pana suppatiṭṭhito, bahi cassa gatā vaṅkasākhā nānāvallīhi ābaddhā, ayampi daḷhamūlattā bahiddhā vallīhi ābaddhattā ca gaṅgaṃ otaritvā…pe… sobhituṃ na labhati.

    อปโร ปติตฎฺฐาเนเยว วาลิกาย โอตฺถโฎ ปูติภาวํ อาปชฺชติ, อยมฺปิ คงฺคํ โอตริตฺวา…เป.… น ลภติฯ

    Aparo patitaṭṭhāneyeva vālikāya otthaṭo pūtibhāvaṃ āpajjati, ayampi gaṅgaṃ otaritvā…pe… na labhati.

    อปโร ทฺวินฺนํ ปาสาณานํ อนฺตเร ชาตตฺตา, สุนิขาโต วิย นิจฺจโล ฐิโต, อาคตาคตํ อุทกํ ทฺวิธา ผาเลติ, อยํ ปาสาณนฺตเร สุฎฺฐุ ปติฎฺฐิตตฺตา คงฺคํ โอตริตฺวา…เป.… น ลภติฯ

    Aparo dvinnaṃ pāsāṇānaṃ antare jātattā, sunikhāto viya niccalo ṭhito, āgatāgataṃ udakaṃ dvidhā phāleti, ayaṃ pāsāṇantare suṭṭhu patiṭṭhitattā gaṅgaṃ otaritvā…pe… na labhati.

    อปโร อโพฺภกาสฎฺฐาเน นภํ ปูเรตฺวา วลฺลีหิ อาพโทฺธ ฐิโตฯ เอกํ เทฺว สํวจฺฉเร อติกฺกมิตฺวา อาคเต มโหเฆ สกิํ วา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา เตเมติ, อยมฺปิ นภํ ปูเรตฺวา ฐิตตาย เจว เอกสฺส วา ทฺวินฺนํ วา สํวจฺฉรานํ อจฺจเยน สกิํ วา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา เตมนตาย จ คงฺคํ โอตริตฺวา…เป.… น ลภติฯ

    Aparo abbhokāsaṭṭhāne nabhaṃ pūretvā vallīhi ābaddho ṭhito. Ekaṃ dve saṃvacchare atikkamitvā āgate mahoghe sakiṃ vā dvikkhattuṃ vā temeti, ayampi nabhaṃ pūretvā ṭhitatāya ceva ekassa vā dvinnaṃ vā saṃvaccharānaṃ accayena sakiṃ vā dvikkhattuṃ vā temanatāya ca gaṅgaṃ otaritvā…pe… na labhati.

    อปโรปิ มเชฺฌ คงฺคาย ทีปเก ชาโต มุทุกฺขนฺธสาโข โอเฆ อาคเต อนุโสตํ นิปชฺชิตฺวา, อุทเก คเต สีสํ อุกฺขิปิตฺวา, นจฺจโนฺต วิย ติฎฺฐติฯ ยสฺสตฺถาย สาคโร คงฺคํ เอวํ วิย วทติ, ‘‘โภติ คเงฺค ตฺวํ มยฺหํ จนฺทนสารสลฬสาราทีนิ นานาทารูนิ อาหรสิ, ทารุกฺขนฺธํ ปน นาหรสี’’ติฯ สุลโภ เอส, เทว, ปุนวาเร ชานิสฺสามีติฯ ปุนวาเร ตมฺพวเณฺณน อุทเกน อาลิงฺคมานา วิย อาคจฺฉติฯ โสปิ ตเถว อนุโสตํ นิปชฺชิตฺวา, อุทเก คเต สีสํ อุกฺขิปิตฺวา, นจฺจโนฺต วิย ติฎฺฐติฯ อยํ อตฺตโน มุทุตาย คงฺคํ โอตริตฺวา…เป.… น ลภติฯ

    Aparopi majjhe gaṅgāya dīpake jāto mudukkhandhasākho oghe āgate anusotaṃ nipajjitvā, udake gate sīsaṃ ukkhipitvā, naccanto viya tiṭṭhati. Yassatthāya sāgaro gaṅgaṃ evaṃ viya vadati, ‘‘bhoti gaṅge tvaṃ mayhaṃ candanasārasalaḷasārādīni nānādārūni āharasi, dārukkhandhaṃ pana nāharasī’’ti. Sulabho esa, deva, punavāre jānissāmīti. Punavāre tambavaṇṇena udakena āliṅgamānā viya āgacchati. Sopi tatheva anusotaṃ nipajjitvā, udake gate sīsaṃ ukkhipitvā, naccanto viya tiṭṭhati. Ayaṃ attano mudutāya gaṅgaṃ otaritvā…pe… na labhati.

    อปโร คงฺคาย นทิยา ติริยํ ปติโต วาลิกาย โอตฺถริโต อนฺตรเสตุ วิย พหูนํ ปจฺจโย ชาโต, อุโภสุ ตีเรสุ เวฬุนฬกรญฺชกกุธาทโย อุปฺลวิตฺวา ตเตฺถว ลคฺคนฺติฯ ตถา นานาวิธา คจฺฉา วุยฺหมานา ภินฺนมุสลภินฺนสุปฺปอหิกุกฺกุรหตฺถิอสฺสาทิกุณปานิปิ ตเตฺถว ลคฺคนฺติฯ มหาคงฺคาปิ นํ อาสชฺช ภิชฺชิตฺวา ทฺวิธา คจฺฉติ, มจฺฉกจฺฉปกุมฺภีลมกราทโยปิ ตเตฺถว วาสํ กเปฺปนฺติฯ อยมฺปิ ติริยํ ปติตฺวา มหาชนสฺส ปจฺจยตฺตกตภาเวน คงฺคํ โอตริตฺวา วงฺกฎฺฐาเนสุ วิลาสมาโน สาครํ ปตฺวา มณิวเณฺณ อูมิปิเฎฺฐ โสภิตุํ น ลภติฯ

    Aparo gaṅgāya nadiyā tiriyaṃ patito vālikāya ottharito antarasetu viya bahūnaṃ paccayo jāto, ubhosu tīresu veḷunaḷakarañjakakudhādayo uplavitvā tattheva lagganti. Tathā nānāvidhā gacchā vuyhamānā bhinnamusalabhinnasuppaahikukkurahatthiassādikuṇapānipi tattheva lagganti. Mahāgaṅgāpi naṃ āsajja bhijjitvā dvidhā gacchati, macchakacchapakumbhīlamakarādayopi tattheva vāsaṃ kappenti. Ayampi tiriyaṃ patitvā mahājanassa paccayattakatabhāvena gaṅgaṃ otaritvā vaṅkaṭṭhānesu vilāsamāno sāgaraṃ patvā maṇivaṇṇe ūmipiṭṭhe sobhituṃ na labhati.

    อิติ ภควา อิเมหิ อฎฺฐหิ โทเสหิ วิมุตฺตตฺตา โสตปฎิปนฺนสฺส ทารุกฺขนฺธสฺส อปเร สมุทฺทปตฺติยา อนฺตรายกเร อฎฺฐ โทเส ทเสฺสตุํ อมุํ มหนฺตํ ทารุกฺขนฺธํ คงฺคาย นทิยา โสเตน วุยฺหมานนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ น ถเล อุสฺสีทิสฺสตีติ ถลํ นาภิรุหิสฺสติฯ น มนุสฺสคฺคาโห คเหสฺสตีติ ‘‘มหา วตายํ ทารุกฺขโนฺธ’’ติ ทิสฺวา, อุฬุเมฺปน ตรมานา คนฺตฺวา, โคปานสีอาทีนํ อตฺถาย มนุสฺสา น คณฺหิสฺสนฺติฯ น อมนุสฺสคฺคาโห คเหสฺสตีติ ‘‘มหโคฺฆ อยํ จนฺทนสาโร, วิมานทฺวาเร นํ ฐเปสฺสามา’’ติ มญฺญมานา น อมนุสฺสา คณฺหิสฺสนฺติฯ

    Iti bhagavā imehi aṭṭhahi dosehi vimuttattā sotapaṭipannassa dārukkhandhassa apare samuddapattiyā antarāyakare aṭṭha dose dassetuṃ amuṃmahantaṃ dārukkhandhaṃ gaṅgāya nadiyā sotena vuyhamānantiādimāha. Tattha na thale ussīdissatīti thalaṃ nābhiruhissati. Na manussaggāho gahessatīti ‘‘mahā vatāyaṃ dārukkhandho’’ti disvā, uḷumpena taramānā gantvā, gopānasīādīnaṃ atthāya manussā na gaṇhissanti. Na amanussaggāho gahessatīti ‘‘mahaggho ayaṃ candanasāro, vimānadvāre naṃ ṭhapessāmā’’ti maññamānā na amanussā gaṇhissanti.

    เอวเมว โขติ เอตฺถ สทฺธิํ พาหิเรหิ อฎฺฐหิ โทเสหิ เอวํ โอปมฺมสํสนฺทนํ เวทิตพฺพํ – คงฺคาย อวิทูเร ปพฺพตตเล ชาโต ตเตฺถว อุปจิกาทีหิ ขชฺชมาโน อปณฺณตฺติกภาวํ คตทารุกฺขโนฺธ วิย หิ ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทิกาย มิจฺฉาทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต ปุคฺคโล เวทิตโพฺพฯ อยญฺหิ สาสนสฺส ทูรีภูตตฺตา อริยมคฺคํ โอรุยฺห สมาธิกุเลฺล นิสิโนฺน นิพฺพานสาครํ ปาปุณิตุํ น สโกฺกติฯ

    Evameva khoti ettha saddhiṃ bāhirehi aṭṭhahi dosehi evaṃ opammasaṃsandanaṃ veditabbaṃ – gaṅgāya avidūre pabbatatale jāto tattheva upacikādīhi khajjamāno apaṇṇattikabhāvaṃ gatadārukkhandho viya hi ‘‘natthi dinna’’ntiādikāya micchādiṭṭhiyā samannāgato puggalo veditabbo. Ayañhi sāsanassa dūrībhūtattā ariyamaggaṃ oruyha samādhikulle nisinno nibbānasāgaraṃ pāpuṇituṃ na sakkoti.

    คงฺคาตีเร พหิมูโล อโนฺตสาโข หุตฺวา ชาโต วิย อจฺฉินฺนคิหิพนฺธโน สมณกุฎิมฺพิกปุคฺคโล ทฎฺฐโพฺพฯ อยญฺหิ ‘‘จิตฺตํ นาเมตํ อนิพทฺธํ, ‘สมโณมฺหี’ติ วทโนฺตว คิหี โหติ, ‘คิหีมฺหี’ติ วทโนฺตว สมโณ โหติฯ โก ชานิสฺสติ, กิํ ภวิสฺสตี’’ติ? มหลฺลกกาเล ปพฺพชโนฺตปิ คิหิพนฺธนํ น วิสฺสเชฺชติฯ มหลฺลกปพฺพชิตานญฺจ สมฺปตฺติ นาม นตฺถิฯ ตสฺส สเจ จีวรํ ปาปุณาติ, อนฺตจฺฉินฺนกํ วา ชิณฺณทุพฺพณฺณํ วา ปาปุณาติฯ เสนาสนมฺปิ วิหารปจฺจเนฺต ปณฺณสาลา วา มณฺฑโป วา ปาปุณาติฯ ปิณฺฑาย จรเนฺตนาปิ ปุตฺตนตฺตกานํ ทารกานํ ปจฺฉโต จริตพฺพํ โหติ, ปริยเนฺต นิสีทิตพฺพํ โหติฯ เตน โส ทุกฺขี ทุมฺมโน อสฺสูนิ มุญฺจโนฺต, ‘‘อตฺถิ เม กุลสนฺตกํ ธนํ, กปฺปติ นุ โข ตํ ขาทเนฺตน ชีวิตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เอกํ วินยธรํ ปุจฺฉติ – ‘‘กิํ, ภเนฺต อาจริย, อตฺตโน สนฺตกํ วิจาเรตฺวา ขาทิตุํ กปฺปติ, โน กปฺปตี’’ติ? ‘‘นเตฺถตฺถ โทโส, กปฺปเตต’’นฺติฯ โส อตฺตโน ภชมานเก กติปเย ทุพฺพเจ ทุราจาเร ภิกฺขู คเหตฺวา, สายนฺหสมเย อโนฺตคามํ คนฺตฺวา, คามมเชฺฌ ฐิโต คามิเก ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘อมฺหากํ ปโยคโต อุฎฺฐิตํ อายํ กสฺส เทถา’’ติ อาหฯ ภเนฺต, ตุเมฺห ปพฺพชิตา, มยํ กสฺส ทสฺสามาติ? กิํ ปพฺพชิตานํ อตฺตโน สนฺตกํ น วฎฺฎตีติ? กุทฺทาล-ปิฎกํ คเหตฺวา, เขตฺตมริยาทพนฺธนาทีนิ กโรโนฺต นานาปฺปการํ ปุพฺพณฺณาปรณฺณเญฺจว ผลาผเล จ สงฺคณฺหิตฺวา, เหมนฺตคิมฺหวสฺสาเนสุ ยํ ยํ อิจฺฉติ, ตํ ตํ ปจาเปตฺวา ขาทโนฺต สมณกุฎุมฺพิโก หุตฺวา ชีวติฯ เกวลมสฺส ปญฺจจูฬเกน ทารเกน สทฺธิํ ปาทปริจาริกาว เอกา นตฺถิฯ อยํ ปุคฺคโล กิญฺจาปิ โอลมฺพินีหิ สาขาหิ อุทกํ ผุสมาโน อโนฺตสาโข รุโกฺข วิย เจติยงฺคณโพธิยงฺคณาทีสุ ภิกฺขูนํ กายสามคฺคิํ เทติ, คิหิพนฺธนสฺส ปน อจฺฉินฺนตาย พหิมูลตฺตา อริยมคฺคํ โอตริตฺวา สมาธิกุเลฺล นิสิโนฺน นิพฺพานสาครํ ปาปุณิตุํ น สโกฺกติฯ

    Gaṅgātīre bahimūlo antosākho hutvā jāto viya acchinnagihibandhano samaṇakuṭimbikapuggalo daṭṭhabbo. Ayañhi ‘‘cittaṃ nāmetaṃ anibaddhaṃ, ‘samaṇomhī’ti vadantova gihī hoti, ‘gihīmhī’ti vadantova samaṇo hoti. Ko jānissati, kiṃ bhavissatī’’ti? Mahallakakāle pabbajantopi gihibandhanaṃ na vissajjeti. Mahallakapabbajitānañca sampatti nāma natthi. Tassa sace cīvaraṃ pāpuṇāti, antacchinnakaṃ vā jiṇṇadubbaṇṇaṃ vā pāpuṇāti. Senāsanampi vihārapaccante paṇṇasālā vā maṇḍapo vā pāpuṇāti. Piṇḍāya carantenāpi puttanattakānaṃ dārakānaṃ pacchato caritabbaṃ hoti, pariyante nisīditabbaṃ hoti. Tena so dukkhī dummano assūni muñcanto, ‘‘atthi me kulasantakaṃ dhanaṃ, kappati nu kho taṃ khādantena jīvitu’’nti cintetvā ekaṃ vinayadharaṃ pucchati – ‘‘kiṃ, bhante ācariya, attano santakaṃ vicāretvā khādituṃ kappati, no kappatī’’ti? ‘‘Natthettha doso, kappateta’’nti. So attano bhajamānake katipaye dubbace durācāre bhikkhū gahetvā, sāyanhasamaye antogāmaṃ gantvā, gāmamajjhe ṭhito gāmike pakkosāpetvā, ‘‘amhākaṃ payogato uṭṭhitaṃ āyaṃ kassa dethā’’ti āha. Bhante, tumhe pabbajitā, mayaṃ kassa dassāmāti? Kiṃ pabbajitānaṃ attano santakaṃ na vaṭṭatīti? Kuddāla-piṭakaṃ gahetvā, khettamariyādabandhanādīni karonto nānāppakāraṃ pubbaṇṇāparaṇṇañceva phalāphale ca saṅgaṇhitvā, hemantagimhavassānesu yaṃ yaṃ icchati, taṃ taṃ pacāpetvā khādanto samaṇakuṭumbiko hutvā jīvati. Kevalamassa pañcacūḷakena dārakena saddhiṃ pādaparicārikāva ekā natthi. Ayaṃ puggalo kiñcāpi olambinīhi sākhāhi udakaṃ phusamāno antosākho rukkho viya cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇādīsu bhikkhūnaṃ kāyasāmaggiṃ deti, gihibandhanassa pana acchinnatāya bahimūlattā ariyamaggaṃ otaritvā samādhikulle nisinno nibbānasāgaraṃ pāpuṇituṃ na sakkoti.

    คงฺคาย มเชฺฌ ชาโต พหิทฺธา วลฺลีหิ อาพทฺธวงฺกสาขา วิย สงฺฆสนฺตกํ นิสฺสาย ชีวมาโน ภินฺนาชีวปุคฺคโล ทฎฺฐโพฺพฯ เอกโจฺจ คิหิพนฺธนํ ปหาย ปพฺพชโนฺตปิ สารุปฺปฎฺฐาเน ปพฺพชฺชํ น ลภติฯ ปพฺพชฺชา หิ นาเมสา ปฎิสนฺธิคฺคหณสทิสาฯ ยถา มนุสฺสา ยตฺถ ปฎิสนฺธิํ คณฺหนฺติ, เตสํเยว กุลานํ อาจารํ สิกฺขนฺติ, เอวํ ภิกฺขูปิ เยสํ สนฺติเก ปพฺพชนฺติ, เตสํเยว อาจารํ คณฺหนฺติฯ ตสฺมา เอกโจฺจ อสารุปฺปฎฺฐาเน ปพฺพชิตฺวา โอวาทานุสาสนีอุเทฺทสปริปุจฺฉาทีหิ ปริพาหิโร หุตฺวา ปาโตว มุณฺฑฆฎํ คเหตฺวา อุทกติตฺถํ คจฺฉติ, อาจริยุปชฺฌายานํ ภตฺตตฺถาย ขเนฺธ ปตฺตํ กตฺวา ภตฺตสาลํ คจฺฉติ, ทุพฺพจสามเณเรหิ สทฺธิํ นานากีฬํ กีฬติ, อารามิกทารเกหิ สํสโฎฺฐ วิหรติฯ

    Gaṅgāya majjhe jāto bahiddhā vallīhi ābaddhavaṅkasākhā viya saṅghasantakaṃ nissāya jīvamāno bhinnājīvapuggalo daṭṭhabbo. Ekacco gihibandhanaṃ pahāya pabbajantopi sāruppaṭṭhāne pabbajjaṃ na labhati. Pabbajjā hi nāmesā paṭisandhiggahaṇasadisā. Yathā manussā yattha paṭisandhiṃ gaṇhanti, tesaṃyeva kulānaṃ ācāraṃ sikkhanti, evaṃ bhikkhūpi yesaṃ santike pabbajanti, tesaṃyeva ācāraṃ gaṇhanti. Tasmā ekacco asāruppaṭṭhāne pabbajitvā ovādānusāsanīuddesaparipucchādīhi paribāhiro hutvā pātova muṇḍaghaṭaṃ gahetvā udakatitthaṃ gacchati, ācariyupajjhāyānaṃ bhattatthāya khandhe pattaṃ katvā bhattasālaṃ gacchati, dubbacasāmaṇerehi saddhiṃ nānākīḷaṃ kīḷati, ārāmikadārakehi saṃsaṭṭho viharati.

    โส ทหรภิกฺขุกาเล อตฺตโน อนุรูเปหิ ทหรภิกฺขูหิ เจว อารามิเกหิ จ สทฺธิํ สงฺฆโภคํ คนฺตฺวา, ‘‘อยํ ขีณาสเวหิ อสุกรโญฺญ สนฺติกา ปฎิคฺคหิตสงฺฆโภโค, ตุเมฺห สงฺฆสฺส อิทญฺจิทญฺจ น เทถ, น หิ ตุมฺหากํ ปวตฺติํ สุตฺวา ราชา วา ราชมหามตฺตา วา อตฺตมนา ภวิสฺสนฺติ, เอถ ทานิ อิทญฺจิทญฺจ กโรถา’’ติ กุทฺทาล-ปิฎกานิ คาหาเปตฺวา เหฎฺฐา ตฬากมาติกาสุ กตฺตพฺพกิจฺจานิ การาเปตฺวา พหุํ ปุพฺพณฺณาปรณฺณํ วิหารํ ปเวเสตฺวา อารามิเกหิ อตฺตโน อุปการภาวํ สงฺฆสฺส อาโรจาเปติฯ สโงฺฆ ‘‘อยํ ทหโร พหูปกาโร, อิมสฺส สตํ วา ทฺวิสตํ วา เทถา’’ติ ทาเปติฯ อิติ โส อิโต จิโต จ สงฺฆสนฺตเกเนว วฑฺฒโนฺต พหิทฺธา เอกวีสติวิธาหิ อเนสนาหิ พโทฺธ อริยมคฺคํ โอตริตฺวา สมาธิกุเลฺล นิสิโนฺน นิพฺพานสาครํ ปาปุณิตุํ น สโกฺกติฯ

    So daharabhikkhukāle attano anurūpehi daharabhikkhūhi ceva ārāmikehi ca saddhiṃ saṅghabhogaṃ gantvā, ‘‘ayaṃ khīṇāsavehi asukarañño santikā paṭiggahitasaṅghabhogo, tumhe saṅghassa idañcidañca na detha, na hi tumhākaṃ pavattiṃ sutvā rājā vā rājamahāmattā vā attamanā bhavissanti, etha dāni idañcidañca karothā’’ti kuddāla-piṭakāni gāhāpetvā heṭṭhā taḷākamātikāsu kattabbakiccāni kārāpetvā bahuṃ pubbaṇṇāparaṇṇaṃ vihāraṃ pavesetvā ārāmikehi attano upakārabhāvaṃ saṅghassa ārocāpeti. Saṅgho ‘‘ayaṃ daharo bahūpakāro, imassa sataṃ vā dvisataṃ vā dethā’’ti dāpeti. Iti so ito cito ca saṅghasantakeneva vaḍḍhanto bahiddhā ekavīsatividhāhi anesanāhi baddho ariyamaggaṃ otaritvā samādhikulle nisinno nibbānasāgaraṃ pāpuṇituṃ na sakkoti.

    ปติตฎฺฐาเนเยว วาลิกาย โอตฺถริตฺวา ปูติภาวํ อาปาทิตรุโกฺข วิย อาลสิยมหคฺฆโส เวทิตโพฺพฯ เอวรูปญฺหิ ปุคฺคลํ อามิสจกฺขุํ ปจฺจยโลลํ วิสฺสฎฺฐอาจริยุปชฺฌายวตฺตํ อุเทฺทสปริปุจฺฉาโยนิโสมนสิการวชฺชิตํ สนฺธาย ปญฺจ นีวรณานิ อตฺถโต เอวํ วทนฺติ – ‘‘โภ, กสฺส สนฺติกํ คจฺฉามา’’ติ? อถ ถินมิทฺธํ อุฎฺฐาย เอวมาห – ‘‘กิํ น ปสฺสถ? เอโส อสุกวิหารวาสี กุสีตปุคฺคโล อสุกํ นาม คามํ คนฺตฺวา ยาคุมตฺถเก ยาคุํ, ปูวมตฺถเก ปูวํ, ภตฺตมตฺถเก ภตฺตํ อโชฺฌหริตฺวา วิหารํ อาคมฺม วิสฺสฎฺฐสพฺพวโตฺต อุเทฺทสาทิวิรหิโต มญฺจํ อุปคจฺฉโนฺต มยฺหํ โอกาสํ กโรตี’’ติฯ

    Patitaṭṭhāneyeva vālikāya ottharitvā pūtibhāvaṃ āpāditarukkho viya ālasiyamahagghaso veditabbo. Evarūpañhi puggalaṃ āmisacakkhuṃ paccayalolaṃ vissaṭṭhaācariyupajjhāyavattaṃ uddesaparipucchāyonisomanasikāravajjitaṃ sandhāya pañca nīvaraṇāni atthato evaṃ vadanti – ‘‘bho, kassa santikaṃ gacchāmā’’ti? Atha thinamiddhaṃ uṭṭhāya evamāha – ‘‘kiṃ na passatha? Eso asukavihāravāsī kusītapuggalo asukaṃ nāma gāmaṃ gantvā yāgumatthake yāguṃ, pūvamatthake pūvaṃ, bhattamatthake bhattaṃ ajjhoharitvā vihāraṃ āgamma vissaṭṭhasabbavatto uddesādivirahito mañcaṃ upagacchanto mayhaṃ okāsaṃ karotī’’ti.

    ตโต กามจฺฉนฺทนีวรณํ อุฎฺฐายาห – ‘‘โภ, ตว โอกาเส กเต มยฺหํ กโตว โหติ, อิทาเนว โส นิทฺทายิตฺวา กิเลสานุรญฺชิโตว ปพุชฺฌิตฺวา กามวิตกฺกํ วิตเกฺกสฺสตี’’ติฯ ตโต พฺยาปาทนีวรณํ อุฎฺฐายาห – ‘‘ตุมฺหากํ โอกาเส กเต มยฺหํ กโตว โหติฯ อิทาเนว นิทฺทายิตฺวา วุฎฺฐิโต ‘วตฺตปฎิวตฺตํ กโรหี’ติ วุจฺจมาโน, ‘โภ, อิเม อตฺตโน กมฺมํ อกตฺวา อเมฺหสุ พฺยาวฎา’ติ นานปฺปการํ ผรุสวจนํ วทโนฺต อกฺขีนิ นีหริตฺวา วิจริสฺสตี’’ติฯ ตโต อุทฺธจฺจนีวรณํ อุฎฺฐายาห – ‘‘ตุมฺหากํ โอกาเส กเต มยฺหํ กโตว โหติ, กุสีโต นาม วาตาหโต อคฺคิกฺขโนฺธ วิย อุทฺธโต โหตี’’ติฯ อถ กุกุจฺจนีวรณํ อุฎฺฐายาห – ‘‘ตุมฺหากํ โอกาเส กเต มยฺหํ กโตว โหติ, กุสีโต นาม กุกฺกุจฺจปกโตว โหติ, อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญํ กปฺปิเย จ อกปฺปิยสญฺญํ อุปฺปาเทตี’’ติฯ อถ วิจิกิจฺฉานีวรณํ อุฎฺฐายาห – ‘‘ตุมฺหากํ โอกาเส กเต มยฺหํ กโตว โหติฯ เอวรูโป หิ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ มหาวิจิกิจฺฉํ อุปฺปาเทสี’’ติฯ เอวํ อาลสิยมหคฺฆสํ ปญฺจ นีวรณานิ จณฺฑสุนขาทโย วิย สิงฺคจฺฉินฺนํ ชรคฺควํ อโชฺฌตฺถริตฺวา คณฺหนฺติฯ โสปิ อริยมคฺคโสตํ โอตริตฺวา สมาธิกุเลฺล นิสิโนฺน นิพฺพานสาครํ ปาปุณิตุํ น สโกฺกติฯ

    Tato kāmacchandanīvaraṇaṃ uṭṭhāyāha – ‘‘bho, tava okāse kate mayhaṃ katova hoti, idāneva so niddāyitvā kilesānurañjitova pabujjhitvā kāmavitakkaṃ vitakkessatī’’ti. Tato byāpādanīvaraṇaṃ uṭṭhāyāha – ‘‘tumhākaṃ okāse kate mayhaṃ katova hoti. Idāneva niddāyitvā vuṭṭhito ‘vattapaṭivattaṃ karohī’ti vuccamāno, ‘bho, ime attano kammaṃ akatvā amhesu byāvaṭā’ti nānappakāraṃ pharusavacanaṃ vadanto akkhīni nīharitvā vicarissatī’’ti. Tato uddhaccanīvaraṇaṃ uṭṭhāyāha – ‘‘tumhākaṃ okāse kate mayhaṃ katova hoti, kusīto nāma vātāhato aggikkhandho viya uddhato hotī’’ti. Atha kukuccanīvaraṇaṃ uṭṭhāyāha – ‘‘tumhākaṃ okāse kate mayhaṃ katova hoti, kusīto nāma kukkuccapakatova hoti, akappiye kappiyasaññaṃ kappiye ca akappiyasaññaṃ uppādetī’’ti. Atha vicikicchānīvaraṇaṃ uṭṭhāyāha – ‘‘tumhākaṃ okāse kate mayhaṃ katova hoti. Evarūpo hi aṭṭhasu ṭhānesu mahāvicikicchaṃ uppādesī’’ti. Evaṃ ālasiyamahagghasaṃ pañca nīvaraṇāni caṇḍasunakhādayo viya siṅgacchinnaṃ jaraggavaṃ ajjhottharitvā gaṇhanti. Sopi ariyamaggasotaṃ otaritvā samādhikulle nisinno nibbānasāgaraṃ pāpuṇituṃ na sakkoti.

    ทฺวินฺนํ ปาสาณานํ อนฺตเร นิขาตมูลากาเรน ฐิตรุโกฺข วิย ทิฎฺฐิํ อุปฺปาเทตฺวา ฐิโต ทิฎฺฐิคติโก เวทิตโพฺพฯ โส หิ ‘‘อรูปภเว รูปํ อตฺถิ, อสญฺญีภเว จิตฺตํ ปวตฺตติ, พหุจิตฺตกฺขณิโก โลกุตฺตรมโคฺค, อนุสโย จิตฺตวิปฺปยุโตฺต, เต จ สตฺตา สนฺธาวนฺติ สํสรนฺตี’’ติ วทโนฺต อริโฎฺฐ วิย กณฺฎกสามเณโร วิย จ วิจรติฯ ปิสุณวาโจ ปน โหติ, อุปชฺฌายาทโย สทฺธิวิหาริกาทีหิ ภินฺทโนฺต วิจรติฯ โสปิ อริยมคฺคโสตํ โอตริตฺวา สมาธิกุเลฺล นิสิโนฺน นิพฺพานสาครํ ปาปุณิตุํ น สโกฺกติฯ

    Dvinnaṃ pāsāṇānaṃ antare nikhātamūlākārena ṭhitarukkho viya diṭṭhiṃ uppādetvā ṭhito diṭṭhigatiko veditabbo. So hi ‘‘arūpabhave rūpaṃ atthi, asaññībhave cittaṃ pavattati, bahucittakkhaṇiko lokuttaramaggo, anusayo cittavippayutto, te ca sattā sandhāvanti saṃsarantī’’ti vadanto ariṭṭho viya kaṇṭakasāmaṇero viya ca vicarati. Pisuṇavāco pana hoti, upajjhāyādayo saddhivihārikādīhi bhindanto vicarati. Sopi ariyamaggasotaṃ otaritvā samādhikulle nisinno nibbānasāgaraṃ pāpuṇituṃ na sakkoti.

    อโพฺภกาเส นภํ ปูเรตฺวา วลฺลีหิ อาพโทฺธ ฐิโต เอกํ เทฺว สํวจฺฉเร อติกฺกมิตฺวา อาคเต มโหเฆ สกิํ วา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา เตมนรุโกฺข วิย มหลฺลกกาเล ปพฺพชิตฺวา ปจฺจเนฺต วสมาโน ทุลฺลภสงฺฆทสฺสโน เจว ทุลฺลภธมฺมสฺสวโน จ ปุคฺคโล เวทิตโพฺพฯ เอกโจฺจ หิ วุฑฺฒกาเล ปพฺพชิโต กติปาเหน อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา ปญฺจวสฺสกาเล ปาติโมกฺขํ ปคุณํ กตฺวา ทสวสฺสกาเล วินยธรเตฺถรสฺส สนฺติเก วินยกถากาเล มริจํ วา หรีตกขณฺฑํ วา มุเข ฐเปตฺวา พีชเนน มุขํ ปิธาย นิทฺทายโนฺต นิสีทิตฺวา เลสกเปฺปน กตวินโย นาม หุตฺวา ปตฺตจีวรํ อาทาย ปจฺจนฺตํ คจฺฉติฯ ตตฺร นํ มนุสฺสา สกฺกริตฺวา ภิกฺขุทสฺสนสฺส ทุลฺลภตาย ‘‘อิเธว, ภเนฺต, วสถา’’ติ วิหารํ กาเรตฺวา ปุปฺผูปคผลูปครุเกฺข โรเปตฺวา ตตฺถ วาเสนฺติฯ

    Abbhokāse nabhaṃ pūretvā vallīhi ābaddho ṭhito ekaṃ dve saṃvacchare atikkamitvā āgate mahoghe sakiṃ vā dvikkhattuṃ vā temanarukkho viya mahallakakāle pabbajitvā paccante vasamāno dullabhasaṅghadassano ceva dullabhadhammassavano ca puggalo veditabbo. Ekacco hi vuḍḍhakāle pabbajito katipāhena upasampadaṃ labhitvā pañcavassakāle pātimokkhaṃ paguṇaṃ katvā dasavassakāle vinayadharattherassa santike vinayakathākāle maricaṃ vā harītakakhaṇḍaṃ vā mukhe ṭhapetvā bījanena mukhaṃ pidhāya niddāyanto nisīditvā lesakappena katavinayo nāma hutvā pattacīvaraṃ ādāya paccantaṃ gacchati. Tatra naṃ manussā sakkaritvā bhikkhudassanassa dullabhatāya ‘‘idheva, bhante, vasathā’’ti vihāraṃ kāretvā pupphūpagaphalūpagarukkhe ropetvā tattha vāsenti.

    อถ มหาวิหารสทิสวิหารา พหุสฺสุตา ภิกฺขู, ‘‘ชนปเท จีวรรชนาทีนิ กตฺวา อาคมิสฺสามา’’ติ ตตฺถ คจฺฉนฺติฯ โส เต ทิสฺวา, หฎฺฐตุโฎฺฐ วตฺตปฎิวตฺตํ กตฺวา, ปุนทิวเส อาทาย ภิกฺขาจารคามํ ปวิสิตฺวา, ‘‘อสุโก เถโร สุตฺตนฺติโก, อสุโก อภิธมฺมิโก, อสุโก วินยธโร, อสุโก เตปิฎโก, เอวรูเป เถเร กทา ลภิสฺสถ, ธมฺมสวนํ กาเรถา’’ติ วทติฯ อุปาสกา ‘‘ธมฺมสฺสวนํ กาเรสฺสามา’’ติ วิหารมคฺคํ โสเธตฺวา, สปฺปิเตลาทีนิ อาทาย, มหาเถรํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ธมฺมสฺสวนํ กาเรสฺสาม, ธมฺมกถิกานํ วิจาเรถา’’ติ วตฺวา ปุนทิวเส อาคนฺตฺวา ธมฺมํ สุณนฺติฯ

    Atha mahāvihārasadisavihārā bahussutā bhikkhū, ‘‘janapade cīvararajanādīni katvā āgamissāmā’’ti tattha gacchanti. So te disvā, haṭṭhatuṭṭho vattapaṭivattaṃ katvā, punadivase ādāya bhikkhācāragāmaṃ pavisitvā, ‘‘asuko thero suttantiko, asuko abhidhammiko, asuko vinayadharo, asuko tepiṭako, evarūpe there kadā labhissatha, dhammasavanaṃ kārethā’’ti vadati. Upāsakā ‘‘dhammassavanaṃ kāressāmā’’ti vihāramaggaṃ sodhetvā, sappitelādīni ādāya, mahātheraṃ upasaṅkamitvā, ‘‘bhante, dhammassavanaṃ kāressāma, dhammakathikānaṃ vicārethā’’ti vatvā punadivase āgantvā dhammaṃ suṇanti.

    เนวาสิกเตฺถโร อาคนฺตุกานํ ปตฺตจีวรานิ ปฎิสาเมโนฺต อโนฺตคเพฺภเยว ทิวสภาคํ วีตินาเมติฯ ทิวากถิโก อุฎฺฐิโต สรภาณโก ฆเฎน อุทกํ วเมโนฺต วิย สรภาณํ ภณิตฺวา อุฎฺฐิโต, ตมฺปิ โส น ชานาติฯ รตฺติกถิโก สาครํ โขเภโนฺต วิย รตฺติํ กเถตฺวา อุฎฺฐิโต, ตมฺปิ โส น ชานาติฯ ปจฺจูสกถิโก กเถตฺวา อุฎฺฐาสิ, ตมฺปิ โส น ชานาติฯ ปาโตว ปน อุฎฺฐาย มุขํ โธวิตฺวา, เถรานํ ปตฺตจีวรานิ อุปนาเมตฺวา, ภิกฺขาจารํ อุปคจฺฉโนฺต มหาเถรํ อาห – ‘‘ภเนฺต, ทิวากถิโก กตรํ ชาตกํ นาม กเถสิ, สรภาณโก กตรํ สุตฺตํ นาม ภณิ, รตฺติกถิโก กตรํ ธมฺมกถํ นาม กเถสิ, ปจฺจูสกถิโก กตรํ ชาตกํ นาม กเถสิ, ขนฺธา นาม กติ, ธาตุโย นาม กติ, อายตนา นาม กตี’’ติฯ เอวรูโป เอกํ เทฺว สํวจฺฉรานิ อติกฺกมิตฺวา ภิกฺขุทสฺสนเญฺจว ธมฺมสฺสวนญฺจ ลภโนฺตปิ โอเฆ อาคเต อุทเกน สกิํ วา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา เตมิตรุกฺขสทิโส โหติฯ โส เอวํ สงฺฆทสฺสนโต จ ธมฺมสฺสวนโต จ ปฎิกฺกมฺม ทูเร วสโนฺต อริยมคฺคํ โอตริตฺวา สมาธิกุเลฺล นิสิโนฺน นิพฺพานสาครํ ปาปุณิตุํ น สโกฺกติฯ

    Nevāsikatthero āgantukānaṃ pattacīvarāni paṭisāmento antogabbheyeva divasabhāgaṃ vītināmeti. Divākathiko uṭṭhito sarabhāṇako ghaṭena udakaṃ vamento viya sarabhāṇaṃ bhaṇitvā uṭṭhito, tampi so na jānāti. Rattikathiko sāgaraṃ khobhento viya rattiṃ kathetvā uṭṭhito, tampi so na jānāti. Paccūsakathiko kathetvā uṭṭhāsi, tampi so na jānāti. Pātova pana uṭṭhāya mukhaṃ dhovitvā, therānaṃ pattacīvarāni upanāmetvā, bhikkhācāraṃ upagacchanto mahātheraṃ āha – ‘‘bhante, divākathiko kataraṃ jātakaṃ nāma kathesi, sarabhāṇako kataraṃ suttaṃ nāma bhaṇi, rattikathiko kataraṃ dhammakathaṃ nāma kathesi, paccūsakathiko kataraṃ jātakaṃ nāma kathesi, khandhā nāma kati, dhātuyo nāma kati, āyatanā nāma katī’’ti. Evarūpo ekaṃ dve saṃvaccharāni atikkamitvā bhikkhudassanañceva dhammassavanañca labhantopi oghe āgate udakena sakiṃ vā dvikkhattuṃ vā temitarukkhasadiso hoti. So evaṃ saṅghadassanato ca dhammassavanato ca paṭikkamma dūre vasanto ariyamaggaṃ otaritvā samādhikulle nisinno nibbānasāgaraṃ pāpuṇituṃ na sakkoti.

    มเชฺฌ คงฺคาย ทีปเก ชาโต มุทุรุโกฺข วิย มธุรสฺสรภาณกปุคฺคโล เวทิตโพฺพฯ โส หิ อภิญฺญาตานิ อภิญฺญาตานิ เวสฺสนฺตราทีนิ ชาตกานิ อุคฺคณฺหิตฺวา, ทุลฺลภภิกฺขุทสฺสนํ ปจฺจนฺตํ คนฺตฺวา, ตตฺถ ธมฺมกถาย ปสาทิตหทเยน ชเนน อุปฎฺฐิยมาโน อตฺตานํ อุทฺทิสฺส กเต สมฺปนฺนปุปฺผผลรุเกฺข นนฺทนวนาภิราเม วิหาเร วสติฯ อถสฺส ภารหารภิกฺขู ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา, ‘‘อสุโก กิร เอวํ อุปฎฺฐาเกสุ ปฎิพทฺธจิโตฺต วิหรติฯ ปณฺฑิโต ภิกฺขุ ปฎิพโล พุทฺธวจนํ วา อุคฺคณฺหิตุํ, กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกาตุํ, อาเนตฺวา เตน สทฺธิํ อสุกเตฺถรสฺส สนฺติเก ธมฺมํ อุคฺคณฺหิสฺสาม, อสุกเตฺถรสฺส สนฺติเก กมฺมฎฺฐาน’’นฺติ ตตฺถ คจฺฉนฺติฯ

    Majjhe gaṅgāya dīpake jāto mudurukkho viya madhurassarabhāṇakapuggalo veditabbo. So hi abhiññātāni abhiññātāni vessantarādīni jātakāni uggaṇhitvā, dullabhabhikkhudassanaṃ paccantaṃ gantvā, tattha dhammakathāya pasāditahadayena janena upaṭṭhiyamāno attānaṃ uddissa kate sampannapupphaphalarukkhe nandanavanābhirāme vihāre vasati. Athassa bhārahārabhikkhū taṃ pavattiṃ sutvā, ‘‘asuko kira evaṃ upaṭṭhākesu paṭibaddhacitto viharati. Paṇḍito bhikkhu paṭibalo buddhavacanaṃ vā uggaṇhituṃ, kammaṭṭhānaṃ vā manasikātuṃ, ānetvā tena saddhiṃ asukattherassa santike dhammaṃ uggaṇhissāma, asukattherassa santike kammaṭṭhāna’’nti tattha gacchanti.

    โส เตสํ วตฺตํ กตฺวา สายนฺหสมยํ วิหารจาริกํ นิกฺขเนฺตหิ เตหิ ‘‘อิมํ, อาวุโส, เจติยํ ตยา การิต’’นฺติ ปุโฎฺฐ, ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ วทติฯ ‘‘อยํ โพธิ, อยํ มณฺฑโป, อิทํ อุโปสถาคารํ, เอสา อคฺคิสาลา, อยํ จงฺกโม ตยา การิโตฯ อิเม รุเกฺข โรปาเปตฺวา ตยา นนฺทนวนาภิราโม วิหาโร การิโต’’ติฯ ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ, วทติฯ

    So tesaṃ vattaṃ katvā sāyanhasamayaṃ vihāracārikaṃ nikkhantehi tehi ‘‘imaṃ, āvuso, cetiyaṃ tayā kārita’’nti puṭṭho, ‘‘āma, bhante’’ti vadati. ‘‘Ayaṃ bodhi, ayaṃ maṇḍapo, idaṃ uposathāgāraṃ, esā aggisālā, ayaṃ caṅkamo tayā kārito. Ime rukkhe ropāpetvā tayā nandanavanābhirāmo vihāro kārito’’ti. ‘‘Āma, bhante’’ti, vadati.

    โส สายํ เถรุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ปุจฺฉติ – ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, อาคตตฺถา’’ติ? ‘‘อาวุโส, ตํ อาทาย คนฺตฺวา, อสุกเตฺถรสฺส สนฺติเก ธมฺมํ อุคฺคณฺหิตฺวา, อสุกเตฺถรสฺส สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ, อสุกสฺมิํ นาม อรเญฺญ สมคฺคา สมณธมฺมํ กริสฺสามาติ อิมินา การเณน อาคตมฺหา’’ติฯ สาธุ, ภเนฺต, ตุเมฺห นาม มยฺหํ อตฺถาย อาคตา, อหมฺปิ จิรนิวาเสน อิธ อุกฺกณฺฐิโต คจฺฉามิ, ปตฺตจีวรํ คณฺหามิ, ภเนฺตติฯ อาวุโส, สามเณรทหรา มคฺคกิลนฺตา, อชฺช วสิตฺวา เสฺว ปจฺฉาภตฺตํ คมิสฺสามาติฯ สาธุ, ภเนฺตติ ปุนทิวเส เตหิ สทฺธิํ ปิณฺฑาย ปวิสติฯ คามวาสิโน ‘‘อมฺหากํ อโยฺย พหู อาคนฺตุเก ภิกฺขู คเหตฺวา อาคโต’’ติ อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา ยาคุํ ปาเยตฺวา สุขนิสินฺนกถํ สุตฺวา ภตฺตํ อทํสุฯ เถรา ‘‘ตฺวํ, อาวุโส, อนุโมทนํ กตฺวา นิกฺขม, มยํ อุทกผาสุกฎฺฐาเน ภตฺตกิจฺจํ กริสฺสามา’’ติ นิกฺขนฺตาฯ

    So sāyaṃ therupaṭṭhānaṃ gantvā vanditvā pucchati – ‘‘kasmā, bhante, āgatatthā’’ti? ‘‘Āvuso, taṃ ādāya gantvā, asukattherassa santike dhammaṃ uggaṇhitvā, asukattherassa santike kammaṭṭhānaṃ, asukasmiṃ nāma araññe samaggā samaṇadhammaṃ karissāmāti iminā kāraṇena āgatamhā’’ti. Sādhu, bhante, tumhe nāma mayhaṃ atthāya āgatā, ahampi ciranivāsena idha ukkaṇṭhito gacchāmi, pattacīvaraṃ gaṇhāmi, bhanteti. Āvuso, sāmaṇeradaharā maggakilantā, ajja vasitvā sve pacchābhattaṃ gamissāmāti. Sādhu, bhanteti punadivase tehi saddhiṃ piṇḍāya pavisati. Gāmavāsino ‘‘amhākaṃ ayyo bahū āgantuke bhikkhū gahetvā āgato’’ti āsanāni paññāpetvā yāguṃ pāyetvā sukhanisinnakathaṃ sutvā bhattaṃ adaṃsu. Therā ‘‘tvaṃ, āvuso, anumodanaṃ katvā nikkhama, mayaṃ udakaphāsukaṭṭhāne bhattakiccaṃ karissāmā’’ti nikkhantā.

    คามวาสิโน อนุโมทนํ สุตฺวา ปุจฺฉิํสุ, ‘‘กุโต, ภเนฺต, เถรา อาคตา’’ติ? เอเต อมฺหากํ อาจริยุปชฺฌายา สมานุปชฺฌายา สนฺทิฎฺฐา สมฺภตฺตาติฯ กสฺมา อาคตาติ? มํ คเหตฺวา คนฺตุกามตายาติฯ ตุเมฺห ปน คนฺตุกามาติ? อามาวุโสติฯ กิํ วเทถ, ภเนฺต, อเมฺหหิ กสฺส อุโปสถาคารํ การิตํ, กสฺส โภชนสาลา, กสฺส อคฺคิสาลาทโย การิตา, มยํ มงฺคลามงฺคเลสุ กสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามาติ? มหาอุปาสิกาโยปิ ตเตฺถว นิสีทิตฺวา อสฺสูนิ ปวตฺตยิํสุฯ ทหโร ‘‘ตุเมฺหสุ เอวํ ทุกฺขิเตสุ อหํ คนฺตฺวา กิํ กริสฺสามิ? เถเร อุโยฺยเชสฺสามี’’ติ วิหารํ คโตฯ

    Gāmavāsino anumodanaṃ sutvā pucchiṃsu, ‘‘kuto, bhante, therā āgatā’’ti? Ete amhākaṃ ācariyupajjhāyā samānupajjhāyā sandiṭṭhā sambhattāti. Kasmā āgatāti? Maṃ gahetvā gantukāmatāyāti. Tumhe pana gantukāmāti? Āmāvusoti. Kiṃ vadetha, bhante, amhehi kassa uposathāgāraṃ kāritaṃ, kassa bhojanasālā, kassa aggisālādayo kāritā, mayaṃ maṅgalāmaṅgalesu kassa santikaṃ gamissāmāti? Mahāupāsikāyopi tattheva nisīditvā assūni pavattayiṃsu. Daharo ‘‘tumhesu evaṃ dukkhitesu ahaṃ gantvā kiṃ karissāmi? There uyyojessāmī’’ti vihāraṃ gato.

    เถราปิ กตภตฺตกิจฺจา ปตฺตจีวรานิ คเหตฺวา นิสินฺนา ตํ ทิสฺวาว, ‘‘กิํ, อาวุโส, จิรายสิ, ทิวา โหติ, คจฺฉามา’’ติ อาหํสุฯ อาม, ภเนฺต, ตุเมฺห สุขิตา, อสุกเคหสฺส อิฎฺฐกามูลํ ฐิตสณฺฐาเนเนว ฐิตํ, อสุกเคหาทีนํ จิตฺตกมฺมมูลาทีนิ อตฺถิ, คตสฺสาปิ เม จิตฺตวิเกฺขโป ภวิสฺสติ, ตุเมฺห ปุรโต คนฺตฺวา อสุกวิหาเร จีวรโธวนรชนาทีนิ กโรถ, อหํ ตตฺถ สมฺปาปุณิสฺสามีติฯ เต ตสฺส โอสกฺกิตุกามตํ ญตฺวา ตฺวํ ปจฺฉา อาคเจฺฉยฺยาสีติ ปกฺกมิํสุฯ

    Therāpi katabhattakiccā pattacīvarāni gahetvā nisinnā taṃ disvāva, ‘‘kiṃ, āvuso, cirāyasi, divā hoti, gacchāmā’’ti āhaṃsu. Āma, bhante, tumhe sukhitā, asukagehassa iṭṭhakāmūlaṃ ṭhitasaṇṭhāneneva ṭhitaṃ, asukagehādīnaṃ cittakammamūlādīni atthi, gatassāpi me cittavikkhepo bhavissati, tumhe purato gantvā asukavihāre cīvaradhovanarajanādīni karotha, ahaṃ tattha sampāpuṇissāmīti. Te tassa osakkitukāmataṃ ñatvā tvaṃ pacchā āgaccheyyāsīti pakkamiṃsu.

    โส เถเร อนุคนฺตฺวา นิวโตฺต วิหารเมว อาคนฺตฺวา โภชนสาลาทีนิ โอโลเกโนฺต วิหารํ รามเณยฺยกํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘สาธุ วตมฺหิ น คโตฯ สเจ อคมิสฺสํ, โกจิ, เทว, ธมฺมกถิโก อาคนฺตฺวา , สเพฺพสํ มนํ ภินฺทิตฺวา, วิหารํ อตฺตโน นิกายสนฺตกํ กเรยฺย, อถ มยา ปจฺฉา อาคนฺตฺวา เอตสฺส ปจฺฉโต ลทฺธปิณฺฑํ ภุญฺชเนฺตน จริตพฺพํ ภวิสฺสตี’’ติฯ

    So there anugantvā nivatto vihārameva āgantvā bhojanasālādīni olokento vihāraṃ rāmaṇeyyakaṃ disvā cintesi – ‘‘sādhu vatamhi na gato. Sace agamissaṃ, koci, deva, dhammakathiko āgantvā , sabbesaṃ manaṃ bhinditvā, vihāraṃ attano nikāyasantakaṃ kareyya, atha mayā pacchā āgantvā etassa pacchato laddhapiṇḍaṃ bhuñjantena caritabbaṃ bhavissatī’’ti.

    โส อปเรน สมเยน สุณาติ, ‘‘เต กิร ภิกฺขู คตฎฺฐาเน เอกนิกายเทฺวนิกายเอกปิฎกเทฺวปิฎกาทิวเสน พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา อฎฺฐกถาจริยา ชาตา วินยธรา ชาตา สตปริวาราปิ สหสฺสปริวาราปิ จรนฺติฯ เย ปเนตฺถ สมณธมฺมํ กาตุํ คตา, เต ฆเฎนฺตา วายมนฺตา โสตาปนฺนา ชาตา, สกทาคามิโน อนาคามิโน อรหโนฺต ชาตา, มหาสกฺกาเรน ปรินิพฺพุตา’’ติ ฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ อหมฺปิ อคมิสฺสํ, มยฺหเมฺปสา สมฺปตฺติ อภวิสฺส, อิมํ ปน ฐานํ มุญฺจิตุํ อสโกฺกโนฺต อติวิย ปริหีนมฺหี’’ติฯ อยํ ปุคฺคโล อตฺตโน มุทุตาย ตํ ฐานํ อมุญฺจโนฺต อริยมคฺคํ โอตริตฺวา สมาธิกุเลฺล นิสิโนฺน นิพฺพานสาครํ ปาปุณิตุํ น สโกฺกติฯ

    So aparena samayena suṇāti, ‘‘te kira bhikkhū gataṭṭhāne ekanikāyadvenikāyaekapiṭakadvepiṭakādivasena buddhavacanaṃ uggaṇhitvā aṭṭhakathācariyā jātā vinayadharā jātā sataparivārāpi sahassaparivārāpi caranti. Ye panettha samaṇadhammaṃ kātuṃ gatā, te ghaṭentā vāyamantā sotāpannā jātā, sakadāgāmino anāgāmino arahanto jātā, mahāsakkārena parinibbutā’’ti . So cintesi – ‘‘sace ahampi agamissaṃ, mayhampesā sampatti abhavissa, imaṃ pana ṭhānaṃ muñcituṃ asakkonto ativiya parihīnamhī’’ti. Ayaṃ puggalo attano mudutāya taṃ ṭhānaṃ amuñcanto ariyamaggaṃ otaritvā samādhikulle nisinno nibbānasāgaraṃ pāpuṇituṃ na sakkoti.

    คงฺคาย นทิยา ติริยํ ปติตฺวา, วาลิกาย โอตฺถฎภาเวน อนฺตรเสตุ วิย หุตฺวา, พหูนํ ปจฺจโย ชาตรุโกฺข วิย รถวินีตมหาอริยวํสจโนฺทปมาทิปฎิปทาสุ อญฺญตรํ ปฎิปทํ อุคฺคเหตฺวา ฐิโต โอลีนวุตฺติโก ปุคฺคโล เวทิตโพฺพฯ โส หิ ตํ ปฎิปตฺตินิสฺสิตํ ธมฺมํ อุคฺคเหตฺวา ปกติยา มญฺชุสฺสโร จิตฺตลปพฺพตาทิสทิสํ มหนฺตํ ฐานํ คนฺตฺวา เจติยงฺคณวตฺตาทีนิ กโรติฯ อถ นํ ธมฺมสฺสวนคฺคํ ปตฺตํ อาคนฺตุกา ทหรา ‘‘ธมฺมํ กเถหี’’ติ วทนฺติฯ โส สมฺมา อุคฺคหิตํ ธมฺมํ ปฎิปทํ ทีเปตฺวา กเถติฯ อถสฺส ปํสุกูลิกปิณฺฑปาติกาทโย สเพฺพ เถรนวมชฺฌิมา ภิกฺขู ‘‘อโห สปฺปุริโส’’ติ อตฺตมนา ภวนฺติฯ

    Gaṅgāya nadiyā tiriyaṃ patitvā, vālikāya otthaṭabhāvena antarasetu viya hutvā, bahūnaṃ paccayo jātarukkho viya rathavinītamahāariyavaṃsacandopamādipaṭipadāsu aññataraṃ paṭipadaṃ uggahetvā ṭhito olīnavuttiko puggalo veditabbo. So hi taṃ paṭipattinissitaṃ dhammaṃ uggahetvā pakatiyā mañjussaro cittalapabbatādisadisaṃ mahantaṃ ṭhānaṃ gantvā cetiyaṅgaṇavattādīni karoti. Atha naṃ dhammassavanaggaṃ pattaṃ āgantukā daharā ‘‘dhammaṃ kathehī’’ti vadanti. So sammā uggahitaṃ dhammaṃ paṭipadaṃ dīpetvā katheti. Athassa paṃsukūlikapiṇḍapātikādayo sabbe theranavamajjhimā bhikkhū ‘‘aho sappuriso’’ti attamanā bhavanti.

    โส กสฺสจิ นิทานมตฺตํ, กสฺสจิ อุปฑฺฒคาถํ, กสฺสจิ คาถํ อุปฎฺฐาเปโนฺต อยปฎฺฎเกน อาพนฺธโนฺต วิย ทหรสามเณเร สงฺคณฺหิตฺวา มหาเถเร อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อยํ โปราณกวิหาโร อตฺถิ, เอตฺถ โกจิ ตตฺรุปฺปาโท’’ติ?, ปุจฺฉติฯ เถรา – ‘‘กิํ วเทสิ, อาวุโส, จตุวีสติ กรีสสหสฺสานิ ตตฺรุปฺปาโท’’ติฯ ภเนฺต, ตุเมฺห เอวํ วเทถ, อุทฺธเน ปน อคฺคิปิ น ชลตีติฯ อาวุโส, มหาวิหารวาสีหิ ลทฺธา นาม เอวเมว นสฺสนฺติ, น โกจิ สณฺฐเปตีติฯ ภเนฺต, โปราณกราชูหิ ทินฺนํ ขีณาสเวหิ ปฎิคฺคหิตํ กสฺมา เอเต นาเสนฺตีติ? อาวุโส, ตาทิเสน ธมฺมกถิเกน สกฺกา ภเวยฺย ลทฺธุนฺติฯ ภเนฺต, มา เอวํ วเทถ, อเมฺห ปฎิปตฺติทีปกธมฺมกถิกา นาม, ตุเมฺห มํ ‘‘สงฺฆกุฎุมฺพิโก วิหารุปฎฺฐาโก’’ติ มญฺญมานา กาตุกามาติฯ กิํ นุ โข, อาวุโส, อกปฺปิยเมตํ, ตุมฺหาทิเสหิ ปน กถิเต อมฺหากํ อุปฺปเชฺชยฺยาติ? เตน หิ, ภเนฺต, อารามิเกสุ อาคเตสุ อมฺหากํ ภารํ กโรถ, เอกํ กปฺปิยทฺวารํ กเถสฺสามาติฯ

    So kassaci nidānamattaṃ, kassaci upaḍḍhagāthaṃ, kassaci gāthaṃ upaṭṭhāpento ayapaṭṭakena ābandhanto viya daharasāmaṇere saṅgaṇhitvā mahāthere upasaṅkamitvā, ‘‘bhante, ayaṃ porāṇakavihāro atthi, ettha koci tatruppādo’’ti?, Pucchati. Therā – ‘‘kiṃ vadesi, āvuso, catuvīsati karīsasahassāni tatruppādo’’ti. Bhante, tumhe evaṃ vadetha, uddhane pana aggipi na jalatīti. Āvuso, mahāvihāravāsīhi laddhā nāma evameva nassanti, na koci saṇṭhapetīti. Bhante, porāṇakarājūhi dinnaṃ khīṇāsavehi paṭiggahitaṃ kasmā ete nāsentīti? Āvuso, tādisena dhammakathikena sakkā bhaveyya laddhunti. Bhante, mā evaṃ vadetha, amhe paṭipattidīpakadhammakathikā nāma, tumhe maṃ ‘‘saṅghakuṭumbiko vihārupaṭṭhāko’’ti maññamānā kātukāmāti. Kiṃ nu kho, āvuso, akappiyametaṃ, tumhādisehi pana kathite amhākaṃ uppajjeyyāti? Tena hi, bhante, ārāmikesu āgatesu amhākaṃ bhāraṃ karotha, ekaṃ kappiyadvāraṃ kathessāmāti.

    โส ปาโตว คนฺตฺวา, สนฺนิปาตสาลายํ ฐตฺวา, อารามิเกสุ อาคเตสุ ‘‘อุปาสกา อสุกเขเตฺต ภาโค กุหิํ, อสุกเขเตฺต กหาปณํ กุหิ’’นฺติอาทีนิ วตฺวา, อญฺญสฺส เขตฺตํ คเหตฺวา, อญฺญสฺส เทติฯ เอวํ อนุกฺกเมน ตํ ตํ ปฎิเสเธโนฺต ตสฺส ตสฺส เทโนฺต ตถา อกาสิ , ยถา ยาคุหตฺถา ปูวหตฺถา ภตฺตหตฺถา เตลมธุผาณิตฆตาทิหตฺถา จ อตฺตโนว สนฺติกํ อาคจฺฉนฺติฯ สกลวิหาโร เอกโกลาหโล โหติ, เปสลา ภิกฺขู นิพฺพิชฺช อปกฺกมิํสุฯ

    So pātova gantvā, sannipātasālāyaṃ ṭhatvā, ārāmikesu āgatesu ‘‘upāsakā asukakhette bhāgo kuhiṃ, asukakhette kahāpaṇaṃ kuhi’’ntiādīni vatvā, aññassa khettaṃ gahetvā, aññassa deti. Evaṃ anukkamena taṃ taṃ paṭisedhento tassa tassa dento tathā akāsi , yathā yāguhatthā pūvahatthā bhattahatthā telamadhuphāṇitaghatādihatthā ca attanova santikaṃ āgacchanti. Sakalavihāro ekakolāhalo hoti, pesalā bhikkhū nibbijja apakkamiṃsu.

    โสปิ อาจริยุปชฺฌาเยหิ วิสฺสฎฺฐกานํ พหูนํ ทุพฺพจปุคฺคลานํ อุปชฺฌํ เทโนฺต วิหารํ ปูเรติฯ อาคนฺตุกา ภิกฺขู วิหารทฺวาเร ฐตฺวาว ‘‘วิหาเร เก วสนฺตี’’ติ, ปุจฺฉิตฺวา, ‘‘เอวรูปา นาม ภิกฺขู’’ติ สุตฺวา พาหิเรเนว ปกฺกมนฺติฯ อยํ ปุคฺคโล สาสเน ติริยํ นิปนฺนตาย มหาชนสฺส ปจฺจยภาวํ อุปคโต อริยมคฺคํ โอตริตฺวา สมาธิกุเลฺล นิสิโนฺน นิพฺพานสาครํ ปาปุณิตุํ น สโกฺกติฯ

    Sopi ācariyupajjhāyehi vissaṭṭhakānaṃ bahūnaṃ dubbacapuggalānaṃ upajjhaṃ dento vihāraṃ pūreti. Āgantukā bhikkhū vihāradvāre ṭhatvāva ‘‘vihāre ke vasantī’’ti, pucchitvā, ‘‘evarūpā nāma bhikkhū’’ti sutvā bāhireneva pakkamanti. Ayaṃ puggalo sāsane tiriyaṃ nipannatāya mahājanassa paccayabhāvaṃ upagato ariyamaggaṃ otaritvā samādhikulle nisinno nibbānasāgaraṃ pāpuṇituṃ na sakkoti.

    ภควนฺตํ เอตทโวจาติ ‘‘นิพฺพานปพฺภารา’’ติ ปเทน โอสาปิตํ ธมฺมเทสนํ ญตฺวา อนุสนฺธิกุสลตาย เอตํ ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ ตถาคโตปิ หิ อิมิสฺสํ ปริสติ นิสิโนฺน ‘‘อนุสนฺธิกุสโล ภิกฺขุ อตฺถิ, โส มํ ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสตี’’ติ ตเสฺสว โอกาสกรณตฺถาย อิมสฺมิํ ฐาเน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ

    Bhagavantaṃ etadavocāti ‘‘nibbānapabbhārā’’ti padena osāpitaṃ dhammadesanaṃ ñatvā anusandhikusalatāya etaṃ ‘‘kiṃ nu kho, bhante’’tiādivacanaṃ avoca. Tathāgatopi hi imissaṃ parisati nisinno ‘‘anusandhikusalo bhikkhu atthi, so maṃ pañhaṃ pucchissatī’’ti tasseva okāsakaraṇatthāya imasmiṃ ṭhāne desanaṃ niṭṭhāpesi.

    อิทานิ โอริมํ ตีรนฺติอาทินา นเยน วุเตฺตสุ อชฺฌตฺติกายตนาทีสุ เอวํ อุปคมนานุปคมนาทีนิ เวทิตพฺพานิฯ ‘‘มยฺหํ จกฺขุ-ปสนฺนํ, อหํ อปฺปมตฺตกมฺปิ รูปารมฺมณํ ปฎิวิชฺฌิตุํ สโกฺกมี’’ติ เอตํ นิสฺสาย จกฺขุํ อสฺสาเทโนฺตปิ ติมิรกวาตาทีหิ อุปหตปสาโท ‘‘อมนาปํ มยฺหํ จกฺขุ, มหนฺตมฺปิ รูปารมฺมณํ วิภาเวตุํ น สโกฺกมี’’ติ โทมนสฺสํ อาปชฺชโนฺตปิ จกฺขายตนํ อุปคจฺฉติ นามฯ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ ติณฺณํ ลกฺขณานํ วเสน วิปสฺสโนฺต ปน น อุปคจฺฉติ นามฯ โสตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Idāni orimaṃ tīrantiādinā nayena vuttesu ajjhattikāyatanādīsu evaṃ upagamanānupagamanādīni veditabbāni. ‘‘Mayhaṃ cakkhu-pasannaṃ, ahaṃ appamattakampi rūpārammaṇaṃ paṭivijjhituṃ sakkomī’’ti etaṃ nissāya cakkhuṃ assādentopi timirakavātādīhi upahatapasādo ‘‘amanāpaṃ mayhaṃ cakkhu, mahantampi rūpārammaṇaṃ vibhāvetuṃ na sakkomī’’ti domanassaṃ āpajjantopi cakkhāyatanaṃ upagacchati nāma. Aniccaṃ dukkhaṃ anattāti tiṇṇaṃ lakkhaṇānaṃ vasena vipassanto pana na upagacchati nāma. Sotādīsupi eseva nayo.

    มนายตเน ปน ‘‘มนาปํ วต เม มโน, กิญฺจิ วามโต อคฺคเหตฺวา สพฺพํ ทกฺขิณโตว คณฺหาตี’’ติ วา ‘‘มเนน เม จินฺติตจินฺติตสฺส อลาโภ นาม นตฺถี’’ติ วา เอวํ อสฺสาเทโนฺตปิ, ‘‘ทุจินฺติตจินฺติตสฺส เม มโน อปฺปทกฺขิณคฺคาหี’’ติ เอวํ โทมนสฺสํ อุปฺปาเทโนฺตปิ มนายตนํ อุปคจฺฉติ นามฯ อิเฎฺฐ ปน รูเป ราคํ, อนิเฎฺฐ ปฎิฆํ อุปฺปาเทโนฺต รูปายตนํ อุปคจฺฉติ นามฯ สทฺทายตนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Manāyatane pana ‘‘manāpaṃ vata me mano, kiñci vāmato aggahetvā sabbaṃ dakkhiṇatova gaṇhātī’’ti vā ‘‘manena me cintitacintitassa alābho nāma natthī’’ti vā evaṃ assādentopi, ‘‘ducintitacintitassa me mano appadakkhiṇaggāhī’’ti evaṃ domanassaṃ uppādentopi manāyatanaṃ upagacchati nāma. Iṭṭhe pana rūpe rāgaṃ, aniṭṭhe paṭighaṃ uppādento rūpāyatanaṃ upagacchati nāma. Saddāyatanādīsupi eseva nayo.

    นนฺทีราคเสฺสตํ อธิวจนนฺติ ยถา หิ มเชฺฌ สํสีทิตฺวา ถลํ ปตฺตํ ทารุกฺขนฺธํ สณฺหถูลวาลิกา ปิทหติ, โส ปุน สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สโกฺกติ, เอวํ นนฺทีราเคน อาพโทฺธ ปุคฺคโล จตูสุ มหาอปาเยสุ ปติโต มหาทุเกฺขน ปิธียติ, โส อเนเกหิปิ วสฺสสหเสฺสหิ ปุน สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สโกฺกติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นนฺทีราคเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ

    Nandīrāgassetaṃ adhivacananti yathā hi majjhe saṃsīditvā thalaṃ pattaṃ dārukkhandhaṃ saṇhathūlavālikā pidahati, so puna sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkoti, evaṃ nandīrāgena ābaddho puggalo catūsu mahāapāyesu patito mahādukkhena pidhīyati, so anekehipi vassasahassehi puna sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkoti. Tena vuttaṃ ‘‘nandīrāgassetaṃ adhivacana’’nti.

    อสฺมิมานเสฺสตํ อธิวจนนฺติ ยถา หิ ถเล อารุโฬฺห ทารุกฺขโนฺธ เหฎฺฐา คโงฺคทเกน เจว อุปริ วเสฺสน จ เตเมโนฺต อนุกฺกเมน เสวาลปริโยนโทฺธ ‘‘ปาสาโณ นุ โข เอส ขาณุโก’’ติ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติ, เอวเมว อสฺมิมาเนน อุนฺนโต ปุคฺคโล ปํสุกูลิกฎฺฐาเน ปํสุกูลิโก โหติ, ธมฺมกถิกฎฺฐาเน ธมฺมกถิโก, ภณฺฑนการกฎฺฐาเน ภณฺฑนการโก, เวชฺชฎฺฐาเน เวโชฺช, ปิสุณฎฺฐาเน ปิสุโณฯ โส นานปฺปการํ อเนสนํ อาปชฺชโนฺต ตาหิ ตาหิ อาปตฺตีหิ ปลิเวฐิโต ‘‘อตฺถิ นุ โข อสฺส อพฺภนฺตเร กิญฺจิ สีลํ, อุทาหุ นตฺถี’’ติ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อสฺมิมานเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ

    Asmimānassetaṃ adhivacananti yathā hi thale āruḷho dārukkhandho heṭṭhā gaṅgodakena ceva upari vassena ca temento anukkamena sevālapariyonaddho ‘‘pāsāṇo nu kho esa khāṇuko’’ti vattabbataṃ āpajjati, evameva asmimānena unnato puggalo paṃsukūlikaṭṭhāne paṃsukūliko hoti, dhammakathikaṭṭhāne dhammakathiko, bhaṇḍanakārakaṭṭhāne bhaṇḍanakārako, vejjaṭṭhāne vejjo, pisuṇaṭṭhāne pisuṇo. So nānappakāraṃ anesanaṃ āpajjanto tāhi tāhi āpattīhi paliveṭhito ‘‘atthi nu kho assa abbhantare kiñci sīlaṃ, udāhu natthī’’ti vattabbataṃ āpajjati. Tena vuttaṃ ‘‘asmimānassetaṃ adhivacana’’nti.

    ปญฺจเนฺนตํ กามคุณานํ อธิวจนนฺติ ยถา หิ อาวเฎฺฎ ปติตทารุขโนฺธ อโนฺตเยว ปาสาณาทีสุ อาหตสมพฺภาหโต ภิชฺชิตฺวา จุณฺณวิจุณฺณํ โหติ, เอวํ ปญฺจกามคุณาวเฎฺฎ ปติตปุคฺคโล จตูสุ อปาเยสุ กมฺมการณขุปฺปิปาสาทิทุเกฺขหิ อาหตสมพฺภาหโต ทีฆรตฺตํ จุณฺณวิจุณฺณตํ อาปชฺชติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปญฺจเนฺนตํ กามคุณานํ อธิวจน’’นฺติฯ

    Pañcannetaṃkāmaguṇānaṃ adhivacananti yathā hi āvaṭṭe patitadārukhandho antoyeva pāsāṇādīsu āhatasamabbhāhato bhijjitvā cuṇṇavicuṇṇaṃ hoti, evaṃ pañcakāmaguṇāvaṭṭe patitapuggalo catūsu apāyesu kammakāraṇakhuppipāsādidukkhehi āhatasamabbhāhato dīgharattaṃ cuṇṇavicuṇṇataṃ āpajjati. Tena vuttaṃ ‘‘pañcannetaṃ kāmaguṇānaṃ adhivacana’’nti.

    ทุสฺสีโลติ นิสฺสีโลฯ ปาปธโมฺมติ ลามกธโมฺมฯ อสุจีติ น สุจิฯ สงฺกสฺสรสมาจาโรติ ‘‘อิมสฺส มเญฺญ อิมสฺส มเญฺญ อิทํ กมฺม’’นฺติ เอวํ ปเรหิ สงฺกาย สริตพฺพสมาจาโรฯ สงฺกาย วา ปเรสํ สมาจารํ สรตีติปิ สงฺกสฺสรสมาจาโรฯ ตสฺส หิ เทฺว ตโย ชเน กเถเนฺต ทิสฺวา, ‘‘มม โทสํ มเญฺญ กเถนฺตี’’ติ เตสํ สมาจารํ สงฺกสฺสรติ ธาวตีติ สงฺกสฺสรสมาจาโรฯ

    Dussīloti nissīlo. Pāpadhammoti lāmakadhammo. Asucīti na suci. Saṅkassarasamācāroti ‘‘imassa maññe imassa maññe idaṃ kamma’’nti evaṃ parehi saṅkāya saritabbasamācāro. Saṅkāya vā paresaṃ samācāraṃ saratītipi saṅkassarasamācāro. Tassa hi dve tayo jane kathente disvā, ‘‘mama dosaṃ maññe kathentī’’ti tesaṃ samācāraṃ saṅkassarati dhāvatīti saṅkassarasamācāro.

    สมณปฎิโญฺญติ สลากคฺคหณาทีสุ ‘‘กิตฺตกา วิหาเร สมณา’’ติ คณนาย อารทฺธาย ‘‘อหมฺปิ สมโณ, อหมฺปิ สมโณ’’ติ ปฎิญฺญํ เทติ, สลากคฺคหณาทีนิ กโรติฯ พฺรหฺมจาริปฎิโญฺญติ อุโปสถปวารณาทีสุ ‘‘อหมฺปิ พฺรหฺมจารี’’ติ ปฎิญฺญาย ตานิ กมฺมานิ ปวิสติ ฯ อโนฺตปูตีติ วกฺกหทยาทีสุ อปูติกสฺสปิ คุณานํ ปูติภาเวน, อโนฺตปูติฯ อวสฺสุโตติ ราเคน ติโนฺตฯ กสมฺพุชาโตติ ราคาทีหิ กิเลเสหิ กจวรชาโตฯ

    Samaṇapaṭiññoti salākaggahaṇādīsu ‘‘kittakā vihāre samaṇā’’ti gaṇanāya āraddhāya ‘‘ahampi samaṇo, ahampi samaṇo’’ti paṭiññaṃ deti, salākaggahaṇādīni karoti. Brahmacāripaṭiññoti uposathapavāraṇādīsu ‘‘ahampi brahmacārī’’ti paṭiññāya tāni kammāni pavisati . Antopūtīti vakkahadayādīsu apūtikassapi guṇānaṃ pūtibhāvena, antopūti. Avassutoti rāgena tinto. Kasambujātoti rāgādīhi kilesehi kacavarajāto.

    เอตทโวจาติ โคคณํ คงฺคาตีราภิมุขํ กตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต อาทิโต ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา, ‘‘สตฺถา โอริมตีราทีนํ อนุปคจฺฉนฺตาทิวเสน สกฺกา ปฎิปตฺติํ ปูเรตุนฺติ วทติฯ ยทิ เอวํ ปูเรตุํ สกฺกา, อหํ ปพฺพชิตฺวา ปูเรสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอตํ ‘‘อหํ โข, ภเนฺต’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ

    Etadavocāti gogaṇaṃ gaṅgātīrābhimukhaṃ katvā parisapariyante ṭhito ādito paṭṭhāya yāva pariyosānā satthu dhammadesanaṃ sutvā, ‘‘satthā orimatīrādīnaṃ anupagacchantādivasena sakkā paṭipattiṃ pūretunti vadati. Yadi evaṃ pūretuṃ sakkā, ahaṃ pabbajitvā pūressāmī’’ti cintetvā etaṃ ‘‘ahaṃ kho, bhante’’tiādivacanaṃ avoca.

    วจฺฉคิทฺธินิโยติ วเจฺฉสุ สเสฺนหา ถเนหิ ขีรํ ปคฺฆรเนฺตหิ วจฺฉกเสฺนเหน สยเมว คมิสฺสนฺตีติฯ นิยฺยาเตเหวาติ นิยฺยาเตหิเยวฯ คาวีสุ หิ อนิยฺยาติตาสุ โคสามิกา อาคนฺตฺวา, ‘‘เอกา คาวี น ทิสฺสติ, เอโก โคโณ, เอโก วจฺฉโก น ทิสฺสตี’’ติ ตุยฺหํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต วิจริสฺสนฺติ, อิติ เต อผาสุกํ ภวิสฺสติฯ ปพฺพชฺชา จ นาเมสา สอิณสฺส น รุหติ, อณณา ปพฺพชฺชา จ พุทฺธาทีหิ สํวณฺณิตาติ ทสฺสนตฺถํ เอวมาหฯ นิยฺยาตาติ นิยฺยาติตาฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต วฎฺฎวิวฎฺฎํ กถิตํฯ

    Vacchagiddhiniyoti vacchesu sasnehā thanehi khīraṃ paggharantehi vacchakasnehena sayameva gamissantīti. Niyyātehevāti niyyātehiyeva. Gāvīsu hi aniyyātitāsu gosāmikā āgantvā, ‘‘ekā gāvī na dissati, eko goṇo, eko vacchako na dissatī’’ti tuyhaṃ piṭṭhito piṭṭhito vicarissanti, iti te aphāsukaṃ bhavissati. Pabbajjā ca nāmesā saiṇassa na ruhati, aṇaṇā pabbajjā ca buddhādīhi saṃvaṇṇitāti dassanatthaṃ evamāha. Niyyātāti niyyātitā. Imasmiṃ sutte vaṭṭavivaṭṭaṃ kathitaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๔. ปฐมทารุกฺขโนฺธปมสุตฺตํ • 4. Paṭhamadārukkhandhopamasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๔. ปฐมทารุกฺขโนฺธปมสุตฺตวณฺณนา • 4. Paṭhamadārukkhandhopamasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact