Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā |
๔. นิสฺสคฺคิยกโณฺฑ
4. Nissaggiyakaṇḍo
๑. จีวรวโคฺค
1. Cīvaravaggo
๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา
1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā
๔๕๙. สมิตาวินาติ สมิตปาเปนฯ โคตมกเจติยํ นาม โคตมยกฺขสฺส เจติยฎฺฐาเน กตวิหาโร วุจฺจติฯ
459.Samitāvināti samitapāpena. Gotamakacetiyaṃ nāma gotamayakkhassa cetiyaṭṭhāne katavihāro vuccati.
๔๖๑. นวมํ วา ทสมํ วาติ ภุมฺมเตฺถ อุปโยควจนํฯ สเจ ภเวยฺยาติ สเจ กสฺสจิ กงฺขา ภเวยฺยฯ วุตฺตสทิสนฺติ ทสมํ วาติ วุตฺตสทิสํ ปริเจฺฉทสทิสํ, ‘‘วุตฺตสทิสเมวา’’ติปิ ลิขนฺติฯ ธาเรตุนฺติ เอตฺถ อาหาติ ปาฐเสโส ทฎฺฐโพฺพฯ
461.Navamaṃ vā dasamaṃ vāti bhummatthe upayogavacanaṃ. Sace bhaveyyāti sace kassaci kaṅkhā bhaveyya. Vuttasadisanti dasamaṃ vāti vuttasadisaṃ paricchedasadisaṃ, ‘‘vuttasadisamevā’’tipi likhanti. Dhāretunti ettha āhāti pāṭhaseso daṭṭhabbo.
๔๖๓. สูจิยา ปฎิสามนนฺติ สูจิฆเร สํโคปนํ, อิทญฺจ สูจิกมฺมสฺส สพฺพสฺส ปรินิฎฺฐิตภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ เอตนฺติ นฎฺฐจีวรํฯ เอเตสมฺปีติ นฎฺฐจีวราทีนิ ปรามสติ, เตน จีวรปลิโพธาภาวํ ทเสฺสติฯ ทุติยสฺส ปลิโพธสฺสาติ อาวาสปลิโพธสฺสฯ เอตฺถ จ นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ, อุพฺภตสฺมิํ กถิเนติ ทฺวีหิ ปเทหิ ทฺวินฺนํ ปลิโพธานํ อภาวทสฺสเนน อตฺถตกถินสฺส ปญฺจมาสพฺภนฺตเร ยาว จีวรปลิโพธอาวาสปลิโพเธสุ อญฺญตรํ น อุปจฺฉิชฺชติ, ตาว อติเรกจีวรํ ธาเรตุํ วฎฺฎตีติ ทีเปติฯ ปกฺกมนํ อโนฺต อสฺสาติ ปกฺกมนนฺติกา, เอวํ เสสาปิ เวทิตพฺพาฯ วิตฺถาโร ปเนตฺถ อาคตฎฺฐาเน อาวิ ภวิสฺสติฯ
463.Sūciyā paṭisāmananti sūcighare saṃgopanaṃ, idañca sūcikammassa sabbassa pariniṭṭhitabhāvadassanatthaṃ vuttaṃ. Etanti naṭṭhacīvaraṃ. Etesampīti naṭṭhacīvarādīni parāmasati, tena cīvarapalibodhābhāvaṃ dasseti. Dutiyassa palibodhassāti āvāsapalibodhassa. Ettha ca niṭṭhitacīvarasmiṃ, ubbhatasmiṃ kathineti dvīhi padehi dvinnaṃ palibodhānaṃ abhāvadassanena atthatakathinassa pañcamāsabbhantare yāva cīvarapalibodhaāvāsapalibodhesu aññataraṃ na upacchijjati, tāva atirekacīvaraṃ dhāretuṃ vaṭṭatīti dīpeti. Pakkamanaṃ anto assāti pakkamanantikā, evaṃ sesāpi veditabbā. Vitthāro panettha āgataṭṭhāne āvi bhavissati.
ทสาหปรมํ กาลนฺติ อจฺจนฺตสํโยควจนํฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ…เป.… ทสาหปรมภาโวติ อิทํ ทสาหปรมตาปทสฺส อตฺถมตฺตทสฺสนํ, ทสาหปรมภาโวติ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหตีติ เอวเมตฺถ โยชนา เวทิตพฺพาฯ อยมโตฺถติอาทิ ทสาหปรมปทเสฺสว อธิเปฺปตตฺถทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ ตตฺถ เอตฺตโก กาโลติ ‘‘ทสาหปรมตา’’ติ วุโตฺต โย กาโล, โส เอตฺตโก กาโลติ อโตฺถฯ
Dasāhaparamaṃ kālanti accantasaṃyogavacanaṃ. Idañhi vuttaṃ hoti…pe… dasāhaparamabhāvoti idaṃ dasāhaparamatāpadassa atthamattadassanaṃ, dasāhaparamabhāvoti idañhi vuttaṃ hotīti evamettha yojanā veditabbā. Ayamatthotiādi dasāhaparamapadasseva adhippetatthadassanavasena vuttaṃ. Tattha ettako kāloti ‘‘dasāhaparamatā’’ti vutto yo kālo, so ettako kāloti attho.
โขมนฺติ โขมสุเตฺตหิ วายิตํ โขมปฎจีวรํ, ตํ วากมยนฺติ วทนฺติฯ กปฺปาสสุเตฺตหิ วายิตํ กปฺปาสิกํ, เอวํ เสสานิปิฯ กมฺพลนฺติ เอฬกาทีนํ โลมมยสุเตฺตน วายิตปฎํฯ ภงฺคนฺติ โขมสุตฺตาทีนิ สพฺพานิ, เอกจฺจานิ วา มิเสฺสตฺวา วายิตํ จีวรํฯ ภงฺคมฺปิ วากมยเมวาติ เกจิฯ ทุกูลํ ปตฺตุณฺณํ โสมารปฎํ จีนปฎํ อิทฺธิชํ เทวทินฺนนฺติ อิมานิ ปน ฉ จีวรานิ เอเตสเญฺญว อนุโลมานีติ วิสุํ น วุตฺตานิฯ ทุกูลญฺหิ สาณสฺส อนุโลมํ วากมยตฺตาฯ ‘‘ปตฺตุณฺณํ โกเสยฺยวิเสโส’’ติ อภิธานโกเส วุตฺตํฯ โสมารเทเส, จีนเทเส จ ชาตวตฺถานิ โสมารจีนปฎานิฯ ปตฺตุณฺณาทีนิ ตีณิ โกเสยฺยสฺส อนุโลมานิ ปาณเกหิ กตสุตฺตมยตฺตาฯ อิทฺธิชนฺติ เอหิภิกฺขูนํ ปุญฺญิทฺธิยา นิพฺพตฺตจีวรํฯ กปฺปรุเกฺข นิพฺพตฺตํ, เทวทินฺนญฺจ โขมาทีนํ อญฺญตรํ โหตีติ เตสํ สเพฺพสํ อนุโลมานิฯ มนุสฺสานํ ปกติวิทตฺถิํ สนฺธาย ‘‘เทฺว วิทตฺถิโย’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิมินา ทีฆโต วฑฺฒกีหตฺถปฺปมาณํ วิตฺถารโต ตโต อุปฑฺฒปฺปมาณํ วิกปฺปนุปคนฺติ ทเสฺสติฯ ตถา หิ ‘‘สุคตวิทตฺถิ นาม อิทานิ มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส ติโสฺส วิทตฺถิโย, วฑฺฒกีหเตฺถน ทิยโฑฺฒ หโตฺถ โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๘-๓๔๙) กุฎิการสิกฺขาปทฎฺฐกถายํ วุตฺตํ, ตสฺมา สุคตงฺคุเลน ทฺวาทสงฺคุลา สุคตวิทตฺถิ วฑฺฒกีหเตฺถน ทิยโฑฺฒ หโตฺถติ สิทฺธํฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘สุคตงฺคุเลน อฎฺฐงฺคุลํ วฑฺฒกีหตฺถปฺปมาณ’’นฺติ อาคตฎฺฐาเนหิ จ สเมติฯ
Khomanti khomasuttehi vāyitaṃ khomapaṭacīvaraṃ, taṃ vākamayanti vadanti. Kappāsasuttehi vāyitaṃ kappāsikaṃ, evaṃ sesānipi. Kambalanti eḷakādīnaṃ lomamayasuttena vāyitapaṭaṃ. Bhaṅganti khomasuttādīni sabbāni, ekaccāni vā missetvā vāyitaṃ cīvaraṃ. Bhaṅgampi vākamayamevāti keci. Dukūlaṃ pattuṇṇaṃ somārapaṭaṃ cīnapaṭaṃ iddhijaṃ devadinnanti imāni pana cha cīvarāni etesaññeva anulomānīti visuṃ na vuttāni. Dukūlañhi sāṇassa anulomaṃ vākamayattā. ‘‘Pattuṇṇaṃ koseyyaviseso’’ti abhidhānakose vuttaṃ. Somāradese, cīnadese ca jātavatthāni somāracīnapaṭāni. Pattuṇṇādīni tīṇi koseyyassa anulomāni pāṇakehi katasuttamayattā. Iddhijanti ehibhikkhūnaṃ puññiddhiyā nibbattacīvaraṃ. Kapparukkhe nibbattaṃ, devadinnañca khomādīnaṃ aññataraṃ hotīti tesaṃ sabbesaṃ anulomāni. Manussānaṃ pakatividatthiṃ sandhāya ‘‘dve vidatthiyo’’tiādi vuttaṃ. Iminā dīghato vaḍḍhakīhatthappamāṇaṃ vitthārato tato upaḍḍhappamāṇaṃ vikappanupaganti dasseti. Tathā hi ‘‘sugatavidatthi nāma idāni majjhimassa purisassa tisso vidatthiyo, vaḍḍhakīhatthena diyaḍḍho hattho hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.348-349) kuṭikārasikkhāpadaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ, tasmā sugataṅgulena dvādasaṅgulā sugatavidatthi vaḍḍhakīhatthena diyaḍḍho hatthoti siddhaṃ. Evañca katvā ‘‘sugataṅgulena aṭṭhaṅgulaṃ vaḍḍhakīhatthappamāṇa’’nti āgataṭṭhānehi ca sameti.
ตํ อติกฺกามยโตติ เอตฺถ ตนฺติ จีวรํ, กาลํ วา ปรามสติฯ ตสฺส โย อรุโณติ จีวรุปฺปาททิวสสฺส โย อติกฺกโนฺต อรุโณฯ จีวรุปฺปาททิวเสน สทฺธินฺติ จีวรุปฺปาททิวสสฺส อาทิภูเตน อติกฺกนฺตอรุเณน สทฺธินฺติ อโตฺถ, อิทญฺจ ภควตา ‘‘ทสาหปรม’’นฺติ วตฺวา ปุน ‘‘เอกาทเส อรุณุคฺคมเน’’ติ วุตฺตตฺตา ปุพฺพาปรสํสนฺทนตฺถํ สทฺทโต คมฺมมานมฺปิ ‘‘จีวรุปฺปาททิวเสน สทฺธิ’’นฺติ เอวํ วุตฺตํฯ ‘‘ทสเม อรุเณ’’ติ วุเตฺต เอว หิ ทสาหปรเมน สทฺธิํ สเมติฯ ทิวสปริโยสานสฺส อวธิภูตอนาคตารุณวเสน หิ ทิวสํ อติกฺกนฺตํ นาม โหติ, น ปน ทิวสสฺส อาทิภูตารุณวเสน ปริวาสาทีสุ ตถา อคฺคหณโต, อิธ ปน ภควตา ทิวสสฺส อาทิอนฺตปริเจฺฉททสฺสนวเสน ‘‘เอกาทเส อรุณุคฺคมเน’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา อฎฺฐกถายํ ทิวสสฺส อาทิภูตํ ตํทิวสนิสฺสิตมฺปิ อรุณํ คเหตฺวา ‘‘เอกาทเส อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิยํ โหตี’’ติ วุตฺตํฯ อรุโณติ เจตฺถ สูริยุคฺคมนสฺส ปุเรจโร วฑฺฒนฆนรโตฺต ปภาวิเสโสติ ทฎฺฐโพฺพฯ
Taṃ atikkāmayatoti ettha tanti cīvaraṃ, kālaṃ vā parāmasati. Tassa yo aruṇoti cīvaruppādadivasassa yo atikkanto aruṇo. Cīvaruppādadivasena saddhinti cīvaruppādadivasassa ādibhūtena atikkantaaruṇena saddhinti attho, idañca bhagavatā ‘‘dasāhaparama’’nti vatvā puna ‘‘ekādase aruṇuggamane’’ti vuttattā pubbāparasaṃsandanatthaṃ saddato gammamānampi ‘‘cīvaruppādadivasena saddhi’’nti evaṃ vuttaṃ. ‘‘Dasame aruṇe’’ti vutte eva hi dasāhaparamena saddhiṃ sameti. Divasapariyosānassa avadhibhūtaanāgatāruṇavasena hi divasaṃ atikkantaṃ nāma hoti, na pana divasassa ādibhūtāruṇavasena parivāsādīsu tathā aggahaṇato, idha pana bhagavatā divasassa ādiantaparicchedadassanavasena ‘‘ekādase aruṇuggamane’’ti vuttaṃ, tasmā aṭṭhakathāyaṃ divasassa ādibhūtaṃ taṃdivasanissitampi aruṇaṃ gahetvā ‘‘ekādase aruṇuggamane nissaggiyaṃ hotī’’ti vuttaṃ. Aruṇoti cettha sūriyuggamanassa purecaro vaḍḍhanaghanaratto pabhāvisesoti daṭṭhabbo.
วจนีโยติ สงฺฆาเปโกฺขฯ วจนเภโทติ ‘‘ญตฺติยํ เทฺว อาปตฺติโย สรตี’’ติอาทินา วตฺตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ
Vacanīyoti saṅghāpekkho. Vacanabhedoti ‘‘ñattiyaṃ dve āpattiyo saratī’’tiādinā vattabbanti adhippāyo.
๔๖๘. ‘‘น อิธ สญฺญา รกฺขตี’’ติ อิทํ เวมติกญฺจ อนติกฺกนฺตสญฺญญฺจ สนฺธาย วุตฺตํฯ โยปิ เอวํสญฺญี ตสฺสปีติ โย อนติกฺกนฺตสญฺญี, เวมติโก วา, ตสฺสปีติ อโตฺถฯ อนฎฺฐโต อวิลุตฺตสฺส วิเสสมาห ‘‘ปสยฺหาวหารวเสนา’’ติฯ เถยฺยาวหารวเสน คหิตมฺปิ อิธ นฎฺฐํฯ
468.‘‘Naidha saññā rakkhatī’’ti idaṃ vematikañca anatikkantasaññañca sandhāya vuttaṃ. Yopi evaṃsaññī tassapīti yo anatikkantasaññī, vematiko vā, tassapīti attho. Anaṭṭhato aviluttassa visesamāha ‘‘pasayhāvahāravasenā’’ti. Theyyāvahāravasena gahitampi idha naṭṭhaṃ.
อนาปตฺติ อเญฺญน กตํ ปฎิลภิตฺวาติอาทิ นิสีทนสนฺถตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เยน หิ ปุราณสนฺถตสฺส สามนฺตา สุคตวิทตฺถิํ อนาทิยิตฺวา นวํ นิสีทนสนฺถตํ กตํ, ตสฺส ตํ นิสฺสคฺคิยมฺปิ ตโต อญฺญสฺส ปฎิลภิตฺวา ปริภุญฺชนฺตสฺส อนาปตฺติกรนฺติ สิชฺฌนโต อยมโตฺถ สพฺพนิสฺสคฺคิเยสุปิ สิชฺฌติฯ
Anāpatti aññena kataṃ paṭilabhitvātiādi nisīdanasanthataṃ sandhāya vuttaṃ. Yena hi purāṇasanthatassa sāmantā sugatavidatthiṃ anādiyitvā navaṃ nisīdanasanthataṃ kataṃ, tassa taṃ nissaggiyampi tato aññassa paṭilabhitvā paribhuñjantassa anāpattikaranti sijjhanato ayamattho sabbanissaggiyesupi sijjhati.
๔๖๙. ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุนฺติ สงฺฆาฎิอาทินาเมน อธิฎฺฐาตุํฯ ‘‘น วิกเปฺปตุ’’นฺติ อิมินา นาเมน น วิกเปฺปตุํ, เอเตน วิกปฺปิตติจีวโร เตจีวริโก น โหติฯ ตสฺส ตสฺมิํ อธิฎฺฐิตติจีวเร วิย อวิปฺปวาสาทินา กตฺตพฺพวิธิ น กาตโพฺพติ ทเสฺสติ, น ปน วิกปฺปเน โทโสติฯ ตโต ปรนฺติ จตุมาสโต ปรํ วิกเปฺปตฺวา ปริภุญฺชิตุํ อนุญฺญาตนฺติ เกจิ วทนฺติ, อเญฺญ ปน ‘‘วิกเปฺปตฺวา ยาว อาคามิวสฺสานํ, ตาว ฐเปตุเมว วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติ, อปเร ปน ‘‘วิกปฺปเน น โทโส, ตถา วิกปฺปิตํ ปริกฺขาราทินาเมน อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ วทนฺติฯ
469.Ticīvaraṃ adhiṭṭhātunti saṅghāṭiādināmena adhiṭṭhātuṃ. ‘‘Na vikappetu’’nti iminā nāmena na vikappetuṃ, etena vikappitaticīvaro tecīvariko na hoti. Tassa tasmiṃ adhiṭṭhitaticīvare viya avippavāsādinā kattabbavidhi na kātabboti dasseti, na pana vikappane dosoti. Tato paranti catumāsato paraṃ vikappetvā paribhuñjituṃ anuññātanti keci vadanti, aññe pana ‘‘vikappetvā yāva āgāmivassānaṃ, tāva ṭhapetumeva vaṭṭatī’’ti vadanti, apare pana ‘‘vikappane na doso, tathā vikappitaṃ parikkhārādināmena adhiṭṭhahitvā paribhuñjitabba’’nti vadanti.
มุฎฺฐิปญฺจกนฺติ มุฎฺฐิยา อุปลกฺขิตํ ปญฺจกํ, จตุหเตฺถ มินิตฺวา ปญฺจมํ หตฺถํ มุฎฺฐิํ กตฺวา มินิตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ เกจิ ปน ‘‘มุฎฺฐิหตฺถานํ ปญฺจกํ มุฎฺฐิปญฺจกํ, ตสฺมา ปญฺจปิ หเตฺถ มุฎฺฐิํ กตฺวาว มินิตพฺพา’’ติ วทนฺติฯ มุฎฺฐิตฺติกนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ทฺวิหเตฺถน อนฺตรวาสเกน ติมณฺฑลํ ปฎิจฺฉาเทตุํ สกฺกาติ อาห ‘‘ปารุปเนนา’’ติอาทิฯ อติเรกนฺติ สุคตจีวรปฺปมาณโต อธิกํฯ อูนกนฺติ มุฎฺฐิปญฺจกาทิโต อูนกํ, เตน จ เตสุ ติจีวราธิฎฺฐานํ น รุหตีติ ทเสฺสติฯ
Muṭṭhipañcakanti muṭṭhiyā upalakkhitaṃ pañcakaṃ, catuhatthe minitvā pañcamaṃ hatthaṃ muṭṭhiṃ katvā minitabbanti adhippāyo. Keci pana ‘‘muṭṭhihatthānaṃ pañcakaṃ muṭṭhipañcakaṃ, tasmā pañcapi hatthe muṭṭhiṃ katvāva minitabbā’’ti vadanti. Muṭṭhittikanti etthāpi eseva nayo. Dvihatthena antaravāsakena timaṇḍalaṃ paṭicchādetuṃ sakkāti āha ‘‘pārupanenā’’tiādi. Atirekanti sugatacīvarappamāṇato adhikaṃ. Ūnakanti muṭṭhipañcakādito ūnakaṃ, tena ca tesu ticīvarādhiṭṭhānaṃ na ruhatīti dasseti.
อิมํ สงฺฆาฎิํ ปจฺจุทฺธรามีติ อิมํ สงฺฆาฎิอธิฎฺฐานํ อุกฺขิปามิ ปริจฺจชามีติ อโตฺถฯ กายวิการํ กโรเนฺตนาติ หเตฺถน จีวรํ ปรามสเนฺตน, จาเลเนฺตน วาฯ วาจาย อธิฎฺฐาตพฺพาติ เอตฺถ กาเยนปิ จาเลตฺวา วาจมฺปิ ภินฺทิตฺวา กายวาจาหิ อธิฎฺฐานมฺปิ สงฺคหิตนฺติ เวทิตพฺพํ ‘‘กาเยน อผุสิตฺวา’’ติ วุตฺตตฺตาฯ ทุวิธนฺติ อหตฺถปาสหตฺถปาสวเสน ทุวิธํฯ ตตฺถ หตฺถปาโส นาม อฑฺฒเตยฺยหโตฺถ วุจฺจติฯ ทฺวาทสหตฺถนฺติ เกจิ วทนฺติ , ตํ อิธ น สเมติฯ ‘‘สามนฺตวิหาเร’’ติ อิทํ ฐปิตฎฺฐานสลฺลกฺขณโยเคฺค ฐิตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตโต ทูเร ฐิตมฺปิ ฐปิตฎฺฐานํ สลฺลเกฺขเนฺตน อธิฎฺฐาตพฺพเมวฯ ตตฺถปิ จีวรสฺส ฐปิตภาวสลฺลกฺขณเมว ปมาณํฯ น หิ สกฺกา สพฺพถา ฐานํ สลฺลเกฺขตุํฯ เอกสฺมิํ วิหาเร ฐเปตฺวา ตโต อญฺญสฺมิํ ฐปิตนฺติ อธิฎฺฐาตุํ น วฎฺฎติฯ เกจิ ปน ‘‘ตถาปิ อธิฎฺฐิเต น โทโส’’ติ วทนฺติ, ตํ อฎฺฐกถาย น สเมติ, วีมํสิตพฺพํฯ อธิฎฺฐหิตฺวา ฐปิตวเตฺถหีติ ปริกฺขารโจฬนาเมน อธิฎฺฐหิตฺวา ฐปิตวเตฺถหิ, เตเนว ‘‘อิมํ ปจฺจุทฺธรามี’’ติ ปริกฺขารโจฬสฺส ปจฺจุทฺธารํ ทเสฺสติฯ เอเตน จ เตจีวรธุตงฺคํ ปริหรเนฺตน ปํสุกูลาทิวเสน ลทฺธํ วตฺถํ ทสาหพฺภนฺตเร กตฺวา รชิตฺวา ปารุปิตุํ อสโกฺกเนฺตน ปริกฺขารโจฬวเสน อธิฎฺฐหิตฺวาว ทสาหํ อติกฺกเมตพฺพํ, อิตรถา นิสฺสคฺคิยํ โหตีติ ทเสฺสติฯ เตเนว ‘‘รชิตกาลโต ปน ปฎฺฐาย นิกฺขิปิตุํ น วฎฺฎติ, ธุตงฺคโจโร นาม โหตี’’ติ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๕) วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตํฯ ‘‘ปุน อธิฎฺฐาตพฺพานี’’ติ อิทญฺจ สงฺฆาฎิอาทิติจีวรนาเมน อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตุกามสฺส วเสน วุตฺตํ, อิตรสฺส ปน ปุริมาธิฎฺฐานเมว อลนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ปุน อธิฎฺฐาตพฺพ’’นฺติ อิมินา กปฺปพินฺทุปิ ทาตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ
Imaṃ saṅghāṭiṃ paccuddharāmīti imaṃ saṅghāṭiadhiṭṭhānaṃ ukkhipāmi pariccajāmīti attho. Kāyavikāraṃ karontenāti hatthena cīvaraṃ parāmasantena, cālentena vā. Vācāya adhiṭṭhātabbāti ettha kāyenapi cāletvā vācampi bhinditvā kāyavācāhi adhiṭṭhānampi saṅgahitanti veditabbaṃ ‘‘kāyena aphusitvā’’ti vuttattā. Duvidhanti ahatthapāsahatthapāsavasena duvidhaṃ. Tattha hatthapāso nāma aḍḍhateyyahattho vuccati. Dvādasahatthanti keci vadanti , taṃ idha na sameti. ‘‘Sāmantavihāre’’ti idaṃ ṭhapitaṭṭhānasallakkhaṇayogge ṭhitaṃ sandhāya vuttaṃ. Tato dūre ṭhitampi ṭhapitaṭṭhānaṃ sallakkhentena adhiṭṭhātabbameva. Tatthapi cīvarassa ṭhapitabhāvasallakkhaṇameva pamāṇaṃ. Na hi sakkā sabbathā ṭhānaṃ sallakkhetuṃ. Ekasmiṃ vihāre ṭhapetvā tato aññasmiṃ ṭhapitanti adhiṭṭhātuṃ na vaṭṭati. Keci pana ‘‘tathāpi adhiṭṭhite na doso’’ti vadanti, taṃ aṭṭhakathāya na sameti, vīmaṃsitabbaṃ. Adhiṭṭhahitvā ṭhapitavatthehīti parikkhāracoḷanāmena adhiṭṭhahitvā ṭhapitavatthehi, teneva ‘‘imaṃ paccuddharāmī’’ti parikkhāracoḷassa paccuddhāraṃ dasseti. Etena ca tecīvaradhutaṅgaṃ pariharantena paṃsukūlādivasena laddhaṃ vatthaṃ dasāhabbhantare katvā rajitvā pārupituṃ asakkontena parikkhāracoḷavasena adhiṭṭhahitvāva dasāhaṃ atikkametabbaṃ, itarathā nissaggiyaṃ hotīti dasseti. Teneva ‘‘rajitakālato pana paṭṭhāya nikkhipituṃ na vaṭṭati, dhutaṅgacoro nāma hotī’’ti (visuddhi. 1.25) visuddhimagge vuttaṃ. ‘‘Puna adhiṭṭhātabbānī’’ti idañca saṅghāṭiāditicīvaranāmena adhiṭṭhahitvā paribhuñjitukāmassa vasena vuttaṃ, itarassa pana purimādhiṭṭhānameva alanti veditabbaṃ. ‘‘Puna adhiṭṭhātabba’’nti iminā kappabindupi dātabbanti dasseti.
พทฺธสีมายํ อวิปฺปวาสสีมาสมฺมุติสมฺภวโต น ตตฺถ ทุปฺปริหารตาติ อาห ‘‘อพทฺธสีมายํ ทุปฺปริหาร’’นฺติฯ
Baddhasīmāyaṃ avippavāsasīmāsammutisambhavato na tattha dupparihāratāti āha ‘‘abaddhasīmāyaṃ dupparihāra’’nti.
อติริตฺตปฺปมาณาย เฉทนกํ ปาจิตฺติยนฺติ อาห ‘‘อนติริตฺตปฺปมาณา’’ติฯ ตโต ปรํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพาติ วสฺสิกมาสโต ปรํ อธิฎฺฐานํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพา, อิมินา จตุนฺนํ วสฺสิกมาสานํ อุปริ อธิฎฺฐานํ ติฎฺฐตีติ วิญฺญายติ ตโต ปจฺจุทฺธราโยคาฯ ยญฺจ มาติกาฎฺฐกถายํ ‘‘วสฺสิกสาฎิกา วสฺสานมาสาติกฺกเมนาปิ, กณฺฑุปฎิจฺฉาทิ อาพาธวูปสเมนาปิ อธิฎฺฐานํ วิชหตี’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. กถินสิกฺขาปทวณฺณนา) วุตฺตํ, ตํ สมนฺตปาสาทิกายํ นตฺถิฯ ปริวารฎฺฐกถายญฺจ ‘‘อตฺถาปตฺติ เหมเนฺต อาปชฺชติ, โน คิเมฺห’’ติ เอตฺถ อิทํ วุตฺตํ ‘‘กตฺติกปุณฺณมาสิยา ปจฺฉิเม ปาฎิปททิวเส วิกเปฺปตฺวา ฐปิตํ วสฺสิกสาฎิกํ นิวาเสโนฺต เหมเนฺต อาปชฺชติ, กุรุนฺทิยํ ปน ‘กตฺติกปุณฺณมทิวเส อปจฺจุทฺธริตฺวา เหมเนฺต อาปชฺชตี’ติ วุตฺตํ, ตมฺปิ สุวุตฺตํ, ‘จตุมาสํ อธิฎฺฐาตุํ ตโต ปรํ วิกเปฺปตุ’นฺติ หิ วุตฺต’’นฺติ (ปริ. อฎฺฐ. ๓๒๓)ฯ ตตฺถ มหาอฎฺฐกถายํ นิวาสนปจฺจยา ทุกฺกฎํ วุตฺตํ, กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ปน อปจฺจุทฺธารปจฺจยา, ตสฺมา กุรุนฺทิยํ วุตฺตนเยนาปิ วสฺสิกสาฎิกา วสฺสานมาสาติกฺกเมปิ อธิฎฺฐานํ น วิชหตีติ ปญฺญายติฯ อธิฎฺฐานวิชหเนสุ จ วสฺสานมาสอาพาธานํ วิคเมน วิชหนํ มาติกาฎฺฐกถายมฺปิ น อุทฺธฎํ, ตสฺมา สมนฺตปาสาทิกายํ อาคตนเยน ยาว ปจฺจุทฺธารา อธิฎฺฐานํ ติฎฺฐตีติ คเหตพฺพํฯ นหานตฺถาย อนุญฺญาตตฺตา ‘‘วณฺณเภทมตฺตรตฺตาปิ เจสา วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘เทฺว ปน น วฎฺฎนฺตี’’ติ อิมินา สงฺฆาฎิอาทีสุ วิย ทุติเย อธิฎฺฐานํ น รุหติ, อติเรกจีวรํ โหตีติ ทเสฺสติฯ มหาปจฺจริยํ จีวรวเสน ปริโภคกิจฺจสฺส อภาวํ สนฺธาย อนาปตฺติ วุตฺตา เสนาสนปริกฺขารตฺถาย ทินฺนปจฺจตฺถรเณ วิยฯ ยํ ปน ‘‘ปจฺจตฺถรณมฺปิ อธิฎฺฐาตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ เสนาสนตฺถาเยวาติ นิยมิตํ น โหติ นวสุ จีวเรสุ คหิตตฺตา, ตสฺมา อตฺตโน นาเมน อธิฎฺฐหิตฺวา นิทหิตฺวา ปริกฺขารโจฬํ วิย ยถา ตถา วินิยุชฺชิตพฺพเมวาติ คเหตพฺพํฯ ปาวาโร โกชโวติ อิเมสมฺปิ ปจฺจตฺถรณาทีนํ โลเกปิ โวหรณโต เสนาสนปริกฺขารตฺถาย ทินฺนปจฺจตฺถรณโต วิสุํ คหณํ กตํฯ
Atirittappamāṇāya chedanakaṃ pācittiyanti āha ‘‘anatirittappamāṇā’’ti. Tato paraṃ paccuddharitvā vikappetabbāti vassikamāsato paraṃ adhiṭṭhānaṃ paccuddharitvā vikappetabbā, iminā catunnaṃ vassikamāsānaṃ upari adhiṭṭhānaṃ tiṭṭhatīti viññāyati tato paccuddharāyogā. Yañca mātikāṭṭhakathāyaṃ ‘‘vassikasāṭikā vassānamāsātikkamenāpi, kaṇḍupaṭicchādi ābādhavūpasamenāpi adhiṭṭhānaṃ vijahatī’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. kathinasikkhāpadavaṇṇanā) vuttaṃ, taṃ samantapāsādikāyaṃ natthi. Parivāraṭṭhakathāyañca ‘‘atthāpatti hemante āpajjati, no gimhe’’ti ettha idaṃ vuttaṃ ‘‘kattikapuṇṇamāsiyā pacchime pāṭipadadivase vikappetvā ṭhapitaṃ vassikasāṭikaṃ nivāsento hemante āpajjati, kurundiyaṃ pana ‘kattikapuṇṇamadivase apaccuddharitvā hemante āpajjatī’ti vuttaṃ, tampi suvuttaṃ, ‘catumāsaṃ adhiṭṭhātuṃ tato paraṃ vikappetu’nti hi vutta’’nti (pari. aṭṭha. 323). Tattha mahāaṭṭhakathāyaṃ nivāsanapaccayā dukkaṭaṃ vuttaṃ, kurundaṭṭhakathāyaṃ pana apaccuddhārapaccayā, tasmā kurundiyaṃ vuttanayenāpi vassikasāṭikā vassānamāsātikkamepi adhiṭṭhānaṃ na vijahatīti paññāyati. Adhiṭṭhānavijahanesu ca vassānamāsaābādhānaṃ vigamena vijahanaṃ mātikāṭṭhakathāyampi na uddhaṭaṃ, tasmā samantapāsādikāyaṃ āgatanayena yāva paccuddhārā adhiṭṭhānaṃ tiṭṭhatīti gahetabbaṃ. Nahānatthāya anuññātattā ‘‘vaṇṇabhedamattarattāpi cesā vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. ‘‘Dve pana na vaṭṭantī’’ti iminā saṅghāṭiādīsu viya dutiye adhiṭṭhānaṃ na ruhati, atirekacīvaraṃ hotīti dasseti. Mahāpaccariyaṃ cīvaravasena paribhogakiccassa abhāvaṃ sandhāya anāpatti vuttā senāsanaparikkhāratthāya dinnapaccattharaṇe viya. Yaṃ pana ‘‘paccattharaṇampi adhiṭṭhātabba’’nti vuttaṃ, taṃ senāsanatthāyevāti niyamitaṃ na hoti navasu cīvaresu gahitattā, tasmā attano nāmena adhiṭṭhahitvā nidahitvā parikkhāracoḷaṃ viya yathā tathā viniyujjitabbamevāti gahetabbaṃ. Pāvāro kojavoti imesampi paccattharaṇādīnaṃ lokepi voharaṇato senāsanaparikkhāratthāya dinnapaccattharaṇato visuṃ gahaṇaṃ kataṃ.
‘‘หีนายาวตฺตเนนา’’ติ อิทํ อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปชฺชิตฺวา ภิกฺขุปฎิญฺญาย ฐิตสฺส เจว ติตฺถิยปกฺกนฺตสฺส จ ภิกฺขุนิยา จ ภิกฺขุนิภาเว นิรเปกฺขตาย คิหิลิงฺคติตฺถิยลิงฺคคฺคหณํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย คิหิภาวูปคมนํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เกจิ วทนฺติ, ตํ น ยุตฺตํ ตทาปิสฺส อุปสมฺปนฺนตฺตา, จีวรสฺส จ ตสฺส สนฺตกตฺตาวิชหนโตฯ ปมาณจีวรสฺสาติ ปจฺฉิมปฺปมาณํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เทฺว จีวรานิ ปารุปนฺตสฺสาติ คามปฺปเวเส ทิคุณํ กตฺวา สงฺฆาฎิโย ปารุปนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘เอส นโย’’ติ อิมินา ปมาณยุเตฺตสุ ยตฺถ กตฺถจิ ฉิทฺทํ อธิฎฺฐานํ วิชหตีติอาทิอตฺถํ สงฺคณฺหาติฯ
‘‘Hīnāyāvattanenā’’ti idaṃ antimavatthuṃ ajjhāpajjitvā bhikkhupaṭiññāya ṭhitassa ceva titthiyapakkantassa ca bhikkhuniyā ca bhikkhunibhāve nirapekkhatāya gihiliṅgatitthiyaliṅgaggahaṇaṃ sandhāya vuttaṃ. Sikkhaṃ apaccakkhāya gihibhāvūpagamanaṃ sandhāya vuttanti keci vadanti, taṃ na yuttaṃ tadāpissa upasampannattā, cīvarassa ca tassa santakattāvijahanato. Pamāṇacīvarassāti pacchimappamāṇaṃ sandhāya vuttaṃ. Dve cīvarāni pārupantassāti gāmappavese diguṇaṃ katvā saṅghāṭiyo pārupanaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Esa nayo’’ti iminā pamāṇayuttesu yattha katthaci chiddaṃ adhiṭṭhānaṃ vijahatītiādiatthaṃ saṅgaṇhāti.
อญฺญํ ปจฺฉิมปฺปมาณํ นาม นตฺถีติ สุเตฺต อาคตํ นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ อิทานิ ตเมว วิภาเวตุํ ‘‘ยญฺหี’’ติอาทิ วุตฺตํ, ตํ น สเมติ, สงฺฆาฎิอาทีนํ มุฎฺฐิปญฺจกาทิเหฎฺฐิมปฺปมาณสฺส สุเตฺต อนาคตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
Aññaṃ pacchimappamāṇaṃ nāma natthīti sutte āgataṃ natthīti adhippāyo. Idāni tameva vibhāvetuṃ ‘‘yañhī’’tiādi vuttaṃ, taṃ na sameti, saṅghāṭiādīnaṃ muṭṭhipañcakādiheṭṭhimappamāṇassa sutte anāgatattāti adhippāyo.
มหนฺตํ วา ขุทฺทกํ กโรตีติ เอตฺถ อติมหนฺตํ จีวรํ มุฎฺฐิปญฺจกาทิปจฺฉิมปฺปมาณยุตฺตํ กตฺวา สมนฺตโต ฉินฺทเนนาปิ วิจฺฉินฺทนกาเล ฉิชฺชมานฎฺฐานํ ฉิทฺทสงฺขฺยํ น คจฺฉติ อธิฎฺฐานํ น วิชหติ เอวาติ สิชฺฌติ, ‘‘ฆเฎตฺวา ฉินฺทติ, น ภิชฺชตี’’ติ วจเนน จ สเมติฯ ปริกฺขารโจฬํ ปน วิกปฺปนุปคปจฺฉิมปฺปมาณโต อูนํ กตฺวา ฉินฺนํ อธิฎฺฐานํ วิชหติ อธิฎฺฐานสฺส อนิสฺสยตฺตาฯ ตานิ ปุน พทฺธานิ ฆฎิตานิ อธิฎฺฐาตพฺพเมวาติ เวทิตพฺพํ ฯ เกจิ ปน ‘‘วสฺสิกสาฎิกจีวเร ทฺวิธา ฉิเนฺน ยทิปิ เอเกกํ ขณฺฑํ ปจฺฉิมปจฺฉิมปฺปมาณํ ปโหติ, เอกสฺมิํเยว ขเณฺฑ อธิฎฺฐานํ ติฎฺฐติ, น อิตเร, ‘‘เทฺว ปน น วฎฺฎนฺตี’’ติ วุตฺตตฺตาฯ นิสีทนกณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทีสุปิ เอเสว นโยติ วทนฺติฯ
Mahantaṃ vā khuddakaṃ karotīti ettha atimahantaṃ cīvaraṃ muṭṭhipañcakādipacchimappamāṇayuttaṃ katvā samantato chindanenāpi vicchindanakāle chijjamānaṭṭhānaṃ chiddasaṅkhyaṃ na gacchati adhiṭṭhānaṃ na vijahati evāti sijjhati, ‘‘ghaṭetvā chindati, na bhijjatī’’ti vacanena ca sameti. Parikkhāracoḷaṃ pana vikappanupagapacchimappamāṇato ūnaṃ katvā chinnaṃ adhiṭṭhānaṃ vijahati adhiṭṭhānassa anissayattā. Tāni puna baddhāni ghaṭitāni adhiṭṭhātabbamevāti veditabbaṃ . Keci pana ‘‘vassikasāṭikacīvare dvidhā chinne yadipi ekekaṃ khaṇḍaṃ pacchimapacchimappamāṇaṃ pahoti, ekasmiṃyeva khaṇḍe adhiṭṭhānaṃ tiṭṭhati, na itare, ‘‘dve pana na vaṭṭantī’’ti vuttattā. Nisīdanakaṇḍuppaṭicchādīsupi eseva nayoti vadanti.
สมฺมุเข ปวตฺตา สมฺมุขาติ ปจฺจตฺตวจนํ, ตญฺจ วิกปฺปนวิเสสนํ, ตสฺมา ‘‘สมฺมุเข’’ติ ภุมฺมเตฺถ นิสฺสกฺกวจนํ กตฺวาปิ อตฺถํ วทนฺติ, อภิมุเขติ อโตฺถฯ อถ วา สมฺมุเขน อตฺตโน วาจาย เอว วิกปฺปนา สมฺมุขาวิกปฺปนาฯ ปรมฺมุเขน วิกปฺปนา ปรมฺมุขาวิกปฺปนาติ กรณเตฺถนาปิ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ, อยเมว ปาฬิยา สเมติฯ สนฺนิหิตาสนฺนิหิตภาวนฺติ อาสนฺนทูรภาวํฯ เอตฺตาวตา นิเธตุํ วฎฺฎตีติ เอตฺตเกเนว วิกปฺปนากิจฺจสฺส นิฎฺฐิตตฺตา, อติเรกจีวรํ น โหตีติ ทสาหาติกฺกเม น นิสฺสคฺคิยํ ชเนตีติ อธิปฺปาโยฯ ปริภุญฺชิตุํ…เป.… น วฎฺฎตีติ สยํ อปจฺจุทฺธรณํ ปริภุญฺชเน ปาจิตฺติยํ, อธิฎฺฐาเน ปเรสํ วิสฺสชฺชเน ทุกฺกฎญฺจ สนฺธาย วุตฺตํฯ
Sammukhe pavattā sammukhāti paccattavacanaṃ, tañca vikappanavisesanaṃ, tasmā ‘‘sammukhe’’ti bhummatthe nissakkavacanaṃ katvāpi atthaṃ vadanti, abhimukheti attho. Atha vā sammukhena attano vācāya eva vikappanā sammukhāvikappanā. Parammukhena vikappanā parammukhāvikappanāti karaṇatthenāpi attho daṭṭhabbo, ayameva pāḷiyā sameti. Sannihitāsannihitabhāvanti āsannadūrabhāvaṃ. Ettāvatā nidhetuṃ vaṭṭatīti ettakeneva vikappanākiccassa niṭṭhitattā, atirekacīvaraṃ na hotīti dasāhātikkame na nissaggiyaṃ janetīti adhippāyo. Paribhuñjituṃ…pe… na vaṭṭatīti sayaṃ apaccuddharaṇaṃ paribhuñjane pācittiyaṃ, adhiṭṭhāne paresaṃ vissajjane dukkaṭañca sandhāya vuttaṃ.
ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺตีติ ปริโภควิสฺสชฺชนอธิฎฺฐานานิปิฯ อปิ-สเทฺทน นิเธตุมฺปิ วฎฺฎตีติ อโตฺถ, เอเตน จ ปจฺจุทฺธาเรปิ กเต จีวรมฺปิ วิกปฺปิตจีวรเมว โหติ, น อติเรกจีวรํฯ ตํ ปน ติจีวราทินาเมน อธิฎฺฐาตุกาเมน อธิฎฺฐหิตพฺพํ, อิตเรน วิกปฺปิตจีวรเมว กตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ เกจิ ปน ‘‘ยํ วิกปฺปิตจีวรํ, ตํ ยาว อปริโภคกาลา อปจฺจุทฺธราเปตฺวาว นิทหิตพฺพํ, ปริโภคกาเล ปน สมฺปเตฺต ปจฺจุทฺธราเปตฺวา อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ ยทิ หิ ตโต ปุเรปิ ปจฺจุทฺธราเปยฺย, ปจฺจุทฺธาเรเนว วิกปฺปนาย วิคตตฺตา อติเรกจีวรํ นาม โหติ, ทสาหาติกฺกเม จ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ ตสฺมา ยํ อปริภุญฺชิตฺวาว ฐเปตพฺพํ, ตเทว วิกเปฺปตพฺพํ, ปจฺจุทฺธาเร จ กเต อโนฺตทสาเหเยว อธิฎฺฐาตพฺพํฯ ยญฺจ อฎฺฐกถายํ ‘ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺตี’ติอาทิ วุตฺตํ, ตํ ปาฬิยา วิรุชฺฌตี’’ติ วทนฺติ, ตํ เตสํ มติมตฺตเมวฯ ปาฬิยญฺหิ ‘‘อโนฺตทสาหํ อธิเฎฺฐติ, วิกเปฺปตี’’ติ (ปารา. ๔๖๙) จ ‘‘สามํ จีวรํ วิกเปฺปตฺวา อปจฺจุทฺธารณํ ปริภุเญฺชยฺย ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๓๗๓) จ ‘‘อนาปตฺติ โส วา เทติ, ตสฺส วา วิสฺสาสโนฺต ปริภุญฺชตี’’ติ (ปาจิ. ๓๗๔) จ สามญฺญโต วุตฺตตฺตา, อฎฺฐกถายญฺจ ‘‘อิมํ จีวรํ วา วิกปฺปนํ วา ปจฺจุทฺธรามี’’ติอาทินา ปจฺจุทฺธารํ อทเสฺสตฺวา ‘‘มยฺหํ สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสเชฺชหิ วา’’ติ เอวํ อตฺตโน สนฺตกตฺตํ อโมเจตฺวาว ปริโภคาทิวเสเนว ปจฺจุทฺธารสฺส วุตฺตตฺตา, ‘‘ตโต ปภุติ ปริโภคาทโยปิ วฎฺฎนฺตี’’ติ อธิฎฺฐานํ วินาปิ วิสุํ ปริโภคสฺส, นิทหนสฺส จ วุตฺตตฺตา วิกปฺปนานนฺตรเมว ปจฺจุทฺธราเปตฺวา อนธิฎฺฐหิตฺวา เอว ติจีวรวิรหิตํ วิกปฺปนารหํ จีวรํ ปริภุญฺชิตุํ, นิทหิตุญฺจ อิทํ ปาเฎกฺกํ วินยกมฺมนฺติ ขายติฯ อปิจ พหูนํ ปตฺตานํ วิกเปฺปตุํ, ปจฺจุทฺธาเรตุญฺจ วุตฺตตฺตา ปจฺจุทฺธาเรน เตสํ อติเรกปตฺตตา ทสฺสิตาติ สิชฺฌติ เตสุ เอกเสฺสว อธิฎฺฐาตพฺพโตฯ ตสฺมา อฎฺฐกถายํ อาคตนเยเนว คเหตพฺพํฯ
Paribhogādayopi vaṭṭantīti paribhogavissajjanaadhiṭṭhānānipi. Api-saddena nidhetumpi vaṭṭatīti attho, etena ca paccuddhārepi kate cīvarampi vikappitacīvarameva hoti, na atirekacīvaraṃ. Taṃ pana ticīvarādināmena adhiṭṭhātukāmena adhiṭṭhahitabbaṃ, itarena vikappitacīvarameva katvā paribhuñjitabbanti dasseti. Keci pana ‘‘yaṃ vikappitacīvaraṃ, taṃ yāva aparibhogakālā apaccuddharāpetvāva nidahitabbaṃ, paribhogakāle pana sampatte paccuddharāpetvā adhiṭṭhahitvā paribhuñjitabbaṃ. Yadi hi tato purepi paccuddharāpeyya, paccuddhāreneva vikappanāya vigatattā atirekacīvaraṃ nāma hoti, dasāhātikkame ca nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. Tasmā yaṃ aparibhuñjitvāva ṭhapetabbaṃ, tadeva vikappetabbaṃ, paccuddhāre ca kate antodasāheyeva adhiṭṭhātabbaṃ. Yañca aṭṭhakathāyaṃ ‘tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭantī’tiādi vuttaṃ, taṃ pāḷiyā virujjhatī’’ti vadanti, taṃ tesaṃ matimattameva. Pāḷiyañhi ‘‘antodasāhaṃ adhiṭṭheti, vikappetī’’ti (pārā. 469) ca ‘‘sāmaṃ cīvaraṃ vikappetvā apaccuddhāraṇaṃ paribhuñjeyya pācittiya’’nti (pāci. 373) ca ‘‘anāpatti so vā deti, tassa vā vissāsanto paribhuñjatī’’ti (pāci. 374) ca sāmaññato vuttattā, aṭṭhakathāyañca ‘‘imaṃ cīvaraṃ vā vikappanaṃ vā paccuddharāmī’’tiādinā paccuddhāraṃ adassetvā ‘‘mayhaṃ santakaṃ paribhuñja vā vissajjehi vā’’ti evaṃ attano santakattaṃ amocetvāva paribhogādivaseneva paccuddhārassa vuttattā, ‘‘tato pabhuti paribhogādayopi vaṭṭantī’’ti adhiṭṭhānaṃ vināpi visuṃ paribhogassa, nidahanassa ca vuttattā vikappanānantarameva paccuddharāpetvā anadhiṭṭhahitvā eva ticīvaravirahitaṃ vikappanārahaṃ cīvaraṃ paribhuñjituṃ, nidahituñca idaṃ pāṭekkaṃ vinayakammanti khāyati. Apica bahūnaṃ pattānaṃ vikappetuṃ, paccuddhāretuñca vuttattā paccuddhārena tesaṃ atirekapattatā dassitāti sijjhati tesu ekasseva adhiṭṭhātabbato. Tasmā aṭṭhakathāyaṃ āgatanayeneva gahetabbaṃ.
ปญฺญตฺติโกวิโท น โหตีติ เอวํ วิกปฺปิเต ‘‘อนนฺตรเมว เอวํ ปจฺจุทฺธริตพฺพ’’นฺติ วินยกมฺมํ น ชานาติฯ เตนาห ‘‘น ชานาติ ปจฺจุทฺธริตุ’’นฺติ, อิมินาปิ เจตํ เวทิตพฺพํ ‘‘วิกปฺปนานนฺตรเมว ปจฺจุทฺธาโร กาตโพฺพ’’ติฯ
Paññattikovido na hotīti evaṃ vikappite ‘‘anantarameva evaṃ paccuddharitabba’’nti vinayakammaṃ na jānāti. Tenāha ‘‘na jānāti paccuddharitu’’nti, imināpi cetaṃ veditabbaṃ ‘‘vikappanānantarameva paccuddhāro kātabbo’’ti.
อวิเสเสน วุตฺตวจนนฺติ ติจีวราทีนํ สาธารณวจเนน วุตฺตวจนํฯ ยํ ปเนตฺถ ‘‘วิรุทฺธํ วิย ทิสฺสตี’’ติ วตฺวา ตํ วิโรธาสงฺกํ นิวเตฺตตุํ ‘‘ติจีวรสเงฺขเปน…เป.… วิกปฺปนาย โอกาโส ทิโนฺน โหตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ ‘‘อธิเฎฺฐติ วิกเปฺปตี’’ติ สามญฺญโต วุเตฺตปิ ติจีวรมฺปิ วิกเปฺปตีติ อยมโตฺถ น สิชฺฌติ, ‘‘ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘) วิเสเสตฺวา วุตฺตตฺตาฯ ยํ ปน อธิฎฺฐาตพฺพํ, ตํ อธิฎฺฐาติฯ ยํ ติจีวรวิรหิตํ, ตํ วิกเปฺปตพฺพํ, ตํ วิกเปฺปตีติ เอวมโตฺถ สิชฺฌตีติฯ ตสฺมา เอตฺถ ปุพฺพาปรวิโรโธ น ทิสฺสติ สามญฺญวจนสฺส วุตฺตาวเสเสเยว อวติฎฺฐนโตฯ ยํ ปเนตฺถ ติจีวรสฺสาปิ วิกปฺปนวิธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘ติจีวรํ ติจีวรสเงฺขเปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ติจีวรสเงฺขเปน ปริหริยมาเนสุ เอกมฺปิ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตุํ น วฎฺฎติ, ติจีวรโต ปน เอกํ วา สกลเมว วา อปเนตฺวา อปรํ ติจีวรํ ติจีวรสเงฺขเปน ปริหริตุกามสฺส วา ติจีวราธิฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา ปริกฺขารโจฬวเสเนว สพฺพจีวรํ ปริภุญฺชิตุกามสฺส วา ปุริมํ อธิฎฺฐิตจีวรํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตุํ วฎฺฎตีติ เอวมธิปฺปาเยน ‘‘ติจีวเร เอเกน จีวเรน วิปฺปวสิตุกาโม โหตี’’ติอาทิ วุตฺตํ สิยา, อิเจฺจตํ ปาฬิยา สทฺธิํ สเมติฯ อถ ปุนปิ ตเทว ติจีวราธิฎฺฐาเนน อธิฎฺฐาตุกาโม หุตฺวา วิปฺปวาสสุขตฺถํ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตีติ อิมินา อธิปฺปาเยน วุตฺตํ สิยา, ตํ ‘‘ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๕๘) อิมินา วจเนน น สเมติฯ ยทิ หิ เสสจีวรานิ วิย ติจีวรมฺปิ ปจฺจุทฺธริตฺวา วิกเปฺปตพฺพํ สิยา, ‘‘ติจีวรํ อธิฎฺฐาตุํ น วิกเปฺปตุ’’นฺติ อิทํ วจนเมว นิรตฺถกํ สิยา เสสจีวเรหิ ติจีวรสฺส วิเสสาภาวาฯ ตสฺมา ‘‘วิกเปฺปตี’’ติ อิทํ ติจีวรวิรหิตเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ ติจีวรํ ปน วิกเปฺปตุํ น วฎฺฎตีติ วิญฺญายติ, เตเนว ทุติยกถินสิกฺขาปทสฺส อนาปตฺติวาเร ‘‘วิกเปฺปตี’’ติ อิทํ น วุตฺตํ, วีมํสิตฺวา ยถา ปาฬิยา สทฺธิํ น วิรุชฺฌติ, ตถา เอตฺถ อธิปฺปาโย คเหตโพฺพฯ
Avisesena vuttavacananti ticīvarādīnaṃ sādhāraṇavacanena vuttavacanaṃ. Yaṃ panettha ‘‘viruddhaṃ viya dissatī’’ti vatvā taṃ virodhāsaṅkaṃ nivattetuṃ ‘‘ticīvarasaṅkhepena…pe… vikappanāya okāso dinno hotī’’ti vuttaṃ, taṃ ‘‘adhiṭṭheti vikappetī’’ti sāmaññato vuttepi ticīvarampi vikappetīti ayamattho na sijjhati, ‘‘ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’’nti (mahāva. 358) visesetvā vuttattā. Yaṃ pana adhiṭṭhātabbaṃ, taṃ adhiṭṭhāti. Yaṃ ticīvaravirahitaṃ, taṃ vikappetabbaṃ, taṃ vikappetīti evamattho sijjhatīti. Tasmā ettha pubbāparavirodho na dissati sāmaññavacanassa vuttāvaseseyeva avatiṭṭhanato. Yaṃ panettha ticīvarassāpi vikappanavidhiṃ dassetuṃ ‘‘ticīvaraṃ ticīvarasaṅkhepenā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ticīvarasaṅkhepena parihariyamānesu ekampi paccuddharitvā vikappetuṃ na vaṭṭati, ticīvarato pana ekaṃ vā sakalameva vā apanetvā aparaṃ ticīvaraṃ ticīvarasaṅkhepena pariharitukāmassa vā ticīvarādhiṭṭhānaṃ muñcitvā parikkhāracoḷavaseneva sabbacīvaraṃ paribhuñjitukāmassa vā purimaṃ adhiṭṭhitacīvaraṃ paccuddharitvā vikappetuṃ vaṭṭatīti evamadhippāyena ‘‘ticīvare ekena cīvarena vippavasitukāmo hotī’’tiādi vuttaṃ siyā, iccetaṃ pāḷiyā saddhiṃ sameti. Atha punapi tadeva ticīvarādhiṭṭhānena adhiṭṭhātukāmo hutvā vippavāsasukhatthaṃ paccuddharitvā vikappetīti iminā adhippāyena vuttaṃ siyā, taṃ ‘‘ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’’nti (mahāva. 358) iminā vacanena na sameti. Yadi hi sesacīvarāni viya ticīvarampi paccuddharitvā vikappetabbaṃ siyā, ‘‘ticīvaraṃ adhiṭṭhātuṃ na vikappetu’’nti idaṃ vacanameva niratthakaṃ siyā sesacīvarehi ticīvarassa visesābhāvā. Tasmā ‘‘vikappetī’’ti idaṃ ticīvaravirahitameva sandhāya vuttaṃ. Ticīvaraṃ pana vikappetuṃ na vaṭṭatīti viññāyati, teneva dutiyakathinasikkhāpadassa anāpattivāre ‘‘vikappetī’’ti idaṃ na vuttaṃ, vīmaṃsitvā yathā pāḷiyā saddhiṃ na virujjhati, tathā ettha adhippāyo gahetabbo.
ตุยฺหํ เทมีติอาทีสุ ปริจฺจตฺตตฺตา มนสา อสมฺปฎิจฺฉเนฺตปิ สมฺปทานภูตเสฺสว สนฺตกํ โหติ, โส อิจฺฉิตกฺขเณ คเหตุํ ลภติฯ อิตฺถนฺนามสฺสาติ ปรมฺมุเข ฐิตํ สนฺธาย วทติฯ ยสฺส ปน รุจฺจตีติอาทิ อุโภหิปิ ปริจฺจตฺตตาย อสฺสามิกตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
Tuyhaṃdemītiādīsu pariccattattā manasā asampaṭicchantepi sampadānabhūtasseva santakaṃ hoti, so icchitakkhaṇe gahetuṃ labhati. Itthannāmassāti parammukhe ṭhitaṃ sandhāya vadati. Yassa pana ruccatītiādi ubhohipi pariccattatāya assāmikataṃ sandhāya vuttaṃ.
‘‘ตํ น ยุชฺชตี’’ติ อิทํ อโนฺตทสาเห เอว วิสฺสาสคฺคหณํ สนฺธาย อนาปตฺติวารสฺส อาคตตฺตา, อิธ นิสฺสคฺคิยจีวรสฺส กปฺปิยภาวกรณตฺถํ เลเสน คหิตตฺตา จ วุตฺตํ, เกจิ ปน ‘‘ปเรหิ สภาเคน อจฺฉิเนฺน, วิสฺสาสคฺคหิเต จ ปุน ลเทฺธ โทโส น ทิสฺสตี’’ติ วทนฺติฯ อนธิฎฺฐาเนนาติ กายวาจาหิ กตฺตพฺพสฺส อกรเณนาติ อธิปฺปาโยฯ จีวรสฺส อตฺตโน สนฺตกตา, ชาติปมาณยุตฺตตา, ฉินฺนปลิโพธภาโว, อติเรกจีวรตา, ทสาหาติกฺกโมติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ
‘‘Taṃ na yujjatī’’ti idaṃ antodasāhe eva vissāsaggahaṇaṃ sandhāya anāpattivārassa āgatattā, idha nissaggiyacīvarassa kappiyabhāvakaraṇatthaṃ lesena gahitattā ca vuttaṃ, keci pana ‘‘parehi sabhāgena acchinne, vissāsaggahite ca puna laddhe doso na dissatī’’ti vadanti. Anadhiṭṭhānenāti kāyavācāhi kattabbassa akaraṇenāti adhippāyo. Cīvarassa attano santakatā, jātipamāṇayuttatā, chinnapalibodhabhāvo, atirekacīvaratā, dasāhātikkamoti imānettha pañca aṅgāni.
ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทํ • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑. ปฐมกถินสิกฺขาปทวณฺณนา • 1. Paṭhamakathinasikkhāpadavaṇṇanā