Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
๔. นิสฺสคฺคิยกณฺฑํ
4. Nissaggiyakaṇḍaṃ
๑. จีวรวโคฺค
1. Cīvaravaggo
๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา
1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā
ติํส นิสฺสคฺคิยา ธมฺมา, เย วุตฺตา สมิตาวินา;
Tiṃsa nissaggiyā dhammā, ye vuttā samitāvinā;
เตสํ ทานิ กริสฺสามิ, อปุพฺพปทวณฺณนํฯ
Tesaṃ dāni karissāmi, apubbapadavaṇṇanaṃ.
๔๕๙. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ โคตมเก เจติเยฯ เตน โข ปน สมเยน ภควตา ภิกฺขูนํ ติจีวรํ อนุญฺญาตํ โหตีติ เอตฺถ ติจีวรนฺติ อนฺตรวาสโก อุตฺตราสโงฺค สงฺฆาฎีติ อิทํ จีวรตฺตยํ ปริภุญฺชิตุํ อนุญฺญาตํ โหติฯ ยตฺถ ปเนตํ อนุญฺญาตํ, ยทา จ อนุญฺญาตํ, เยน จ การเณน อนุญฺญาตํ, ตํ สพฺพํ จีวรกฺขนฺธเก ชีวกวตฺถุสฺมิํ (มหาว. ๓๒๖ อาทโย) อาคตเมวฯ อเญฺญเนว ติจีวเรน คามํ ปวิสนฺตีติ เยน วิหาเร อจฺฉนฺติ นฺหานญฺจ โอตรนฺติ, ตโต อเญฺญน, เอวํ ทิวเส ทิวเส นว จีวรานิ ธาเรนฺติฯ
459. Tena samayena buddho bhagavā vesāliyaṃ viharati gotamake cetiye. Tena kho pana samayena bhagavatā bhikkhūnaṃ ticīvaraṃ anuññātaṃ hotīti ettha ticīvaranti antaravāsako uttarāsaṅgo saṅghāṭīti idaṃ cīvarattayaṃ paribhuñjituṃ anuññātaṃ hoti. Yattha panetaṃ anuññātaṃ, yadā ca anuññātaṃ, yena ca kāraṇena anuññātaṃ, taṃ sabbaṃ cīvarakkhandhake jīvakavatthusmiṃ (mahāva. 326 ādayo) āgatameva. Aññeneva ticīvarena gāmaṃ pavisantīti yena vihāre acchanti nhānañca otaranti, tato aññena, evaṃ divase divase nava cīvarāni dhārenti.
๔๖๐. อุปฺปนฺนํ โหตีติ อนุปญฺญตฺติยา ทฺวารํ ททมานํ ปฎิลาภวเสน อุปฺปนฺนํ โหติ, โน นิปฺผตฺติวเสนฯ
460.Uppannaṃ hotīti anupaññattiyā dvāraṃ dadamānaṃ paṭilābhavasena uppannaṃ hoti, no nipphattivasena.
อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ทาตุกาโม โหตีติ อายสฺมา กิร อานโนฺท ภควนฺตํ ฐเปตฺวา อโญฺญ เอวรูโป คุณวิสิโฎฺฐ ปุคฺคโล นตฺถีติ คุณพหุมาเนน อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ อติมมายติฯ โส สทาปิ มนาปํ จีวรํ ลภิตฺวา รชิตฺวา กปฺปพินฺทุํ ทตฺวา เถรเสฺสว เทติ, ปุเรภเตฺต ปณีตํ ยาคุขชฺชกํ วา ปิณฺฑปาตํ วา ลภิตฺวาปิ เถรเสฺสว เทติ, ปจฺฉาภเตฺต มธุผาณิตาทีนิ ลภิตฺวาปิ เถรเสฺสว เทติ, อุปฎฺฐากกุเลหิ ทารเก นิกฺขาเมตฺวา ปพฺพาเชตฺวาปิ เถรสฺส สนฺติเก อุปชฺฌํ คาหาเปตฺวา สยํ อนุสาวนกมฺมํ กโรติฯ อายสฺมาปิ สาริปุโตฺต ‘‘ปิตุ กตฺตพฺพกิจฺจํ นาม เชฎฺฐปุตฺตสฺส ภาโร, ตํ มยา ภควโต กตฺตพฺพํ กิจฺจํ อานโนฺท กโรติ, อหํ อานนฺทํ นิสฺสาย อโปฺปสฺสุโกฺก วิหริตุํ ลภามี’’ติ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อติวิย มมายติ, โสปิ มนาปํ จีวรํ ลภิตฺวา อานนฺทเตฺถรเสฺสว เทตีติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมว ฯ เอวํ คุณพหุมาเนน มมายโนฺต ตทา อุปฺปนฺนมฺปิ ตํ จีวรํ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ทาตุกาโม โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
Āyasmato sāriputtassa dātukāmo hotīti āyasmā kira ānando bhagavantaṃ ṭhapetvā añño evarūpo guṇavisiṭṭho puggalo natthīti guṇabahumānena āyasmantaṃ sāriputtaṃ atimamāyati. So sadāpi manāpaṃ cīvaraṃ labhitvā rajitvā kappabinduṃ datvā therasseva deti, purebhatte paṇītaṃ yāgukhajjakaṃ vā piṇḍapātaṃ vā labhitvāpi therasseva deti, pacchābhatte madhuphāṇitādīni labhitvāpi therasseva deti, upaṭṭhākakulehi dārake nikkhāmetvā pabbājetvāpi therassa santike upajjhaṃ gāhāpetvā sayaṃ anusāvanakammaṃ karoti. Āyasmāpi sāriputto ‘‘pitu kattabbakiccaṃ nāma jeṭṭhaputtassa bhāro, taṃ mayā bhagavato kattabbaṃ kiccaṃ ānando karoti, ahaṃ ānandaṃ nissāya appossukko viharituṃ labhāmī’’ti āyasmantaṃ ānandaṃ ativiya mamāyati, sopi manāpaṃ cīvaraṃ labhitvā ānandattherasseva detīti sabbaṃ purimasadisameva . Evaṃ guṇabahumānena mamāyanto tadā uppannampi taṃ cīvaraṃ āyasmato sāriputtassa dātukāmo hotīti veditabbo.
นวมํ วา ภควา ทิวสํ ทสมํ วาติ เอตฺถ ปน สเจ ภเวยฺย ‘‘กถํ เถโร ชานาตี’’ติ? พหูหิ การเณหิ ชานาติฯ สาริปุตฺตเตฺถโร กิร ชนปทจาริกํ ปกฺกมโนฺต อานนฺทเตฺถรํ อาปุจฺฉิตฺวาว ปกฺกมติ ‘‘อหํ เอตฺตเกน นาม กาเลน อาคจฺฉิสฺสามิ, เอตฺถนฺตเร ภควนฺตํ มา ปมชฺชี’’ติฯ สเจ สมฺมุขา น อาปุจฺฉติ, ภิกฺขู เปเสตฺวาปิ อาปุจฺฉิตฺวาว คจฺฉติฯ สเจ อญฺญตฺถ วสฺสํ วสติ, เย ปฐมตรํ ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ, เต เอวํ ปหิณติ ‘‘มม วจเนน ภควโต จ ปาเท สิรสา วนฺทถ, อานนฺทสฺส จ อาโรคฺยํ วตฺวา มํ ‘อสุกทิวเส นาม อาคมิสฺสตี’ติ วทถา’’ติ สทา จ ยถาปริจฺฉินฺนทิวเสเยว เอติฯ อปิจายสฺมา อานโนฺท อนุมาเนนปิ ชานาติ ‘‘เอตฺตเก ทิวเส ภควตา วิโยคํ สหโนฺต อธิวาเสโนฺต อายสฺมา สาริปุโตฺต วสิ, อิโต ทานิ ปฎฺฐาย อสุกํ นาม ทิวสํ น อติกฺกมิสฺสติ อทฺธา อาคมิสฺสตี’’ติฯ เยสํ เยสญฺหิ ปญฺญา มหตี เตสํ เตสํ ภควติ เปมญฺจ คารโว จ มหา โหตีติ อิมินา นเยนาปิ ชานาติฯ เอวํ พหูหิ การเณหิ ชานาติฯ เตนาห – ‘‘นวมํ วา ภควา ทิวสํ ทสมํ วา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต ยสฺมา อิทํ สิกฺขาปทํ ปณฺณตฺติวชฺชํ, น โลกวชฺชํ; ตสฺมา อายสฺมตา อานเนฺทน วุตฺตสทิสเมว ปริเจฺฉทํ กโรโนฺต ‘‘อถ โข ภควา…เป.… ธาเรตุ’’นฺติฯ สเจ ปน เถเรน อทฺธมาโส วา มาโส วา อุทฺทิโฎฺฐ อภวิสฺส, โสปิ ภควตา อนุญฺญาโต อสฺสฯ
Navamaṃ vā bhagavā divasaṃ dasamaṃ vāti ettha pana sace bhaveyya ‘‘kathaṃ thero jānātī’’ti? Bahūhi kāraṇehi jānāti. Sāriputtatthero kira janapadacārikaṃ pakkamanto ānandattheraṃ āpucchitvāva pakkamati ‘‘ahaṃ ettakena nāma kālena āgacchissāmi, etthantare bhagavantaṃ mā pamajjī’’ti. Sace sammukhā na āpucchati, bhikkhū pesetvāpi āpucchitvāva gacchati. Sace aññattha vassaṃ vasati, ye paṭhamataraṃ bhikkhū āgacchanti, te evaṃ pahiṇati ‘‘mama vacanena bhagavato ca pāde sirasā vandatha, ānandassa ca ārogyaṃ vatvā maṃ ‘asukadivase nāma āgamissatī’ti vadathā’’ti sadā ca yathāparicchinnadivaseyeva eti. Apicāyasmā ānando anumānenapi jānāti ‘‘ettake divase bhagavatā viyogaṃ sahanto adhivāsento āyasmā sāriputto vasi, ito dāni paṭṭhāya asukaṃ nāma divasaṃ na atikkamissati addhā āgamissatī’’ti. Yesaṃ yesañhi paññā mahatī tesaṃ tesaṃ bhagavati pemañca gāravo ca mahā hotīti iminā nayenāpi jānāti. Evaṃ bahūhi kāraṇehi jānāti. Tenāha – ‘‘navamaṃ vā bhagavā divasaṃ dasamaṃ vā’’ti. Evaṃ vutte yasmā idaṃ sikkhāpadaṃ paṇṇattivajjaṃ, na lokavajjaṃ; tasmā āyasmatā ānandena vuttasadisameva paricchedaṃ karonto ‘‘atha kho bhagavā…pe… dhāretu’’nti. Sace pana therena addhamāso vā māso vā uddiṭṭho abhavissa, sopi bhagavatā anuññāto assa.
๔๖๒-๓. นิฎฺฐิตจีวรสฺมินฺติ เยน เกนจิ นิฎฺฐาเนน นิฎฺฐิเต จีวรสฺมิํฯ ยสฺมา ปน ตํ จีวรํ กรเณนปิ นิฎฺฐิตํ โหติ, นสฺสนาทีหิปิ ตสฺมาสฺส ปทภาชเน อตฺถมตฺตเมว ทเสฺสตุํ ภิกฺขุโน จีวรํ กตํ วา โหตีติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กตนฺติ สูจิกมฺมปริโยสาเนน กตํ, สูจิกมฺมปริโยสานํ นาม ยํกิญฺจิ สูจิยา กตฺตพฺพํ ปาสปฎฺฎคณฺฐิกปฎฺฎปริโยสานํ กตฺวา สูจิยา ปฎิสามนํฯ นฎฺฐนฺติ โจราทีหิ หฎํ, เอตมฺปิ หิ กรณปลิโพธสฺส นิฎฺฐิตตฺตา นิฎฺฐิตนฺติ วุจฺจติฯ วินฎฺฐนฺติ อุปจิกาทีหิ ขายิตํฯ ทฑฺฒนฺติ อคฺคินา ทฑฺฒํฯ จีวราสา วา อุปจฺฉินฺนาติ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม กุเล จีวรํ ลภิสฺสามี’’ติ ยา จีวราสา อุปฺปนฺนา โหติ, สา วา อุปจฺฉินฺนา, เอเตสมฺปิ หิ กรณปลิโพธเสฺสว นิฎฺฐิตตฺตา นิฎฺฐิตภาโว เวทิตโพฺพฯ
462-3.Niṭṭhitacīvarasminti yena kenaci niṭṭhānena niṭṭhite cīvarasmiṃ. Yasmā pana taṃ cīvaraṃ karaṇenapi niṭṭhitaṃ hoti, nassanādīhipi tasmāssa padabhājane atthamattameva dassetuṃ bhikkhuno cīvaraṃ kataṃ vā hotītiādi vuttaṃ. Tattha katanti sūcikammapariyosānena kataṃ, sūcikammapariyosānaṃ nāma yaṃkiñci sūciyā kattabbaṃ pāsapaṭṭagaṇṭhikapaṭṭapariyosānaṃ katvā sūciyā paṭisāmanaṃ. Naṭṭhanti corādīhi haṭaṃ, etampi hi karaṇapalibodhassa niṭṭhitattā niṭṭhitanti vuccati. Vinaṭṭhanti upacikādīhi khāyitaṃ. Daḍḍhanti agginā daḍḍhaṃ. Cīvarāsā vā upacchinnāti ‘‘asukasmiṃ nāma kule cīvaraṃ labhissāmī’’ti yā cīvarāsā uppannā hoti, sā vā upacchinnā, etesampi hi karaṇapalibodhasseva niṭṭhitattā niṭṭhitabhāvo veditabbo.
อุพฺภตสฺมิํ กถิเนติ กถิเน จ อุพฺภตสฺมิํฯ เอเตน ทุติยสฺส ปลิโพธสฺส อภาวํ ทเสฺสติฯ ตํ ปน กถินํ ยสฺมา อฎฺฐสุ วา มาติกาสุ เอกาย อนฺตรุพฺภาเรน วา อุทฺธรียติ, เตนสฺส นิเทฺทเส ‘‘อฎฺฐนฺนํ มาติกาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘อฎฺฐิมา, ภิกฺขเว, มาติกา กถินสฺส อุพฺภาราย – ปกฺกมนนฺติกา, นิฎฺฐานนฺติกา, สนฺนิฎฺฐานนฺติกา, นาสนนฺติกา, สวนนฺติกา, อาสาวเจฺฉทิกา, สีมาติกฺกนฺติกา, สหุพฺภารา’’ติ เอวํ อฎฺฐ มาติกาโย กถินกฺขนฺธเก อาคตาฯ อนฺตรุพฺภาโรปิ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ; ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ กถินํ อุทฺธเรยฺย, เอสา ญตฺติฯ สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ; สโงฺฆ กถินํ อุทฺธรติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ, กถินสฺส อุพฺภาโร, โส ตุณฺหสฺส; ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ อุพฺภตํ สเงฺฆน กถินํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (ปาจิ. ๙๒๖) เอวํ ภิกฺขุนีวิภเงฺค อาคโตฯ ตตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ ตํ อาคตฎฺฐาเนเยว วณฺณยิสฺสามฯ อิธ ปน วุจฺจมาเน ปาฬิ อาหริตพฺพา โหติ, อโตฺถปิ วตฺตโพฺพฯ วุโตฺตปิ จ น สุวิเญฺญโยฺย โหติ, อฎฺฐาเน วุตฺตตฺตายฯ
Ubbhatasmiṃ kathineti kathine ca ubbhatasmiṃ. Etena dutiyassa palibodhassa abhāvaṃ dasseti. Taṃ pana kathinaṃ yasmā aṭṭhasu vā mātikāsu ekāya antarubbhārena vā uddharīyati, tenassa niddese ‘‘aṭṭhannaṃ mātikāna’’ntiādi vuttaṃ. Tattha ‘‘aṭṭhimā, bhikkhave, mātikā kathinassa ubbhārāya – pakkamanantikā, niṭṭhānantikā, sanniṭṭhānantikā, nāsanantikā, savanantikā, āsāvacchedikā, sīmātikkantikā, sahubbhārā’’ti evaṃ aṭṭha mātikāyo kathinakkhandhake āgatā. Antarubbhāropi ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho; yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho kathinaṃ uddhareyya, esā ñatti. Suṇātu me, bhante, saṅgho; saṅgho kathinaṃ uddharati, yassāyasmato khamati, kathinassa ubbhāro, so tuṇhassa; yassa nakkhamati, so bhāseyya. Ubbhataṃ saṅghena kathinaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (pāci. 926) evaṃ bhikkhunīvibhaṅge āgato. Tattha yaṃ vattabbaṃ taṃ āgataṭṭhāneyeva vaṇṇayissāma. Idha pana vuccamāne pāḷi āharitabbā hoti, atthopi vattabbo. Vuttopi ca na suviññeyyo hoti, aṭṭhāne vuttattāya.
ทสาหปรมนฺติ ทส อหานิ ปรโม ปริเจฺฉโท อสฺสาติ ทสาหปรโม, ตํ ทสาหปรมํ กาลํ ธาเรตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ปทภาชเน ปน อตฺถมตฺตเมว ทเสฺสตุํ ‘‘ทสาหปรมตา ธาเรตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ ‘‘ทสาหปรม’’นฺติ เอตฺถ ยา ทสาหปรมตา ทสาหปรมภาโว, อยํ เอตฺตโก กาโล ยาว นาติกฺกมติ ตาว ธาเรตพฺพนฺติฯ
Dasāhaparamanti dasa ahāni paramo paricchedo assāti dasāhaparamo, taṃ dasāhaparamaṃ kālaṃ dhāretabbanti attho. Padabhājane pana atthamattameva dassetuṃ ‘‘dasāhaparamatā dhāretabba’’nti vuttaṃ. Idañhi vuttaṃ hoti ‘‘dasāhaparama’’nti ettha yā dasāhaparamatā dasāhaparamabhāvo, ayaṃ ettako kālo yāva nātikkamati tāva dhāretabbanti.
อธิฎฺฐิตวิกปฺปิเตสุ อปริยาปนฺนตฺตา อติเรกํ จีวรนฺติ อติเรกจีวรํฯ เตเนวสฺส ปทภาชเน วุตฺตํ ‘‘อนธิฎฺฐิตํ อวิกปฺปิต’’นฺติฯ
Adhiṭṭhitavikappitesu apariyāpannattā atirekaṃ cīvaranti atirekacīvaraṃ. Tenevassa padabhājane vuttaṃ ‘‘anadhiṭṭhitaṃ avikappita’’nti.
ฉนฺนํ จีวรานํ อญฺญตรนฺติ โขมํ, กปฺปาสิกํ, โกเสยฺยํ, กมฺพลํ, สาณํ, ภงฺคนฺติ อิเมสํ ฉนฺนํ จีวรานํ อญฺญตรํฯ เอเตน จีวรสฺส ชาติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปมาณํ ทเสฺสตุํ ‘‘วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิม’’นฺติ อาหฯ ตสฺส ปมาณํ ทีฆโต เทฺว วิทตฺถิโย, ติริยํ วิทตฺถิฯ ตตฺรายํ ปาฬิ – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อายาเมน อฎฺฐงฺคุลํ สุคตงฺคุเลน จตุรงฺคุลวิตฺถตํ ปจฺฉิมํ จีวรํ วิกเปฺปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘)ฯ
Channaṃ cīvarānaṃ aññataranti khomaṃ, kappāsikaṃ, koseyyaṃ, kambalaṃ, sāṇaṃ, bhaṅganti imesaṃ channaṃ cīvarānaṃ aññataraṃ. Etena cīvarassa jātiṃ dassetvā idāni pamāṇaṃ dassetuṃ ‘‘vikappanupagaṃ pacchima’’nti āha. Tassa pamāṇaṃ dīghato dve vidatthiyo, tiriyaṃ vidatthi. Tatrāyaṃ pāḷi – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, āyāmena aṭṭhaṅgulaṃ sugataṅgulena caturaṅgulavitthataṃ pacchimaṃ cīvaraṃ vikappetu’’nti (mahāva. 358).
ตํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยนฺติ ตํ ยถาวุตฺตชาติปฺปมาณํ จีวรํ ทสาหปรมํ กาลํ อติกฺกามยโต, เอตฺถนฺตเร ยถา อติเรกจีวรํ น โหติ ตถา อกุพฺพโต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ, ตญฺจ จีวรํ นิสฺสคฺคิยํ โหติ, ปาจิตฺติยาปตฺติ จสฺส โหตีติ อโตฺถฯ อถ วา นิสฺสชฺชนํ นิสฺสคฺคิยํ, ปุพฺพภาเค กตฺตพฺพสฺส วินยกมฺมเสฺสตํ นามํฯ นิสฺสคฺคิยมสฺส อตฺถีติ นิสฺสคฺคิยมิเจฺจวฯ กินฺตํ? ปาจิตฺติยํฯ ตํ อติกฺกามยโต สนิสฺสคฺคิยวินยกมฺมํ ปาจิตฺติยํ โหตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ปทภาชเน ปน ปฐมํ ตาว อตฺถวิกปฺปํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ โหตี’’ติ มาติกํ ฐเปตฺวา ‘‘เอกาทเส อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิยํ โหติ, นิสฺสชฺชิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ ปุน ยสฺส จ นิสฺสชฺชิตพฺพํ, ยถา จ นิสฺสชฺชิตพฺพํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สงฺฆสฺส วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เอกาทเส อรุณุคฺคมเนติ เอตฺถ ยํ ทิวสํ จีวรํ อุปฺปนฺนํ ตสฺส โย อรุโณ, โส อุปฺปนฺนทิวสนิสฺสิโต, ตสฺมา จีวรุปฺปาททิวสเอน สทฺธิํ เอกาทเส อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิยํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ สเจปิ พหูนิ เอกชฺฌํ พนฺธิตฺวา วา เวเฐตฺวา วา ฐปิตานิ เอกาว อาปตฺติฯ อพทฺธาเวฐิเตสุ วตฺถุคณนาย อาปตฺติโยฯ
Taṃatikkāmayato nissaggiyaṃ pācittiyanti taṃ yathāvuttajātippamāṇaṃ cīvaraṃ dasāhaparamaṃ kālaṃ atikkāmayato, etthantare yathā atirekacīvaraṃ na hoti tathā akubbato nissaggiyaṃ pācittiyaṃ, tañca cīvaraṃ nissaggiyaṃ hoti, pācittiyāpatti cassa hotīti attho. Atha vā nissajjanaṃ nissaggiyaṃ, pubbabhāge kattabbassa vinayakammassetaṃ nāmaṃ. Nissaggiyamassa atthīti nissaggiyamicceva. Kintaṃ? Pācittiyaṃ. Taṃ atikkāmayato sanissaggiyavinayakammaṃ pācittiyaṃ hotīti ayamettha attho. Padabhājane pana paṭhamaṃ tāva atthavikappaṃ dassetuṃ ‘‘taṃ atikkāmayato nissaggiyaṃ hotī’’ti mātikaṃ ṭhapetvā ‘‘ekādase aruṇuggamane nissaggiyaṃ hoti, nissajjitabba’’nti vuttaṃ. Puna yassa ca nissajjitabbaṃ, yathā ca nissajjitabbaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘saṅghassa vā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ekādase aruṇuggamaneti ettha yaṃ divasaṃ cīvaraṃ uppannaṃ tassa yo aruṇo, so uppannadivasanissito, tasmā cīvaruppādadivasaena saddhiṃ ekādase aruṇuggamane nissaggiyaṃ hotīti veditabbaṃ. Sacepi bahūni ekajjhaṃ bandhitvā vā veṭhetvā vā ṭhapitāni ekāva āpatti. Abaddhāveṭhitesu vatthugaṇanāya āpattiyo.
นิสฺสชฺชิตฺวา อาปตฺติ เทเสตพฺพาติ กถํ เทเสตพฺพา? ยถา ขนฺธเก วุตฺตํ, กถญฺจ ตตฺถ วุตฺตํ? เอวํ วุตฺตํ – ‘‘เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย – ‘อหํ, ภเนฺต, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ตํ ปฎิเทเสมี’’’ติ (จูฬว. ๒๓๙)ฯ อิธ ปน สเจ เอกํ จีวรํ โหติ ‘‘เอกํ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติ วตฺตพฺพํฯ สเจ เทฺว, ‘‘เทฺว’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ พหูนิ ‘‘สมฺพหุลานี’’ติ วตฺตพฺพํฯ นิสฺสชฺชเนปิ สเจ เอกํ ยถาปาฬิเมว ‘‘อิทํ เม, ภเนฺต, จีวร’’นฺติ วตฺตพฺพํฯ สเจ เทฺว วา พหูนิ วา, ‘‘อิมานิ เม, ภเนฺต, จีวรานิ ทสาหาติกฺกนฺตานิ นิสฺสคฺคิยานิ, อิมานาหํ สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชามี’’ติ วตฺตพฺพํฯ ปาฬิํ วตฺตุํ อสโกฺกเนฺตน อญฺญถาปิ วตฺตพฺพํฯ
Nissajjitvāāpatti desetabbāti kathaṃ desetabbā? Yathā khandhake vuttaṃ, kathañca tattha vuttaṃ? Evaṃ vuttaṃ – ‘‘tena, bhikkhave, bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo – ‘ahaṃ, bhante, itthannāmaṃ āpattiṃ āpanno, taṃ paṭidesemī’’’ti (cūḷava. 239). Idha pana sace ekaṃ cīvaraṃ hoti ‘‘ekaṃ nissaggiyaṃ pācittiya’’nti vattabbaṃ. Sace dve, ‘‘dve’’ti vattabbaṃ. Sace bahūni ‘‘sambahulānī’’ti vattabbaṃ. Nissajjanepi sace ekaṃ yathāpāḷimeva ‘‘idaṃ me, bhante, cīvara’’nti vattabbaṃ. Sace dve vā bahūni vā, ‘‘imāni me, bhante, cīvarāni dasāhātikkantāni nissaggiyāni, imānāhaṃ saṅghassa nissajjāmī’’ti vattabbaṃ. Pāḷiṃ vattuṃ asakkontena aññathāpi vattabbaṃ.
พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน อาปตฺติ ปฎิคฺคเหตพฺพาติ ขนฺธเก วุตฺตนเยเนว ปฎิคฺคเหตพฺพาฯ เอวญฺหิ ตตฺถ วุตฺตํ – ‘‘พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –
Byattenabhikkhunā paṭibalena āpatti paṭiggahetabbāti khandhake vuttanayeneva paṭiggahetabbā. Evañhi tattha vuttaṃ – ‘‘byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –
‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺติํ สรติ วิวรติ อุตฺตานิํ กโรติ เทเสติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย’นฺติฯ
‘Suṇātu me bhante saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu āpattiṃ sarati vivarati uttāniṃ karoti deseti, yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmassa bhikkhuno āpattiṃ paṭiggaṇheyya’nti.
เตน วตฺตโพฺพ ‘ปสฺสสี’ติ? ‘อาม, ปสฺสามี’ติฯ อายติํ สํวเรยฺยาสี’’ติ (จูฬว. ๒๓๙)ฯ ทฺวีสุ ปน สมฺพหุลาสุ วา ปุริมนเยเนว วจนเภโท ญาตโพฺพฯ
Tena vattabbo ‘passasī’ti? ‘Āma, passāmī’ti. Āyatiṃ saṃvareyyāsī’’ti (cūḷava. 239). Dvīsu pana sambahulāsu vā purimanayeneva vacanabhedo ñātabbo.
จีวรทาเนปิ ‘‘สโงฺฆ อิมํ จีวรํ อิมานิ จีวรานี’’ติ วตฺถุวเสน วจนเภโท เวทิตโพฺพฯ คณสฺส จ ปุคฺคลสฺส จ นิสฺสชฺชเนปิ เอเสว นโยฯ
Cīvaradānepi ‘‘saṅgho imaṃ cīvaraṃ imāni cīvarānī’’ti vatthuvasena vacanabhedo veditabbo. Gaṇassa ca puggalassa ca nissajjanepi eseva nayo.
อาปตฺติเทสนาปฎิคฺคหเณสุ ปเนตฺถ อยํ ปาฬิ – ‘‘เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา สมฺพหุเล ภิกฺขู อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺสุ วจนียา – ‘อหํ, ภเนฺต, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺน ตํ ปฎิเทเสมี’ติฯ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน เต ภิกฺขู ญาเปตพฺพา –
Āpattidesanāpaṭiggahaṇesu panettha ayaṃ pāḷi – ‘‘tena, bhikkhave, bhikkhunā sambahule bhikkhū upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ katvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassu vacanīyā – ‘ahaṃ, bhante, itthannāmaṃ āpattiṃ āpanno taṃ paṭidesemī’ti. Byattena bhikkhunā paṭibalena te bhikkhū ñāpetabbā –
‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺติํ สรติ วิวรติ อุตฺตานิํ กโรติ เทเสติฯ ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย’นฺติฯ
‘Suṇantu me āyasmantā, ayaṃ itthannāmo bhikkhu āpattiṃ sarati vivarati uttāniṃ karoti deseti. Yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmassa bhikkhuno āpattiṃ paṭiggaṇheyya’nti.
เตน วตฺตโพฺพ ‘ปสฺสสี’ติ? ‘อาม, ปสฺสามี’ติฯ ‘อายติํ สํวเรยฺยาสี’ติฯ
Tena vattabbo ‘passasī’ti? ‘Āma, passāmī’ti. ‘Āyatiṃ saṃvareyyāsī’ti.
เตน ภิกฺขุนา เอกํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย – ‘อหํ, อาวุโส, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺน ตํ ปฎิเทเสมี’ติฯ เตน วตฺตโพฺพ ‘ปสฺสสี’ติ, อาม ปสฺสามีติ อายติํ สํวเรยฺยาสี’’ติ (จูฬว. ๒๓๙)ฯ ตตฺถ ปุริมนเยเนว อาปตฺติยา นามคฺคหณํ วจนเภโท จ เวทิตโพฺพฯ
Tena bhikkhunā ekaṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo – ‘ahaṃ, āvuso, itthannāmaṃ āpattiṃ āpanno taṃ paṭidesemī’ti. Tena vattabbo ‘passasī’ti, āma passāmīti āyatiṃ saṃvareyyāsī’’ti (cūḷava. 239). Tattha purimanayeneva āpattiyā nāmaggahaṇaṃ vacanabhedo ca veditabbo.
ยถา จ คณสฺส นิสฺสชฺชเน เอวํ ทฺวินฺนํ นิสฺสชฺชเนปิ ปาฬิ เวทิตพฺพาฯ ยทิ หิ วิเสโส ภเวยฺย, ยเถว ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติณฺณนฺนํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กาตุํ, เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, กาตโพฺพฯ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน เต ภิกฺขู ญาเปตพฺพา’’ติอาทินา นเยน ‘‘ติณฺณนฺนํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กาตุ’’นฺติ วตฺวา ปุน ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทฺวินฺนํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กาตุํ, เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, กาตโพฺพฯ เถเรน ภิกฺขุนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺค’’นฺติอาทินา (มหาว. ๑๖๘) นเยน วิสุํเยว ทฺวินฺนํ ปาริสุทฺธิอุโปสโถ วุโตฺต, เอวมิธาปิ วิสุํ ปาฬิํ วเทยฺย, ยสฺมา ปน นตฺถิ, ตสฺมา อวตฺวา คโตติ, คณสฺส วุตฺตา ปาฬิเยเวตฺถ ปาฬิฯ
Yathā ca gaṇassa nissajjane evaṃ dvinnaṃ nissajjanepi pāḷi veditabbā. Yadi hi viseso bhaveyya, yatheva ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tiṇṇannaṃ pārisuddhiuposathaṃ kātuṃ, evañca pana, bhikkhave, kātabbo. Byattena bhikkhunā paṭibalena te bhikkhū ñāpetabbā’’tiādinā nayena ‘‘tiṇṇannaṃ pārisuddhiuposathaṃ kātu’’nti vatvā puna ‘‘anujānāmi, bhikkhave, dvinnaṃ pārisuddhiuposathaṃ kātuṃ, evañca pana, bhikkhave, kātabbo. Therena bhikkhunā ekaṃsaṃ uttarāsaṅga’’ntiādinā (mahāva. 168) nayena visuṃyeva dvinnaṃ pārisuddhiuposatho vutto, evamidhāpi visuṃ pāḷiṃ vadeyya, yasmā pana natthi, tasmā avatvā gatoti, gaṇassa vuttā pāḷiyevettha pāḷi.
อาปตฺติปฎิคฺคหเณ ปน อยํ วิเสโส, ยถา คณสฺส นิสฺสชฺชิตฺวา อาปตฺติยา เทสิยมานาย อาปตฺติปฎิคฺคาหโก ภิกฺขุ ญตฺติํ ฐเปติ, เอวํ อฎฺฐเปตฺวา ทฺวีสุ อญฺญตเรน ยถา เอกปุคฺคโล ปฎิคฺคณฺหาติ, เอวํ อาปตฺติ ปฎิคฺคเหตพฺพาฯ ทฺวินฺนญฺหิ ญตฺติฎฺฐปนา นาม นตฺถิ, ยทิ สิยา ทฺวินฺนํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ วิสุํ น วเทยฺยฯ
Āpattipaṭiggahaṇe pana ayaṃ viseso, yathā gaṇassa nissajjitvā āpattiyā desiyamānāya āpattipaṭiggāhako bhikkhu ñattiṃ ṭhapeti, evaṃ aṭṭhapetvā dvīsu aññatarena yathā ekapuggalo paṭiggaṇhāti, evaṃ āpatti paṭiggahetabbā. Dvinnañhi ñattiṭṭhapanā nāma natthi, yadi siyā dvinnaṃ pārisuddhiuposathaṃ visuṃ na vadeyya.
นิสฺสฎฺฐจีวรทาเนปิ ยถา ‘‘อิมํ จีวรํ อายสฺมโต ทมฺมี’’ติ เอโก วทติ, เอวํ ‘‘อิมํ มยํ จีวรํ อายสฺมโต เทมา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ อิโต ครุกตรานิ หิ ญตฺติทุติยกมฺมานิปิ ‘‘อปโลเกตฺวา กาตพฺพานี’’ติ วุตฺตานิ อตฺถิ, เตสํ เอตํ อนุโลมํ นิสฺสฎฺฐจีวรํ ปน ทาตพฺพเมว อทาตุํ น ลพฺภติ, วินยกมฺมมตฺตเญฺหตํฯ น ตํ เตน สงฺฆสฺส วา คณสฺส วา ปุคฺคลสฺส วา ทินฺนเมว โหตีติฯ
Nissaṭṭhacīvaradānepi yathā ‘‘imaṃ cīvaraṃ āyasmato dammī’’ti eko vadati, evaṃ ‘‘imaṃ mayaṃ cīvaraṃ āyasmato demā’’ti vattuṃ vaṭṭati. Ito garukatarāni hi ñattidutiyakammānipi ‘‘apaloketvā kātabbānī’’ti vuttāni atthi, tesaṃ etaṃ anulomaṃ nissaṭṭhacīvaraṃ pana dātabbameva adātuṃ na labbhati, vinayakammamattañhetaṃ. Na taṃ tena saṅghassa vā gaṇassa vā puggalassa vā dinnameva hotīti.
๔๖๘. ทสาหาติกฺกเนฺต อติกฺกนฺตสญฺญีติ ทสาหํ อติกฺกเนฺต จีวเร ‘‘อติกฺกนฺตํ อิท’’นฺติ เอวํสญฺญี, ทสาเห วา อติกฺกเนฺต ‘‘อติกฺกโนฺต ทสาโห’’ติ เอวํสญฺญีฯ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยนฺติ น อิธ สญฺญา รกฺขติฯ โยปิ เอวํสญฺญี, ตสฺสปิ ตํ จีวรํ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยาปตฺติ จฯ สนิสฺสคฺคิยวินยกมฺมํ วา ปาจิตฺติยนฺติ อุโภปิ อตฺถวิกปฺปา ยุชฺชนฺติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
468.Dasāhātikkante atikkantasaññīti dasāhaṃ atikkante cīvare ‘‘atikkantaṃ ida’’nti evaṃsaññī, dasāhe vā atikkante ‘‘atikkanto dasāho’’ti evaṃsaññī. Nissaggiyaṃ pācittiyanti na idha saññā rakkhati. Yopi evaṃsaññī, tassapi taṃ cīvaraṃ nissaggiyaṃ pācittiyāpatti ca. Sanissaggiyavinayakammaṃ vā pācittiyanti ubhopi atthavikappā yujjanti. Esa nayo sabbattha.
อวิสฺสชฺชิเต วิสฺสชฺชิตสญฺญีติ กสฺสจิ อทิเนฺน อปริจฺจเตฺต ‘‘ปริจฺจตฺตํ มยา’’ติ เอวํสญฺญีฯ
Avissajjitevissajjitasaññīti kassaci adinne apariccatte ‘‘pariccattaṃ mayā’’ti evaṃsaññī.
อนเฎฺฐ นฎฺฐสญฺญีติ อตฺตโน จีวเรน สทฺธิํ พหูนิ อเญฺญสํ จีวรานิ เอกโต ฐปิตานิ โจรา หรนฺติฯ ตเตฺรส อตฺตโน จีวเร อนเฎฺฐ นฎฺฐสญฺญี โหติฯ เอส นโย อวินฎฺฐาทีสุปิฯ
Anaṭṭhe naṭṭhasaññīti attano cīvarena saddhiṃ bahūni aññesaṃ cīvarāni ekato ṭhapitāni corā haranti. Tatresa attano cīvare anaṭṭhe naṭṭhasaññī hoti. Esa nayo avinaṭṭhādīsupi.
อวิลุเตฺตติ เอตฺถ ปน คพฺภํ ภินฺทิตฺวา ปสยฺหาวหารวเสน อวิลุเตฺตติ เวทิตพฺพํฯ
Avilutteti ettha pana gabbhaṃ bhinditvā pasayhāvahāravasena avilutteti veditabbaṃ.
อนิสฺสชฺชิตฺวา ปริภุญฺชติ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ สกิํ นิวตฺถํ วา สกิํ ปารุตํ วา กายโต อโมเจตฺวา ทิวสมฺปิ วิจรติ, เอกาว อาปตฺติฯ โมเจตฺวา โมเจตฺวา นิวาเสติ วา ปารุปติ วา ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํฯ ทุนฺนิวตฺถํ วา ทุปฺปารุตํ วา สณฺฐเปนฺตสฺส อนาปตฺติฯ อญฺญสฺส ตํ ปริภุญฺชโตปิ อนาปตฺติ, ‘‘อนาปตฺติ อเญฺญน กตํ ปฎิลภิตฺวา ปริภุญฺชตี’’ติ (ปารา. ๕๗๐) อาทิวจนเญฺจตฺถ สาธกํฯ อนติกฺกเนฺต อติกฺกนฺตสญฺญิโน เวมติกสฺส จ ทุกฺกฎํ ปริโภคํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
Anissajjitvā paribhuñjati āpatti dukkaṭassāti sakiṃ nivatthaṃ vā sakiṃ pārutaṃ vā kāyato amocetvā divasampi vicarati, ekāva āpatti. Mocetvā mocetvā nivāseti vā pārupati vā payoge payoge dukkaṭaṃ. Dunnivatthaṃ vā duppārutaṃ vā saṇṭhapentassa anāpatti. Aññassa taṃ paribhuñjatopi anāpatti, ‘‘anāpatti aññena kataṃ paṭilabhitvā paribhuñjatī’’ti (pārā. 570) ādivacanañcettha sādhakaṃ. Anatikkante atikkantasaññino vematikassa ca dukkaṭaṃ paribhogaṃ sandhāya vuttaṃ.
๔๖๙. ‘‘อนาปตฺติ อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ, วิกเปฺปตี’’ติ เอตฺถ ปน อธิฎฺฐานุปคํ วิกปฺปนุปคญฺจ เวทิตพฺพํฯ ตตฺรายํ ปาฬิ – อถ โข ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ‘‘ยานิ ตานิ ภควตา อนุญฺญาตานิ ‘ติจีวร’นฺติ วา ‘วสฺสิกสาฎิกา’ติ วา ‘นิสีทน’นฺติ วา ‘ปจฺจตฺถรณ’นฺติ วา ‘กณฺฑุปฺปฎิจฺฉาที’ติ วา มุขปุญฺฉนโจฬกนฺติ วา ปริกฺขารโจฬนฺติ วา สพฺพานิ ตานิ อธิฎฺฐาตพฺพานีติ นุ โข อุทาหุ วิกเปฺปตพฺพานี’’ติ, ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ –
469.‘‘Anāpatti antodasāhaṃ adhiṭṭheti, vikappetī’’ti ettha pana adhiṭṭhānupagaṃ vikappanupagañca veditabbaṃ. Tatrāyaṃ pāḷi – atha kho bhikkhūnaṃ etadahosi – ‘‘yāni tāni bhagavatā anuññātāni ‘ticīvara’nti vā ‘vassikasāṭikā’ti vā ‘nisīdana’nti vā ‘paccattharaṇa’nti vā ‘kaṇḍuppaṭicchādī’ti vā mukhapuñchanacoḷakanti vā parikkhāracoḷanti vā sabbāni tāni adhiṭṭhātabbānīti nu kho udāhu vikappetabbānī’’ti, bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ –
‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ; วสฺสิกสาฎิกํ วสฺสานํ จาตุมาสํ อธิฎฺฐาตุํ ตโต ปรํ วิกเปฺปตุํ; นิสีทนํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ; ปจฺจตฺถรณํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ; กณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทิํ ยาวอาพาธา อธิฎฺฐาตุํ ตโต ปรํ วิกเปฺปตุํ; มุขปุญฺฉนโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ; ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘)ฯ
‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ; vassikasāṭikaṃ vassānaṃ cātumāsaṃ adhiṭṭhātuṃ tato paraṃ vikappetuṃ; nisīdanaṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ; paccattharaṇaṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ; kaṇḍuppaṭicchādiṃ yāvaābādhā adhiṭṭhātuṃ tato paraṃ vikappetuṃ; mukhapuñchanacoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ; parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’’nti (mahāva. 358).
‘‘ตตฺถ ติจีวรํ’’ อธิฎฺฐหเนฺตน รชิตฺวา กปฺปพินฺทุํ ทตฺวา ปมาณยุตฺตเมว อธิฎฺฐาตพฺพํฯ ตสฺส ปมาณํ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน สุคตจีวรโต อูนกํ วฎฺฎติ, ลามกปริเจฺฉเทน สงฺฆาฎิยา อุตฺตราสงฺคสฺส จ ทีฆโต มุฎฺฐิปญฺจกํ ติริยํ มุฎฺฐิตฺติกํ ปมาณํ วฎฺฎติฯ อนฺตรวาสโก ทีฆโต มุฎฺฐิปญฺจโก ติริยํ ทฺวิหโตฺถปิ วฎฺฎติฯ ปารุปเณนปิ หิ สกฺกา นาภิํ ปฎิจฺฉาเทตุนฺติฯ วุตฺตปฺปมาณโต ปน อติเรกํ อูนกญฺจ ปริกฺขารโจฬนฺติ อธิฎฺฐาตพฺพํฯ
‘‘Tattha ticīvaraṃ’’ adhiṭṭhahantena rajitvā kappabinduṃ datvā pamāṇayuttameva adhiṭṭhātabbaṃ. Tassa pamāṇaṃ ukkaṭṭhaparicchedena sugatacīvarato ūnakaṃ vaṭṭati, lāmakaparicchedena saṅghāṭiyā uttarāsaṅgassa ca dīghato muṭṭhipañcakaṃ tiriyaṃ muṭṭhittikaṃ pamāṇaṃ vaṭṭati. Antaravāsako dīghato muṭṭhipañcako tiriyaṃ dvihatthopi vaṭṭati. Pārupaṇenapi hi sakkā nābhiṃ paṭicchādetunti. Vuttappamāṇato pana atirekaṃ ūnakañca parikkhāracoḷanti adhiṭṭhātabbaṃ.
ตตฺถ ยสฺมา ‘‘เทฺว จีวรสฺส อธิฎฺฐานา – กาเยน วา อธิเฎฺฐติ, วาจาย วา อธิเฎฺฐตี’’ติ (ปริ. ๓๒๒) วุตฺตํ, ตสฺมา ปุราณสงฺฆาฎิํ ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิํ ปจฺจุทฺธรามี’’ติ ปจฺจุทฺธริตฺวา นวํ สงฺฆาฎิํ หเตฺถน คเหตฺวา ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติ จิเตฺตน อาโภคํ กตฺวา กายวิการํ กโรเนฺตน กาเยน อธิฎฺฐาตพฺพาฯ อิทํ กาเยน อธิฎฺฐานํ, ตํ เยน เกนจิ สรีราวยเวน อผุสนฺตสฺส น วฎฺฎติฯ วาจาย อธิฎฺฐาเน ปน วจีเภทํ กตฺวา วาจาย อธิฎฺฐาตพฺพาฯ ตตฺร ทุวิธํ อธิฎฺฐานํ – สเจ หตฺถปาเส โหติ ‘‘อิมํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติ วาจา ภินฺทิตพฺพาฯ อถ อโนฺตคเพฺภ วา อุปริปาสาเท วา สามนฺตวิหาเร วา โหติ ฐปิตฎฺฐานํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘เอตํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’’ติ วาจา ภินฺทิตพฺพาฯ เอส นโย อุตฺตราสเงฺค อนฺตรวาสเก จฯ นามมตฺตเมว หิ วิเสโสฯ ตสฺมา สพฺพานิ สงฺฆาฎิํ อุตฺตราสงฺคํ อนฺตรวาสกนฺติ เอวํ อตฺตโน นาเมเนว อธิฎฺฐาตพฺพานิฯ สเจ อธิฎฺฐหิตฺวา ฐปิตวเตฺถหิ สงฺฆาฎิอาทีนิ กโรติ, นิฎฺฐิเต รชเน จ กเปฺป จ อิมํ ‘‘ปจฺจุทฺธรามี’’ติ ปจฺจุทฺธริตฺวา ปุน อธิฎฺฐาตพฺพานิฯ อธิฎฺฐิเตน ปน สทฺธิํ มหนฺตตรเมว ทุติยปฎฺฎํ วา ขณฺฑํ วา สํสิพฺพเนฺตน ปุน อธิฎฺฐาตพฺพเมวฯ สเม วา ขุทฺทเก วา อธิฎฺฐานกิจฺจํ นตฺถิฯ
Tattha yasmā ‘‘dve cīvarassa adhiṭṭhānā – kāyena vā adhiṭṭheti, vācāya vā adhiṭṭhetī’’ti (pari. 322) vuttaṃ, tasmā purāṇasaṅghāṭiṃ ‘‘imaṃ saṅghāṭiṃ paccuddharāmī’’ti paccuddharitvā navaṃ saṅghāṭiṃ hatthena gahetvā ‘‘imaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’’ti cittena ābhogaṃ katvā kāyavikāraṃ karontena kāyena adhiṭṭhātabbā. Idaṃ kāyena adhiṭṭhānaṃ, taṃ yena kenaci sarīrāvayavena aphusantassa na vaṭṭati. Vācāya adhiṭṭhāne pana vacībhedaṃ katvā vācāya adhiṭṭhātabbā. Tatra duvidhaṃ adhiṭṭhānaṃ – sace hatthapāse hoti ‘‘imaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’’ti vācā bhinditabbā. Atha antogabbhe vā uparipāsāde vā sāmantavihāre vā hoti ṭhapitaṭṭhānaṃ sallakkhetvā ‘‘etaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’’ti vācā bhinditabbā. Esa nayo uttarāsaṅge antaravāsake ca. Nāmamattameva hi viseso. Tasmā sabbāni saṅghāṭiṃ uttarāsaṅgaṃ antaravāsakanti evaṃ attano nāmeneva adhiṭṭhātabbāni. Sace adhiṭṭhahitvā ṭhapitavatthehi saṅghāṭiādīni karoti, niṭṭhite rajane ca kappe ca imaṃ ‘‘paccuddharāmī’’ti paccuddharitvā puna adhiṭṭhātabbāni. Adhiṭṭhitena pana saddhiṃ mahantatarameva dutiyapaṭṭaṃ vā khaṇḍaṃ vā saṃsibbantena puna adhiṭṭhātabbameva. Same vā khuddake vā adhiṭṭhānakiccaṃ natthi.
ติจีวรํ ปน ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ วฎฺฎติ น วฎฺฎตีติ? มหาปทุมเตฺถโร กิราห – ‘‘ติจีวรํ ติจีวรเมว อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สเจ ปริกฺขารโจฬาธิฎฺฐานํ ลเภยฺย อุโทสิตสิกฺขาปเท ปริหาโร นิรตฺถโก ภเวยฺยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต กิร อวเสสา ภิกฺขู อาหํสุ – ‘‘ปริกฺขารโจฬมฺปิ ภควตาว อธิฎฺฐาตพฺพนฺติ วุตฺตํ, ตสฺมา วฎฺฎตี’’ติฯ มหาปจฺจริยมฺปิ วุตฺตํ ‘‘ปริกฺขารโจฬํ นาม ปาเฎกฺกํ นิธานมุขเมตนฺติ ติจีวรํ ปริกฺขารโจฬนฺติ อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ อุโทสิตสิกฺขาปเท ปน ติจีวรํ อธิฎฺฐหิตฺวา ปริหรนฺตสฺส ปริหาโร วุโตฺต’’ติฯ อุภโตวิภงฺคภาณโก ปุณฺณวาลิกวาสี มหาติสฺสเตฺถโรปิ กิร อาห – ‘‘มยํ ปุเพฺพ มหาเถรานํ อสฺสุมฺห, อรญฺญวาสิโน ภิกฺขู รุกฺขสุสิราทีสุ จีวรํ ฐเปตฺวา ปธานํ ปทหนตฺถาย คจฺฉนฺติฯ สามนฺตวิหาเร ธมฺมสวนตฺถาย คตานญฺจ เนสํ สูริเย อุฎฺฐิเต สามเณรา วา ทหรภิกฺขู วา ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา คจฺฉนฺติ, ตสฺมา สุขปริโภคตฺถํ ติจีวรํ ปริกฺขารโจฬนฺติ อธิฎฺฐาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ มหาปจฺจริยมฺปิ วุตฺตํ ปุเพฺพ อารญฺญิกา ภิกฺขู อพทฺธสีมายํ ทุปฺปริหารนฺติ ติจีวรํ ปริกฺขารโจฬเมว อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิํสู’’ติฯ
Ticīvaraṃ pana parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ vaṭṭati na vaṭṭatīti? Mahāpadumatthero kirāha – ‘‘ticīvaraṃ ticīvarameva adhiṭṭhātabbaṃ. Sace parikkhāracoḷādhiṭṭhānaṃ labheyya udositasikkhāpade parihāro niratthako bhaveyyā’’ti. Evaṃ vutte kira avasesā bhikkhū āhaṃsu – ‘‘parikkhāracoḷampi bhagavatāva adhiṭṭhātabbanti vuttaṃ, tasmā vaṭṭatī’’ti. Mahāpaccariyampi vuttaṃ ‘‘parikkhāracoḷaṃ nāma pāṭekkaṃ nidhānamukhametanti ticīvaraṃ parikkhāracoḷanti adhiṭṭhahitvā paribhuñjituṃ vaṭṭati. Udositasikkhāpade pana ticīvaraṃ adhiṭṭhahitvā pariharantassa parihāro vutto’’ti. Ubhatovibhaṅgabhāṇako puṇṇavālikavāsī mahātissattheropi kira āha – ‘‘mayaṃ pubbe mahātherānaṃ assumha, araññavāsino bhikkhū rukkhasusirādīsu cīvaraṃ ṭhapetvā padhānaṃ padahanatthāya gacchanti. Sāmantavihāre dhammasavanatthāya gatānañca nesaṃ sūriye uṭṭhite sāmaṇerā vā daharabhikkhū vā pattacīvaraṃ gahetvā gacchanti, tasmā sukhaparibhogatthaṃ ticīvaraṃ parikkhāracoḷanti adhiṭṭhātuṃ vaṭṭatī’’ti. Mahāpaccariyampi vuttaṃ pubbe āraññikā bhikkhū abaddhasīmāyaṃ dupparihāranti ticīvaraṃ parikkhāracoḷameva adhiṭṭhahitvā paribhuñjiṃsū’’ti.
‘‘วสฺสิกสาฎิกา’’ อนติริตฺตปฺปมาณา นามํ คเหตฺวา วุตฺตนเยเนว จตฺตาโร วสฺสิเก มาเส อธิฎฺฐาตพฺพา, ตโต ปรํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพาฯ วณฺณเภทมตฺตรตฺตาปิ เจสา วฎฺฎติฯ เทฺว ปน น วฎฺฎนฺติฯ ‘‘นิสีทนํ’’ วุตฺตนเยน อธิฎฺฐาตพฺพเมว, ตญฺจ โข ปมาณยุตฺตํ เอกเมว, เทฺว น วฎฺฎนฺติฯ ‘‘ปจฺจตฺถรณ’’มฺปิ อธิฎฺฐาตพฺพเมว, ตํ ปน มหนฺตมฺปิ วฎฺฎติ, เอกมฺปิ วฎฺฎติ, พหูนิปิ วฎฺฎนฺติฯ นีลมฺปิ ปีตกมฺปิ สทสมฺปิ ปุปฺผทสมฺปีติ สพฺพปฺปการํ วฎฺฎติฯ สกิํ อธิฎฺฐิตํ อธิฎฺฐิตเมว โหติฯ ‘‘กณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทิ’’ ยาว อาพาโธ อตฺถิ, ตาว ปมาณิกา อธิฎฺฐาตพฺพาฯ อาพาเธ วูปสเนฺต ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพา, เอกาว วฎฺฎติ ฯ ‘‘มุขปุญฺฉนโจฬํ’’ อธิฎฺฐาตพฺพเมว, ยาว เอกํ โธวิยติ, ตาว อญฺญํ ปริโภคตฺถาย อิจฺฉิตพฺพนฺติ เทฺว วฎฺฎนฺติฯ อปเร ปน เถรา ‘‘นิธานมุขเมตํ พหูนิปิ วฎฺฎนฺตี’’ติ วทนฺติฯ ปริกฺขารโจเฬ คณนา นตฺถิ, ยตฺตกํ อิจฺฉติ ตตฺตกํ อธิฎฺฐาตพฺพเมวฯ ถวิกาปิ ปริสฺสาวนมฺปิ วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิมจีวรปฺปมาณํ ‘‘ปริกฺขารโจฬก’’นฺติ อธิฎฺฐาตพฺพเมวฯ พหูนิ เอกโต กตฺวา ‘‘อิมานิ จีวรานิ ปริกฺขารโจฬานิ อธิฎฺฐามี’’ติ อธิฎฺฐาตุมฺปิ วฎฺฎติเยวฯ เภสชฺชนวกมฺมมาตาปิตุอาทีนํ อตฺถาย ฐเปเนฺตนปิ อธิฎฺฐาตพฺพเมวฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘อนาปตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ มญฺจภิสิ ปีฐกภิสิ พิโมฺพหนํ ปาวาโร โกชโวติ เอเตสุ ปน เสนาสนปริกฺขารตฺถาย ทินฺนปจฺจตฺถรเณ จ อธิฎฺฐานกิจฺจํ นตฺถิเยวฯ
‘‘Vassikasāṭikā’’ anatirittappamāṇā nāmaṃ gahetvā vuttanayeneva cattāro vassike māse adhiṭṭhātabbā, tato paraṃ paccuddharitvā vikappetabbā. Vaṇṇabhedamattarattāpi cesā vaṭṭati. Dve pana na vaṭṭanti. ‘‘Nisīdanaṃ’’ vuttanayena adhiṭṭhātabbameva, tañca kho pamāṇayuttaṃ ekameva, dve na vaṭṭanti. ‘‘Paccattharaṇa’’mpi adhiṭṭhātabbameva, taṃ pana mahantampi vaṭṭati, ekampi vaṭṭati, bahūnipi vaṭṭanti. Nīlampi pītakampi sadasampi pupphadasampīti sabbappakāraṃ vaṭṭati. Sakiṃ adhiṭṭhitaṃ adhiṭṭhitameva hoti. ‘‘Kaṇḍuppaṭicchādi’’ yāva ābādho atthi, tāva pamāṇikā adhiṭṭhātabbā. Ābādhe vūpasante paccuddharitvā vikappetabbā, ekāva vaṭṭati . ‘‘Mukhapuñchanacoḷaṃ’’ adhiṭṭhātabbameva, yāva ekaṃ dhoviyati, tāva aññaṃ paribhogatthāya icchitabbanti dve vaṭṭanti. Apare pana therā ‘‘nidhānamukhametaṃ bahūnipi vaṭṭantī’’ti vadanti. Parikkhāracoḷe gaṇanā natthi, yattakaṃ icchati tattakaṃ adhiṭṭhātabbameva. Thavikāpi parissāvanampi vikappanupagaṃ pacchimacīvarappamāṇaṃ ‘‘parikkhāracoḷaka’’nti adhiṭṭhātabbameva. Bahūni ekato katvā ‘‘imāni cīvarāni parikkhāracoḷāni adhiṭṭhāmī’’ti adhiṭṭhātumpi vaṭṭatiyeva. Bhesajjanavakammamātāpituādīnaṃ atthāya ṭhapentenapi adhiṭṭhātabbameva. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘anāpattī’’ti vuttaṃ. Mañcabhisi pīṭhakabhisi bimbohanaṃ pāvāro kojavoti etesu pana senāsanaparikkhāratthāya dinnapaccattharaṇe ca adhiṭṭhānakiccaṃ natthiyeva.
อธิฎฺฐิตจีวรํ ปน ปริภุญฺชโต กถํ อธิฎฺฐานํ วิชหตีติ? อญฺญสฺส ทาเนน, อจฺฉินฺทิตฺวา คหเณน, วิสฺสาสคฺคาเหน, หีนายาวตฺตเนน, สิกฺขาปจฺจกฺขาเนน , กาลํกิริยาย, ลิงฺคปริวตฺตเนน, ปจฺจุทฺธรเณน, ฉิทฺทภาเวนาติ อิเมหิ นวหิ การเณหิ วิชหติฯ ตตฺถ ปุริเมหิ อฎฺฐหิ สพฺพจีวรานิ อธิฎฺฐานํ วิชหนฺติ, ฉิทฺทภาเวน ปน ติจีวรเสฺสว สพฺพอฎฺฐกถาสุ อธิฎฺฐานวิชหนํ วุตฺตํ, ตญฺจ นขปิฎฺฐิปฺปมาเณน ฉิเทฺทนฯ ตตฺถ นขปิฎฺฐิปฺปมาณํ กนิฎฺฐงฺคุลินขวเสน เวทิตพฺพํ, ฉิทฺทญฺจ วินิพฺพิทฺธฉิทฺทเมวฯ ฉิทฺทสฺส หิ อพฺภนฺตเร เอกตนฺตุ เจปิ อจฺฉิโนฺน โหติ, รกฺขติฯ ตตฺถ สงฺฆาฎิยา จ อุตฺตราสงฺคสฺส จ ทีฆนฺตโต วิทตฺถิปฺปมาณสฺส ติริยนฺตโต อฎฺฐงฺคุลปฺปมาณสฺส ปเทสสฺส โอรโต ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ ภินฺทติ, ปรโต น ภินฺทติฯ อนฺตรวาสกสฺส ปน ทีฆนฺตโต วิทตฺถิปฺปมาณเสฺสว ติริยนฺตโต จตุรงฺคุลปฺปมาณสฺส ปเทสสฺส โอรโต ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ ภินฺทติ, ปรโต น ภินฺทติฯ ตสฺมา ชาเต ฉิเทฺท ตํ จีวรํ อติเรกจีวรฎฺฐาเน ติฎฺฐติ, สูจิกมฺมํ กตฺวา ปุน อธิฎฺฐาตพฺพํฯ มหาสุมเตฺถโร ปนาห – ‘‘ปมาณจีวรสฺส ยตฺถ กตฺถจิ ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ ภินฺทติ, มหนฺตสฺส ปน ปมาณโต พหิ ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ น ภินฺทติ, อโนฺตชาตํ ภินฺทตี’’ติฯ กรวีกติสฺสเตฺถโร อาห – ‘‘ขุทฺทกํ มหนฺตํ น ปมาณํ, เทฺว จีวรานิ ปารุปนฺตสฺส วามหเตฺถ สงฺฆริตฺวา ฐปิตฎฺฐาเน ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ น ภินฺทติ, โอรภาเค ภินฺทติฯ อนฺตรวาสกสฺสปิ โอวฎฺฎิกํ กโรเนฺตน สงฺฆริตฎฺฐาเน ฉิทฺทํ น ภินฺทติ, ตโต โอรํ ภินฺทตี’’ติฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ปน ติจีวเร มหาสุมเตฺถรวาทํ ปมาณํ กตฺวา อุตฺตริมฺปิ อิทํ วุตฺตํ ‘‘ปจฺฉิมปฺปมาณํ อธิฎฺฐานํ รกฺขตี’’ติฯ ปริกฺขารโจเฬ ทีฆโส อฎฺฐงฺคุเล สุคตงฺคุเลน ติริยํ จตุรงฺคุเล ยตฺถ กตฺถจิ ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ วิชหติฯ มหเนฺต โจเฬ ตโต ปเรน ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ น วิชหติฯ เอส นโย สเพฺพสุ อธิฎฺฐาตพฺพเกสุ จีวเรสู’’ติฯ
Adhiṭṭhitacīvaraṃ pana paribhuñjato kathaṃ adhiṭṭhānaṃ vijahatīti? Aññassa dānena, acchinditvā gahaṇena, vissāsaggāhena, hīnāyāvattanena, sikkhāpaccakkhānena , kālaṃkiriyāya, liṅgaparivattanena, paccuddharaṇena, chiddabhāvenāti imehi navahi kāraṇehi vijahati. Tattha purimehi aṭṭhahi sabbacīvarāni adhiṭṭhānaṃ vijahanti, chiddabhāvena pana ticīvarasseva sabbaaṭṭhakathāsu adhiṭṭhānavijahanaṃ vuttaṃ, tañca nakhapiṭṭhippamāṇena chiddena. Tattha nakhapiṭṭhippamāṇaṃ kaniṭṭhaṅgulinakhavasena veditabbaṃ, chiddañca vinibbiddhachiddameva. Chiddassa hi abbhantare ekatantu cepi acchinno hoti, rakkhati. Tattha saṅghāṭiyā ca uttarāsaṅgassa ca dīghantato vidatthippamāṇassa tiriyantato aṭṭhaṅgulappamāṇassa padesassa orato chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ bhindati, parato na bhindati. Antaravāsakassa pana dīghantato vidatthippamāṇasseva tiriyantato caturaṅgulappamāṇassa padesassa orato chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ bhindati, parato na bhindati. Tasmā jāte chidde taṃ cīvaraṃ atirekacīvaraṭṭhāne tiṭṭhati, sūcikammaṃ katvā puna adhiṭṭhātabbaṃ. Mahāsumatthero panāha – ‘‘pamāṇacīvarassa yattha katthaci chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ bhindati, mahantassa pana pamāṇato bahi chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ na bhindati, antojātaṃ bhindatī’’ti. Karavīkatissatthero āha – ‘‘khuddakaṃ mahantaṃ na pamāṇaṃ, dve cīvarāni pārupantassa vāmahatthe saṅgharitvā ṭhapitaṭṭhāne chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ na bhindati, orabhāge bhindati. Antaravāsakassapi ovaṭṭikaṃ karontena saṅgharitaṭṭhāne chiddaṃ na bhindati, tato oraṃ bhindatī’’ti. Andhakaṭṭhakathāyaṃ pana ticīvare mahāsumattheravādaṃ pamāṇaṃ katvā uttarimpi idaṃ vuttaṃ ‘‘pacchimappamāṇaṃ adhiṭṭhānaṃ rakkhatī’’ti. Parikkhāracoḷe dīghaso aṭṭhaṅgule sugataṅgulena tiriyaṃ caturaṅgule yattha katthaci chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ vijahati. Mahante coḷe tato parena chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ na vijahati. Esa nayo sabbesu adhiṭṭhātabbakesu cīvaresū’’ti.
ตตฺถ ยสฺมา สเพฺพสมฺปิ อธิฎฺฐาตพฺพกจีวรานํ วิกปฺปนุปคปจฺฉิมปฺปมาณโต อญฺญํ ปจฺฉิมปฺปมาณํ นาม นตฺถิ, ยญฺหิ นิสีทน-กณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทิ-วสฺสิกสาฎิกานํ ปมาณํ วุตฺตํ, ตํ อุกฺกฎฺฐํ, ตโต อุตฺตริ ปฎิสิทฺธตฺตา น ปจฺฉิมํ ตโต เหฎฺฐา อปฺปฎิสิทฺธตฺตาฯ ติจีวรสฺสาปิ สุคตจีวรปฺปมาณโต อูนกตฺตํ อุกฺกฎฺฐปฺปมาณเมวฯ ปจฺฉิมํ ปน วิสุํ สุเตฺต วุตฺตํ นตฺถิฯ มุขปุญฺฉนปจฺจตฺถรณปริกฺขารโจฬานํ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉโท นตฺถิเยวฯ วิกปฺปนุปคปจฺฉิเมน ปน ปจฺฉิมปริเจฺฉโท วุโตฺตฯ ตสฺมา ยํ ตาว อนฺธกฎฺฐกถายํ ‘‘ปจฺฉิมปฺปมาณํ อธิฎฺฐานํ รกฺขตี’’ติ วตฺวา ตตฺถ ปริกฺขารโจฬเสฺสว สุคตงฺคุเลน อฎฺฐงฺคุลจตุรงฺคุลปจฺฉิมปฺปมาณํ ทเสฺสตฺวา อิตเรสํ ติจีวราทีนํ มุฎฺฐิปญฺจกาทิปเภทํ ปจฺฉิมปฺปมาณํ สนฺธาย ‘‘เอส นโย สเพฺพสุ อธิฎฺฐาตพฺพเกสุจีวเรสู’’ติ วุตฺตํ, ตํ น สเมติฯ
Tattha yasmā sabbesampi adhiṭṭhātabbakacīvarānaṃ vikappanupagapacchimappamāṇato aññaṃ pacchimappamāṇaṃ nāma natthi, yañhi nisīdana-kaṇḍuppaṭicchādi-vassikasāṭikānaṃ pamāṇaṃ vuttaṃ, taṃ ukkaṭṭhaṃ, tato uttari paṭisiddhattā na pacchimaṃ tato heṭṭhā appaṭisiddhattā. Ticīvarassāpi sugatacīvarappamāṇato ūnakattaṃ ukkaṭṭhappamāṇameva. Pacchimaṃ pana visuṃ sutte vuttaṃ natthi. Mukhapuñchanapaccattharaṇaparikkhāracoḷānaṃ ukkaṭṭhaparicchedo natthiyeva. Vikappanupagapacchimena pana pacchimaparicchedo vutto. Tasmā yaṃ tāva andhakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘pacchimappamāṇaṃ adhiṭṭhānaṃ rakkhatī’’ti vatvā tattha parikkhāracoḷasseva sugataṅgulena aṭṭhaṅgulacaturaṅgulapacchimappamāṇaṃ dassetvā itaresaṃ ticīvarādīnaṃ muṭṭhipañcakādipabhedaṃ pacchimappamāṇaṃ sandhāya ‘‘esa nayo sabbesu adhiṭṭhātabbakesucīvaresū’’ti vuttaṃ, taṃ na sameti.
กรวีกติสฺสเตฺถรวาเทปิ ทีฆนฺตโตเยว ฉิทฺทํ ทสฺสิตํ, ติริยนฺตโต น ทสฺสิตํ, ตสฺมา โส อปริจฺฉิโนฺนฯ มหาสุมเตฺถรวาเท ‘‘ปมาณจีวรสฺส ยตฺถ กตฺถจิ ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ ภินฺทติ, มหนฺตสฺส ปน ปมาณโต พหิ ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ น ภินฺทตี’’ติ วุตฺตํฯ อิทํ ปน น วุตฺตํ – ‘‘อิทํ นาม ปมาณจีวรํ อิโต อุตฺตริ มหนฺตํ จีวร’’นฺติฯ อปิเจตฺถ ติจีวราทีนํ มุฎฺฐิปญฺจกาทิเภทํ ปจฺฉิมปฺปมาณนฺติ อธิเปฺปตํฯ ตตฺถ ยทิ ปจฺฉิมปฺปมาณโต พหิ ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ น ภิเนฺทยฺย, อุกฺกฎฺฐปตฺตสฺสาปิ มชฺฌิมปตฺตสฺส วา โอมกปฺปมาณโต พหิ ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ น ภิเนฺทยฺย, น จ น ภินฺทติฯ ตสฺมา อยมฺปิ วาโท อปริจฺฉิโนฺนฯ
Karavīkatissattheravādepi dīghantatoyeva chiddaṃ dassitaṃ, tiriyantato na dassitaṃ, tasmā so aparicchinno. Mahāsumattheravāde ‘‘pamāṇacīvarassa yattha katthaci chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ bhindati, mahantassa pana pamāṇato bahi chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ na bhindatī’’ti vuttaṃ. Idaṃ pana na vuttaṃ – ‘‘idaṃ nāma pamāṇacīvaraṃ ito uttari mahantaṃ cīvara’’nti. Apicettha ticīvarādīnaṃ muṭṭhipañcakādibhedaṃ pacchimappamāṇanti adhippetaṃ. Tattha yadi pacchimappamāṇato bahi chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ na bhindeyya, ukkaṭṭhapattassāpi majjhimapattassa vā omakappamāṇato bahi chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ na bhindeyya, na ca na bhindati. Tasmā ayampi vādo aparicchinno.
โย ปนายํ สพฺพปฐโม อฎฺฐกถาวาโท, อยเมเวตฺถ ปมาณํฯ กสฺมา? ปริเจฺฉทสพฺภาวโตฯ ติจีวรสฺส หิ ปจฺฉิมปฺปมาณญฺจ ฉิทฺทปฺปมาณญฺจ ฉิทฺทุปฺปตฺติเทสปฺปมาณญฺจ สพฺพอฎฺฐกถาสุเยว ปริจฺฉินฺทิตฺวา วุตฺตํ, ตสฺมา เสฺวว วาโท ปมาณํฯ อทฺธา หิ โส ภควโต อธิปฺปายํ อนุคนฺตฺวา วุโตฺตฯ อิตเรสุ ปน เนว ปริเจฺฉโท อตฺถิ, น ปุพฺพาปรํ สเมตีติฯ
Yo panāyaṃ sabbapaṭhamo aṭṭhakathāvādo, ayamevettha pamāṇaṃ. Kasmā? Paricchedasabbhāvato. Ticīvarassa hi pacchimappamāṇañca chiddappamāṇañca chidduppattidesappamāṇañca sabbaaṭṭhakathāsuyeva paricchinditvā vuttaṃ, tasmā sveva vādo pamāṇaṃ. Addhā hi so bhagavato adhippāyaṃ anugantvā vutto. Itaresu pana neva paricchedo atthi, na pubbāparaṃ sametīti.
โย ปน ทุพฺพลฎฺฐาเน ปฐมํ อคฺคฬํ ทตฺวา ปจฺฉา ทุพฺพลฎฺฐานํ ฉินฺทิตฺวา อปเนติ, อธิฎฺฐานํ น ภิชฺชติฯ มณฺฑลปริวตฺตเนปิ เอเสว นโยฯ ทุปฎฺฎสฺส เอกสฺมิํ ปฎเล ฉิเทฺท วา ชาเต คฬิเต วา อธิฎฺฐานํ น ภิชฺชติ, ขุทฺทกํ จีวรํ มหนฺตํ กโรติ, มหนฺตํ วา ขุทฺทกํ กโรติ, อธิฎฺฐานํ น ภิชฺชติฯ อุโภ โกฎิโย มเชฺฌ กโรโนฺต สเจ ปฐมํ ฉินฺทิตฺวา ปจฺฉา ฆเฎติ, อธิฎฺฐานํ ภิชฺชติฯ อถ ฆเฎตฺวา ฉินฺทติ, น ภิชฺชติ, รชเกหิ โธวาเปตฺวา เสตํ การาเปนฺตสฺสาปิ อธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐานเมวาติ ฯ อยํ ตาว ‘‘อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ วิกเปฺปตี’’ติ เอตฺถ อธิฎฺฐาเน วินิจฺฉโยฯ
Yo pana dubbalaṭṭhāne paṭhamaṃ aggaḷaṃ datvā pacchā dubbalaṭṭhānaṃ chinditvā apaneti, adhiṭṭhānaṃ na bhijjati. Maṇḍalaparivattanepi eseva nayo. Dupaṭṭassa ekasmiṃ paṭale chidde vā jāte gaḷite vā adhiṭṭhānaṃ na bhijjati, khuddakaṃ cīvaraṃ mahantaṃ karoti, mahantaṃ vā khuddakaṃ karoti, adhiṭṭhānaṃ na bhijjati. Ubho koṭiyo majjhe karonto sace paṭhamaṃ chinditvā pacchā ghaṭeti, adhiṭṭhānaṃ bhijjati. Atha ghaṭetvā chindati, na bhijjati, rajakehi dhovāpetvā setaṃ kārāpentassāpi adhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhānamevāti . Ayaṃ tāva ‘‘antodasāhaṃ adhiṭṭheti vikappetī’’ti ettha adhiṭṭhāne vinicchayo.
วิกปฺปเน ปน เทฺว วิกปฺปนา – สมฺมุขาวิกปฺปนา จ ปรมฺมุขาวิกปฺปนา จฯ กถํ สมฺมุขาวิกปฺปนา โหตีติ? จีวรานํ เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ‘‘‘อิมํ จีวร’นฺติ วา ‘อิมานิ จีวรานี’ติ วา ‘เอตํ จีวร’นฺติ วา ‘เอตานิ จีวรานี’’’ติ วา ‘‘ตุยฺหํ วิกเปฺปมี’’ติ วตฺตพฺพํ, อยเมกา สมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริภุญฺชิตุํ ปน วิสฺสเชฺชตุํ วา อธิฎฺฐาตุํ วา น วฎฺฎติฯ ‘‘มยฺหํ สนฺตกํ, มยฺหํ สนฺตกานิ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติ เอวํ ปน วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติฯ ตโตปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ
Vikappane pana dve vikappanā – sammukhāvikappanā ca parammukhāvikappanā ca. Kathaṃ sammukhāvikappanā hotīti? Cīvarānaṃ ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā ‘‘‘imaṃ cīvara’nti vā ‘imāni cīvarānī’ti vā ‘etaṃ cīvara’nti vā ‘etāni cīvarānī’’’ti vā ‘‘tuyhaṃ vikappemī’’ti vattabbaṃ, ayamekā sammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhuñjituṃ pana vissajjetuṃ vā adhiṭṭhātuṃ vā na vaṭṭati. ‘‘Mayhaṃ santakaṃ, mayhaṃ santakāni paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti evaṃ pana vutte paccuddhāro nāma hoti. Tatopabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti.
อปโรปิ นโย – ตเถว จีวรานํ เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ตเสฺสว ภิกฺขุโน สนฺติเก ‘‘‘อิมํ จีวร’นฺติ วา ‘อิมานิ จีวรานี’ติ วา ‘เอตํ จีวร’นฺติ วา ‘เอตานิ จีวรานี’’’ติ วา วตฺวา ปญฺจสุ สหธมฺมิเกสุ อญฺญตรสฺส อตฺตนา อภิรุจิตสฺส ยสฺส กสฺสจิ นามํ คเหตฺวา ‘‘‘ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน วิกเปฺปมี’ติ วา ‘ติสฺสาย ภิกฺขุนิยา, สิกฺขมานาย, ติสฺสสฺส สามเณรสฺส, ติสฺสาย สามเณริยา วิกเปฺปมี’’’ติ วา วตฺตพฺพํ, อยํ อปราปิ สมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริโภคาทีสุ ปน เอกมฺปิ น วฎฺฎติฯ เตน ปน ภิกฺขุนา ‘‘ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน สนฺตกํ…เป.… ติสฺสาย สามเณริยา สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติ วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติฯ ตโตปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ
Aparopi nayo – tatheva cīvarānaṃ ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā tasseva bhikkhuno santike ‘‘‘imaṃ cīvara’nti vā ‘imāni cīvarānī’ti vā ‘etaṃ cīvara’nti vā ‘etāni cīvarānī’’’ti vā vatvā pañcasu sahadhammikesu aññatarassa attanā abhirucitassa yassa kassaci nāmaṃ gahetvā ‘‘‘tissassa bhikkhuno vikappemī’ti vā ‘tissāya bhikkhuniyā, sikkhamānāya, tissassa sāmaṇerassa, tissāya sāmaṇeriyā vikappemī’’’ti vā vattabbaṃ, ayaṃ aparāpi sammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhogādīsu pana ekampi na vaṭṭati. Tena pana bhikkhunā ‘‘tissassa bhikkhuno santakaṃ…pe… tissāya sāmaṇeriyā santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti vutte paccuddhāro nāma hoti. Tatopabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti.
กถํ ปรมฺมุขาวิกปฺปนา โหตีติ? จีวรานํ ตเถว เอกพหุภาวํ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวญฺจ ญตฺวา ‘‘‘อิมํ จีวร’นฺติ วา ‘อิมานิ จีวรานี’ติ วา ‘เอตํ จีวร’นฺติ วา ‘เอตานิ จีวรานี’’’ติ วา วตฺวา ‘‘ตุยฺหํ วิกปฺปนตฺถาย ทมฺมี’’ติ วตฺตพฺพํฯ เตน วตฺตโพฺพ – ‘‘โก เต มิโตฺต วา สนฺทิโฎฺฐ วา’’ติ? ตโต อิตเรน ปุริมนเยเนว ‘‘ติโสฺส ภิกฺขูติ วา…เป.… ติสฺสา สามเณรี’’ติ วา วตฺตพฺพํฯ ปุน เตน ภิกฺขุนา ‘‘อหํ ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน ทมฺมีติ วา…เป.… ติสฺสาย สามเณริยา ทมฺมี’’ติ วา วตฺตพฺพํ, อยํ ปรมฺมุขาวิกปฺปนาฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎติ, ปริโภคาทีสุ ปน เอกมฺปิ น วฎฺฎติฯ เตน ปน ภิกฺขุนา ทุติยสมฺมุขาวิกปฺปนายํ วุตฺตนเยเนว ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหี’’ติ วุเตฺต ปจฺจุทฺธาโร นาม โหติฯ ตโตปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺติฯ
Kathaṃ parammukhāvikappanā hotīti? Cīvarānaṃ tatheva ekabahubhāvaṃ sannihitāsannihitabhāvañca ñatvā ‘‘‘imaṃ cīvara’nti vā ‘imāni cīvarānī’ti vā ‘etaṃ cīvara’nti vā ‘etāni cīvarānī’’’ti vā vatvā ‘‘tuyhaṃ vikappanatthāya dammī’’ti vattabbaṃ. Tena vattabbo – ‘‘ko te mitto vā sandiṭṭho vā’’ti? Tato itarena purimanayeneva ‘‘tisso bhikkhūti vā…pe… tissā sāmaṇerī’’ti vā vattabbaṃ. Puna tena bhikkhunā ‘‘ahaṃ tissassa bhikkhuno dammīti vā…pe… tissāya sāmaṇeriyā dammī’’ti vā vattabbaṃ, ayaṃ parammukhāvikappanā. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭati, paribhogādīsu pana ekampi na vaṭṭati. Tena pana bhikkhunā dutiyasammukhāvikappanāyaṃ vuttanayeneva ‘‘itthannāmassa santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā yathāpaccayaṃ vā karohī’’ti vutte paccuddhāro nāma hoti. Tatopabhuti paribhogādayopi vaṭṭanti.
ทฺวินฺนํ วิกปฺปนานํ กิํ นานากรณํ? สมฺมุขาวิกปฺปนายํ สยํ วิกเปฺปตฺวา ปเรน ปจฺจุทฺธราเปติ ฯ ปรมฺมุขาวิกปฺปนาย ปเรเนว วิกปฺปาเปตฺวา ปเรเนว ปจฺจุทฺธราเปติ, อิทเมตฺถ นานากรณํฯ สเจ ปน ยสฺส วิกเปฺปติ, โส ปญฺญตฺติโกวิโท น โหติ, น ชานาติ ปจฺจุทฺธริตุํ, ตํ จีวรํ คเหตฺวา อญฺญสฺส พฺยตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุน วิกเปฺปตฺวา ปจฺจุทฺธราเปตพฺพํฯ วิกปฺปิตวิกปฺปนา นาเมสา วฎฺฎติฯ อยํ ‘‘วิกเปฺปตี’’ติ อิมสฺมิํ ปเท วินิจฺฉโยฯ
Dvinnaṃ vikappanānaṃ kiṃ nānākaraṇaṃ? Sammukhāvikappanāyaṃ sayaṃ vikappetvā parena paccuddharāpeti . Parammukhāvikappanāya pareneva vikappāpetvā pareneva paccuddharāpeti, idamettha nānākaraṇaṃ. Sace pana yassa vikappeti, so paññattikovido na hoti, na jānāti paccuddharituṃ, taṃ cīvaraṃ gahetvā aññassa byattassa santikaṃ gantvā puna vikappetvā paccuddharāpetabbaṃ. Vikappitavikappanā nāmesā vaṭṭati. Ayaṃ ‘‘vikappetī’’ti imasmiṃ pade vinicchayo.
‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’’นฺติอาทิวจนโต จ อิทํ ‘‘วิกเปฺปตี’’ติ อวิเสเสน วุตฺตวจนํ วิรุทฺธํ วิย ทิสฺสติ, น จ วิรุทฺธํ ตถาคตา ภาสนฺติฯ ตสฺมา เอวมสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพ, ติจีวรํ ติจีวรสเงฺขเปเนว ปริหรโต อธิฎฺฐาตุเมว อนุชานามิ, น วิกเปฺปตุํฯ วสฺสิกสาฎิกํ ปน จาตุมาสโต ปรํ วิกเปฺปตุเมว น อธิฎฺฐาตุํฯ เอวญฺจ สติ โย ติจีวเร เอเกน จีวเรน วิปฺปวสิตุกาโม โหติ, ตสฺส ติจีวราธิฎฺฐานํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิปฺปวาสสุขตฺถํ วิกปฺปนาย โอกาโส ทิโนฺน โหติฯ ทสาหาติกฺกเม จ อนาปตฺตีติ เอเตนุปาเยน สพฺพตฺถ วิกปฺปนาย อปฺปฎิสิทฺธภาโว เวทิตโพฺพฯ
‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’’ntiādivacanato ca idaṃ ‘‘vikappetī’’ti avisesena vuttavacanaṃ viruddhaṃ viya dissati, na ca viruddhaṃ tathāgatā bhāsanti. Tasmā evamassa attho veditabbo, ticīvaraṃ ticīvarasaṅkhepeneva pariharato adhiṭṭhātumeva anujānāmi, na vikappetuṃ. Vassikasāṭikaṃ pana cātumāsato paraṃ vikappetumeva na adhiṭṭhātuṃ. Evañca sati yo ticīvare ekena cīvarena vippavasitukāmo hoti, tassa ticīvarādhiṭṭhānaṃ paccuddharitvā vippavāsasukhatthaṃ vikappanāya okāso dinno hoti. Dasāhātikkame ca anāpattīti etenupāyena sabbattha vikappanāya appaṭisiddhabhāvo veditabbo.
วิสฺสเชฺชตีติ อญฺญสฺส เทติฯ กถํ ปน ทินฺนํ โหติ, กถํ คหิตํ? ‘‘อิมํ ตุยฺหํ เทมิ ททามิ ทชฺชามิ โอโณเชมิ ปริจฺจชามิ นิสฺสชฺชามิ วิสฺสชฺชามีติ วา ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส เทมิ…เป.… นิสฺสชฺชามี’’ติ วา วทติ, สมฺมุขาปิ ปรมฺมุขาปิ ทินฺนํเยว โหติฯ ‘‘ตุยฺหํ คณฺหาหี’’ติ วุเตฺต ‘‘มยฺหํ คณฺหามี’’ติ วทติ, สุทินฺนํ สุคฺคหิตญฺจฯ ‘‘ตว สนฺตกํ กโรหิ, ตว สนฺตกํ โหตุ, ตว สนฺตกํ กริสฺสสี’’ติ วุเตฺต ‘‘มม สนฺตกํ กโรมิ, มม สนฺตกํ โหตุ, มม สนฺตกํ กริสฺสามี’’ติ วทติ, ทุทฺทินฺนํ ทุคฺคหิตญฺจฯ เนว ทาตา ทาตุํ ชานาติ, น อิตโร คเหตุํฯ สเจ ปน ‘‘ตว สนฺตกํ กโรหี’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ, ภเนฺต, มยฺหํ คณฺหามี’’ติ คณฺหาติ, สุคฺคหิตํฯ สเจ ปน ‘‘เอโก คณฺหาหี’’ติ วทติ, อิตโร ‘‘น คณฺหามี’’ติ ปุน โส ‘‘ทินฺนํ มยา ตุยฺหํ, คณฺหาหี’’ติ วทติ, อิตโรปิ ‘‘น มยฺหํ อิมินา อโตฺถ’’ติ วทติฯ ตโต ปุริโมปิ ‘‘มยา ทินฺน’’นฺติ ทสาหํ อติกฺกาเมติ, ปจฺฉิโมปิ ‘‘มยา ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติฯ กสฺส อาปตฺตีติ? น กสฺสจิ อาปตฺติฯ ยสฺส ปน รุจฺจติ, เตน อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ
Vissajjetīti aññassa deti. Kathaṃ pana dinnaṃ hoti, kathaṃ gahitaṃ? ‘‘Imaṃ tuyhaṃ demi dadāmi dajjāmi oṇojemi pariccajāmi nissajjāmi vissajjāmīti vā ‘‘itthannāmassa demi…pe… nissajjāmī’’ti vā vadati, sammukhāpi parammukhāpi dinnaṃyeva hoti. ‘‘Tuyhaṃ gaṇhāhī’’ti vutte ‘‘mayhaṃ gaṇhāmī’’ti vadati, sudinnaṃ suggahitañca. ‘‘Tava santakaṃ karohi, tava santakaṃ hotu, tava santakaṃ karissasī’’ti vutte ‘‘mama santakaṃ karomi, mama santakaṃ hotu, mama santakaṃ karissāmī’’ti vadati, duddinnaṃ duggahitañca. Neva dātā dātuṃ jānāti, na itaro gahetuṃ. Sace pana ‘‘tava santakaṃ karohī’’ti vutte ‘‘sādhu, bhante, mayhaṃ gaṇhāmī’’ti gaṇhāti, suggahitaṃ. Sace pana ‘‘eko gaṇhāhī’’ti vadati, itaro ‘‘na gaṇhāmī’’ti puna so ‘‘dinnaṃ mayā tuyhaṃ, gaṇhāhī’’ti vadati, itaropi ‘‘na mayhaṃ iminā attho’’ti vadati. Tato purimopi ‘‘mayā dinna’’nti dasāhaṃ atikkāmeti, pacchimopi ‘‘mayā paṭikkhitta’’nti. Kassa āpattīti? Na kassaci āpatti. Yassa pana ruccati, tena adhiṭṭhahitvā paribhuñjitabbaṃ.
โย ปน อธิฎฺฐาเน เวมติโก, เตน กิํ กาตพฺพํ? เวมติกภาวํ อาโรเจตฺวา สเจ อนธิฎฺฐิตํ ภวิสฺสติ, เอวํ เม กปฺปิยํ โหตีติ วตฺวา วุตฺตนเยเนว นิสฺสชฺชิตพฺพํฯ น หิ เอวํ ชานาเปตฺวา วินยกมฺมํ กโรนฺตสฺส มุสาวาโท โหติฯ เกจิ ปน ‘‘เอเกน ภิกฺขุนา วิสฺสาสํ คเหตฺวา ปุน ทินฺนํ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติ, ตํ น ยุชฺชติฯ น หิ ตเสฺสตํ วินยกมฺมํ, นาปิ ตํ เอตฺตเกน อญฺญํ วตฺถุํ โหติฯ
Yo pana adhiṭṭhāne vematiko, tena kiṃ kātabbaṃ? Vematikabhāvaṃ ārocetvā sace anadhiṭṭhitaṃ bhavissati, evaṃ me kappiyaṃ hotīti vatvā vuttanayeneva nissajjitabbaṃ. Na hi evaṃ jānāpetvā vinayakammaṃ karontassa musāvādo hoti. Keci pana ‘‘ekena bhikkhunā vissāsaṃ gahetvā puna dinnaṃ vaṭṭatī’’ti vadanti, taṃ na yujjati. Na hi tassetaṃ vinayakammaṃ, nāpi taṃ ettakena aññaṃ vatthuṃ hoti.
นสฺสตีติอาทิ อุตฺตานตฺถเมวฯ โย น ทเทยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ เอตฺถ ‘‘มยฺหํ ทินฺนํ อิมินา’’ติ อิมาย สญฺญาย น เทนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ ตสฺส สนฺตกภาวํ ปน ญตฺวา เลเสน อจฺฉินฺทโนฺต ภณฺฑํ อคฺฆาเปตฺวา กาเรตโพฺพติฯ
Nassatītiādi uttānatthameva. Yo na dadeyya āpatti dukkaṭassāti ettha ‘‘mayhaṃ dinnaṃ iminā’’ti imāya saññāya na dentassa dukkaṭaṃ. Tassa santakabhāvaṃ pana ñatvā lesena acchindanto bhaṇḍaṃ agghāpetvā kāretabboti.
สมุฎฺฐานาทีสุ อิทํ สิกฺขาปทํ กถินสมุฎฺฐานํ นาม กายวาจาโต จ กายวาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐาติ, อนธิฎฺฐาเนน จ อวิกปฺปเนน จ อาปชฺชนโต อกิริยํ, สญฺญาย อภาเวปิ น มุจฺจติ, อชานโนฺตปิ อาปชฺชตีติ โนสญฺญาวิโมกฺขํ, อจิตฺตกํ, ปณฺณตฺติวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, ติจิตฺตํ, ติเวทนนฺติฯ
Samuṭṭhānādīsu idaṃ sikkhāpadaṃ kathinasamuṭṭhānaṃ nāma kāyavācāto ca kāyavācācittato ca samuṭṭhāti, anadhiṭṭhānena ca avikappanena ca āpajjanato akiriyaṃ, saññāya abhāvepi na muccati, ajānantopi āpajjatīti nosaññāvimokkhaṃ, acittakaṃ, paṇṇattivajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, ticittaṃ, tivedananti.
ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทํ • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā