Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๘. ปาฎลิคามิยวโคฺค

    8. Pāṭaligāmiyavaggo

    ๑. ปฐมนิพฺพานปฎิสํยุตฺตสุตฺตวณฺณนา

    1. Paṭhamanibbānapaṭisaṃyuttasuttavaṇṇanā

    ๗๑. ปาฎลิคามิยวคฺคสฺส ปฐเม นิพฺพานปฎิสํยุตฺตายาติ อมตธาตุสนฺนิสฺสิตาย อสงฺขตธาตุยา ปเวทนวเสน ปวตฺตายฯ ธมฺมิยา กถายาติ ธมฺมเทสนายฯ สนฺทเสฺสตีติ สภาวสรสลกฺขณโต นิพฺพานํ ทเสฺสติฯ สมาทเปตีติ ตเมว อตฺถํ เต ภิกฺขู คณฺหาเปติฯ สมุเตฺตเชตีติ ตทตฺถคหเณ อุสฺสาหํ ชเนโนฺต เตเชติ โชเตติฯ สมฺปหํเสตีติ นิพฺพานคุเณหิ สมฺมเทว สพฺพปฺปกาเรหิ โตเสติฯ

    71. Pāṭaligāmiyavaggassa paṭhame nibbānapaṭisaṃyuttāyāti amatadhātusannissitāya asaṅkhatadhātuyā pavedanavasena pavattāya. Dhammiyā kathāyāti dhammadesanāya. Sandassetīti sabhāvasarasalakkhaṇato nibbānaṃ dasseti. Samādapetīti tameva atthaṃ te bhikkhū gaṇhāpeti. Samuttejetīti tadatthagahaṇe ussāhaṃ janento tejeti joteti. Sampahaṃsetīti nibbānaguṇehi sammadeva sabbappakārehi toseti.

    อถ วา สนฺทเสฺสตีติ ‘‘โส สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฎินิสฺสคฺคา ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๘๑; ๒.๓๓๗; มหาว. ๘) นเยเนว สพฺพถา เตน เตน ปริยาเยน เตสํ เตสํ อชฺฌาสยานุรูปํ สมฺมา ทเสฺสติฯ สมาทเปตีติ ‘‘อิมินา อริยมเคฺคน ตํ อธิคนฺตพฺพ’’นฺติ อธิคมปฎิปทาย สทฺธิํ ตตฺถ ภิกฺขู นินฺนโปณปพฺภาเร กโรโนฺต สมฺมา อาทเปติ คณฺหาเปติฯ สมุเตฺตเชตีติ เอตํ ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวนฺติ ‘‘มา สมฺมาปฎิปตฺติยํ ปมาทํ อนฺตราโวสานํ อาปชฺชถ, อุปนิสฺสยสมฺปนฺนสฺส วีริยวโต นยิทํ ทุกฺกรํ, ตสฺมา สีลวิสุทฺธิอาทิวิสุทฺธิปฎิปทาย อุฎฺฐหถ ฆฎยถ วายเมยฺยาถา’’ติ นิพฺพานาธิคมาย อุสฺสาเหติ, ตตฺถ วา จิตฺตํ โวทเปติฯ สมฺปหํเสตีติ ‘‘มทนิมฺมทโน ปิปาสวินโย อาลยสมุคฺฆาโต’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐), ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโยติ (สํ. นิ. ๔.๓๖๗; อิติวุ. ๔๔), อสงฺขตนฺติ (สํ. นิ. ๔.๓๖๗), อมตญฺจ สนฺตนฺติอาทินา จ อเนกปริยาเยน (สํ. นิ. ๔.๔๐๙) นิพฺพานานิสํสปฺปกาสเนน เตสํ ภิกฺขูนํ จิตฺตํ โตเสโนฺต หาเสโนฺต สมฺปหํเสติ สมสฺสาเสติฯ

    Atha vā sandassetīti ‘‘so sabbasaṅkhārasamatho sabbūpadhipaṭinissaggā taṇhakkhayo virāgo nirodho’’tiādinā (ma. ni. 1.281; 2.337; mahāva. 8) nayeneva sabbathā tena tena pariyāyena tesaṃ tesaṃ ajjhāsayānurūpaṃ sammā dasseti. Samādapetīti ‘‘iminā ariyamaggena taṃ adhigantabba’’nti adhigamapaṭipadāya saddhiṃ tattha bhikkhū ninnapoṇapabbhāre karonto sammā ādapeti gaṇhāpeti. Samuttejetīti etaṃ dukkaraṃ durabhisambhavanti ‘‘mā sammāpaṭipattiyaṃ pamādaṃ antarāvosānaṃ āpajjatha, upanissayasampannassa vīriyavato nayidaṃ dukkaraṃ, tasmā sīlavisuddhiādivisuddhipaṭipadāya uṭṭhahatha ghaṭayatha vāyameyyāthā’’ti nibbānādhigamāya ussāheti, tattha vā cittaṃ vodapeti. Sampahaṃsetīti ‘‘madanimmadano pipāsavinayo ālayasamugghāto’’ti (a. ni. 4.34; itivu. 90), rāgakkhayo dosakkhayo mohakkhayoti (saṃ. ni. 4.367; itivu. 44), asaṅkhatanti (saṃ. ni. 4.367), amatañca santantiādinā ca anekapariyāyena (saṃ. ni. 4.409) nibbānānisaṃsappakāsanena tesaṃ bhikkhūnaṃ cittaṃ tosento hāsento sampahaṃseti samassāseti.

    เตธาติ เต อิธฯ อฎฺฐิํ กตฺวาติ ‘‘อตฺถิ กิญฺจิ อยํ โน อโตฺถ อธิคนฺตโพฺพ’’ติ เอวํ สลฺลเกฺขตฺวา ตาย เทสนาย อตฺถิกา หุตฺวาฯ มนสิ กตฺวาติ จิเตฺต ฐเปตฺวา อนญฺญวิหิตา ตํ เทสนํ อตฺตโน จิตฺตคตเมว กตฺวาฯ สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวาติ สเพฺพน การกจิเตฺตน อาทิโต ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานา เทสนํ อาวเชฺชตฺวา, ตคฺคตเมว อาโภคํ กตฺวาติ อโตฺถฯ อถ วา สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวาติ สพฺพสฺมา จิตฺตโต เทสนํ สมฺมา อนุ อนุ อาหริตฺวาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เทเสนฺตสฺส เยหิ จิเตฺตหิ เทสนา กตา, สพฺพสฺมา จิตฺตโต ปวตฺตํ เทสนํ พหิ คนฺตุํ อเทโนฺต สมฺมา อวิปรีตํ อนุ อนุ อาหริตฺวา อตฺตโน จิตฺตสนฺตานํ อาหริตฺวา ยถาเทสิตเทสิตํ เทสนํ สุฎฺฐุ อุปธาเรตฺวาฯ โอหิตโสตาติ อวหิตโสตา, สุฎฺฐุ อุปิตโสตาฯ โอหิตโสตาติ วา อวิกฺขิตฺตโสตาฯ ตเมว อุปลพฺภมาโนปิ หิ สวเน อวิเกฺขโป สติสํวโร วิย จกฺขุนฺทฺริยาทีสุ โสตินฺทฺริเยปิ วตฺตุมรหตีติฯ เอตฺถ จ ‘‘อฎฺฐิํ กตฺวา’’ติอาทีหิ จตูหิปิ ปเทหิ เตสํ ภิกฺขูนํ ตปฺปรภาวโต สวเน อาทรทีปเนน สกฺกจฺจสวนํ ทเสฺสติฯ

    Tedhāti te idha. Aṭṭhiṃ katvāti ‘‘atthi kiñci ayaṃ no attho adhigantabbo’’ti evaṃ sallakkhetvā tāya desanāya atthikā hutvā. Manasi katvāti citte ṭhapetvā anaññavihitā taṃ desanaṃ attano cittagatameva katvā. Sabbaṃ cetaso samannāharitvāti sabbena kārakacittena ādito paṭṭhāya yāva pariyosānā desanaṃ āvajjetvā, taggatameva ābhogaṃ katvāti attho. Atha vā sabbaṃ cetaso samannāharitvāti sabbasmā cittato desanaṃ sammā anu anu āharitvā. Idaṃ vuttaṃ hoti – desentassa yehi cittehi desanā katā, sabbasmā cittato pavattaṃ desanaṃ bahi gantuṃ adento sammā aviparītaṃ anu anu āharitvā attano cittasantānaṃ āharitvā yathādesitadesitaṃ desanaṃ suṭṭhu upadhāretvā. Ohitasotāti avahitasotā, suṭṭhu upitasotā. Ohitasotāti vā avikkhittasotā. Tameva upalabbhamānopi hi savane avikkhepo satisaṃvaro viya cakkhundriyādīsu sotindriyepi vattumarahatīti. Ettha ca ‘‘aṭṭhiṃ katvā’’tiādīhi catūhipi padehi tesaṃ bhikkhūnaṃ tapparabhāvato savane ādaradīpanena sakkaccasavanaṃ dasseti.

    เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ เตสํ ภิกฺขูนํ ตสฺสา นิพฺพานปฎิสํยุตฺตาย ธมฺมกถาย สวเน อาทรการิตํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ นิพฺพานสฺส ตพฺพิธุรธมฺมเทสนามุเขน ปรมตฺถโต วิชฺชมานภาววิภาวนํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Etamatthaṃ viditvāti etaṃ tesaṃ bhikkhūnaṃ tassā nibbānapaṭisaṃyuttāya dhammakathāya savane ādarakāritaṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti imaṃ nibbānassa tabbidhuradhammadesanāmukhena paramatthato vijjamānabhāvavibhāvanaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ อตฺถีติ วิชฺชติ, ปรมตฺถโต อุปลพฺภตีติ อโตฺถฯ ภิกฺขเวติ เตสํ ภิกฺขูนํ อาลปนํฯ นนุ จ อุทานํ นาม ปีติโสมนสฺสสมุฎฺฐาปิโต วา ธมฺมสํเวคสมุฎฺฐาปิโต วา ธมฺมปฎิคฺคาหกนิรเปโกฺข อุทาหาโร, ตถา เจว เอตฺตเกสุ สุเตฺตสุ อาคตํ, อิธ กสฺมา ภควา อุทาเนโนฺต เต ภิกฺขู อามเนฺตสีติ? เตสํ ภิกฺขูนํ สญฺญาปนตฺถํฯ นิพฺพานปฎิสํยุตฺตญฺหิ ภควา เตสํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสตฺวา นิพฺพานคุณานุสฺสรเณน อุปฺปนฺนปีติโสมนสฺสา อุทานํ อุทาเนสิฯ อิธ นิพฺพานวโชฺช สโพฺพ สภาวธโมฺม ปจฺจยายตฺตวุตฺติโกว อุปลพฺภติ, น ปจฺจยนิรเปโกฺขฯ อยํ ปน นิพฺพานธโมฺม กตมปจฺจเย อุปลพฺภตีติ เตสํ ภิกฺขูนํ เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เต จ สญฺญาเปตุกาโม ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, ตทายตน’’นฺติอาทิมาห, น เอกนฺตโตว เต ปฎิคฺคาหเก กตฺวาติ เวทิตพฺพํฯ ตทายตนนฺติ ตํ การณํฯ กาโร ปทสนฺธิกโรฯ นิพฺพานญฺหิ มคฺคผลญาณาทีนํ อารมฺมณปจฺจยภาวโต รูปาทีนิ วิย จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ อารมฺมณปจฺจยภูตานีติ การณเฎฺฐน ‘‘อายตน’’นฺติ วุจฺจติฯ เอตฺตาวตา จ ภควา เตสํ ภิกฺขูนํ อสงฺขตาย ธาตุยา ปรมตฺถโต อตฺถิภาวํ ปเวเทสิฯ

    Tattha atthīti vijjati, paramatthato upalabbhatīti attho. Bhikkhaveti tesaṃ bhikkhūnaṃ ālapanaṃ. Nanu ca udānaṃ nāma pītisomanassasamuṭṭhāpito vā dhammasaṃvegasamuṭṭhāpito vā dhammapaṭiggāhakanirapekkho udāhāro, tathā ceva ettakesu suttesu āgataṃ, idha kasmā bhagavā udānento te bhikkhū āmantesīti? Tesaṃ bhikkhūnaṃ saññāpanatthaṃ. Nibbānapaṭisaṃyuttañhi bhagavā tesaṃ bhikkhūnaṃ dhammaṃ desetvā nibbānaguṇānussaraṇena uppannapītisomanassā udānaṃ udānesi. Idha nibbānavajjo sabbo sabhāvadhammo paccayāyattavuttikova upalabbhati, na paccayanirapekkho. Ayaṃ pana nibbānadhammo katamapaccaye upalabbhatīti tesaṃ bhikkhūnaṃ cetoparivitakkamaññāya te ca saññāpetukāmo ‘‘atthi, bhikkhave, tadāyatana’’ntiādimāha, na ekantatova te paṭiggāhake katvāti veditabbaṃ. Tadāyatananti taṃ kāraṇaṃ. Dakāro padasandhikaro. Nibbānañhi maggaphalañāṇādīnaṃ ārammaṇapaccayabhāvato rūpādīni viya cakkhuviññāṇādīnaṃ ārammaṇapaccayabhūtānīti kāraṇaṭṭhena ‘‘āyatana’’nti vuccati. Ettāvatā ca bhagavā tesaṃ bhikkhūnaṃ asaṅkhatāya dhātuyā paramatthato atthibhāvaṃ pavedesi.

    ตตฺรายํ ธมฺมนฺวโย – อิธ สงฺขตธมฺมานํ วิชฺชมานตฺตา อสงฺขตายปิ ธาตุยา ภวิตพฺพํ ตปฺปฎิปกฺขตฺตา สภาวธมฺมานํฯ ยถา หิ ทุเกฺข วิชฺชมาเน ตปฺปฎิปกฺขภูตํ สุขมฺปิ วิชฺชติเยว , ตถา อุเณฺห วิชฺชมาเน สีตมฺปิ วิชฺชติ, ปาปธเมฺมสุ วิชฺชมาเนสุ กลฺยาณธมฺมาปิ วิชฺชนฺติ เอวฯ วุตฺตเญฺจตํ –

    Tatrāyaṃ dhammanvayo – idha saṅkhatadhammānaṃ vijjamānattā asaṅkhatāyapi dhātuyā bhavitabbaṃ tappaṭipakkhattā sabhāvadhammānaṃ. Yathā hi dukkhe vijjamāne tappaṭipakkhabhūtaṃ sukhampi vijjatiyeva , tathā uṇhe vijjamāne sītampi vijjati, pāpadhammesu vijjamānesu kalyāṇadhammāpi vijjanti eva. Vuttañcetaṃ –

    ‘‘ยถาปิ ทุเกฺข วิชฺชเนฺต, สุขํ นามปิ วิชฺชติ;

    ‘‘Yathāpi dukkhe vijjante, sukhaṃ nāmapi vijjati;

    เอวํ ภเว วิชฺชมาเน, วิภโวปิ อิจฺฉิตพฺพโกฯ

    Evaṃ bhave vijjamāne, vibhavopi icchitabbako.

    ‘‘ยถาปิ อุเณฺห วิชฺชเนฺต, อปรํ วิชฺชติ สีตลํ;

    ‘‘Yathāpi uṇhe vijjante, aparaṃ vijjati sītalaṃ;

    เอวํ ติวิธคฺคิ วิชฺชเนฺต, นิพฺพานํ อิจฺฉิตพฺพกํฯ

    Evaṃ tividhaggi vijjante, nibbānaṃ icchitabbakaṃ.

    ‘‘ยถาปิ ปาเป วิชฺชเนฺต, กลฺยาณมปิ วิชฺชติ;

    ‘‘Yathāpi pāpe vijjante, kalyāṇamapi vijjati;

    เอวเมว ชาติ วิชฺชเนฺต, อชาติมปิ อิจฺฉิตพฺพก’’นฺติอาทิฯ (พุ. วํ. ๒.๑๐-๑๒) –

    Evameva jāti vijjante, ajātimapi icchitabbaka’’ntiādi. (bu. vaṃ. 2.10-12) –

    อปิจ นิพฺพานสฺส ปรมตฺถโต อตฺถิภาววิจารณํ ปรโต อาวิภวิสฺสติฯ

    Apica nibbānassa paramatthato atthibhāvavicāraṇaṃ parato āvibhavissati.

    เอวํ ภควา อสงฺขตาย ธาตุยา ปรมตฺถโต อตฺถิภาวํ สมฺมุเขน ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตพฺพิธุรธมฺมาโปหนมุเขนสฺส สภาวํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ยตฺถ เนว ปถวี น อาโป’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา นิพฺพานํ สพฺพสงฺขารวิธุรสภาวํ ยถา สงฺขตธเมฺมสุ กตฺถจิ นตฺถิ, ตถา ตตฺถปิ สเพฺพ สงฺขตธมฺมาฯ น หิ สงฺขตาสงฺขตธมฺมานํ สโมธานํ สมฺภวติฯ ตตฺรายํ อตฺถวิภาวนา – ยตฺถ ยสฺมิํ นิพฺพาเน ยสฺสํ อสงฺขตธาตุยํ เนว กกฺขฬลกฺขณา ปถวีธาตุ อตฺถิ, น ปคฺฆรณลกฺขณา อาโปธาตุ, น อุณฺหลกฺขณา เตโชธาตุ, น วิตฺถมฺภนลกฺขณา วาโยธาตุ อตฺถิฯ อิติ จตุมหาภูตาภาววจเนน ยถา สพฺพสฺสปิ อุปาทารูปสฺส อภาโว วุโตฺต โหติ ตนฺนิสฺสิตตฺตาฯ เอวํ อนวเสสโต กามรูปภวสฺส ตตฺถ อภาโว วุโตฺต โหติ ตทายตฺตวุตฺติภาวโตฯ น หิ มหาภูตนิสฺสเยน วินา ปญฺจโวการภโว เอกโวการภโว วา สมฺภวตีติฯ

    Evaṃ bhagavā asaṅkhatāya dhātuyā paramatthato atthibhāvaṃ sammukhena dassetvā idāni tabbidhuradhammāpohanamukhenassa sabhāvaṃ dassetuṃ, ‘‘yattha neva pathavī na āpo’’tiādimāha. Tattha yasmā nibbānaṃ sabbasaṅkhāravidhurasabhāvaṃ yathā saṅkhatadhammesu katthaci natthi, tathā tatthapi sabbe saṅkhatadhammā. Na hi saṅkhatāsaṅkhatadhammānaṃ samodhānaṃ sambhavati. Tatrāyaṃ atthavibhāvanā – yattha yasmiṃ nibbāne yassaṃ asaṅkhatadhātuyaṃ neva kakkhaḷalakkhaṇā pathavīdhātu atthi, na paggharaṇalakkhaṇā āpodhātu, na uṇhalakkhaṇā tejodhātu, na vitthambhanalakkhaṇā vāyodhātu atthi. Iti catumahābhūtābhāvavacanena yathā sabbassapi upādārūpassa abhāvo vutto hoti tannissitattā. Evaṃ anavasesato kāmarūpabhavassa tattha abhāvo vutto hoti tadāyattavuttibhāvato. Na hi mahābhūtanissayena vinā pañcavokārabhavo ekavokārabhavo vā sambhavatīti.

    อิทานิ อรูปสภาวเตฺตปิ นิพฺพานสฺส อรูปภวปริยาปนฺนานํ ธมฺมานํ ตตฺถ อภาวํ ทเสฺสตุํ, ‘‘น อากาสานญฺจายตนํ…เป.… น เนวสญฺญานาสญฺญายตน’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ น อากาสานญฺจายตนนฺติ สทฺธิํ อารมฺมเณน กุสลวิปากกิริยเภโท ติวิโธปิ อากาสานญฺจายตนจิตฺตุปฺปาโท นตฺถีติ อโตฺถฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ ยทเคฺคน จ นิพฺพาเน กามโลกาทีนํ อภาโว โหติ, ตทเคฺคน ตตฺถ อิธโลกปรโลกานมฺปิ อภาโวติ อาห – ‘‘นายํ โลโก น ปรโลโก’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ยฺวายํ ‘‘อิตฺถตฺตํ ทิฎฺฐธโมฺม อิธโลโก’’ติ จ ลทฺธโวหาโร ขนฺธาทิโลโก, โย จ ‘‘ตโต อญฺญถา ปโร อภิสมฺปราโย’’ติ จ ลทฺธโวหาโร ขนฺธาทิโลโก, ตทุภยมฺปิ ตตฺถ นตฺถีติฯ น อุโภ จนฺทิมสูริยาติ ยสฺมา รูปคเต สติ ตโม นาม สิยา, ตมสฺส จ วิธมนตฺถํ จนฺทิมสูริเยหิ วตฺติตพฺพํฯ สเพฺพน สพฺพํ ปน ยตฺถ รูปคตเมว นตฺถิ, กุโต ตตฺถ ตโมฯ ตมสฺส วา วิธมนา จนฺทิมสูริยา, ตสฺมา จนฺทิมา สูริโย จาติ อุโภปิ ตตฺถ นิพฺพาเน นตฺถีติ อโตฺถฯ อิมินา อาโลกสภาวตํเยว นิพฺพานสฺส ทเสฺสติฯ

    Idāni arūpasabhāvattepi nibbānassa arūpabhavapariyāpannānaṃ dhammānaṃ tattha abhāvaṃ dassetuṃ, ‘‘na ākāsānañcāyatanaṃ…pe… na nevasaññānāsaññāyatana’’nti vuttaṃ. Tattha na ākāsānañcāyatananti saddhiṃ ārammaṇena kusalavipākakiriyabhedo tividhopi ākāsānañcāyatanacittuppādo natthīti attho. Sesesupi eseva nayo. Yadaggena ca nibbāne kāmalokādīnaṃ abhāvo hoti, tadaggena tattha idhalokaparalokānampi abhāvoti āha – ‘‘nāyaṃ loko na paraloko’’ti. Tassattho – yvāyaṃ ‘‘itthattaṃ diṭṭhadhammo idhaloko’’ti ca laddhavohāro khandhādiloko, yo ca ‘‘tato aññathā paro abhisamparāyo’’ti ca laddhavohāro khandhādiloko, tadubhayampi tattha natthīti. Na ubho candimasūriyāti yasmā rūpagate sati tamo nāma siyā, tamassa ca vidhamanatthaṃ candimasūriyehi vattitabbaṃ. Sabbena sabbaṃ pana yattha rūpagatameva natthi, kuto tattha tamo. Tamassa vā vidhamanā candimasūriyā, tasmā candimā sūriyo cāti ubhopi tattha nibbāne natthīti attho. Iminā ālokasabhāvataṃyeva nibbānassa dasseti.

    เอตฺตาวตา จ อนภิสเมตาวีนํ ภิกฺขูนํ อนาทิมติสํสาเร สุปินเนฺตปิ อนนุภูตปุพฺพํ ปรมคมฺภีรํ อติทุทฺทสํ สณฺหสุขุมํ อตกฺกาวจรํ อจฺจนฺตสนฺตํ ปณฺฑิตเวทนียํ อติปณีตํ อมตํ นิพฺพานํ วิภาเวโนฺต ปฐมํ ตาว ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, ตทายตน’’นฺติ ตสฺส อตฺถิภาวา เตสํ อญฺญาณาทีนิ อปเนตฺวา ‘‘ยตฺถ เนว ปถวี …เป.… น อุโภ จนฺทิมสูริยา’’ติ ตทญฺญธมฺมาโปหนมุเขน ตํ วิภาเวติ ธมฺมราชาฯ เตน ปถวีอาทิสพฺพสงฺขตธมฺมวิธุรสภาวา ยา อสงฺขตา ธาตุ, ตํ นิพฺพานนฺติ ทีปิตํ โหติฯ เตเนวาห, ‘‘ตตฺราปาหํ, ภิกฺขเว, เนว อาคติํ วทามี’’ติฯ

    Ettāvatā ca anabhisametāvīnaṃ bhikkhūnaṃ anādimatisaṃsāre supinantepi ananubhūtapubbaṃ paramagambhīraṃ atiduddasaṃ saṇhasukhumaṃ atakkāvacaraṃ accantasantaṃ paṇḍitavedanīyaṃ atipaṇītaṃ amataṃ nibbānaṃ vibhāvento paṭhamaṃ tāva ‘‘atthi, bhikkhave, tadāyatana’’nti tassa atthibhāvā tesaṃ aññāṇādīni apanetvā ‘‘yattha neva pathavī …pe… na ubho candimasūriyā’’ti tadaññadhammāpohanamukhena taṃ vibhāveti dhammarājā. Tena pathavīādisabbasaṅkhatadhammavidhurasabhāvā yā asaṅkhatā dhātu, taṃ nibbānanti dīpitaṃ hoti. Tenevāha, ‘‘tatrāpāhaṃ, bhikkhave, neva āgatiṃ vadāmī’’ti.

    ตตฺถ ตตฺราติ ตสฺมิํฯ อปิสโทฺท สมุจฺจเยฯ อหํ, ภิกฺขเว, ยตฺถ สงฺขารปวเตฺต กุโตจิ กสฺสจิ อาคติํ น วทามิ ยถาปจฺจยํ ตตฺถ ธมฺมมตฺตสฺส อุปฺปชฺชนโตฯ เอวํ ตสฺมิมฺปิ อายตเน นิพฺพาเน กุโตจิ อาคติํ อาคมนํ เนว วทามิ อาคนฺตพฺพฎฺฐานตาย อภาวโตฯ น คตินฺติ กตฺถจิ คมนํ น วทามิ คนฺตพฺพฎฺฐานตาย อภาวโตฯ น หิ ตตฺถ สตฺตานํ ฐเปตฺวา ญาเณน อารมฺมณกรณํ อาคติคติโย สมฺภวนฺติ, นาปิ ฐิติจุตูปปตฺติโย วทามิฯ ‘‘ตทาปห’’นฺติปิ ปาฬิฯ ตสฺสโตฺถ – ตมฺปิ อายตนํ คามนฺตรโต คามนฺตรํ วิย น อาคนฺตพฺพตาย น อาคติ, น คนฺตพฺพตาย น คติ, ปถวีปพฺพตาทิ วิย อปติฎฺฐานตาย น ฐิติ, อปจฺจยตฺตา วา อุปฺปาทาภาโว, ตโต อมตสภาวตฺตา จวนาภาโว, อุปฺปาทนิโรธาภาวโต เจว ตทุภยปริจฺฉินฺนาย ฐิติยา จ อภาวโต น ฐิติํ น จุติํ น อุปปตฺติํ วทามิฯ เกวลํ ปน ตํ อรูปสภาวตฺตา อปจฺจยตฺตา จ น กตฺถจิ ปติฎฺฐิตนฺติ อปฺปติฎฺฐํฯ ตตฺถ ปวตฺตาภาวโต ปวตฺตปฺปฎิปกฺขโต จ อปฺปวตฺตํฯ อรูปสภาวเตฺตปิ เวทนาทโย วิย กสฺสจิปิ อารมฺมณสฺส อนาลมฺพนโต อุปตฺถมฺภนิรเปกฺขโต จ อนารมฺมณเมว ตํ ‘‘อายตน’’นฺติ วุตฺตํ นิพฺพานํฯ อยญฺจ เอวสโทฺท อปฺปติฎฺฐเมว อปฺปวตฺตเมวาติ ปททฺวเยนปิ โยเชตโพฺพ ฯ เอเสวโนฺต ทุกฺขสฺสาติ ยทิทํ ‘‘อปฺปติฎฺฐ’’นฺติอาทีหิ วจเนหิ วณฺณิตํ โถมิตํ ยถาวุตฺตลกฺขณํ นิพฺพานํ, เอโส เอว สกลสฺส วฎฺฎทุกฺขสฺส อโนฺต ปริโยสานํ ตทธิคเม สติ สพฺพทุกฺขาภาวโตฯ ตสฺมา ‘‘ทุกฺขสฺส อโนฺต’’ติ อยเมว ตสฺส สภาโวติ ทเสฺสติฯ

    Tattha tatrāti tasmiṃ. Apisaddo samuccaye. Ahaṃ, bhikkhave, yattha saṅkhārapavatte kutoci kassaci āgatiṃ na vadāmi yathāpaccayaṃ tattha dhammamattassa uppajjanato. Evaṃ tasmimpi āyatane nibbāne kutoci āgatiṃ āgamanaṃ neva vadāmi āgantabbaṭṭhānatāya abhāvato. Na gatinti katthaci gamanaṃ na vadāmi gantabbaṭṭhānatāya abhāvato. Na hi tattha sattānaṃ ṭhapetvā ñāṇena ārammaṇakaraṇaṃ āgatigatiyo sambhavanti, nāpi ṭhiticutūpapattiyo vadāmi. ‘‘Tadāpaha’’ntipi pāḷi. Tassattho – tampi āyatanaṃ gāmantarato gāmantaraṃ viya na āgantabbatāya na āgati, na gantabbatāya na gati, pathavīpabbatādi viya apatiṭṭhānatāya na ṭhiti, apaccayattā vā uppādābhāvo, tato amatasabhāvattā cavanābhāvo, uppādanirodhābhāvato ceva tadubhayaparicchinnāya ṭhitiyā ca abhāvato na ṭhitiṃ na cutiṃ na upapattiṃ vadāmi. Kevalaṃ pana taṃ arūpasabhāvattā apaccayattā ca na katthaci patiṭṭhitanti appatiṭṭhaṃ. Tattha pavattābhāvato pavattappaṭipakkhato ca appavattaṃ. Arūpasabhāvattepi vedanādayo viya kassacipi ārammaṇassa anālambanato upatthambhanirapekkhato ca anārammaṇameva taṃ ‘‘āyatana’’nti vuttaṃ nibbānaṃ. Ayañca evasaddo appatiṭṭhameva appavattamevāti padadvayenapi yojetabbo . Esevanto dukkhassāti yadidaṃ ‘‘appatiṭṭha’’ntiādīhi vacanehi vaṇṇitaṃ thomitaṃ yathāvuttalakkhaṇaṃ nibbānaṃ, eso eva sakalassa vaṭṭadukkhassa anto pariyosānaṃ tadadhigame sati sabbadukkhābhāvato. Tasmā ‘‘dukkhassa anto’’ti ayameva tassa sabhāvoti dasseti.

    ปฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๑. ปฐมนิพฺพานปฎิสํยุตฺตสุตฺตํ • 1. Paṭhamanibbānapaṭisaṃyuttasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact