Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
๔. นิสฺสคฺคิยกโณฺฑ
4. Nissaggiyakaṇḍo
๑. จีวรวโคฺค
1. Cīvaravaggo
๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา
1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā
๔๕๙. สมิตาวินาติ สมิตา’เนน กิเลสาติ สมิตาวี, เตน สมิตาวินาฯ ‘‘ตีณิ จีวรานี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ติจีวร’’นฺติ วุตฺตํฯ สงฺขฺยาปุโพฺพ ทิคุเนกวจนนฺติ เอตฺถ ลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ ตํ ปน อธิฎฺฐิตสฺสปิ อนธิฎฺฐิตสฺสปิ นามํ ‘‘เอกรตฺตมฺปิ เจ ภิกฺขุ ติจีวเรน วิปฺปวเสยฺยา’’ติอาทีสุ ติจีวราธิฎฺฐาเนน อธิฎฺฐิตสฺส นามํฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘) เอตฺถ อนธิฎฺฐิตสฺส นามํ, อิธ ตทุภยมฺปิ สมฺภวติฯ ‘‘ภควตา ภิกฺขูนํ ติจีวรํ อนุญฺญาตํ โหตี’’ติ เอตฺถ อธิฎฺฐิตเมวฯ ‘‘อเญฺญเนว ติจีวเรน คามํ ปวิสนฺตี’’ติ เอตฺถ อนธิฎฺฐิตเมวฯ เอกสฺมิํเยว หิ จีวเร ติจีวราธิฎฺฐานํ รุหติ, น อิตรสฺมิํ ปตฺตาธิฎฺฐานํ วิย, ตสฺมา อิตรํ อติเรกฎฺฐาเน ติฎฺฐติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘กถญฺหิ นาม ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู อติเรกจีวรํ ธาเรสฺสนฺตี’’ติอาทิฯ
459.Samitāvināti samitā’nena kilesāti samitāvī, tena samitāvinā. ‘‘Tīṇi cīvarānī’’ti vattabbe ‘‘ticīvara’’nti vuttaṃ. Saṅkhyāpubbo digunekavacananti ettha lakkhaṇaṃ veditabbaṃ. Taṃ pana adhiṭṭhitassapi anadhiṭṭhitassapi nāmaṃ ‘‘ekarattampi ce bhikkhu ticīvarena vippavaseyyā’’tiādīsu ticīvarādhiṭṭhānena adhiṭṭhitassa nāmaṃ. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātu’’nti (mahāva. 358) ettha anadhiṭṭhitassa nāmaṃ, idha tadubhayampi sambhavati. ‘‘Bhagavatā bhikkhūnaṃ ticīvaraṃ anuññātaṃ hotī’’ti ettha adhiṭṭhitameva. ‘‘Aññeneva ticīvarena gāmaṃ pavisantī’’ti ettha anadhiṭṭhitameva. Ekasmiṃyeva hi cīvare ticīvarādhiṭṭhānaṃ ruhati, na itarasmiṃ pattādhiṭṭhānaṃ viya, tasmā itaraṃ atirekaṭṭhāne tiṭṭhati. Tena vuttaṃ ‘‘kathañhi nāma chabbaggiyā bhikkhū atirekacīvaraṃ dhāressantī’’tiādi.
๔๖๐-๑. ปฐมปญฺญตฺติยา ปเนตฺถ เอกรตฺตมฺปิ อติเรกจีวรํ ธาเรยฺย, นิสฺสคฺคิยํ วุตฺตํ โหติ, ตโต ปรํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทสาหปรมํ อติเรกจีวรํ ธาเรตุํฯ เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ ‘ทสาหปรมํ อติเรกจีวรํ ธาเรตพฺพํ, ตํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’’นฺติ เอวํ ภควา ปริปุณฺณํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปสิฯ อถ ปจฺฉิมโพธิยํ อชาตสตฺตุกาเล กถินํ อนุญฺญาตํ, ตโต ปฎฺฐาย ภิกฺขู อิทํ สิกฺขาปทํ ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ ภิกฺขุนา อุพฺภตสฺมิํ กถิเน ทสาห…เป.… ปาจิตฺติย’’นฺติ อุทฺทิสนฺติ, เอส นโย ทุติยตติยกถิเนสุปิฯ ตถาปิ กงฺขาวิตรณิยํ (กงฺขา. อฎฺฐ. กถินสิกฺขาปทวณฺณนา) ‘‘ทสาหปรมนฺติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺตี’’ติ เอตฺตกํเยว วุตฺตํ, ตสฺมา ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ ภิกฺขุนา อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ วจนํ น ปญฺญตฺติ, น จ อนุปญฺญตฺตีติ สิทฺธํฯ น หิ ปญฺญตฺติวตฺถุสฺมิํ, อนุปญฺญตฺติวตฺถุมฺหิ วา กถินาธิกาโร ทิสฺสตีติ ยถาวุตฺตนโยว สาโรติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ อถาปิ สิยา ‘‘กถินสฺสุปฺปตฺติกาลโต ปฎฺฐาย ภควโต วจนํ อนุปญฺญตฺติภาเวน วุตฺต’’นฺติฯ ยทิ เอวํ เทฺว อนุปญฺญตฺติโย สิยุํ, ตโต ปริวาเร (ปริ. ๒๔) ‘‘เอกา อนุปญฺญตฺตี’’ติวจนวิโรโธฯ อปิจ ยถาวุตฺตนยทีปนตฺถํ อิธ ตํ วจนํ ปฐมปญฺญตฺติกาเล อวตฺวา ปจฺฉา วุตฺตํฯ เอตฺถ สาธิตตฺตา ทุติยตติเยสุ ปจฺฉา วุตฺตปฐมปญฺญตฺตีสุ เอวํ วุตฺตํฯ อญฺญถา ตตฺถปิ ตํ วจนํ ปจฺฉา วตฺตพฺพํ สิยาฯ อนุคณฺฐิปเท ปน ‘‘ปจฺฉา วุตฺตภาวํ สนฺธาย นิฎฺฐิตจีวรสฺมินฺติอาทีสุ อนุปญฺญตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ เสกฺขปุถุชฺชนานํ เปมํ, อรหนฺตานํ คารโวฯ ทสมํ วา นวมํ วาติ เอตฺถ ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนํฯ
460-1. Paṭhamapaññattiyā panettha ekarattampi atirekacīvaraṃ dhāreyya, nissaggiyaṃ vuttaṃ hoti, tato paraṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, dasāhaparamaṃ atirekacīvaraṃ dhāretuṃ. Evañca pana, bhikkhave, imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyātha ‘dasāhaparamaṃ atirekacīvaraṃ dhāretabbaṃ, taṃ atikkāmayato nissaggiyaṃ pācittiya’’’nti evaṃ bhagavā paripuṇṇaṃ sikkhāpadaṃ paññāpesi. Atha pacchimabodhiyaṃ ajātasattukāle kathinaṃ anuññātaṃ, tato paṭṭhāya bhikkhū idaṃ sikkhāpadaṃ ‘‘niṭṭhitacīvarasmiṃ bhikkhunā ubbhatasmiṃ kathine dasāha…pe… pācittiya’’nti uddisanti, esa nayo dutiyatatiyakathinesupi. Tathāpi kaṅkhāvitaraṇiyaṃ (kaṅkhā. aṭṭha. kathinasikkhāpadavaṇṇanā) ‘‘dasāhaparamanti ayamettha anupaññattī’’ti ettakaṃyeva vuttaṃ, tasmā ‘‘niṭṭhitacīvarasmiṃ bhikkhunā ubbhatasmiṃ kathine’’ti vacanaṃ na paññatti, na ca anupaññattīti siddhaṃ. Na hi paññattivatthusmiṃ, anupaññattivatthumhi vā kathinādhikāro dissatīti yathāvuttanayova sāroti niṭṭhamettha gantabbaṃ. Athāpi siyā ‘‘kathinassuppattikālato paṭṭhāya bhagavato vacanaṃ anupaññattibhāvena vutta’’nti. Yadi evaṃ dve anupaññattiyo siyuṃ, tato parivāre (pari. 24) ‘‘ekā anupaññattī’’tivacanavirodho. Apica yathāvuttanayadīpanatthaṃ idha taṃ vacanaṃ paṭhamapaññattikāle avatvā pacchā vuttaṃ. Ettha sādhitattā dutiyatatiyesu pacchā vuttapaṭhamapaññattīsu evaṃ vuttaṃ. Aññathā tatthapi taṃ vacanaṃ pacchā vattabbaṃ siyā. Anugaṇṭhipade pana ‘‘pacchā vuttabhāvaṃ sandhāya niṭṭhitacīvarasmintiādīsu anupaññattī’’ti vuttaṃ. Sekkhaputhujjanānaṃ pemaṃ, arahantānaṃ gāravo. Dasamaṃ vā navamaṃ vāti ettha bhummatthe upayogavacanaṃ.
๔๖๒-๓. นิฎฺฐิตจีวรสฺมินฺติ อิทํ เกวลํ จีวรปลิโพธาภาวมตฺตทีปนตฺถํ วุตฺตํ, ตสฺมา ‘‘นฎฺฐํ วา วินฎฺฐํ วา ทฑฺฒํ วา จีวราสา วา อุปจฺฉินฺนา’’ติ วุตฺตํฯ ยทิ ทสาหปรมํ ธาเรตพฺพจีวรทสฺสนตฺถํ วุตฺตํ สิยา, นฎฺฐาทิกํ โส ธาเรยฺยฯ ธารณเญฺจตฺถ ฐปนํ, ปริโภโค วาฯ ตํ ทฺวยํ กเตปิ ยุชฺชติ, อกเตปิ ยุชฺชติ, ตสฺมา ‘‘กตํ วา โหตี’’ติปิ น วตฺตพฺพํฯ น หิ กตเมว อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยนฺติ, ตสฺมา ยํ จีวรํ อุปาทาย ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตมฺปิ อุพฺภตสฺมิํ กถิเน ทสาหปรมํ กาลํ ธาเรตพฺพนฺติ อโตฺถ น คเหตโพฺพฯ ตญฺหิ จีวรํ สนฺตเญฺจ, อุพฺภตสฺมิํ กถิเน เอกทิวสมฺปิ ปริหารํ น ลพฺภติฯ อปิจ ‘‘จีวรํ นาม วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิม’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ จ กตํ นาม โหติ, ตสฺมาปิ น ตํ สนฺธาย ธาเรตพฺพนฺติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํ อสมฺภวโตฯ
462-3.Niṭṭhitacīvarasminti idaṃ kevalaṃ cīvarapalibodhābhāvamattadīpanatthaṃ vuttaṃ, tasmā ‘‘naṭṭhaṃ vā vinaṭṭhaṃ vā daḍḍhaṃ vā cīvarāsā vā upacchinnā’’ti vuttaṃ. Yadi dasāhaparamaṃ dhāretabbacīvaradassanatthaṃ vuttaṃ siyā, naṭṭhādikaṃ so dhāreyya. Dhāraṇañcettha ṭhapanaṃ, paribhogo vā. Taṃ dvayaṃ katepi yujjati, akatepi yujjati, tasmā ‘‘kataṃ vā hotī’’tipi na vattabbaṃ. Na hi katameva atikkāmayato nissaggiyanti, tasmā yaṃ cīvaraṃ upādāya ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’nti vuttaṃ. Tampi ubbhatasmiṃ kathine dasāhaparamaṃ kālaṃ dhāretabbanti attho na gahetabbo. Tañhi cīvaraṃ santañce, ubbhatasmiṃ kathine ekadivasampi parihāraṃ na labbhati. Apica ‘‘cīvaraṃ nāma vikappanupagaṃ pacchima’’nti vuttaṃ. Tattha ca kataṃ nāma hoti, tasmāpi na taṃ sandhāya dhāretabbanti vuttanti veditabbaṃ asambhavato.
อนุคณฺฐิปเท ปเนตํ วุตฺตํ ‘‘ตตฺถ สิยา – ตสฺส ภิกฺขุโน จีวรํ นฎฺฐาทีสุ อญฺญตรํ ยทิ ภเวยฺย, กตมํ จีวรํ ทสาหปรมํ ธาเรยฺยฯ ยสฺมา ธาเรตพฺพจีวรํ นตฺถิ, ตสฺมา อตฺถุทฺธารวเสน กรณปลิโพธทสฺสนตฺถํ ‘นฎฺฐํ วา’ติอาทิปทานิ วุตฺตานิฯ อยํ ปนโตฺถ ‘นฎฺฐํ วา’ติอาทินา นเยน วุตฺตจีวรานํ อญฺญตรสฺมิํ จีวเร อสติ คเหตโพฺพ, สติ ตํ ทสาหปรมํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยํฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ‘กตํ วา โหตี’ติ วุตฺตจีวรเมวาธิเปฺปตํฯ กสฺมา ปน กตจีวรํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปตนฺติ น วุตฺตนฺติ เจ? ปากฎตฺตาฯ กถํ? นฎฺฐวินฎฺฐจีวราทีนํ ธารณสฺส อภาวโต กตจีวรเมว อิธาธิเปฺปตนฺติ ปากฎํฯ ยถา กิํ? ยถา ปฐมานิยเต เมถุนกายสํสคฺครโหนิสชฺชานเมวาคตตฺตา โสตสฺส รโห อตฺถุทฺธารวเสน วุโตฺตติ ปากโฎ, ตสฺมา ‘จกฺขุสฺส รโห อิตรสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต’ติ น วุโตฺตฯ เอวํสมฺปทมิทนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘กตํ วา โหตี’ติ อิทํ น วตฺตพฺพํ, กสฺมา? อกตํ อติกฺกามยโตปิ นิสฺสคฺคิยตฺตา, กิญฺจาปิ นิสฺสคฺคิยํ โหติ , อิธ ปน ติจีวราธิฎฺฐานมธิเปฺปตํฯ ตสฺมิํ ติจีวราธิฎฺฐาเน อกตํ, อรชิตํ, อกปฺปิยกตญฺจ ‘อิมํ สงฺฆาฎิํ อธิฎฺฐามี’ติอาทินา นเยน อธิฎฺฐาตุํ น วฎฺฎติ, ตทตฺถทีปนตฺถํ ‘กตํ วา โหตี’ติ วุตฺตํฯ อิตรถา ‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ ปฎิลเทฺธ’ติ วเทยฺย, เอวํ สเนฺต ติจีวรํ ทสาหํ อติกฺกามยโต นิสฺสคฺคิยนฺติ กถํ ปญฺญายตีติ เจ? วจนปฺปมาณโตฯ ‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’นฺติ วุตฺตตฺตา อิธาปิ ‘อติเรกจีวรํ นาม อนธิฎฺฐิต’นฺติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพํ สิยาฯ ยสฺมา ‘กตํ วา โหตี’ติ วจเนน อิธาธิเปฺปตจีวเรน สทฺธิํ เสสมฺปิ ทสาหปรมโต อุตฺตริ ธาเรตุํ น ลพฺภตีติ อนุชานโนฺต ‘อติเรกจีวรํ นาม อนธิฎฺฐิตํ อวิกปฺปิต’นฺติ อาหฯ ตตฺถ สิยา – ยถา ‘อวิกปฺปิต’นฺติ อตฺถุทฺธารวเสน วุตฺตํ, ตถา ‘วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิม’นฺติปิฯ กสฺมา? ยสฺมา ติจีวรเมว ทสาหปรมํ ธาเรตพฺพํ ‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’นฺติอาทิอนุปญฺญตฺติวเสนฯ อิตรถา เอกาหาติกฺกเมปิ นิสฺสคฺคิยํ โหติ ‘โย ปน, ภิกฺขุ, อติเรกจีวรํ ธาเรยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’นฺติ วจนโตฯ น ติจีวรโต อญฺญมฺปิ จีวรํ ทสาหปรมํ ธาเรตพฺพํ, ตโต ปรํ นิสฺสคฺคิยํ ‘อโนฺตทสาห’นฺติ วุตฺตตฺตาฯ ยถาห ‘อนาปตฺติ อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ, วิกเปฺปตี’ติ, อิตรถา ‘อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐตี’ติ วจนมตฺตเมว ภเวยฺย, ตสฺมา อฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยเนว อโตฺถ คเหตโพฺพฯ อิทํ สพฺพํ อปเร วทนฺตี’’ติฯ เอตฺถ อโนฺตกถิเน อุปฺปนฺนจีวรํ กตเมว สนฺตเญฺจ, ทสาหปรมํ ธาเรตพฺพนฺติ อิทญฺจิมสฺส สาธนตฺถํ วุตฺตวจนญฺจ ปรโต อิเธว วุตฺตวิจารณาย ยถาวุตฺตยุตฺติยา จ วิรุชฺฌตีติ น คเหตพฺพํฯ
Anugaṇṭhipade panetaṃ vuttaṃ ‘‘tattha siyā – tassa bhikkhuno cīvaraṃ naṭṭhādīsu aññataraṃ yadi bhaveyya, katamaṃ cīvaraṃ dasāhaparamaṃ dhāreyya. Yasmā dhāretabbacīvaraṃ natthi, tasmā atthuddhāravasena karaṇapalibodhadassanatthaṃ ‘naṭṭhaṃ vā’tiādipadāni vuttāni. Ayaṃ panattho ‘naṭṭhaṃ vā’tiādinā nayena vuttacīvarānaṃ aññatarasmiṃ cīvare asati gahetabbo, sati taṃ dasāhaparamaṃ atikkāmayato nissaggiyaṃ. Esa nayo sabbattha. ‘Kataṃ vā hotī’ti vuttacīvaramevādhippetaṃ. Kasmā pana katacīvaraṃ imasmiṃ atthe adhippetanti na vuttanti ce? Pākaṭattā. Kathaṃ? Naṭṭhavinaṭṭhacīvarādīnaṃ dhāraṇassa abhāvato katacīvarameva idhādhippetanti pākaṭaṃ. Yathā kiṃ? Yathā paṭhamāniyate methunakāyasaṃsaggarahonisajjānamevāgatattā sotassa raho atthuddhāravasena vuttoti pākaṭo, tasmā ‘cakkhussa raho itarasmiṃ atthe adhippeto’ti na vutto. Evaṃsampadamidanti veditabbaṃ. ‘Kataṃ vā hotī’ti idaṃ na vattabbaṃ, kasmā? Akataṃ atikkāmayatopi nissaggiyattā, kiñcāpi nissaggiyaṃ hoti , idha pana ticīvarādhiṭṭhānamadhippetaṃ. Tasmiṃ ticīvarādhiṭṭhāne akataṃ, arajitaṃ, akappiyakatañca ‘imaṃ saṅghāṭiṃ adhiṭṭhāmī’tiādinā nayena adhiṭṭhātuṃ na vaṭṭati, tadatthadīpanatthaṃ ‘kataṃ vā hotī’ti vuttaṃ. Itarathā ‘niṭṭhitacīvarasmiṃ paṭiladdhe’ti vadeyya, evaṃ sante ticīvaraṃ dasāhaṃ atikkāmayato nissaggiyanti kathaṃ paññāyatīti ce? Vacanappamāṇato. ‘Anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’nti vuttattā idhāpi ‘atirekacīvaraṃ nāma anadhiṭṭhita’nti ettakameva vattabbaṃ siyā. Yasmā ‘kataṃ vā hotī’ti vacanena idhādhippetacīvarena saddhiṃ sesampi dasāhaparamato uttari dhāretuṃ na labbhatīti anujānanto ‘atirekacīvaraṃ nāma anadhiṭṭhitaṃ avikappita’nti āha. Tattha siyā – yathā ‘avikappita’nti atthuddhāravasena vuttaṃ, tathā ‘vikappanupagaṃ pacchima’ntipi. Kasmā? Yasmā ticīvarameva dasāhaparamaṃ dhāretabbaṃ ‘niṭṭhitacīvarasmi’ntiādianupaññattivasena. Itarathā ekāhātikkamepi nissaggiyaṃ hoti ‘yo pana, bhikkhu, atirekacīvaraṃ dhāreyya, nissaggiyaṃ pācittiya’nti vacanato. Na ticīvarato aññampi cīvaraṃ dasāhaparamaṃ dhāretabbaṃ, tato paraṃ nissaggiyaṃ ‘antodasāha’nti vuttattā. Yathāha ‘anāpatti antodasāhaṃ adhiṭṭheti, vikappetī’ti, itarathā ‘antodasāhaṃ adhiṭṭhetī’ti vacanamattameva bhaveyya, tasmā aṭṭhakathāyaṃ vuttanayeneva attho gahetabbo. Idaṃ sabbaṃ apare vadantī’’ti. Ettha antokathine uppannacīvaraṃ katameva santañce, dasāhaparamaṃ dhāretabbanti idañcimassa sādhanatthaṃ vuttavacanañca parato idheva vuttavicāraṇāya yathāvuttayuttiyā ca virujjhatīti na gahetabbaṃ.
อิเธว วุตฺตวิจารณา นาม – ‘‘เสฺว กถินุทฺธาโร ภวิสฺสตี’’ติ อชฺช อุปฺปนฺนจีวรํ ตทเหว อนธิฎฺฐหนฺตสฺส อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิยํฯ กสฺมา? ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติอาทินา สิกฺขาปทสฺส วุตฺตตฺตาฯ อโนฺตกถิเน อติเรกทสาหมฺปิ ปริหารํ ลภติ, กถินโต อุทฺธํ เอกทิวสมฺปิ น ลภติฯ ยถา กิํ? ยถา อตฺถตกถิโน สโงฺฆ อตฺถตทิวสโต ปฎฺฐาย ยาว อุพฺภารา เอกทิวสาวเสเสปิ กถินุพฺภาเร อานิสํสํ ลภติ, ปุนทิวเส น ลภติฯ สเจ สติสโมฺมสา ภาชนียจีวรํ น ภาชิตํ, ปุนทิวเส อนตฺถตกถินานมฺปิ สาธารณํ โหติฯ ทิวสา เจ สาวเสสา, อตฺถตกถินเสฺสว สงฺฆสฺส ปาปุณาติ, เอวเมว อตฺถตทิวสโต ปฎฺฐาย ยาว อุพฺภารา อนธิฎฺฐิตํ อวิกปฺปิตํ วฎฺฎติ อนุญฺญาตทิวสพฺภนฺตรตฺตาฯ กถินทิวโส คณนุปโค โหติ, อุพฺภตทิวสโต ปฎฺฐาย ทสาหปรมํ กาลํ อุปฺปนฺนจีวรํ ปริหารํ ลภติ, ตโต ปรํ น ลภติฯ กสฺมา? ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทสาหปรมํ อติเรกจีวรํ ธาเรตุ’’นฺติ วจนโตฯ อโนฺตกถิเนปิ เอกาทเส อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิยปฺปสงฺคํ ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ อยํ อนุปญฺญตฺติ วาเรตฺวา ฐิตา, น จ เต ทิวเส อทิวเส อกาสีติฯ ตถา ตติยกถิเน จ วิจาริตํ ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ ภิกฺขุนา อุพฺภตสฺมิํ กถิเน ภิกฺขุโน ปเนว อกาลจีวรํ อุปฺปเชฺชยฺยา’ติ วทเนฺตน ภควตา ยํ มยา เหฎฺฐา ปฐมสิกฺขาปเท ‘ทสาหปรมํ อติเรกจีวรํ ธาเรตพฺพ’นฺติ อนุญฺญาตํ, ตมฺปิ กถินมาสโต พหิ อุปฺปนฺนเมว, น อโนฺตติ ทีปิตํ โหตี’’ติ จ, ‘‘‘กาเลปิ อาทิสฺส ทินฺนํ เอตํ อกาลจีวร’นฺติ (ปารา. ๕๐๐) วจนโต กถินุพฺภารโต อุทฺธํ ทสาหปริหารํ น ลภตีติ ทีปิตํ โหติ, เตหิ สทฺธิํ ปุน กถินุพฺภารโต อุทฺธํ ปญฺจ ทิวสานิ ลภตีติ ปสโงฺคปิ ‘นิฎฺฐิตจีวร…เป.… ขิปฺปเมว กาเรตพฺพ’นฺติ อกาลจีวรสฺส อุปฺปตฺติกาลํ นิยเมตฺวา วุตฺตตฺตา วาริโต โหติฯ ตทุภเยน กถินพฺภนฺตเร อุปฺปนฺนจีวรํ กถินุพฺภารโต อุทฺธํ เอกทิวสมฺปิ ปริหารํ น ลภตีติ สิทฺธํ โหตี’’ติ จฯ ตสฺมา ทุวิธเมฺปตํ วิจารณํ สนฺธาย อเมฺหหิ ‘‘อิเธว วุตฺตวิจารณาย ยถาวุตฺตยุตฺติยา จ วิรุชฺฌตีติ น คเหตพฺพ’’นฺติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Idheva vuttavicāraṇā nāma – ‘‘sve kathinuddhāro bhavissatī’’ti ajja uppannacīvaraṃ tadaheva anadhiṭṭhahantassa aruṇuggamane nissaggiyaṃ. Kasmā? ‘‘Niṭṭhitacīvarasmi’’ntiādinā sikkhāpadassa vuttattā. Antokathine atirekadasāhampi parihāraṃ labhati, kathinato uddhaṃ ekadivasampi na labhati. Yathā kiṃ? Yathā atthatakathino saṅgho atthatadivasato paṭṭhāya yāva ubbhārā ekadivasāvasesepi kathinubbhāre ānisaṃsaṃ labhati, punadivase na labhati. Sace satisammosā bhājanīyacīvaraṃ na bhājitaṃ, punadivase anatthatakathinānampi sādhāraṇaṃ hoti. Divasā ce sāvasesā, atthatakathinasseva saṅghassa pāpuṇāti, evameva atthatadivasato paṭṭhāya yāva ubbhārā anadhiṭṭhitaṃ avikappitaṃ vaṭṭati anuññātadivasabbhantarattā. Kathinadivaso gaṇanupago hoti, ubbhatadivasato paṭṭhāya dasāhaparamaṃ kālaṃ uppannacīvaraṃ parihāraṃ labhati, tato paraṃ na labhati. Kasmā? ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, dasāhaparamaṃ atirekacīvaraṃ dhāretu’’nti vacanato. Antokathinepi ekādase aruṇuggamane nissaggiyappasaṅgaṃ ‘‘niṭṭhitacīvarasmiṃ ubbhatasmiṃ kathine’’ti ayaṃ anupaññatti vāretvā ṭhitā, na ca te divase adivase akāsīti. Tathā tatiyakathine ca vicāritaṃ ‘‘niṭṭhitacīvarasmiṃ bhikkhunā ubbhatasmiṃ kathine bhikkhuno paneva akālacīvaraṃ uppajjeyyā’ti vadantena bhagavatā yaṃ mayā heṭṭhā paṭhamasikkhāpade ‘dasāhaparamaṃ atirekacīvaraṃ dhāretabba’nti anuññātaṃ, tampi kathinamāsato bahi uppannameva, na antoti dīpitaṃ hotī’’ti ca, ‘‘‘kālepi ādissa dinnaṃ etaṃ akālacīvara’nti (pārā. 500) vacanato kathinubbhārato uddhaṃ dasāhaparihāraṃ na labhatīti dīpitaṃ hoti, tehi saddhiṃ puna kathinubbhārato uddhaṃ pañca divasāni labhatīti pasaṅgopi ‘niṭṭhitacīvara…pe… khippameva kāretabba’nti akālacīvarassa uppattikālaṃ niyametvā vuttattā vārito hoti. Tadubhayena kathinabbhantare uppannacīvaraṃ kathinubbhārato uddhaṃ ekadivasampi parihāraṃ na labhatīti siddhaṃ hotī’’ti ca. Tasmā duvidhampetaṃ vicāraṇaṃ sandhāya amhehi ‘‘idheva vuttavicāraṇāya yathāvuttayuttiyā ca virujjhatīti na gahetabba’’nti vuttanti veditabbaṃ.
เอตฺถาห – ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ อิทํ ภุมฺมํ กิํ จีวรสฺส อุปฺปตฺติ นิยเมติ, อุทาหุ ธารณํ, อุทาหุ อุภยนฺติ, กิเญฺจตฺถ, ยทิ อุปฺปตฺติํ นิยเมติ, ปจฺฉิมกตฺติกมาเส เอว อุพฺภตสฺมิํ กถิเน อุปฺปนฺนจีวรํ ตโต ปฎฺฐาย ทสาหํ ธาเรตพฺพํ อนิฎฺฐิเตปิ ตสฺมิํ มาเสติ อาปชฺชติฯ อถ ธารณํ นิยเมติ, อโนฺตกถิเน อุปฺปนฺนจีวรํ อุพฺภเตปิ ทสาหปรมํ ธาเรตพฺพนฺติ อาปชฺชติฯ อถ อุภยํ นิยเมติ, ตติยกถิเน วิย วิเสเสตฺวา วตฺตพฺพนฺติ? วุจฺจเต – กามํ อุภยํ นิยเมติ, น ปน วิเสสเน ปโยชนํ อตฺถิฯ ยํ อโนฺตกถิเน อุปฺปนฺนจีวรํ สนฺธาย ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติ วุตฺตํ, น ตํ สนฺธาย ‘‘ธาเรตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ, สาธิตเญฺหตํฯ ‘‘กตํ วา โหตี’’ติอาทิวจนโต ตทตฺถสิทฺธิ, เตน ปุน วิเสสเน ปโยชนํ นตฺถิ, น หิ กตเมว นิสฺสคฺคิยํ กโรติ, น จ นฎฺฐาทิกํ ธาเรตุํ สกฺกาติฯ เยน วา อธิปฺปาเยน ภควตา อิทํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, โส อธิปฺปาโย ตติยกถิเน ปกาสิโตติ เวทิตโพฺพฯ กสฺมา ตตฺถ ปกาสิโตติ เจ? วิเสสวิธานทสฺสนาธิปฺปายโตฯ วิเสสวิธานญฺหิ ‘‘โน จสฺส ปาริปูรี’’ติอาทิฯ ตตฺถาปิ ‘‘จีวรํ อุปฺปเชฺชยฺยา’’ติ อวตฺวา ‘‘อกาลจีวรํ อุปฺปเชฺชยฺยา’’ติ วิเสสเนน อุพฺภเตปิ กถิเน กาลจีวรํ อตฺถีติ ทีเปติฯ กิเญฺจตํ? ปจฺฉิมกตฺติกมาเส อุปฺปนฺนจีวรํ, เตเนว ตตฺถ ‘‘อนตฺถเต กถิเน เอกาทสมาเส อุปฺปนฺน’’นฺติ วุตฺตํ, ตสฺมา อุปฺปตฺตินิยเม วุตฺตโทสาภาวสิทฺธิฯ ยญฺจ ตตฺถ ‘‘กาเลปิ อาทิสฺส ทินฺนํ เอตํ อกาลจีวรํ นามา’’ติ วุตฺตํ, ตสฺส เทฺว อตฺถวิกปฺปาฯ อาเทสวเสน ‘‘อกาลจีวร’’นฺติ ลทฺธสงฺขฺยมฺปิ กาเล อุปฺปนฺนตฺตา กาลปริหารํ ลภติ, ปเควานาเทสนฺติ อยํ ปฐโม วิกโปฺป อุปฺปตฺตินิยเม วุตฺตโทสาภาวเมว อุปตฺถเมฺภติฯ ตถา อาเทสวเสน อกาลจีวรสงฺขฺยํ คตํ จีวรกาเล อุปฺปนฺนตฺตา จีวรกาลโต ปรํ ทสาหปริหารํ น ลภติ, ปเควานาเทสนฺติ อยํ ทุติโย ธารณนิยเม วุตฺตโทสาภาวเมว อุปตฺถเมฺภติฯ ยทิ เอวํ อาเทสวเสน อกาลจีวรสฺส อกาลจีวรตา กิมตฺถิกาติ เจ? สงฺฆุเทฺทสิกสฺส ตสฺส อตฺถตกถินสฺสปิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส สาธารณภาวตฺถิกาติ เวทิตพฺพาฯ
Etthāha – ‘‘niṭṭhitacīvarasmiṃ ubbhatasmiṃ kathine’’ti idaṃ bhummaṃ kiṃ cīvarassa uppatti niyameti, udāhu dhāraṇaṃ, udāhu ubhayanti, kiñcettha, yadi uppattiṃ niyameti, pacchimakattikamāse eva ubbhatasmiṃ kathine uppannacīvaraṃ tato paṭṭhāya dasāhaṃ dhāretabbaṃ aniṭṭhitepi tasmiṃ māseti āpajjati. Atha dhāraṇaṃ niyameti, antokathine uppannacīvaraṃ ubbhatepi dasāhaparamaṃ dhāretabbanti āpajjati. Atha ubhayaṃ niyameti, tatiyakathine viya visesetvā vattabbanti? Vuccate – kāmaṃ ubhayaṃ niyameti, na pana visesane payojanaṃ atthi. Yaṃ antokathine uppannacīvaraṃ sandhāya ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’nti vuttaṃ, na taṃ sandhāya ‘‘dhāretabba’’nti vuttaṃ, sādhitañhetaṃ. ‘‘Kataṃ vā hotī’’tiādivacanato tadatthasiddhi, tena puna visesane payojanaṃ natthi, na hi katameva nissaggiyaṃ karoti, na ca naṭṭhādikaṃ dhāretuṃ sakkāti. Yena vā adhippāyena bhagavatā idaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, so adhippāyo tatiyakathine pakāsitoti veditabbo. Kasmā tattha pakāsitoti ce? Visesavidhānadassanādhippāyato. Visesavidhānañhi ‘‘no cassa pāripūrī’’tiādi. Tatthāpi ‘‘cīvaraṃ uppajjeyyā’’ti avatvā ‘‘akālacīvaraṃ uppajjeyyā’’ti visesanena ubbhatepi kathine kālacīvaraṃ atthīti dīpeti. Kiñcetaṃ? Pacchimakattikamāse uppannacīvaraṃ, teneva tattha ‘‘anatthate kathine ekādasamāse uppanna’’nti vuttaṃ, tasmā uppattiniyame vuttadosābhāvasiddhi. Yañca tattha ‘‘kālepi ādissa dinnaṃ etaṃ akālacīvaraṃ nāmā’’ti vuttaṃ, tassa dve atthavikappā. Ādesavasena ‘‘akālacīvara’’nti laddhasaṅkhyampi kāle uppannattā kālaparihāraṃ labhati, pagevānādesanti ayaṃ paṭhamo vikappo uppattiniyame vuttadosābhāvameva upatthambheti. Tathā ādesavasena akālacīvarasaṅkhyaṃ gataṃ cīvarakāle uppannattā cīvarakālato paraṃ dasāhaparihāraṃ na labhati, pagevānādesanti ayaṃ dutiyo dhāraṇaniyame vuttadosābhāvameva upatthambheti. Yadi evaṃ ādesavasena akālacīvarassa akālacīvaratā kimatthikāti ce? Saṅghuddesikassa tassa atthatakathinassapi bhikkhusaṅghassa sādhāraṇabhāvatthikāti veditabbā.
อปิจ ปุคฺคลสฺส กถินทิวสาปิ ทิวสาวฯ เอวํ คณนุปคตฺตา อกาลจีวรสงฺขยาปฎิลาภานุภาเวน ‘‘อุพฺภตสฺมิํ กถิเน’’ติ วจนาเปกฺขสฺส อนิสฺสคฺคิยตฺตา ตทนุโลมตฺตา ‘‘กาลจีวรสฺสปี’’ติ เอวํ สพฺพถา จตุพฺพิธํ เอตฺถ วจนนฺติ เวทิตพฺพํฯ อปิจ อตฺถิ เอกเจฺจน กถินุทฺธาเรน อุพฺภเต กถิเน อุปฺปนฺนํ เอกจฺจสฺส ภิกฺขุโน กาลจีวรํ โหติ, เอกจฺจสฺส อกาลจีวรํ, ตํ สีมาติกฺกนฺตสฺส, โน อุพฺภารคตํฯ ตํ ทฺวินฺนํ วเสน อุพฺภเต อุปฺปนฺนํ ฐเปตฺวา อิตเรสํ อญฺญตเรน อุพฺภเต อุปฺปนฺนนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตญฺหิ ยสฺส อุพฺภตํ, ตสฺส อกาลจีวรํ, อิตรสฺส กาลจีวรํฯ ตถา อตฺถิ เอกเจฺจน กถินุทฺธาเรน อุพฺภเต กถิเน อุปฺปนฺนํ สพฺพสฺสปิ อกาลจีวรเมว โหติฯ ตํ ยถาฐปิตํ เวทิตพฺพํฯ ตถา อตฺถิ อุพฺภตสฺมิํ กถิเน อุปฺปนฺนํ ฐเปตฺวา วสฺสานสฺส ปจฺฉิเม มาเส อุปฺปนฺนํฯ ตถา อตฺถิ อุพฺภตสฺมิํ กถิเน อุปฺปนฺนํ อกาลจีวรํ, ตํ เหมเนฺต, คิเมฺห วา อุปฺปนฺนนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ ปุคฺคลกาลเภทโต พหุวิธตฺตา อุปฺปนฺนสฺส ‘‘อุพฺภตสฺมิํ กถิเน อุปฺปนฺน’’นฺติ น วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อเนกํสิกตฺตา อิมมฺปิ อตฺถวิกปฺปํ ทเสฺสตุํ ‘‘อุพฺภตสฺมิํ กถิเนติ ภิกฺขุโน กถินํ อุพฺภตํ โหตี’’ติฯ เอตฺตาวตา สิเทฺธปิ ‘‘อฎฺฐนฺนํ มาติกานํ อญฺญตรายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘ธารยามี’’ติ ภิกฺขุนีวิภเงฺค อาคโตติ วตฺตโพฺพฯ ‘‘เอว’’นฺติ วจเนน วจนเภโท ตตฺถ นตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ
Apica puggalassa kathinadivasāpi divasāva. Evaṃ gaṇanupagattā akālacīvarasaṅkhayāpaṭilābhānubhāvena ‘‘ubbhatasmiṃ kathine’’ti vacanāpekkhassa anissaggiyattā tadanulomattā ‘‘kālacīvarassapī’’ti evaṃ sabbathā catubbidhaṃ ettha vacananti veditabbaṃ. Apica atthi ekaccena kathinuddhārena ubbhate kathine uppannaṃ ekaccassa bhikkhuno kālacīvaraṃ hoti, ekaccassa akālacīvaraṃ, taṃ sīmātikkantassa, no ubbhāragataṃ. Taṃ dvinnaṃ vasena ubbhate uppannaṃ ṭhapetvā itaresaṃ aññatarena ubbhate uppannanti veditabbaṃ. Tañhi yassa ubbhataṃ, tassa akālacīvaraṃ, itarassa kālacīvaraṃ. Tathā atthi ekaccena kathinuddhārena ubbhate kathine uppannaṃ sabbassapi akālacīvarameva hoti. Taṃ yathāṭhapitaṃ veditabbaṃ. Tathā atthi ubbhatasmiṃ kathine uppannaṃ ṭhapetvā vassānassa pacchime māse uppannaṃ. Tathā atthi ubbhatasmiṃ kathine uppannaṃ akālacīvaraṃ, taṃ hemante, gimhe vā uppannanti veditabbaṃ. Evaṃ puggalakālabhedato bahuvidhattā uppannassa ‘‘ubbhatasmiṃ kathine uppanna’’nti na vuttanti veditabbaṃ. Anekaṃsikattā imampi atthavikappaṃ dassetuṃ ‘‘ubbhatasmiṃ kathineti bhikkhuno kathinaṃ ubbhataṃ hotī’’ti. Ettāvatā siddhepi ‘‘aṭṭhannaṃ mātikānaṃ aññatarāyā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Dhārayāmī’’ti bhikkhunīvibhaṅge āgatoti vattabbo. ‘‘Eva’’nti vacanena vacanabhedo tattha natthīti vuttaṃ hoti.
‘‘วิกปฺปนุปคํ ปจฺฉิม’’นฺติ อิทํ สพฺพสงฺคาหิกตฺตา วุตฺตํฯ ‘‘อธิฎฺฐานุปคํ ปจฺฉิม’’นฺติ อสพฺพสงฺคาหิกํฯ น หิ ยตฺตกํ สงฺฆาฎิ อธิฎฺฐานุปคํ ปจฺฉิมํ, ตตฺตกํ อนฺตรวาสกาทิ อธิฎฺฐานุปคํ ปจฺฉิมํ โหติ อธิฎฺฐานสฺส พหุวิธตฺตาฯ น เอวํ วิกปฺปนาย เภโท ตสฺสา เอกวิธตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘เอกาทเส อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิย’’นฺติ อนฺติมํ ฐเปตฺวา ตโต ปุริมตรสฺมินฺติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อนฺติมํ นาม อปรกตฺติกาย ปฐมารุณุคฺคมนํฯ ตญฺหิ กาลตฺตา นิสฺสคฺคิยํ น กโรติ, เตเนวาห อเจฺจกจีวรสิกฺขาปทฎฺฐกถายํ ‘‘ฉฎฺฐิโต ปฎฺฐาย ปน อุปฺปนฺนํ อนเจฺจกจีวรมฺปิ ปจฺจุทฺธริตฺวา ฐปิตจีวรมฺปิ เอตํ ปริหารํ ลภติเยวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๔๖-๙)ฯ อิมํเยว นยํ สนฺธาย ‘‘อเจฺจกจีวรสฺส อนตฺถเต กถิเน เอกาทสทิวสาธิโก มาโส, อตฺถเต กถิเน เอกาทสทิวสาธิกา ปญฺจ มาสา, ตโต ปรํ เอกทิวสมฺปิ ปริหาโร นตฺถี’’ติ ตเตฺถวาหฯ อิมสฺมิํ นเย สิเทฺธ อนเจฺจกจีวรํ ทฺวาทสาเห น ลภตีติ สิทฺธเมว โหติฯ ตโต ‘‘อนเจฺจกจีวเร อนเจฺจกจีวรสญฺญี, อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๖๕๐) เอตฺถ อเจฺจกจีวรสทิเส อญฺญสฺมิํ อนธิฎฺฐิเตติ สิทฺธํ โหติฯ ตตฺถ ปน ‘‘ปญฺจ มาสา’’ติ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวจนํฯ วสฺสิกสาฎิกญฺจ อวสฺสิกสาฎิกภาวํ ปตฺวา เอกาทสมาเส ปริหารํ ลภตีติ เวทิตพฺพํฯ
‘‘Vikappanupagaṃ pacchima’’nti idaṃ sabbasaṅgāhikattā vuttaṃ. ‘‘Adhiṭṭhānupagaṃ pacchima’’nti asabbasaṅgāhikaṃ. Na hi yattakaṃ saṅghāṭi adhiṭṭhānupagaṃ pacchimaṃ, tattakaṃ antaravāsakādi adhiṭṭhānupagaṃ pacchimaṃ hoti adhiṭṭhānassa bahuvidhattā. Na evaṃ vikappanāya bhedo tassā ekavidhattāti veditabbaṃ. ‘‘Ekādase aruṇuggamane nissaggiya’’nti antimaṃ ṭhapetvā tato purimatarasminti attho veditabbo. Antimaṃ nāma aparakattikāya paṭhamāruṇuggamanaṃ. Tañhi kālattā nissaggiyaṃ na karoti, tenevāha accekacīvarasikkhāpadaṭṭhakathāyaṃ ‘‘chaṭṭhito paṭṭhāya pana uppannaṃ anaccekacīvarampi paccuddharitvā ṭhapitacīvarampi etaṃ parihāraṃ labhatiyevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.646-9). Imaṃyeva nayaṃ sandhāya ‘‘accekacīvarassa anatthate kathine ekādasadivasādhiko māso, atthate kathine ekādasadivasādhikā pañca māsā, tato paraṃ ekadivasampi parihāro natthī’’ti tatthevāha. Imasmiṃ naye siddhe anaccekacīvaraṃ dvādasāhe na labhatīti siddhameva hoti. Tato ‘‘anaccekacīvare anaccekacīvarasaññī, anāpattī’’ti (pārā. 650) ettha accekacīvarasadise aññasmiṃ anadhiṭṭhiteti siddhaṃ hoti. Tattha pana ‘‘pañca māsā’’ti ukkaṭṭhaparicchedavacanaṃ. Vassikasāṭikañca avassikasāṭikabhāvaṃ patvā ekādasamāse parihāraṃ labhatīti veditabbaṃ.
ทสาหาติกฺกนฺตํ นิสฺสคฺคิยนฺติ เอตฺถ อาปตฺติวุฎฺฐาเน ‘‘ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนํ ปกฺขอติเรกปกฺขมาสอติเรกมาสปฎิจฺฉนฺน’’นฺติอาทิวจนเภโท วิย, น อิธ วจนเภโท, ตสฺมา สํวจฺฉราติกฺกนฺตมฺปิ ทสาหาติกฺกนฺตเมว นาม, ตถา ทุติยกถิเนปิ สํวจฺฉรวิปฺปวุตฺถมฺปิ รตฺติวิปฺปวุตฺถเมวฯ ตติเย สํวจฺฉราติกฺกนฺตมฺปิ มาสาติกฺกนฺตเมว นามาติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘อนธิฎฺฐิเต อธิฎฺฐิตสญฺญี นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติ อิทเมกสฺส ติกปาจิตฺติยสฺส อาทิปททีปนํฯ เอส นโย อวิกปฺปิเตติอาทีสุปิ, ตสฺมา เอตฺถ อฎฺฐสุ ติกเจฺฉเทสุ เอกํ วิตฺถาเรตฺวา อิตเรสํ เอเกกมาทิปทํ วิตฺถาเรหฺวา เทฺว เทฺว ภควตาว สงฺขิตฺตตฺตาติ พหูสุปิ ติกเจฺฉเทสุ สมฺภวเนฺตสุ เอโก เอว วุจฺจติ, ‘‘อยํ วินยสฺส ธมฺมตา’’ติ วทนฺติฯ ทุกฺกฎวาเรสุ ปน เอกํ ทุกฺกฎํ วิตฺถาเรตฺวา เสสานิ สตฺต ตเถว สงฺขิตฺตานิฯ ตถา อนฺติมนฺติโม เอเกโก อนาปตฺติโกฎฺฐาโสติ เวทิตพฺพํฯ
Dasāhātikkantaṃ nissaggiyanti ettha āpattivuṭṭhāne ‘‘dasāhappaṭicchannaṃ pakkhaatirekapakkhamāsaatirekamāsapaṭicchanna’’ntiādivacanabhedo viya, na idha vacanabhedo, tasmā saṃvaccharātikkantampi dasāhātikkantameva nāma, tathā dutiyakathinepi saṃvaccharavippavutthampi rattivippavutthameva. Tatiye saṃvaccharātikkantampi māsātikkantameva nāmāti veditabbaṃ. ‘‘Anadhiṭṭhite adhiṭṭhitasaññī nissaggiyaṃ pācittiya’’nti idamekassa tikapācittiyassa ādipadadīpanaṃ. Esa nayo avikappitetiādīsupi, tasmā ettha aṭṭhasu tikacchedesu ekaṃ vitthāretvā itaresaṃ ekekamādipadaṃ vitthārehvā dve dve bhagavatāva saṅkhittattāti bahūsupi tikacchedesu sambhavantesu eko eva vuccati, ‘‘ayaṃ vinayassa dhammatā’’ti vadanti. Dukkaṭavāresu pana ekaṃ dukkaṭaṃ vitthāretvā sesāni satta tatheva saṅkhittāni. Tathā antimantimo ekeko anāpattikoṭṭhāsoti veditabbaṃ.
อนาปตฺติ อโนฺตทสาหนฺติ อยํ สเงฺขปโตฺถ – ตํ ทสาหปรมํ ธาเรตพฺพํฯ ตํ อติเรกจีวรํ ยถาสกํ อธิฎฺฐานํ อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ วา วิกเปฺปติ วา วิสฺสเชฺชติ วา อตฺตโน ธมฺมตาย นสฺสติ วา วินสฺสติ วา ฑยฺหติ วา อโญฺญ วา ตํ อจฺฉินฺทิตฺวา คณฺหาติ วิสฺสาสโนฺต วา คณฺหาติ ปาจิตฺติยโต อนาปตฺติฯ ทุกฺกฎโต ปน สิยา อาปตฺติ สิยา อนาปตฺติ สญฺญาเภเทนฯ อนฺติมานํ ปเนตฺถ ทฺวินฺนํ ปทานํ วเสน อนจฺฉิเนฺน อจฺฉินฺนสญฺญี นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ อวิสฺสาสคฺคาเห วิสฺสาสคฺคาหสญฺญี นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยนฺติอาทิกา เทฺว ติกปาจิตฺติยา, เทฺว จ ทุกฺกฎา สงฺขิตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ เอตฺถ หิ ยทิ อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ, ทสาหปรมํ อรุณํ อติกฺกมิตฺวา ตสฺส ทิวสภาเค อธิฎฺฐหตีติ เวทิตพฺพํฯ อยํ ตาว ปาฬิวินิจฺฉโยฯ
Anāpatti antodasāhanti ayaṃ saṅkhepattho – taṃ dasāhaparamaṃ dhāretabbaṃ. Taṃ atirekacīvaraṃ yathāsakaṃ adhiṭṭhānaṃ antodasāhaṃ adhiṭṭheti vā vikappeti vā vissajjeti vā attano dhammatāya nassati vā vinassati vā ḍayhati vā añño vā taṃ acchinditvā gaṇhāti vissāsanto vā gaṇhāti pācittiyato anāpatti. Dukkaṭato pana siyā āpatti siyā anāpatti saññābhedena. Antimānaṃ panettha dvinnaṃ padānaṃ vasena anacchinne acchinnasaññī nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. Avissāsaggāhe vissāsaggāhasaññī nissaggiyaṃ pācittiyantiādikā dve tikapācittiyā, dve ca dukkaṭā saṅkhittāti veditabbā. Ettha hi yadi antodasāhaṃ adhiṭṭheti, dasāhaparamaṃ aruṇaṃ atikkamitvā tassa divasabhāge adhiṭṭhahatīti veditabbaṃ. Ayaṃ tāva pāḷivinicchayo.
อฎฺฐกถายํ ปน อิโต ครุกตรานีติอาทิมฺหิ อยํ โจทนาปุพฺพงฺคโม วินิจฺฉโย – คณฺฐิปเท ปนสฺส อิโต นิสฺสฎฺฐจีวรทานโต ครุกมฺปิ ญตฺติทุติยกมฺมํ ยถา อปโลกเนน กโรนฺติ, เอวมิทํ ญตฺติยา กตฺตพฺพมฺปิ ปกติวจเนน วฎฺฎตีติฯ ยทิ เอวํ ปริวาเร กมฺมวคฺคสฺส อฎฺฐกถายํ ‘‘ญตฺติกมฺมมฺปิ เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวาว กาตพฺพํ, อปโลกนกมฺมาทิวเสน น กาตพฺพ’’นฺติ (ปริ. อฎฺฐ. ๔๘๒) ยํ วุตฺตํ, เตน วิรุเชฺฌยฺยฯ เตเนตํ วุจฺจติ ‘‘เตสํ เอตํ อนุโลม’’นฺติ, ตสฺมา อนุโลมนเยเนว ตํ วุตฺตํฯ นิยมํ ปน ยถา ทฺวินฺนํ ปาริสุทฺธิอุโปสโถ วินา ญตฺติยา โหติ, เอวํ ทฺวินฺนํ นิสฺสฎฺฐจีวรทานมฺปีติ วทาม, ตสฺมา ‘‘อายสฺมโต เทมา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ กถํ ปเนตํ ญาตพฺพนฺติ? ตทนุโลมตฺตาติฯ เอกเทเวทํ ญตฺติกมฺมํ อปโลกเนนาปิ กาตุํ วฎฺฎตีติ สาธนนฺติ เวทิตพฺพนฺติ อาจริโยฯ อนุคณฺฐิปเท ปเนตฺถ โจทนํ กตฺวา ‘‘เอตํ สาธิตํฯ ญตฺติกมฺมํ เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวาว กาตพฺพ’’นฺติ ปาฬิยา อาคตํ สนฺธาย วุตฺตํ, อิทํ ปน ปาฬิยํ นาคตํ, เลสโต อาหริตฺวา วุตฺตนฺติ กตฺวา เอตํ อปโลกเนนาปิ วฎฺฎตีติฯ
Aṭṭhakathāyaṃ pana ito garukatarānītiādimhi ayaṃ codanāpubbaṅgamo vinicchayo – gaṇṭhipade panassa ito nissaṭṭhacīvaradānato garukampi ñattidutiyakammaṃ yathā apalokanena karonti, evamidaṃ ñattiyā kattabbampi pakativacanena vaṭṭatīti. Yadi evaṃ parivāre kammavaggassa aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ñattikammampi ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvāva kātabbaṃ, apalokanakammādivasena na kātabba’’nti (pari. aṭṭha. 482) yaṃ vuttaṃ, tena virujjheyya. Tenetaṃ vuccati ‘‘tesaṃ etaṃ anuloma’’nti, tasmā anulomanayeneva taṃ vuttaṃ. Niyamaṃ pana yathā dvinnaṃ pārisuddhiuposatho vinā ñattiyā hoti, evaṃ dvinnaṃ nissaṭṭhacīvaradānampīti vadāma, tasmā ‘‘āyasmato demā’’ti vattuṃ vaṭṭati. Kathaṃ panetaṃ ñātabbanti? Tadanulomattāti. Ekadevedaṃ ñattikammaṃ apalokanenāpi kātuṃ vaṭṭatīti sādhananti veditabbanti ācariyo. Anugaṇṭhipade panettha codanaṃ katvā ‘‘etaṃ sādhitaṃ. Ñattikammaṃ ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvāva kātabba’’nti pāḷiyā āgataṃ sandhāya vuttaṃ, idaṃ pana pāḷiyaṃ nāgataṃ, lesato āharitvā vuttanti katvā etaṃ apalokanenāpi vaṭṭatīti.
๔๖๘. เอส นโยติ อเญฺญสํ จีวเรสุ อุปจิกาทีหิ ขายิเตสุ มมปิ ขายิตานีติอาทิฯ ‘‘อเญฺญน กตํ…เป.… สาธก’’นฺติ วจนโต สมานชาติกํ, เอกตฺถชาติกญฺจ ตติยกถินํ ปฐมสมานเมวาติ สิทฺธํ โหติฯ
468.Esanayoti aññesaṃ cīvaresu upacikādīhi khāyitesu mamapi khāyitānītiādi. ‘‘Aññena kataṃ…pe… sādhaka’’nti vacanato samānajātikaṃ, ekatthajātikañca tatiyakathinaṃ paṭhamasamānamevāti siddhaṃ hoti.
๔๖๙. ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุนฺติ เอตฺถ ติจีวรํ ติจีวราธิฎฺฐาเนน อธิฎฺฐาตพฺพยุตฺตกํ, ยํ วา ติจีวราธิฎฺฐาเนน อธิฎฺฐาตุํ อวิกเปฺปตุํ อนุชานามิ, ตสฺส อธิฎฺฐานกาลปริเจฺฉทาภาวโต สพฺพกาลํ อิจฺฉนฺตสฺส อธิฎฺฐาตุํเยว อนุชานามิ, ตํ กาลปริเจฺฉทํ กตฺวา วิกเปฺปตุํ นานุชานามิฯ สติ ปน ปจฺจเย ยทา ตทา วา ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตุํ วฎฺฎตีติ ‘‘อนาปตฺติ อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ, วิกเปฺปตี’’ติ วจนโต สิทฺธํ โหตีติ วุตฺตเมตํฯ วสฺสิกสาฎิกํ ตโต ปรํ วิกเปฺปตุํเยว นาธิฎฺฐาตุํฯ วตฺถญฺหิ กตปริโยสิตํ อโนฺตจตุมาเส วสฺสานทิวสํ อาทิํ กตฺวา อโนฺตทสาเห อธิฎฺฐาตุํ อนุชานามิ, จตุมาสโต อุทฺธํ อตฺตโน สนฺตกํ กตฺวา ฐปิตุกาเมน วิกเปฺปตุํ อนุชานามีติ อโตฺถฯ สุคตจีวรโต อูนกนฺติ ติณฺณมฺปิ จีวรานํ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉโทฯ ‘‘ติจีวรํ ปน ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วาเท ปน สติ ตถารูปปจฺจเย วฎฺฎติฯ ยถา สติ ปจฺจเย วิกเปฺปตุํ วฎฺฎตีติ สาธิตเมตํ, ปเคว อเญฺญน อธิฎฺฐาเนน อธิฎฺฐาตุํฯ ‘‘อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ, วิกเปฺปตี’’ติ อนิยมโต วุตฺตนฺติ สงฺฆาฎิ, อุตฺตราสโงฺค, อนฺตรวาสกนฺติ อธิฎฺฐิตานธิฎฺฐิตานํ สมานเมว นามํฯ ‘‘อยํ สงฺฆาฎี’’ติอาทีสุ (มหาว. ๑๒๖) หิ อนธิฎฺฐิตา วุตฺตาฯ ‘‘ติจีวเรน วิปฺปวเสยฺยา’’ติ เอตฺถ อธิฎฺฐิตา วุตฺตาฯ สามนฺตวิหาเร วาติ โคจรคามโต วิหาเรติ ธมฺมสิริเตฺถโรฯ ทูรตเรปิ ลพฺภเตวาติ อาจริโยฯ อนุคณฺฐิปเทปิ ‘‘สามนฺตวิหาเร วาติ เทสนาสีสมตฺตํ, ตสฺมา ฐปิตฎฺฐานํ สลฺลเกฺขตฺวา ทูเร ฐิตมฺปิ อธิฎฺฐาตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ สามนฺตวิหาโร นาม ยตฺถ ตทเหว คนฺตฺวา นิวตฺติตุํ สกฺกาฯ รตฺติวิปฺปวาสํ รกฺขเนฺตน ตโต ทูเร ฐิตํ อธิฎฺฐาตุํ น วฎฺฎติ, เอวํ กิร มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตนฺติฯ เกจิ ‘‘จีวรวํเส ฐปิตํ อโญฺญ ปริวตฺติตฺวา นาคทเนฺต ฐเปติ, ตํ อชานิตฺวา อธิฎฺฐหนฺตสฺสปิ รุหติ จีวรสฺส สลฺลกฺขิตตฺตา’’ติ วทนฺติฯ อธิฎฺฐหิตฺวาติ ปริกฺขารโจฬาทิวเสนฯ มหนฺตตรเมวาติอาทิ สพฺพาธิฎฺฐานสาธารณลกฺขณํ ฯ ตตฺถ ปุน อธิฎฺฐาตพฺพเมวาติ อธิฎฺฐิตจีวรสฺส เอกเทสภูตตฺตาฯ อนธิฎฺฐิตเญฺจ, อธิฎฺฐิตสฺส อปฺปภาเวน เอกเทสภูตํ อธิฎฺฐิตสงฺขฺยเมว คจฺฉติฯ ตถา อธิฎฺฐิตเญฺจ, อนธิฎฺฐิตสฺส เอกเทสภูตํ อนธิฎฺฐิตสงฺขฺยํ คจฺฉตีติ หิ ลกฺขณํ, น เกวลเญฺจตฺถ ทุติยปฎฺฎเมว, ตติยปฎฺฎาทิกมฺปิฯ ยถาห ‘‘อนุชานามิ…เป.… อุตุทฺธฎานํ ทุสฺสานํ จตุคฺคุณํ สงฺฆาฎิํ…เป.… ปํสุกูเล ยาวทตฺถ’’นฺติ (มหาว. ๓๔๘)ฯ
469.Ticīvaraṃ adhiṭṭhātunti ettha ticīvaraṃ ticīvarādhiṭṭhānena adhiṭṭhātabbayuttakaṃ, yaṃ vā ticīvarādhiṭṭhānena adhiṭṭhātuṃ avikappetuṃ anujānāmi, tassa adhiṭṭhānakālaparicchedābhāvato sabbakālaṃ icchantassa adhiṭṭhātuṃyeva anujānāmi, taṃ kālaparicchedaṃ katvā vikappetuṃ nānujānāmi. Sati pana paccaye yadā tadā vā paccuddharitvā vikappetuṃ vaṭṭatīti ‘‘anāpatti antodasāhaṃ adhiṭṭheti, vikappetī’’ti vacanato siddhaṃ hotīti vuttametaṃ. Vassikasāṭikaṃ tato paraṃ vikappetuṃyeva nādhiṭṭhātuṃ. Vatthañhi katapariyositaṃ antocatumāse vassānadivasaṃ ādiṃ katvā antodasāhe adhiṭṭhātuṃ anujānāmi, catumāsato uddhaṃ attano santakaṃ katvā ṭhapitukāmena vikappetuṃ anujānāmīti attho. Sugatacīvarato ūnakanti tiṇṇampi cīvarānaṃ ukkaṭṭhaparicchedo. ‘‘Ticīvaraṃ pana parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ vaṭṭatī’’ti vāde pana sati tathārūpapaccaye vaṭṭati. Yathā sati paccaye vikappetuṃ vaṭṭatīti sādhitametaṃ, pageva aññena adhiṭṭhānena adhiṭṭhātuṃ. ‘‘Antodasāhaṃ adhiṭṭheti, vikappetī’’ti aniyamato vuttanti saṅghāṭi, uttarāsaṅgo, antaravāsakanti adhiṭṭhitānadhiṭṭhitānaṃ samānameva nāmaṃ. ‘‘Ayaṃ saṅghāṭī’’tiādīsu (mahāva. 126) hi anadhiṭṭhitā vuttā. ‘‘Ticīvarena vippavaseyyā’’ti ettha adhiṭṭhitā vuttā. Sāmantavihāre vāti gocaragāmato vihāreti dhammasiritthero. Dūratarepi labbhatevāti ācariyo. Anugaṇṭhipadepi ‘‘sāmantavihāre vāti desanāsīsamattaṃ, tasmā ṭhapitaṭṭhānaṃ sallakkhetvā dūre ṭhitampi adhiṭṭhātabba’’nti vuttaṃ. Sāmantavihāro nāma yattha tadaheva gantvā nivattituṃ sakkā. Rattivippavāsaṃ rakkhantena tato dūre ṭhitaṃ adhiṭṭhātuṃ na vaṭṭati, evaṃ kira mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttanti. Keci ‘‘cīvaravaṃse ṭhapitaṃ añño parivattitvā nāgadante ṭhapeti, taṃ ajānitvā adhiṭṭhahantassapi ruhati cīvarassa sallakkhitattā’’ti vadanti. Adhiṭṭhahitvāti parikkhāracoḷādivasena. Mahantataramevātiādi sabbādhiṭṭhānasādhāraṇalakkhaṇaṃ . Tattha puna adhiṭṭhātabbamevāti adhiṭṭhitacīvarassa ekadesabhūtattā. Anadhiṭṭhitañce, adhiṭṭhitassa appabhāvena ekadesabhūtaṃ adhiṭṭhitasaṅkhyameva gacchati. Tathā adhiṭṭhitañce, anadhiṭṭhitassa ekadesabhūtaṃ anadhiṭṭhitasaṅkhyaṃ gacchatīti hi lakkhaṇaṃ, na kevalañcettha dutiyapaṭṭameva, tatiyapaṭṭādikampi. Yathāha ‘‘anujānāmi…pe… utuddhaṭānaṃ dussānaṃ catugguṇaṃ saṅghāṭiṃ…pe… paṃsukūle yāvadattha’’nti (mahāva. 348).
อวเสสา ภิกฺขูติ วกฺขมานกาเล นิสินฺนา ภิกฺขูฯ ตสฺมา วฎฺฎตีติ ยถา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ ปริกฺขารโจฬมฺปิ วุตฺตํ, น ตสฺส อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉโท วุโตฺต, น จ สงฺขฺยาปริเจฺฉโท, ตสฺมา ตีณิปิ จีวรานิ ปจฺจุทฺธริตฺวา ‘‘อิมานิ จีวรานิ ปริกฺขารโจฬานิ อธิฎฺฐามี’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ ‘‘นิธานมุขเมต’’นฺติ กถํ ปญฺญายตีติ เจ? ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขูนํ ปริปุณฺณํ โหติ ติจีวรํ, อโตฺถ จ โหติ ปริสฺสาวเนหิปิ ถวิกาหิปี’’ติ เอตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปริกฺขารโจฬ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘) อนุญฺญาตตฺตาฯ ภิกฺขูนญฺจ เอกเมว ปริสฺสาวนํ, ถวิกา วา วฎฺฎติ, น เทฺว วา ตีณิ วาติ ปฎิเกฺขปาภาวโต วิกปฺปนุปคปจฺฉิมปฺปมาณานิ, อติเรกปฺปมาณานิ วา ปริสฺสาวนาทีนิ ปริกฺขารานิ กปฺปนฺตีติ สิทฺธํฯ ยทิ เอวํ ‘‘ยํนูนาหํ ภิกฺขูนํ จีวเร สีมํ พเนฺธยฺยํ มริยาทํ ฐเปยฺย’’นฺติ (มหาว. ๓๔๖) วจนวิโรโธติ เจ? น, อนุสนฺธิยา อชานนโต, วิโรธโต จฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? จีวรกฺขนฺธเก (มหาว. ๓๒๖ อาทโย) ปฐมํ คหปติจีวรํ อนุญฺญาตํ, ตโต ปาวารโกสิยโกชวกมฺพลาทิฯ ตโต ‘‘เตน โข ปน สมเยน สงฺฆสฺส อุจฺจาวจานิ จีวรานิ อุปฺปนฺนานิ โหนฺติฯ อถ โข ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ ‘กิํ นุ โข ภควตา จีวรํ อนุญฺญาตํ, กิํ อนนุญฺญาต’’’นฺติ เอตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ฉ จีวรานิ โขม’’นฺติอาทินา (มหาว. ๓๓๙) กปฺปิยจีวรชาติ อนุญฺญาตา, น ปน สงฺขฺยาปมาณํฯ ตโต ‘‘อทฺทส ภควา…เป.… สมฺพหุเล ภิกฺขู จีวเรหิ อุพฺภณฺฑิเต สีเสปิ จีวรภิสิํ กริตฺวา ขเนฺธปิ จีวรภิสิํ กริตฺวา กฎิยาปิ จีวรภิสิํ กริตฺวา อาคจฺฉเนฺต, ทิสฺวาน ภควโต เอตทโหสิ…เป.… เยปิ โข เต กุลปุตฺตา อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย สีตาลุกา สีตภีรุกา, เตปิ สโกฺกนฺติ ติจีวเรน ยาเปตุํ, ยํนูนาหํ ภิกฺขูนํ จีวเร สีมํ พเนฺธยฺยํ มริยาทํ ฐเปยฺยํ ติจีวรํ อนุชาเนยฺย’’นฺติ (มหาว. ๓๔๖) จีวรํ อนุญฺญาตํ, ตญฺจ โข เอกเมวฯ ฉพฺพคฺคิยา ปน มิจฺฉา คเหตฺวา พหูนิ ปริหริํสุฯ ตานิ เนสํ อติเรกฎฺฐาเน ฐิตานิ โหนฺติฯ ตโต ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทสาหปรมํ อติเรกจีวรํ ธาเรตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๔๗) อนุญฺญาตํ, เตเนตํ ปญฺญายติฯ อติเรกานิ พหูนิ จีวรานิ เต ปริหริํสุ, ‘‘ตานิ ทสาหปรมเมว ธาเรตุํ อนุชานามิ, น ตเมเวก’’นฺติ วทเนฺตน ยา ปุเพฺพ ติจีวราธิฎฺฐานสงฺขาตา จีวเร สีมาพทฺธา, มริยาทา จ ฐปิตา, ตาย สติปิ ติจีวรพาหุลฺลปริหรณกฺกโม ทสฺสิโต ทิวสปริเจฺฉทวเสนฯ ตโต ปรํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อติเรกจีวรํ วิกเปฺปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๔๗) อนุชานเนฺตน วินาปิ ทิวสปริเจฺฉเทน อติเรกจีวรปริหรณกฺกโม ทสฺสิโตติ เทฺวปิ ตานิ นิธานมุขานีติ สิทฺธํฯ ตถา ปริกฺขารโจฬาธิฎฺฐานมฺปิ สิยา, อญฺญถา อิตรจีวราธิฎฺฐานานุชานนวิโรโธ สิยา สีมามริยาทฎฺฐปนวิโรธโตฯ ติจีวราธิฎฺฐานปญฺญตฺติเยว ติจีวรมริยาทา โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปาเฎกฺกํ นิธานมุขเมต’’นฺติฯ ‘‘ปฐมํ ติจีวรํ ติจีวราธิฎฺฐาเนน อธิฎฺฐาตพฺพํ, ปุน ปริหริตุํ อสโกฺกเนฺตน ปจฺจุทฺธริตฺวา ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตพฺพํ, น เตฺวว อาทิโตว อิทํ วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘ยถา ติจีวรํ ปริหริตุํ อสโกฺกนฺตสฺส คิลานสฺส วิปฺปวาสสมฺมุติ อนุญฺญาตา, อคิลานสฺสปิ สาสงฺกสิกฺขาปเท (ปารา. ๖๕๒) ตสฺส อนฺตรฆเร นิเกฺขโป จ, ตโตปิ สติ ปจฺจเย ฉารตฺตวิปฺปวาโส, ตโตปิ อสโกฺกนฺตสฺส ปจฺจุทฺธาโร, ปจฺจุทฺธฎมฺปิ อโนฺตทสาเห อธิฎฺฐาตุํ, อสโกฺกนฺตสฺส วิกปฺปนา จ อนุญฺญาตาฯ ตเถว ทฺวินฺนมฺปิ สมฺมุขาปรมฺมุขาวิกปฺปนานํ ปรสนฺตกตฺตา วิกปฺปนปจฺจเย อสติ ‘ปริกฺขารโจฬ’นฺติ อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตุํ ภควตา อนุญฺญาตํ สิยา, ยโต ตทธิปฺปายญฺญู เอวํ วทนฺตี’’ติ มหาปจฺจริยมฺปิ วุตฺตํฯ ปุเพฺพติอาทิ ‘‘ปาเฎกฺกํ นิธานมุข’’นฺติ วุตฺตสฺส ปโยคทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ อพทฺธสีมายํ ทุปฺปริหารนฺติ วิกปฺปนาทิอตฺถาย อุปจารํ อติกฺกมิตฺวาปิ คมนสมฺภวโตฯ
Avasesā bhikkhūti vakkhamānakāle nisinnā bhikkhū. Tasmā vaṭṭatīti yathā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’’nti vuttaṃ, evaṃ parikkhāracoḷampi vuttaṃ, na tassa ukkaṭṭhaparicchedo vutto, na ca saṅkhyāparicchedo, tasmā tīṇipi cīvarāni paccuddharitvā ‘‘imāni cīvarāni parikkhāracoḷāni adhiṭṭhāmī’’ti adhiṭṭhahitvā paribhuñjituṃ vaṭṭatīti attho. ‘‘Nidhānamukhameta’’nti kathaṃ paññāyatīti ce? ‘‘Tena kho pana samayena bhikkhūnaṃ paripuṇṇaṃ hoti ticīvaraṃ, attho ca hoti parissāvanehipi thavikāhipī’’ti etasmiṃ vatthusmiṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, parikkhāracoḷa’’nti (mahāva. 358) anuññātattā. Bhikkhūnañca ekameva parissāvanaṃ, thavikā vā vaṭṭati, na dve vā tīṇi vāti paṭikkhepābhāvato vikappanupagapacchimappamāṇāni, atirekappamāṇāni vā parissāvanādīni parikkhārāni kappantīti siddhaṃ. Yadi evaṃ ‘‘yaṃnūnāhaṃ bhikkhūnaṃ cīvare sīmaṃ bandheyyaṃ mariyādaṃ ṭhapeyya’’nti (mahāva. 346) vacanavirodhoti ce? Na, anusandhiyā ajānanato, virodhato ca. Kiṃ vuttaṃ hoti? Cīvarakkhandhake (mahāva. 326 ādayo) paṭhamaṃ gahapaticīvaraṃ anuññātaṃ, tato pāvārakosiyakojavakambalādi. Tato ‘‘tena kho pana samayena saṅghassa uccāvacāni cīvarāni uppannāni honti. Atha kho bhikkhūnaṃ etadahosi ‘kiṃ nu kho bhagavatā cīvaraṃ anuññātaṃ, kiṃ ananuññāta’’’nti etasmiṃ vatthusmiṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, cha cīvarāni khoma’’ntiādinā (mahāva. 339) kappiyacīvarajāti anuññātā, na pana saṅkhyāpamāṇaṃ. Tato ‘‘addasa bhagavā…pe… sambahule bhikkhū cīvarehi ubbhaṇḍite sīsepi cīvarabhisiṃ karitvā khandhepi cīvarabhisiṃ karitvā kaṭiyāpi cīvarabhisiṃ karitvā āgacchante, disvāna bhagavato etadahosi…pe… yepi kho te kulaputtā imasmiṃ dhammavinaye sītālukā sītabhīrukā, tepi sakkonti ticīvarena yāpetuṃ, yaṃnūnāhaṃ bhikkhūnaṃ cīvare sīmaṃ bandheyyaṃ mariyādaṃ ṭhapeyyaṃ ticīvaraṃ anujāneyya’’nti (mahāva. 346) cīvaraṃ anuññātaṃ, tañca kho ekameva. Chabbaggiyā pana micchā gahetvā bahūni parihariṃsu. Tāni nesaṃ atirekaṭṭhāne ṭhitāni honti. Tato ‘‘anujānāmi, bhikkhave, dasāhaparamaṃ atirekacīvaraṃ dhāretu’’nti (mahāva. 347) anuññātaṃ, tenetaṃ paññāyati. Atirekāni bahūni cīvarāni te parihariṃsu, ‘‘tāni dasāhaparamameva dhāretuṃ anujānāmi, na tameveka’’nti vadantena yā pubbe ticīvarādhiṭṭhānasaṅkhātā cīvare sīmābaddhā, mariyādā ca ṭhapitā, tāya satipi ticīvarabāhullapariharaṇakkamo dassito divasaparicchedavasena. Tato paraṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, atirekacīvaraṃ vikappetu’’nti (mahāva. 347) anujānantena vināpi divasaparicchedena atirekacīvarapariharaṇakkamo dassitoti dvepi tāni nidhānamukhānīti siddhaṃ. Tathā parikkhāracoḷādhiṭṭhānampi siyā, aññathā itaracīvarādhiṭṭhānānujānanavirodho siyā sīmāmariyādaṭṭhapanavirodhato. Ticīvarādhiṭṭhānapaññattiyeva ticīvaramariyādā hoti. Tena vuttaṃ ‘‘pāṭekkaṃ nidhānamukhameta’’nti. ‘‘Paṭhamaṃ ticīvaraṃ ticīvarādhiṭṭhānena adhiṭṭhātabbaṃ, puna pariharituṃ asakkontena paccuddharitvā parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātabbaṃ, na tveva āditova idaṃ vutta’’nti vuttaṃ. ‘‘Yathā ticīvaraṃ pariharituṃ asakkontassa gilānassa vippavāsasammuti anuññātā, agilānassapi sāsaṅkasikkhāpade (pārā. 652) tassa antaraghare nikkhepo ca, tatopi sati paccaye chārattavippavāso, tatopi asakkontassa paccuddhāro, paccuddhaṭampi antodasāhe adhiṭṭhātuṃ, asakkontassa vikappanā ca anuññātā. Tatheva dvinnampi sammukhāparammukhāvikappanānaṃ parasantakattā vikappanapaccaye asati ‘parikkhāracoḷa’nti adhiṭṭhahitvā paribhuñjituṃ bhagavatā anuññātaṃ siyā, yato tadadhippāyaññū evaṃ vadantī’’ti mahāpaccariyampi vuttaṃ. Pubbetiādi ‘‘pāṭekkaṃ nidhānamukha’’nti vuttassa payogadassanatthaṃ vuttaṃ. Abaddhasīmāyaṃ dupparihāranti vikappanādiatthāya upacāraṃ atikkamitvāpi gamanasambhavato.
วสฺสิกสาฎิกา อนติริตฺตปฺปมาณาติ ตสฺสา อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทสฺส วุตฺตตฺตา วุตฺตํฯ ปจฺจตฺถรณมฺปิ อธิฎฺฐาตพฺพเมวาติ ‘‘อิทํ, ภเนฺต, อมฺหากํ เสนาสนสฺส อุปริ อตฺถริตพฺพ’’นฺติอาทินา ทินฺนํ นาธิฎฺฐาตพฺพํ, ‘‘อิทํ ตุมฺหาก’’นฺติ ทินฺนํ สยํ อธิเปฺปตํว อธิฎฺฐาตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘สกิํ อธิฎฺฐิตํ อธิฎฺฐิตเมว โหติ, น ปุน ปจฺจุทฺธรียติ กาลปริเจฺฉทาภาวโต’’ติ ลิขิตํฯ ‘‘เอกวจเนนปิ วฎฺฎตีติ อปเร’’ติ วุตฺตํฯ เภสชฺชนวกมฺมมาตาปิตุอาทีนํ อตฺถายาติ เอตฺถ ‘‘อิมินา เภสชฺชํ เจตาเปสฺสามิ, อิทํ มาตุยา ทสฺสามี’’ติ ฐเปเนฺตน อธิฎฺฐาตพฺพํฯ ‘‘‘อิทํ เภสชฺชสฺส, อิมํ มาตุยา’ติ วิภชเนฺตน อธิฎฺฐานกิจฺจํ นตฺถีติ อปเร’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘สกภาวํ โมเจตฺวา ฐปนํ สนฺธายาหา’’ติ ลิขิตํฯ
Vassikasāṭikā anatirittappamāṇāti tassā ukkaṭṭhaparicchedassa vuttattā vuttaṃ. Paccattharaṇampi adhiṭṭhātabbamevāti ‘‘idaṃ, bhante, amhākaṃ senāsanassa upari attharitabba’’ntiādinā dinnaṃ nādhiṭṭhātabbaṃ, ‘‘idaṃ tumhāka’’nti dinnaṃ sayaṃ adhippetaṃva adhiṭṭhātabbanti adhippāyo. ‘‘Sakiṃ adhiṭṭhitaṃ adhiṭṭhitameva hoti, na puna paccuddharīyati kālaparicchedābhāvato’’ti likhitaṃ. ‘‘Ekavacanenapi vaṭṭatīti apare’’ti vuttaṃ. Bhesajjanavakammamātāpituādīnaṃatthāyāti ettha ‘‘iminā bhesajjaṃ cetāpessāmi, idaṃ mātuyā dassāmī’’ti ṭhapentena adhiṭṭhātabbaṃ. ‘‘‘Idaṃ bhesajjassa, imaṃ mātuyā’ti vibhajantena adhiṭṭhānakiccaṃ natthīti apare’’ti vuttaṃ. ‘‘Sakabhāvaṃ mocetvā ṭhapanaṃ sandhāyāhā’’ti likhitaṃ.
‘‘ปุน อธิฎฺฐาตพฺพนฺติ อยํ สงฺคีติโต ปฎฺฐาย อาคตอฎฺฐกถาวาโทฯ ตโต ปรํ อาจริยานํ ตตฺถ ตตฺถ ยุตฺติวิจารณา’’ติ วุตฺตํฯ ปมาณจีวรสฺสาติ ปจฺฉิมปฺปมาณสฺสฯ เทฺว จีวรานีติ สห อุตฺตราสเงฺคนฯ เอส นโยติ ปมาณยุเตฺตสุ ยตฺถ กตฺถจีติอาทินโยวฯ ‘‘ตํ อติกฺกามยโต เฉทนก’’นฺติ (ปาจิ. ๕๓๓) วจนโต อุตฺตริ ปฎิสิทฺธํ, ตโต เหฎฺฐา อปฺปฎิสิทฺธตฺตา วฎฺฎติฯ ตตฺถ สิยา – ติจีวรสฺส ปจฺฉิมปฺปมาณํ วิสุํ สุเตฺต นตฺถีติ, น วตฺตพฺพํ, สิกฺขากรณีเยหิ สิทฺธตฺตาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ‘‘‘ปริมณฺฑลํ นิวาเสสฺสามิ, ปารุปิสฺสามิ, สุปฺปฎิจฺฉโนฺน อนฺตรฆเร คมิสฺสามี’ติ (ปาจิ. ๕๗๖-๕๗๙) วจนโต ยตฺตเกน ปมาเณน ปริมณฺฑลตา, สุปฺปฎิจฺฉนฺนตา จ อฎฺฐกถายํ วุตฺตกฺกเมน สมฺปชฺชตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ เตสํ วเสน ปจฺฉิมปฺปมาณนฺติ สิทฺธํ, ตญฺจ โข มุฎฺฐิปญฺจกาทิ ยถาวุตฺตเมว วุจฺจเตฯ เตเนวาห เลสํ ฐเปตฺวา ‘‘วิสุํ สุเตฺต นตฺถี’’ติฯ
‘‘Puna adhiṭṭhātabbanti ayaṃ saṅgītito paṭṭhāya āgataaṭṭhakathāvādo. Tato paraṃ ācariyānaṃ tattha tattha yuttivicāraṇā’’ti vuttaṃ. Pamāṇacīvarassāti pacchimappamāṇassa. Dve cīvarānīti saha uttarāsaṅgena. Esa nayoti pamāṇayuttesu yattha katthacītiādinayova. ‘‘Taṃ atikkāmayato chedanaka’’nti (pāci. 533) vacanato uttari paṭisiddhaṃ, tato heṭṭhā appaṭisiddhattā vaṭṭati. Tattha siyā – ticīvarassa pacchimappamāṇaṃ visuṃ sutte natthīti, na vattabbaṃ, sikkhākaraṇīyehi siddhattā. Kiṃ vuttaṃ hoti? ‘‘‘Parimaṇḍalaṃ nivāsessāmi, pārupissāmi, suppaṭicchanno antaraghare gamissāmī’ti (pāci. 576-579) vacanato yattakena pamāṇena parimaṇḍalatā, suppaṭicchannatā ca aṭṭhakathāyaṃ vuttakkamena sampajjatī’’ti vattabbaṃ. Tesaṃ vasena pacchimappamāṇanti siddhaṃ, tañca kho muṭṭhipañcakādi yathāvuttameva vuccate. Tenevāha lesaṃ ṭhapetvā ‘‘visuṃ sutte natthī’’ti.
อปิเจตฺถ อธิเปฺปตํ, ตถาปิ น สเมติเยวาติ อโตฺถ, ตสฺมา ‘‘ยที’’ติอาทิสมฺพโนฺธ อทฺธา วุโตฺตฯ ยสฺมา ปริจฺฉิโนฺน สเมติ จฯ อิตเรสุ ปน เอกจฺจสฺมิํ อาจริยวาเท เนว ปริเจฺฉโท อตฺถิฯ เอกจฺจสฺมิํ น ปุพฺพาปรํ สเมตีติ สมฺพโนฺธฯ อธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐานเมว, ปริโภคกาเล ปน อรชิตํ น วฎฺฎติฯ อิทํ สพฺพํ ติจีวเร เอวฯ อิมสฺส ปน สิกฺขาปทสฺส อยํ สเงฺขปวินิจฺฉโย – อนตฺถเต กถิเน เหมนฺตานํ ปฐมทิวสโต ปฎฺฐาย อตฺถเต กถิเน คิมฺหานํ ปฐมทิวสโต ปฎฺฐาย อุปฺปนฺนจีวรํ สนฺธาย ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติอาทิ วุตฺตนฺติฯ
Apicettha adhippetaṃ, tathāpi na sametiyevāti attho, tasmā ‘‘yadī’’tiādisambandho addhā vutto. Yasmā paricchinno sameti ca. Itaresu pana ekaccasmiṃ ācariyavāde neva paricchedo atthi. Ekaccasmiṃ na pubbāparaṃ sametīti sambandho. Adhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhānameva, paribhogakāle pana arajitaṃ na vaṭṭati. Idaṃ sabbaṃ ticīvare eva. Imassa pana sikkhāpadassa ayaṃ saṅkhepavinicchayo – anatthate kathine hemantānaṃ paṭhamadivasato paṭṭhāya atthate kathine gimhānaṃ paṭhamadivasato paṭṭhāya uppannacīvaraṃ sandhāya ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’ntiādi vuttanti.
เอตฺถาห – ‘‘รชเกหิ โธวาเปตฺวา เสตํ การาเปนฺตสฺสาปิ อธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐานเมวา’’ติ วจนโต อรชิเตปิ อธิฎฺฐานํ รุหติ, เตน สูจิกมฺมํ กตฺวา รชิตฺวา กปฺปพินฺทุํ ทตฺวา อธิฎฺฐาตพฺพนฺติ นิยโม น กาตโพฺพติ? วุจฺจเต, กาตโพฺพว ปโตฺต วิย อธิฎฺฐิโตฯ ยถา ปุน เสตภาวํ, ตมฺพภาวํ วา ปโตฺต อธิฎฺฐานํ น วิชหติ, น จ ปน ตาทิโส อธิฎฺฐานํ อุปคจฺฉติ, เอวเมตํ ทฎฺฐพฺพนฺติฯ ‘‘ยโต ปฎฺฐาย ปริโภคาทโย วฎฺฎนฺติ, ตโต ปฎฺฐาย อโนฺตทสาเห อธิฎฺฐาตพฺพ’’นฺติ วทนฺติฯ
Etthāha – ‘‘rajakehi dhovāpetvā setaṃ kārāpentassāpi adhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhānamevā’’ti vacanato arajitepi adhiṭṭhānaṃ ruhati, tena sūcikammaṃ katvā rajitvā kappabinduṃ datvā adhiṭṭhātabbanti niyamo na kātabboti? Vuccate, kātabbova patto viya adhiṭṭhito. Yathā puna setabhāvaṃ, tambabhāvaṃ vā patto adhiṭṭhānaṃ na vijahati, na ca pana tādiso adhiṭṭhānaṃ upagacchati, evametaṃ daṭṭhabbanti. ‘‘Yato paṭṭhāya paribhogādayo vaṭṭanti, tato paṭṭhāya antodasāhe adhiṭṭhātabba’’nti vadanti.
อวิเสเสน วุตฺตวจนนฺติ อธิฎฺฐาตพฺพํ อธิเฎฺฐติ, วิกเปฺปตพฺพํ วิกเปฺปตีติ เอวํ สวิเสสํ กตฺวา อวจนํ ‘‘น วิกเปฺปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘) อิมินา วิรุทฺธํ วิย ทิสฺสติฯ อิทานิ อิทํ อธิฎฺฐานวิกปฺปนนยปฎิพทฺธํ ขนฺธกํ, ปริวารญฺจ มิเสฺสตฺวา ปกิณฺณกํ วุจฺจติ – ขนฺธเก ตาว ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ, วสฺสิกสาฎิกํ วสฺสานํ จาตุมาสํ อธิฎฺฐาตุํ, ตโต ปรํ วิกเปฺปตุ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ปริวาเร ‘‘น นว จีวรานิ อธิฎฺฐาตพฺพานิ, น นว จีวรานิ วิกเปฺปตพฺพานี’’ติ (ปริ. ๓๒๙), ‘‘ทสเก ทส, เอกาทสเก เอกาทส จีวรานิ อธิฎฺฐาตพฺพานิ, น วิกเปฺปตพฺพานี’’ติ (ปริ. ๓๓๑) จ อเนกกฺขตฺตุํ วจเนน สุฎฺฐุ ทฬฺหํ กตฺวา ‘‘สพฺพานิ จีวรานิ อธิฎฺฐาตพฺพานิ, น วิกเปฺปตพฺพานี’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา อุโภปิ เต วิรุทฺธา วิย ทิสฺสนฺติ, ขนฺธเก เอว จ ‘‘วสฺสิกสาฎิกํ วสฺสานํ จาตุมาสํ อธิฎฺฐาตุํ ตโต ปรํ วิกเปฺปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘) วุตฺตํฯ ตทฎฺฐกถายํ ‘‘วสฺสิกสาฎิกา อนติริตฺตปฺปมาณา นามํ คเหตฺวา วุตฺตนเยเนว จตฺตาโร วสฺสิเก มาเส อธิฎฺฐาตพฺพา, ตโต ปรํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพา’’ติ วุตฺตํฯ อิทญฺจ วิรุทฺธํ วิย ทิสฺสติ อญฺญมญฺญํ เหมเนฺต ปจฺจุทฺธารสมฺภวโต, วสฺสาเน วิกปฺปนาสมฺภวโต จฯ ตถา อิธ ‘‘อนาปตฺติ อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ วิกเปฺปตี’’ติ วจนปฺปมาณโต สพฺพตฺถ วิกปฺปนาย อปฺปฎิสิทฺธภาโว เวทิตโพฺพติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) อฎฺฐกถาวจนํ ปริวารวจเนน วิรุทฺธํ วิย ทิสฺสติ, น หิ วิรุทฺธํ ตถาคตา ภาสนฺติ, ตสฺมา อฎฺฐกถานโยเวตฺถ ปฎิสรณํ, เยน สพฺพมฺปิ ตํ เอกรสํ โหติฯ ปริวารฎฺฐกถายญฺจ วุตฺตํ ‘‘น วิกเปฺปตพฺพานีติ อธิฎฺฐิตกาลโต ปฎฺฐาย น วิกเปฺปตพฺพานี’’ติ (ปริ. อฎฺฐ. ๓๒๙)ฯ ติจีวรานิ อธิฎฺฐิตกาลโต ปฎฺฐาย, วสฺสิกสาฎิกาทีนิ จ อตฺตโน อตฺตโน อธิฎฺฐานเขเตฺต น อกามา วิกเปฺปตพฺพานีติ อโตฺถ, อวเสสปาฬิ, อโตฺถ จ อิธ อฎฺฐกถายํ วุโตฺต, ตสฺมา สพฺพเมฺปตํ เอกรสนฺติฯ
Avisesenavuttavacananti adhiṭṭhātabbaṃ adhiṭṭheti, vikappetabbaṃ vikappetīti evaṃ savisesaṃ katvā avacanaṃ ‘‘na vikappetu’’nti (mahāva. 358) iminā viruddhaṃ viya dissati. Idāni idaṃ adhiṭṭhānavikappananayapaṭibaddhaṃ khandhakaṃ, parivārañca missetvā pakiṇṇakaṃ vuccati – khandhake tāva ‘‘anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ, vassikasāṭikaṃ vassānaṃ cātumāsaṃ adhiṭṭhātuṃ, tato paraṃ vikappetu’’ntiādi vuttaṃ. Parivāre ‘‘na nava cīvarāni adhiṭṭhātabbāni, na nava cīvarāni vikappetabbānī’’ti (pari. 329), ‘‘dasake dasa, ekādasake ekādasa cīvarāni adhiṭṭhātabbāni, na vikappetabbānī’’ti (pari. 331) ca anekakkhattuṃ vacanena suṭṭhu daḷhaṃ katvā ‘‘sabbāni cīvarāni adhiṭṭhātabbāni, na vikappetabbānī’’ti vuttaṃ, tasmā ubhopi te viruddhā viya dissanti, khandhake eva ca ‘‘vassikasāṭikaṃ vassānaṃ cātumāsaṃ adhiṭṭhātuṃ tato paraṃ vikappetu’’nti (mahāva. 358) vuttaṃ. Tadaṭṭhakathāyaṃ ‘‘vassikasāṭikā anatirittappamāṇā nāmaṃ gahetvā vuttanayeneva cattāro vassike māse adhiṭṭhātabbā, tato paraṃ paccuddharitvā vikappetabbā’’ti vuttaṃ. Idañca viruddhaṃ viya dissati aññamaññaṃ hemante paccuddhārasambhavato, vassāne vikappanāsambhavato ca. Tathā idha ‘‘anāpatti antodasāhaṃ adhiṭṭheti vikappetī’’ti vacanappamāṇato sabbattha vikappanāya appaṭisiddhabhāvo veditabboti (pārā. aṭṭha. 2.469) aṭṭhakathāvacanaṃ parivāravacanena viruddhaṃ viya dissati, na hi viruddhaṃ tathāgatā bhāsanti, tasmā aṭṭhakathānayovettha paṭisaraṇaṃ, yena sabbampi taṃ ekarasaṃ hoti. Parivāraṭṭhakathāyañca vuttaṃ ‘‘na vikappetabbānīti adhiṭṭhitakālato paṭṭhāya na vikappetabbānī’’ti (pari. aṭṭha. 329). Ticīvarāni adhiṭṭhitakālato paṭṭhāya, vassikasāṭikādīni ca attano attano adhiṭṭhānakhette na akāmā vikappetabbānīti attho, avasesapāḷi, attho ca idha aṭṭhakathāyaṃ vutto, tasmā sabbampetaṃ ekarasanti.
เอตฺถาห – ยทิ เอวํ ‘‘นว จีวรานิ นาธิฎฺฐาตพฺพานี’’ติ จ วตฺตพฺพํฯ วิกปฺปิตกาลโต ปฎฺฐาย หิ นาธิฎฺฐาตพฺพานีติ? เอตฺถ วุจฺจเต – ‘‘ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุํ…เป.… ปริกฺขารโจฬํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’’นฺติ เอตฺถ สพฺพตฺถ อธิฎฺฐาเน ปฎิเสธาทสฺสนโต, วิกปฺปนาย อทสฺสนโต จ ‘‘ตโต ปร’’นฺติ ทฺวีเสฺวว ปริเจฺฉททสฺสนโต จ ‘‘นว จีวรานิ อธิฎฺฐาตพฺพานิ, น วิกเปฺปตพฺพานิ เจว วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อปโร นโย – อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ อกามาฯ กสฺมา? กาเล อุปฺปนฺนํ อนธิฎฺฐหนฺตสฺส กาลาติกฺกเม อาปตฺติสมฺภวโต, อกาเล อุปฺปนฺนํ อนธิฎฺฐหนฺตสฺส ทสาหาติกฺกเม อาปตฺติสมฺภวโต จฯ ตตฺถ ยํ กาเล อุปฺปนฺนํ อปฺปโหเนฺตปิ ทสาเห กาลาติกฺกเม อาปตฺติกรํ, ตํ นิสฺสชฺชนกาเล ‘‘อิทํ เม, ภเนฺต, อติเรกจีวรํ ธาริตํ นิสฺสคฺคิยํ, อิมาหํ สงฺฆสฺสา’’ติอาทินา นิสฺสชฺชิตพฺพํ, อิตรํ ยถาปาฬิเมวฯ ตตฺถ ปฐมนโย ‘‘โย ปน, ภิกฺขุ, อติเรกจีวรํ ธาเรยฺย นิสฺสคฺคิย’’นฺติ อิมาย ปฐมปญฺญตฺติยา วเสน วุโตฺต, ทุติโย อนุปญฺญตฺติยา วเสน วุโตฺตฯ
Etthāha – yadi evaṃ ‘‘nava cīvarāni nādhiṭṭhātabbānī’’ti ca vattabbaṃ. Vikappitakālato paṭṭhāya hi nādhiṭṭhātabbānīti? Ettha vuccate – ‘‘ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetuṃ…pe… parikkhāracoḷaṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’’nti ettha sabbattha adhiṭṭhāne paṭisedhādassanato, vikappanāya adassanato ca ‘‘tato para’’nti dvīsveva paricchedadassanato ca ‘‘nava cīvarāni adhiṭṭhātabbāni, na vikappetabbāni ceva vuttanti veditabbaṃ. Aparo nayo – anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ akāmā. Kasmā? Kāle uppannaṃ anadhiṭṭhahantassa kālātikkame āpattisambhavato, akāle uppannaṃ anadhiṭṭhahantassa dasāhātikkame āpattisambhavato ca. Tattha yaṃ kāle uppannaṃ appahontepi dasāhe kālātikkame āpattikaraṃ, taṃ nissajjanakāle ‘‘idaṃ me, bhante, atirekacīvaraṃ dhāritaṃ nissaggiyaṃ, imāhaṃ saṅghassā’’tiādinā nissajjitabbaṃ, itaraṃ yathāpāḷimeva. Tattha paṭhamanayo ‘‘yo pana, bhikkhu, atirekacīvaraṃ dhāreyya nissaggiya’’nti imāya paṭhamapaññattiyā vasena vutto, dutiyo anupaññattiyā vasena vutto.
ยถา จ นิสฺสชฺชิตพฺพวตฺถุมฺหิ อสติ ยถาปาฬิํ อวตฺวา เกวลํ อาปตฺติ เอว เทเสตพฺพา, ยถา จ วสฺสิกสาฎิกนิสฺสชฺชเน เกวลํ ปริยิฎฺฐมเตฺต ยถาปาฬิํ อวตฺวา ยถาสมฺภวํ นิสฺสชฺชิตพฺพํ, ตถา อิทมฺปีติ เวทิตพฺพํฯ ยถา สํวจฺฉราติกฺกนฺตํ อติเรกจีวรํ ‘‘ทสาหาติกฺกนฺต’’มิเจฺจว วุจฺจติฯ สํวจฺฉรวิปฺปวุตฺถติจีวรํ, มาสาติกฺกนฺตญฺจ ‘‘รตฺติวิปฺปวุตฺถ’’นฺติ จ ‘‘ฉารตฺตวิปฺปวุตฺถ’’นฺติ จ วุจฺจติ, ตถา อิทมฺปิ ‘‘ทสาหาติกฺกนฺต’’มิเจฺจว วุจฺจตีติ เอเก, ตสฺมา สิทฺธมิทํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ อกามา’’ติ, ตถา อกามา น วิกเปฺปตุนฺติ อโตฺถฯ อิจฺฉาย หิ สติ ‘‘ปจฺจุทฺธริตฺวา วิปฺปวาสสุขตฺถํ วิกปฺปนาย โอกาโส ทิโนฺน โหติ, ทสาหาติกฺกเม จ อนาปตฺตี’’ติ วจนโต วิกเปฺปตุํ อนุชานามีติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา วสฺสิกสาฎิกา อกามา อธิฎฺฐาตุํ ทสาหาติกฺกเม อาปตฺติสมฺภวโตฯ กิตฺตกํ กาลนฺติ เจ? วสฺสานํ จาตุมาสํ, อิจฺฉาย ปน สติ อุทฺธํเยว วิกเปฺปตพฺพํฯ ‘‘สพฺพตฺถ วิกปฺปนาย อปฺปฎิสิทฺธภาโว เวทิตโพฺพ’’ติ หิ วุตฺตํฯ ‘‘อตฺถาปตฺติ เหมเนฺต อาปชฺชติ, โน คิเมฺห, โน วเสฺส’’ติ (ปริ. ๓๒๓) จ วุตฺตํ, เตน วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘ตโต ปรํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพา’’ติฯ
Yathā ca nissajjitabbavatthumhi asati yathāpāḷiṃ avatvā kevalaṃ āpatti eva desetabbā, yathā ca vassikasāṭikanissajjane kevalaṃ pariyiṭṭhamatte yathāpāḷiṃ avatvā yathāsambhavaṃ nissajjitabbaṃ, tathā idampīti veditabbaṃ. Yathā saṃvaccharātikkantaṃ atirekacīvaraṃ ‘‘dasāhātikkanta’’micceva vuccati. Saṃvaccharavippavutthaticīvaraṃ, māsātikkantañca ‘‘rattivippavuttha’’nti ca ‘‘chārattavippavuttha’’nti ca vuccati, tathā idampi ‘‘dasāhātikkanta’’micceva vuccatīti eke, tasmā siddhamidaṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ akāmā’’ti, tathā akāmā na vikappetunti attho. Icchāya hi sati ‘‘paccuddharitvā vippavāsasukhatthaṃ vikappanāya okāso dinno hoti, dasāhātikkame ca anāpattī’’ti vacanato vikappetuṃ anujānāmīti vuttaṃ hoti. Tathā vassikasāṭikā akāmā adhiṭṭhātuṃ dasāhātikkame āpattisambhavato. Kittakaṃ kālanti ce? Vassānaṃ cātumāsaṃ, icchāya pana sati uddhaṃyeva vikappetabbaṃ. ‘‘Sabbattha vikappanāya appaṭisiddhabhāvo veditabbo’’ti hi vuttaṃ. ‘‘Atthāpatti hemante āpajjati, no gimhe, no vasse’’ti (pari. 323) ca vuttaṃ, tena vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tato paraṃ paccuddharitvā vikappetabbā’’ti.
ตตฺรายํ วิจารณา – กทา ปจฺจุทฺธริตพฺพา, กทา วิกเปฺปตพฺพา, กิเญฺจตฺถ ยสฺมา ‘‘ตโต ปร’’นฺติ วุตฺตํฯ เหมนฺตญฺจ ปตฺตมเตฺต สา อธิฎฺฐานํ วิชหติ, ตสฺมา ‘‘ปจฺจุทฺธริตฺวา’’ติ น วตฺตพฺพํ อธิฎฺฐานสฺส นตฺถิตาย, อถ ‘‘อโนฺตจาตุมาเส วิกเปฺปตพฺพา’’ติ น วตฺตพฺพํฯ ‘‘ตโต ปรํ วิกเปฺปตุ’’นฺติ หิ วุตฺตนฺติ? เอตฺถ เอกเจฺจ วทนฺติ ‘‘วตฺตพฺพเมต’’นฺติฯ ยถา ปริวุตฺถปริวาโส, จิณฺณมานโตฺต จ สโนฺต นิฎฺฐิเตสุปิ ปริวาสมานตฺตทิวเสสุ, ตถา นิฎฺฐิเตสุปิ อธิฎฺฐานทิวเสสุ สาธิฎฺฐานเมตนฺติ เอเกฯ อฎฺฐกถาจริยานํ อิทํ สนฺนิฎฺฐานํ ‘‘กตฺติกปุณฺณมทิวเส ปจฺจุทฺธริตฺวา ปาฎิปททิวเส วิกเปฺปตพฺพา’’ติฯ วุตฺตเญฺหตํ ปริวารฎฺฐกถายํ ‘‘กตฺติกปุณฺณมาสิยา ปจฺฉิเม ปาฎิปททิวเส วิกเปฺปตฺวา ฐปิตํ วสฺสิกสาฎิกํ นิวาเสโนฺต เหมเนฺต อาปชฺชติฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘กตฺติกปุณฺณมทิวเส อปจฺจุทฺธริตฺวา เหมเนฺต อาปชฺชตี’ติ วุตฺตํ, ตมฺปิ สุวุตฺตํฯ ‘จาตุมาสํ อธิฎฺฐาตุํ, ตโต ปรํ วิกเปฺปตุ’นฺติ หิ วุตฺต’’นฺติ (ปริ. อฎฺฐ. ๓๒๓)ฯ ตตฺถ กุรุนฺทินโย ปจฺฉา วุตฺตตฺตา สารโต ทฎฺฐโพฺพ , น ปุริโมฯ นิวาเสโนฺต หิ คิเมฺหปิ โอเรนทฺธมาสํ อาปชฺชติ เอวฯ อิธ จ ‘‘อตฺถาปตฺติ เหมเนฺต อาปชฺชติ, โน คิเมฺหติ วุตฺต’’นฺติ กุรุนฺทิวจนสฺสายมโตฺถ ทิสฺสติฯ
Tatrāyaṃ vicāraṇā – kadā paccuddharitabbā, kadā vikappetabbā, kiñcettha yasmā ‘‘tato para’’nti vuttaṃ. Hemantañca pattamatte sā adhiṭṭhānaṃ vijahati, tasmā ‘‘paccuddharitvā’’ti na vattabbaṃ adhiṭṭhānassa natthitāya, atha ‘‘antocātumāse vikappetabbā’’ti na vattabbaṃ. ‘‘Tato paraṃ vikappetu’’nti hi vuttanti? Ettha ekacce vadanti ‘‘vattabbameta’’nti. Yathā parivutthaparivāso, ciṇṇamānatto ca santo niṭṭhitesupi parivāsamānattadivasesu, tathā niṭṭhitesupi adhiṭṭhānadivasesu sādhiṭṭhānametanti eke. Aṭṭhakathācariyānaṃ idaṃ sanniṭṭhānaṃ ‘‘kattikapuṇṇamadivase paccuddharitvā pāṭipadadivase vikappetabbā’’ti. Vuttañhetaṃ parivāraṭṭhakathāyaṃ ‘‘kattikapuṇṇamāsiyā pacchime pāṭipadadivase vikappetvā ṭhapitaṃ vassikasāṭikaṃ nivāsento hemante āpajjati. Kurundiyaṃ pana ‘kattikapuṇṇamadivase apaccuddharitvā hemante āpajjatī’ti vuttaṃ, tampi suvuttaṃ. ‘Cātumāsaṃ adhiṭṭhātuṃ, tato paraṃ vikappetu’nti hi vutta’’nti (pari. aṭṭha. 323). Tattha kurundinayo pacchā vuttattā sārato daṭṭhabbo , na purimo. Nivāsento hi gimhepi orenaddhamāsaṃ āpajjati eva. Idha ca ‘‘atthāpatti hemante āpajjati, no gimheti vutta’’nti kurundivacanassāyamattho dissati.
‘‘กตฺติกปุณฺณมทิวเส อปจฺจุทฺธริตฺวา ตสฺมิํเยว ทิวเส อวิกเปฺปโนฺต ปจฺฉิมปาฎิปททิวเส อปจฺจุทฺธารปจฺจยา ทุกฺกฎํ อาปชฺชติ, น, อวิกปฺปนปจฺจยา ทสาหปริหารสมฺภวโต’’ติ การณเมเก วทนฺติฯ เอวํ สติ เหมเนฺต ปตฺตมเตฺต อธิฎฺฐานํ วิชหตีติ อาปชฺชติ, ตญฺจ อยุตฺตํฯ อธิฎฺฐานญฺหิ ‘‘อญฺญสฺส ทาเนน…เป.… ฉิทฺทภาเวนาติ อิเมหิ นวหิ การเณหิ วิชหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๖๙) วุตฺตํ, น ‘‘อธิฎฺฐานเขตฺตาติกฺกเมน วา’’ติฯ อสาธารณตฺตา น วุตฺตนฺติ เจ? น, ‘‘ฉิทฺทภาเวนา’’ติ น วตฺตพฺพปฺปสงฺคโต, ฉิทฺทภาเวน ปน ติจีวรเสฺสว สพฺพฎฺฐกถาสุ อธิฎฺฐานวิชหนสฺส วุตฺตตฺตาฯ ตสฺมา เหมนฺตสฺส ปฐมทิวเส อปจฺจุทฺธารปจฺจยา ทุกฺกฎํ อาปชฺชติ, น ปจฺจุทฺธริตฺวา อวิกปฺปนปจฺจยาฯ ‘‘วิกเปฺปตุ’’นฺติ วจนโต ตโต อธิฎฺฐานํ น วิชหตีติ ปญฺญายติฯ น หิ กตฺติกปุณฺณมาสิยา ปจฺฉิเม ปาฎิปททิวเส อวิกเปฺปตฺวา เหมเนฺต อาปชฺชตีติ วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโย, ยสฺมา ตํ อปจฺจุทฺธารปจฺจยา ทุกฺกฎํ เหมนฺตสฺส ปฐมอรุณกฺขเณ เอว อาปชฺชติ, ตสฺมา ‘‘กตฺติกปุณฺณมทิวเส อปจฺจุทฺธริตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ ปจฺจุทฺธฎํ ปน เหมเนฺต ทสาหปริหารํ ลภติฯ ‘‘ทสาเห อปฺปโหเนฺต จีวรกาลํ นาติกฺกาเมตพฺพา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๓๐) หิ วุตฺตํ, ตญฺจ โข สมเย อุปฺปนฺนํ เจ, นาสมเยฯ ตถา จ สาธิตํ อปจฺจุทฺธฎํ น นิสฺสคฺคิยํ โหติ, โน จ ตํ ปริทหิตํ, ตสฺมา กตฺติกปุณฺณมทิวเส เอว ปจฺจุทฺธรณญฺจ วิกปฺปนญฺจ กตฺตพฺพนฺติ สิทฺธํ, เอตฺถ จ ยถา อติเรกจีวรํ ทสเม ทิวเส วิกเปฺปเนฺตน ทสาหปรมํ ธาริตํ โหติ, อโนฺตทสาเห จ วิกปฺปิตํ โหติ, ตถา กตฺติกปุณฺณมาย วิกเปฺปเนฺตน วสฺสานํ จาตุมาสํ อธิฎฺฐิตญฺจ โหติ, ตโต ปรํ อนาปตฺติเขเตฺต เอว วิกปฺปนา จ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ เอตฺตาวตา อตฺถิ วิกปฺปนาเขเตฺต อธิฎฺฐานํ, อธิฎฺฐานเขเตฺต จ วิกปฺปนาติ ทีปิตํ โหติฯ อญฺญถา ‘‘อตฺถาปตฺติ อธิฎฺฐาเนน อาปชฺชติ, อนธิฎฺฐาเนน อาปชฺชติฯ อตฺถาปตฺติ วิกปฺปนาย อาปชฺชติ, อวิกปฺปนาย อาปชฺชตี’’ติ ทุเกสุ เทฺว ทุกานิ วตฺตพฺพานิ สิยุํฯ ตตฺถ ปฐมทุเก ปฐมปทํ สมฺภวติฯ วิกปฺปนเขเตฺต หิ วสฺสิกสาฎิกาทีนํ อธิฎฺฐาเนน วินยาติสารทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ เอเตเนว ทุติยทุกฺกฎสฺส ทุติยปทํ วุตฺตํ โหติฯ อนธิฎฺฐาเนน อาปชฺชตีติ นตฺถิฯ อโนฺตทสาเห อนาปชฺชนโต, วิกปฺปนาทิสมฺภวโต จ วิกปฺปนาย อาปชฺชตีติ นตฺถิ สพฺพตฺถ วิกปฺปนาย อปฺปฎิสิทฺธตฺตา, ตสฺมา ตานิ ทุกานิ ‘‘น ลพฺภนฺตี’’ติ น วุตฺตานิฯ เอตฺถาห – ยา สา ‘‘อตฺถาปตฺติ เหมเนฺต อาปชฺชตี’’ติ (ปริ. ๓๒๓) วจนปฺปมาณโต ทุกฺกฎาปตฺติ สาธิตา, สา สญฺจิจฺจ อปจฺจุทฺธรนฺตสฺส ยุชฺชติ, อสติยา เจ, กญฺจิ, อนาปตฺติฯ กตฺติกปุณฺณมาย ปจฺจุทฺธฎํ สญฺจิจฺจ อวิกปฺปยโต ทุกฺกเฎน สห ปุนทิวเส นิสฺสคฺคิยํ, อสติยา อวิกปฺปยโต นิสฺสคฺคิยเมว อิธ ปฐมปญฺญตฺติยาฯ ยํ ปน วุตฺตํ มาติกาฎฺฐกถายํ (กงฺขา. อฎฺฐ. กถินสิกฺขาปทวณฺณนา) ‘‘วสฺสิกสาฎิกา วสฺสานมาสาติกฺกเมนาปิ, กณฺฑุปฎิจฺฉาทิ อาพาธวูปสเมนาปิ อธิฎฺฐานํ วิชหติ, ตสฺมา สา ตโต ปรํ วิกเปฺปตพฺพา’’ติ, เตเนตํ วิรุชฺฌติ, น เกวลํ อิทเมว, ‘‘ตโต ปรํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพา’’ติ อฎฺฐกถาวจนญฺจ วิรุชฺฌติฯ ตโต ปรํ นาม หิ เหมนฺตํ, ตตฺถ เจ ปจฺจุทฺธาโร, ‘‘วสฺสิกสาฎิกา วสฺสานมาสาติกฺกเมนาปี’’ติอาทิ น ยุตฺตํ อธิฎฺฐานาภาเวน ปจฺจุทฺธาราภาวโตฯ อวิโรโธ จ อิจฺฉิตโพฺพ, ตสฺมา ‘‘ปจฺจุทฺธรณํ วตฺตมตฺต’’นฺติวาโท เอตฺถาปิ สมฺภวตีติ เจ? น, กุรุนฺทิ วจนวิโรธโตฯ ตตฺถ หิ กตฺติกปุณฺณมาย ปจฺจุทฺธาโร วุโตฺต, ตสฺมา วสฺสานทิวสตฺตา สาธิฎฺฐานาวสา ปจฺจุทฺธรียตีติ น ปจฺจุทฺธาโร วตฺตมตฺตํ, ตสฺมา ‘‘ตโต ปร’’นฺติ ยาว ปุณฺณมา อธิเปฺปตา สิยาฯ ยถา จายํ วิกโปฺป, ตถา ‘‘วสฺสานมาสาติกฺกเมนาปิ อาพาธวูปสเมนาปี’’ติ อิทมฺปิ อวสฺสํ ปจฺจุทฺธริตพฺพตาย วุตฺตํ สิยาฯ เอวญฺจ สติ อิธ สมนฺตปาสาทิกาย ตทวจเนน สเมติฯ อญฺญถา อิธปิ ตํ วตฺตพฺพํ สิยาติ ยถาวุโตฺตว วิธิ เอตฺถ สมฺภวติ, กิญฺจาปิ สมฺภวติ, ทุวิญฺญาปยสฺส ปน โลกสฺส สุวิญฺญาปนตฺถํ วุตฺตาฯ ยสฺมา ปน สา วสฺสานาติกฺกเมน อธิฎฺฐานํ วิชหติ, เหมนฺตปฐมารุเณ จ อปจฺจุทฺธารปจฺจยา ทุกฺกฎา สาธิตา, ตสฺมา กตฺติกปุณฺณมายเมว ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพา, อวิกปฺปิตาย ‘‘นิสฺสคฺคิยาปชฺชนเมวา’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอตฺตาวตาปิ สโนฺตสํ อกตฺวา วินิจฺฉโย ปริเยสิตโพฺพฯ โหติ เจตฺถ –
‘‘Kattikapuṇṇamadivase apaccuddharitvā tasmiṃyeva divase avikappento pacchimapāṭipadadivase apaccuddhārapaccayā dukkaṭaṃ āpajjati, na, avikappanapaccayā dasāhaparihārasambhavato’’ti kāraṇameke vadanti. Evaṃ sati hemante pattamatte adhiṭṭhānaṃ vijahatīti āpajjati, tañca ayuttaṃ. Adhiṭṭhānañhi ‘‘aññassa dānena…pe… chiddabhāvenāti imehi navahi kāraṇehi vijahatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.469) vuttaṃ, na ‘‘adhiṭṭhānakhettātikkamena vā’’ti. Asādhāraṇattā na vuttanti ce? Na, ‘‘chiddabhāvenā’’ti na vattabbappasaṅgato, chiddabhāvena pana ticīvarasseva sabbaṭṭhakathāsu adhiṭṭhānavijahanassa vuttattā. Tasmā hemantassa paṭhamadivase apaccuddhārapaccayā dukkaṭaṃ āpajjati, na paccuddharitvā avikappanapaccayā. ‘‘Vikappetu’’nti vacanato tato adhiṭṭhānaṃ na vijahatīti paññāyati. Na hi kattikapuṇṇamāsiyā pacchime pāṭipadadivase avikappetvā hemante āpajjatīti vuttanti adhippāyo, yasmā taṃ apaccuddhārapaccayā dukkaṭaṃ hemantassa paṭhamaaruṇakkhaṇe eva āpajjati, tasmā ‘‘kattikapuṇṇamadivase apaccuddharitvā’’ti vuttaṃ. Paccuddhaṭaṃ pana hemante dasāhaparihāraṃ labhati. ‘‘Dasāhe appahonte cīvarakālaṃ nātikkāmetabbā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.630) hi vuttaṃ, tañca kho samaye uppannaṃ ce, nāsamaye. Tathā ca sādhitaṃ apaccuddhaṭaṃ na nissaggiyaṃ hoti, no ca taṃ paridahitaṃ, tasmā kattikapuṇṇamadivase eva paccuddharaṇañca vikappanañca kattabbanti siddhaṃ, ettha ca yathā atirekacīvaraṃ dasame divase vikappentena dasāhaparamaṃ dhāritaṃ hoti, antodasāhe ca vikappitaṃ hoti, tathā kattikapuṇṇamāya vikappentena vassānaṃ cātumāsaṃ adhiṭṭhitañca hoti, tato paraṃ anāpattikhette eva vikappanā ca hotīti veditabbaṃ. Ettāvatā atthi vikappanākhette adhiṭṭhānaṃ, adhiṭṭhānakhette ca vikappanāti dīpitaṃ hoti. Aññathā ‘‘atthāpatti adhiṭṭhānena āpajjati, anadhiṭṭhānena āpajjati. Atthāpatti vikappanāya āpajjati, avikappanāya āpajjatī’’ti dukesu dve dukāni vattabbāni siyuṃ. Tattha paṭhamaduke paṭhamapadaṃ sambhavati. Vikappanakhette hi vassikasāṭikādīnaṃ adhiṭṭhānena vinayātisāradukkaṭaṃ āpajjati. Eteneva dutiyadukkaṭassa dutiyapadaṃ vuttaṃ hoti. Anadhiṭṭhānena āpajjatīti natthi. Antodasāhe anāpajjanato, vikappanādisambhavato ca vikappanāya āpajjatīti natthi sabbattha vikappanāya appaṭisiddhattā, tasmā tāni dukāni ‘‘na labbhantī’’ti na vuttāni. Etthāha – yā sā ‘‘atthāpatti hemante āpajjatī’’ti (pari. 323) vacanappamāṇato dukkaṭāpatti sādhitā, sā sañcicca apaccuddharantassa yujjati, asatiyā ce, kañci, anāpatti. Kattikapuṇṇamāya paccuddhaṭaṃ sañcicca avikappayato dukkaṭena saha punadivase nissaggiyaṃ, asatiyā avikappayato nissaggiyameva idha paṭhamapaññattiyā. Yaṃ pana vuttaṃ mātikāṭṭhakathāyaṃ (kaṅkhā. aṭṭha. kathinasikkhāpadavaṇṇanā) ‘‘vassikasāṭikā vassānamāsātikkamenāpi, kaṇḍupaṭicchādi ābādhavūpasamenāpi adhiṭṭhānaṃ vijahati, tasmā sā tato paraṃ vikappetabbā’’ti, tenetaṃ virujjhati, na kevalaṃ idameva, ‘‘tato paraṃ paccuddharitvā vikappetabbā’’ti aṭṭhakathāvacanañca virujjhati. Tato paraṃ nāma hi hemantaṃ, tattha ce paccuddhāro, ‘‘vassikasāṭikā vassānamāsātikkamenāpī’’tiādi na yuttaṃ adhiṭṭhānābhāvena paccuddhārābhāvato. Avirodho ca icchitabbo, tasmā ‘‘paccuddharaṇaṃ vattamatta’’ntivādo etthāpi sambhavatīti ce? Na, kurundi vacanavirodhato. Tattha hi kattikapuṇṇamāya paccuddhāro vutto, tasmā vassānadivasattā sādhiṭṭhānāvasā paccuddharīyatīti na paccuddhāro vattamattaṃ, tasmā ‘‘tato para’’nti yāva puṇṇamā adhippetā siyā. Yathā cāyaṃ vikappo, tathā ‘‘vassānamāsātikkamenāpi ābādhavūpasamenāpī’’ti idampi avassaṃ paccuddharitabbatāya vuttaṃ siyā. Evañca sati idha samantapāsādikāya tadavacanena sameti. Aññathā idhapi taṃ vattabbaṃ siyāti yathāvuttova vidhi ettha sambhavati, kiñcāpi sambhavati, duviññāpayassa pana lokassa suviññāpanatthaṃ vuttā. Yasmā pana sā vassānātikkamena adhiṭṭhānaṃ vijahati, hemantapaṭhamāruṇe ca apaccuddhārapaccayā dukkaṭā sādhitā, tasmā kattikapuṇṇamāyameva paccuddharitvā vikappetabbā, avikappitāya ‘‘nissaggiyāpajjanamevā’’ti vattabbaṃ. Ettāvatāpi santosaṃ akatvā vinicchayo pariyesitabbo. Hoti cettha –
‘‘เอวํ อภาวํ วินยสฺส ปาฬิ,
‘‘Evaṃ abhāvaṃ vinayassa pāḷi,
ภินฺนํ อภินฺนญฺจ ตทตฺถยุตฺติํ;
Bhinnaṃ abhinnañca tadatthayuttiṃ;
วิญฺญาตุกาเมน ตทตฺถวิญฺญู,
Viññātukāmena tadatthaviññū,
ปริเยสิตพฺพา วินเย วิญฺญายา’’ติฯ
Pariyesitabbā vinaye viññāyā’’ti.
‘‘ตุยฺหํ คณฺหาหี’’ติ วุเตฺต วินาปิ ‘‘มยฺหํ คณฺหามี’’ติ วจเนน สุทินฺนํ โหติฯ อิตโร เจ อธิวาเสติ, เตนาปิ สุคฺคหิตํ โหติ, โน เจ อธิวาเสติ, เทเนฺตน สุทินฺนํฯ ตํ ปน วตฺถุ น กสฺสจิ โหติฯ ตถา ‘‘มยฺหํ คณฺหามี’’ติ วทติ, สามิโก เจ อธิวาเสติ, วินาปิ ‘‘คณฺหาหี’’ติ วจเนน สุคฺคหิตํฯ โน เจ อธิวาเสติ, สามิกเสฺสว ตํ, น หิ ตเสฺสตํ วินยกมฺมนฺติ เอตฺถ วินยกมฺมสฺสตฺถาย เจ คณฺหาติ, น วฎฺฎติฯ น เกวลํ อตฺตโน อตฺถาย คหิตํ , ปุน ตสฺสปิ เทติ, วฎฺฎตีติ จฯ ตถา อนเปโกฺข หุตฺวา ปรสฺส วิสฺสเชฺชตฺวา ปุน เตน ทินฺนํ วา ตสฺส วิสฺสาสโนฺต วา ปริภุญฺชติ, วฎฺฎติฯ ตตฺถาปิ วินยกมฺมวเสน น วฎฺฎตีติ เอเกฯ เต เอว ‘‘มหนฺตํ วา ขุทฺทกํ กโรตี’’ติ เอตฺถ ‘‘ติจีวเร ทีฆโต วิทตฺถิ อนติกฺกมิตฺวา ฉินฺทิตฺวา กโรติ, เอวํ เสเสสุปี’’ติ วทนฺติฯ เอวรูเปสุ ฐาเนสุ โปราณาจริยานํ กถามคฺคํ สุฎฺฐุ อาจริยกุลเสวนาย สญฺชานิตฺวา เตน สํสนฺทิตฺวา สโต สมฺปชาโน หุตฺวา โสตูนญฺจ จิตฺตํ อวิโมเหตฺวา กเถตพฺพํฯ เอสา อมฺหากํ อายาจนาฯ
‘‘Tuyhaṃ gaṇhāhī’’ti vutte vināpi ‘‘mayhaṃ gaṇhāmī’’ti vacanena sudinnaṃ hoti. Itaro ce adhivāseti, tenāpi suggahitaṃ hoti, no ce adhivāseti, dentena sudinnaṃ. Taṃ pana vatthu na kassaci hoti. Tathā ‘‘mayhaṃ gaṇhāmī’’ti vadati, sāmiko ce adhivāseti, vināpi ‘‘gaṇhāhī’’ti vacanena suggahitaṃ. No ce adhivāseti, sāmikasseva taṃ, na hi tassetaṃ vinayakammanti ettha vinayakammassatthāya ce gaṇhāti, na vaṭṭati. Na kevalaṃ attano atthāya gahitaṃ , puna tassapi deti, vaṭṭatīti ca. Tathā anapekkho hutvā parassa vissajjetvā puna tena dinnaṃ vā tassa vissāsanto vā paribhuñjati, vaṭṭati. Tatthāpi vinayakammavasena na vaṭṭatīti eke. Te eva ‘‘mahantaṃ vā khuddakaṃ karotī’’ti ettha ‘‘ticīvare dīghato vidatthi anatikkamitvā chinditvā karoti, evaṃ sesesupī’’ti vadanti. Evarūpesu ṭhānesu porāṇācariyānaṃ kathāmaggaṃ suṭṭhu ācariyakulasevanāya sañjānitvā tena saṃsanditvā sato sampajāno hutvā sotūnañca cittaṃ avimohetvā kathetabbaṃ. Esā amhākaṃ āyācanā.
ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทํ • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā