Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
๘. ปฐมทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา
8. Paṭhamaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
๓๘๐. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควาติ ทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทํฯ ตตฺถ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปติ เวฬุวนนฺติ ตสฺส อุยฺยานสฺส นามํ, ตํ กิร เวฬุหิ จ ปริกฺขิตฺตํ อโหสิ อฎฺฐารสหเตฺถน จ ปากาเรน โคปุรฎฺฎาลกยุตฺตํ นีโลภาสํ มโนรมํ เตน ‘‘เวฬุวน’’นฺติ วุจฺจติ, กลนฺทกานเญฺจตฺถ นิวาปํ อทํสุ เตน ‘‘กลนฺทกนิวาป’’ติ วุจฺจติฯ
380.Tena samayena buddho bhagavāti duṭṭhadosasikkhāpadaṃ. Tattha veḷuvane kalandakanivāpeti veḷuvananti tassa uyyānassa nāmaṃ, taṃ kira veḷuhi ca parikkhittaṃ ahosi aṭṭhārasahatthena ca pākārena gopuraṭṭālakayuttaṃ nīlobhāsaṃ manoramaṃ tena ‘‘veḷuvana’’nti vuccati, kalandakānañcettha nivāpaṃ adaṃsu tena ‘‘kalandakanivāpa’’ti vuccati.
ปุเพฺพ กิร อญฺญตโร ราชา ตตฺถ อุยฺยานกีฬนตฺถํ อาคโต, สุรามเทน มโตฺต ทิวาเสยฺยํ สุปิ, ปริชโนปิสฺส สุโตฺต ราชาติ ปุปฺผผลาทีหิ ปโลภิยมาโน อิโต จิโต จ ปกฺกมิฯ อถ สุราคเนฺธน อญฺญตรสฺมา สุสิรรุกฺขา กณฺหสโปฺป นิกฺขมิตฺวา รโญฺญ อภิมุโข อาคจฺฉติ, ตํ ทิสฺวา รุกฺขเทวตา ‘‘รโญฺญ ชีวิตํ ทสฺสามี’’ติ กาฬกเวเสน อาคนฺตฺวา กณฺณมูเล สทฺทมกาสิ, ราชา ปฎิพุชฺฌิ, กณฺหสโปฺป นิวโตฺต, โส ตํ ทิสฺวา ‘‘อิมาย กาฬกาย มม ชีวิตํ ทินฺน’’นฺติ กาฬกานํ ตตฺถ นิวาปํ ปฎฺฐเปสิ, อภยโฆสนญฺจ โฆสาเปสิ , ตสฺมา ตํ ตโตปภุติ กลนฺทกนิวาปนฺติ สงฺขฺยํ คตํฯ กลนฺทกาติ หิ กาฬกานํ เอตํ นามํฯ
Pubbe kira aññataro rājā tattha uyyānakīḷanatthaṃ āgato, surāmadena matto divāseyyaṃ supi, parijanopissa sutto rājāti pupphaphalādīhi palobhiyamāno ito cito ca pakkami. Atha surāgandhena aññatarasmā susirarukkhā kaṇhasappo nikkhamitvā rañño abhimukho āgacchati, taṃ disvā rukkhadevatā ‘‘rañño jīvitaṃ dassāmī’’ti kāḷakavesena āgantvā kaṇṇamūle saddamakāsi, rājā paṭibujjhi, kaṇhasappo nivatto, so taṃ disvā ‘‘imāya kāḷakāya mama jīvitaṃ dinna’’nti kāḷakānaṃ tattha nivāpaṃ paṭṭhapesi, abhayaghosanañca ghosāpesi , tasmā taṃ tatopabhuti kalandakanivāpanti saṅkhyaṃ gataṃ. Kalandakāti hi kāḷakānaṃ etaṃ nāmaṃ.
ทโพฺพติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ มลฺลปุโตฺตติ มลฺลราชสฺส ปุโตฺตฯ ชาติยา สตฺตวเสฺสน อรหตฺตํ สจฺฉิกตนฺติ เถโร กิร สตฺตวสฺสิโกว สํเวคํ ลภิตฺวา ปพฺพชิโต ขุรเคฺคเยว อรหตฺตํ ปาปุณีติ เวทิตโพฺพฯ ยํกิญฺจิ สาวเกน ปตฺตพฺพํ สพฺพํ เตน อนุปฺปตฺตนฺติ สาวเกน ปตฺตพฺพํ นาม ติโสฺส วิชฺชา, จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา, ฉ อภิญฺญา, นว โลกุตฺตรธมฺมาติ อิทํ คุณชาตํ, ตํ สพฺพํ เตน อนุปฺปตฺตํ โหติฯ นตฺถิ จสฺส กิญฺจิ อุตฺตริ กรณียนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ, จตูหิ มเคฺคหิ, โสฬสวิธสฺส กิจฺจสฺส กตตฺตา อิทานิสฺส กิญฺจิ อุตฺตริ กรณียํ นตฺถิฯ กตสฺส วา ปติจโยติ ตเสฺสว กตสฺส กิจฺจสฺส ปุน วฑฺฒนมฺปิ นตฺถิ, โธตสฺส วิย วตฺถสฺส ปฎิโธวนํ ปิสิตสฺส วิย คนฺธสฺส ปฎิปิสนํ, ปุปฺผิตสฺส วิย จ ปุปฺผสฺส ปฎิปุปฺผนนฺติฯ รโหคตสฺสาติ รหสิ คตสฺสฯ ปฎิสลฺลีนสฺสาติ ตโต ตโต ปฎิกฺกมิตฺวา สลฺลีนสฺส, เอกีภาวํ คตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ
Dabboti tassa therassa nāmaṃ. Mallaputtoti mallarājassa putto. Jātiyā sattavassena arahattaṃ sacchikatanti thero kira sattavassikova saṃvegaṃ labhitvā pabbajito khuraggeyeva arahattaṃ pāpuṇīti veditabbo. Yaṃkiñci sāvakena pattabbaṃ sabbaṃ tena anuppattanti sāvakena pattabbaṃ nāma tisso vijjā, catasso paṭisambhidā, cha abhiññā, nava lokuttaradhammāti idaṃ guṇajātaṃ, taṃ sabbaṃ tena anuppattaṃ hoti. Natthi cassa kiñci uttari karaṇīyanti catūsu saccesu, catūhi maggehi, soḷasavidhassa kiccassa katattā idānissa kiñci uttari karaṇīyaṃ natthi. Katassa vā paticayoti tasseva katassa kiccassa puna vaḍḍhanampi natthi, dhotassa viya vatthassa paṭidhovanaṃ pisitassa viya gandhassa paṭipisanaṃ, pupphitassa viya ca pupphassa paṭipupphananti. Rahogatassāti rahasi gatassa. Paṭisallīnassāti tato tato paṭikkamitvā sallīnassa, ekībhāvaṃ gatassāti vuttaṃ hoti.
อถ โข อายสฺมโต ทพฺพสฺส มลฺลปุตฺตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ยนฺนูนาหํ สงฺฆสฺส เสนาสนญฺจ ปญฺญเปยฺยํ ภตฺตานิ จ อุทฺทิเสยฺย’’นฺติ เถโร กิร อตฺตโน กตกิจฺจภาวํ ทิสฺวา ‘‘อหํ อิมํ อนฺติมสรีรํ ธาเรมิ, ตญฺจ โข วาตมุเข ฐิต ปทีโป วิย อนิจฺจตามุเข ฐิตํ, นจิรเสฺสว นิพฺพายนธมฺมํ ยาว น นิพฺพายติ ตาว กินฺนุ โข อหํ สงฺฆสฺส เวยฺยาวจฺจํ กเรยฺย’’นฺติ จิเนฺตโนฺต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘ติโรรเฎฺฐสุ พหู กุลปุตฺตา ภควนฺตํ อทิสฺวาว ปพฺพชนฺติ, เต ภควนฺตํ ‘ปสฺสิสฺสาม เจว วนฺทิสฺสาม จา’ติ ทูรโตปิ อาคจฺฉนฺติ, ตตฺร เยสํ เสนาสนํ นปฺปโหติ, เต สิลาปฎฺฎเกปิ เสยฺยํ กเปฺปนฺติฯ ปโหมิ โข ปนาหํ อตฺตโน อานุภาเวน เตสํ กุลปุตฺตานํ อิจฺฉาวเสน ปาสาทวิหารอฑฺฒโยคาทีนิ มญฺจปีฐกตฺถรณาทีนิ จ เสนาเสนานิ นิมฺมินิตฺวา ทาตุํฯ ปุนทิวเส เจตฺถ เอกเจฺจ อติวิย กิลนฺตรูปา โหนฺติ, เต คารเวน ภิกฺขูนํ ปุรโต ฐตฺวา ภตฺตานิปิ น อุทฺทิสาเปนฺติ, อหํ โข ปน เนสํ ภตฺตานิปิ อุทฺทิสิตุํ ปโหมี’’ติฯ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขนฺตสฺส ‘‘อถ โข อายสฺมโต ทพฺพสฺส มลฺลปุตฺตสฺส เอตทโหสิ – ‘ยนฺนูนาหํ สงฺฆสฺส เสนาสนญฺจ ปญฺญเปยฺยํ ภตฺตานิ จ อุทฺทิเสยฺย’’นฺติฯ
Atha kho āyasmato dabbassa mallaputtassa etadahosi – ‘‘yannūnāhaṃ saṅghassa senāsanañca paññapeyyaṃ bhattāni ca uddiseyya’’nti thero kira attano katakiccabhāvaṃ disvā ‘‘ahaṃ imaṃ antimasarīraṃ dhāremi, tañca kho vātamukhe ṭhita padīpo viya aniccatāmukhe ṭhitaṃ, nacirasseva nibbāyanadhammaṃ yāva na nibbāyati tāva kinnu kho ahaṃ saṅghassa veyyāvaccaṃ kareyya’’nti cintento iti paṭisañcikkhati – ‘‘tiroraṭṭhesu bahū kulaputtā bhagavantaṃ adisvāva pabbajanti, te bhagavantaṃ ‘passissāma ceva vandissāma cā’ti dūratopi āgacchanti, tatra yesaṃ senāsanaṃ nappahoti, te silāpaṭṭakepi seyyaṃ kappenti. Pahomi kho panāhaṃ attano ānubhāvena tesaṃ kulaputtānaṃ icchāvasena pāsādavihāraaḍḍhayogādīni mañcapīṭhakattharaṇādīni ca senāsenāni nimminitvā dātuṃ. Punadivase cettha ekacce ativiya kilantarūpā honti, te gāravena bhikkhūnaṃ purato ṭhatvā bhattānipi na uddisāpenti, ahaṃ kho pana nesaṃ bhattānipi uddisituṃ pahomī’’ti. Iti paṭisañcikkhantassa ‘‘atha kho āyasmato dabbassa mallaputtassa etadahosi – ‘yannūnāhaṃ saṅghassa senāsanañca paññapeyyaṃ bhattāni ca uddiseyya’’nti.
นนุ จ อิมานิ เทฺว ฐานานิ ภสฺสารามตาทิมนุยุตฺตสฺส ยุตฺตานิ, อยญฺจ ขีณาสโว นิปฺปปญฺจาราโม, อิมสฺส กสฺมา อิมานิ ปฎิภํสูติ? ปุพฺพปตฺถนาย โจทิตตฺตาฯ สพฺพพุทฺธานํ กิร อิมํ ฐานนฺตรํ ปตฺตา สาวกา โหนฺติเยวฯ อยญฺจ ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล อญฺญตรสฺมิํ กุเล ปจฺจาชาโต อิมํ ฐานนฺตรํ ปตฺตสฺส ภิกฺขุโน อานุภาวํ ทิสฺวา อฎฺฐสฎฺฐิยา ภิกฺขุสตสหเสฺสหิ สทฺธิํ ภควนฺตํ สตฺต ทิวสานิ นิมเนฺตตฺวา มหาทานํ ทตฺวา ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ‘‘อนาคเต ตุมฺหาทิสสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปนฺนกาเล อหมฺปิ อิตฺถนฺนาโม ตุมฺหากํ สาวโก วิย เสนาสนปญฺญาปโก จ ภตฺตุเทฺทสโก จ อสฺส’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ ภควา อนาคตํสญาณํ เปเสตฺวา อทฺทส, ทิสฺวา จ อิโต กปฺปสตสหสฺสสฺส อจฺจเยน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตทา ตฺวํ ทโพฺพ นาม มลฺลปุโตฺต หุตฺวา ชาติยา สตฺตวโสฺส นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉิกริสฺสสิ, อิมญฺจ ฐานนฺตรํ ลจฺฉสี’’ติ พฺยากาสิฯ โส ตโตปภุติ ทานสีลาทีนิ ปูรยมาโน เทวมนุสฺสสมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อมฺหากํ ภควโต กาเล เตน ภควตา พฺยากตสทิสเมว อรหตฺตํ สจฺฉากาสิฯ อถสฺส รโหคตสฺส ‘‘กินฺนุ โข อหํ สงฺฆสฺส เวยฺยาวจฺจํ กเรยฺย’’นฺติ จินฺตยโต ตาย ปุพฺพปตฺถนาย โจทิตตฺตา อิมานิ เทฺว ฐานานิ ปฎิภํสูติฯ
Nanu ca imāni dve ṭhānāni bhassārāmatādimanuyuttassa yuttāni, ayañca khīṇāsavo nippapañcārāmo, imassa kasmā imāni paṭibhaṃsūti? Pubbapatthanāya coditattā. Sabbabuddhānaṃ kira imaṃ ṭhānantaraṃ pattā sāvakā hontiyeva. Ayañca padumuttarassa bhagavato kāle aññatarasmiṃ kule paccājāto imaṃ ṭhānantaraṃ pattassa bhikkhuno ānubhāvaṃ disvā aṭṭhasaṭṭhiyā bhikkhusatasahassehi saddhiṃ bhagavantaṃ satta divasāni nimantetvā mahādānaṃ datvā pādamūle nipajjitvā ‘‘anāgate tumhādisassa buddhassa uppannakāle ahampi itthannāmo tumhākaṃ sāvako viya senāsanapaññāpako ca bhattuddesako ca assa’’nti patthanaṃ akāsi. Bhagavā anāgataṃsañāṇaṃ pesetvā addasa, disvā ca ito kappasatasahassassa accayena gotamo nāma buddho uppajjissati, tadā tvaṃ dabbo nāma mallaputto hutvā jātiyā sattavasso nikkhamma pabbajitvā arahattaṃ sacchikarissasi, imañca ṭhānantaraṃ lacchasī’’ti byākāsi. So tatopabhuti dānasīlādīni pūrayamāno devamanussasampattiṃ anubhavitvā amhākaṃ bhagavato kāle tena bhagavatā byākatasadisameva arahattaṃ sacchākāsi. Athassa rahogatassa ‘‘kinnu kho ahaṃ saṅghassa veyyāvaccaṃ kareyya’’nti cintayato tāya pubbapatthanāya coditattā imāni dve ṭhānāni paṭibhaṃsūti.
อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อหํ โข อนิสฺสโรสฺมิ อตฺตนิ, สตฺถารา สทฺธิํ เอกฎฺฐาเน วสามิ, สเจ มํ ภควา อนุชานิสฺสติ , อิมานิ เทฺว ฐานานิ สมาทิยิสฺสามี’’ติ ภควโต สนฺติกํ อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อายสฺมา ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต…เป.… ภตฺตานิ จ อุทฺทิสิตุ’’นฺติฯ อถ นํ ภควา ‘‘สาธุ สาธุ ทพฺพา’’ติ สมฺปหํเสตฺวา ยสฺมา อรหติ เอวรูโป อคติคมนปริพาหิโร ภิกฺขุ อิมานิ เทฺว ฐานานิ วิจาเรตุํ, ตสฺมา ‘‘เตน หิ ตฺวํ ทพฺพ สงฺฆสฺส เสนาสนญฺจ ปญฺญเปหิ ภตฺตานิ จ อุทฺทิสา’’ติ อาหฯ ภควโต ปจฺจโสฺสสีติ ภควโต วจนํ ปติอโสฺสสิ อภิมุโข อโสฺสสิ, สมฺปฎิจฺฉีติ วุตฺตํ โหติฯ
Athassa etadahosi – ‘‘ahaṃ kho anissarosmi attani, satthārā saddhiṃ ekaṭṭhāne vasāmi, sace maṃ bhagavā anujānissati , imāni dve ṭhānāni samādiyissāmī’’ti bhagavato santikaṃ agamāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho āyasmā dabbo mallaputto…pe… bhattāni ca uddisitu’’nti. Atha naṃ bhagavā ‘‘sādhu sādhu dabbā’’ti sampahaṃsetvā yasmā arahati evarūpo agatigamanaparibāhiro bhikkhu imāni dve ṭhānāni vicāretuṃ, tasmā ‘‘tena hi tvaṃ dabba saṅghassa senāsanañca paññapehi bhattāni ca uddisā’’ti āha. Bhagavato paccassosīti bhagavato vacanaṃ patiassosi abhimukho assosi, sampaṭicchīti vuttaṃ hoti.
ปฐมํ ทโพฺพ ยาจิตโพฺพติ กสฺมา ภควา ยาจาเปติ? ครหโมจนตฺถํฯ ปสฺสติ หิ ภควา ‘‘อนาคเต ทพฺพสฺส อิมํ ฐานํ นิสฺสาย เมตฺติยภุมชกานํ วเสน มหาอุปทฺทโว อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตตฺร เกจิ ครหิสฺสนฺติ ‘อยํ ตุณฺหีภูโต อตฺตโน กมฺมํ อกตฺวา กสฺมา อีทิสํ ฐานํ วิจาเรตี’ติฯ ตโต อเญฺญ วกฺขนฺติ ‘โก อิมสฺส โทโส เอเตเหว ยาจิตฺวา ฐปิโต’ติ เอวํ ครหโต มุจฺจิสฺสตี’’ติฯ เอวํ ครหโมจนตฺถํ ยาจาเปตฺวาปิ ปุน ยสฺมา อสมฺมเต ภิกฺขุสฺมิํ สงฺฆมเชฺฌ กิญฺจิ กถยมาเน ขิยฺยนธโมฺม อุปฺปชฺชติ ‘‘อยํ กสฺมา สงฺฆมเชฺฌ อุจฺจาสทฺทํ กโรติ, อิสฺสริยํ ทเสฺสตี’’ติฯ สมฺมเต ปน กเถเนฺต ‘‘มายสฺมโนฺต กิญฺจิ อวจุตฺถ, สมฺมโต อยํ, กเถตุ ยถาสุข’’นฺติ วตฺตาโร ภวนฺติฯ อสมฺมตญฺจ อภูเตน อพฺภาจิกฺขนฺตสฺส ลหุกา อาปตฺติ โหติ ทุกฺกฎมตฺตาฯ สมฺมตํ ปน อพฺภาจิกฺขโต ครุกตรา ปาจิตฺติยาปตฺติ โหติฯ อถ สมฺมโต ภิกฺขุ อาปตฺติยา ครุกภาเวน เวรีหิปิ ทุปฺปธํสิยตโร โหติ, ตสฺมา ตํ อายสฺมนฺตํ สมฺมนฺนาเปตุํ ‘‘พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา’’ติอาทิมาหฯ กิํ ปน เทฺว สมฺมุติโย เอกสฺส ทาตุํ วฎฺฎนฺตีติ? น เกวลํ เทฺว, สเจ ปโหติ, เตรสาปิ ทาตุํ วฎฺฎนฺติฯ อปฺปโหนฺตานํ ปน เอกาปิ ทฺวินฺนํ วา ติณฺณํ วา ทาตุํ วฎฺฎติฯ
Paṭhamaṃ dabbo yācitabboti kasmā bhagavā yācāpeti? Garahamocanatthaṃ. Passati hi bhagavā ‘‘anāgate dabbassa imaṃ ṭhānaṃ nissāya mettiyabhumajakānaṃ vasena mahāupaddavo uppajjissati, tatra keci garahissanti ‘ayaṃ tuṇhībhūto attano kammaṃ akatvā kasmā īdisaṃ ṭhānaṃ vicāretī’ti. Tato aññe vakkhanti ‘ko imassa doso eteheva yācitvā ṭhapito’ti evaṃ garahato muccissatī’’ti. Evaṃ garahamocanatthaṃ yācāpetvāpi puna yasmā asammate bhikkhusmiṃ saṅghamajjhe kiñci kathayamāne khiyyanadhammo uppajjati ‘‘ayaṃ kasmā saṅghamajjhe uccāsaddaṃ karoti, issariyaṃ dassetī’’ti. Sammate pana kathente ‘‘māyasmanto kiñci avacuttha, sammato ayaṃ, kathetu yathāsukha’’nti vattāro bhavanti. Asammatañca abhūtena abbhācikkhantassa lahukā āpatti hoti dukkaṭamattā. Sammataṃ pana abbhācikkhato garukatarā pācittiyāpatti hoti. Atha sammato bhikkhu āpattiyā garukabhāvena verīhipi duppadhaṃsiyataro hoti, tasmā taṃ āyasmantaṃ sammannāpetuṃ ‘‘byattena bhikkhunā’’tiādimāha. Kiṃ pana dve sammutiyo ekassa dātuṃ vaṭṭantīti? Na kevalaṃ dve, sace pahoti, terasāpi dātuṃ vaṭṭanti. Appahontānaṃ pana ekāpi dvinnaṃ vā tiṇṇaṃ vā dātuṃ vaṭṭati.
๓๘๒. สภาคานนฺติ คุณสภาคานํ, น มิตฺตสนฺถวสภาคานํฯ เตเนวาห ‘‘เย เต ภิกฺขู สุตฺตนฺติกา เตสํ เอกชฺฌ’’นฺติอาทิ ฯ ยาวติกา หิ สุตฺตนฺติกา โหนฺติ, เต อุจฺจินิตฺวา เอกโต เตสํ อนุรูปเมว เสนาสนํ ปญฺญเปติ; เอวํ เสสานํฯ กายทฬฺหีพหุลาติ กายสฺส ทฬฺหีภาวกรณพหุลา, กายโปสนพหุลาติ อโตฺถฯ อิมายปิเม อายสฺมโนฺต รติยาติ อิมาย สคฺคมคฺคสฺส ติรจฺฉานภูตาย ติรจฺฉานกถารติยาฯ อจฺฉิสฺสนฺตีติ วิหริสฺสนฺติฯ
382.Sabhāgānanti guṇasabhāgānaṃ, na mittasanthavasabhāgānaṃ. Tenevāha ‘‘ye te bhikkhū suttantikā tesaṃ ekajjha’’ntiādi . Yāvatikā hi suttantikā honti, te uccinitvā ekato tesaṃ anurūpameva senāsanaṃ paññapeti; evaṃ sesānaṃ. Kāyadaḷhībahulāti kāyassa daḷhībhāvakaraṇabahulā, kāyaposanabahulāti attho. Imāyapime āyasmanto ratiyāti imāya saggamaggassa tiracchānabhūtāya tiracchānakathāratiyā. Acchissantīti viharissanti.
เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา เตเนวาโลเกนาติ เตโชกสิณจตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อภิญฺญาญาเณน องฺคุลิชลนํ อธิฎฺฐาย เตเนว เตโชธาตุสมาปตฺติชนิเตน องฺคุลิชาลาโลเกนาติ อโตฺถฯ อยํ ปน เถรสฺส อานุภาโว นจิรเสฺสว สกลชมฺพุทีเป ปากโฎ อโหสิ, ตํ สุตฺวา อิทฺธิปาฎิหาริยํ ทฎฺฐุกามา อปิสุ ภิกฺขู สญฺจิจฺจ วิกาเล อาคจฺฉนฺติฯ เต สญฺจิจฺจ ทูเร อปทิสนฺตีติ ชานนฺตาว ทูเร อปทิสนฺติฯ กถํ? ‘‘อมฺหากํ อาวุโส ทพฺพ คิชฺฌกูเฎ’’ติ อิมินา นเยนฯ
Tejodhātuṃ samāpajjitvā tenevālokenāti tejokasiṇacatutthajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya abhiññāñāṇena aṅgulijalanaṃ adhiṭṭhāya teneva tejodhātusamāpattijanitena aṅgulijālālokenāti attho. Ayaṃ pana therassa ānubhāvo nacirasseva sakalajambudīpe pākaṭo ahosi, taṃ sutvā iddhipāṭihāriyaṃ daṭṭhukāmā apisu bhikkhū sañcicca vikāle āgacchanti. Te sañcicca dūre apadisantīti jānantāva dūre apadisanti. Kathaṃ? ‘‘Amhākaṃ āvuso dabba gijjhakūṭe’’ti iminā nayena.
องฺคุลิยา ชลมานาย ปุรโต ปุรโต คจฺฉตีติ สเจ เอโก ภิกฺขุ โหติ, สยเมว คจฺฉติฯ สเจ พหู โหนฺติ, พหู อตฺตภาเว นิมฺมินาติฯ สเพฺพ อตฺตนา สทิสา เอว เสนาสนํ ปญฺญเปนฺติฯ
Aṅguliyā jalamānāya purato purato gacchatīti sace eko bhikkhu hoti, sayameva gacchati. Sace bahū honti, bahū attabhāve nimmināti. Sabbe attanā sadisā eva senāsanaṃ paññapenti.
อยํ มโญฺจติอาทีสุ ปน เถเร ‘‘อยํ มโญฺจ’’ติ วทเนฺต นิมฺมิตาปิ อตฺตโน อตฺตโน คตคตฎฺฐาเน ‘‘อยํ มโญฺจ’’ติ วทนฺติ; เอวํ สพฺพปเทสุฯ อยญฺหิ นิมฺมิตานํ ธมฺมตา –
Ayaṃ mañcotiādīsu pana there ‘‘ayaṃ mañco’’ti vadante nimmitāpi attano attano gatagataṭṭhāne ‘‘ayaṃ mañco’’ti vadanti; evaṃ sabbapadesu. Ayañhi nimmitānaṃ dhammatā –
‘‘เอกสฺมิํ ภาสมานสฺมิํ, สเพฺพ ภาสนฺติ นิมฺมิตา;
‘‘Ekasmiṃ bhāsamānasmiṃ, sabbe bhāsanti nimmitā;
เอกสฺมิํ ตุณฺหิมาสีเน, สเพฺพ ตุณฺหี ภวนฺติ เต’’ติฯ
Ekasmiṃ tuṇhimāsīne, sabbe tuṇhī bhavanti te’’ti.
ยสฺมิํ ปน วิหาเร มญฺจปีฐาทีนิ น ปริปูรนฺติ, ตสฺมิํ อตฺตโน อานุภาเวน ปูเรนฺติฯ เตน นิมฺมิตานํ อวตฺถุกวจนํ น โหติฯ
Yasmiṃ pana vihāre mañcapīṭhādīni na paripūranti, tasmiṃ attano ānubhāvena pūrenti. Tena nimmitānaṃ avatthukavacanaṃ na hoti.
เสนาสนํ ปญฺญเปตฺวา ปุนเทว เวฬุวนํ ปจฺจาคจฺฉตีติ เตหิ สทฺธิํ ชนปทกถํ กเถโนฺต น นิสีทติ, อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว ปจฺจาคจฺฉติฯ
Senāsanaṃpaññapetvā punadeva veḷuvanaṃ paccāgacchatīti tehi saddhiṃ janapadakathaṃ kathento na nisīdati, attano vasanaṭṭhānameva paccāgacchati.
๓๘๓. เมตฺติยภูมชกาติ เมตฺติโย เจว ภูมชโก จ, ฉพฺพคฺคิยานํ อคฺคปุริสา เอเตฯ ลามกานิ จ ภตฺตานีติ เสนาสนานิ ตาว นวกานํ ลามกานิ ปาปุณนฺตีติ อนจฺฉริยเมตํฯ ภตฺตานิ ปน สลากาโย ปจฺฉิยํ วา จีวรโภเค วา ปกฺขิปิตฺวา อาโลเฬตฺวา เอกเมกํ อุทฺธริตฺวา ปญฺญาเปนฺติ, ตานิปิ เตสํ มนฺทปุญตาย ลามกานิ สพฺพปจฺฉิมาเนว ปาปุณนฺติฯ ยมฺปิ เอกจาริกภตฺตํ โหติ, ตมฺปิ เอเตสํ ปตฺตทิวเส ลามกํ วา โหติ, เอเต วา ทิสฺวาว ปณีตํ อทตฺวา ลามกเมว เทนฺติฯ
383.Mettiyabhūmajakāti mettiyo ceva bhūmajako ca, chabbaggiyānaṃ aggapurisā ete. Lāmakāni ca bhattānīti senāsanāni tāva navakānaṃ lāmakāni pāpuṇantīti anacchariyametaṃ. Bhattāni pana salākāyo pacchiyaṃ vā cīvarabhoge vā pakkhipitvā āloḷetvā ekamekaṃ uddharitvā paññāpenti, tānipi tesaṃ mandapuñatāya lāmakāni sabbapacchimāneva pāpuṇanti. Yampi ekacārikabhattaṃ hoti, tampi etesaṃ pattadivase lāmakaṃ vā hoti, ete vā disvāva paṇītaṃ adatvā lāmakameva denti.
อภิสงฺขาริกนฺติ นานาสมฺภาเรหิ อภิสงฺขริตฺวา กตํ สุสชฺชิตํ, สุสมฺปาทิตนฺติ อโตฺถฯ กณาชกนฺติ สกุณฺฑกภตฺตํฯ พิลงฺคทุติยนฺติ กญฺชิกทุติยํฯ
Abhisaṅkhārikanti nānāsambhārehi abhisaṅkharitvā kataṃ susajjitaṃ, susampāditanti attho. Kaṇājakanti sakuṇḍakabhattaṃ. Bilaṅgadutiyanti kañjikadutiyaṃ.
กลฺยาณภตฺติโกติ กลฺยาณํ สุนฺทรํ อติวิย ปณีตํ ภตฺตมสฺสาติ กลฺยาณภตฺติโก, ปณีตทายกตฺตา ภเตฺตเนว ปญฺญาโตฯ จตุกฺกภตฺตํ เทตีติ จตฺตาริ ภตฺตานิ เทติ, ตทฺธิตโวหาเรน ปน ‘‘จตุกฺกภตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ อุปติฎฺฐิตฺวา ปริวิสตีติ สพฺพกมฺมเนฺต วิสฺสเชฺชตฺวา มหนฺตํ ปูชาสกฺการํ กตฺวา สมีเป ฐตฺวา ปริวิสติฯ โอทเนน ปุจฺฉนฺตีติ โอทนหตฺถา อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กิํ ภเนฺต โอทนํ เทมา’’ติ ปุจฺฉนฺติ, เอวํ กรณเตฺถเยว กรณวจนํ โหติฯ เอส นโย สูปาทีสุฯ
Kalyāṇabhattikoti kalyāṇaṃ sundaraṃ ativiya paṇītaṃ bhattamassāti kalyāṇabhattiko, paṇītadāyakattā bhatteneva paññāto. Catukkabhattaṃ detīti cattāri bhattāni deti, taddhitavohārena pana ‘‘catukkabhatta’’nti vuttaṃ. Upatiṭṭhitvā parivisatīti sabbakammante vissajjetvā mahantaṃ pūjāsakkāraṃ katvā samīpe ṭhatvā parivisati. Odanena pucchantīti odanahatthā upasaṅkamitvā ‘‘kiṃ bhante odanaṃ demā’’ti pucchanti, evaṃ karaṇattheyeva karaṇavacanaṃ hoti. Esa nayo sūpādīsu.
สฺวาตนายาติ เสฺว ภโว ภตฺตปริโภโค สฺวาตโน ตสฺสตฺถาย, สฺวาตนาย เสฺว กตฺตพฺพสฺส ภตฺตปริโภคสฺสตฺถายาติ วุตฺตํ โหติฯ อุทฺทิฎฺฐํ โหตีติ ปาเปตฺวา ทินฺนํ โหติฯ เมตฺติยภูมชกานํ โข คหปตีติ อิทํ เถโร อสมนฺนาหริตฺวา อาหฯ เอวํพลวตี หิ เตสํ มนฺทปุญฺญตา, ยํ สติเวปุลฺลปฺปตฺตานมฺปิ อสมนฺนาหาโร โหติฯ เย เชติ เอตฺถ เชติ ทาสิํ อาลปติฯ
Svātanāyāti sve bhavo bhattaparibhogo svātano tassatthāya, svātanāya sve kattabbassa bhattaparibhogassatthāyāti vuttaṃ hoti. Uddiṭṭhaṃ hotīti pāpetvā dinnaṃ hoti. Mettiyabhūmajakānaṃ kho gahapatīti idaṃ thero asamannāharitvā āha. Evaṃbalavatī hi tesaṃ mandapuññatā, yaṃ sativepullappattānampi asamannāhāro hoti. Ye jeti ettha jeti dāsiṃ ālapati.
หิโยฺย โข อาวุโส อมฺหากนฺติ รตฺติํ สมฺมนฺตยมานา อตีตํ ทิวสภาคํ สนฺธาย ‘‘หิโยฺย’’ติ วทนฺติฯ น จิตฺตรูปนฺติ น จิตฺตานุรูปํ, ยถา ปุเพฺพ ยตฺตกํ อิจฺฉนฺติ, ตตฺตกํ สุปนฺติ, น เอวํ สุปิํสุ, อปฺปกเมว สุปิํสูติ วุตฺตํ โหติฯ
Hiyyo kho āvuso amhākanti rattiṃ sammantayamānā atītaṃ divasabhāgaṃ sandhāya ‘‘hiyyo’’ti vadanti. Na cittarūpanti na cittānurūpaṃ, yathā pubbe yattakaṃ icchanti, tattakaṃ supanti, na evaṃ supiṃsu, appakameva supiṃsūti vuttaṃ hoti.
พหารามโกฎฺฐเกติ เวฬุวนวิหารสฺส พหิทฺวารโกฎฺฐเกฯ ปตฺตกฺขนฺธาติ ปติตกฺขนฺธา ขนฺธฎฺฐิกํ นาเมตฺวา นิสินฺนาฯ ปชฺฌายนฺตาติ ปธูปายนฺตาฯ
Bahārāmakoṭṭhaketi veḷuvanavihārassa bahidvārakoṭṭhake. Pattakkhandhāti patitakkhandhā khandhaṭṭhikaṃ nāmetvā nisinnā. Pajjhāyantāti padhūpāyantā.
ยโต นิวาตํ ตโต สวาตนฺติ ยตฺถ นิวาตํ อปฺปโกปิ วาโต นตฺถิ, ตตฺถ มหาวาโต อุฎฺฐิโตติ อธิปฺปาโยฯ อุทกํ มเญฺญ อาทิตฺตนฺติ อุทกํ วิย อาทิตฺตํฯ
Yato nivātaṃtato savātanti yattha nivātaṃ appakopi vāto natthi, tattha mahāvāto uṭṭhitoti adhippāyo. Udakaṃ maññe ādittanti udakaṃ viya ādittaṃ.
๓๘๔. สรสิ ตฺวํ ทพฺพ เอวรูปํ กตฺตาติ ตฺวํ ทพฺพ เอวรูปํ กตฺตา สรสิฯ อถ วา สรสิ ตฺวํ ทพฺพ เอวรูปํ ยถายํ ภิกฺขุนี อาห, กตฺตา ธาสิ เอวรูปํ, ยถายํ ภิกฺขุนี อาหาติ เอวํ โยเชตฺวาเปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เย ปน ‘‘กตฺวา’’ติ ปฐนฺติ เตสํ อุชุกเมวฯ
384.Sarasi tvaṃ dabba evarūpaṃ kattāti tvaṃ dabba evarūpaṃ kattā sarasi. Atha vā sarasi tvaṃ dabba evarūpaṃ yathāyaṃ bhikkhunī āha, kattā dhāsi evarūpaṃ, yathāyaṃ bhikkhunī āhāti evaṃ yojetvāpettha attho daṭṭhabbo. Ye pana ‘‘katvā’’ti paṭhanti tesaṃ ujukameva.
ยถา มํ ภเนฺต ภควา ชานาตีติ เถโร กิํ ทเสฺสติฯ ภควา ภเนฺต สพฺพญฺญู, อหญฺจ ขีณาสโว, นตฺถิ มยฺหํ วตฺถุปฎิเสวนา, ตํ มํ ภควา ชานาติ, ตตฺราหํ กิํ วกฺขามิ, ยถา มํ ภควา ชานาติ ตเถวาหํ ทฎฺฐโพฺพติฯ
Yathā maṃ bhante bhagavā jānātīti thero kiṃ dasseti. Bhagavā bhante sabbaññū, ahañca khīṇāsavo, natthi mayhaṃ vatthupaṭisevanā, taṃ maṃ bhagavā jānāti, tatrāhaṃ kiṃ vakkhāmi, yathā maṃ bhagavā jānāti tathevāhaṃ daṭṭhabboti.
น โข ทพฺพ ทพฺพา เอวํ นิเพฺพเฐนฺตีติ เอตฺถ น โข ทพฺพ ปณฺฑิตา ยถา ตฺวํ ปรปฺปจฺจเยน นิเพฺพเฐสิ, เอวํ นิเพฺพเฐนฺติ; อปิ จ โข ยเทว สามํ ญาตํ เตน นิเพฺพเฐนฺตีติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ สเจ ตยา กตํ กตนฺติ อิมินา กิํ ทเสฺสติ? น หิ สกฺกา ปริสพเลน วา ปกฺขุปตฺถเมฺภน วา อการโก การโก กาตุํ, การโก วา อการโก กาตุํ, ตสฺมา ยํ สยํ กตํ วา อกตํ วา ตเทว วตฺตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ กสฺมา ปน ภควา ชานโนฺตปิ ‘‘อหํ ชานามิ, ขีณาสโว ตฺวํ; นตฺถิ ตุยฺหํ โทโส, อยํ ภิกฺขุนี มุสาวาทินี’’ติ นาโวจาติ? ปรานุทฺทยตายฯ สเจ หิ ภควา ยํ ยํ ชานาติ ตํ ตํ วเทยฺย, อเญฺญน ปาราชิกํ อาปเนฺนน ปุเฎฺฐน ‘‘อหํ ชานามิ ตฺวํ ปาราชิโก’’ติ วตฺตพฺพํ ภเวยฺย, ตโต โส ปุคฺคโล ‘‘อยํ ปุเพฺพ ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ สุทฺธํ กตฺวา อิทานิ มํ อสุทฺธํ กโรติ; กสฺส ทานิ กิํ วทามิ, ยตฺร สตฺถาปิ สาวเกสุ ฉนฺทาคติํ คจฺฉติ; กุโต อิมสฺส สพฺพญฺญุภาโว’’ติ อาฆาตํ พนฺธิตฺวา อปายูปโค ภเวยฺย, ตสฺมา ภควา อิมาย ปรานุทฺทยตาย ชานโนฺตปิ นาโวจฯ
Na kho dabba dabbā evaṃ nibbeṭhentīti ettha na kho dabba paṇḍitā yathā tvaṃ parappaccayena nibbeṭhesi, evaṃ nibbeṭhenti; api ca kho yadeva sāmaṃ ñātaṃ tena nibbeṭhentīti evamattho daṭṭhabbo. Sace tayā kataṃ katanti iminā kiṃ dasseti? Na hi sakkā parisabalena vā pakkhupatthambhena vā akārako kārako kātuṃ, kārako vā akārako kātuṃ, tasmā yaṃ sayaṃ kataṃ vā akataṃ vā tadeva vattabbanti dasseti. Kasmā pana bhagavā jānantopi ‘‘ahaṃ jānāmi, khīṇāsavo tvaṃ; natthi tuyhaṃ doso, ayaṃ bhikkhunī musāvādinī’’ti nāvocāti? Parānuddayatāya. Sace hi bhagavā yaṃ yaṃ jānāti taṃ taṃ vadeyya, aññena pārājikaṃ āpannena puṭṭhena ‘‘ahaṃ jānāmi tvaṃ pārājiko’’ti vattabbaṃ bhaveyya, tato so puggalo ‘‘ayaṃ pubbe dabbaṃ mallaputtaṃ suddhaṃ katvā idāni maṃ asuddhaṃ karoti; kassa dāni kiṃ vadāmi, yatra satthāpi sāvakesu chandāgatiṃ gacchati; kuto imassa sabbaññubhāvo’’ti āghātaṃ bandhitvā apāyūpago bhaveyya, tasmā bhagavā imāya parānuddayatāya jānantopi nāvoca.
กิญฺจ ภิโยฺย อุปวาทปริวชฺชนโตปิ นาโวจฯ ยทิ หิ ภควา เอวํ วเทยฺย, เอวํ อุปวาโท ภเวยฺย ‘‘ทพฺพสฺส มลฺลปุตฺตสฺส วุฎฺฐานํ นาม ภาริยํ, สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปน สกฺขิํ ลภิตฺวา วุฎฺฐิโต’’ติฯ อิทญฺจ วุฎฺฐานลกฺขณํ มญฺญมานา ‘‘พุทฺธกาเลปิ สกฺขินา สุทฺธิ วา อสุทฺธิ วา โหติ มยํ ชานาม, อยํ ปุคฺคโล อสุโทฺธ’’ติ เอวํ ปาปภิกฺขู ลชฺชิมฺปิ วินาเสยฺยุนฺติฯ อปิจ อนาคเตปิ ภิกฺขู โอติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ โจเทตฺวา สาเรตฺวา ‘‘สเจ ตยา กตํ, ‘กต’นฺติ วเทหี’’ติ ลชฺชีนํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา กมฺมํ กริสฺสนฺตีติ วินยลกฺขเณ ตนฺติํ ฐเปโนฺต ‘‘อหํ ชานามี’’ติ อวตฺวาว ‘‘สเจ ตยา กตํ, ‘กต’นฺติ วเทหี’’ติ อาหฯ
Kiñca bhiyyo upavādaparivajjanatopi nāvoca. Yadi hi bhagavā evaṃ vadeyya, evaṃ upavādo bhaveyya ‘‘dabbassa mallaputtassa vuṭṭhānaṃ nāma bhāriyaṃ, sammāsambuddhaṃ pana sakkhiṃ labhitvā vuṭṭhito’’ti. Idañca vuṭṭhānalakkhaṇaṃ maññamānā ‘‘buddhakālepi sakkhinā suddhi vā asuddhi vā hoti mayaṃ jānāma, ayaṃ puggalo asuddho’’ti evaṃ pāpabhikkhū lajjimpi vināseyyunti. Apica anāgatepi bhikkhū otiṇṇe vatthusmiṃ codetvā sāretvā ‘‘sace tayā kataṃ, ‘kata’nti vadehī’’ti lajjīnaṃ paṭiññaṃ gahetvā kammaṃ karissantīti vinayalakkhaṇe tantiṃ ṭhapento ‘‘ahaṃ jānāmī’’ti avatvāva ‘‘sace tayā kataṃ, ‘kata’nti vadehī’’ti āha.
นาภิชานามิ สุปินเนฺตนปิ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตาติ สุปินเนฺตนปิ เมถุนํ ธมฺมํ น อภิชานามิ, น ปฎิเสวิตา อหนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา ปฎิเสวิตา หุตฺวา สุปินเนฺตนปิ เมถุนํ ธมฺมํ น ชานามีติ วุตฺตํ โหติฯ เย ปน ‘‘ปฎิเสวิตฺวา’’ติ ปฐนฺติ เตสํ อุชุกเมวฯ ปเคว ชาคโรติ ชาครโนฺต ปน ปฐมํเยว น ชานามีติฯ
Nābhijānāmi supinantenapi methunaṃ dhammaṃ paṭisevitāti supinantenapi methunaṃ dhammaṃ na abhijānāmi, na paṭisevitā ahanti vuttaṃ hoti. Atha vā paṭisevitā hutvā supinantenapi methunaṃ dhammaṃ na jānāmīti vuttaṃ hoti. Ye pana ‘‘paṭisevitvā’’ti paṭhanti tesaṃ ujukameva. Pageva jāgaroti jāgaranto pana paṭhamaṃyeva na jānāmīti.
เตน หิ ภิกฺขเว เมตฺติยํ ภิกฺขุนิํ นาเสถาติ ยสฺมา ทพฺพสฺส จ อิมิสฺสา จ วจนํ น ฆฎียติ ตสฺมา เมตฺติยํ ภิกฺขุนิํ นาเสถาติ วุตฺตํ โหติฯ
Tena hi bhikkhave mettiyaṃ bhikkhuniṃ nāsethāti yasmā dabbassa ca imissā ca vacanaṃ na ghaṭīyati tasmā mettiyaṃ bhikkhuniṃ nāsethāti vuttaṃ hoti.
ตตฺถ ติโสฺส นาสนา – ลิงฺคนาสนา, สํวาสนาสนา, ทณฺฑกมฺมนาสนาติฯ ตาสุ ‘‘ทูสโก นาเสตโพฺพ’’ติ (ปารา. ๖๖) อยํ ‘‘ลิงฺคนาสนา’’ฯ อาปตฺติยา อทสฺสเน วา อปฺปฎิกเมฺม วา ปาปิกาย ทิฎฺฐิยา อปฺปฎินิสฺสเคฺค วา อุเกฺขปนียกมฺมํ กโรนฺติ, อยํ ‘‘สํวาสนาสนา’’ฯ ‘‘จร ปิเร วินสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๔๒๙) ทณฺฑกมฺมํ กโรนฺติ, อยํ ‘‘ทณฺฑกมฺมนาสนา’’ฯ อิธ ปน ลิงฺคนาสนํ สนฺธายาห – ‘‘เมตฺติยํ ภิกฺขุนิํ นาเสถา’’ติฯ
Tattha tisso nāsanā – liṅganāsanā, saṃvāsanāsanā, daṇḍakammanāsanāti. Tāsu ‘‘dūsako nāsetabbo’’ti (pārā. 66) ayaṃ ‘‘liṅganāsanā’’. Āpattiyā adassane vā appaṭikamme vā pāpikāya diṭṭhiyā appaṭinissagge vā ukkhepanīyakammaṃ karonti, ayaṃ ‘‘saṃvāsanāsanā’’. ‘‘Cara pire vinassā’’ti (pāci. 429) daṇḍakammaṃ karonti, ayaṃ ‘‘daṇḍakammanāsanā’’. Idha pana liṅganāsanaṃ sandhāyāha – ‘‘mettiyaṃ bhikkhuniṃ nāsethā’’ti.
อิเม จ ภิกฺขู อนุยุญฺชถาติ อิมินา อิมํ ทีเปติ ‘‘อยํ ภิกฺขุนี อตฺตโน ธมฺมตาย อการิกา อทฺธา อเญฺญหิ อุโยฺยชิตา, ตสฺมา เยหิ อุโยฺยชิตา อิเม ภิกฺขู อนุยุญฺชถ คเวสถ ชานาถา’’ติฯ
Ime ca bhikkhū anuyuñjathāti iminā imaṃ dīpeti ‘‘ayaṃ bhikkhunī attano dhammatāya akārikā addhā aññehi uyyojitā, tasmā yehi uyyojitā ime bhikkhū anuyuñjatha gavesatha jānāthā’’ti.
กิํ ปน ภควตา เมตฺติยา ภิกฺขุนี ปฎิญฺญาย นาสิตา อปฺปฎิญฺญาย นาสิตาติ, กิเญฺจตฺถ ยทิ ตาว ปฎิญฺญาย นาสิตา, เถโร การโก โหติ สโทโส? อถ อปฺปฎิญฺญาย, เถโร อการโก โหติ นิโทฺทโสฯ
Kiṃ pana bhagavatā mettiyā bhikkhunī paṭiññāya nāsitā appaṭiññāya nāsitāti, kiñcettha yadi tāva paṭiññāya nāsitā, thero kārako hoti sadoso? Atha appaṭiññāya, thero akārako hoti niddoso.
ภาติยราชกาเลปิ มหาวิหารวาสีนญฺจ อภยคิริวาสีนญฺจ เถรานํ อิมสฺมิํเยว ปเท วิวาโท อโหสิฯ อภยคิริวาสิโนปิ อตฺตโน สุตฺตํ วตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ วาเท เถโร การโก โหตี’’ติ วทนฺติฯ มหาวิหารวาสิโนปิ อตฺตโน สุตฺตํ วตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ วาเท เถโร การโก โหตี’’ติ วทนฺติฯ ปโญฺห น ฉิชฺชติฯ ราชา สุตฺวา เถเร สนฺนิปาเตตฺวา ทีฆการายนํ นาม พฺราหฺมณชาติยํ อมจฺจํ ‘‘เถรานํ กถํ สุณาหี’’ติ อาณาเปสิฯ อมโจฺจ กิร ปณฺฑิโต ภาสนฺตรกุสโล โส อาห – ‘‘วทนฺตุ ตาว เถรา สุตฺต’’นฺติฯ ตโต อภยคิริเถรา อตฺตโน สุตฺตํ วทิํสุ – ‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, เมตฺติยํ ภิกฺขุนิํ สกาย ปฎิญฺญาย นาเสถา’’ติฯ อมโจฺจ ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ วาเท เถโร การโก โหติ สโทโส’’ติ อาหฯ มหาวิหารวาสิโนปิ อตฺตโน สุตฺตํ วทิํสุ – ‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, เมตฺติยํ ภิกฺขุนิํ นาเสถา’’ติฯ อมโจฺจ ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ วาเท เถโร อการโก โหติ นิโทฺทโส’’ติ อาหฯ กิํ ปเนตฺถ ยุตฺตํ? ยํ ปจฺฉา วุตฺตํ วิจาริตเญฺหตํ อฎฺฐกถาจริเยหิ, ภิกฺขุ ภิกฺขุํ อมูลเกน อนฺติมวตฺถุนา อนุทฺธํเสติ, สงฺฆาทิเสโส; ภิกฺขุนิํ อนุทฺธํเสติ, ทุกฺกฎํฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘มุสาวาเท ปาจิตฺติย’’นฺติ วุตฺตํฯ
Bhātiyarājakālepi mahāvihāravāsīnañca abhayagirivāsīnañca therānaṃ imasmiṃyeva pade vivādo ahosi. Abhayagirivāsinopi attano suttaṃ vatvā ‘‘tumhākaṃ vāde thero kārako hotī’’ti vadanti. Mahāvihāravāsinopi attano suttaṃ vatvā ‘‘tumhākaṃ vāde thero kārako hotī’’ti vadanti. Pañho na chijjati. Rājā sutvā there sannipātetvā dīghakārāyanaṃ nāma brāhmaṇajātiyaṃ amaccaṃ ‘‘therānaṃ kathaṃ suṇāhī’’ti āṇāpesi. Amacco kira paṇḍito bhāsantarakusalo so āha – ‘‘vadantu tāva therā sutta’’nti. Tato abhayagiritherā attano suttaṃ vadiṃsu – ‘‘tena hi, bhikkhave, mettiyaṃ bhikkhuniṃ sakāya paṭiññāya nāsethā’’ti. Amacco ‘‘bhante, tumhākaṃ vāde thero kārako hoti sadoso’’ti āha. Mahāvihāravāsinopi attano suttaṃ vadiṃsu – ‘‘tena hi, bhikkhave, mettiyaṃ bhikkhuniṃ nāsethā’’ti. Amacco ‘‘bhante, tumhākaṃ vāde thero akārako hoti niddoso’’ti āha. Kiṃ panettha yuttaṃ? Yaṃ pacchā vuttaṃ vicāritañhetaṃ aṭṭhakathācariyehi, bhikkhu bhikkhuṃ amūlakena antimavatthunā anuddhaṃseti, saṅghādiseso; bhikkhuniṃ anuddhaṃseti, dukkaṭaṃ. Kurundiyaṃ pana ‘‘musāvāde pācittiya’’nti vuttaṃ.
ตตฺรายํ วิจารณา, ปุริมนเย ตาว อนุทฺธํสนาธิปฺปายตฺตา ทุกฺกฎเมว ยุชฺชติฯ ยถา สติปิ มุสาวาเท ภิกฺขุโน ภิกฺขุสฺมิํ สงฺฆาทิเสโส, สติปิ จ มุสาวาเท อสุทฺธํ สุทฺธทิฎฺฐิโน อโกฺกสาธิปฺปาเยน วทนฺตสฺส โอมสวาเทเนว ปาจิตฺติยํ, น สมฺปชานมุสาวาเทน; เอวํ อิธาปิ อนุทฺธํสนาธิปฺปายตฺตา สมฺปชานมุสาวาเท ปาจิตฺติยํ น ยุชฺชติ, ทุกฺกฎเมว ยุตฺตํฯ ปจฺฉิมนเยปิ มุสาวาทตฺตา ปาจิตฺติยเมว ยุชฺชติ, วจนปฺปมาณโต หิ อนุทฺธํสนาธิปฺปาเยน ภิกฺขุสฺส ภิกฺขุสฺมิํ สงฺฆาทิเสโสฯ อโกฺกสาธิปฺปายสฺส จ โอมสวาโทฯ ภิกฺขุสฺส ปน ภิกฺขุนิยา ทุกฺกฎนฺติวจนํ นตฺถิ, สมฺปชานมุสาวาเท ปาจิตฺติยนฺติ วจนมตฺถิ, ตสฺมา ปาจิตฺติยเมว ยุชฺชติฯ
Tatrāyaṃ vicāraṇā, purimanaye tāva anuddhaṃsanādhippāyattā dukkaṭameva yujjati. Yathā satipi musāvāde bhikkhuno bhikkhusmiṃ saṅghādiseso, satipi ca musāvāde asuddhaṃ suddhadiṭṭhino akkosādhippāyena vadantassa omasavādeneva pācittiyaṃ, na sampajānamusāvādena; evaṃ idhāpi anuddhaṃsanādhippāyattā sampajānamusāvāde pācittiyaṃ na yujjati, dukkaṭameva yuttaṃ. Pacchimanayepi musāvādattā pācittiyameva yujjati, vacanappamāṇato hi anuddhaṃsanādhippāyena bhikkhussa bhikkhusmiṃ saṅghādiseso. Akkosādhippāyassa ca omasavādo. Bhikkhussa pana bhikkhuniyā dukkaṭantivacanaṃ natthi, sampajānamusāvāde pācittiyanti vacanamatthi, tasmā pācittiyameva yujjati.
ตตฺร ปน อิทํ อุปปริกฺขิตพฺพํ – ‘‘อนุทฺธํสนาธิปฺปาเย อสติ ปาจิตฺติยํ, ตสฺมิํ สติ เกน ภวิตพฺพ’’นฺติ? ตตฺร ยสฺมา มุสา ภณนฺตสฺส ปาจิตฺติเย สิเทฺธปิ อมูลเกน สงฺฆาทิเสเสน อนุทฺธํสเน วิสุํ ปาจิตฺติยํ วุตฺตํ, ตสฺมา อนุทฺธํสนาธิปฺปาเย สติ สมฺปชานมุสาวาเท ปาจิตฺติยสฺส โอกาโส น ทิสฺสติ, น จ สกฺกา อนุทฺธํเสนฺตสฺส อนาปตฺติยา ภวิตุนฺติ ปุริมนโยเวตฺถ ปริสุทฺธตโร ขายติฯ ตถา ภิกฺขุนี ภิกฺขุนิํ อมูลเกน อนฺติมวตฺถุนา อนุทฺธํเสติ สงฺฆาทิเสโส, ภิกฺขุํ อนุทฺธํเสติ ทุกฺกฎํ, ตตฺร สงฺฆาทิเสโส วุฎฺฐานคามี ทุกฺกฎํ, เทสนาคามี เอเตหิ นาสนา นตฺถิฯ ยสฺมา ปน สา ปกติยาว ทุสฺสีลา ปาปภิกฺขุนี อิทานิ จ สยเมว ‘‘ทุสฺสีลามฺหี’’ติ วทติ ตสฺมา นํ ภควา อสุทฺธตฺตาเยว นาเสสีติฯ
Tatra pana idaṃ upaparikkhitabbaṃ – ‘‘anuddhaṃsanādhippāye asati pācittiyaṃ, tasmiṃ sati kena bhavitabba’’nti? Tatra yasmā musā bhaṇantassa pācittiye siddhepi amūlakena saṅghādisesena anuddhaṃsane visuṃ pācittiyaṃ vuttaṃ, tasmā anuddhaṃsanādhippāye sati sampajānamusāvāde pācittiyassa okāso na dissati, na ca sakkā anuddhaṃsentassa anāpattiyā bhavitunti purimanayovettha parisuddhataro khāyati. Tathā bhikkhunī bhikkhuniṃ amūlakena antimavatthunā anuddhaṃseti saṅghādiseso, bhikkhuṃ anuddhaṃseti dukkaṭaṃ, tatra saṅghādiseso vuṭṭhānagāmī dukkaṭaṃ, desanāgāmī etehi nāsanā natthi. Yasmā pana sā pakatiyāva dussīlā pāpabhikkhunī idāni ca sayameva ‘‘dussīlāmhī’’ti vadati tasmā naṃ bhagavā asuddhattāyeva nāsesīti.
อถ โข เมตฺติยภูมชกาติ เอวํ ‘‘เมตฺติยํ ภิกฺขุนิํ นาเสถ, อิเม จ ภิกฺขู อนุยุญฺชถา’’ติ วตฺวา อุฎฺฐายาสนา วิหารํ ปวิเฎฺฐ ภควติ เตหิ ภิกฺขูหิ ‘‘เทถ ทานิ อิมิสฺสา เสตกานี’’ติ นาสิยมานํ ตํ ภิกฺขุนิํ ทิสฺวา เต ภิกฺขู ตํ โมเจตุกามตาย อตฺตโน อปราธํ อาวิกริํสุ, เอตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อถ โข เมตฺติยภูมชกา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Athakho mettiyabhūmajakāti evaṃ ‘‘mettiyaṃ bhikkhuniṃ nāsetha, ime ca bhikkhū anuyuñjathā’’ti vatvā uṭṭhāyāsanā vihāraṃ paviṭṭhe bhagavati tehi bhikkhūhi ‘‘detha dāni imissā setakānī’’ti nāsiyamānaṃ taṃ bhikkhuniṃ disvā te bhikkhū taṃ mocetukāmatāya attano aparādhaṃ āvikariṃsu, etamatthaṃ dassetuṃ ‘‘atha kho mettiyabhūmajakā’’tiādi vuttaṃ.
๓๘๕-๖. ทุโฎฺฐ โทโสติ ทูสิโต เจว ทูสโก จฯ อุปฺปเนฺน หิ โทเส ปุคฺคโล เตน โทเสน ทูสิโต โหติ ปกติภาวํ ชหาปิโต, ตสฺมา ‘‘ทุโฎฺฐ’’ติ วุจฺจติฯ ปรญฺจ ทูเสติ วินาเสติ, ตสฺมา ‘‘โทโส’’ติ วุจฺจติฯ อิติ ‘‘ทุโฎฺฐ โทโส’’ติ เอกเสฺสเวตํ ปุคฺคลสฺส อาการนานเตฺตน นิทสฺสนํ, เตน วุตฺตํ ‘‘ทุโฎฺฐ โทโสติ ทูสิโต เจว ทูสโก จา’’ติ ตตฺถ สทฺทลกฺขณํ ปริเยสิตพฺพํฯ ยสฺมา ปน โส ‘‘ทุโฎฺฐ โทโส’’ติ สงฺขฺยํ คโต ปฎิฆสมงฺคีปุคฺคโล กุปิตาทิภาเว ฐิโตว โหติ, เตนสฺส ปทภาชเน ‘‘กุปิโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กุปิโตติ กุปฺปภาวํ ปกติโต จวนภาวํ ปโตฺตฯ อนตฺตมโนติ น สกมโน อตฺตโน วเส อฎฺฐิตจิโตฺต; อปิจ ปีติสุเขหิ น อตฺตมโน น อตฺตจิโตฺตติ อนตฺตมโนฯ อนภิรโทฺธติ น สุขิโต น วา ปสาทิโตติ อนภิรโทฺธฯ ปฎิเฆน อาหตํ จิตฺตมสฺสาติ อาหตจิโตฺตฯ จิตฺตถทฺธภาวจิตฺตกจวรสงฺขาตํ ปฎิฆขีลํ ชาตมสฺสาติ ขิลชาโตฯ อปฺปตีโตติ นปฺปตีโต ปีติสุขาทีหิ วชฺชิโต, น อภิสโฎติ อโตฺถฯ ปทภาชเน ปน เยสํ ธมฺมานํ วเสน อปฺปตีโต โหติ, เต ทเสฺสตุํ ‘‘เตน จ โกเปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
385-6.Duṭṭho dosoti dūsito ceva dūsako ca. Uppanne hi dose puggalo tena dosena dūsito hoti pakatibhāvaṃ jahāpito, tasmā ‘‘duṭṭho’’ti vuccati. Parañca dūseti vināseti, tasmā ‘‘doso’’ti vuccati. Iti ‘‘duṭṭho doso’’ti ekassevetaṃ puggalassa ākāranānattena nidassanaṃ, tena vuttaṃ ‘‘duṭṭho dosoti dūsito ceva dūsako cā’’ti tattha saddalakkhaṇaṃ pariyesitabbaṃ. Yasmā pana so ‘‘duṭṭho doso’’ti saṅkhyaṃ gato paṭighasamaṅgīpuggalo kupitādibhāve ṭhitova hoti, tenassa padabhājane ‘‘kupito’’tiādi vuttaṃ. Tattha kupitoti kuppabhāvaṃ pakatito cavanabhāvaṃ patto. Anattamanoti na sakamano attano vase aṭṭhitacitto; apica pītisukhehi na attamano na attacittoti anattamano. Anabhiraddhoti na sukhito na vā pasāditoti anabhiraddho. Paṭighena āhataṃ cittamassāti āhatacitto. Cittathaddhabhāvacittakacavarasaṅkhātaṃ paṭighakhīlaṃ jātamassāti khilajāto. Appatītoti nappatīto pītisukhādīhi vajjito, na abhisaṭoti attho. Padabhājane pana yesaṃ dhammānaṃ vasena appatīto hoti, te dassetuṃ ‘‘tena ca kopenā’’tiādi vuttaṃ.
ตตฺถ เตน จ โกเปนาติ เยน ทุโฎฺฐติ จ กุปิโตติ จ วุโตฺต อุภยมฺปิ เหตํ ปกติภาวํ ชหาปนโต เอกาการํ โหติฯ เตน จ โทเสนาติ เยน ‘‘โทโส’’ติ วุโตฺตฯ อิเมหิ ทฺวีหิ สงฺขารกฺขนฺธเมว ทเสฺสติฯ
Tattha tena ca kopenāti yena duṭṭhoti ca kupitoti ca vutto ubhayampi hetaṃ pakatibhāvaṃ jahāpanato ekākāraṃ hoti. Tena ca dosenāti yena ‘‘doso’’ti vutto. Imehi dvīhi saṅkhārakkhandhameva dasseti.
ตาย จ อนตฺตมนตายาติ ยาย ‘‘อนตฺตมโน’’ติ วุโตฺตฯ ตาย จ อนภิรทฺธิยาติ ยาย ‘‘อนภิรโทฺธ’’ติ วุโตฺตฯ อิเมหิ ทฺวีหิ เวทนากฺขนฺธํ ทเสฺสติฯ
Tāya ca anattamanatāyāti yāya ‘‘anattamano’’ti vutto. Tāya ca anabhiraddhiyāti yāya ‘‘anabhiraddho’’ti vutto. Imehi dvīhi vedanākkhandhaṃ dasseti.
อมูลเกน ปาราชิเกนาติ เอตฺถ นาสฺส มูลนฺติ อมูลกํ, ตํ ปนสฺส อมูลกตฺตํ ยสฺมา โจทกวเสน อธิเปฺปตํ, น จุทิตกวเสนฯ ตสฺมา ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ปทภาชเน ‘‘อมูลกํ นาม อทิฎฺฐํ อสุตํ อปริสงฺกิต’’นฺติ อาหฯ เตน อิมํ ทีเปติ ‘‘ยํ ปาราชิกํ โจทเกน จุทิตกมฺหิ ปุคฺคเล เนว ทิฎฺฐํ น สุตํ น ปริสงฺกิตํ อิทํ เอเตสํ ทสฺสนสวนปริสงฺกาสงฺขาตานํ มูลานํ อภาวโต อมูลกํ นาม, ตํ ปน โส อาปโนฺน วา โหตุ อนาปโนฺน วา เอตํ อิธ อปฺปมาณนฺติฯ
Amūlakena pārājikenāti ettha nāssa mūlanti amūlakaṃ, taṃ panassa amūlakattaṃ yasmā codakavasena adhippetaṃ, na cuditakavasena. Tasmā tamatthaṃ dassetuṃ padabhājane ‘‘amūlakaṃ nāma adiṭṭhaṃ asutaṃ aparisaṅkita’’nti āha. Tena imaṃ dīpeti ‘‘yaṃ pārājikaṃ codakena cuditakamhi puggale neva diṭṭhaṃ na sutaṃ na parisaṅkitaṃ idaṃ etesaṃ dassanasavanaparisaṅkāsaṅkhātānaṃ mūlānaṃ abhāvato amūlakaṃ nāma, taṃ pana so āpanno vā hotu anāpanno vā etaṃ idha appamāṇanti.
ตตฺถ อทิฎฺฐํ นาม อตฺตโน ปสาทจกฺขุนา วา ทิพฺพจกฺขุนา วา อทิฎฺฐํฯ อสุตํ นาม ตเถว เกนจิ วุจฺจมานํ น สุตํฯ อปริสงฺกิตํ นาม จิเตฺตน อปริสงฺกิตํฯ
Tattha adiṭṭhaṃ nāma attano pasādacakkhunā vā dibbacakkhunā vā adiṭṭhaṃ. Asutaṃ nāma tatheva kenaci vuccamānaṃ na sutaṃ. Aparisaṅkitaṃ nāma cittena aparisaṅkitaṃ.
‘‘ทิฎฺฐํ’’ นาม อตฺตนา วา ปเรน วา ปสาทจกฺขุนา วา ทิพฺพจกฺขุนา วา ทิฎฺฐํฯ ‘‘สุตํ’’ นาม ตเถว สุตํฯ ‘‘ปริสงฺกิต’’มฺปิ อตฺตนา วา ปเรน วา ปริสงฺกิตํฯ ตตฺถ อตฺตนา ทิฎฺฐํ ทิฎฺฐเมว, ปเรหิ ทิฎฺฐํ อตฺตนา สุตํ, ปเรหิ สุตํ, ปเรหิ ปริสงฺกิตนฺติ อิทํ ปน สพฺพมฺปิ อตฺตนา สุตฎฺฐาเนเยว ติฎฺฐติฯ
‘‘Diṭṭhaṃ’’ nāma attanā vā parena vā pasādacakkhunā vā dibbacakkhunā vā diṭṭhaṃ. ‘‘Sutaṃ’’ nāma tatheva sutaṃ. ‘‘Parisaṅkita’’mpi attanā vā parena vā parisaṅkitaṃ. Tattha attanā diṭṭhaṃ diṭṭhameva, parehi diṭṭhaṃ attanā sutaṃ, parehi sutaṃ, parehi parisaṅkitanti idaṃ pana sabbampi attanā sutaṭṭhāneyeva tiṭṭhati.
ปริสงฺกิตํ ปน ติวิธํ – ทิฎฺฐปริสงฺกิตํ, สุตปริสงฺกิตํ, มุตปริสงฺกิตนฺติฯ ตตฺถ ทิฎฺฐปริสงฺกิตํ นาม เอโก ภิกฺขุ อุจฺจารปสฺสาวกเมฺมน คามสมีเป เอกํ คุมฺพํ ปวิโฎฺฐ, อญฺญตราปิ อิตฺถี เกนจิเทว กรณีเยน ตํ คุมฺพํ ปวิสิตฺวา นิวตฺตา, นาปิ ภิกฺขุ อิตฺถิํ อทฺทส; น อิตฺถี ภิกฺขุํ, อทิสฺวาว อุโภปิ ยถารุจิํ ปกฺกนฺตา, อญฺญตโร ภิกฺขุ อุภินฺนํ ตโต นิกฺขมนํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘อทฺธา อิเมสํ กตํ วา กริสฺสนฺติ วา’’ติ ปริสงฺกติ, อิทํ ทิฎฺฐปริสงฺกิตํ นามฯ
Parisaṅkitaṃ pana tividhaṃ – diṭṭhaparisaṅkitaṃ, sutaparisaṅkitaṃ, mutaparisaṅkitanti. Tattha diṭṭhaparisaṅkitaṃ nāma eko bhikkhu uccārapassāvakammena gāmasamīpe ekaṃ gumbaṃ paviṭṭho, aññatarāpi itthī kenacideva karaṇīyena taṃ gumbaṃ pavisitvā nivattā, nāpi bhikkhu itthiṃ addasa; na itthī bhikkhuṃ, adisvāva ubhopi yathāruciṃ pakkantā, aññataro bhikkhu ubhinnaṃ tato nikkhamanaṃ sallakkhetvā ‘‘addhā imesaṃ kataṃ vā karissanti vā’’ti parisaṅkati, idaṃ diṭṭhaparisaṅkitaṃ nāma.
สุตปริสงฺกิตํ นาม อิเธกโจฺจ อนฺธกาเร วา ปฎิจฺฉเนฺน วา โอกาเส มาตุคาเมน สทฺธิํ ภิกฺขุโน ตาทิสํ ปฎิสนฺถารวจนํ สุณาติ, สมีเป อญฺญํ วิชฺชมานมฺปิ ‘‘อตฺถิ นตฺถี’’ติ น ชานาติ, โส ‘‘อทฺธา อิเมสํ กตํ วา กริสฺสนฺติ วา’’ติ ปริสงฺกติ, อิทํ สุตปริสงฺกิตํ นามฯ
Sutaparisaṅkitaṃ nāma idhekacco andhakāre vā paṭicchanne vā okāse mātugāmena saddhiṃ bhikkhuno tādisaṃ paṭisanthāravacanaṃ suṇāti, samīpe aññaṃ vijjamānampi ‘‘atthi natthī’’ti na jānāti, so ‘‘addhā imesaṃ kataṃ vā karissanti vā’’ti parisaṅkati, idaṃ sutaparisaṅkitaṃ nāma.
มุตปริสงฺกิตํ นาม สมฺพหุลา ธุตฺตา รตฺติภาเค ปุปฺผคนฺธมํสสุราทีนิ คเหตฺวา อิตฺถีหิ สทฺธิํ เอกํ ปจฺจนฺตวิหารํ คนฺตฺวา มณฺฑเป วา โภชนสาลาทีสุ วา ยถาสุขํ กีฬิตฺวา ปุปฺผาทีนิ วิกิริตฺวา คตา, ปุนทิวเส ภิกฺขู ตํ วิปฺปการํ ทิสฺวา ‘‘กสฺสิทํ กมฺม’’นฺติ วิจินนฺติฯ ตตฺร จ เกนจิ ภิกฺขุนา ปเคว วุฎฺฐหิตฺวา วตฺตสีเสน มณฺฑปํ วา โภชนสาลํ วา ปฎิชคฺคเนฺตน ปุปฺผาทีนิ อามฎฺฐานิ โหนฺติ, เกนจิ อุปฎฺฐากกุลโต อาภเตหิ ปุปฺผาทีหิ ปูชา กตา โหติ, เกนจิ เภสชฺชตฺถํ อริฎฺฐํ ปีตํ โหติ, อถ เต ‘‘กสฺสิทํ กมฺม’’นฺติ วิจินนฺตา ภิกฺขู เตสํ หตฺถคนฺธญฺจ มุขคนฺธญฺจ ฆายิตฺวา เต ภิกฺขู ปริสงฺกนฺติ, อิทํ มุตปริสงฺกิตํ นามฯ
Mutaparisaṅkitaṃ nāma sambahulā dhuttā rattibhāge pupphagandhamaṃsasurādīni gahetvā itthīhi saddhiṃ ekaṃ paccantavihāraṃ gantvā maṇḍape vā bhojanasālādīsu vā yathāsukhaṃ kīḷitvā pupphādīni vikiritvā gatā, punadivase bhikkhū taṃ vippakāraṃ disvā ‘‘kassidaṃ kamma’’nti vicinanti. Tatra ca kenaci bhikkhunā pageva vuṭṭhahitvā vattasīsena maṇḍapaṃ vā bhojanasālaṃ vā paṭijaggantena pupphādīni āmaṭṭhāni honti, kenaci upaṭṭhākakulato ābhatehi pupphādīhi pūjā katā hoti, kenaci bhesajjatthaṃ ariṭṭhaṃ pītaṃ hoti, atha te ‘‘kassidaṃ kamma’’nti vicinantā bhikkhū tesaṃ hatthagandhañca mukhagandhañca ghāyitvā te bhikkhū parisaṅkanti, idaṃ mutaparisaṅkitaṃ nāma.
ตตฺถ ทิฎฺฐํ อตฺถิ สมูลกํ, อตฺถิ อมูลกํ; ทิฎฺฐเมว อตฺถิ สญฺญาสมูลกํ, อตฺถิ สญฺญาอมูลกํฯ เอส นโย สุเตปิฯ ปริสงฺกิเต ปน ทิฎฺฐปริสงฺกิตํ อตฺถิ สมูลกํ, อตฺถิ อมูลกํ; ทิฎฺฐปริสงฺกิตเมว อตฺถิ สญฺญาสมูลกํ , อตฺถิ สญฺญาอมูลกํฯ เอส นโย สุตมุตปริสงฺกิเตสุฯ ตตฺถ ทิฎฺฐํ สมูลกํ นาม ปาราชิกํ อาปชฺชนฺตํ ทิสฺวาว ‘‘ทิโฎฺฐ มยา’’ติ วทติ, อมูลกํ นาม ปฎิจฺฉโนฺนกาสโต นิกฺขมนฺตํ ทิสฺวา วีติกฺกมํ อทิสฺวา ‘‘ทิโฎฺฐ มยา’’ติ วทติฯ ทิฎฺฐเมว สญฺญาสมูลกํ นาม ทิสฺวาว ทิฎฺฐสญฺญี หุตฺวา โจเทติ, สญฺญาอมูลกํ นาม ปุเพฺพ ปาราชิกวีติกฺกมํ ทิสฺวา ปจฺฉา อทิฎฺฐสญฺญี ชาโต, โส สญฺญาย อมูลกํ กตฺวา ‘‘ทิโฎฺฐ มยา’’ติ โจเทติฯ เอเตน นเยน สุตมุตปริสงฺกิตานิปิ วิตฺถารโต เวทิตพฺพานิฯ เอตฺถ จ สพฺพปฺปกาเรณาปิ สมูลเกน วา สญฺญาสมูลเกน วา โจเทนฺตสฺส อนาปตฺติ, อมูลเกน วา ปน สญฺญาอมูลเกน วา โจเทนฺตเสฺสว อาปตฺติฯ
Tattha diṭṭhaṃ atthi samūlakaṃ, atthi amūlakaṃ; diṭṭhameva atthi saññāsamūlakaṃ, atthi saññāamūlakaṃ. Esa nayo sutepi. Parisaṅkite pana diṭṭhaparisaṅkitaṃ atthi samūlakaṃ, atthi amūlakaṃ; diṭṭhaparisaṅkitameva atthi saññāsamūlakaṃ , atthi saññāamūlakaṃ. Esa nayo sutamutaparisaṅkitesu. Tattha diṭṭhaṃ samūlakaṃ nāma pārājikaṃ āpajjantaṃ disvāva ‘‘diṭṭho mayā’’ti vadati, amūlakaṃ nāma paṭicchannokāsato nikkhamantaṃ disvā vītikkamaṃ adisvā ‘‘diṭṭho mayā’’ti vadati. Diṭṭhameva saññāsamūlakaṃ nāma disvāva diṭṭhasaññī hutvā codeti, saññāamūlakaṃ nāma pubbe pārājikavītikkamaṃ disvā pacchā adiṭṭhasaññī jāto, so saññāya amūlakaṃ katvā ‘‘diṭṭho mayā’’ti codeti. Etena nayena sutamutaparisaṅkitānipi vitthārato veditabbāni. Ettha ca sabbappakāreṇāpi samūlakena vā saññāsamūlakena vā codentassa anāpatti, amūlakena vā pana saññāamūlakena vā codentasseva āpatti.
อนุทฺธํเสยฺยาติ ธํเสยฺย ปธํเสยฺย อภิภเวยฺย อโชฺฌตฺถเรยฺยฯ ตํ ปน อนุทฺธํสนํ ยสฺมา อตฺตนา โจเทโนฺตปิ ปเรน โจทาเปโนฺตปิ กโรติเยว, ตสฺมาสฺส ปทภาชเน ‘‘โจเทติ วา โจทาเปติ วา’’ติ วุตฺตํฯ
Anuddhaṃseyyāti dhaṃseyya padhaṃseyya abhibhaveyya ajjhotthareyya. Taṃ pana anuddhaṃsanaṃ yasmā attanā codentopi parena codāpentopi karotiyeva, tasmāssa padabhājane ‘‘codeti vā codāpeti vā’’ti vuttaṃ.
ตตฺถ โจเทตีติ ‘‘ปาราชิกํ ธมฺมํ อาปโนฺนสี’’ติอาทีหิ วจเนหิ สยํ โจเทติ, ตสฺส วาจาย วาจาย สงฺฆาทิเสโสฯ โจทาเปตีติ อตฺตนา สมีเป ฐตฺวา อญฺญํ ภิกฺขุ อาณาเปติ, โส ตสฺส วจเนน ตํ โจเทติ, โจทาปกเสฺสว วาจาย วาจาย สงฺฆาทิเสโสฯ อถ โสปิ ‘‘มยา ทิฎฺฐํ สุตํ อตฺถี’’ติ โจเทติ, ทฺวินฺนมฺปิ ชนานํ วาจาย วาจาย สงฺฆาทิเสโสฯ
Tattha codetīti ‘‘pārājikaṃ dhammaṃ āpannosī’’tiādīhi vacanehi sayaṃ codeti, tassa vācāya vācāya saṅghādiseso. Codāpetīti attanā samīpe ṭhatvā aññaṃ bhikkhu āṇāpeti, so tassa vacanena taṃ codeti, codāpakasseva vācāya vācāya saṅghādiseso. Atha sopi ‘‘mayā diṭṭhaṃ sutaṃ atthī’’ti codeti, dvinnampi janānaṃ vācāya vācāya saṅghādiseso.
โจทนาปฺปเภทโกสลฺลตฺถํ ปเนตฺถ เอกวตฺถุเอกโจทกาทิจตุกฺกํ ตาว เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ เอโก ภิกฺขุ เอกํ ภิกฺขุํ เอเกน วตฺถุนา โจเทติ, อิมิสฺสา โจทนาย เอกํ วตฺถุ เอโก โจทโกฯ สมฺพหุลา เอกํ เอกวตฺถุนา โจเทนฺติ, ปญฺจสตา เมตฺติยภูมชกปฺปมุขา ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ ทพฺพํ มลฺลปุตฺตมิว, อิมิสฺสา โจทนาย เอกํ วตฺถุ นานาโจทกาฯ เอโก ภิกฺขุ เอกํ ภิกฺขุํ สมฺพหุเลหิ วตฺถูหิ โจเทติ, อิมิสฺสา โจทนาย นานาวตฺถูนิ เอโก โจทโกฯ สมฺพหุลา สมฺพหุเล สมฺพหุเลหิ วตฺถูหิ โจเทนฺติ, อิมิสฺสา โจทนาย นานาวตฺถูนิ นานาโจทกาฯ
Codanāppabhedakosallatthaṃ panettha ekavatthuekacodakādicatukkaṃ tāva veditabbaṃ. Tattha eko bhikkhu ekaṃ bhikkhuṃ ekena vatthunā codeti, imissā codanāya ekaṃ vatthu eko codako. Sambahulā ekaṃ ekavatthunā codenti, pañcasatā mettiyabhūmajakappamukhā chabbaggiyā bhikkhū āyasmantaṃ dabbaṃ mallaputtamiva, imissā codanāya ekaṃ vatthu nānācodakā. Eko bhikkhu ekaṃ bhikkhuṃ sambahulehi vatthūhi codeti, imissā codanāya nānāvatthūni eko codako. Sambahulā sambahule sambahulehi vatthūhi codenti, imissā codanāya nānāvatthūni nānācodakā.
โจเทตุํ ปน โก ลภติ, โก น ลภตีติ? ทุพฺพลโจทกวจนํ ตาว คเหตฺวา โกจิ น ลภติฯ ทุพฺพลโจทโก นาม สมฺพหุเลสุ กถาสลฺลาเปน นิสิเนฺนสุ เอโก เอกํ อารพฺภ อโนทิสฺสกํ กตฺวา ปาราชิกวตฺถุํ กเถติ, อโญฺญ ตํ สุตฺวา อิตรสฺส คนฺตฺวา อาโรเจติฯ โส ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตฺวํ กิร มํ อิทญฺจิทญฺจ วทสี’’ติ วทติฯ โส ‘‘นาหํ เอวรูปํ ชานามิ, กถาปวตฺติยํ ปน มยา อโนทิสฺสกํ กตฺวา วุตฺตมตฺถิ, สเจ อหํ ตว อิมํ ทุกฺขุปฺปตฺติํ ชาเนยฺยํ, เอตฺตกมฺปิ น กเถยฺย’’นฺติ อยํ ทุพฺพลโจทโกฯ ตเสฺสตํ กถาสลฺลาปํ คเหตฺวา ตํ ภิกฺขุํ โกจิ โจเทตุํ น ลภติฯ เอตํ ปน อคฺคเหตฺวา สีลสมฺปโนฺน ภิกฺขุ ภิกฺขุํ วา ภิกฺขุนิํ วา สีลสมฺปนฺนา จ ภิกฺขุนี ภิกฺขุนีเมว โจเทตุํ ลภตีติ มหาปทุมเตฺถโร อาหฯ มหาสุมเตฺถโร ปน ‘‘ปญฺจปิ สหธมฺมิกา ลภนฺตี’’ติ อาหฯ โคทตฺตเตฺถโร ปน ‘‘น โกจิ น ลภตี’’ติ วตฺวา ‘‘ภิกฺขุสฺส สุตฺวา โจเทติ, ภิกฺขุนิยา สุตฺวา โจเทติ…เป.… ติตฺถิยสาวกานํ สุตฺวา โจเทตี’’ติ อิทํ สุตฺตมาหริฯ ติณฺณมฺปิ เถรานํ วาเท จุทิตกเสฺสว ปฎิญฺญาย กาเรตโพฺพฯ
Codetuṃ pana ko labhati, ko na labhatīti? Dubbalacodakavacanaṃ tāva gahetvā koci na labhati. Dubbalacodako nāma sambahulesu kathāsallāpena nisinnesu eko ekaṃ ārabbha anodissakaṃ katvā pārājikavatthuṃ katheti, añño taṃ sutvā itarassa gantvā āroceti. So taṃ upasaṅkamitvā ‘‘tvaṃ kira maṃ idañcidañca vadasī’’ti vadati. So ‘‘nāhaṃ evarūpaṃ jānāmi, kathāpavattiyaṃ pana mayā anodissakaṃ katvā vuttamatthi, sace ahaṃ tava imaṃ dukkhuppattiṃ jāneyyaṃ, ettakampi na katheyya’’nti ayaṃ dubbalacodako. Tassetaṃ kathāsallāpaṃ gahetvā taṃ bhikkhuṃ koci codetuṃ na labhati. Etaṃ pana aggahetvā sīlasampanno bhikkhu bhikkhuṃ vā bhikkhuniṃ vā sīlasampannā ca bhikkhunī bhikkhunīmeva codetuṃ labhatīti mahāpadumatthero āha. Mahāsumatthero pana ‘‘pañcapi sahadhammikā labhantī’’ti āha. Godattatthero pana ‘‘na koci na labhatī’’ti vatvā ‘‘bhikkhussa sutvā codeti, bhikkhuniyā sutvā codeti…pe… titthiyasāvakānaṃ sutvā codetī’’ti idaṃ suttamāhari. Tiṇṇampi therānaṃ vāde cuditakasseva paṭiññāya kāretabbo.
อยํ ปน โจทนา นาม ทูตํ วา ปณฺณํ วา สาสนํ วา เปเสตฺวา โจเทนฺตสฺส สีสํ น เอติ, ปุคฺคลสฺส ปน สมีเป ฐตฺวาว หตฺถมุทฺทาย วา วจีเภเทน วา โจเทนฺตเสฺสว สีสํ เอติฯ สิกฺขาปจฺจกฺขานเมว หิ หตฺถมุทฺทาย สีสํ น เอติ, อิทํ ปน อนุทฺธํสนํ อภูตาโรจนญฺจ เอติเยวฯ โย ปน ทฺวินฺนํ ฐิตฎฺฐาเน เอกํ นิยเมตฺวา โจเทติ, โส เจ ชานาติ, สีสํ เอติฯ อิตโร ชานาติ, สีสํ น เอติฯ เทฺวปิ นิยเมตฺวา โจเทติ, เอโก วา ชานาตุ เทฺว วา, สีสํ เอติเยวฯ เอสว นโย สมฺพหุเลสุฯ ตงฺขเณเยว จ ชานนํ นาม ทุกฺกรํ, สมเยน อาวชฺชิตฺวา ญาเต ปน ญาตเมว โหติฯ ปจฺฉา เจ ชานาติ, สีสํ น เอติฯ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ อภูตาโรจนํ ทุฎฺฐุลฺลวาจา-อตฺตกาม-ทุฎฺฐโทสภูตาโรจนสิกฺขาปทานีติ สพฺพาเนว หิ อิมานิ เอกปริเจฺฉทานิฯ
Ayaṃ pana codanā nāma dūtaṃ vā paṇṇaṃ vā sāsanaṃ vā pesetvā codentassa sīsaṃ na eti, puggalassa pana samīpe ṭhatvāva hatthamuddāya vā vacībhedena vā codentasseva sīsaṃ eti. Sikkhāpaccakkhānameva hi hatthamuddāya sīsaṃ na eti, idaṃ pana anuddhaṃsanaṃ abhūtārocanañca etiyeva. Yo pana dvinnaṃ ṭhitaṭṭhāne ekaṃ niyametvā codeti, so ce jānāti, sīsaṃ eti. Itaro jānāti, sīsaṃ na eti. Dvepi niyametvā codeti, eko vā jānātu dve vā, sīsaṃ etiyeva. Esava nayo sambahulesu. Taṅkhaṇeyeva ca jānanaṃ nāma dukkaraṃ, samayena āvajjitvā ñāte pana ñātameva hoti. Pacchā ce jānāti, sīsaṃ na eti. Sikkhāpaccakkhānaṃ abhūtārocanaṃ duṭṭhullavācā-attakāma-duṭṭhadosabhūtārocanasikkhāpadānīti sabbāneva hi imāni ekaparicchedāni.
เอวํ กายวาจาวเสน จายํ ทุวิธาปิ โจทนาฯ ปุน ทิฎฺฐโจทนา, สุตโจทนา, ปริสงฺกิตโจทนาติ ติวิธา โหติฯ อปราปิ จตุพฺพิธา โหติ – สีลวิปตฺติโจทนา, อาจารวิปตฺติโจทนา, ทิฎฺฐิวิปตฺติโจทนา, อาชีววิปตฺติโจทนาติฯ ตตฺถ ครุกานํ ทฺวินฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานํ วเสน สีลวิปตฺติโจทนา เวทิตพฺพาฯ อวเสสานํ วเสน อาจารวิปตฺติโจทนา, มิจฺฉาทิฎฺฐิอนฺตคฺคาหิกทิฎฺฐิวเสน ทิฎฺฐิวิปตฺติโจทนา, อาชีวเหตุ ปญฺญตฺตานํ ฉนฺนํ สิกฺขาปทานํ วเสน อาชีววิปตฺติโจทนา เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ kāyavācāvasena cāyaṃ duvidhāpi codanā. Puna diṭṭhacodanā, sutacodanā, parisaṅkitacodanāti tividhā hoti. Aparāpi catubbidhā hoti – sīlavipatticodanā, ācāravipatticodanā, diṭṭhivipatticodanā, ājīvavipatticodanāti. Tattha garukānaṃ dvinnaṃ āpattikkhandhānaṃ vasena sīlavipatticodanā veditabbā. Avasesānaṃ vasena ācāravipatticodanā, micchādiṭṭhiantaggāhikadiṭṭhivasena diṭṭhivipatticodanā, ājīvahetu paññattānaṃ channaṃ sikkhāpadānaṃ vasena ājīvavipatticodanā veditabbā.
อปราปิ จตุพฺพิธา โหติ – วตฺถุสนฺทสฺสนา, อาปตฺติสนฺทสฺสนา, สํวาสปฎิเกฺขโป, สามีจิปฎิเกฺขโปติฯ ตตฺถ วตฺถุสนฺทสฺสนา นาม ‘‘ตฺวํ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺถ, อทินฺนํ อาทิยิตฺถ, มนุสฺสํ ฆาตยิตฺถ, อภูตํ อาโรจยิตฺถา’’ติ เอวํ ปวตฺตาฯ อาปตฺติสนฺทสฺสนา นาม ‘‘ตฺวํ เมถุนธมฺมปาราชิกาปตฺติํ อาปโนฺน’’ติ เอวมาทินยปฺปวตฺตาฯ สํวาสปฎิเกฺขโป นาม ‘‘นตฺถิ ตยา สทฺธิํ อุโปสโถ วา ปวารณา วา สงฺฆกมฺมํ วา’’ติ เอวํ ปวตฺตา; เอตฺตาวตา ปน สีสํ น เอติ, ‘‘อสฺสมโณสิ อสกฺยปุตฺติโยสี’’ติอาทิวจเนหิ สทฺธิํ ฆฎิเตเยว สีสํ เอติฯ สามีจิปฎิเกฺขโป นาม อภิวาทน-ปจฺจุฎฺฐาน-อญฺชลิกมฺม-พีชนาทิกมฺมานํ อกรณํฯ ตํ ปฎิปาฎิยา วนฺทนาทีนิ กโรโต เอกสฺส อกตฺวา เสสานํ กรณกาเล เวทิตพฺพํฯ เอตฺตาวตา จ โจทนา นาม โหติ, อาปตฺติ ปน สีสํ น เอติฯ ‘‘กสฺมา มม วนฺทนาทีนิ น กโรสี’’ติ ปุจฺฉิเต ปน ‘‘อสฺสมโณสิ อสกฺยปุตฺติโยสี’’ติอาทิวจเนหิ สทฺธิํ ฆฎิเตเยว สีสํ เอติฯ ยาคุภตฺตาทินา ปน ยํ อิจฺฉติ ตํ อาปุจฺฉติ, น ตาวตา โจทนา โหติฯ
Aparāpi catubbidhā hoti – vatthusandassanā, āpattisandassanā, saṃvāsapaṭikkhepo, sāmīcipaṭikkhepoti. Tattha vatthusandassanā nāma ‘‘tvaṃ methunaṃ dhammaṃ paṭisevittha, adinnaṃ ādiyittha, manussaṃ ghātayittha, abhūtaṃ ārocayitthā’’ti evaṃ pavattā. Āpattisandassanā nāma ‘‘tvaṃ methunadhammapārājikāpattiṃ āpanno’’ti evamādinayappavattā. Saṃvāsapaṭikkhepo nāma ‘‘natthi tayā saddhiṃ uposatho vā pavāraṇā vā saṅghakammaṃ vā’’ti evaṃ pavattā; ettāvatā pana sīsaṃ na eti, ‘‘assamaṇosi asakyaputtiyosī’’tiādivacanehi saddhiṃ ghaṭiteyeva sīsaṃ eti. Sāmīcipaṭikkhepo nāma abhivādana-paccuṭṭhāna-añjalikamma-bījanādikammānaṃ akaraṇaṃ. Taṃ paṭipāṭiyā vandanādīni karoto ekassa akatvā sesānaṃ karaṇakāle veditabbaṃ. Ettāvatā ca codanā nāma hoti, āpatti pana sīsaṃ na eti. ‘‘Kasmā mama vandanādīni na karosī’’ti pucchite pana ‘‘assamaṇosi asakyaputtiyosī’’tiādivacanehi saddhiṃ ghaṭiteyeva sīsaṃ eti. Yāgubhattādinā pana yaṃ icchati taṃ āpucchati, na tāvatā codanā hoti.
อปราปิ ปาติโมกฺขฎฺฐปนกฺขนฺธเก ‘‘เอกํ, ภิกฺขเว, อธมฺมิกํ ปาติโมกฺขฎฺฐปนํ เอกํ ธมฺมิก’’นฺติ อาทิํ ‘‘กตฺวา ยาว ทส อธมฺมิกานิ ปาติโมกฺขฎฺฐปนานิ ทส ธมฺมิกานี’’ติ (จูฬว. ๓๘๗) เอวํ อธมฺมิกา ปญฺจปญฺญาส ธมฺมิกา ปญฺจปญฺญาสาติ ทสุตฺตรสตํ โจทนา วุตฺตาฯ ตา ทิเฎฺฐน โจเทนฺตสฺส ทสุตฺตรสตํ, สุเตน โจเทนฺตสฺส ทสุตฺตรสตํ, ปริสงฺกิเตน โจเทนฺตสฺส ทสุตฺตรสตนฺติ ติํสานิ ตีณิ สตานิ โหนฺติฯ ตานิ กาเยน โจเทนฺตสฺส, วาจาย โจเทนฺตสฺส, กายวาจาหิ โจเทนฺตสฺสาติ ติคุณานิ กตานิ นวุตานิ นว สตานิ โหนฺติฯ ตานิ อตฺตนา โจเทนฺตสฺสาปิ ปเรน โจทาเปนฺตสฺสาปิ ตตฺตกาเนวาติ วีสติอูนานิ เทฺว สหสฺสานิ โหนฺติ, ปุน ทิฎฺฐาทิเภเท สมูลกามูลกวเสน อเนกสหสฺสา โจทนา โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ
Aparāpi pātimokkhaṭṭhapanakkhandhake ‘‘ekaṃ, bhikkhave, adhammikaṃ pātimokkhaṭṭhapanaṃ ekaṃ dhammika’’nti ādiṃ ‘‘katvā yāva dasa adhammikāni pātimokkhaṭṭhapanāni dasa dhammikānī’’ti (cūḷava. 387) evaṃ adhammikā pañcapaññāsa dhammikā pañcapaññāsāti dasuttarasataṃ codanā vuttā. Tā diṭṭhena codentassa dasuttarasataṃ, sutena codentassa dasuttarasataṃ, parisaṅkitena codentassa dasuttarasatanti tiṃsāni tīṇi satāni honti. Tāni kāyena codentassa, vācāya codentassa, kāyavācāhi codentassāti tiguṇāni katāni navutāni nava satāni honti. Tāni attanā codentassāpi parena codāpentassāpi tattakānevāti vīsatiūnāni dve sahassāni honti, puna diṭṭhādibhede samūlakāmūlakavasena anekasahassā codanā hontīti veditabbā.
อิมสฺมิํ ปน ฐาเน ฐตฺวา อฎฺฐกถาย ‘‘อตฺตาทานํ อาทาตุกาเมน อุปาลิ ภิกฺขุนา ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ อตฺตาทานํ อาทาตพฺพ’’นฺติ (จูฬว. ๓๙๘) จ ‘‘โจทเกน อุปาลิ ภิกฺขุนา ปรํ โจเทตุกาเมน ปญฺจ ธเมฺม อชฺฌตฺตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปโร โจเทตโพฺพ’’ติ (จูฬว. ๓๙๙) จ เอวํ อุปาลิปญฺจกาทีสุ วุตฺตานิ พหูนิ สุตฺตานิ อาหริตฺวา อตฺตาทานลกฺขณญฺจ โจทกวตฺตญฺจ จุทิตกวตฺตญฺจ สเงฺฆน กาตพฺพกิจฺจญฺจ อนุวิชฺชกวตฺตญฺจ สพฺพํ วิตฺถาเรน กถิตํ, ตํ มยํ ยถาอาคตฎฺฐาเนเยว วณฺณยิสฺสามฯ
Imasmiṃ pana ṭhāne ṭhatvā aṭṭhakathāya ‘‘attādānaṃ ādātukāmena upāli bhikkhunā pañcaṅgasamannāgataṃ attādānaṃ ādātabba’’nti (cūḷava. 398) ca ‘‘codakena upāli bhikkhunā paraṃ codetukāmena pañca dhamme ajjhattaṃ paccavekkhitvā paro codetabbo’’ti (cūḷava. 399) ca evaṃ upālipañcakādīsu vuttāni bahūni suttāni āharitvā attādānalakkhaṇañca codakavattañca cuditakavattañca saṅghena kātabbakiccañca anuvijjakavattañca sabbaṃ vitthārena kathitaṃ, taṃ mayaṃ yathāāgataṭṭhāneyeva vaṇṇayissāma.
วุตฺตปฺปเภทาสุ ปน อิมาสุ โจทนาสุ ยาย กายจิ โจทนาย วเสน สงฺฆมเชฺฌ โอสเฎ วตฺถุสฺมิํ จุทิตกโจทกา วตฺตพฺพา ‘‘ตุเมฺห อมฺหากํ วินิจฺฉเยน ตุฎฺฐา ภวิสฺสถา’’ติฯ สเจ ‘‘ภวิสฺสามา’’ติ วทนฺติ, สเงฺฆน ตํ อธิกรณํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ อถ ปน ‘‘วินิจฺฉินถ ตาว, ภเนฺต, สเจ อมฺหากํ ขมิสฺสติ, คณฺหิสฺสามา’’ติ วทนฺติฯ ‘‘เจติยํ ตาว วนฺทถา’’ติอาทีนิ วตฺวา ทีฆสุตฺตํ กตฺวา วิสฺสชฺชิตพฺพํฯ เต เจ จิรรตฺตํ กิลนฺตา ปกฺกนฺตปริสา อุปจฺฉินฺนปกฺขา หุตฺวา ปุน ยาจนฺติ, ยาวตติยํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ยทา นิมฺมทา โหนฺติ ตทา เนสํ อธิกรณํ วินิจฺฉินิตพฺพํฯ วินิจฺฉินเนฺตหิ จ สเจ อลชฺชุสฺสนฺนา โหติ, ปริสา อุพฺพาหิกาย ตํ อธิกรณํ วินิจฺฉินิตพฺพํฯ สเจ พาลุสฺสนฺนา โหติ ปริสา ‘‘ตุมฺหากํ สภาเค วินยธเร ปริเยสถา’’ติ วินยธเร ปริเยสาเปตฺวา เยน ธเมฺมน เยน วินเยน เยน สตฺถุสาสเนน ตํ อธิกรณํ วูปสมติ, ตถา ตํ อธิกรณํ วูปสเมตพฺพํฯ
Vuttappabhedāsu pana imāsu codanāsu yāya kāyaci codanāya vasena saṅghamajjhe osaṭe vatthusmiṃ cuditakacodakā vattabbā ‘‘tumhe amhākaṃ vinicchayena tuṭṭhā bhavissathā’’ti. Sace ‘‘bhavissāmā’’ti vadanti, saṅghena taṃ adhikaraṇaṃ sampaṭicchitabbaṃ. Atha pana ‘‘vinicchinatha tāva, bhante, sace amhākaṃ khamissati, gaṇhissāmā’’ti vadanti. ‘‘Cetiyaṃ tāva vandathā’’tiādīni vatvā dīghasuttaṃ katvā vissajjitabbaṃ. Te ce cirarattaṃ kilantā pakkantaparisā upacchinnapakkhā hutvā puna yācanti, yāvatatiyaṃ paṭikkhipitvā yadā nimmadā honti tadā nesaṃ adhikaraṇaṃ vinicchinitabbaṃ. Vinicchinantehi ca sace alajjussannā hoti, parisā ubbāhikāya taṃ adhikaraṇaṃ vinicchinitabbaṃ. Sace bālussannā hoti parisā ‘‘tumhākaṃ sabhāge vinayadhare pariyesathā’’ti vinayadhare pariyesāpetvā yena dhammena yena vinayena yena satthusāsanena taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamati, tathā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasametabbaṃ.
ตตฺถ จ ‘‘ธโมฺม’’ติ ภูตํ วตฺถุฯ ‘‘วินโย’’ติ โจทนา สารณา จฯ ‘‘สตฺถุสาสน’’นฺติ ญตฺติสมฺปทา จ อนุสาวนสมฺปทา จฯ ตสฺมา โจทเกน วตฺถุสฺมิํ อาโรจิเต จุทิตโก ปุจฺฉิตโพฺพ ‘‘สนฺตเมตํ, โน’’ติฯ เอวํ วตฺถุํ อุปปริกฺขิตฺวา ภูเตน วตฺถุนา โจเทตฺวา สาเรตฺวา จ ญตฺติสมฺปทาย อนุสาวนสมฺปทาย จ ตํ อธิกรณํ วูปสเมตพฺพํฯ ตตฺร เจ อลชฺชี ลชฺชิํ โจเทติ, โส จ อลชฺชี พาโล โหติ อพฺยโตฺต นาสฺส นโย ทาตโพฺพฯ เอวํ ปน วตฺตโพฺพ – ‘‘กิมฺหิ นํ โจเทสี’’ติ? อทฺธา โส วกฺขติ – ‘‘กิมิทํ, ภเนฺต, กิมฺหิ นํ นามา’’ติฯ ตฺวํ กิมฺหิ นมฺปิ น ชานาสิ, น ยุตฺตํ ตยา เอวรูเปน พาเลน ปรํ โจเทตุนฺติ อุโยฺยเชตโพฺพ นาสฺส อนุโยโค ทาตโพฺพฯ สเจ ปน โส อลชฺชี ปณฺฑิโต โหติ พฺยโตฺต ทิเฎฺฐน วา สุเตน วา อโชฺฌตฺถริตฺวา สมฺปาเทตุํ สโกฺกติ เอตสฺส อนุโยคํ ทตฺวา ลชฺชิเสฺสว ปฎิญฺญาย กมฺมํ กาตพฺพํฯ
Tattha ca ‘‘dhammo’’ti bhūtaṃ vatthu. ‘‘Vinayo’’ti codanā sāraṇā ca. ‘‘Satthusāsana’’nti ñattisampadā ca anusāvanasampadā ca. Tasmā codakena vatthusmiṃ ārocite cuditako pucchitabbo ‘‘santametaṃ, no’’ti. Evaṃ vatthuṃ upaparikkhitvā bhūtena vatthunā codetvā sāretvā ca ñattisampadāya anusāvanasampadāya ca taṃ adhikaraṇaṃ vūpasametabbaṃ. Tatra ce alajjī lajjiṃ codeti, so ca alajjī bālo hoti abyatto nāssa nayo dātabbo. Evaṃ pana vattabbo – ‘‘kimhi naṃ codesī’’ti? Addhā so vakkhati – ‘‘kimidaṃ, bhante, kimhi naṃ nāmā’’ti. Tvaṃ kimhi nampi na jānāsi, na yuttaṃ tayā evarūpena bālena paraṃ codetunti uyyojetabbo nāssa anuyogo dātabbo. Sace pana so alajjī paṇḍito hoti byatto diṭṭhena vā sutena vā ajjhottharitvā sampādetuṃ sakkoti etassa anuyogaṃ datvā lajjisseva paṭiññāya kammaṃ kātabbaṃ.
สเจ ลชฺชี อลชฺชิํ โจเทติ, โส จ ลชฺชี พาโล โหติ อพฺยโตฺต, น สโกฺกติ อนุโยคํ ทาตุํฯ ตสฺส นโย ทาตโพฺพ – ‘‘กิมฺหิ นํ โจเทสิ สีลวิปตฺติยา วา อาจารวิปตฺติอาทีสุ วา เอกิสฺสา’’ติฯ กสฺมา ปน อิมเสฺสว เอวํ นโย ทาตโพฺพ, น อิตรสฺส? นนุ น ยุตฺตํ วินยธรานํ อคติคมนนฺติ? น ยุตฺตเมวฯ อิทํ ปน อคติคมนํ น โหติ, ธมฺมานุคฺคโห นาม เอโส อลชฺชินิคฺคหตฺถาย หิ ลชฺชิปคฺคหตฺถาย จ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํฯ ตตฺร อลชฺชี นยํ ลภิตฺวา อโชฺฌตฺถรโนฺต เอหีติ, ลชฺชี ปน นยํ ลภิตฺวา ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐสนฺตาเนน, สุเต สุตสนฺตาเนน ปติฎฺฐาย กเถสฺสติ, ตสฺมา ตสฺส ธมฺมานุคฺคโห วฎฺฎติฯ สเจ ปน โส ลชฺชี ปณฺฑิโต โหติ พฺยโตฺต, ปติฎฺฐาย กเถติ, อลชฺชี จ ‘‘เอตมฺปิ นตฺถิ, เอตมฺปิ นตฺถี’’ติ ปฎิญฺญํ น เทติ, อลชฺชิสฺส ปฎิญฺญาย เอว กาตพฺพํฯ
Sace lajjī alajjiṃ codeti, so ca lajjī bālo hoti abyatto, na sakkoti anuyogaṃ dātuṃ. Tassa nayo dātabbo – ‘‘kimhi naṃ codesi sīlavipattiyā vā ācāravipattiādīsu vā ekissā’’ti. Kasmā pana imasseva evaṃ nayo dātabbo, na itarassa? Nanu na yuttaṃ vinayadharānaṃ agatigamananti? Na yuttameva. Idaṃ pana agatigamanaṃ na hoti, dhammānuggaho nāma eso alajjiniggahatthāya hi lajjipaggahatthāya ca sikkhāpadaṃ paññattaṃ. Tatra alajjī nayaṃ labhitvā ajjhottharanto ehīti, lajjī pana nayaṃ labhitvā diṭṭhe diṭṭhasantānena, sute sutasantānena patiṭṭhāya kathessati, tasmā tassa dhammānuggaho vaṭṭati. Sace pana so lajjī paṇḍito hoti byatto, patiṭṭhāya katheti, alajjī ca ‘‘etampi natthi, etampi natthī’’ti paṭiññaṃ na deti, alajjissa paṭiññāya eva kātabbaṃ.
ตทตฺถทีปนตฺถญฺจ อิทํ วตฺถุ เวทิตพฺพํฯ เตปิฎกจูฬาภยเตฺถโร กิร โลหปาสาทสฺส เหฎฺฐา ภิกฺขูนํ วินยํ กเถตฺวา สายนฺหสมเย วุฎฺฐาติ, ตสฺส วุฎฺฐานสมเย เทฺว อตฺตปจฺจตฺถิกา กถํ ปวเตฺตสุํฯ เอโก ‘‘เอตมฺปิ นตฺถิ, เอตมฺปิ นตฺถี’’ติ ปฎิญฺญํ น เทติฯ อถ อปฺปาวเสเส ปฐมยาเม เถรสฺส ตสฺมิํ ปุคฺคเล ‘‘อยํ ปติฎฺฐาย กเถติ, อยํ ปน ปฎิญฺญํ น เทติ, พหูนิ จ วตฺถูนิ โอสฎานิ อทฺธา เอตํ กตํ ภวิสฺสตี’’ติ อสุทฺธลทฺธิ อุปฺปนฺนาฯ ตโต พีชนีทณฺฑเกน ปาทกถลิกาย สญฺญํ ทตฺวา ‘‘อหํ อาวุโส วินิจฺฉินิตุํ อนนุจฺฉวิโก อเญฺญน วินิจฺฉินาเปหี’’ติ อาหฯ กสฺมา ภเนฺตติ? เถโร ตมตฺถํ อาโรเจสิ, จุทิตกปุคฺคลสฺส กาเย ฑาโห อุฎฺฐิโต, ตโต โส เถรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, วินิจฺฉินิตุํ อนุรูเปน วินยธเรน นาม ตุมฺหาทิเสเนว ภวิตุํ วฎฺฎติฯ โจทเกน จ อีทิเสเนว ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา เสตกานิ นิวาเสตฺวา ‘‘จิรํ กิลมิตตฺถ มยา’’ติ ขมาเปตฺวา ปกฺกามิฯ
Tadatthadīpanatthañca idaṃ vatthu veditabbaṃ. Tepiṭakacūḷābhayatthero kira lohapāsādassa heṭṭhā bhikkhūnaṃ vinayaṃ kathetvā sāyanhasamaye vuṭṭhāti, tassa vuṭṭhānasamaye dve attapaccatthikā kathaṃ pavattesuṃ. Eko ‘‘etampi natthi, etampi natthī’’ti paṭiññaṃ na deti. Atha appāvasese paṭhamayāme therassa tasmiṃ puggale ‘‘ayaṃ patiṭṭhāya katheti, ayaṃ pana paṭiññaṃ na deti, bahūni ca vatthūni osaṭāni addhā etaṃ kataṃ bhavissatī’’ti asuddhaladdhi uppannā. Tato bījanīdaṇḍakena pādakathalikāya saññaṃ datvā ‘‘ahaṃ āvuso vinicchinituṃ ananucchaviko aññena vinicchināpehī’’ti āha. Kasmā bhanteti? Thero tamatthaṃ ārocesi, cuditakapuggalassa kāye ḍāho uṭṭhito, tato so theraṃ vanditvā ‘‘bhante, vinicchinituṃ anurūpena vinayadharena nāma tumhādiseneva bhavituṃ vaṭṭati. Codakena ca īdiseneva bhavituṃ vaṭṭatī’’ti vatvā setakāni nivāsetvā ‘‘ciraṃ kilamitattha mayā’’ti khamāpetvā pakkāmi.
เอวํ ลชฺชินา โจทิยมาโน อลชฺชี พหูสุปิ วตฺถูสุ อุปฺปเนฺนสุ ปฎิญฺญํ น เทติ, โส เนว ‘‘สุโทฺธ’’ติ วตฺตโพฺพ น ‘‘อสุโทฺธ’’ติฯ ชีวมตโก นาม อามกปูติโก นาม เจสฯ
Evaṃ lajjinā codiyamāno alajjī bahūsupi vatthūsu uppannesu paṭiññaṃ na deti, so neva ‘‘suddho’’ti vattabbo na ‘‘asuddho’’ti. Jīvamatako nāma āmakapūtiko nāma cesa.
สเจ ปนสฺส อญฺญมฺปิ ตาทิสํ วตฺถุํ อุปฺปชฺชติ น วินิจฺฉินิตพฺพํ ฯ ตถา นาสิตโกว ภวิสฺสติฯ สเจ ปน อลชฺชีเยว อลชฺชิํ โจเทติ, โส วตฺตโพฺพ ‘‘อาวุโส ตว วจเนนายํ กิํ สกฺกา วตฺตุ’’นฺติ อิตรมฺปิ ตเถว วตฺวา อุโภปิ ‘‘เอกสโมฺภคปริโภคา หุตฺวา ชีวถา’’ติ วตฺวา อุโยฺยเชตพฺพา, สีลตฺถาย เตสํ วินิจฺฉโย น กาตโพฺพฯ ปตฺตจีวรปริเวณาทิอตฺถาย ปน ปติรูปํ สกฺขิํ ลภิตฺวา กาตโพฺพฯ
Sace panassa aññampi tādisaṃ vatthuṃ uppajjati na vinicchinitabbaṃ . Tathā nāsitakova bhavissati. Sace pana alajjīyeva alajjiṃ codeti, so vattabbo ‘‘āvuso tava vacanenāyaṃ kiṃ sakkā vattu’’nti itarampi tatheva vatvā ubhopi ‘‘ekasambhogaparibhogā hutvā jīvathā’’ti vatvā uyyojetabbā, sīlatthāya tesaṃ vinicchayo na kātabbo. Pattacīvarapariveṇādiatthāya pana patirūpaṃ sakkhiṃ labhitvā kātabbo.
อถ ลชฺชี ลชฺชิํ โจเทติ, วิวาโท จ เนสํ กิสฺมิญฺจิเทว อปฺปมตฺตโก โหติ, สญฺญาเปตฺวา ‘‘มา เอวํ กโรถา’’ติ อจฺจยํ เทสาเปตฺวา อุโยฺยเชตพฺพาฯ อถ ปเนตฺถ จุทิตเกน สหสา วิรทฺธํ โหติ, อาทิโต ปฎฺฐาย อลชฺชี นาม นตฺถิฯ โส จ ปกฺขานุรกฺขณตฺถาย ปฎิญฺญํ น เทติ, ‘‘มยํ สทฺทหาม, มยํ สทฺทหามา’’ติ พหู อุฎฺฐหนฺติฯ โส เตสํ ปฎิญฺญาย เอกวารํ เทฺววารํ สุโทฺธ โหตุฯ อถ ปน วิรทฺธกาลโต ปฎฺฐาย ฐาเน น ติฎฺฐติ, วินิจฺฉโย น ทาตโพฺพฯ
Atha lajjī lajjiṃ codeti, vivādo ca nesaṃ kismiñcideva appamattako hoti, saññāpetvā ‘‘mā evaṃ karothā’’ti accayaṃ desāpetvā uyyojetabbā. Atha panettha cuditakena sahasā viraddhaṃ hoti, ādito paṭṭhāya alajjī nāma natthi. So ca pakkhānurakkhaṇatthāya paṭiññaṃ na deti, ‘‘mayaṃ saddahāma, mayaṃ saddahāmā’’ti bahū uṭṭhahanti. So tesaṃ paṭiññāya ekavāraṃ dvevāraṃ suddho hotu. Atha pana viraddhakālato paṭṭhāya ṭhāne na tiṭṭhati, vinicchayo na dātabbo.
เอวํ ยาย กายจิ โจทนาย วเสน สงฺฆมเชฺฌ โอสเฎ วตฺถุสฺมิํ จุทิตกโจทเกสุ ปฎิปตฺติํ ญตฺวา ตสฺสาเยว โจทนาย สมฺปตฺติวิปตฺติชานนตฺถํ อาทิมชฺฌปริโยสานาทีนํ วเสน วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ เสยฺยถิทํ โจทนาย โก อาทิ, กิํ มเชฺฌ, กิํ ปริโยสานํ? โจทนาย ‘‘อหํ ตํ วตฺตุกาโม, กโรตุ เม อายสฺมา โอกาส’’นฺติ เอวํ โอกาสกมฺมํ อาทิ, โอติเณฺณน วตฺถุนา โจเทตฺวา สาเรตฺวา วินิจฺฉโย มเชฺฌ, อาปตฺติยํ วา อนาปตฺติยํ วา ปติฎฺฐาปเนน สมโถ ปริโยสานํฯ
Evaṃ yāya kāyaci codanāya vasena saṅghamajjhe osaṭe vatthusmiṃ cuditakacodakesu paṭipattiṃ ñatvā tassāyeva codanāya sampattivipattijānanatthaṃ ādimajjhapariyosānādīnaṃ vasena vinicchayo veditabbo. Seyyathidaṃ codanāya ko ādi, kiṃ majjhe, kiṃ pariyosānaṃ? Codanāya ‘‘ahaṃ taṃ vattukāmo, karotu me āyasmā okāsa’’nti evaṃ okāsakammaṃ ādi, otiṇṇena vatthunā codetvā sāretvā vinicchayo majjhe, āpattiyaṃ vā anāpattiyaṃ vā patiṭṭhāpanena samatho pariyosānaṃ.
โจทนาย กติ มูลานิ, กติ วตฺถูนิ, กติ ภูมิโย? โจทนาย เทฺว มูลานิ – สมูลิกา วา อมูลิกา วา; ตีณิ วตฺถูนิ – ทิฎฺฐํ, สุตํ, ปริสงฺกิตํ; ปญฺจ ภูมิโย – กาเลน วกฺขามิ โน อกาเลน, ภูเตน วกฺขามิ โน อภูเตน, สเณฺหน วกฺขามิ โน ผรุเสน, อตฺถสํหิเตน วกฺขามิ โน อนตฺถสํหิเตน, เมตฺตจิโตฺต วกฺขามิ โน โทสนฺตโรติฯ อิมาย จ ปน โจทนาย โจทเกน ปุคฺคเลน ‘‘ปริสุทฺธกายสมาจาโร นุ โขมฺหี’’ติอาทินา (จูฬว. ๓๙๙) นเยน อุปาลิปญฺจเก วุเตฺตสุ ปนฺนรสสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐาตพฺพํ, จุทิตเกน ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐาตพฺพํ สเจฺจ จ อกุเปฺป จาติฯ
Codanāya kati mūlāni, kati vatthūni, kati bhūmiyo? Codanāya dve mūlāni – samūlikā vā amūlikā vā; tīṇi vatthūni – diṭṭhaṃ, sutaṃ, parisaṅkitaṃ; pañca bhūmiyo – kālena vakkhāmi no akālena, bhūtena vakkhāmi no abhūtena, saṇhena vakkhāmi no pharusena, atthasaṃhitena vakkhāmi no anatthasaṃhitena, mettacitto vakkhāmi no dosantaroti. Imāya ca pana codanāya codakena puggalena ‘‘parisuddhakāyasamācāro nu khomhī’’tiādinā (cūḷava. 399) nayena upālipañcake vuttesu pannarasasu dhammesu patiṭṭhātabbaṃ, cuditakena dvīsu dhammesu patiṭṭhātabbaṃ sacce ca akuppe cāti.
อเปฺปว นาม นํ อิมมฺหา พฺรหฺมจริยา จาเวยฺยนฺติ อปิ เอว นาม นํ ปุคฺคลํ อิมมฺหา เสฎฺฐจริยา จาเวยฺยํ, ‘‘สาธุ วตสฺส สจาหํ อิมํ ปุคฺคลํ อิมมฺหา พฺรหฺมจริยา จาเวยฺย’’นฺติ อิมินา อธิปฺปาเยน อนุทฺธํเสยฺยาติ วุตฺตํโหติฯ ปทภาชเน ปน ‘‘พฺรหฺมจริยา จาเวยฺย’’นฺติ อิมเสฺสว ปริยายมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ภิกฺขุภาวา จาเวยฺย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Appevanāma naṃ imamhā brahmacariyā cāveyyanti api eva nāma naṃ puggalaṃ imamhā seṭṭhacariyā cāveyyaṃ, ‘‘sādhu vatassa sacāhaṃ imaṃ puggalaṃ imamhā brahmacariyā cāveyya’’nti iminā adhippāyena anuddhaṃseyyāti vuttaṃhoti. Padabhājane pana ‘‘brahmacariyā cāveyya’’nti imasseva pariyāyamatthaṃ dassetuṃ ‘‘bhikkhubhāvā cāveyya’’ntiādi vuttaṃ.
ขณาทีนิ สมยเววจนานิฯ ตํ ขณํ ตํ ลยํ ตํ มุหุตฺตํ วีติวเตฺตติ ตสฺมิํ ขเณ ตสฺมิํ ลเย ตสฺมิํ มุหุเตฺต วีติวเตฺตฯ ภุมฺมปฺปตฺติยา หิ อิทํ อุปโยควจนํฯ
Khaṇādīni samayavevacanāni. Taṃ khaṇaṃ taṃ layaṃ taṃ muhuttaṃ vītivatteti tasmiṃ khaṇe tasmiṃ laye tasmiṃ muhutte vītivatte. Bhummappattiyā hi idaṃ upayogavacanaṃ.
สมนุคฺคาหิยมานนิเทฺทเส เยน วตฺถุนา อนุทฺธํสิโต โหตีติ จตูสุ ปาราชิกวตฺถูสุ เยน วตฺถุนา โจทเกน จุทิตโก อนุทฺธํสิโต อภิภูโต อโชฺฌตฺถโฎ โหติฯ ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ สมนุคฺคาหิยมาโนติ ตสฺมิํ โจทเกน วุตฺตวตฺถุสฺมิํ โส โจทโก อนุวิชฺชเกน ‘‘กิํ เต ทิฎฺฐํ, กินฺติ เต ทิฎฺฐ’’นฺติอาทินา นเยน อนุวิชฺชิยมาโน วีมํสิยมาโน อุปปริกฺขิยมาโนฯ
Samanuggāhiyamānaniddese yena vatthunā anuddhaṃsito hotīti catūsu pārājikavatthūsu yena vatthunā codakena cuditako anuddhaṃsito abhibhūto ajjhotthaṭo hoti. Tasmiṃ vatthusmiṃ samanuggāhiyamānoti tasmiṃ codakena vuttavatthusmiṃ so codako anuvijjakena ‘‘kiṃ te diṭṭhaṃ, kinti te diṭṭha’’ntiādinā nayena anuvijjiyamāno vīmaṃsiyamāno upaparikkhiyamāno.
อสมนุคฺคาหิยมานนิเทฺทเส น เกนจิ วุจฺจมาโนติ อนุวิชฺชเกน วา อเญฺญน วา เกนจิ, อถ วา ทิฎฺฐาทีสุ วตฺถูสุ เกนจิ อวุจฺจมาโนฯ เอเตสญฺจ ทฺวินฺนํ มาติกาปทานํ ปรโต ‘‘ภิกฺขุ จ โทสํ ปติฎฺฐาตี’’ติอิมินา สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ – ‘‘เอวํ สมนุคฺคาหิยมาโน วา อสมนุคฺคาหิยมาโน วา ภิกฺขุ จ โทสํ ปติฎฺฐาติ ปฎิจฺจ ติฎฺฐติ ปฎิชานาติ สงฺฆาทิเสโส’’ติฯ อิทญฺจ อมูลกภาวสฺส ปากฎกาลทสฺสนตฺถเมว วุตฺตํฯ อาปตฺติํ ปน อนุทฺธํสิตกฺขเณเยว อาปชฺชติฯ
Asamanuggāhiyamānaniddese na kenaci vuccamānoti anuvijjakena vā aññena vā kenaci, atha vā diṭṭhādīsu vatthūsu kenaci avuccamāno. Etesañca dvinnaṃ mātikāpadānaṃ parato ‘‘bhikkhu ca dosaṃ patiṭṭhātī’’tiiminā sambandho veditabbo. Idañhi vuttaṃ hoti – ‘‘evaṃ samanuggāhiyamāno vā asamanuggāhiyamāno vā bhikkhu ca dosaṃ patiṭṭhāti paṭicca tiṭṭhati paṭijānāti saṅghādiseso’’ti. Idañca amūlakabhāvassa pākaṭakāladassanatthameva vuttaṃ. Āpattiṃ pana anuddhaṃsitakkhaṇeyeva āpajjati.
อิทานิ ‘‘อมูลกเญฺจว ตํ อธิกรณํ โหตี’’ติ เอตฺถ ยสฺมา อมูลกลกฺขณํ ปุเพฺพ วุตฺตํ, ตสฺมา ตํ อวตฺวา อปุพฺพเมว ทเสฺสตุํ ‘‘อธิกรณํ นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา อธิกรณํ อธิกรณเฎฺฐน เอกมฺปิ วตฺถุวเสน นานา โหติ, เตนสฺส ตํ นานตฺตํ ทเสฺสตุํ ‘‘จตฺตาริ อธิกรณานิ วิวาทาธิกรณ’’นฺติอาทิมาหฯ โก ปน โส อธิกรณโฎฺฐ, เยเนตํ เอกํ โหตีติ? สมเถหิ อธิกรณียตาฯ ตสฺมา ยํ อธิกิจฺจ อารพฺภ ปฎิจฺจ สนฺธาย สมถา วตฺตนฺติ, ตํ ‘‘อธิกรณ’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
Idāni ‘‘amūlakañceva taṃ adhikaraṇaṃ hotī’’ti ettha yasmā amūlakalakkhaṇaṃ pubbe vuttaṃ, tasmā taṃ avatvā apubbameva dassetuṃ ‘‘adhikaraṇaṃ nāmā’’tiādimāha. Tattha yasmā adhikaraṇaṃ adhikaraṇaṭṭhena ekampi vatthuvasena nānā hoti, tenassa taṃ nānattaṃ dassetuṃ ‘‘cattāri adhikaraṇāni vivādādhikaraṇa’’ntiādimāha. Ko pana so adhikaraṇaṭṭho, yenetaṃ ekaṃ hotīti? Samathehi adhikaraṇīyatā. Tasmā yaṃ adhikicca ārabbha paṭicca sandhāya samathā vattanti, taṃ ‘‘adhikaraṇa’’nti veditabbaṃ.
อฎฺฐกถาสุ ปน วุตฺตํ – ‘‘อธิกรณนฺติ เกจิ คาหํ วทนฺติ, เกจิ เจตนํ, เกจิ อกฺขนฺติํ เกจิ โวหารํ, เกจิ ปณฺณตฺติ’’นฺติฯ ปุน เอวํ วิจาริตํ ‘‘ยทิ คาโห อธิกรณํ นาม, เอโก อตฺตาทานํ คเหตฺวา สภาเคน ภิกฺขุนา สทฺธิํ มนฺตยมาโน ตตฺถ อาทีนวํ ทิสฺวา ปุน จชติ, ตสฺส ตํ อธิกรณํ สมถปฺปตฺตํ ภวิสฺสติฯ ยทิ เจตนา อธิกรณํ, ‘‘อิทํ อตฺตาทานํ คณฺหามี’’ติ อุปฺปนฺนา เจตนา นิรุชฺฌติฯ ยทิ อกฺขนฺติ อธิกรณํ, อกฺขนฺติยา อตฺตาทานํ คเหตฺวาปิ อปรภาเค วินิจฺฉยํ อลภมาโน วา ขมาปิโต วา จชติฯ ยทิ โวหาโร อธิกรณํ, กเถโนฺต อาหิณฺฑิตฺวา อปรภาเค ตุณฺหี โหติ นิรโว, เอวมสฺส ตํ อธิกรณํ สมถปฺปตฺตํ ภวิสฺสติ, ตสฺมา ปณฺณตฺติ อธิกรณนฺติฯ
Aṭṭhakathāsu pana vuttaṃ – ‘‘adhikaraṇanti keci gāhaṃ vadanti, keci cetanaṃ, keci akkhantiṃ keci vohāraṃ, keci paṇṇatti’’nti. Puna evaṃ vicāritaṃ ‘‘yadi gāho adhikaraṇaṃ nāma, eko attādānaṃ gahetvā sabhāgena bhikkhunā saddhiṃ mantayamāno tattha ādīnavaṃ disvā puna cajati, tassa taṃ adhikaraṇaṃ samathappattaṃ bhavissati. Yadi cetanā adhikaraṇaṃ, ‘‘idaṃ attādānaṃ gaṇhāmī’’ti uppannā cetanā nirujjhati. Yadi akkhanti adhikaraṇaṃ, akkhantiyā attādānaṃ gahetvāpi aparabhāge vinicchayaṃ alabhamāno vā khamāpito vā cajati. Yadi vohāro adhikaraṇaṃ, kathento āhiṇḍitvā aparabhāge tuṇhī hoti niravo, evamassa taṃ adhikaraṇaṃ samathappattaṃ bhavissati, tasmā paṇṇatti adhikaraṇanti.
ตํ ปเนตํ ‘‘เมถุนธมฺมปาราชิกาปตฺติ เมถุนธมฺมปาราชิกาปตฺติยา ตพฺภาคิยา…เป.… เอวํ อาปตฺตาธิกรณํ อาปตฺตาธิกรณสฺส ตพฺภาคิยนฺติ จ วิวาทาธิกรณํ สิยา กุสลํ สิยา อกุสลํ สิยา อพฺยากต’’นฺติ จ เอวมาทีหิ วิรุชฺฌติฯ น หิ เต ปณฺณตฺติยา กุสลาทิภาวํ อิจฺฉนฺติ, น จ ‘‘อมูลเกน ปาราชิเกน ธเมฺมนา’’ติ เอตฺถ อาคโต ปาราชิกธโมฺม ปณฺณตฺติ นาม โหติฯ กสฺมา? อจฺจนฺตอกุสลตฺตาฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ – ‘‘อาปตฺตาธิกรณํ สิยา อกุสลํ สิยา อพฺยากต’’นฺติ (ปริ. ๓๐๓)ฯ
Taṃ panetaṃ ‘‘methunadhammapārājikāpatti methunadhammapārājikāpattiyā tabbhāgiyā…pe… evaṃ āpattādhikaraṇaṃ āpattādhikaraṇassa tabbhāgiyanti ca vivādādhikaraṇaṃ siyā kusalaṃ siyā akusalaṃ siyā abyākata’’nti ca evamādīhi virujjhati. Na hi te paṇṇattiyā kusalādibhāvaṃ icchanti, na ca ‘‘amūlakena pārājikena dhammenā’’ti ettha āgato pārājikadhammo paṇṇatti nāma hoti. Kasmā? Accantaakusalattā. Vuttampi hetaṃ – ‘‘āpattādhikaraṇaṃ siyā akusalaṃ siyā abyākata’’nti (pari. 303).
ยเญฺจตํ ‘‘อมูลเกน ปาราชิเกนา’’ติ เอตฺถ อมูลกํ ปาราชิกํ นิทฺทิฎฺฐํ, ตเสฺสวายํ ‘‘อมูลกเญฺจว ตํ อธิกรณํ โหตี’’ติ ปฎินิเทฺทโส, น ปณฺณตฺติยา น หิ อญฺญํ นิทฺทิสิตฺวา อญฺญํ ปฎินิทฺทิสติฯ ยสฺมา ปน ยาย ปณฺณตฺติยา เยน อภิลาเปน โจทเกน โส ปุคฺคโล ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺนติ ปญฺญโตฺต, ปาราชิกสงฺขาตสฺส อธิกรณสฺส อมูลกตฺตา สาปิ ปญฺญตฺติ อมูลิกา โหติ, อธิกรเณ ปวตฺตตฺตา จ อธิกรณํฯ ตสฺมา อิมินา ปริยาเยน ปณฺณตฺติ ‘‘อธิกรณ’’นฺติ ยุเชฺชยฺย, ยสฺมา วา ยํ อมูลกํ นาม อธิกรณํ ตํ สภาวโต นตฺถิ, ปญฺญตฺติมตฺตเมว อตฺถิฯ ตสฺมาปิ ปณฺณตฺติ อธิกรณนฺติ ยุเชฺชยฺยฯ ตญฺจ โข อิเธว น สพฺพตฺถฯ น หิ วิวาทาทีนํ ปณฺณตฺติ อธิกรณํฯ อธิกรณโฎฺฐ ปน เตสํ ปุเพฺพ วุตฺตสมเถหิ อธิกรณียตาฯ อิติ อิมินา อธิกรณเฎฺฐน อิเธกโจฺจ วิวาโท วิวาโท เจว อธิกรณญฺจาติ วิวาทาธิกรณํฯ เอส นโย เสเสสุ ฯ
Yañcetaṃ ‘‘amūlakena pārājikenā’’ti ettha amūlakaṃ pārājikaṃ niddiṭṭhaṃ, tassevāyaṃ ‘‘amūlakañceva taṃ adhikaraṇaṃ hotī’’ti paṭiniddeso, na paṇṇattiyā na hi aññaṃ niddisitvā aññaṃ paṭiniddisati. Yasmā pana yāya paṇṇattiyā yena abhilāpena codakena so puggalo pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpannoti paññatto, pārājikasaṅkhātassa adhikaraṇassa amūlakattā sāpi paññatti amūlikā hoti, adhikaraṇe pavattattā ca adhikaraṇaṃ. Tasmā iminā pariyāyena paṇṇatti ‘‘adhikaraṇa’’nti yujjeyya, yasmā vā yaṃ amūlakaṃ nāma adhikaraṇaṃ taṃ sabhāvato natthi, paññattimattameva atthi. Tasmāpi paṇṇatti adhikaraṇanti yujjeyya. Tañca kho idheva na sabbattha. Na hi vivādādīnaṃ paṇṇatti adhikaraṇaṃ. Adhikaraṇaṭṭho pana tesaṃ pubbe vuttasamathehi adhikaraṇīyatā. Iti iminā adhikaraṇaṭṭhena idhekacco vivādo vivādo ceva adhikaraṇañcāti vivādādhikaraṇaṃ. Esa nayo sesesu .
ตตฺถ ‘‘อิธ ภิกฺขู วิวทนฺติ ธโมฺมติ วา อธโมฺมติ วา’’ติ เอวํ อฎฺฐารส เภทกรวตฺถูนิ นิสฺสาย อุปฺปโนฺน วิวาโท วิวาทาธิกรณํฯ ‘‘อิธ ภิกฺขู ภิกฺขุํ อนุวทนฺติ สีลวิปตฺติยา วา’’ติ เอวํ จตโสฺส วิปตฺติโย นิสฺสาย อุปฺปโนฺน อนุวาโท อนุวาทาธิกรณํฯ ‘‘ปญฺจปิ อาปตฺติกฺขนฺธา อาปตฺตาธิกรณํ, สตฺตปิ อาปตฺติกฺขนฺธา อาปตฺตาธิกรณ’’นฺติ เอวํ อาปตฺติเยว อาปตฺตาธิกรณํฯ ‘‘ยา สงฺฆสฺส กิจฺจยตา กรณียตา อปโลกนกมฺมํ ญตฺติกมฺมํ ญตฺติทุติยกมฺมํ ญตฺติจตุตฺถกมฺม’’นฺติ (จูฬว. ๒๑๕) เอวํ จตุพฺพิธํ สงฺฆกิจฺจํ กิจฺจาธิกรณนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Tattha ‘‘idha bhikkhū vivadanti dhammoti vā adhammoti vā’’ti evaṃ aṭṭhārasa bhedakaravatthūni nissāya uppanno vivādo vivādādhikaraṇaṃ. ‘‘Idha bhikkhū bhikkhuṃ anuvadanti sīlavipattiyā vā’’ti evaṃ catasso vipattiyo nissāya uppanno anuvādo anuvādādhikaraṇaṃ. ‘‘Pañcapi āpattikkhandhā āpattādhikaraṇaṃ, sattapi āpattikkhandhā āpattādhikaraṇa’’nti evaṃ āpattiyeva āpattādhikaraṇaṃ. ‘‘Yā saṅghassa kiccayatā karaṇīyatā apalokanakammaṃ ñattikammaṃ ñattidutiyakammaṃ ñatticatutthakamma’’nti (cūḷava. 215) evaṃ catubbidhaṃ saṅghakiccaṃ kiccādhikaraṇanti veditabbaṃ.
อิมสฺมิํ ปนเตฺถ ปาราชิกาปตฺติสงฺขาตํ อาปตฺตาธิกรณเมว อธิเปฺปตํฯ เสสานิ อตฺถุทฺธารวเสน วุตฺตานิ, เอตฺตกา หิ อธิกรณสทฺทสฺส อตฺถาฯ เตสุ ปาราชิกเมว อิธ อธิเปฺปตํฯ ตํ ทิฎฺฐาทีหิ มูเลหิ อมูลกเญฺจว อธิกรณํ โหติฯ อยญฺจ ภิกฺขุ โทสํ ปติฎฺฐาติ, ปฎิจฺจ ติฎฺฐติ ‘‘ตุจฺฉกํ มยา ภณิต’’นฺติอาทีนิ วทโนฺต ปฎิชานาติฯ ตสฺส ภิกฺขุโน อนุทฺธํสิตกฺขเณเยว สงฺฆาทิเสโสติ อยํ ตาวสฺส สปทานุกฺกมนิเทฺทสสฺส สิกฺขาปทสฺส อโตฺถฯ
Imasmiṃ panatthe pārājikāpattisaṅkhātaṃ āpattādhikaraṇameva adhippetaṃ. Sesāni atthuddhāravasena vuttāni, ettakā hi adhikaraṇasaddassa atthā. Tesu pārājikameva idha adhippetaṃ. Taṃ diṭṭhādīhi mūlehi amūlakañceva adhikaraṇaṃ hoti. Ayañca bhikkhu dosaṃ patiṭṭhāti, paṭicca tiṭṭhati ‘‘tucchakaṃ mayā bhaṇita’’ntiādīni vadanto paṭijānāti. Tassa bhikkhuno anuddhaṃsitakkhaṇeyeva saṅghādisesoti ayaṃ tāvassa sapadānukkamaniddesassa sikkhāpadassa attho.
๓๘๗. อิทานิ ยานิ ตานิ สเงฺขปโต ทิฎฺฐาทีนิ โจทนาวตฺถูนิ วุตฺตานิ, เตสํ วเสน วิตฺถารโต อาปตฺติํ โรเปตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘อทิฎฺฐสฺส โหตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อทิฎฺฐสฺส โหตีติ อทิโฎฺฐ อสฺส โหติฯ เอเตน โจทเกน อทิโฎฺฐ โหติ, โส ปุคฺคโล ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปชฺชโนฺตติ อโตฺถฯ เอส นโย อสุตสฺส โหตีติอาทีสุปิฯ
387. Idāni yāni tāni saṅkhepato diṭṭhādīni codanāvatthūni vuttāni, tesaṃ vasena vitthārato āpattiṃ ropetvā dassento ‘‘adiṭṭhassa hotī’’tiādimāha. Tattha adiṭṭhassa hotīti adiṭṭho assa hoti. Etena codakena adiṭṭho hoti, so puggalo pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpajjantoti attho. Esa nayo asutassa hotītiādīsupi.
ทิโฎฺฐ มยาติ ทิโฎฺฐสิ มยาติ วุตฺตํ โหติฯ เอส นโย สุโต มยาติอาทีสุปิฯ เสสํ อทิฎฺฐมูลเก อุตฺตานตฺถเมวฯ ทิฎฺฐมูลเก ปน ตเญฺจ โจเทติ ‘‘สุโต มยา’’ติ เอวํ วุตฺตานํ สุตฺตาทีนํ อาภาเวน อมูลกตฺตํ เวทิตพฺพํฯ
Diṭṭho mayāti diṭṭhosi mayāti vuttaṃ hoti. Esa nayo suto mayātiādīsupi. Sesaṃ adiṭṭhamūlake uttānatthameva. Diṭṭhamūlake pana tañce codeti ‘‘suto mayā’’ti evaṃ vuttānaṃ suttādīnaṃ ābhāvena amūlakattaṃ veditabbaṃ.
สพฺพสฺมิํเยว จ อิมสฺมิํ โจทกวาเร ยถา อิธาคเตสุ ‘‘ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺนสิ, อสฺสมโณสิ, อสกฺยปุตฺติโยสี’’ติ อิเมสุ วจเนสุ เอเกกสฺส วเสน วาจาย วาจาย สงฺฆาทิเสโส โหติ, เอวํ อญฺญตฺร อาคเตสุ ‘‘ทุสฺสีโล, ปาปธโมฺม, อสุจิสงฺกสฺสรสมาจาโร, ปฎิจฺฉนฺนกมฺมโนฺต , อสฺสมโณ สมณปฎิโญฺญ, อพฺรหฺมจารี พฺรหฺมจาริปฎิโญฺญ, อโนฺตปูติ, อวสฺสุโต, กสมฺพุชาโต’’ติ อิเมสุปิ วจเนสุ เอเกกสฺส วเสน วาจาย วาจาย สงฺฆาทิเสโส โหติเยวฯ
Sabbasmiṃyeva ca imasmiṃ codakavāre yathā idhāgatesu ‘‘pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpannosi, assamaṇosi, asakyaputtiyosī’’ti imesu vacanesu ekekassa vasena vācāya vācāya saṅghādiseso hoti, evaṃ aññatra āgatesu ‘‘dussīlo, pāpadhammo, asucisaṅkassarasamācāro, paṭicchannakammanto , assamaṇo samaṇapaṭiñño, abrahmacārī brahmacāripaṭiñño, antopūti, avassuto, kasambujāto’’ti imesupi vacanesu ekekassa vasena vācāya vācāya saṅghādiseso hotiyeva.
‘‘นตฺถิ ตยา สทฺธิํ อุโปสโถ วา ปวารณา วา สงฺฆกมฺมํ วา’’ติ อิมานิ ปน สุทฺธานิ สีสํ น เอนฺติ, ‘‘ทุสฺสีโลสิ นตฺถิ ตยา สทฺธิํ อุโปสโถ วา’’ติ เอวํ ทุสฺสีลาทิปเทสุ ปน ‘‘ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺนสี’’ติอาทิปเทสุ วา เยน เกนจิ สทฺธิํ ฆฎิตาเนว สีสํ เอนฺติ, สงฺฆาทิเสสกรานิ โหนฺติฯ
‘‘Natthi tayā saddhiṃ uposatho vā pavāraṇā vā saṅghakammaṃ vā’’ti imāni pana suddhāni sīsaṃ na enti, ‘‘dussīlosi natthi tayā saddhiṃ uposatho vā’’ti evaṃ dussīlādipadesu pana ‘‘pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpannosī’’tiādipadesu vā yena kenaci saddhiṃ ghaṭitāneva sīsaṃ enti, saṅghādisesakarāni honti.
มหาปทุมเตฺถโร ปนาห – ‘‘น เกวลํ อิธ ปาฬิยํ อนาคตานิ ‘ทุสฺสีโล ปาปธโมฺม’ติอาทิปทาเนว สีสํ เอนฺติ, ‘โกโณฺฐสิ มหาสามเณโรสิ, มหาอุปาสโกสิ, เชฎฺฐพฺพติโกสิ, นิคโณฺฐสิ, อาชีวโกสิ, ตาปโสสิ, ปริพฺพาชโกสิ, ปณฺฑโกสิ, เถยฺยสํวาสโกสิ, ติตฺถิยปกฺกนฺตโกสิ, ติรจฺฉานคโตสิ, มาตุฆาตโกสิ, ปิตุฆาตโกสิ, อรหนฺตฆาตโกสิ, สงฺฆเภทโกสิ, โลหิตุปฺปาทโกสิ, ภิกฺขุนีทูสโกสิ, อุภโตพฺยญฺชนกโอสี’ติ อิมานิปิ สีสํ เอนฺติเยวา’’ติฯ มหาปทุมเตฺถโรเยว จ ‘‘ทิเฎฺฐ เวมติโกติอาทีสุ ยทเคฺคน เวมติโก ตทเคฺคน โน กเปฺปติ, ยทเคฺคน โน กเปฺปติ ตทเคฺคน นสฺสรติ, ยทเคฺคน นสฺสรติ ตทเคฺคน ปมุโฎฺฐ โหตี’’ติ วทติฯ
Mahāpadumatthero panāha – ‘‘na kevalaṃ idha pāḷiyaṃ anāgatāni ‘dussīlo pāpadhammo’tiādipadāneva sīsaṃ enti, ‘koṇṭhosi mahāsāmaṇerosi, mahāupāsakosi, jeṭṭhabbatikosi, nigaṇṭhosi, ājīvakosi, tāpasosi, paribbājakosi, paṇḍakosi, theyyasaṃvāsakosi, titthiyapakkantakosi, tiracchānagatosi, mātughātakosi, pitughātakosi, arahantaghātakosi, saṅghabhedakosi, lohituppādakosi, bhikkhunīdūsakosi, ubhatobyañjanakaosī’ti imānipi sīsaṃ entiyevā’’ti. Mahāpadumattheroyeva ca ‘‘diṭṭhe vematikotiādīsu yadaggena vematiko tadaggena no kappeti, yadaggena no kappeti tadaggena nassarati, yadaggena nassarati tadaggena pamuṭṭho hotī’’ti vadati.
มหาสุมเตฺถโร ปน เอเกกํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา จตุนฺนมฺปิ ปาเฎกฺกํ นยํ ทเสฺสติฯ กถํ? ทิเฎฺฐ เวมติโกติ อยํ ตาว ทสฺสเน วา เวมติโก โหติ ปุคฺคเล วา, ตตฺถ ‘‘ทิโฎฺฐ นุโข มยา น ทิโฎฺฐ’’ติ เอวํ ทสฺสเน เวมติโก โหติฯ ‘‘อยํ นุโข มยา ทิโฎฺฐ อโญฺญ’’ติ เอวํ ปุคฺคเล เวมติโก โหติฯ เอวํ ทสฺสนํ วา โน กเปฺปติ ปุคฺคลํ วา, ทสฺสนํ วา นสฺสรติ ปุคฺคลํ วา, ทสฺสนํ วา ปมุโฎฺฐ โหติ ปุคฺคลํ วาฯ เอตฺถ จ เวมติโกติ วิมติชาโตฯ โน กเปฺปตีติ น สทฺทหติฯ นสฺสรตีติ อสาริยมาโน นสฺสรติฯ ยทา ปน ตํ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม ภเนฺต ฐาเน อสุกสฺมิํ นาม กาเล’’ติ สาเรนฺติ ตทา สรติฯ ปมุโฎฺฐติ โย เตหิ เตหิ อุปาเยหิ สาริยมาโนปิ นสฺสรติเยวาติ ฯ เอเตเนวุปาเยน โจทาปกวาโรปิ เวทิตโพฺพ, เกวลญฺหิ ตตฺถ ‘‘มยา’’ติ ปริหีนํ, เสสํ โจทกวารสทิสเมวฯ
Mahāsumatthero pana ekekaṃ dvidhā bhinditvā catunnampi pāṭekkaṃ nayaṃ dasseti. Kathaṃ? Diṭṭhe vematikoti ayaṃ tāva dassane vā vematiko hoti puggale vā, tattha ‘‘diṭṭho nukho mayā na diṭṭho’’ti evaṃ dassane vematiko hoti. ‘‘Ayaṃ nukho mayā diṭṭho añño’’ti evaṃ puggale vematiko hoti. Evaṃ dassanaṃ vā no kappeti puggalaṃ vā, dassanaṃ vā nassarati puggalaṃ vā, dassanaṃ vā pamuṭṭho hoti puggalaṃ vā. Ettha ca vematikoti vimatijāto. No kappetīti na saddahati. Nassaratīti asāriyamāno nassarati. Yadā pana taṃ ‘‘asukasmiṃ nāma bhante ṭhāne asukasmiṃ nāma kāle’’ti sārenti tadā sarati. Pamuṭṭhoti yo tehi tehi upāyehi sāriyamānopi nassaratiyevāti . Etenevupāyena codāpakavāropi veditabbo, kevalañhi tattha ‘‘mayā’’ti parihīnaṃ, sesaṃ codakavārasadisameva.
๓๘๙. ตโต ปรํ อาปตฺติเภทํ อนาปตฺติเภทญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘อสุเทฺธ สุทฺธทิฎฺฐี’’ติอาทิกํ จตุกฺกํ ฐเปตฺวา เอกเมกํ ปทํ จตูหิ จตูหิ เภเทหิ นิทฺทิฎฺฐํ, ตํ สพฺพํ ปาฬินเยเนว สกฺกา ชานิตุํฯ เกวลํ เหตฺถาธิปฺปายเภโท เวทิตโพฺพฯ อยญฺหิ อธิปฺปาโย นาม – จาวนาธิปฺปาโย, อโกฺกสาธิปฺปาโย, กมฺมาธิปฺปาโย, วุฎฺฐานาธิปฺปาโย, อุโปสถปวารณฎฺฐปนาธิปฺปาโย, อนุวิชฺชนาธิปฺปาโย, ธมฺมกถาธิปฺปาโยติ อเนกวิโธฯ ตตฺถ ปุริเมสุ จตูสุ อธิปฺปาเยสุ โอกาสํ อการาเปนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ โอกาสํ การาเปตฺวาปิ จ สมฺมุขา อมูลเกน ปาราชิเกน อนุทฺธํเสนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโสฯ อมูลเกน สงฺฆาทิเสเสน อนุทฺธํเสนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ อาจารวิปตฺติยา อนุทฺธํเสนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ อโกฺกสาธิปฺปาเยน วทนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ อสมฺมุขา ปน สตฺตหิปิ อาปตฺติกฺขเนฺธหิ วทนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ อสมฺมุขา เอว สตฺตวิธมฺปิ กมฺมํ กโรนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ
389. Tato paraṃ āpattibhedaṃ anāpattibhedañca dassetuṃ ‘‘asuddhe suddhadiṭṭhī’’tiādikaṃ catukkaṃ ṭhapetvā ekamekaṃ padaṃ catūhi catūhi bhedehi niddiṭṭhaṃ, taṃ sabbaṃ pāḷinayeneva sakkā jānituṃ. Kevalaṃ hetthādhippāyabhedo veditabbo. Ayañhi adhippāyo nāma – cāvanādhippāyo, akkosādhippāyo, kammādhippāyo, vuṭṭhānādhippāyo, uposathapavāraṇaṭṭhapanādhippāyo, anuvijjanādhippāyo, dhammakathādhippāyoti anekavidho. Tattha purimesu catūsu adhippāyesu okāsaṃ akārāpentassa dukkaṭaṃ. Okāsaṃ kārāpetvāpi ca sammukhā amūlakena pārājikena anuddhaṃsentassa saṅghādiseso. Amūlakena saṅghādisesena anuddhaṃsentassa pācittiyaṃ. Ācāravipattiyā anuddhaṃsentassa dukkaṭaṃ. Akkosādhippāyena vadantassa pācittiyaṃ. Asammukhā pana sattahipi āpattikkhandhehi vadantassa dukkaṭaṃ. Asammukhā eva sattavidhampi kammaṃ karontassa dukkaṭameva.
กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘วุฎฺฐานาธิปฺปาเยน ‘ตฺวํ อิมํ นาม อาปตฺติํ อาปโนฺน ตํ ปฎิกโรหี’ติ วทนฺตสฺส โอกาสกิจฺจํ นตฺถี’’ติ วุตฺตํฯ สพฺพเตฺถว ปน ‘‘อุโปสถปวารณํ ฐเปนฺตสฺส โอกาสกมฺมํ นตฺถี’’ติ วุตฺตํฯ ฐปนเกฺขตฺตํ ปน ชานิตพฺพํฯ ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ อชฺชุโปสโถ ปนฺนรโส ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ สโงฺฆ อุโปสถํ กเรยฺย’’ติ เอตสฺมิญฺหิ เร-กาเร อนติกฺกเนฺตเยว ฐเปตุํ ลพฺภติฯ ตโต ปรํ ปน ยฺย-กาเร ปเตฺต น ลพฺภติฯ เอส นโย ปวารณายฯ อนุวิชฺชกสฺสาปิ โอสเฎ วตฺถุสฺมิํ ‘‘อเตฺถตํ ตวา’’ติ อนุวิชฺชนาธิปฺปาเยน วทนฺตสฺส โอกาสกมฺมํ นตฺถิฯ
Kurundiyaṃ pana ‘‘vuṭṭhānādhippāyena ‘tvaṃ imaṃ nāma āpattiṃ āpanno taṃ paṭikarohī’ti vadantassa okāsakiccaṃ natthī’’ti vuttaṃ. Sabbattheva pana ‘‘uposathapavāraṇaṃ ṭhapentassa okāsakammaṃ natthī’’ti vuttaṃ. Ṭhapanakkhettaṃ pana jānitabbaṃ. ‘‘Suṇātu me bhante saṅgho ajjuposatho pannaraso yadi saṅghassa pattakallaṃ saṅgho uposathaṃ kareyya’’ti etasmiñhi re-kāre anatikkanteyeva ṭhapetuṃ labbhati. Tato paraṃ pana yya-kāre patte na labbhati. Esa nayo pavāraṇāya. Anuvijjakassāpi osaṭe vatthusmiṃ ‘‘atthetaṃ tavā’’ti anuvijjanādhippāyena vadantassa okāsakammaṃ natthi.
ธมฺมกถิกสฺสาปิ ธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘โย อิทญฺจิทญฺจ กโรติ, อยํ ภิกฺขุ อสฺสมโณ’’ติอาทินา นเยน อโนทิสฺส ธมฺมํ กเถนฺตสฺส โอกาสกมฺมํ นตฺถิฯ สเจ ปน โอทิสฺส นิยเมตฺวา ‘‘อสุโก จ อสุโก จ อสฺสมโณ อนุปาสโก’’ติ กเถติ, ธมฺมาสนโต โอโรหิตฺวา อาปตฺติํ เทเสตฺวา คนฺตพฺพํฯ ยํ ปน ตตฺถ ตตฺถ ‘‘อโนกาสํ การาเปตฺวา’’ติ วุตฺตํ ตสฺส โอกาสํ อการาเปตฺวาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพ, น หิ โกจิ อโนกาโส นาม อตฺถิ, ยโมกาสํ การาเปตฺวา อาปตฺติํ อาปชฺชติ, โอกาสํ ปน อการาเปตฺวา อาปชฺชตีติฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ
Dhammakathikassāpi dhammāsane nisīditvā ‘‘yo idañcidañca karoti, ayaṃ bhikkhu assamaṇo’’tiādinā nayena anodissa dhammaṃ kathentassa okāsakammaṃ natthi. Sace pana odissa niyametvā ‘‘asuko ca asuko ca assamaṇo anupāsako’’ti katheti, dhammāsanato orohitvā āpattiṃ desetvā gantabbaṃ. Yaṃ pana tattha tattha ‘‘anokāsaṃ kārāpetvā’’ti vuttaṃ tassa okāsaṃ akārāpetvāti evamattho veditabbo, na hi koci anokāso nāma atthi, yamokāsaṃ kārāpetvā āpattiṃ āpajjati, okāsaṃ pana akārāpetvā āpajjatīti. Sesaṃ uttānameva.
สมุฎฺฐานาทีสุ ติสมุฎฺฐานํ – กายจิตฺตโต, วาจาจิตฺตโต, กายวาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐาติฯ กิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ทุกฺขเวทนนฺติฯ
Samuṭṭhānādīsu tisamuṭṭhānaṃ – kāyacittato, vācācittato, kāyavācācittato ca samuṭṭhāti. Kiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, dukkhavedananti.
ปฐมทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๘. ทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทํ • 8. Duṭṭhadosasikkhāpadaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๘. ปฐมทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา • 8. Paṭhamaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๘. ปฐมทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา • 8. Paṭhamaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๘. ปฐมทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา • 8. Paṭhamaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā