Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā |
ภิกฺขุวิภโงฺค
Bhikkhuvibhaṅgo
ปาราชิกกถา
Pārājikakathā
ปฐมปาราชิกกถาวณฺณนา
Paṭhamapārājikakathāvaṇṇanā
๖. เอวํ ปญฺจหิ คาถาหิ รตนตฺตยปณามาทิํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยถาปฎิญฺญาตวินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ติวิเธ’’ติอาทิฯ ตตฺถ ‘‘ติวิเธ’’ติอาทินา ปฐมปาราชิกสิกฺขาปทวินิจฺฉยํ ทเสฺสติฯ ติวิเธติ วจฺจปสฺสาวมุขมคฺคานํ วเสน ติปฺปกาเร มเคฺคติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ติลมตฺตมฺปีติ ติลพีชมตฺตมฺปิ องฺคชาตนฺติ สมฺพโนฺธฯ มเคฺคติ วจฺจปสฺสาวานํ นิกฺขมนทฺวารตาย, อนฺนปานปิตฺตเสมฺหาทีนํ ปเวสนนิกฺขมนทฺวารตาย จ มคฺคโวหารคเต สรีรปฺปเทเส, อโลฺลกาเสติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘มเคฺคสุ ติลมตฺตมฺปิ, ตีสุ เสวนเจตโน’’ติ วตฺตเพฺพปิ ‘‘ติวิเธ’’ติ ปการวาจิวิธสโทฺทปาทาเนน สชาติสงฺคหวเสน ตีหิ ราสีหิ สงฺคเหตฺวา ปเภทวเสน ติํสวิโธ มโคฺค ทสฺสิโต โหติฯ
6. Evaṃ pañcahi gāthāhi ratanattayapaṇāmādiṃ dassetvā idāni yathāpaṭiññātavinicchayaṃ dassetumāha ‘‘tividhe’’tiādi. Tattha ‘‘tividhe’’tiādinā paṭhamapārājikasikkhāpadavinicchayaṃ dasseti. Tividheti vaccapassāvamukhamaggānaṃ vasena tippakāre maggeti iminā sambandho. Tilamattampīti tilabījamattampi aṅgajātanti sambandho. Maggeti vaccapassāvānaṃ nikkhamanadvāratāya, annapānapittasemhādīnaṃ pavesananikkhamanadvāratāya ca maggavohāragate sarīrappadese, allokāseti sambandho. ‘‘Maggesu tilamattampi, tīsu sevanacetano’’ti vattabbepi ‘‘tividhe’’ti pakāravācividhasaddopādānena sajātisaṅgahavasena tīhi rāsīhi saṅgahetvā pabhedavasena tiṃsavidho maggo dassito hoti.
เสยฺยถิทํ? ปาราชิกวตฺถุภูตมุขาทิมคฺคานํ นิสฺสยภูเต สเตฺต ทเสฺสตุํ ‘‘ติโสฺส อิตฺถิโย มนุสฺสิตฺถี อมนุสฺสิตฺถี ติรจฺฉานคติตฺถี’’ติอาทินา (ปารา. ๕๖) นเยน ปาฬิยํ ทสฺสิตมนุสฺสามนุสฺสติรจฺฉานคติตฺถีนํ ปเจฺจกํ ติณฺณํ มคฺคานํ วเสน นว มคฺคา, ตเถว ทสฺสิตานํ ติณฺณํ อุภโตพฺยญฺชนกานํ วเสน นว มคฺคา, ติณฺณํ ปน ปณฺฑกานํ มุขมคฺควจฺจมคฺคานํ วเสน ปเจฺจกํ เทฺว เทฺว มคฺคาติ ฉ มคฺคา, ตถา ติณฺณํ ปน ปุริสานนฺติ เอวํ ติํสวิโธ โหติฯ
Seyyathidaṃ? Pārājikavatthubhūtamukhādimaggānaṃ nissayabhūte satte dassetuṃ ‘‘tisso itthiyo manussitthī amanussitthī tiracchānagatitthī’’tiādinā (pārā. 56) nayena pāḷiyaṃ dassitamanussāmanussatiracchānagatitthīnaṃ paccekaṃ tiṇṇaṃ maggānaṃ vasena nava maggā, tatheva dassitānaṃ tiṇṇaṃ ubhatobyañjanakānaṃ vasena nava maggā, tiṇṇaṃ pana paṇḍakānaṃ mukhamaggavaccamaggānaṃ vasena paccekaṃ dve dve maggāti cha maggā, tathā tiṇṇaṃ pana purisānanti evaṃ tiṃsavidho hoti.
เสวนเจตโนติ เสวเน เมถุนปโยเค เจตนา อสฺสาติ วิคฺคโห, เมถุนราคูปสํหิตาย เจตนาย สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ อโลฺลกาเสติ ติํสมคฺคานมญฺญตเร มเคฺค ปกติวาเตน อสํผุเฎฺฐ อลฺลปเทเส, อิมินา พาหิรํ ปาราชิกเกฺขตฺตํ น โหตีติ ทีเปติฯ วิเสสนสฺส วิเสสาเปกฺขตฺตา ทุติยคาถาย ‘‘สสิโกฺข โส’’ติ ปททฺวยํ อาหริตฺวา ‘‘เสวนเจตโน สสิโกฺข โส ภิกฺขู’’ติ โยเชตพฺพํฯ
Sevanacetanoti sevane methunapayoge cetanā assāti viggaho, methunarāgūpasaṃhitāya cetanāya samannāgatoti attho. Allokāseti tiṃsamaggānamaññatare magge pakativātena asaṃphuṭṭhe allapadese, iminā bāhiraṃ pārājikakkhettaṃ na hotīti dīpeti. Visesanassa visesāpekkhattā dutiyagāthāya ‘‘sasikkho so’’ti padadvayaṃ āharitvā ‘‘sevanacetano sasikkho so bhikkhū’’ti yojetabbaṃ.
อเงฺค สรีเร ชาตนฺติ องฺคชาตํ, ปุริสนิมิตฺตํฯ สติปิ อวเสสสรีราวยวานํ ตถาภาเว รุฬฺหิวเสน ตเทว ตถา วุตฺตํฯ ปเวเสโนฺตติ ทฺวยํทฺวยสมาปตฺติสงฺขาตกายิกกิริยํ นิปฺผาเทโนฺตฯ ปราชิโตติ ทุลฺลภาย ขณสมฺปตฺติยา ลทฺธพฺพโต ทุลฺลภา โลกิยโลกุตฺตรคุณสมฺปตฺติสุขโต ปริหาเปตฺวา กิเลสสปเตฺตหิ ปราชยมาปาทิโตติ อโตฺถฯ
Aṅge sarīre jātanti aṅgajātaṃ, purisanimittaṃ. Satipi avasesasarīrāvayavānaṃ tathābhāve ruḷhivasena tadeva tathā vuttaṃ. Pavesentoti dvayaṃdvayasamāpattisaṅkhātakāyikakiriyaṃ nipphādento. Parājitoti dullabhāya khaṇasampattiyā laddhabbato dullabhā lokiyalokuttaraguṇasampattisukhato parihāpetvā kilesasapattehi parājayamāpāditoti attho.
อยเมตฺถ โยชนา – สสิโกฺข เสวนเจตโน ติวิเธ มเคฺค อโลฺลกาเส องฺคชาตํ ติลมตฺตมฺปิ ปเวเสโนฺต โส ภิกฺขุ ปราชิโต โหตีติฯ เอตฺตาวตา –
Ayamettha yojanā – sasikkho sevanacetano tividhe magge allokāse aṅgajātaṃ tilamattampi pavesento so bhikkhu parājito hotīti. Ettāvatā –
‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺย, อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปิ, ปาราชิโก โหติ อสํวาโส’’ติ (ปารา. ๔๔) –
‘‘Yo pana bhikkhu bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno sikkhaṃ apaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyya, antamaso tiracchānagatāyapi, pārājiko hoti asaṃvāso’’ti (pārā. 44) –
ภควตา ปญฺญตฺตสิกฺขาปทํ สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Bhagavatā paññattasikkhāpadaṃ saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ.
๗. เอวํ อิมิสฺสา คาถาย อตฺตูปกฺกมมูลกํ ปาราชิกํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ‘‘ภิกฺขุปจฺจตฺถิกา มนุสฺสิตฺถิํ ภิกฺขุสฺส สนฺติเก อาเนตฺวา วจฺจมเคฺคน (ปารา. ๕๘) องฺคชาเต อภินิสีเทนฺตี’’ติอาทินยปฺปวตฺตํ ปโรปกฺกมมูลกํ ปาราชิกญฺจ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปเวสน’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ ปเวสนนฺติ ภิกฺขุปจฺจตฺถิเกหิ สุตฺตปมตฺตาทิมนุสฺสิตฺถิอาทีนมญฺญตรํ อาเนตฺวา ยถาวุตฺตมคฺคานมญฺญตรํ มคฺคํ ยถา ปวิสติ, ตถา ภิกฺขุโน องฺคชาเต อภินิสีทาปเน สมฺภวนฺตํ มคฺคปฺปเวสนมาหฯ ปเวสนํ สาทิยโนฺต สสิโกฺข โสติ โยชนาฯ เอตฺถ ‘‘ปเวสนํ สาทิยติ อธิวาเสติ, ตสฺมิํ ขเณ เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐาเปตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๘) อฎฺฐกถาวจนโต อคฺคโต ยาว มูลํ ปเวเสเนฺตสุ อสฺสาทจิตฺตํ อุปฎฺฐาเปโนฺต ตงฺขเณเยว สาสนโต จุโตติ อโตฺถฯ ปวิฎฺฐนฺติอาทีสุ ปเทสุปิ เอวเมว โยชนาฯ
7. Evaṃ imissā gāthāya attūpakkamamūlakaṃ pārājikaṃ dassetvā idāni ‘‘bhikkhupaccatthikā manussitthiṃ bhikkhussa santike ānetvā vaccamaggena (pārā. 58) aṅgajāte abhinisīdentī’’tiādinayappavattaṃ paropakkamamūlakaṃ pārājikañca dassetumāha ‘‘pavesana’’ntiādi. Tattha pavesananti bhikkhupaccatthikehi suttapamattādimanussitthiādīnamaññataraṃ ānetvā yathāvuttamaggānamaññataraṃ maggaṃ yathā pavisati, tathā bhikkhuno aṅgajāte abhinisīdāpane sambhavantaṃ maggappavesanamāha. Pavesanaṃ sādiyanto sasikkho soti yojanā. Ettha ‘‘pavesanaṃ sādiyati adhivāseti, tasmiṃ khaṇe sevanacittaṃ upaṭṭhāpetī’’ti (pārā. aṭṭha. 1.58) aṭṭhakathāvacanato aggato yāva mūlaṃ pavesentesu assādacittaṃ upaṭṭhāpento taṅkhaṇeyeva sāsanato cutoti attho. Paviṭṭhantiādīsu padesupi evameva yojanā.
ปวิฎฺฐนฺติ ปวิฎฺฐกฺขโณฯ ‘‘ปวิฎฺฐ’’นฺติอาทินา ตาย ตาย กิริยาย อุปลกฺขิโต ขโณ คเหตโพฺพฯ เตเนเวตฺถ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํ กตํฯ ฐิตนฺติ เอตฺถ ‘‘สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสมเย’’ติ อฎฺฐกถาวจนสฺส สพฺพถา พฺยาปารรหิตํ กาลํ สนฺธาย วุตฺตตฺตา สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสมโยปิ คเหตโพฺพฯ เตเนว คณฺฐิปเท วุตฺตนเยน ปวิฎฺฐสฺส จ ยาว อุทฺธรณารโมฺภ, ตาว สมฺภวโนฺต ฐิตกาโลปิ คเหตโพฺพฯ อุทฺธรณนฺติ นีหรณกาโลฯ
Paviṭṭhanti paviṭṭhakkhaṇo. ‘‘Paviṭṭha’’ntiādinā tāya tāya kiriyāya upalakkhito khaṇo gahetabbo. Tenevettha accantasaṃyoge upayogavacanaṃ kataṃ. Ṭhitanti ettha ‘‘sukkavissaṭṭhisamaye’’ti aṭṭhakathāvacanassa sabbathā byāpārarahitaṃ kālaṃ sandhāya vuttattā sukkavissaṭṭhisamayopi gahetabbo. Teneva gaṇṭhipade vuttanayena paviṭṭhassa ca yāva uddharaṇārambho, tāva sambhavanto ṭhitakālopi gahetabbo. Uddharaṇanti nīharaṇakālo.
วาติ วิกเปฺป, อปีติ สมุจฺจเย, โส วา-สเทฺทน วิกปฺปิตานํ ปกฺขานํ ตุลฺยพลตํ โชเตติฯ อิติ อิเมหิ ทฺวีหิปิ ‘‘โส เจ ปเวสนํ สาทิยติ, ปวิฎฺฐํ สาทิยตี’’ติอาทินา (ปารา. ๕๘) ปาฬิยํ อาคตนเยน ลพฺภมานํ ปเวสนาทิเอกกฺขณมฺปิ สาทิยนปจฺจยา อาปชฺชมานํ ปาราชิกํ ทเสฺสติฯ สสิโกฺขติ สิกฺขาย สห วตฺตตีติ สสิโกฺข, อปจฺจกฺขาตสิโกฺขติ อโตฺถฯ สาทิยโนฺตติ เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐาเปโนฺตฯ โส ภิกฺขุฯ ฐเปตฺวา กิริยนฺติ อตฺตูปกฺกมนํ วินาฯ จุโตติ ‘‘ภิกฺขุปจฺจตฺถิเกหิ กตมิทํ, น มยา’’ติ เลเสน น มุจฺจติ, สาทิยนจิเตฺต สติ สาสนโต จุโตเยว โหตีติ อธิปฺปาโยฯ
Vāti vikappe, apīti samuccaye, so vā-saddena vikappitānaṃ pakkhānaṃ tulyabalataṃ joteti. Iti imehi dvīhipi ‘‘so ce pavesanaṃ sādiyati, paviṭṭhaṃ sādiyatī’’tiādinā (pārā. 58) pāḷiyaṃ āgatanayena labbhamānaṃ pavesanādiekakkhaṇampi sādiyanapaccayā āpajjamānaṃ pārājikaṃ dasseti. Sasikkhoti sikkhāya saha vattatīti sasikkho, apaccakkhātasikkhoti attho. Sādiyantoti sevanacittaṃ upaṭṭhāpento. So bhikkhu. Ṭhapetvā kiriyanti attūpakkamanaṃ vinā. Cutoti ‘‘bhikkhupaccatthikehi katamidaṃ, na mayā’’ti lesena na muccati, sādiyanacitte sati sāsanato cutoyeva hotīti adhippāyo.
เอตฺถ จ สสิโกฺขติ อิทํ ‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ (ปารา. ๔๔) สิกฺขาปทปาฐสฺส อตฺถทสฺสนวเสน นิทฺทิฎฺฐํฯ ตสฺส ปทภาชเน (ปารา. ๔๕), ตทฎฺฐกถาย จ วิภตฺตํ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ สเงฺขปโต เอวํ เวทิตพฺพํ – จิตฺตเขตฺตกาลปโยคปุคฺคลวิชานนวเสน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ อุปสมฺปนฺนภาวโต จวิตุกามตาจิเตฺตเนว หิ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, น ทวา วา รวา วา วทนฺตสฺสฯ เอวํ จิตฺตวเสน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ
Ettha ca sasikkhoti idaṃ ‘‘sikkhaṃ apaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti (pārā. 44) sikkhāpadapāṭhassa atthadassanavasena niddiṭṭhaṃ. Tassa padabhājane (pārā. 45), tadaṭṭhakathāya ca vibhattaṃ sikkhāpaccakkhānaṃ saṅkhepato evaṃ veditabbaṃ – cittakhettakālapayogapuggalavijānanavasena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena. Upasampannabhāvato cavitukāmatācitteneva hi sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, na davā vā ravā vā vadantassa. Evaṃ cittavasena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena.
ตถา ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามิ, ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิ, สงฺฆํ ปจฺจกฺขามิ, สิกฺขํ, วินยํ, ปาติโมกฺขํ, อุเทฺทสํ, อุปชฺฌายํ, อาจริยํ, สทฺธิวิหาริกํ, อเนฺตวาสิกํ, สมานุปชฺฌายกํ, สมานาจริยกํ, สพฺรหฺมจาริํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ วุตฺตานํ พุทฺธาทีนํ จตุทฺทสนฺนํ, ‘‘คิหีติ มํ ธาเรหิ, อุปาสโก, อารามิโก, สามเณโร, ติตฺถิโย, ติตฺถิยสาวโก, อสฺสมโณ, อสกฺยปุตฺติโยติ มํ ธาเรหี’’ติ เอวํ วุตฺตานํ คิหิอาทีนํ อฎฺฐนฺนญฺจาติ อิเมสํ พาวีสติยา เขตฺตปทานํ ยสฺส กสฺสจิ สเววจนสฺส วเสน เตสุ ยํ กิญฺจิ วตฺตุกามสฺส ยํ กิญฺจิ วทโต สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, น รุกฺขาทีนํ อญฺญตรสฺส นามํ คเหตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขนฺตสฺสฯ เอวํ เขตฺตวเสน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ
Tathā ‘‘buddhaṃ paccakkhāmi, dhammaṃ paccakkhāmi, saṅghaṃ paccakkhāmi, sikkhaṃ, vinayaṃ, pātimokkhaṃ, uddesaṃ, upajjhāyaṃ, ācariyaṃ, saddhivihārikaṃ, antevāsikaṃ, samānupajjhāyakaṃ, samānācariyakaṃ, sabrahmacāriṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ vuttānaṃ buddhādīnaṃ catuddasannaṃ, ‘‘gihīti maṃ dhārehi, upāsako, ārāmiko, sāmaṇero, titthiyo, titthiyasāvako, assamaṇo, asakyaputtiyoti maṃ dhārehī’’ti evaṃ vuttānaṃ gihiādīnaṃ aṭṭhannañcāti imesaṃ bāvīsatiyā khettapadānaṃ yassa kassaci savevacanassa vasena tesu yaṃ kiñci vattukāmassa yaṃ kiñci vadato sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, na rukkhādīnaṃ aññatarassa nāmaṃ gahetvā sikkhaṃ paccakkhantassa. Evaṃ khettavasena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena.
ตตฺถ ยเทตํ ‘‘ปจฺจกฺขามี’’ติ จ ‘‘มํ ธาเรหี’’ติ จาติ วุตฺตํ วตฺตมานกาลวจนํ, ยานิ จ ‘‘อลํ เม พุเทฺธน, กิํ นุ เม พุเทฺธน, น มมโตฺถ พุเทฺธน, สุมุตฺตาหํ พุเทฺธนา’’ติอาทินา นเยน อาขฺยาตวเสน กาลํ อนามสิตฺวา ปุริเมหิ จุทฺทสหิ ปเทหิ สทฺธิํ โยเชตฺวา วุตฺตานิ ‘‘อลํ เม’’ติอาทีนิ จตฺตาริ ปทานิ, เตสํเยว สเววจนานํ วเสน ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ‘‘ปจฺจกฺขาสิ’’นฺติ วา ‘‘ปจฺจกฺขิสฺส’’นฺติ วา ‘‘มํ ธาเรสี’’ติ วา ‘‘มํ ธาเรสฺสตี’’ติ วา ‘‘ยํ นูนาหํ ปจฺจเกฺขยฺย’’นฺติ วาติอาทีนิ อตีตานาคตปริกปฺปวจนานิ ภณนฺตสฺสฯ เอวํ วตฺตมานกาลวเสน เจว อนามฎฺฐกาลวเสน จ ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ
Tattha yadetaṃ ‘‘paccakkhāmī’’ti ca ‘‘maṃ dhārehī’’ti cāti vuttaṃ vattamānakālavacanaṃ, yāni ca ‘‘alaṃ me buddhena, kiṃ nu me buddhena, na mamattho buddhena, sumuttāhaṃ buddhenā’’tiādinā nayena ākhyātavasena kālaṃ anāmasitvā purimehi cuddasahi padehi saddhiṃ yojetvā vuttāni ‘‘alaṃ me’’tiādīni cattāri padāni, tesaṃyeva savevacanānaṃ vasena paccakkhānaṃ hoti, na ‘‘paccakkhāsi’’nti vā ‘‘paccakkhissa’’nti vā ‘‘maṃ dhāresī’’ti vā ‘‘maṃ dhāressatī’’ti vā ‘‘yaṃ nūnāhaṃ paccakkheyya’’nti vātiādīni atītānāgataparikappavacanāni bhaṇantassa. Evaṃ vattamānakālavasena ceva anāmaṭṭhakālavasena ca paccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena.
ปโยโค ปน ทุวิโธ กายิโก จ วาจสิโก จฯ ตตฺถ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติอาทินา นเยน ยาย กายจิ ภาสาย วจีเภทํ กตฺวา วาจสิกปโยเคเนว ปจฺจกฺขานํ โหติ, น อกฺขรลิขนํ วา หตฺถมุทฺทาทิทสฺสนํ วา กายปโยคํ กโรนฺตสฺสฯ เอวํ วาจสิกปโยเคเนว ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ
Payogo pana duvidho kāyiko ca vācasiko ca. Tattha ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’tiādinā nayena yāya kāyaci bhāsāya vacībhedaṃ katvā vācasikapayogeneva paccakkhānaṃ hoti, na akkharalikhanaṃ vā hatthamuddādidassanaṃ vā kāyapayogaṃ karontassa. Evaṃ vācasikapayogeneva paccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena.
ปุคฺคโล ปน ทุวิโธ โย จ ปจฺจกฺขาติ, ยสฺส จ ปจฺจกฺขาติฯ ตตฺถ โย ปจฺจกฺขาติ, โส สเจ อุมฺมตฺตกขิตฺตจิตฺตเวทนฎฺฎานํ อญฺญตโร น โหติฯ ยสฺส ปน ปจฺจกฺขาติ, โส สเจ มนุสฺสชาติโก โหติ, น จ อุมฺมตฺตกาทีนํ อญฺญตโร, สมฺมุขีภูโต จ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ น หิ อสมฺมุขีภูตสฺส ทูเตน วา ปเณฺณน วา อาโรจนํ รุหติฯ เอวํ ยถาวุตฺตสฺส ปุคฺคลสฺส วเสน ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ
Puggalo pana duvidho yo ca paccakkhāti, yassa ca paccakkhāti. Tattha yo paccakkhāti, so sace ummattakakhittacittavedanaṭṭānaṃ aññataro na hoti. Yassa pana paccakkhāti, so sace manussajātiko hoti, na ca ummattakādīnaṃ aññataro, sammukhībhūto ca sikkhāpaccakkhānaṃ hoti. Na hi asammukhībhūtassa dūtena vā paṇṇena vā ārocanaṃ ruhati. Evaṃ yathāvuttassa puggalassa vasena paccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena.
วิชานนมฺปิ นิยมิตานิยมิตวเสน ทุวิธํฯ ตตฺถ ยสฺส, เยสํ วา นิยเมตฺวา ‘‘อิมสฺส, อิเมสํ วา อาโรเจมี’’ติ วทติฯ สเจ เต ยถา ปกติยา โลเก มนุสฺสา วจนํ สุตฺวา อาวชฺชนสมเย ชานนฺติ, เอวํ ตสฺส วจนานนฺตรเมว ตสฺส ‘‘อยํ อุกฺกณฺฐิโต’’ติ วา ‘‘คิหิภาวํ ปตฺถยตี’’ติ วา เยน เกนจิ อากาเรน สิกฺขาปจฺจกฺขานภาวํ ชานนฺติ, ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ อถ อปรภาเค ‘‘กิํ อิมินา วุตฺต’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ชานนฺติ, อเญฺญ วา ชานนฺติ, อปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ อนิยเมตฺวา อาโรเจนฺตสฺส ปน สเจ วุตฺตนเยน โย โกจิ มนุสฺสชาติโก วจนตฺถํ ชานาติ, ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ เอวํ วิชานนวเสน ปจฺจกฺขานํ โหติ, น ตทภาเวนฯ โย ปน อนฺตมโส ทวายปิ ปจฺจกฺขาติ, เตน อปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ
Vijānanampi niyamitāniyamitavasena duvidhaṃ. Tattha yassa, yesaṃ vā niyametvā ‘‘imassa, imesaṃ vā ārocemī’’ti vadati. Sace te yathā pakatiyā loke manussā vacanaṃ sutvā āvajjanasamaye jānanti, evaṃ tassa vacanānantarameva tassa ‘‘ayaṃ ukkaṇṭhito’’ti vā ‘‘gihibhāvaṃ patthayatī’’ti vā yena kenaci ākārena sikkhāpaccakkhānabhāvaṃ jānanti, paccakkhātāva hoti sikkhā. Atha aparabhāge ‘‘kiṃ iminā vutta’’nti cintetvā jānanti, aññe vā jānanti, apaccakkhātāva hoti sikkhā. Aniyametvā ārocentassa pana sace vuttanayena yo koci manussajātiko vacanatthaṃ jānāti, paccakkhātāva hoti sikkhā. Evaṃ vijānanavasena paccakkhānaṃ hoti, na tadabhāvena. Yo pana antamaso davāyapi paccakkhāti, tena apaccakkhātāva hoti sikkhā.
อิติ อิเมสํ วุตฺตปฺปการานํ จิตฺตาทีนํ วเสน อปจฺจกฺขาตสิโกฺข ‘‘สสิโกฺข’’ติ วุโตฺตฯ
Iti imesaṃ vuttappakārānaṃ cittādīnaṃ vasena apaccakkhātasikkho ‘‘sasikkho’’ti vutto.
๘-๑๐. ‘‘อิทานิ สนฺถเตน สนฺถตสฺส ฆฎฺฎเน อุปาทินฺนกฆฎฺฎนาภาวโต โทโส นตฺถี’’ติ ปาปภิกฺขูนํ เลสกปฺปนํ ปฎิกฺขิปิตุํ ‘‘ภิกฺขุปจฺจตฺถิกา มนุสฺสิตฺถิํ ภิกฺขุสฺส สนฺติเก อาเนตฺวา วจฺจมเคฺคน, ปสฺสาวมเคฺคน, มุเขน องฺคชาตํ อภินิสีเทนฺติ สนฺถตาย อสนฺถตสฺสา’’ติอาทินา (ปารา. ๖๑) นเยน ปาฬิยํ วุตฺตสนฺถตวารานมตฺถํ สงฺคณฺหโนฺต อาห ‘‘สนฺถเตนา’’ติอาทิฯ ตตฺถ สนฺถเตนาติ จมฺมโจฬติปุปฎฺฎาทีหิ ปฎิจฺฉาทิเตนฯ ‘‘ปเวเสโนฺต’’ติ อิมินา สนฺถตวารสฺส ปโรปกฺกมํ นิสฺสาย ทสฺสนมุปลกฺขณนฺติ อตฺตูปกฺกเมปิ โยเชตพฺพตํ ทเสฺสติ, ตสฺส วกฺขมาเนน ‘‘ปราชิโต’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ‘‘ตเถวา’’ติ อิมินา ปเวเสโนฺตติอาทิปฺปการํ ปรามสติฯ
8-10. ‘‘Idāni santhatena santhatassa ghaṭṭane upādinnakaghaṭṭanābhāvato doso natthī’’ti pāpabhikkhūnaṃ lesakappanaṃ paṭikkhipituṃ ‘‘bhikkhupaccatthikā manussitthiṃ bhikkhussa santike ānetvā vaccamaggena, passāvamaggena, mukhena aṅgajātaṃ abhinisīdenti santhatāya asanthatassā’’tiādinā (pārā. 61) nayena pāḷiyaṃ vuttasanthatavārānamatthaṃ saṅgaṇhanto āha ‘‘santhatenā’’tiādi. Tattha santhatenāti cammacoḷatipupaṭṭādīhi paṭicchāditena. ‘‘Pavesento’’ti iminā santhatavārassa paropakkamaṃ nissāya dassanamupalakkhaṇanti attūpakkamepi yojetabbataṃ dasseti, tassa vakkhamānena ‘‘parājito’’ti iminā sambandho. ‘‘Tathevā’’ti iminā pavesentotiādippakāraṃ parāmasati.
เอวํ ปเวเสโนฺต กทา ปราชิโต โหตีติ อาห ‘‘อุปาทิเนฺนนา’’ติอาทิฯ เอตฺถ อุปาทิเนฺนนาติ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ อุเปเตน กมฺมุนา อตฺตโน ผลภาเวเนว อาทินฺนํ คหิตนฺติ อุปาทินฺนํ, เอเตน อตฺตโน องฺคชาตสฺส, วตฺถุปุคฺคลานํ มคฺคสฺส จ ฆฎฺฎนฎฺฐานคตํ กายปฺปสาทํ ทเสฺสติฯ อิมินาว องฺคชาตคตํ อนฎฺฐกายปฺปสาทํ จมฺมขิลํ, ปิฬกาทิ จ คเหตพฺพํฯ ‘‘อุปาทินฺนกํ นาม กายินฺทฺริย’’นฺติ คณฺฐิปเท วุตฺตํฯ ตพฺพิปริยาเยน ‘‘อนุปาทินฺนก’’นฺติ ตปฺปฎิจฺฉาทกํ โจฬาทิ วุตฺตํฯ อุปาทิเนฺนน อุปาทิเนฺน, อนุปาทิเนฺน วา ปาราชิกเกฺขเตฺต ฆฎฺฎิเต, อนุปาทินฺนเกน วา อุปาทิเนฺน อนุปาทิเนฺน วา ปาราชิกเกฺขเตฺต ฆฎฺฎิเตติ โยชนาฯ เอตฺถ จ กรณวจนนฺตานิ ปทานิ ‘‘องฺคชาเตนา’’ติ อิมสฺส วิเสสนานิฯ
Evaṃ pavesento kadā parājito hotīti āha ‘‘upādinnenā’’tiādi. Ettha upādinnenāti taṇhādiṭṭhīhi upetena kammunā attano phalabhāveneva ādinnaṃ gahitanti upādinnaṃ, etena attano aṅgajātassa, vatthupuggalānaṃ maggassa ca ghaṭṭanaṭṭhānagataṃ kāyappasādaṃ dasseti. Imināva aṅgajātagataṃ anaṭṭhakāyappasādaṃ cammakhilaṃ, piḷakādi ca gahetabbaṃ. ‘‘Upādinnakaṃ nāma kāyindriya’’nti gaṇṭhipade vuttaṃ. Tabbipariyāyena ‘‘anupādinnaka’’nti tappaṭicchādakaṃ coḷādi vuttaṃ. Upādinnena upādinne, anupādinne vā pārājikakkhette ghaṭṭite, anupādinnakena vā upādinne anupādinne vā pārājikakkhette ghaṭṭiteti yojanā. Ettha ca karaṇavacanantāni padāni ‘‘aṅgajātenā’’ti imassa visesanāni.
เอตฺตาวตา สนฺถตจตุกฺกวเสน อตฺตูปกฺกเม สติ ปาราชิกเกฺขเตฺต ปาราชิกํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปรูปกฺกเมปิ ทเสฺสตุมาห ‘‘สเจ’’ติอาทิฯ เอตฺถาติ เอเตสุ จตูสุ วิกเปฺปสุฯ ปาราชิกเกฺขเตฺต ปวิเฎฺฐ ตูติ เอตฺถ ตุ-สเทฺทน ปเวสนฎฺฐิตุทฺธารกฺขณตฺตยํ สมุจฺจิโนติฯ ยํตํ-สทฺทานํ นิจฺจสมฺพนฺธตฺตา หิ ‘‘โส’’ติ ตํ-สโทฺทปาทาเน ‘‘โย’’ติ ยํ-สโทฺทปิ อชฺฌาหริตโพฺพ, สามตฺถิเยน สมฺปิณฺฑนโตฺถ อปิสโทฺท จฯ อยเมตฺถ อตฺถโยชนา – ภิกฺขุปจฺจตฺถิเกหิ อาเนตฺวา ภิกฺขุโน องฺคชาเต อภินิสีทาปิตมนุสฺสิตฺถิอาทีนํ ตีสุ มเคฺคสุ อญฺญตรมคฺคสงฺขาตํ ปาราชิกเกฺขตฺตํ ปวิเฎฺฐ วา ตุ-สเทฺทน สมฺปิณฺฑิตปเวสนฎฺฐิตุทฺธารานมญฺญตรกฺขเณ วา สเจ โย สาทิยติ, สปฺปมุขาทิปฺปเวสนกาเล วิย อนุตฺตสิตฺวา กามราคปิปาสาภิภูโต ยทิ สาทิยติ, โสปิ ภิกฺขุ ปราชิโต โหตีติ โยชนาฯ ‘‘สเจ สาทิยตี’’ติ อิมินา สาสงฺกวจเนน น สาทิยติ, อนาปตฺตีติ สูจิตํ โหติฯ
Ettāvatā santhatacatukkavasena attūpakkame sati pārājikakkhette pārājikaṃ dassetvā idāni parūpakkamepi dassetumāha ‘‘sace’’tiādi. Etthāti etesu catūsu vikappesu. Pārājikakkhette paviṭṭhe tūti ettha tu-saddena pavesanaṭṭhituddhārakkhaṇattayaṃ samuccinoti. Yaṃtaṃ-saddānaṃ niccasambandhattā hi ‘‘so’’ti taṃ-saddopādāne ‘‘yo’’ti yaṃ-saddopi ajjhāharitabbo, sāmatthiyena sampiṇḍanattho apisaddo ca. Ayamettha atthayojanā – bhikkhupaccatthikehi ānetvā bhikkhuno aṅgajāte abhinisīdāpitamanussitthiādīnaṃ tīsu maggesu aññataramaggasaṅkhātaṃ pārājikakkhettaṃ paviṭṭhe vā tu-saddena sampiṇḍitapavesanaṭṭhituddhārānamaññatarakkhaṇe vā sace yo sādiyati, sappamukhādippavesanakāle viya anuttasitvā kāmarāgapipāsābhibhūto yadi sādiyati, sopi bhikkhu parājito hotīti yojanā. ‘‘Sace sādiyatī’’ti iminā sāsaṅkavacanena na sādiyati, anāpattīti sūcitaṃ hoti.
‘‘ปาราชิกเกฺขเตฺต’’ติ อิมินา พฺยวจฺฉิเนฺน อญฺญสฺมิํ ฐาเน วีติกฺกมนฺตสฺส อิมสฺมิํเยว วิกเปฺป สมฺภวนฺติโย อิตราปตฺติโย ทเสฺสตุมาห ‘‘เขเตฺต’’ติอาทิฯ ‘‘เอตฺถา’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธนียํฯ ‘‘เขเตฺต’’ติ สามญฺญนิเทฺทเสปิ เหฎฺฐา ‘‘ปาราชิกเกฺขเตฺต’’ติ วิเสสิตตฺตา, อุปริถุลฺลจฺจยาทีนญฺจ วิธียมานตฺตา อญฺญถานุปปตฺติลกฺขณาย สามตฺถิยา ถุลฺลจฺจยทุกฺกฎานํ เขเตฺตติ อยมโตฺถ ลพฺภติฯ ‘‘กณฺณจฺฉิทฺทกฺขินาสาสู’’ติอาทินา นเยน วกฺขมาเนสุ ชีวมานกสรีรคตถุลฺลจฺจยทุกฺกฎเกฺขเตฺตสูติ วุตฺตํ โหติฯ
‘‘Pārājikakkhette’’ti iminā byavacchinne aññasmiṃ ṭhāne vītikkamantassa imasmiṃyeva vikappe sambhavantiyo itarāpattiyo dassetumāha ‘‘khette’’tiādi. ‘‘Etthā’’ti ānetvā sambandhanīyaṃ. ‘‘Khette’’ti sāmaññaniddesepi heṭṭhā ‘‘pārājikakkhette’’ti visesitattā, uparithullaccayādīnañca vidhīyamānattā aññathānupapattilakkhaṇāya sāmatthiyā thullaccayadukkaṭānaṃ khetteti ayamattho labbhati. ‘‘Kaṇṇacchiddakkhināsāsū’’tiādinā nayena vakkhamānesu jīvamānakasarīragatathullaccayadukkaṭakkhettesūti vuttaṃ hoti.
อิเมสุ ทฺวีสุ เขเตฺตสุ ‘‘สนฺถตาทินา สนฺถตาทิํ ปเวเสนฺตสฺส อุปาทินฺนาทีหิ อุปาทินฺนาทีนํ ฆฎฺฎเน อธิวาเสนฺตสฺส อนาปตฺตี’’ติ วตฺตุมสกฺกุเณยฺยตาย ปาราชิกเกฺขเตฺต วุตฺตสพฺพวิกเปฺป เอตฺถ โยเชเนฺตหิ เอวํ โยเชตพฺพํ – ถุลฺลจฺจยเกฺขเตฺต สนฺถเต วา อสนฺถเต วา สนฺถเตน วา อสนฺถเตน วา องฺคชาเตน เสวนฺตสฺส อุปาทิเนฺน วา อนุปาทิเนฺน วา อุปาทิเนฺนน, ตถา อนุปาทิเนฺนน วา ฆฎฺฎิเต ถุลฺลจฺจยํ ตสฺส วินิทฺทิเสติฯ เอวํ ทุกฺกฎเกฺขเตฺต สนฺถเต วา…เป.… ฆฎฺฎิเต ทุกฺกฎญฺจ ตสฺส วินิทฺทิเสติ โยเชตพฺพํฯ
Imesu dvīsu khettesu ‘‘santhatādinā santhatādiṃ pavesentassa upādinnādīhi upādinnādīnaṃ ghaṭṭane adhivāsentassa anāpattī’’ti vattumasakkuṇeyyatāya pārājikakkhette vuttasabbavikappe ettha yojentehi evaṃ yojetabbaṃ – thullaccayakkhette santhate vā asanthate vā santhatena vā asanthatena vā aṅgajātena sevantassa upādinne vā anupādinne vā upādinnena, tathā anupādinnena vā ghaṭṭite thullaccayaṃ tassa viniddiseti. Evaṃ dukkaṭakkhette santhate vā…pe… ghaṭṭite dukkaṭañca tassa viniddiseti yojetabbaṃ.
อิห สพฺพตฺถ ตีสุปิ เขเตฺตสุ อุปาทินฺน-สเทฺทน อนฎฺฐกายปฺปสาทํ องฺคชาตญฺจ ตตฺถชาตจมฺมขิลปิฬกา จ คยฺหนฺติ, ทุกฺกฎเกฺขเตฺต ปน องฺคุลิอาทิอิตราวยวาปิฯ ตีสุปิ เขเตฺตสุ อนุปาทินฺน-สเทฺทน องฺคชาตาทิปฎิจฺฉาทิตวตฺถาทโย จ คยฺหนฺติ, ทุกฺกฎเกฺขเตฺต ปน นิมิเตฺต นฎฺฐกายปฺปสาทจมฺมขิลปิฬกโรมาทีนิฯ อิมานิ จ อนุปาทินฺนานิฯ องฺคชาเตตโรปาทินฺนาวยเว จ ตีสุปิ เขเตฺตสุ ปเวเสนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ
Iha sabbattha tīsupi khettesu upādinna-saddena anaṭṭhakāyappasādaṃ aṅgajātañca tatthajātacammakhilapiḷakā ca gayhanti, dukkaṭakkhette pana aṅguliādiitarāvayavāpi. Tīsupi khettesu anupādinna-saddena aṅgajātādipaṭicchāditavatthādayo ca gayhanti, dukkaṭakkhette pana nimitte naṭṭhakāyappasādacammakhilapiḷakaromādīni. Imāni ca anupādinnāni. Aṅgajātetaropādinnāvayave ca tīsupi khettesu pavesentassa dukkaṭameva.
๑๑. เอตฺตาวตา ชีวมานสรีเร สนฺถตาสนฺถตวเสน ปเจฺจกํ ติวิเธสุปิ ปาราชิกถุลฺลจฺจยทุกฺกฎเกฺขเตฺตสุ สนฺถตาสนฺถตวเสเนว ทุวิเธน นิมิเตฺตน เสวนฺตสฺส ปโรปกฺกเม สติ สาทิยนฺตสฺส ลพฺภมานปาราชิกถุลฺลจฺจยทุกฺกฎาปตฺติโย ยถาสมฺภวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ‘‘มตสรีเร ปน ตถา ตถา เสวนฺตานํ โทโส นตฺถี’’ติ ปาปภิกฺขูนํ เลโสกาสปฎิพาหนตฺถํ ปาฬิยํ ทสฺสิเตสุ ยถาวุเตฺตสุ ตีสุ เขเตฺตสุ ลพฺภมานา ติโสฺส อาปตฺติโย ทเสฺสตุมาห ‘‘มเต’’ติอาทิฯ
11. Ettāvatā jīvamānasarīre santhatāsanthatavasena paccekaṃ tividhesupi pārājikathullaccayadukkaṭakkhettesu santhatāsanthatavaseneva duvidhena nimittena sevantassa paropakkame sati sādiyantassa labbhamānapārājikathullaccayadukkaṭāpattiyo yathāsambhavaṃ dassetvā idāni ‘‘matasarīre pana tathā tathā sevantānaṃ doso natthī’’ti pāpabhikkhūnaṃ lesokāsapaṭibāhanatthaṃ pāḷiyaṃ dassitesu yathāvuttesu tīsu khettesu labbhamānā tisso āpattiyo dassetumāha ‘‘mate’’tiādi.
ตตฺถ ‘‘มเต’’ติ เอตสฺส ‘‘มนุสฺสิตฺถิอาทีนํ สรีเร’’ติ อชฺฌาหริตฺวา อตฺถโยชนา กาตพฺพาฯ อิมินา ‘‘อกฺขายิเต’’ติอาทินา ทสฺสิตานํ นิมิตฺตานํ นิสฺสยํ ทสฺสิตํ โหติฯ ‘‘นิมิตฺตมตฺตํ เสเสตฺวา’’ติอาทินา นเยน วกฺขมานคาถายํ วิย สกลสรีเร ขาทิเตปิ นิมิตฺตสฺส วิชฺชมานาวิชฺชมานภาโวเยว อาปตฺติยาภาวาภาวสฺส ปมาณนฺติ ‘‘อกฺขายิเต’’ติ เอเตน ‘‘มเต’’ติ เอตํ อวิเสเสตฺวา ‘‘นิมิเตฺต’’ติ อชฺฌาหริตฺวา ตํ เตน วิเสสิตพฺพํฯ อถ วา ‘‘นิมิตฺตมตฺต’’นฺติอาทินา วกฺขมานคาถาย ‘‘นิมิเตฺต’’ติ ปทํ อาเนตฺวา โยเชตพฺพํฯ
Tattha ‘‘mate’’ti etassa ‘‘manussitthiādīnaṃ sarīre’’ti ajjhāharitvā atthayojanā kātabbā. Iminā ‘‘akkhāyite’’tiādinā dassitānaṃ nimittānaṃ nissayaṃ dassitaṃ hoti. ‘‘Nimittamattaṃ sesetvā’’tiādinā nayena vakkhamānagāthāyaṃ viya sakalasarīre khāditepi nimittassa vijjamānāvijjamānabhāvoyeva āpattiyābhāvābhāvassa pamāṇanti ‘‘akkhāyite’’ti etena ‘‘mate’’ti etaṃ avisesetvā ‘‘nimitte’’ti ajjhāharitvā taṃ tena visesitabbaṃ. Atha vā ‘‘nimittamatta’’ntiādinā vakkhamānagāthāya ‘‘nimitte’’ti padaṃ ānetvā yojetabbaṃ.
อกฺขายิเตติ สพฺพถา อกฺขายิเต ปาราชิกวตฺถุภูเต นิมิเตฺตฯ เยภุยฺยกฺขายิเตปิ จาติ กิญฺจิ กิญฺจิ ขาทิตฺวา พหุกาวสิเฎฺฐ นิมิเตฺตฯ ‘‘ยสฺส จตูสุ ภาเคสุ ติภาคมตฺตํ ขาทิตํ, ตํ นิมิตฺตํ เยภุยฺยกฺขายิตํ นามา’’ติ วทนฺติฯ เมถุนนฺติ ราคปริยุฎฺฐาเนน สทิสภาวาปตฺติยา มิถุนานํ อิทํ เมถุนํ, มติตฺถิอาทีนํ ราคปริยุฎฺฐาเนน สทิสตฺตาภาเวปิ ตตฺถ วีติกฺกโม รุฬฺหิยา ‘‘เมถุน’’นฺติ วุจฺจติฯ
Akkhāyiteti sabbathā akkhāyite pārājikavatthubhūte nimitte. Yebhuyyakkhāyitepi cāti kiñci kiñci khāditvā bahukāvasiṭṭhe nimitte. ‘‘Yassa catūsu bhāgesu tibhāgamattaṃ khāditaṃ, taṃ nimittaṃ yebhuyyakkhāyitaṃ nāmā’’ti vadanti. Methunanti rāgapariyuṭṭhānena sadisabhāvāpattiyā mithunānaṃ idaṃ methunaṃ, matitthiādīnaṃ rāgapariyuṭṭhānena sadisattābhāvepi tattha vītikkamo ruḷhiyā ‘‘methuna’’nti vuccati.
ปาราชิโกติปราชิโต, ปราชยมาปโนฺนติ อโตฺถฯ อยญฺหิ ปาราชิก-สโทฺท สิกฺขาปทาปตฺติปุคฺคเลสุ วตฺตติฯ ตตฺถ ‘‘อฎฺฐานเมตํ อานนฺท อนวกาโส, ยํ ตถาคโต วชฺชีนํ วา วชฺชิปุตฺตกานํ วา การณา สาวกานํ ปาราชิกํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ สมูหเนยฺยา’’ติ (ปารา. ๔๓) เอวํ สิกฺขาปเท วตฺตมาโน เวทิตโพฺพฯ ‘‘อาปตฺติ ตฺวํ ภิกฺขุ อาปโนฺน ปาราชิก’’นฺติ (ปารา. ๖๗) อาปตฺติยาฯ ‘‘น มยํ ปาราชิกา, โย อวหโฎ, โส ปาราชิโก’’ติ (ปารา. ๑๕๕) เอวํ ปุคฺคเลฯ ‘‘ปาราชิเกน ธเมฺมน อนุทฺธํเสยฺยา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๓๘๔) ปน ธเมฺม วตฺตตีติ วทนฺติฯ ยสฺมา ปน ตตฺถ ธโมฺมติ กตฺถจิ อาปตฺติ, กตฺถจิ สิกฺขาปทเมว อธิเปฺปตํ, ตสฺมา โส วิสุํ น วตฺตโพฺพฯ
Pārājikotiparājito, parājayamāpannoti attho. Ayañhi pārājika-saddo sikkhāpadāpattipuggalesu vattati. Tattha ‘‘aṭṭhānametaṃ ānanda anavakāso, yaṃ tathāgato vajjīnaṃ vā vajjiputtakānaṃ vā kāraṇā sāvakānaṃ pārājikaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ samūhaneyyā’’ti (pārā. 43) evaṃ sikkhāpade vattamāno veditabbo. ‘‘Āpatti tvaṃ bhikkhu āpanno pārājika’’nti (pārā. 67) āpattiyā. ‘‘Na mayaṃ pārājikā, yo avahaṭo, so pārājiko’’ti (pārā. 155) evaṃ puggale. ‘‘Pārājikena dhammena anuddhaṃseyyā’’tiādīsu (pārā. 384) pana dhamme vattatīti vadanti. Yasmā pana tattha dhammoti katthaci āpatti, katthaci sikkhāpadameva adhippetaṃ, tasmā so visuṃ na vattabbo.
ตตฺถ สิกฺขาปทํ โย ตํ อติกฺกมติ ตํ ปราเชติ, ตสฺมา ‘‘ปาราชิก’’นฺติ วุจฺจติฯ อาปตฺติ ปน โย นํ อชฺฌาปชฺชติ ตํ ปราเชติ, ตสฺมา ‘‘ปาราชิกา’’ติ วุจฺจติฯ ปุคฺคโล ยสฺมา ปราชิโต ปราชยมาปโนฺน, ตสฺมา ‘‘ปาราชิโก’’ติ วุจฺจติฯ สิกฺขาปทาปตฺตีสุ ปาราชิก-สโทฺท ปราเชตีติ ‘‘ปาราชิโก’’ติ กตฺตุสาธโน, ปุคฺคเล ปน ปราชียตีติ กมฺมสาธโนติ เวทิตโพฺพฯ ‘‘นโร’’ติ อิมินา ปุเพฺพ วุตฺตภิกฺขุเยว อธิเปฺปโตฯ สามญฺญโชตนา วิเสเส อวติฎฺฐตีติฯ
Tattha sikkhāpadaṃ yo taṃ atikkamati taṃ parājeti, tasmā ‘‘pārājika’’nti vuccati. Āpatti pana yo naṃ ajjhāpajjati taṃ parājeti, tasmā ‘‘pārājikā’’ti vuccati. Puggalo yasmā parājito parājayamāpanno, tasmā ‘‘pārājiko’’ti vuccati. Sikkhāpadāpattīsu pārājika-saddo parājetīti ‘‘pārājiko’’ti kattusādhano, puggale pana parājīyatīti kammasādhanoti veditabbo. ‘‘Naro’’ti iminā pubbe vuttabhikkhuyeva adhippeto. Sāmaññajotanā visese avatiṭṭhatīti.
๑๒. เยภุยฺยกฺขายิเตติ จตูสุ โกฎฺฐาเสสุ เอกโกฎฺฐาสาวเสสํ กตฺวา ขาทิเตฯ อุปฑฺฒกฺขายิเตติ สมภาคาวเสสํ ขาทิเตฯ ถูโล อจฺจโย ถุลฺลจฺจโย, โสเยว อาปชฺชียตีติ อาปตฺตีติ ถุลฺลจฺจยาปตฺติฯ ปาจิตฺติยาทโย สนฺธาเยตฺถ ถุลฺลจฺจยโวหาโร, น ปาราชิกสงฺฆาทิเสเสติ ทฎฺฐพฺพํฯ เสเสติ อวเสเส อุปกจฺฉกาทีสุฯ วุตฺตญฺหิ อฎฺฐกถายํ ‘‘อวเสสสรีเร อุปกจฺฉกาทีสุ ทุกฺกฎ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๙-๖๐)ฯ ทุฎฺฐุ กตนฺติ ทุกฺกฎํ, ทุกฺกฎ-สโทฺท นิยตนปุํสกตฺตา อิตฺถิลิงฺคสฺสาปิ อาปตฺติ-สทฺทสฺส สลิเงฺคน วิเสสนํ โหติฯ
12.Yebhuyyakkhāyiteti catūsu koṭṭhāsesu ekakoṭṭhāsāvasesaṃ katvā khādite. Upaḍḍhakkhāyiteti samabhāgāvasesaṃ khādite. Thūlo accayo thullaccayo, soyeva āpajjīyatīti āpattīti thullaccayāpatti. Pācittiyādayo sandhāyettha thullaccayavohāro, na pārājikasaṅghādiseseti daṭṭhabbaṃ. Seseti avasese upakacchakādīsu. Vuttañhi aṭṭhakathāyaṃ ‘‘avasesasarīre upakacchakādīsu dukkaṭa’’nti (pārā. aṭṭha. 1.59-60). Duṭṭhu katanti dukkaṭaṃ, dukkaṭa-saddo niyatanapuṃsakattā itthiliṅgassāpi āpatti-saddassa saliṅgena visesanaṃ hoti.
๑๓. นิมิตฺตมตฺตํ เสเสตฺวา ขายิเตปีติ เอตฺถ ติณฺณมญฺญตรํ นิมิตฺตํ เสเสตฺวา สกลสรีเร ขาทิเตปิฯ ปิ-สโทฺท พฺยติเรเก, ปเคว อิตเรติ ทีเปติฯ ตสฺมิํ นิมิเตฺต อกฺขายิเต วา เยภุยฺยกฺขายิเต วาติ ทฺวิธา วุเตฺตสุ ตีสุ นิมิเตฺตสุ อญฺญตรสฺมิํ นิมิเตฺต เมถุนํ เสวโตปิ ปราชโย ปาราชิกาปตฺติ โหตีติ อธิปฺปาโย ฯ เสวโตปีติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท อเปกฺขายํฯ ตสฺมา น เกวลํ เหฎฺฐา วุตฺตานเมวาติ อเปกฺขติฯ สนฺถตาทโย วิกปฺปา ยถาวุตฺตนเยน เอตฺถาปิ โยเชตพฺพาฯ
13.Nimittamattaṃ sesetvā khāyitepīti ettha tiṇṇamaññataraṃ nimittaṃ sesetvā sakalasarīre khāditepi. Pi-saddo byatireke, pageva itareti dīpeti. Tasmiṃ nimitte akkhāyite vā yebhuyyakkhāyite vāti dvidhā vuttesu tīsu nimittesu aññatarasmiṃ nimitte methunaṃ sevatopi parājayo pārājikāpatti hotīti adhippāyo . Sevatopīti ettha pi-saddo apekkhāyaṃ. Tasmā na kevalaṃ heṭṭhā vuttānamevāti apekkhati. Santhatādayo vikappā yathāvuttanayena etthāpi yojetabbā.
๑๔. ‘‘อุทฺธุมาตาทิสมฺปเตฺต’’ติ เอตฺถ ‘‘ยทา ปน สรีรํ อุทฺธุมาตกํ โหติ กุถิตํ นีลมกฺขิกาสมากิณฺณํ กิมิกุลสมากุลํ นวหิ วณมุเขหิ ปคฺฆริตปุพฺพกุณปภาเวน อุปคนฺตุมฺปิ อสกฺกุเณยฺยํ, ตทา ปาราชิกวตฺถุญฺจ ถุลฺลจฺจยวตฺถุญฺจ ชหติ, ตาทิเส สรีเร ยตฺถ กตฺถจิ อุปกฺกมโต ทุกฺกฎเมวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๙-๖๐) อฎฺฐกถาวจนโต สพฺพตฺถาปิ จาติ อกฺขายิตาทิสพฺพวิกโปฺปปคตานิ ปาราชิกถุลฺลจฺจยทุกฺกฎเกฺขตฺตานิ คหิตานีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺถาปิ วีติกฺกโม อนาปตฺติ น โหตีติ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทุกฺกฎ’’นฺติฯ ‘‘ขายิตกฺขายิต’’นฺติอาทีสุ ขายิตกฺขายิตญฺจ นาเมตํ สพฺพํ มตสรีรเกเยว เวทิตพฺพํ, น ชีวมาเนติ โยเชตพฺพํฯ
14. ‘‘Uddhumātādisampatte’’ti ettha ‘‘yadā pana sarīraṃ uddhumātakaṃ hoti kuthitaṃ nīlamakkhikāsamākiṇṇaṃ kimikulasamākulaṃ navahi vaṇamukhehi paggharitapubbakuṇapabhāvena upagantumpi asakkuṇeyyaṃ, tadā pārājikavatthuñca thullaccayavatthuñca jahati, tādise sarīre yattha katthaci upakkamato dukkaṭamevā’’ti (pārā. aṭṭha. 1.59-60) aṭṭhakathāvacanato sabbatthāpi cāti akkhāyitādisabbavikappopagatāni pārājikathullaccayadukkaṭakkhettāni gahitānīti daṭṭhabbaṃ. Tatthāpi vītikkamo anāpatti na hotīti dassetumāha ‘‘dukkaṭa’’nti. ‘‘Khāyitakkhāyita’’ntiādīsu khāyitakkhāyitañca nāmetaṃ sabbaṃ matasarīrakeyeva veditabbaṃ, na jīvamāneti yojetabbaṃ.
๑๕. ชีวมาเน กถนฺติ อาห ‘‘ฉินฺทิตฺวา ปนา’’ติอาทิฯ ตตฺถ วณสเงฺขปโตติ วณสงฺคหโตฯ ตสฺมินฺติ ยตฺถ ฐิตํ นิมิตฺตํ อุปฺปาฎิตํ, ตสฺมิํ ปเทเสฯ เอตฺถ ทุติโย ปน-สโทฺท อิธ อทสฺสิตํ อฎฺฐกถายํ อาคตนเยน วิญฺญายมานํ อตฺถวิเสสํ โชเตติฯ อฎฺฐกถายหิ ‘‘ยทิปิ นิมิตฺตํ สพฺพโส ขายิตํ, ฉวิจมฺมมฺปิ นตฺถิ, นิมิตฺตสณฺฐานํ ปญฺญายติ, ปเวสนํ ชายติ, ปาราชิกเมวา’’ติ เอวํ อชีวมาเน วุตฺตวินิจฺฉยานุสาเรน ชีวมาเนปิ ฉวิจมฺมมตฺตํ เจ สพฺพโส อุปฺปาฎิตํ, นิมิตฺตสณฺฐานํ ปญฺญายติ, ปเวสนกฺขมํ โหติ, ตตฺถ เสวนฺตสฺส ปาราชิกเมวาติ วิญฺญายมานมตฺถํ โชเตตีติ วุตฺตํ โหติฯ
15. Jīvamāne kathanti āha ‘‘chinditvā panā’’tiādi. Tattha vaṇasaṅkhepatoti vaṇasaṅgahato. Tasminti yattha ṭhitaṃ nimittaṃ uppāṭitaṃ, tasmiṃ padese. Ettha dutiyo pana-saddo idha adassitaṃ aṭṭhakathāyaṃ āgatanayena viññāyamānaṃ atthavisesaṃ joteti. Aṭṭhakathāyahi ‘‘yadipi nimittaṃ sabbaso khāyitaṃ, chavicammampi natthi, nimittasaṇṭhānaṃ paññāyati, pavesanaṃ jāyati, pārājikamevā’’ti evaṃ ajīvamāne vuttavinicchayānusārena jīvamānepi chavicammamattaṃ ce sabbaso uppāṭitaṃ, nimittasaṇṭhānaṃ paññāyati, pavesanakkhamaṃ hoti, tattha sevantassa pārājikamevāti viññāyamānamatthaṃ jotetīti vuttaṃ hoti.
๑๖. ตโต นิมิตฺตโตติ สมฺพโนฺธฯ ปติตายาติ ปติตายํ, อยเมว วา ปาโฐฯ นิมิตฺตโตติ นิมิตฺตปฺปเทสโต ปติตายํ มํสเปสิยนฺติ สมฺพโนฺธฯ ฉินฺทิตฺวา วา ตเจฺฉตฺวา วา ปติตายํ ตสฺสํ นิมิตฺตมํสเปสิยนฺติ อโตฺถฯ เมถุนราเคน อุปกฺกมนฺตสฺส ทุกฺกฎํ วินิทฺทิเสติ โยชนาฯ
16. Tato nimittatoti sambandho. Patitāyāti patitāyaṃ, ayameva vā pāṭho. Nimittatoti nimittappadesato patitāyaṃ maṃsapesiyanti sambandho. Chinditvā vā tacchetvā vā patitāyaṃ tassaṃ nimittamaṃsapesiyanti attho. Methunarāgena upakkamantassa dukkaṭaṃ viniddiseti yojanā.
๑๗. ‘‘นขปิฎฺฐิปฺปมาเณปี’’ติอาทิคาถาย ‘‘ฉินฺทิตฺวา’’ติอาทิกา อฎฺฐกถา อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพาฯ สตีติ เอตฺถ ‘‘อวสิเฎฺฐ’’ติ ปาฐเสโสฯ ชีวมาเนติ เอตฺถ ‘‘สรีเร’’ติ ปาฐเสโสฯ ชีวมานสรีเร ปน ฉินฺทิตฺวา ตเจฺฉตฺวา นิมิเตฺต อุปฺปาฎิเต นขปิฎฺฐิปฺปมาเณปิ มํเส, นฺหารุมฺหิ วา อวสิเฎฺฐ สติ เมถุนํ ปฎิเสวโนฺต ปราชิโตติ โยชนาฯ
17.‘‘Nakhapiṭṭhippamāṇepī’’tiādigāthāya ‘‘chinditvā’’tiādikā aṭṭhakathā ānetvā sambandhitabbā. Satīti ettha ‘‘avasiṭṭhe’’ti pāṭhaseso. Jīvamāneti ettha ‘‘sarīre’’ti pāṭhaseso. Jīvamānasarīre pana chinditvā tacchetvā nimitte uppāṭite nakhapiṭṭhippamāṇepi maṃse, nhārumhi vā avasiṭṭhe sati methunaṃ paṭisevanto parājitoti yojanā.
๑๘. ‘‘กณฺณจฺฉิทฺทกฺขี’’ติ คาถาย ‘‘ชีวมาเน’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํ, ‘‘สรีเร’’ติ ปาฐเสโสฯ ‘‘อสฺสโคมหิสาทีน’’นฺติอาทินา อสฺสาทีนํ วกฺขมานตฺตา ปาริเสสโต ‘‘มนุสฺสาน’’นฺติ ลพฺภติฯ มนุสฺสานํ ชีวมานสรีเร กณฺณ…เป.… วเณสุ วาติ โยชนาฯ วตฺถิโกเสติ มุตฺตปถพฺภนฺตเรฯ วเณสุ วาติ สตฺถกาทีหิ กตวเณสุฯ องฺคชาตนฺติ ติลมตฺตมฺปิ องฺคชาเตกเทสํฯ ราคาติ เมถุนราเคนฯ
18. ‘‘Kaṇṇacchiddakkhī’’ti gāthāya ‘‘jīvamāne’’ti ānetvā sambandhitabbaṃ, ‘‘sarīre’’ti pāṭhaseso. ‘‘Assagomahisādīna’’ntiādinā assādīnaṃ vakkhamānattā pārisesato ‘‘manussāna’’nti labbhati. Manussānaṃ jīvamānasarīre kaṇṇa…pe… vaṇesu vāti yojanā. Vatthikoseti muttapathabbhantare. Vaṇesu vāti satthakādīhi katavaṇesu. Aṅgajātanti tilamattampi aṅgajātekadesaṃ. Rāgāti methunarāgena.
๑๙. อวเสสสรีรสฺมินฺติ กณฺณจฺฉิทฺทาทิยถาวุตฺตสรีราวยววชฺชิตสรีรปฺปเทเสฯ เตนาห ‘‘อุปกจฺฉูรุกาทิสู’’ติ อุปกจฺฉํ นาม พาหุมูลนฺตรํฯ อูรุกาทิสูติ อูรุเวมชฺฌาทีสุฯ อาทิ-สเทฺทน วุตฺตาวเสสํ สรีรปฺปเทสํ สงฺคณฺหาติฯ ‘‘องฺคชาต’’นฺติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ‘‘ปเวเสตฺวา’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติ, องฺคชาตํ ติลพีชมตฺตํ ปเวเสตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ วสา เมถุนราคสฺส เสวมานสฺสาติ เมถุนราเคน วีติกฺกมนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘สนฺถเตนา’’ติอาทินา วุตฺตปฺปกาโร เอตฺถาปิ โยเชตโพฺพฯ
19.Avasesasarīrasminti kaṇṇacchiddādiyathāvuttasarīrāvayavavajjitasarīrappadese. Tenāha ‘‘upakacchūrukādisū’’ti upakacchaṃ nāma bāhumūlantaraṃ. Ūrukādisūti ūruvemajjhādīsu. Ādi-saddena vuttāvasesaṃ sarīrappadesaṃ saṅgaṇhāti. ‘‘Aṅgajāta’’nti ānetvā sambandhitabbaṃ. ‘‘Pavesetvā’’ti sāmatthiyā labbhati, aṅgajātaṃ tilabījamattaṃ pavesetvāti vuttaṃ hoti. Vasā methunarāgassa sevamānassāti methunarāgena vītikkamantassāti attho. ‘‘Santhatenā’’tiādinā vuttappakāro etthāpi yojetabbo.
๒๐. อสฺสโคมหิสาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน โคกณฺณควชาทโย สงฺคหิตาฯ อสฺสาทโย ปากฎาเยวฯ ‘‘มตาน’’นฺติ วกฺขมานตฺตา ‘‘ชีวมานาน’’นฺติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ เสวนฺติ ‘‘วสา เมถุนราคสฺสา’’ติ อนุวตฺตมานตฺตา เมถุนราควเสน ติลพีชมตฺตมฺปิ องฺคชาตปฺปเทสํ ปเวเสโนฺต ถุลฺลจฺจยํ ผุเสติ โยชนาฯ เอตฺถ จ ‘‘โอฎฺฐคทฺรภทนฺตีนํ, อสฺสโคมหิสาทิน’’นฺติ ปาเฐน ภวิตพฺพํฯ เอวญฺหิ สติ อฎฺฐกถาวสาเน นิทฺทิเฎฺฐน ปการตฺถวาจินา อาทิ-สเทฺทน ถุลฺลจฺจยวีติกฺกมารหนาสาวตฺถิโกสวโนฺต อวุตฺตา สเพฺพปิ สตฺตา คยฺหนฺติฯ ‘‘อสฺสโคมหิสาทีน’’นฺติ ปฐมปาทาวสาเน นิทฺทิเฎฺฐน อาทิ-สเทฺทน โอฎฺฐคทฺรภทนฺตีนมฺปิ สงฺคโห โหตีติ เตสํ ปุนวจนํ นิรตฺถกํ สิยาติฯ
20.Assagomahisādīnanti ādi-saddena gokaṇṇagavajādayo saṅgahitā. Assādayo pākaṭāyeva. ‘‘Matāna’’nti vakkhamānattā ‘‘jīvamānāna’’nti sāmatthiyā labbhati. Sevanti ‘‘vasā methunarāgassā’’ti anuvattamānattā methunarāgavasena tilabījamattampi aṅgajātappadesaṃ pavesento thullaccayaṃ phuseti yojanā. Ettha ca ‘‘oṭṭhagadrabhadantīnaṃ, assagomahisādina’’nti pāṭhena bhavitabbaṃ. Evañhi sati aṭṭhakathāvasāne niddiṭṭhena pakāratthavācinā ādi-saddena thullaccayavītikkamārahanāsāvatthikosavanto avuttā sabbepi sattā gayhanti. ‘‘Assagomahisādīna’’nti paṭhamapādāvasāne niddiṭṭhena ādi-saddena oṭṭhagadrabhadantīnampi saṅgaho hotīti tesaṃ punavacanaṃ niratthakaṃ siyāti.
๒๑. ตถา เสวมานสฺส ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ สพฺพติรจฺฉานนฺติ ติริยํ อญฺจนฺติ วฑฺฒนฺตีติ ติรจฺฉา, สเพฺพ จ เต ติรจฺฉาจาติ สพฺพติรจฺฉา, เตสํ สพฺพติรจฺฉานํฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘วสา เมถุนราคสฺสา’’ติอาทีนํ ปรามฎฺฐตฺตา สพฺพติรจฺฉานานํ อกฺขิอาทีสุ ติลพีชมตฺตมฺปิ องฺคชาตปฺปเทสํ เมถุนราเคน ปเวเสนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺถาปิ สนฺถตาทิวิกเปฺป นิโทฺทสภาโว น สกฺกา วตฺตุนฺติ ตมฺปิ โยเชตพฺพํฯ
21. Tathā sevamānassa dukkaṭanti sambandho. Sabbatiracchānanti tiriyaṃ añcanti vaḍḍhantīti tiracchā, sabbe ca te tiracchācāti sabbatiracchā, tesaṃ sabbatiracchānaṃ. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘vasā methunarāgassā’’tiādīnaṃ parāmaṭṭhattā sabbatiracchānānaṃ akkhiādīsu tilabījamattampi aṅgajātappadesaṃ methunarāgena pavesentassa dukkaṭanti vuttaṃ hoti. Etthāpi santhatādivikappe niddosabhāvo na sakkā vattunti tampi yojetabbaṃ.
๒๒. เอวํ ติรจฺฉานานํ ชีวมานกสรีเร ลพฺภมานา อาปตฺติโย ทเสฺสตฺวา เตสํเยว มตสรีเรปิ สมฺภวนกอาปตฺติโย ทเสฺสตุมาห ‘‘เตส’’นฺติอาทิฯ ‘‘เตส’’นฺติ อิมินา มนุสฺสติรจฺฉานคตานํ คหณนฺติ วทนฺติฯ มนุสฺสานํ มตามตสรีเร ปาราชิกถุลฺลจฺจยทุกฺกฎเกฺขเตฺตสุ ติสฺสนฺนํ อาปตฺตีนํ ทสฺสิตตฺตา, ปุน คหเณ ปโยชนาภาวา เต วเชฺชตฺวา อนุวตฺตมานสพฺพติรจฺฉานนฺติ อิมินา โยเชตพฺพํ, เตสํ สพฺพติรจฺฉานคตานนฺติ อโตฺถฯ อลฺลสรีเรสูติ อุทฺธุมาตกาทิภาวมสมฺปเตฺตสุ อลฺลมตสรีเรสุ ติวิเธ เขตฺตสฺมิํ อสนฺถเต, สนฺถเต วา สติ เมถุนราคสฺส วสา เสวโต ติวิธาปิ อาปตฺติ สิยาติ อนุวตฺตมานปเทหิ สห โยชนาฯ
22. Evaṃ tiracchānānaṃ jīvamānakasarīre labbhamānā āpattiyo dassetvā tesaṃyeva matasarīrepi sambhavanakaāpattiyo dassetumāha ‘‘tesa’’ntiādi. ‘‘Tesa’’nti iminā manussatiracchānagatānaṃ gahaṇanti vadanti. Manussānaṃ matāmatasarīre pārājikathullaccayadukkaṭakkhettesu tissannaṃ āpattīnaṃ dassitattā, puna gahaṇe payojanābhāvā te vajjetvā anuvattamānasabbatiracchānanti iminā yojetabbaṃ, tesaṃ sabbatiracchānagatānanti attho. Allasarīresūti uddhumātakādibhāvamasampattesu allamatasarīresu tividhe khettasmiṃ asanthate, santhate vā sati methunarāgassa vasā sevato tividhāpi āpatti siyāti anuvattamānapadehi saha yojanā.
ติวิเธ เขตฺตสฺมินฺติ มตมนุสฺสสรีเร วุตฺตนเยน อกฺขายิตเยภุยฺยกฺขายิตเภเท มคฺคตฺตยสงฺขาเต ปาราชิกเกฺขเตฺต จ เยภุยฺยกฺขายิตอุปฑฺฒกฺขายิตเภเท ตสฺมิํเยว มคฺคตฺตยสงฺขาเต จ, อกฺขายิตเยภุยฺยกฺขายิตเภเท กณฺณจฺฉิทฺทกฺขินาสาวตฺถิโกสวณสงฺขาเต จ ถุลฺลจฺจยเกฺขเตฺต อุปฑฺฒกฺขายิตเยภุยฺยกฺขายิตเภเท ตสฺมิํเยว กณฺณจฺฉิทฺทกฺขินาสาวตฺถิโกสวณสงฺขาเต จ, อกฺขายิตเยภุยฺยกฺขายิตอุปฑฺฒกฺขายิต เยภุยฺยกฺขายิตเภเท อวเสสสรีรสงฺขาเต ทุกฺกฎเกฺขเตฺต จาติ ติวิเธปิ เขเตฺตฯ สตีติ วิชฺชมาเนฯ สนฺถเต วา อสนฺถเต วา เมถุนราคสฺส วสา เสวโต ยถารหํ ปาราชิกถุลฺลจฺจยทุกฺกฎสงฺขาตา ติวิธา อาปตฺติ ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ
Tividhe khettasminti matamanussasarīre vuttanayena akkhāyitayebhuyyakkhāyitabhede maggattayasaṅkhāte pārājikakkhette ca yebhuyyakkhāyitaupaḍḍhakkhāyitabhede tasmiṃyeva maggattayasaṅkhāte ca, akkhāyitayebhuyyakkhāyitabhede kaṇṇacchiddakkhināsāvatthikosavaṇasaṅkhāte ca thullaccayakkhette upaḍḍhakkhāyitayebhuyyakkhāyitabhede tasmiṃyeva kaṇṇacchiddakkhināsāvatthikosavaṇasaṅkhāte ca, akkhāyitayebhuyyakkhāyitaupaḍḍhakkhāyita yebhuyyakkhāyitabhede avasesasarīrasaṅkhāte dukkaṭakkhette cāti tividhepi khette. Satīti vijjamāne. Santhate vā asanthate vā methunarāgassa vasā sevato yathārahaṃ pārājikathullaccayadukkaṭasaṅkhātā tividhā āpatti bhaveyyāti attho.
เอเตสเมว จ อุทฺธุมาตาทิภาวํ สมฺปเตฺต สรีเร สนฺถตาทิวุตฺตวิกปฺปยุเตฺตสุ ตีสุ มเคฺคสุ ยตฺถ กตฺถจิ เมถุนราเคน เสวโต อาปชฺชิตพฺพทุกฺกฎญฺจ อุทฺธุมาตาทิสมฺปเตฺต สพฺพตฺถาปิ จ ทุกฺกฎนฺติ มนุสฺสสรีเร วุตฺตนเยน วิญฺญาตุํ สกฺกาติ อิมสฺมิํ ติรจฺฉานคตสรีเร วิเสสมตฺตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เตสํ อลฺลสรีเรสู’’ติอาทีนํ วุตฺตตฺตา ทุกฺกฎํ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘กุถิตกุณเป ปน ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว สพฺพตฺถ ทุกฺกฎ’’นฺติฯ
Etesameva ca uddhumātādibhāvaṃ sampatte sarīre santhatādivuttavikappayuttesu tīsu maggesu yattha katthaci methunarāgena sevato āpajjitabbadukkaṭañca uddhumātādisampatte sabbatthāpi ca dukkaṭanti manussasarīre vuttanayena viññātuṃ sakkāti imasmiṃ tiracchānagatasarīre visesamattaṃ dassetuṃ ‘‘tesaṃ allasarīresū’’tiādīnaṃ vuttattā dukkaṭaṃ pubbe vuttanayena veditabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kuthitakuṇape pana pubbe vuttanayeneva sabbattha dukkaṭa’’nti.
๒๓. พหิ ฉุปนฺตสฺสาติ โยชนาฯ นิมิตฺตํ มุตฺตกรณํฯ ‘‘อิตฺถิยา’’ติ สามเญฺญน วุเตฺตปิ จตุตฺถคาถาย ‘‘ติรจฺฉานคติตฺถิยา’’ติ วกฺขมานตฺตา ปาริเสสโต อิมินา มนุสฺสามนุสฺสิตฺถีนเมว คหณํ, อิมินา อมนุสฺสิตฺถิยาปิ คหณสฺสฯ อิมิสฺสานนฺตรคาถาย อิโต ‘‘อิตฺถิยา’’ติ อนุวตฺติเต ตตฺราปิ อมนุสฺสิตฺถิยาปิ คหณํ สิยาติ ตมฺปิ วเชฺชตฺวา กายสํสคฺคสงฺฆาทิเสสสฺส วตฺถุภูตํ มนุสฺสิตฺถิเมว ทเสฺสตุํ ตตฺถ วุตฺตํ ‘‘อิตฺถิยา’’ติอธิกวจนเมว ญาปกนฺติ เวทิตพฺพํฯ
23. Bahi chupantassāti yojanā. Nimittaṃ muttakaraṇaṃ. ‘‘Itthiyā’’ti sāmaññena vuttepi catutthagāthāya ‘‘tiracchānagatitthiyā’’ti vakkhamānattā pārisesato iminā manussāmanussitthīnameva gahaṇaṃ, iminā amanussitthiyāpi gahaṇassa. Imissānantaragāthāya ito ‘‘itthiyā’’ti anuvattite tatrāpi amanussitthiyāpi gahaṇaṃ siyāti tampi vajjetvā kāyasaṃsaggasaṅghādisesassa vatthubhūtaṃ manussitthimeva dassetuṃ tattha vuttaṃ ‘‘itthiyā’’tiadhikavacanameva ñāpakanti veditabbaṃ.
มหาอฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๙-๖๐) ‘‘อิตฺถินิมิตฺตํ เมถุนราเคน มุเขน ฉุปติ, ถุลฺลจฺจย’’นฺติ สามเญฺญน วุตฺตตฺตา จ ธมฺมกฺขนฺธเก ‘‘น จ ภิกฺขเว รตฺตจิเตฺตน องฺคชาตํ ฉุปิตพฺพํ, โย ฉุเปยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๕๒) สามญฺญวจนโต จ อุทฺธุมาตาทิภาวมสมฺปตฺตาย อลฺลมตมนุสฺสิตฺถิยา จ อกฺขายิเต วา เยภุยฺยกฺขายิเต วา นิมิเตฺต สติ ปาราชิกวตฺถุภาวโต ตตฺถาปิ พหิ ฉุปนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยนฺติ อยมโตฺถปิ มตามตวิเสสํ อกตฺวา ‘‘อิตฺถิยา’’ติ อิมินาว สามญฺญวจเนน คเหตโพฺพฯ
Mahāaṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 1.59-60) ‘‘itthinimittaṃ methunarāgena mukhena chupati, thullaccaya’’nti sāmaññena vuttattā ca dhammakkhandhake ‘‘na ca bhikkhave rattacittena aṅgajātaṃ chupitabbaṃ, yo chupeyya, āpatti thullaccayassā’’ti (mahāva. 252) sāmaññavacanato ca uddhumātādibhāvamasampattāya allamatamanussitthiyā ca akkhāyite vā yebhuyyakkhāyite vā nimitte sati pārājikavatthubhāvato tatthāpi bahi chupantassa thullaccayanti ayamatthopi matāmatavisesaṃ akatvā ‘‘itthiyā’’ti imināva sāmaññavacanena gahetabbo.
๒๔. นิมิเตฺตนาติ อตฺตโน องฺคชาเตนฯ มุเขนาติ ปกติมุเขนฯ นิมิตฺตํ อิตฺถิยาติ ชีวมานกมนุสฺสิตฺถิยา องฺคชาตํฯ ยสฺมา ปน กายสํสคฺคสิกฺขาปทวินีตวตฺถูสุ มติตฺถิวตฺถุมฺหิ มติตฺถิยา สรีเร กายสํสคฺคราเคน โย ฉุปติ, ตสฺส ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ สงฺฆาทิเสสสฺส, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปารา. ๒๘๑) วุตฺตตฺตา มตมนุสฺสิตฺถี น คเหตพฺพาฯ ตเถว ยกฺขิวตฺถุมฺหิ กายสํสคฺคราเคน ยกฺขินิยา สรีรํ เยน ผุฎฺฐํ, ตสฺส ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ สงฺฆาทิเสสสฺส, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ วุตฺตตฺตา, อิเธว อุปริ ทุติยสงฺฆาทิเสเส ‘‘ปณฺฑเก ยกฺขิเปตีสุ, ตสฺส ถุลฺลจฺจยํ สิยา’’ติ (วิ. วิ. ๓๔๑) วกฺขมานตฺตา จ อมนุสฺสิตฺถีปิ น คเหตพฺพาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ชีวมานกมนุสฺสิตฺถิยา องฺคชาต’’นฺติฯ อโนฺต ปเวเสตุกามตาย สติ กายสํสคฺคราคาสมฺภวโต ‘‘กายสํสคฺคราเคนา’’ติ อิมินา จ พหิ ฉุปิตุกามตา วิญฺญายตีติ ‘‘พหี’’ติ อนุวตฺตนํ วินาปิ ตทโตฺถ ลพฺภติฯ ครุกนฺติ สงฺฆาทิเสโสฯ
24.Nimittenāti attano aṅgajātena. Mukhenāti pakatimukhena. Nimittaṃ itthiyāti jīvamānakamanussitthiyā aṅgajātaṃ. Yasmā pana kāyasaṃsaggasikkhāpadavinītavatthūsu matitthivatthumhi matitthiyā sarīre kāyasaṃsaggarāgena yo chupati, tassa ‘‘anāpatti bhikkhu saṅghādisesassa, āpatti thullaccayassā’’ti (pārā. 281) vuttattā matamanussitthī na gahetabbā. Tatheva yakkhivatthumhi kāyasaṃsaggarāgena yakkhiniyā sarīraṃ yena phuṭṭhaṃ, tassa ‘‘anāpatti bhikkhu saṅghādisesassa, āpatti thullaccayassā’’ti vuttattā, idheva upari dutiyasaṅghādisese ‘‘paṇḍake yakkhipetīsu, tassa thullaccayaṃ siyā’’ti (vi. vi. 341) vakkhamānattā ca amanussitthīpi na gahetabbā. Tena vuttaṃ ‘‘jīvamānakamanussitthiyā aṅgajāta’’nti. Anto pavesetukāmatāya sati kāyasaṃsaggarāgāsambhavato ‘‘kāyasaṃsaggarāgenā’’ti iminā ca bahi chupitukāmatā viññāyatīti ‘‘bahī’’ti anuvattanaṃ vināpi tadattho labbhati. Garukanti saṅghādiseso.
๒๕. ตเถว พหิ ฉุปนฺตสฺสาติ โยชนา, อโนฺต อปฺปเวเสตฺวา พหิเยว ฉุปนฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ อุภยราเคนาติ กายสํสคฺคราเคน, เมถุนราเคน วาฯ ปุริสสฺสาปีติ ชีวมานกปุริสสฺสปิฯ ปิ-สโทฺท น เกวลํ วุตฺตนเยน อิตฺถิยา นิมิตฺตํ ผุสนฺตเสฺสว อาปตฺติ, อถ โข ปุริสสฺสาปีติ ทีเปติฯ ‘‘นิมิตฺต’’นฺติ มุตฺตกรณเมว วุจฺจติฯ ‘‘ชีวมานกปุริสสฺสา’’ติ อยํ วิเสโส กุโต ลพฺภตีติ เจ? ‘‘กายสํสคฺคราเคน วา เมถุนราเคน วา ชีวมานกปุริสสฺส วตฺถิโกสํ อปฺปเวเสโนฺต นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ ฉุปติ, ทุกฺกฎ’’นฺติ อิโต อฎฺฐกถาวจนโต (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๙-๖๐) ลพฺภติฯ
25. Tatheva bahi chupantassāti yojanā, anto appavesetvā bahiyeva chupantassāti vuttaṃ hoti. Ubhayarāgenāti kāyasaṃsaggarāgena, methunarāgena vā. Purisassāpīti jīvamānakapurisassapi. Pi-saddo na kevalaṃ vuttanayena itthiyā nimittaṃ phusantasseva āpatti, atha kho purisassāpīti dīpeti. ‘‘Nimitta’’nti muttakaraṇameva vuccati. ‘‘Jīvamānakapurisassā’’ti ayaṃ viseso kuto labbhatīti ce? ‘‘Kāyasaṃsaggarāgena vā methunarāgena vā jīvamānakapurisassa vatthikosaṃ appavesento nimittena nimittaṃ chupati, dukkaṭa’’nti ito aṭṭhakathāvacanato (pārā. aṭṭha. 1.59-60) labbhati.
๒๖. อจิรวติตรนฺตานํ คุนฺนํ ปิฎฺฐิํ อภิรุหนฺตา ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู เมถุนราเคน องฺคชาเตน องฺคชาตํ ฉุปิํสูติ อิมสฺมิํ วตฺถุมฺหิ ‘‘น จ ภิกฺขเว รตฺตจิเตฺตน องฺคชาตํ ฉุปิตพฺพํ, โย ฉุเปยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๕๒) อาคตนยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘นิมิเตฺตนา’’ติอาทิฯ เอตฺถาปิ ‘‘ตถา’’ติ อิมสฺสานุวตฺตนโต ‘‘พหี’’ติ ลพฺภติฯ อตฺตโน นิมิเตฺตน ติรจฺฉานคติตฺถิยา นิมิตฺตํ เมถุนราคโต พหิ ฉุปนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยํ โหตีติ โยชนาฯ
26. Aciravatitarantānaṃ gunnaṃ piṭṭhiṃ abhiruhantā chabbaggiyā bhikkhū methunarāgena aṅgajātena aṅgajātaṃ chupiṃsūti imasmiṃ vatthumhi ‘‘na ca bhikkhave rattacittena aṅgajātaṃ chupitabbaṃ, yo chupeyya, āpatti thullaccayassā’’ti (mahāva. 252) āgatanayaṃ dassetumāha ‘‘nimittenā’’tiādi. Etthāpi ‘‘tathā’’ti imassānuvattanato ‘‘bahī’’ti labbhati. Attano nimittena tiracchānagatitthiyā nimittaṃ methunarāgato bahi chupantassa thullaccayaṃ hotīti yojanā.
๒๗. ‘‘เมถุนราคโต’’ติ อิมินา พฺยวจฺฉินฺนมตฺถํ ทเสฺสตุมาห ‘‘กายสํสคฺคราเคนา’’ติอาทิฯ เอตฺถาปิ ‘‘กายสํสคฺคราเคนา’’ติวจนสามตฺถิยา พหิ ฉุปนํ เวทิตพฺพํฯ นิมิตฺตสฺสาติ ปสฺสาวมคฺคสฺสฯ ฉุปเนติ ผุสเนฯ
27. ‘‘Methunarāgato’’ti iminā byavacchinnamatthaṃ dassetumāha ‘‘kāyasaṃsaggarāgenā’’tiādi. Etthāpi ‘‘kāyasaṃsaggarāgenā’’tivacanasāmatthiyā bahi chupanaṃ veditabbaṃ. Nimittassāti passāvamaggassa. Chupaneti phusane.
๒๘. ตมาวฎฺฎกเตติ เอตฺถ ‘‘ตํ อาวฎฺฎกเต’’ติ ปทเจฺฉโทฯ อาวฎฺฎกเตติ วิวเฎฯ ‘‘มุเข’’ติ สมฺพนฺธิสทฺทตฺตา, อญฺญสฺส สมฺพนฺธิโน จ อนิทฺทิฎฺฐตฺตา สุตานุโลมิกานํ สุตสมฺพนฺธเสฺสว พลวตฺตา จ ปุริมานนฺตรคาถาย ‘‘ติรจฺฉานคติตฺถิยา มุเข’’ติ กิญฺจาปิ สุตเสฺสว สมฺพโนฺธ วิญฺญายติ, ตถาปิ อิมาย คาถาย วินีตวตฺถุมฺหิ (ปารา. ๗๓) ‘‘อญฺญตโร ภิกฺขุ สิวถิกํ คนฺตฺวา ฉินฺนสีสํ ปสฺสิตฺวา วฎฺฎกเต มุเข อจฺฉุปนฺตํ องฺคชาตํ ปเวเสสี’’ติ ทสฺสิตฉินฺนสีสวตฺถุสฺส สงฺคหิตตฺตา มนุสฺสมุขเมว คเหตพฺพํ สิยาฯ ติรจฺฉานคตานํ, ปน อมนุสฺสานญฺจ มุเข ตถา ปเวโส นิโทฺทโสติ วตฺตุมสกฺกุเณยฺยตฺตา ตตฺถาปิ อิทเมว อุปลกฺขณนฺติ ปาราชิกปฺปโหนกานํ สเพฺพสํ มุเขติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตํ องฺคชาตํฯ ตตฺถ อาวฎฺฎกเต ปาราชิกปฺปโหนกานํ มุเข อากาสคตํ กตฺวา กตฺถจิ อผุสาเปตฺวา นีหรนฺตสฺส อุกฺขิปนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ อถ วา ติรจฺฉานานํ อาวฎฺฎกเต มุเขติ โยเชตฺวา ตทญฺญสงฺคโห อุปลกฺขณวเสน กาตโพฺพฯ
28.Tamāvaṭṭakateti ettha ‘‘taṃ āvaṭṭakate’’ti padacchedo. Āvaṭṭakateti vivaṭe. ‘‘Mukhe’’ti sambandhisaddattā, aññassa sambandhino ca aniddiṭṭhattā sutānulomikānaṃ sutasambandhasseva balavattā ca purimānantaragāthāya ‘‘tiracchānagatitthiyā mukhe’’ti kiñcāpi sutasseva sambandho viññāyati, tathāpi imāya gāthāya vinītavatthumhi (pārā. 73) ‘‘aññataro bhikkhu sivathikaṃ gantvā chinnasīsaṃ passitvā vaṭṭakate mukhe acchupantaṃ aṅgajātaṃ pavesesī’’ti dassitachinnasīsavatthussa saṅgahitattā manussamukhameva gahetabbaṃ siyā. Tiracchānagatānaṃ, pana amanussānañca mukhe tathā paveso niddosoti vattumasakkuṇeyyattā tatthāpi idameva upalakkhaṇanti pārājikappahonakānaṃ sabbesaṃ mukheti daṭṭhabbaṃ. Taṃ aṅgajātaṃ. Tattha āvaṭṭakate pārājikappahonakānaṃ mukhe ākāsagataṃ katvā katthaci aphusāpetvā nīharantassa ukkhipantassa dukkaṭanti yojanā. Atha vā tiracchānānaṃ āvaṭṭakate mukheti yojetvā tadaññasaṅgaho upalakkhaṇavasena kātabbo.
๒๙. ตถาติ ‘‘อากาสคตํ กตฺวา’’ติ ยถาวุตฺตปฺปการํ ปรามสติฯ จตูหิ ปเสฺสหีติ สหเตฺถ กรณวจนํฯ ‘‘ปเสฺสหี’’ติ สมฺพนฺธิสทฺทตฺตา ‘‘นิมิตฺตสฺสา’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ ‘‘อิตฺถิยา’’ติ สามญฺญสทฺทตฺตา ‘‘สพฺพสฺสา’’ติ ปาฐเสโสฯ ชาติวาจกตฺตา เอกวจนํฯ ‘‘จตูหิ ปเสฺสหิ, เหฎฺฐิมตฺตล’’นฺติ จ อิเมสํ สมฺพนฺธิปทสฺส อนิเทฺทเสปิ เมถุนปาราชิกาธิการตฺตา จ สนฺถตจตุกฺกสฺส อฎฺฐกถาวสาเน อิมาย คาถาย สงฺคหิตสฺส อิมสฺส วินิจฺฉยสฺส ปริโยสาเน ‘‘ยถา จ อิตฺถินิมิเตฺต วุตฺตํ, เอวํ สพฺพตฺถ ลกฺขณํ เวทิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๖๑-๖๒) นิมิตฺตวินิจฺฉยสฺสาติเทสสฺส กตตฺตา จ สามตฺถิเยน ‘‘นิมิตฺตสฺสา’’ติ ลพฺภติฯ อิทเมว ‘‘ปเวเสตฺวา’’ติ เอตสฺส อาธารวเสน คเหตพฺพํฯ ‘‘องฺคชาต’’นฺติ อนุวตฺตติฯ
29.Tathāti ‘‘ākāsagataṃ katvā’’ti yathāvuttappakāraṃ parāmasati. Catūhi passehīti sahatthe karaṇavacanaṃ. ‘‘Passehī’’ti sambandhisaddattā ‘‘nimittassā’’ti sāmatthiyā labbhati. ‘‘Itthiyā’’ti sāmaññasaddattā ‘‘sabbassā’’ti pāṭhaseso. Jātivācakattā ekavacanaṃ. ‘‘Catūhi passehi, heṭṭhimattala’’nti ca imesaṃ sambandhipadassa aniddesepi methunapārājikādhikārattā ca santhatacatukkassa aṭṭhakathāvasāne imāya gāthāya saṅgahitassa imassa vinicchayassa pariyosāne ‘‘yathā ca itthinimitte vuttaṃ, evaṃ sabbattha lakkhaṇaṃ veditabba’’nti (pārā. aṭṭha. 1.61-62) nimittavinicchayassātidesassa katattā ca sāmatthiyena ‘‘nimittassā’’ti labbhati. Idameva ‘‘pavesetvā’’ti etassa ādhāravasena gahetabbaṃ. ‘‘Aṅgajāta’’nti anuvattati.
เอวํ วากฺยํ ปูเรตฺวา ‘‘ยถา อาวฎฺฎกเต มุเข องฺคชาตํ ปเวเสตฺวา ตมากาสคตํ กตฺวา นีหรนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, ตถา สพฺพสฺสา อิตฺถิยา นิมิเตฺต ปสฺสาวมคฺคสงฺขาเต องฺคชาตํ ปเวเสตฺวา ตสฺส จตูหิ ปเสฺสหิ สห เหฎฺฐิมตฺตลํ จตฺตาโร ปเสฺส, เหฎฺฐิมตฺตลญฺจ อจฺฉุปนฺตํ อากาสคตํ กตฺวา นีหรนฺตสฺส ทุกฺกฎ’’นฺติ โยเชตฺวา อโตฺถ วตฺตโพฺพฯ
Evaṃ vākyaṃ pūretvā ‘‘yathā āvaṭṭakate mukhe aṅgajātaṃ pavesetvā tamākāsagataṃ katvā nīharantassa dukkaṭaṃ, tathā sabbassā itthiyā nimitte passāvamaggasaṅkhāte aṅgajātaṃ pavesetvā tassa catūhi passehi saha heṭṭhimattalaṃ cattāro passe, heṭṭhimattalañca acchupantaṃ ākāsagataṃ katvā nīharantassa dukkaṭa’’nti yojetvā attho vattabbo.
๓๐. อุปฺปาฎิโตฎฺฐมํเสสูติ อุปฺปาฎิตํ โอฎฺฐมํสํ เยสนฺติ วิคฺคโหฯ เตสุ ทเนฺตสุฯ พหินิกฺขนฺตเกสุ วาติ ปกติยา โอฎฺฐมํสโต พหิ นิกฺขมิตฺวา ฐิเตสุ วา ทเนฺตสุฯ วายมนฺตสฺสาติ องฺคชาเตน ฉุปนฺตสฺสฯ
30.Uppāṭitoṭṭhamaṃsesūti uppāṭitaṃ oṭṭhamaṃsaṃ yesanti viggaho. Tesu dantesu. Bahinikkhantakesu vāti pakatiyā oṭṭhamaṃsato bahi nikkhamitvā ṭhitesu vā dantesu. Vāyamantassāti aṅgajātena chupantassa.
๓๑. อฎฺฐิสงฺฆฎฺฎนํ กตฺวาติ นิมิตฺตมํสสนฺนิสฺสยานิ อฎฺฐีนิ สงฺฆเฎฺฎตฺวาฯ มเคฺคติ อฎฺฐิสงฺฆาตมเย มเคฺคฯ ทุวิธราคโตติ เมถุนราเคน วา กายสํสคฺคราเคน วาฯ วายมนฺตสฺสาติ องฺคชาตํ ปเวเสตฺวา จาเรนฺตสฺสฯ
31.Aṭṭhisaṅghaṭṭanaṃ katvāti nimittamaṃsasannissayāni aṭṭhīni saṅghaṭṭetvā. Maggeti aṭṭhisaṅghātamaye magge. Duvidharāgatoti methunarāgena vā kāyasaṃsaggarāgena vā. Vāyamantassāti aṅgajātaṃ pavesetvā cārentassa.
๓๒. อาลิงฺคนฺตสฺสาติ ปริสฺสชนฺตสฺสฯ หตฺถคาหาทีสุ หโตฺถ นาม กปฺปรโต ปฎฺฐาย ยาว อคฺคนขาฯ หตฺถสฺส, ตปฺปฎิพนฺธสฺส จ คหณํ หตฺถคฺคาโหฯ อวเสสสรีรสฺส, ตปฺปฎิพนฺธสฺส จ ปรามสนํ ปรามาโสฯ นิสฺสเนฺทเห ปน ‘‘มาตุคามสฺส สรีรสฺส วา ตปฺปฎิพนฺธสฺส วา หเตฺถน คหณํ หตฺถคฺคาโห’’ติ วุตฺตํ, ตํ อฎฺฐกถาย น สเมติฯ ตสฺมา ยถาวุตฺตนยเสฺสว อฎฺฐกถาสุ อาคตตฺตา โสเยว สารโต ปเจฺจตโพฺพฯ ปรามเสปิ ‘‘หเตฺถน สรีรสฺส, ตปฺปฎิพนฺธสฺส จ ปรามสน’’นฺติ ยํ ตตฺถ วุตฺตํ, ตมฺปิ น ยุชฺชติฯ อวเสสสรีราวยเวนาปิ ปรามสโต ทุกฺกฎเมว โหตีติฯ จุมฺพนาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน เวณิคฺคาหาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ‘‘อยํ นโย’’ติ เอเตน ‘‘อิตฺถิยา เมถุนราเคน หตฺถคฺคาหาทีสุ ทุกฺกฎ’’นฺติ อิมมตฺถํ อติทิสติฯ
32.Āliṅgantassāti parissajantassa. Hatthagāhādīsu hattho nāma kapparato paṭṭhāya yāva agganakhā. Hatthassa, tappaṭibandhassa ca gahaṇaṃ hatthaggāho. Avasesasarīrassa, tappaṭibandhassa ca parāmasanaṃ parāmāso. Nissandehe pana ‘‘mātugāmassa sarīrassa vā tappaṭibandhassa vā hatthena gahaṇaṃ hatthaggāho’’ti vuttaṃ, taṃ aṭṭhakathāya na sameti. Tasmā yathāvuttanayasseva aṭṭhakathāsu āgatattā soyeva sārato paccetabbo. Parāmasepi ‘‘hatthena sarīrassa, tappaṭibandhassa ca parāmasana’’nti yaṃ tattha vuttaṃ, tampi na yujjati. Avasesasarīrāvayavenāpi parāmasato dukkaṭameva hotīti. Cumbanādīsūti ādi-saddena veṇiggāhādiṃ saṅgaṇhāti. ‘‘Ayaṃ nayo’’ti etena ‘‘itthiyā methunarāgena hatthaggāhādīsu dukkaṭa’’nti imamatthaṃ atidisati.
๓๓. มนุสฺสามนุเสฺสหิ อเญฺญสุ ติรจฺฉานคเตสุ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน เมถุนธมฺมปาราชิกวตฺถุภูเต สเตฺต ทเสฺสตุมาห ‘‘อปเท’’ติอาทิฯ ‘‘อปเท, ทฺวิปเท, จตุปฺปเท’’ติ อิเมหิ วิเสสเนหิ วิเสสิตพฺพํ ‘‘สตฺตนิกาเย’’ติ อิทํ วตฺตพฺพํฯ อปเท สตฺตนิกาเยฯ อหโยติ ถลจเรสุ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต หตฺถิคิลนเก อชคเร อุปาทาย เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน นาคา จฯ มจฺฉาติ ชลเชสุ อุปริมโกฎิยา ปญฺจสตโยชนิกานิ ติมิรปิงฺคลาทิมเจฺฉ อุปาทาย เหฎฺฐิมนฺตโต ปาฐีนปาวุสาทโย มจฺฉา จฯ ทฺวิปเท สตฺตนิกาเยฯ กโปตาติ อุปริมโกฎิยา ครุเฬ อุปาทาย เหฎฺฐิมนฺตโต กโปตากโปตปกฺขี จฯ ปาราวตาติ เกจิฯ จตุปฺปเท สตฺตนิกาเยฯ โคธาติ อุปริมโกฎิยา หตฺถิํ อุปาทาย เหฎฺฐิมนฺตโต โคธา จาติ อิเม สตฺตาฯ เหฎฺฐาติ เหฎฺฐิมปริเจฺฉทโตฯ ปาราชิกสฺสวตฺถูติ เมถุนธมฺมปาราชิกสฺส วตฺถูนีติ ปาฐเสโสฯ
33. Manussāmanussehi aññesu tiracchānagatesu heṭṭhimaparicchedena methunadhammapārājikavatthubhūte satte dassetumāha ‘‘apade’’tiādi. ‘‘Apade, dvipade, catuppade’’ti imehi visesanehi visesitabbaṃ ‘‘sattanikāye’’ti idaṃ vattabbaṃ. Apade sattanikāye. Ahayoti thalacaresu ukkaṭṭhaparicchedato hatthigilanake ajagare upādāya heṭṭhimaparicchedena nāgā ca. Macchāti jalajesu uparimakoṭiyā pañcasatayojanikāni timirapiṅgalādimacche upādāya heṭṭhimantato pāṭhīnapāvusādayo macchā ca. Dvipade sattanikāye. Kapotāti uparimakoṭiyā garuḷe upādāya heṭṭhimantato kapotākapotapakkhī ca. Pārāvatāti keci. Catuppade sattanikāye. Godhāti uparimakoṭiyā hatthiṃ upādāya heṭṭhimantato godhā cāti ime sattā. Heṭṭhāti heṭṭhimaparicchedato. Pārājikassavatthūti methunadhammapārājikassa vatthūnīti pāṭhaseso.
๓๔. เสเวตุกามตา เมถุนเสวาย ตณฺหา, ตาย เมถุนราคสงฺขาตาย สมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ เสเวตุกามตาจิตฺตํฯ มเคฺคติ วจฺจมคฺคาทีนํ อญฺญตเร มเคฺคฯ มคฺคสฺส อตฺตโน มุตฺตกรณสฺส ปเวสนํฯ ปพฺพชฺชาย, ปาติโมกฺขสํวรสีลสฺส วา อเนฺต วินาเส ภโวติ อนฺติโม, ปาราชิกาปโนฺน ปุคฺคโล, ตสฺส วตฺถุ อนฺติมภาวสฺส การณตฺตา ปาราชิกาปตฺติ อนฺติมวตฺถูติ วุจฺจติ, ตเทว ปฐมํ จตุนฺนํ ปาราชิกานํ อาทิมฺหิ เทสิตตฺตา ปฐมนฺติมวตฺถุ, ตสฺส ปฐมนฺติมวตฺถุโน, ปฐมปาราชิกสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ
34.Sevetukāmatā methunasevāya taṇhā, tāya methunarāgasaṅkhātāya sampayuttaṃ cittaṃ sevetukāmatācittaṃ. Maggeti vaccamaggādīnaṃ aññatare magge. Maggassa attano muttakaraṇassa pavesanaṃ. Pabbajjāya, pātimokkhasaṃvarasīlassa vā ante vināse bhavoti antimo, pārājikāpanno puggalo, tassa vatthu antimabhāvassa kāraṇattā pārājikāpatti antimavatthūti vuccati, tadeva paṭhamaṃ catunnaṃ pārājikānaṃ ādimhi desitattā paṭhamantimavatthu, tassa paṭhamantimavatthuno, paṭhamapārājikassāti vuttaṃ hoti.
๓๕. สามนฺตา อาปตฺติสมีเป ภวํ สามนฺตํ, ปาราชิกาปตฺติยา สมีเป ปุพฺพภาเค ภวนฺติ อโตฺถฯ เสสานํ ปน ติณฺณมฺปีติ อวเสสานํ อทินฺนาทานาทีนํ ติณฺณํ ปาราชิกธมฺมานํฯ ถุลฺลจฺจยํ สามนฺตมิติ อุทีริตนฺติ สมฺพโนฺธฯ กถมุทีริตํ? ‘‘ผนฺทาเปติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปารา. ๙๔) ทุติเย, ‘‘มนุสฺสํ อุทฺทิสฺส โอปาตํ ขณติ, ปติตฺวา ทุกฺขเวทนํ อุปฺปาเทติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ, ตติเย, ‘‘ปฎิวิชานนฺตสฺส อาปตฺติ ปาราชิกสฺส, อปฺปฎิวิชานนฺตสฺส อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปารา. ๒๑๕) จตุเตฺถ สมุทีริตํฯ
35. Sāmantā āpattisamīpe bhavaṃ sāmantaṃ, pārājikāpattiyā samīpe pubbabhāge bhavanti attho. Sesānaṃ pana tiṇṇampīti avasesānaṃ adinnādānādīnaṃ tiṇṇaṃ pārājikadhammānaṃ. Thullaccayaṃ sāmantamiti udīritanti sambandho. Kathamudīritaṃ? ‘‘Phandāpeti, āpatti thullaccayassā’’ti (pārā. 94) dutiye, ‘‘manussaṃ uddissa opātaṃ khaṇati, patitvā dukkhavedanaṃ uppādeti, āpatti thullaccayassā’’ti, tatiye, ‘‘paṭivijānantassa āpatti pārājikassa, appaṭivijānantassa āpatti thullaccayassā’’ti (pārā. 215) catutthe samudīritaṃ.
เอตฺถ จ จตุตฺถปาราชิกสฺส ถุลฺลจฺจยาปตฺติยา สามนฺตาปตฺติภาโว ยสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ สมุลฺลปติ, โส ยาว น ปฎิวิชานาติ, ตาว สมุลฺลปนปจฺจยา ถุลฺลจฺจยาปตฺติสมฺภาเว, สมุลฺลปิเต ตสฺมิํ สมุลฺลปิตมเตฺถ ปฎิวิชานเนฺต ปาราชิกาปตฺติสมฺภาเว จ ยุชฺชติฯ โส จ ‘‘อปฺปฎิวิชานนฺตสฺส วุเตฺต ถุลฺลจฺจย’’นฺติ อิมินาว สงฺคหิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Ettha ca catutthapārājikassa thullaccayāpattiyā sāmantāpattibhāvo yassa uttarimanussadhammaṃ samullapati, so yāva na paṭivijānāti, tāva samullapanapaccayā thullaccayāpattisambhāve, samullapite tasmiṃ samullapitamatthe paṭivijānante pārājikāpattisambhāve ca yujjati. So ca ‘‘appaṭivijānantassa vutte thullaccaya’’nti imināva saṅgahitoti daṭṭhabbaṃ.
๓๖. อชานนฺตสฺส วาตูปตฺถทฺธํ องฺคชาตํ ทิสฺวา อตฺตโน รุจิยา วีติกฺกมํ กตฺวา มาตุคาเมสุ คจฺฉเนฺตสุ อชานมานสฺส, มหาวเน ทิวา นิทฺทุปคตภิกฺขุโน วิย ปเรหิ กิริยมานํ อชานนฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ ตเถวาติ อิมินา ‘‘อนาปตฺตีติ ญาตพฺพ’’นฺติ อิทมากฑฺฒติฯ อสฺสาทิยนฺตสฺสาติ ภิกฺขุปจฺจตฺถิเกสุ อภิภวิตฺวา วีติกฺกมํ กโรเนฺตสุ จ การาเปเนฺตสุ จ, สปฺปมุขํ ปวิฎฺฐกาเล วิย อุตฺตสิตฺวา อนธิวาเสนฺตสฺส จ, มหาวเน ทิวาวิหาโรปคตภิกฺขุโน วิย ปโรปกฺกมํ ญตฺวาปิ กาเย อาทิตฺตอคฺคินา วิย อุตฺตสิตฺวา อนธิวาเสนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘อชานนฺตสฺสา’’ติ เอตฺถ อปิ-สโทฺท โยเชตโพฺพฯ พุทฺธสาสเน ขีรสาครสลิลนิมฺมเล สพฺพปฐมํ ปาตุภูตตฺตา อาทิ จ ตํ วีติกฺกมสงฺขาตํ กมฺมญฺจาติ อาทิกมฺมํ, ตํ เอตสฺส อตฺถีติ อาทิกมฺมี, เอตฺถ สุทิโนฺน ภิกฺขุ, ตสฺส อาทิกมฺมิโนติ คเหตโพฺพฯ อุปริปิ อิเมสํ ปทานํ อาคตาคตฎฺฐาเน อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิธ จ อุปริ สพฺพสิกฺขาปเทสุ จ นิทานาทิวเสน สตฺตรสวิโธ สาธารณวินิจฺฉโย ปกิณฺณเก สเงฺขปโต, อุตฺตเร วิตฺถารโต จ อาวิ ภวิสฺสติฯ ตสฺมา เอตฺถ น ทสฺสิโตติ เวทิตพฺพํฯ
36.Ajānantassa vātūpatthaddhaṃ aṅgajātaṃ disvā attano ruciyā vītikkamaṃ katvā mātugāmesu gacchantesu ajānamānassa, mahāvane divā niddupagatabhikkhuno viya parehi kiriyamānaṃ ajānantassāti vuttaṃ hoti. Tathevāti iminā ‘‘anāpattīti ñātabba’’nti idamākaḍḍhati. Assādiyantassāti bhikkhupaccatthikesu abhibhavitvā vītikkamaṃ karontesu ca kārāpentesu ca, sappamukhaṃ paviṭṭhakāle viya uttasitvā anadhivāsentassa ca, mahāvane divāvihāropagatabhikkhuno viya paropakkamaṃ ñatvāpi kāye ādittaagginā viya uttasitvā anadhivāsentassāti attho. ‘‘Ajānantassā’’ti ettha api-saddo yojetabbo. Buddhasāsane khīrasāgarasalilanimmale sabbapaṭhamaṃ pātubhūtattā ādi ca taṃ vītikkamasaṅkhātaṃ kammañcāti ādikammaṃ, taṃ etassa atthīti ādikammī, ettha sudinno bhikkhu, tassa ādikamminoti gahetabbo. Uparipi imesaṃ padānaṃ āgatāgataṭṭhāne imināva nayena attho veditabbo. Idha ca upari sabbasikkhāpadesu ca nidānādivasena sattarasavidho sādhāraṇavinicchayo pakiṇṇake saṅkhepato, uttare vitthārato ca āvi bhavissati. Tasmā ettha na dassitoti veditabbaṃ.
๓๗-๓๘. วินเยติ วินยปิฎเกฯ อนยูปรเมติ เนติ ปาเปติ สีลสมฺปทํ สมาธิสมฺปทํ ปญฺญาสมฺปทญฺจาติ นโย, กายวจีทฺวาเรหิ อวีติกฺกมสงฺขาโต สํวโร, ตปฺปฎิปโกฺข อสํวโร อนโย นาม, ตสฺส อุปรโม นิวตฺติ เอตฺถาติ อนยูปรโม, วินโย, ตตฺถ อนยูปรเม วินเยฯ
37-38.Vinayeti vinayapiṭake. Anayūparameti neti pāpeti sīlasampadaṃ samādhisampadaṃ paññāsampadañcāti nayo, kāyavacīdvārehi avītikkamasaṅkhāto saṃvaro, tappaṭipakkho asaṃvaro anayo nāma, tassa uparamo nivatti etthāti anayūparamo, vinayo, tattha anayūparame vinaye.
ตโต เอว ปรเม อุกฺกเฎฺฐฯ อนยสฺส วา อุปรเม นิวตฺตเน ปรเม อุกฺกเฎฺฐติ คเหตพฺพํฯ ปรา อุตฺตมา มา สาสนสิรี เอตฺถาติ ปรโม, วินโยติ เอวมฺปิ คเหตพฺพํฯ ‘‘วินโย นาม สาสนสฺส อายู’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.ปฐมสงฺคีติกถา; ปารา. อฎฺฐ. ๑.ปฐมสงฺคีติกถา; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๕.มหาสงฺคีติกถา; เถรคา. อฎฺฐ. ๑.๒๕๑) วจนโต อุตฺตมสาสนสมฺปตฺติยุเตฺตติ อโตฺถฯ
Tato eva parame ukkaṭṭhe. Anayassa vā uparame nivattane parame ukkaṭṭheti gahetabbaṃ. Parā uttamā mā sāsanasirī etthāti paramo, vinayoti evampi gahetabbaṃ. ‘‘Vinayo nāma sāsanassa āyū’’ti (dī. ni. aṭṭha. 1.paṭhamasaṅgītikathā; pārā. aṭṭha. 1.paṭhamasaṅgītikathā; khu. pā. aṭṭha. 5.mahāsaṅgītikathā; theragā. aṭṭha. 1.251) vacanato uttamasāsanasampattiyutteti attho.
สุชนสฺสาติ โสภโณ ชโน สุชโน, สิกฺขากาโม อธิสีลสิกฺขาย โสภมาโน ปิยสีโล กุลปุโตฺต, ตสฺส นยเน นยนูปเม วินเยติ สมฺพโนฺธฯ อนยูปรมตฺตา, ปรมตฺตา จ สุชนสฺส กุลปุตฺตสฺส นยเน นยนูปเมฯ สุขานยเนติ โลกิยโลกุตฺตรเภทํ สุขํ อาเนตีติ สุขานยนํ, ตสฺมิํฯ อิทญฺจ ‘‘นยเน’’ติ เอตสฺส วิเสสนํฯ
Sujanassāti sobhaṇo jano sujano, sikkhākāmo adhisīlasikkhāya sobhamāno piyasīlo kulaputto, tassa nayane nayanūpame vinayeti sambandho. Anayūparamattā, paramattā ca sujanassa kulaputtassa nayane nayanūpame. Sukhānayaneti lokiyalokuttarabhedaṃ sukhaṃ ānetīti sukhānayanaṃ, tasmiṃ. Idañca ‘‘nayane’’ti etassa visesanaṃ.
เอตํ วิเสสนํ กิมตฺถนฺติ เจ? อุปมาภาเวน คหิตปกตินยนโต อิธ สมฺภวนฺตํ วิเสสํ ทเสฺสตุนฺติ เวทิตพฺพํฯ กตโร โส วิเสโสติ เจ? ปกตินยนํ ราคโทสาทิกิเลสูปนิสฺสโย หุตฺวา ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกทุกฺขสฺส จ ปจฺจโย โหติฯ อิทํ ปน วินยนยนํ อิมสฺส กุลปุตฺตสฺส เอวํ อหุตฺวา เอกํเสน โมกฺขาวหนสุขเสฺสว ปจฺจโย โหตีติ อิมสฺส วิเสสสฺส ทสฺสนตฺถํฯ ยถา วินยมวิราเธตฺวา ปฎิปชฺชเนน สิชฺฌนกสีลสํวรมูลกอวิปฺปฎิสาราทิอนุปาทิเสสปรินิพฺพานาวสา- นผลสมฺปตฺติวเสน อุปฺปชฺชนกโลกิยโลกุตฺตรสุขาวหเน วินเยติ วุตฺตํ โหติฯ
Etaṃ visesanaṃ kimatthanti ce? Upamābhāvena gahitapakatinayanato idha sambhavantaṃ visesaṃ dassetunti veditabbaṃ. Kataro so visesoti ce? Pakatinayanaṃ rāgadosādikilesūpanissayo hutvā diṭṭhadhammikasamparāyikadukkhassa ca paccayo hoti. Idaṃ pana vinayanayanaṃ imassa kulaputtassa evaṃ ahutvā ekaṃsena mokkhāvahanasukhasseva paccayo hotīti imassa visesassa dassanatthaṃ. Yathā vinayamavirādhetvā paṭipajjanena sijjhanakasīlasaṃvaramūlakaavippaṭisārādianupādisesaparinibbānāvasā- naphalasampattivasena uppajjanakalokiyalokuttarasukhāvahane vinayeti vuttaṃ hoti.
ปธานรโตติ เอตฺถ ‘‘อปี’’ติ ปาฐเสโสฯ ปธาเน วินยาภิโยเค รโตปิ, วินเย อชฺฌายนสวนจินฺตนาทิวเสน วายมโนฺตปีติ อโตฺถฯ อถ วา ‘‘วิราโค เสโฎฺฐ ธมฺมาน’’นฺติ (ธ. ป. ๒๗๓; เนตฺติ. ๑๗๐; กถา. ๘๗๒) วจนโต ปธานํ นิพฺพานํ, ตสฺมิํ รโตติ อโตฺถ ฯ สารมเตติ ‘‘สาร’’นฺติ อธิมเตฯ อถ วา สารํ อเผคฺคุมตํ มหาวิหารวาสีนํ อาจริยมตํ เอตฺถาติ ‘‘สารมโต’’ติ วินยวินิจฺฉโย วุโตฺต, ตสฺมิํฯ อิธาติ อิมสฺมิํ วินยวินิจฺฉเยฯ รโตติ อจฺจนฺตาภิรโตฯ ‘‘น รโต’’ติ เอตฺถ น-การํ ‘‘รมเต’’ติ โอสานปเทน โยเชตฺวา โย ปน น รมเตติ สมฺพโนฺธฯ
Padhānaratoti ettha ‘‘apī’’ti pāṭhaseso. Padhāne vinayābhiyoge ratopi, vinaye ajjhāyanasavanacintanādivasena vāyamantopīti attho. Atha vā ‘‘virāgo seṭṭho dhammāna’’nti (dha. pa. 273; netti. 170; kathā. 872) vacanato padhānaṃ nibbānaṃ, tasmiṃ ratoti attho . Sāramateti ‘‘sāra’’nti adhimate. Atha vā sāraṃ apheggumataṃ mahāvihāravāsīnaṃ ācariyamataṃ etthāti ‘‘sāramato’’ti vinayavinicchayo vutto, tasmiṃ. Idhāti imasmiṃ vinayavinicchaye. Ratoti accantābhirato. ‘‘Na rato’’ti ettha na-kāraṃ ‘‘ramate’’ti osānapadena yojetvā yo pana na ramateti sambandho.
เถรนวมชฺฌิมภิกฺขุภิกฺขุนีนํ อนฺตเร โย ปน ปุคฺคโล นิจฺจปริวตฺตนสวนานุสฺสรณจินฺตนวเสน น รมเต น กีฬติ, โส ปุคฺคโล วินเย ปธานรโตปิ วินยปิฎเก อชฺฌยนสวนาทิวเสน ยุตฺตปยุโตฺตปิ ปฎุ โหติ กิํ, น โหเตวาติ ทเสฺสติฯ วินยปิฎเก ปาฎวมากงฺขเนฺตหิ ปฐมํ ตาเวตฺถ สกฺกจฺจํ อภิโยโค กาตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ
Theranavamajjhimabhikkhubhikkhunīnaṃ antare yo pana puggalo niccaparivattanasavanānussaraṇacintanavasena na ramate na kīḷati, so puggalo vinaye padhānaratopi vinayapiṭake ajjhayanasavanādivasena yuttapayuttopi paṭu hoti kiṃ, na hotevāti dasseti. Vinayapiṭake pāṭavamākaṅkhantehi paṭhamaṃ tāvettha sakkaccaṃ abhiyogo kātabboti adhippāyo.
อิมเมวตฺถํ อานิสํสปารํปริยปโยชเนน สห ทเสฺสตุมาห ‘‘อิม’’นฺติอาทิฯ อิมนฺติ วุจฺจมานํ วินยวินิจฺฉยํ, ‘‘อเวที’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ‘‘โย’’ติ ปาฐเสโสฯ โย กุลปุโตฺต สติสมฺปชญฺญสทฺธาสมฺปโนฺน อิมํ วินยวินิจฺฉยํ สมฺมา อเวทิ อญฺญาสิฯ กิํ ภูตนฺติ อาห ‘‘หิตวิภาวน’’นฺติฯ โลกิยโลกุตฺตรสมฺปตฺติยา มูลสาธนตฺตา สีลมิธ หิตํ นาม, ตํ วิภาเวติ ปกาเสตีติ หิตวิภาวโนติ วิคฺคโหฯ ‘‘สีเล ปติฎฺฐาย…เป.… วิชฎเย ชฎ’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๒๓, ๑๙๒; มิ. ป. ๒.๑.๙) วุตฺตตฺตา สพฺพกิเลสชฎาวิชฎนโลกุตฺตรญาณสฺส ปทฎฺฐานโสปจารสาภิญฺญารูปารูปอฎฺฐสมาธีนํ ปทฎฺฐานตาย สพฺพโลกิยโลกุตฺตรคุณสมฺปทานํ มูลภูเตสุ จตุปาริสุทฺธิสีเลสุ ปธานํ ปาติโมกฺขสํวรสีลํ, ตปฺปกาสกตฺตา อยํ วินยวินิจฺฉโย ‘‘หิตวิภาวโน’’ติ วุโตฺตฯ
Imamevatthaṃ ānisaṃsapāraṃpariyapayojanena saha dassetumāha ‘‘ima’’ntiādi. Imanti vuccamānaṃ vinayavinicchayaṃ, ‘‘avedī’’ti iminā sambandho. ‘‘Yo’’ti pāṭhaseso. Yo kulaputto satisampajaññasaddhāsampanno imaṃ vinayavinicchayaṃ sammā avedi aññāsi. Kiṃ bhūtanti āha ‘‘hitavibhāvana’’nti. Lokiyalokuttarasampattiyā mūlasādhanattā sīlamidha hitaṃ nāma, taṃ vibhāveti pakāsetīti hitavibhāvanoti viggaho. ‘‘Sīle patiṭṭhāya…pe… vijaṭaye jaṭa’’nti (saṃ. ni. 1.23, 192; mi. pa. 2.1.9) vuttattā sabbakilesajaṭāvijaṭanalokuttarañāṇassa padaṭṭhānasopacārasābhiññārūpārūpaaṭṭhasamādhīnaṃ padaṭṭhānatāya sabbalokiyalokuttaraguṇasampadānaṃ mūlabhūtesu catupārisuddhisīlesu padhānaṃ pātimokkhasaṃvarasīlaṃ, tappakāsakattā ayaṃ vinayavinicchayo ‘‘hitavibhāvano’’ti vutto.
ภาวนนฺติ ภาวียติ ปุนปฺปุนํ เจตสิ นิเวสียตีติ ภาวโน, ภาวนีโยติ วุตฺตํ โหติฯ หิตวิภาวกตฺตาเยว หิตตฺถีหิ ปุนปฺปุนํ จิเตฺต วาเสตโพฺพติ วุตฺตํ โหติ, ตํ เอวํวิธํ วินยวินิจฺฉยํฯ สุรสมฺภวนฺติ รสียติ อสฺสาทียตีติ รโส, สทฺทรโส อตฺถรโส กรุณาทิรโส วิมุตฺติรโส จ, โสภโณ รโส เอตสฺสาติ สุรโส, วินยวินิจฺฉโย, ตํ สุรสํฯ ภวํ ภวนฺตํ, สนฺตนฺติ วุตฺตํ โหติ, สุรสํ สมานํ, สุรสํ ภูตนฺติ อโตฺถฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ‘‘สิเลโส ปสาโท สมตา มธุรตา สุขุมาลตา อตฺถพฺยตฺติ อุทารตา โอโช กนฺติ สมาธี’’ติ เอวํ วุเตฺตหิ กวิชเนหิ อสฺสาเทตพฺพสิเลสาทิทสวิธสทฺทชีวิตคุณสงฺขาตสทฺทรสสมฺปตฺตีหิ จ สภาวาขฺยานํ อุปมา รูปกํ ทีปกํ อาวุตฺตีติ เอวมาทิกฺกมนิทฺทิฎฺฐปญฺจติํสอตฺถาลงฺกาเรสุ อนุรูปสภาวาขฺยานาทิปฺปธานอตฺถาลงฺการสงฺขาตอตฺถรสสมฺปตฺตีหิ จ ยถาสมฺภวํ ปกาสิตพฺพกรุณารสอพฺภุตรสสนฺตรสาทีหิ จ ยุตฺตตฺตา สุรสํ อิมํ วินยวินิจฺฉยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Bhāvananti bhāvīyati punappunaṃ cetasi nivesīyatīti bhāvano, bhāvanīyoti vuttaṃ hoti. Hitavibhāvakattāyeva hitatthīhi punappunaṃ citte vāsetabboti vuttaṃ hoti, taṃ evaṃvidhaṃ vinayavinicchayaṃ. Surasambhavanti rasīyati assādīyatīti raso, saddaraso attharaso karuṇādiraso vimuttiraso ca, sobhaṇo raso etassāti suraso, vinayavinicchayo, taṃ surasaṃ. Bhavaṃ bhavantaṃ, santanti vuttaṃ hoti, surasaṃ samānaṃ, surasaṃ bhūtanti attho. Kiṃ vuttaṃ hoti? ‘‘Sileso pasādo samatā madhuratā sukhumālatā atthabyatti udāratā ojo kanti samādhī’’ti evaṃ vuttehi kavijanehi assādetabbasilesādidasavidhasaddajīvitaguṇasaṅkhātasaddarasasampattīhi ca sabhāvākhyānaṃ upamā rūpakaṃ dīpakaṃ āvuttīti evamādikkamaniddiṭṭhapañcatiṃsaatthālaṅkāresu anurūpasabhāvākhyānādippadhānaatthālaṅkārasaṅkhātaattharasasampattīhi ca yathāsambhavaṃ pakāsitabbakaruṇārasaabbhutarasasantarasādīhi ca yuttattā surasaṃ imaṃ vinayavinicchayanti vuttaṃ hoti.
อถ วา อิมินา ปกรเณน ปธานโต วิธียมานปาติโมกฺขสํวรสีลสฺส เอกเนฺตน สมาธิสํวตฺตนิกตฺตา สมาธิสฺส จ ปญฺญาย ปทฎฺฐานตฺตา ปญฺญาย จ นิพฺพานปาปนโต มูลการณํ หุตฺวา กเมน นิพฺพานามตผลรสสมฺปทายกํ อิมํ วินยวินิจฺฉยํ ปรมสฺสาทนียรูเปน ธิติวิมุตฺติรเสน สุรสภูตนฺติ วุตฺตํ โหตีติ จ เวทิตพฺพํฯ สมฺภวนฺติ เอตฺถ สํ วุจฺจติ สุขํ กายิกํ เจตสิกญฺจ, ตํ ภวติ เอตสฺมาติ สมฺภโว, วินยวินิจฺฉโย, ตํ, กายจิตฺตสุขานํ มูลการณภูตํ, วุตฺตนเยน สุรสตฺตา จ ยถาวุตฺตรสสมฺปทสารมหุสฺสเวน สมฺภูตมานสิกสุขสฺส, ตํสมุฎฺฐานรูปนิสฺสยกายิกสุขสฺส จ ปภวภูตนฺติ อโตฺถฯ เอตฺตาวตา อิมสฺส วินยวินิจฺฉยสฺส สมฺมา วิญฺญาตพฺพตาย การณํ ทสฺสิตํ โหติฯ
Atha vā iminā pakaraṇena padhānato vidhīyamānapātimokkhasaṃvarasīlassa ekantena samādhisaṃvattanikattā samādhissa ca paññāya padaṭṭhānattā paññāya ca nibbānapāpanato mūlakāraṇaṃ hutvā kamena nibbānāmataphalarasasampadāyakaṃ imaṃ vinayavinicchayaṃ paramassādanīyarūpena dhitivimuttirasena surasabhūtanti vuttaṃ hotīti ca veditabbaṃ. Sambhavanti ettha saṃ vuccati sukhaṃ kāyikaṃ cetasikañca, taṃ bhavati etasmāti sambhavo, vinayavinicchayo, taṃ, kāyacittasukhānaṃ mūlakāraṇabhūtaṃ, vuttanayena surasattā ca yathāvuttarasasampadasāramahussavena sambhūtamānasikasukhassa, taṃsamuṭṭhānarūpanissayakāyikasukhassa ca pabhavabhūtanti attho. Ettāvatā imassa vinayavinicchayassa sammā viññātabbatāya kāraṇaṃ dassitaṃ hoti.
เอวํ นานาคุณรตนากรํ อิมํ วินยวินิจฺฉยํ สมฺปชานโนฺต โส กุลปุโตฺต กิํ โหตีติ เจ? ปาลินา อุปาลินา สโม ภวติฯ ปาลินาติ สาสนํ ปาเลตีติ ‘‘ปาโล’’ติ วินโย วุจฺจติ, วุตฺตญฺหิ ‘‘วินโย นาม สาสนสฺส อายู’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.ปฐมสงฺคีติกถา; ปารา. อฎฺฐ. ๑.ปฐมสงฺคีติกถา; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๕.มหาสงฺคีติกถา; เถรคา. อฎฺฐ. ๑.๒๕๑) โส อสฺส อตฺถีติ ปาลี, ปริยตฺติปฎิปตฺติปฎิเวธวเสน ติวิธสาสนสฺส ชีวิตภูตวินยปญฺญตฺติสงฺขาตสาสนธรตฺตา ‘‘ปาลี’’ติ ลทฺธนาเมน อุปาลินา, ‘‘เอตทคฺคํ ภิกฺขเว มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ วินยธรานํ ยทิทํ อุปาลี’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙, ๒๒๘) จตุปริสมเชฺฌ นิสิเนฺนน สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺตินา สมฺมาสมฺพุเทฺธน มุขปทุมํ วิกาเสตฺวา ปกาสิตเอตทคฺคฎฺฐาเนน วิเสสโต สายนรกฺขนกภาเวน ปฎิลทฺธปาลีตินามเธเยฺยน อุปาลิมหาเถเรน สโม โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
Evaṃ nānāguṇaratanākaraṃ imaṃ vinayavinicchayaṃ sampajānanto so kulaputto kiṃ hotīti ce? Pālinā upālinā samo bhavati. Pālināti sāsanaṃ pāletīti ‘‘pālo’’ti vinayo vuccati, vuttañhi ‘‘vinayo nāma sāsanassa āyū’’ti (dī. ni. aṭṭha. 1.paṭhamasaṅgītikathā; pārā. aṭṭha. 1.paṭhamasaṅgītikathā; khu. pā. aṭṭha. 5.mahāsaṅgītikathā; theragā. aṭṭha. 1.251) so assa atthīti pālī, pariyattipaṭipattipaṭivedhavasena tividhasāsanassa jīvitabhūtavinayapaññattisaṅkhātasāsanadharattā ‘‘pālī’’ti laddhanāmena upālinā, ‘‘etadaggaṃ bhikkhave mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ vinayadharānaṃ yadidaṃ upālī’’ti (a. ni. 1.219, 228) catuparisamajjhe nisinnena saddhammavaracakkavattinā sammāsambuddhena mukhapadumaṃ vikāsetvā pakāsitaetadaggaṭṭhānena visesato sāyanarakkhanakabhāvena paṭiladdhapālītināmadheyyena upālimahātherena samo hotīti vuttaṃ hoti.
กสฺมิํ วิสเย สโม ภวตีติ เจ? สาสเนฯ สาสเนติ ยถาวุเตฺต ติวิเธ สาสเน, ตตฺราปิ ถาวรชงฺคมสกลวตฺถุวิตฺถาราธรมณฺฑลสทิเส ปฎิปตฺติปฎิเวธทฺวยธาเร ปริยตฺติสาสเน, ตตฺถาปิ วินยกถาธิการตฺตา ลพฺภมาเน วินยปิฎกสงฺขาตปริยตฺติสาสเนกเทเส สโม ภวตีติ อโตฺถฯ
Kasmiṃ visaye samo bhavatīti ce? Sāsane. Sāsaneti yathāvutte tividhe sāsane, tatrāpi thāvarajaṅgamasakalavatthuvitthārādharamaṇḍalasadise paṭipattipaṭivedhadvayadhāre pariyattisāsane, tatthāpi vinayakathādhikārattā labbhamāne vinayapiṭakasaṅkhātapariyattisāsanekadese samo bhavatīti attho.
กิํภูเต สาสเน? มารพลิสาสเนฯ มารสฺส พลิ มารพลิ, มารโคจโร, ตสฺส สาสนํ หิํสกํ มารพลิสาสนํ, ตสฺมิํฯ ขนฺธาทีสุ ปญฺจสุ มาเรสุ ปธานภูตกามราคาทิปภวกิเลสมารสฺส โคจรภาเวน พลิสงฺขาตอิตฺถิสรีราทินิสฺสยโผฎฺฐพฺพาทิวิสยสฺส ปริจฺจชาปนตฺถํ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ…เป.… อสํวาโส’’ติอาทินา (ปารา. ๔๔) นเยน วุตฺตตฺตา ตสฺส มารพลิสฺส หิํสกํ โหตีติ มารพลิสาสนนามเธยฺยวินยปญฺญตฺติสงฺขาตสาสเนติ อโตฺถฯ
Kiṃbhūte sāsane? Mārabalisāsane. Mārassa bali mārabali, māragocaro, tassa sāsanaṃ hiṃsakaṃ mārabalisāsanaṃ, tasmiṃ. Khandhādīsu pañcasu māresu padhānabhūtakāmarāgādipabhavakilesamārassa gocarabhāvena balisaṅkhātaitthisarīrādinissayaphoṭṭhabbādivisayassa pariccajāpanatthaṃ ‘‘yo pana bhikkhu…pe… asaṃvāso’’tiādinā (pārā. 44) nayena vuttattā tassa mārabalissa hiṃsakaṃ hotīti mārabalisāsananāmadheyyavinayapaññattisaṅkhātasāsaneti attho.
อถ วา ‘‘พฬิเสนปิ ชาเลน, หเตฺถน กุมิเนน วา’’ติ อุทกฎฺฐกถาย วกฺขมานตฺตา พฬิส-สเทฺทน มจฺฉมารณกณฺฎกมาห, ตํ มารสฺส พฬิสํ อสติ ขิปติ วเชฺชตีติ มารพฬิสาสนํ, ตสฺมิํ, ‘‘สมนฺตปาโส มารสฺสา’’ติ วุตฺตตฺตา สํสารสาคเร ปริวตฺตมานกสํกิเลสทาสปุถุชฺชนสงฺขาตมเจฺฉ คณฺหิตุํ มารมหาเกวเฎฺฎน ปกฺขิตฺตพฬิสสงฺขาตอิตฺถิรูปสทฺทาทิปญฺจกามคุณา- มิสาวุตกามราคาทิกิเลสมหาพฬิสํ ตทงฺคปฺปหานวีติกฺกมปฺปหานาทิวเสน ปชหเนฺต วินยปญฺญตฺติสงฺขาเต สาสเนติ อธิปฺปาโยฯ
Atha vā ‘‘baḷisenapi jālena, hatthena kuminena vā’’ti udakaṭṭhakathāya vakkhamānattā baḷisa-saddena macchamāraṇakaṇṭakamāha, taṃ mārassa baḷisaṃ asati khipati vajjetīti mārabaḷisāsanaṃ, tasmiṃ, ‘‘samantapāso mārassā’’ti vuttattā saṃsārasāgare parivattamānakasaṃkilesadāsaputhujjanasaṅkhātamacche gaṇhituṃ māramahākevaṭṭena pakkhittabaḷisasaṅkhātaitthirūpasaddādipañcakāmaguṇā- misāvutakāmarāgādikilesamahābaḷisaṃ tadaṅgappahānavītikkamappahānādivasena pajahante vinayapaññattisaṅkhāte sāsaneti adhippāyo.
เอตฺถ จ สารมเต อิธ อิมสฺมิํ วินยวินิจฺฉเย โย ปน น รมเต, โส ปุคฺคโล อนยูปรเม ตโต เอว ปรเม อุตฺตเม สุชนสฺส สุขานยเน นยเน นยนุปเม วินเย รโต อภิรโต ปธานรโตปิ วินเย อชฺฌายนาทีสุ โยคมาปชฺชโนฺตปิ ปฎุ โหติ ปฎุตโร โหติ กิํ, น โหเตวฯ ตสฺมา วินเย ปาฎวตฺถินา เอเตฺถว สกฺกจฺจาภิโยโค กาตโพฺพติ สเงฺขปโต สาธิปฺปายา อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ อถ วา ปธาเน จตุพฺพิเธ สมฺมปฺปธาเน วีริเย รโต อภิรโต โย ปน นโร สารมเต อิธ อิมสฺมิํ วินยวินิจฺฉเย ยโต รมเต, อโต ตสฺมา โส อนยูปรเม สุชนสฺส สุขานยเน วินเย ปฎุ โหติ กุสโล โหตีติ โยชนาติ โน ขนฺติฯ
Ettha ca sāramate idha imasmiṃ vinayavinicchaye yo pana na ramate, so puggalo anayūparame tato eva parame uttame sujanassa sukhānayane nayane nayanupame vinaye rato abhirato padhānaratopi vinaye ajjhāyanādīsu yogamāpajjantopi paṭu hoti paṭutaro hoti kiṃ, na hoteva. Tasmā vinaye pāṭavatthinā ettheva sakkaccābhiyogo kātabboti saṅkhepato sādhippāyā atthayojanā veditabbā. Atha vā padhāne catubbidhe sammappadhāne vīriye rato abhirato yo pana naro sāramate idha imasmiṃ vinayavinicchaye yato ramate, ato tasmā so anayūparame sujanassa sukhānayane vinaye paṭu hoti kusalo hotīti yojanāti no khanti.
หิตวิภาวนํ หิตปฺปกาสกํ ภาวนํ ภาวนียํ อาเสวิตพฺพํ สุรสมฺภวํ สุรสํ สมานํ สุรสํ ภูตํ สมฺภวํ สุขเหตุกํ อิมํ วินยวินิจฺฉยํ โย อเวทิ อญฺญาสิ, โส ปุคฺคโล มารพฬิสาสเน มารวิสยปฺปหานกเร, อถ วา มารพฬิสสฺส มารสฺส วตฺถุกามามิสาวุตกิเลสกามพฬิสสฺส อสเน วชฺชมาเน สาสเน ติวิเธปิ ชินสาสเน, ตตฺถาปิ ปฎิปตฺติปฎิเวธานํ ปติฎฺฐานภูเต ปริยตฺติสาสเน, ตตฺราปิ สกลสาสนสฺส ชีวิตสมาเน วินยปญฺญตฺติสงฺขาตปริยตฺติสาสเนกเทเส ปาลินา วินยปริยตฺติยํ เอตทเคฺค ฐปเนน สาสนปาลเน ตํมูลภาวโต ปาลสงฺขาตวินยปริยตฺติยา ปสตฺถตเรน อุปาลินา อุปาลิมหาเถเรน สโม ภวตีติ โยชนาฯ
Hitavibhāvanaṃ hitappakāsakaṃ bhāvanaṃ bhāvanīyaṃ āsevitabbaṃ surasambhavaṃ surasaṃ samānaṃ surasaṃ bhūtaṃ sambhavaṃ sukhahetukaṃ imaṃ vinayavinicchayaṃ yo avedi aññāsi, so puggalo mārabaḷisāsane māravisayappahānakare, atha vā mārabaḷisassa mārassa vatthukāmāmisāvutakilesakāmabaḷisassa asane vajjamāne sāsane tividhepi jinasāsane, tatthāpi paṭipattipaṭivedhānaṃ patiṭṭhānabhūte pariyattisāsane, tatrāpi sakalasāsanassa jīvitasamāne vinayapaññattisaṅkhātapariyattisāsanekadese pālinā vinayapariyattiyaṃ etadagge ṭhapanena sāsanapālane taṃmūlabhāvato pālasaṅkhātavinayapariyattiyā pasatthatarena upālinā upālimahātherena samo bhavatīti yojanā.
อิติ วินยตฺถสารสนฺทีปนิยา
Iti vinayatthasārasandīpaniyā
วินยวินิจฺฉยวณฺณนาย
Vinayavinicchayavaṇṇanāya
ปฐมปาราชิกกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamapārājikakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.