Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๗. ปฐมมหาปญฺหสุตฺตวณฺณนา
7. Paṭhamamahāpañhasuttavaṇṇanā
๒๗. สตฺตเม อภิชานาถาติ อภิชานิตฺวา ปจฺจกฺขํ กตฺวา วิหรถฯ อภิญฺญายาติ อภิชานิตฺวาฯ อิธาติ อิมายฯ ธมฺมเทสนาย วา ธมฺมเทสนนฺติ ยทิทํ สมณสฺส โคตมสฺส ธมฺมเทสนาย สทฺธิํ อมฺหากํ ธมฺมเทสนํ, อมฺหากํ วา ธมฺมเทสนาย สทฺธิํ สมณสฺส โคตมสฺส ธมฺมเทสนํ อารพฺภ นานากรณํ วุเจฺจถ, ตํ กิํ นามาติ วทนฺติฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ อิติ เต มเชฺฌ ภินฺนสุวณฺณํ วิย สาสเนน สทฺธิํ อตฺตโน ลทฺธิํ วจนมเตฺตน สมธุรํ ฐปยิํสุฯ เนว อภินนฺทิํสูติ ‘‘เอวเมต’’นฺติ น สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ นปฺปฎิโกฺกสิํสูติ ‘‘น อิทํ เอว’’นฺติ นปฺปฎิเสเธสุํฯ กสฺมา? เต กิร ‘‘ติตฺถิยา นาม อนฺธสทิสา ชานิตฺวา วา อชานิตฺวา วา กเถยฺยุ’’นฺติ นาภินนฺทิํสุฯ
27. Sattame abhijānāthāti abhijānitvā paccakkhaṃ katvā viharatha. Abhiññāyāti abhijānitvā. Idhāti imāya. Dhammadesanāya vā dhammadesananti yadidaṃ samaṇassa gotamassa dhammadesanāya saddhiṃ amhākaṃ dhammadesanaṃ, amhākaṃ vā dhammadesanāya saddhiṃ samaṇassa gotamassa dhammadesanaṃ ārabbha nānākaraṇaṃ vuccetha, taṃ kiṃ nāmāti vadanti. Dutiyapadepi eseva nayo. Iti te majjhe bhinnasuvaṇṇaṃ viya sāsanena saddhiṃ attano laddhiṃ vacanamattena samadhuraṃ ṭhapayiṃsu. Neva abhinandiṃsūti ‘‘evameta’’nti na sampaṭicchiṃsu. Nappaṭikkosiṃsūti ‘‘na idaṃ eva’’nti nappaṭisedhesuṃ. Kasmā? Te kira ‘‘titthiyā nāma andhasadisā jānitvā vā ajānitvā vā katheyyu’’nti nābhinandiṃsu.
น สมฺปายิสฺสนฺตีติ สมฺปาเทตฺวา กเถตุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ อุตฺตริ จ วิฆาตนฺติ อสมฺปาทนโต อุตฺตริมฺปิ ทุกฺขํ อาปชฺชิสฺสนฺติฯ สมฺปาเทตฺวา กเถตุํ อสโกฺกนฺตานญฺหิ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติฯ ยถา ตํ, ภิกฺขเว, อวิสยสฺมินฺติ เอตฺถ จ ตนฺติ นิปาตมตฺตํฯ ยถาติ การณวจนํ, ยสฺมา อวิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉิตา โหนฺตีติ อโตฺถฯ อิโต วา ปน สุตฺวาติ อิโต วา ปน มม สาสนโต สุตฺวาฯ อิโตติ ตถาคตโตปิ ตถาคตสาวกโตปิฯ อาราเธยฺยาติ ปริโตเสยฺย, อญฺญถา อาราธนํ นาม นตฺถีติ ทเสฺสติฯ
Nasampāyissantīti sampādetvā kathetuṃ na sakkhissanti. Uttari ca vighātanti asampādanato uttarimpi dukkhaṃ āpajjissanti. Sampādetvā kathetuṃ asakkontānañhi dukkhaṃ uppajjati. Yathā taṃ, bhikkhave, avisayasminti ettha ca tanti nipātamattaṃ. Yathāti kāraṇavacanaṃ, yasmā avisaye pañhaṃ pucchitā hontīti attho. Ito vā pana sutvāti ito vā pana mama sāsanato sutvā. Itoti tathāgatatopi tathāgatasāvakatopi. Ārādheyyāti paritoseyya, aññathā ārādhanaṃ nāma natthīti dasseti.
เอกธเมฺมติ เอกสฺมิํ ธเมฺมฯ อิมินา อุเทฺทโส ทสฺสิโตฯ ปรโต กตมสฺมิํ เอกธเมฺมติ อิมินา ปโญฺห ทสฺสิโตฯ สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกาติ อิทํ ปเนตฺถ เวยฺยากรณํฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ สมฺมา นิพฺพินฺทมาโนติอาทีสุ ปน สมฺมา เหตุนา นเยน นิพฺพิทานุปสฺสนาย นิพฺพินฺทโนฺต อุกฺกณฺฐโนฺต, วิราคานุปสฺสนาย วิรชฺชโนฺต, ปฎิสงฺขานุปสฺสนาย มุจฺจนสฺส อุปายํ กตฺวา วิมุจฺจมาโน, อธิโมกฺขวเสน วา วิมุจฺจมาโน สนฺนิฎฺฐานํ กุรุมาโนติ อโตฺถฯ อุทยพฺพเยหิ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ปุพฺพนฺตาปรนฺตทสฺสเนน สมฺมา ปริยนฺตทสฺสาวีฯ สมฺมทตฺถํ อภิสเมจฺจาติ สมฺมา สภาคตฺถํ ญาเณน อภิสมาคนฺตฺวาฯ ทุกฺขสฺสนฺตกโร โหตีติ สกลวฎฺฎทุกฺขสฺส ปริยนฺตํ ปริวฎุมํ กโร โหติฯ
Ekadhammeti ekasmiṃ dhamme. Iminā uddeso dassito. Parato katamasmiṃ ekadhammeti iminā pañho dassito. Sabbe sattā āhāraṭṭhitikāti idaṃ panettha veyyākaraṇaṃ. Sesesupi eseva nayo. Sammā nibbindamānotiādīsu pana sammā hetunā nayena nibbidānupassanāya nibbindanto ukkaṇṭhanto, virāgānupassanāya virajjanto, paṭisaṅkhānupassanāya muccanassa upāyaṃ katvā vimuccamāno, adhimokkhavasena vā vimuccamāno sanniṭṭhānaṃ kurumānoti attho. Udayabbayehi paricchinditvā pubbantāparantadassanena sammā pariyantadassāvī. Sammadatthaṃ abhisameccāti sammā sabhāgatthaṃ ñāṇena abhisamāgantvā. Dukkhassantakaro hotīti sakalavaṭṭadukkhassa pariyantaṃ parivaṭumaṃ karo hoti.
สเพฺพ สตฺตาติ กามภวาทีสุ เอกโวการภวาทีสุ จ สพฺพภเวสุ สเพฺพ สตฺตาฯ อาหารฎฺฐิติกาติ อาหารโต ฐิติ เอเตสนฺติ อาหารฎฺฐิติกาฯ อิติ สพฺพสตฺตานมฺปิ ฐิติเหตุ อาหาโร นาม เอโก ธโมฺม, ตสฺมิํ เอกธเมฺมฯ นนุ จ เอวํ สเนฺต ยํ วุตฺตํ – ‘‘อสญฺญสตฺตา เทวา อเหตุกา อนาหารา อผสฺสกา’’ติอาทิ (วิภ. ๑๐๑๗), ตํ วิรุชฺฌตีติฯ น วิรุชฺฌติฯ เตสญฺหิ ฌานํ อาหาโร โหติฯ เอวํ สเนฺตปิ ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อาหารา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๑) อิทํ วิรุชฺฌตีติฯ อิทมฺปิ น วิรุชฺฌติฯ เอตสฺมิญฺหิ สุเตฺต นิปฺปริยาเยน อาหารลกฺขณา ธมฺมา อาหาราติ วุตฺตา, อิธ ปน ปริยาเยน ปจฺจโย อาหาโรติ วุโตฺตฯ สพฺพธมฺมานญฺหิ ปจฺจโย ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ โส จ ยํ ยํ ผลํ ชเนติ, ตํ ตํ อาหรติ นามฯ ตสฺมา อาหาโรติ วุจฺจติฯ เตเนวาห – ‘‘อวิชฺชมฺปาหํ, ภิกฺขเว, สาหารํ วทามิ, โน อนาหารํฯ โก จ, ภิกฺขเว, อวิชฺชาย อาหาโร? ปญฺจ นีวรณาติสฺส วจนีย’’นฺติ (อ. นิ. ๑๐.๖๑)ฯ อยํ อิธ อธิเปฺปโตฯ เอตสฺมิญฺหิ ปจฺจยาหาเร คหิเต ปริยายาหาโรปิ นิปฺปริยายาหาโรปิ สโพฺพ คหิโตว โหติฯ
Sabbe sattāti kāmabhavādīsu ekavokārabhavādīsu ca sabbabhavesu sabbe sattā. Āhāraṭṭhitikāti āhārato ṭhiti etesanti āhāraṭṭhitikā. Iti sabbasattānampi ṭhitihetu āhāro nāma eko dhammo, tasmiṃ ekadhamme. Nanu ca evaṃ sante yaṃ vuttaṃ – ‘‘asaññasattā devā ahetukā anāhārā aphassakā’’tiādi (vibha. 1017), taṃ virujjhatīti. Na virujjhati. Tesañhi jhānaṃ āhāro hoti. Evaṃ santepi ‘‘cattārome, bhikkhave, āhārā’’ti (saṃ. ni. 2.11) idaṃ virujjhatīti. Idampi na virujjhati. Etasmiñhi sutte nippariyāyena āhāralakkhaṇā dhammā āhārāti vuttā, idha pana pariyāyena paccayo āhāroti vutto. Sabbadhammānañhi paccayo laddhuṃ vaṭṭati. So ca yaṃ yaṃ phalaṃ janeti, taṃ taṃ āharati nāma. Tasmā āhāroti vuccati. Tenevāha – ‘‘avijjampāhaṃ, bhikkhave, sāhāraṃ vadāmi, no anāhāraṃ. Ko ca, bhikkhave, avijjāya āhāro? Pañca nīvaraṇātissa vacanīya’’nti (a. ni. 10.61). Ayaṃ idha adhippeto. Etasmiñhi paccayāhāre gahite pariyāyāhāropi nippariyāyāhāropi sabbo gahitova hoti.
ตตฺถ อสญฺญีภเว ปจฺจยาหาโร ลพฺภติฯ อนุปฺปเนฺน หิ พุเทฺธ ติตฺถายตเน ปพฺพชิตา วาโยกสิเณ ปริกมฺมํ กตฺวา จตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตโต วุฎฺฐาย ‘‘ธิ จิตฺตํ, ธิ วเตตํ จิตฺตํ, จิตฺตสฺส นาม อภาโวเยว สาธุฯ จิตฺตญฺหิ นิสฺสาย วธพนฺธาทิปจฺจยํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติฯ จิเตฺต อสติ นเตฺถต’’นฺติ ขนฺติํ รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา อปริหีนชฺฌานา กาลํ กตฺวา อสญฺญีภเว นิพฺพตฺตนฺติฯ โย ยสฺส อิริยาปโถ มนุสฺสโลเก ปณิหิโต อโหสิ, โส เตน อิริยาปเถน นิพฺพตฺติตฺวา จิตฺตรูปสทิโส หุตฺวา ปญฺจ กปฺปสตานิ ติฎฺฐติฯ เอตฺตกํ อทฺธานํ สยิโต วิย โหติฯ เอวรูปานมฺปิ สตฺตานํ ปจฺจยาหาโร ลพฺภติฯ เต หิ ยํ ฌานํ ภาเวตฺวา นิพฺพตฺตา, ตเทว เนสํ ปจฺจโย โหติฯ ยถา ชิยาเวเคน ขิตฺตสโร ยาว ชิยาเวโค อตฺถิ, ตาว คจฺฉติฯ เอวํ ยาว ฌานปจฺจโย อตฺถิ, ตาว ติฎฺฐนฺติฯ ตสฺมิํ นิฎฺฐิเต ขีณเวโค วิย สโร ปตนฺติฯ จวนกาเล จ เตสํ โส รูปกาโย อนฺตรธายติ, กามาวจรสญฺญา อุปฺปชฺชติ, เตน สญฺญุปฺปาเทน เต เทวา ตมฺหา กายา จุตาติ ปญฺญายนฺติฯ
Tattha asaññībhave paccayāhāro labbhati. Anuppanne hi buddhe titthāyatane pabbajitā vāyokasiṇe parikammaṃ katvā catutthajjhānaṃ nibbattetvā tato vuṭṭhāya ‘‘dhi cittaṃ, dhi vatetaṃ cittaṃ, cittassa nāma abhāvoyeva sādhu. Cittañhi nissāya vadhabandhādipaccayaṃ dukkhaṃ uppajjati. Citte asati nattheta’’nti khantiṃ ruciṃ uppādetvā aparihīnajjhānā kālaṃ katvā asaññībhave nibbattanti. Yo yassa iriyāpatho manussaloke paṇihito ahosi, so tena iriyāpathena nibbattitvā cittarūpasadiso hutvā pañca kappasatāni tiṭṭhati. Ettakaṃ addhānaṃ sayito viya hoti. Evarūpānampi sattānaṃ paccayāhāro labbhati. Te hi yaṃ jhānaṃ bhāvetvā nibbattā, tadeva nesaṃ paccayo hoti. Yathā jiyāvegena khittasaro yāva jiyāvego atthi, tāva gacchati. Evaṃ yāva jhānapaccayo atthi, tāva tiṭṭhanti. Tasmiṃ niṭṭhite khīṇavego viya saro patanti. Cavanakāle ca tesaṃ so rūpakāyo antaradhāyati, kāmāvacarasaññā uppajjati, tena saññuppādena te devā tamhā kāyā cutāti paññāyanti.
เย ปน เต เนรยิกา เนว วุฎฺฐานผลูปชีวี, น ปุญฺญผลูปชีวีติ วุตฺตา, เตสํ โก อาหาโรติ? เตสํ กมฺมเมว อาหาโร ฯ กิํ ปญฺจ อาหารา อตฺถีติ? ปญฺจ, น ปญฺจาติ อิทํ น วตฺตพฺพํ, นนุ ‘‘ปจฺจโย อาหาโร’’ติ วุตฺตเมตํฯ ตสฺมา เยน กเมฺมน นิรเย นิพฺพตฺตนฺติ, ตเทว เตสํ ฐิติปจฺจยตฺตา อาหาโร โหติฯ ยํ สนฺธาย อิทํ วุตฺตํ – ‘‘น จ ตาว กาลํ กโรติ, ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตี โหตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๕๐, ๒๖๘; อ. นิ. ๓.๓๖)ฯ
Ye pana te nerayikā neva vuṭṭhānaphalūpajīvī, na puññaphalūpajīvīti vuttā, tesaṃ ko āhāroti? Tesaṃ kammameva āhāro . Kiṃ pañca āhārā atthīti? Pañca, na pañcāti idaṃ na vattabbaṃ, nanu ‘‘paccayo āhāro’’ti vuttametaṃ. Tasmā yena kammena niraye nibbattanti, tadeva tesaṃ ṭhitipaccayattā āhāro hoti. Yaṃ sandhāya idaṃ vuttaṃ – ‘‘na ca tāva kālaṃ karoti, yāva na taṃ pāpakammaṃ byantī hotī’’ti (ma. ni. 3.250, 268; a. ni. 3.36).
กพฬีการาหารํ อารพฺภาปิ เจตฺถ วิวาโท น กาตโพฺพฯ มุเข อุปฺปชฺชนเขโฬปิ หิ เตสํ อาหารกิจฺจํ สาเธติฯ เขโฬ หิ นิรเย ทุกฺขเวทนีโย หุตฺวา ปจฺจโย โหติ, สเคฺค สุขเวทนิโยฯ อิติ กามภเว นิปฺปริยาเยน จตฺตาโร อาหารา, รูปารูปภเวสุ ฐเปตฺวา อสเญฺญ เสสานํ ตโย, อสญฺญานเญฺจว อวเสสานญฺจ ปจฺจยาหาโรติ อิมินา อากาเรน สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกาติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ จตฺตาโร อาหาโร โย วา ปน โกจิ ปจฺจยาหาโร ทุกฺขสจฺจํ, อาหารสมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, นิโรธปฺปชานนา ปญฺญา มคฺคสจฺจนฺติ เอวํ จตุสจฺจวเสน สพฺพวาเรสุ โยชนา กาตพฺพาฯ
Kabaḷīkārāhāraṃ ārabbhāpi cettha vivādo na kātabbo. Mukhe uppajjanakheḷopi hi tesaṃ āhārakiccaṃ sādheti. Kheḷo hi niraye dukkhavedanīyo hutvā paccayo hoti, sagge sukhavedaniyo. Iti kāmabhave nippariyāyena cattāro āhārā, rūpārūpabhavesu ṭhapetvā asaññe sesānaṃ tayo, asaññānañceva avasesānañca paccayāhāroti iminā ākārena sabbe sattā āhāraṭṭhitikāti veditabbā. Tattha cattāro āhāro yo vā pana koci paccayāhāro dukkhasaccaṃ, āhārasamuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, nirodhappajānanā paññā maggasaccanti evaṃ catusaccavasena sabbavāresu yojanā kātabbā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๗. ปฐมมหาปญฺหาสุตฺตํ • 7. Paṭhamamahāpañhāsuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๗. ปฐมมหาปญฺหสุตฺตวณฺณนา • 7. Paṭhamamahāpañhasuttavaṇṇanā