Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
๑. ปาราชิกกณฺฑํ
1. Pārājikakaṇḍaṃ
๑. ปฐมปาราชิกํ
1. Paṭhamapārājikaṃ
สุทินฺนภาณวารวณฺณนา
Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā
๒๔. อิโต ปรํ เตน โข ปน สมเยน เวสาลิยา อวิทูเรติอาทิ เยภุเยฺยน อุตฺตานตฺถํฯ ตสฺมา อนุปทวณฺณนํ ปหาย ยตฺถ ยตฺถ วตฺตพฺพํ อตฺถิ, ตํ ตเทว วณฺณยิสฺสามฯ กลนฺทคาโมติ กลนฺทกา วุจฺจนฺติ กาฬกา, เตสํ วเสน ลทฺธนาโม คาโมฯ กลนฺทปุโตฺตติ คามวเสน ลทฺธนามสฺส ราชสมฺมตสฺส จตฺตาลีสโกฎิวิภวสฺส กลนฺทเสฎฺฐิโน ปุโตฺตฯ ยสฺมา ปน ตสฺมิํ คาเม อเญฺญปิ กลนฺทนามกา มนุสฺสา อตฺถิ, ตสฺมา กลนฺทปุโตฺตติ วตฺวา ปุน เสฎฺฐิปุโตฺตติ วุตฺตํฯ สมฺพหุเลหีติ พหุเกหิฯ สหายเกหีติ สุขทุกฺขานิ สห อายนฺติ อุปคจฺฉนฺตีติ สหายา, สหายา เอว สหายกา, เตหิ สหายเกหิฯ สทฺธินฺติ เอกโตฯ เกนจิเทว กรณีเยนาติ เกนจิเทว ภณฺฑปฺปโยชนอุทฺธารสารณาทินา กิเจฺจน; กตฺติกนกฺขตฺตกีฬากิเจฺจนาติปิ วทนฺติฯ ภควา หิ กตฺติกชุณฺหปเกฺข เวสาลิํ สมฺปาปุณิฯ กตฺติกนกฺขตฺตกีฬา เจตฺถ อุฬารา โหติฯ ตทตฺถํ คโตติ เวทิตโพฺพฯ
24. Ito paraṃ tena kho pana samayena vesāliyā avidūretiādi yebhuyyena uttānatthaṃ. Tasmā anupadavaṇṇanaṃ pahāya yattha yattha vattabbaṃ atthi, taṃ tadeva vaṇṇayissāma. Kalandagāmoti kalandakā vuccanti kāḷakā, tesaṃ vasena laddhanāmo gāmo. Kalandaputtoti gāmavasena laddhanāmassa rājasammatassa cattālīsakoṭivibhavassa kalandaseṭṭhino putto. Yasmā pana tasmiṃ gāme aññepi kalandanāmakā manussā atthi, tasmā kalandaputtoti vatvā puna seṭṭhiputtoti vuttaṃ. Sambahulehīti bahukehi. Sahāyakehīti sukhadukkhāni saha āyanti upagacchantīti sahāyā, sahāyā eva sahāyakā, tehi sahāyakehi. Saddhinti ekato. Kenacideva karaṇīyenāti kenacideva bhaṇḍappayojanauddhārasāraṇādinā kiccena; kattikanakkhattakīḷākiccenātipi vadanti. Bhagavā hi kattikajuṇhapakkhe vesāliṃ sampāpuṇi. Kattikanakkhattakīḷā cettha uḷārā hoti. Tadatthaṃ gatoti veditabbo.
อทฺทส โขติ กถํ อทฺทส? โส กิร นครโต ภุตฺตปาตราสํ สุทฺธุตฺตราสงฺคํ มาลาคนฺธวิเลปนหตฺถํ พุทฺธทสฺสนตฺถํ ธมฺมสวนตฺถญฺจ นิกฺขมนฺตํ มหาชนํ ทิสฺวา ‘‘กฺว คจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พุทฺธทสฺสนตฺถํ ธมฺมสวนตฺถญฺจา’’ติฯ เตน หิ ‘‘อหมฺปิ คจฺฉามี’’ติ คนฺตฺวา จตุพฺพิธาย ปริสาย ปริวุตํ พฺรหฺมสฺสเรน ธมฺมํ เทเสนฺตํ ภควนฺตํ อทฺทสฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อทฺทส โข…เป.… เทเสนฺต’’นฺติฯ ทิสฺวานสฺสาติ ทิสฺวาน อสฺสฯ เอตทโหสีติ ปุเพฺพ กตปุญฺญตาย โจทิยมานสฺส ภพฺพกุลปุตฺตสฺส เอตํ อโหสิฯ กิํ อโหสิ? ยํนูนาหมฺปิ ธมฺมํ สุเณยฺยนฺติ ฯ ตตฺถ ยนฺนูนาติ ปริวิตกฺกทสฺสนเมตํฯ เอวํ กิรสฺส ปริวิตโกฺก อุปฺปโนฺน ‘‘ยมยํ ปริสา เอกคฺคจิตฺตา ธมฺมํ สุณาติ, อโห วตาหมฺปิ ตํ สุเณยฺย’’นฺติฯ
Addasa khoti kathaṃ addasa? So kira nagarato bhuttapātarāsaṃ suddhuttarāsaṅgaṃ mālāgandhavilepanahatthaṃ buddhadassanatthaṃ dhammasavanatthañca nikkhamantaṃ mahājanaṃ disvā ‘‘kva gacchathā’’ti pucchi. ‘‘Buddhadassanatthaṃ dhammasavanatthañcā’’ti. Tena hi ‘‘ahampi gacchāmī’’ti gantvā catubbidhāya parisāya parivutaṃ brahmassarena dhammaṃ desentaṃ bhagavantaṃ addasa. Tena vuttaṃ – ‘‘addasa kho…pe… desenta’’nti. Disvānassāti disvāna assa. Etadahosīti pubbe katapuññatāya codiyamānassa bhabbakulaputtassa etaṃ ahosi. Kiṃ ahosi? Yaṃnūnāhampi dhammaṃ suṇeyyanti . Tattha yannūnāti parivitakkadassanametaṃ. Evaṃ kirassa parivitakko uppanno ‘‘yamayaṃ parisā ekaggacittā dhammaṃ suṇāti, aho vatāhampi taṃ suṇeyya’’nti.
อถ โข สุทิโนฺน กลนฺทปุโตฺต เยน สา ปริสาติ อิธ กสฺมา ‘‘เยน ภควา’’ติ อวตฺวา ‘‘เยน สา ปริสา’’ติ วุตฺตนฺติ เจฯ ภควนฺตญฺหิ ปริวาเรตฺวา อุฬารุฬารชนา มหตี ปริสา นิสินฺนา, ตตฺร น สกฺกา อิมินา ปจฺฉา อาคเตน ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา นิสีทิตุํฯ ปริสาย ปน เอกสฺมิํ ปเทเส สกฺกาติ โส ตํ ปริสํเยว อุปสงฺกมโนฺตฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข สุทิโนฺน กลนฺทปุโตฺต เยน สา ปริสา’’ติฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนสฺส โข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส เอตทโหสีติ น นิสินฺนมตฺตเสฺสว อโหสิ, อถ โข ภควโต สิตฺตยูปสํหิตํ โถกํ ธมฺมกถํ สุตฺวา; ตํ ปนสฺส ยสฺมา เอกมนฺตํ นิสินฺนเสฺสว อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอกมนฺตํ นิสินฺนสฺส โข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส เอตทโหสี’’ติฯ กิํ อโหสีติ? ยถา ยถา โขติอาทิฯ
Athakho sudinno kalandaputto yena sā parisāti idha kasmā ‘‘yena bhagavā’’ti avatvā ‘‘yena sā parisā’’ti vuttanti ce. Bhagavantañhi parivāretvā uḷāruḷārajanā mahatī parisā nisinnā, tatra na sakkā iminā pacchā āgatena bhagavantaṃ upasaṅkamitvā nisīdituṃ. Parisāya pana ekasmiṃ padese sakkāti so taṃ parisaṃyeva upasaṅkamanto. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho sudinno kalandaputto yena sā parisā’’ti. Ekamantaṃ nisinnassa kho sudinnassa kalandaputtassa etadahosīti na nisinnamattasseva ahosi, atha kho bhagavato sittayūpasaṃhitaṃ thokaṃ dhammakathaṃ sutvā; taṃ panassa yasmā ekamantaṃ nisinnasseva ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘ekamantaṃ nisinnassa kho sudinnassa kalandaputtassa etadahosī’’ti. Kiṃ ahosīti? Yathā yathā khotiādi.
ตตฺรายํ สเงฺขปกถา – อหํ โข เยน เยน อากาเรน ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ, เตน เตน เม อุปปริกฺขโต เอวํ โหติ ยเทตํ สิตฺตยพฺรหฺมจริยํ เอกมฺปิ ทิวสํ อขณฺฑํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริปุณฺณํ จริตพฺพํ, เอกทิวสมฺปิ จ กิเลสมเลน อมลีนํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริสุทฺธํฯ สงฺขลิขิตํ ลิขิตสงฺขสทิสํ โธตสงฺขสปฺปฎิภาคํ จริตพฺพํฯ อิทํ น สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา อคารมเชฺฌ วสเนฺตน เอกนฺตปริปุณฺณํ…เป.… จริตุํฯ ยํนูนาหํ เกเส จ มสฺสุญฺจ โอหาเรตฺวา กสายรสปีตตาย กาสายานิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตานํ อนุจฺฉวิกานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา ปริทหิตฺวา อคารสฺมา นิกฺขมิตฺวา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยนฺติฯ เอตฺถ จ ยสฺมา อคารสฺส หิตํ กสิวาณิชฺชาทิกมฺมํ อคาริยนฺติ วุจฺจติ, ตญฺจ ปพฺพชฺชาย นตฺถิ; ตสฺมา ปพฺพชฺชา ‘‘อนคาริยา’’ติ ญาตพฺพาฯ ตํ อนคาริยํ ปพฺพชฺชํฯ ปพฺพเชยฺยนฺติ ปริพฺพเชยฺยํฯ
Tatrāyaṃ saṅkhepakathā – ahaṃ kho yena yena ākārena bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi, tena tena me upaparikkhato evaṃ hoti yadetaṃ sittayabrahmacariyaṃ ekampi divasaṃ akhaṇḍaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparipuṇṇaṃ caritabbaṃ, ekadivasampi ca kilesamalena amalīnaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparisuddhaṃ. Saṅkhalikhitaṃ likhitasaṅkhasadisaṃ dhotasaṅkhasappaṭibhāgaṃ caritabbaṃ. Idaṃ na sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā agāramajjhe vasantena ekantaparipuṇṇaṃ…pe… carituṃ. Yaṃnūnāhaṃ kese ca massuñca ohāretvā kasāyarasapītatāya kāsāyāni brahmacariyaṃ carantānaṃ anucchavikāni vatthāni acchādetvā paridahitvā agārasmā nikkhamitvā anagāriyaṃ pabbajeyyanti. Ettha ca yasmā agārassa hitaṃ kasivāṇijjādikammaṃ agāriyanti vuccati, tañca pabbajjāya natthi; tasmā pabbajjā ‘‘anagāriyā’’ti ñātabbā. Taṃ anagāriyaṃ pabbajjaṃ. Pabbajeyyanti paribbajeyyaṃ.
๒๕. อจิรวุฎฺฐิตาย ปริสาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ สุทิโนฺน อวุฎฺฐิตาย ปริสาย น ภควนฺตํ ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ กสฺมา? ตตฺรสฺส พหู ญาติสาโลหิตา มิตฺตามจฺจา สนฺติ, เต ‘‘‘ตฺวํ มาตาปิตูนํ เอกปุตฺตโก, น ลพฺภา ตยา ปพฺพชิตุ’นฺติ พาหายมฺปิ คเหตฺวา อากเฑฺฒยฺยุํ, ตโต ปพฺพชฺชาย อนฺตราโย ภวิสฺสตี’’ติ สเหว ปริสาย อุฎฺฐหิตฺวา โถกํ คนฺตฺวา ปุน เกนจิ สรีรกิจฺจเลเสน นิวตฺติตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมฺม ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข สุทิโนฺน กลนฺทปุโตฺต อจิรวุฎฺฐิตาย ปริสาย…เป.… ปพฺพาเชตุ มํ ภควา’’ติฯ
25.Aciravuṭṭhitāya parisāya yena bhagavā tenupasaṅkamīti sudinno avuṭṭhitāya parisāya na bhagavantaṃ pabbajjaṃ yāci. Kasmā? Tatrassa bahū ñātisālohitā mittāmaccā santi, te ‘‘‘tvaṃ mātāpitūnaṃ ekaputtako, na labbhā tayā pabbajitu’nti bāhāyampi gahetvā ākaḍḍheyyuṃ, tato pabbajjāya antarāyo bhavissatī’’ti saheva parisāya uṭṭhahitvā thokaṃ gantvā puna kenaci sarīrakiccalesena nivattitvā bhagavantaṃ upasaṅkamma pabbajjaṃ yāci. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho sudinno kalandaputto aciravuṭṭhitāya parisāya…pe… pabbājetu maṃ bhagavā’’ti.
ภควา ปน ยสฺมา ราหุลกุมารสฺส ปพฺพชิตโต ปภุติ มาตาปิตูหิ อนนุญฺญาตํ ปุตฺตํ น ปพฺพาเชติ, ตสฺมา นํ ปุจฺฉิ – ‘‘อนุญฺญาโตสิ ปน ตฺวํ สุทินฺน มาตาปิตูหิ…เป.… ปพฺพชฺชายา’’ติฯ
Bhagavā pana yasmā rāhulakumārassa pabbajitato pabhuti mātāpitūhi ananuññātaṃ puttaṃ na pabbājeti, tasmā naṃ pucchi – ‘‘anuññātosi pana tvaṃ sudinna mātāpitūhi…pe… pabbajjāyā’’ti.
๒๖. อิโต ปรํ ปาฐานุสาเรเนว คนฺตฺวา ตํ กรณียํ ตีเรตฺวาติ เอตฺถ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพ – ธุรนิเกฺขเปเนว ตํ กรณียํ นิฎฺฐาเปตฺวาติ; น หิ ปพฺพชฺชาย ติพฺพจฺฉนฺทสฺส ภณฺฑปฺปโยชนอุทฺธารสารณาทีสุ วา นกฺขตฺตกีฬายํ วา จิตฺตํ นมติฯ อมฺม ตาตาติ เอตฺถ ปน อมฺมาติ มาตรํ อาลปติ; ตาตาติ ปิตรํฯ ตฺวํ โขสีติ ตฺวํ โข อสิฯ เอกปุตฺตโกติ เอโกว ปุตฺตโก; อโญฺญ เต เชโฎฺฐ วา กนิโฎฺฐ วา นตฺถิฯ เอตฺถ จ ‘‘เอกปุโตฺต’’ติ วตฺตเพฺพ อนุกมฺปาวเสน ‘‘เอกปุตฺตโก’’ติ วุตฺตํฯ ปิโยติ ปีติชนนโกฯ มนาโปติ มนวฑฺฒนโกฯ สุเขธิโตติ สุเขน เอธิโต; สุขสํวฑฺฒิโตติ อโตฺถฯ สุขปริหโตติ สุเขน ปริหโต; ชาตกาลโต ปภุติ ธาตีหิ องฺกโต องฺกํ หริตฺวา ธาริยมาโน อสฺสกรถกาทีหิ พาลกีฬนเกหิ กีฬมาโน สาทุรสโภชนํ โภชิยมาโน สุเขน ปริหโตฯ
26. Ito paraṃ pāṭhānusāreneva gantvā taṃ karaṇīyaṃ tīretvāti ettha evamattho veditabbo – dhuranikkhepeneva taṃ karaṇīyaṃ niṭṭhāpetvāti; na hi pabbajjāya tibbacchandassa bhaṇḍappayojanauddhārasāraṇādīsu vā nakkhattakīḷāyaṃ vā cittaṃ namati. Amma tātāti ettha pana ammāti mātaraṃ ālapati; tātāti pitaraṃ. Tvaṃ khosīti tvaṃ kho asi. Ekaputtakoti ekova puttako; añño te jeṭṭho vā kaniṭṭho vā natthi. Ettha ca ‘‘ekaputto’’ti vattabbe anukampāvasena ‘‘ekaputtako’’ti vuttaṃ. Piyoti pītijananako. Manāpoti manavaḍḍhanako. Sukhedhitoti sukhena edhito; sukhasaṃvaḍḍhitoti attho. Sukhaparihatoti sukhena parihato; jātakālato pabhuti dhātīhi aṅkato aṅkaṃ haritvā dhāriyamāno assakarathakādīhi bālakīḷanakehi kīḷamāno sādurasabhojanaṃ bhojiyamāno sukhena parihato.
น ตฺวํ, ตาต สุทินฺน, กิญฺจิ ทุกฺขสฺส ชานาสีติ ตฺวํ ตาต สุทินฺน กิญฺจิ อปฺปมตฺตกมฺปิ กลภาคํ ทุกฺขสฺส น ชานาสิ; อถ วา กิญฺจิ ทุเกฺขน นานุโภสีติ อโตฺถฯ กรณเตฺถ สามิวจนํ, อนุภวนเตฺถ จ ชานนา; อถ วา กิญฺจิ ทุกฺขํ นสฺสรสีติ อโตฺถฯ อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ, สรณเตฺถ จ ชานนาฯ วิกปฺปทฺวเยปิ ปุริมปทสฺส อุตฺตรปเทน สมานวิภตฺติโลโป ทฎฺฐโพฺพฯ ตํ สพฺพํ สทฺทสตฺถานุสาเรน ญาตพฺพํฯ มรเณนปิ มยํ เต อกามกา วินา ภวิสฺสามาติ สเจปิ ตว อเมฺหสุ ชีวมาเนสุ มรณํ ภเวยฺย, เตน เต มรเณนปิ มยํ อกามกา อนิจฺฉกา น อตฺตโน รุจิยา, วินา ภวิสฺสาม; ตยา วิโยคํ วา ปาปุณิสฺสามาติ อโตฺถฯ กิํ ปน มยํ ตนฺติ เอวํ สเนฺต กิํ ปน กิํ นาม ตํ การณํ เยน มยํ ตํ ชีวนฺตํ อนุชานิสฺสาม; อถ วา กิํ ปน มยํ ตนฺติ เกน ปน การเณน มยํ ตํ ชีวนฺตํ อนุชานิสฺสามาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Na tvaṃ, tāta sudinna, kiñci dukkhassa jānāsīti tvaṃ tāta sudinna kiñci appamattakampi kalabhāgaṃ dukkhassa na jānāsi; atha vā kiñci dukkhena nānubhosīti attho. Karaṇatthe sāmivacanaṃ, anubhavanatthe ca jānanā; atha vā kiñci dukkhaṃ nassarasīti attho. Upayogatthe sāmivacanaṃ, saraṇatthe ca jānanā. Vikappadvayepi purimapadassa uttarapadena samānavibhattilopo daṭṭhabbo. Taṃ sabbaṃ saddasatthānusārena ñātabbaṃ. Maraṇenapi mayaṃ te akāmakā vinā bhavissāmāti sacepi tava amhesu jīvamānesu maraṇaṃ bhaveyya, tena te maraṇenapi mayaṃ akāmakā anicchakā na attano ruciyā, vinā bhavissāma; tayā viyogaṃ vā pāpuṇissāmāti attho. Kiṃ pana mayaṃ tanti evaṃ sante kiṃ pana kiṃ nāma taṃ kāraṇaṃ yena mayaṃ taṃ jīvantaṃ anujānissāma; atha vā kiṃ pana mayaṃ tanti kena pana kāraṇena mayaṃ taṃ jīvantaṃ anujānissāmāti evamettha attho daṭṭhabbo.
๒๗. ตเตฺถวาติ ยตฺถ นํ ฐิตํ มาตาปิตโร นานุชานิํสุ, ตเตฺถว ฐาเนฯ อนนฺตรหิตายาติ เกนจิ อตฺถรเณน อนตฺถตายฯ
27.Tatthevāti yattha naṃ ṭhitaṃ mātāpitaro nānujāniṃsu, tattheva ṭhāne. Anantarahitāyāti kenaci attharaṇena anatthatāya.
๒๘. ปริจาเรหีติ คนฺธพฺพนฎนาฎกาทีนิ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา ตตฺถ สหายเกหิ สทฺธิํ ยถาสุขํ อินฺทฺริยานิ จาเรหิ สญฺจาเรหิ; อิโต จิโต จ อุปเนหีติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา ปริจาเรหีติ คนฺธพฺพนฎนาฎกาทีนิ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา ตตฺถ สหายเกหิ สทฺธิํ ลฬ, อุปลฬ, รม, กีฬสฺสูติปิ วุตฺตํ โหติฯ กาเม ปริภุญฺชโนฺตติ อตฺตโน ปุตฺตทาเรหิ สทฺธิํ โภเค ภุญฺชโนฺตฯ ปุญฺญานิ กโรโนฺตติ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ อารพฺภ ทานปฺปทานาทีนิ สุคติมคฺคโสธกานิ กุสลกมฺมานิ กโรโนฺตฯ ตุณฺหี อโหสีติ กถานุปฺปพนฺธวิเจฺฉทนตฺถํ นิราลาปสลฺลาโป อโหสิฯ อถสฺส มาตาปิตโร ติกฺขตฺตุํ วตฺวา ปฎิวจนมฺปิ อลภมานา สหายเก ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอส โว สหายโก ปพฺพชิตุกาโม, นิวาเรถ น’’นฺติ อาหํสุฯ เตปิ ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ติกฺขตฺตุํ อโวจุํ, เตสมฺปิ ตุณฺหี อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส สหายกา…เป.… ตุณฺหี อโหสี’’ติฯ
28.Paricārehīti gandhabbanaṭanāṭakādīni paccupaṭṭhāpetvā tattha sahāyakehi saddhiṃ yathāsukhaṃ indriyāni cārehi sañcārehi; ito cito ca upanehīti vuttaṃ hoti. Atha vā paricārehīti gandhabbanaṭanāṭakādīni paccupaṭṭhāpetvā tattha sahāyakehi saddhiṃ laḷa, upalaḷa, rama, kīḷassūtipi vuttaṃ hoti. Kāme paribhuñjantoti attano puttadārehi saddhiṃ bhoge bhuñjanto. Puññāni karontoti buddhañca dhammañca saṅghañca ārabbha dānappadānādīni sugatimaggasodhakāni kusalakammāni karonto. Tuṇhī ahosīti kathānuppabandhavicchedanatthaṃ nirālāpasallāpo ahosi. Athassa mātāpitaro tikkhattuṃ vatvā paṭivacanampi alabhamānā sahāyake pakkosāpetvā ‘‘esa vo sahāyako pabbajitukāmo, nivāretha na’’nti āhaṃsu. Tepi taṃ upasaṅkamitvā tikkhattuṃ avocuṃ, tesampi tuṇhī ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho sudinnassa kalandaputtassa sahāyakā…pe… tuṇhī ahosī’’ti.
๒๙. อถสฺส สหายกานํ เอตทโหสิ – ‘‘สเจ อยํ ปพฺพชฺชํ อลภมาโน มริสฺสติ น โกจิ คุโณ ภวิสฺสติฯ ปพฺพชิตํ ปน นํ มาตาปิตโรปิ กาเลน กาลํ ปสฺสิสฺสนฺติฯ มยมฺปิ ปสฺสิสฺสามฯ ปพฺพชฺชาปิ จ นาเมสา ภาริยา, ทิวเส ทิวเส มตฺติกาปตฺตํ คเหตฺวา ปิณฺฑาย จริตพฺพํฯ เอกเสยฺยํ เอกภตฺตํ พฺรหฺมจริยํ อติทุกฺกรํฯ อยญฺจ สุขุมาโล นาคริกชาติโย, โส ตํ จริตุํ อสโกฺกโนฺต ปุน อิเธว อาคมิสฺสติฯ หนฺทสฺส มาตาปิตโร อนุชานาเปสฺสามา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ มาตาปิตโรปิ นํ อนุชานิํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส สหายกา เยน สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส มาตาปิตโร…เป.… อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชฺชายา’’ติฯ
29. Athassa sahāyakānaṃ etadahosi – ‘‘sace ayaṃ pabbajjaṃ alabhamāno marissati na koci guṇo bhavissati. Pabbajitaṃ pana naṃ mātāpitaropi kālena kālaṃ passissanti. Mayampi passissāma. Pabbajjāpi ca nāmesā bhāriyā, divase divase mattikāpattaṃ gahetvā piṇḍāya caritabbaṃ. Ekaseyyaṃ ekabhattaṃ brahmacariyaṃ atidukkaraṃ. Ayañca sukhumālo nāgarikajātiyo, so taṃ carituṃ asakkonto puna idheva āgamissati. Handassa mātāpitaro anujānāpessāmā’’ti. Te tathā akaṃsu. Mātāpitaropi naṃ anujāniṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho sudinnassa kalandaputtassa sahāyakā yena sudinnassa kalandaputtassa mātāpitaro…pe… anuññātosi mātāpitūhi agārasmā anagāriyaṃ pabbajjāyā’’ti.
๓๐. หโฎฺฐติ ตุโฎฺฐฯ อุทโคฺคติ ปีติวเสน อพฺภุนฺนตกายจิโตฺตฯ กติปาหนฺติ กติปยานิ ทิวสานิฯ พลํ คาเหตฺวาติ สปฺปายโภชนานิ ภุญฺชโนฺต, อุจฺฉาทนนฺหาปนาทีหิ จ กายํ ปริหรโนฺต, กายพลํ ชเนตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา อสฺสุมุขํ ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ…เป.… ปพฺพาเชตุ มํ ภเนฺต ภควาติฯ ภควา สมีเป ฐิตํ อญฺญตรํ ปิณฺฑจาริกํ ภิกฺขุํ อามเนฺตสิ – ‘‘เตน หิ ภิกฺขุ สุทินฺนํ ปพฺพาเชหิ เจว อุปสมฺปาเทหิ จา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ปฎิสฺสุณิตฺวา สุทินฺนํ กลนฺทปุตฺตํ ชินทตฺติยํ สทฺธิวิหาริกํ ลทฺธา ปพฺพาเชสิ เจว อุปสมฺปาเทสิ จฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อลตฺถ โข สุทิโนฺน กลนฺทปุโตฺต ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, อลตฺถ อุปสมฺปท’’นฺติฯ
30.Haṭṭhoti tuṭṭho. Udaggoti pītivasena abbhunnatakāyacitto. Katipāhanti katipayāni divasāni. Balaṃ gāhetvāti sappāyabhojanāni bhuñjanto, ucchādananhāpanādīhi ca kāyaṃ pariharanto, kāyabalaṃ janetvā mātāpitaro vanditvā assumukhaṃ ñātiparivaṭṭaṃ pahāya yena bhagavā tenupasaṅkami…pe… pabbājetu maṃ bhante bhagavāti. Bhagavā samīpe ṭhitaṃ aññataraṃ piṇḍacārikaṃ bhikkhuṃ āmantesi – ‘‘tena hi bhikkhu sudinnaṃ pabbājehi ceva upasampādehi cā’’ti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti kho so bhikkhu bhagavato paṭissuṇitvā sudinnaṃ kalandaputtaṃ jinadattiyaṃ saddhivihārikaṃ laddhā pabbājesi ceva upasampādesi ca. Tena vuttaṃ – ‘‘alattha khosudinno kalandaputto bhagavato santike pabbajjaṃ, alattha upasampada’’nti.
เอตฺถ ปน ฐตฺวา สพฺพอฎฺฐกถาสุ ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ กถิตาฯ มยํ ปน ยถาฐิตปาฬิวเสเนว ขนฺธเก กถยิสฺสามฯ น เกวลเญฺจตํ, อญฺญมฺปิ ยํ ขนฺธเก วา ปริวาเร วา กเถตพฺพํ อฎฺฐกถาจริเยหิ วิภเงฺคกถิตํ, ตํ สพฺพํ ตตฺถ ตเตฺถว กถยิสฺสามฯ เอวญฺหิ กถิยมาเน ปาฬิกฺกเมเนว วณฺณนา กตา โหติฯ ตโต เตน เตน วินิจฺฉเยน อตฺถิกานํ ปาฬิกฺกเมเนว อิมํ วินยสํวณฺณนํ โอโลเกตฺวา โส โส วินิจฺฉโย สุวิเญฺญโยฺย ภวิสฺสตีติฯ
Ettha pana ṭhatvā sabbaaṭṭhakathāsu pabbajjā ca upasampadā ca kathitā. Mayaṃ pana yathāṭhitapāḷivaseneva khandhake kathayissāma. Na kevalañcetaṃ, aññampi yaṃ khandhake vā parivāre vā kathetabbaṃ aṭṭhakathācariyehi vibhaṅgekathitaṃ, taṃ sabbaṃ tattha tattheva kathayissāma. Evañhi kathiyamāne pāḷikkameneva vaṇṇanā katā hoti. Tato tena tena vinicchayena atthikānaṃ pāḷikkameneva imaṃ vinayasaṃvaṇṇanaṃ oloketvā so so vinicchayo suviññeyyo bhavissatīti.
อจิรูปสมฺปโนฺนติ อจิรํ อุปสมฺปโนฺน หุตฺวา; อุปสมฺปทโต นจิรกาเลเยวาติ วุตฺตํ โหติฯ เอวรูเปติ เอวํวิเธ เอวํชาติเกฯ ธุตคุเณติ กิเลสนิทฺธุนนเก คุเณฯ สมาทาย วตฺตตีติ สมาทิยิตฺวา คณฺหิตฺวา วตฺตติ จรติ วิหรติฯ อารญฺญิโก โหตีติ คามนฺตเสนาสนํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อารญฺญิกธุตงฺควเสน อรญฺญวาสิโก โหติฯ ปิณฺฑปาติโกติ อติเรกลาภปฎิเกฺขเปน จุทฺทส ภตฺตานิ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปิณฺฑปาติกธุตงฺควเสน ปิณฺฑปาติโก โหติฯ ปํสุกูลิโกติ คหปติจีวรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปํสุกูลิกธุตงฺควเสน ปํสุกูลิโก โหติฯ สปทานจาริโกติ โลลุปฺปจารํ ปฎิกฺขิปิตฺวา สปทานจาริกธุตงฺควเสน สปทานจาริโก โหติ; ฆรปฎิปาฎิยา ภิกฺขาย ปวิสติฯ วชฺชิคามนฺติ วชฺชีนํ คามํ วชฺชีสุ วา คามํฯ
Acirūpasampannoti aciraṃ upasampanno hutvā; upasampadato nacirakāleyevāti vuttaṃ hoti. Evarūpeti evaṃvidhe evaṃjātike. Dhutaguṇeti kilesaniddhunanake guṇe. Samādāya vattatīti samādiyitvā gaṇhitvā vattati carati viharati. Āraññiko hotīti gāmantasenāsanaṃ paṭikkhipitvā āraññikadhutaṅgavasena araññavāsiko hoti. Piṇḍapātikoti atirekalābhapaṭikkhepena cuddasa bhattāni paṭikkhipitvā piṇḍapātikadhutaṅgavasena piṇḍapātiko hoti. Paṃsukūlikoti gahapaticīvaraṃ paṭikkhipitvā paṃsukūlikadhutaṅgavasena paṃsukūliko hoti. Sapadānacārikoti loluppacāraṃ paṭikkhipitvā sapadānacārikadhutaṅgavasena sapadānacāriko hoti; gharapaṭipāṭiyā bhikkhāya pavisati. Vajjigāmanti vajjīnaṃ gāmaṃ vajjīsu vā gāmaṃ.
อฑฺฒา มหทฺธนาติอาทีสุ อุปโภคปริโภคูปกรณมหนฺตตาย อฑฺฒา; เย หิ เตสํ อุปโภคา ยานิ จ อุปโภคูปกรณานิ, ตานิ มหนฺตานิ พหุลานิ สารกานีติ วุตฺตํ โหติฯ นิเธตฺวา ฐปิตธนมหนฺตตาย มหทฺธนาฯ มหาโภคาติ ทิวสปริพฺพยสงฺขาตโภคมหนฺตตาย มหาโภคาฯ อเญฺญหิ อุปโภเคหิ ชาตรูปรชตเสฺสว ปหูตตาย ปหูตชาตรูปรชตาฯ อลงฺการภูตสฺส วิตฺตูปกรณสฺส ปีติปาโมชฺชกรณสฺส ปหูตตาย ปหูตวิตฺตูปกรณาฯ โวหารวเสน ปริวเตฺตนฺตสฺส ธนธญฺญสฺส ปหูตตาย ปหูตธนธญฺญาติ เวทิตพฺพาฯ
Aḍḍhā mahaddhanātiādīsu upabhogaparibhogūpakaraṇamahantatāya aḍḍhā; ye hi tesaṃ upabhogā yāni ca upabhogūpakaraṇāni, tāni mahantāni bahulāni sārakānīti vuttaṃ hoti. Nidhetvā ṭhapitadhanamahantatāya mahaddhanā. Mahābhogāti divasaparibbayasaṅkhātabhogamahantatāya mahābhogā. Aññehi upabhogehi jātarūparajatasseva pahūtatāya pahūtajātarūparajatā. Alaṅkārabhūtassa vittūpakaraṇassa pītipāmojjakaraṇassa pahūtatāya pahūtavittūpakaraṇā. Vohāravasena parivattentassa dhanadhaññassa pahūtatāya pahūtadhanadhaññāti veditabbā.
เสนาสนํ สํสาเมตฺวาติ เสนาสนํ ปฎิสาเมตฺวา; ยถา น วินสฺสติ ตถา นํ สุฎฺฐุ ฐเปตฺวาติ อโตฺถฯ สฎฺฐิมเตฺต ถาลิปาเกติ คณนปริเจฺฉทโต สฎฺฐิถาลิปาเกฯ เอกเมโก เจตฺถ ถาลิปาโก ทสนฺนํ ภิกฺขูนํ ภตฺตํ คณฺหาติฯ ตํ สพฺพมฺปิ ฉนฺนํ ภิกฺขุสตานํ ภตฺตํ โหติฯ ภตฺตาภิหารํ อภิหริํสูติ เอตฺถ อภิหรียตีติ อภิหาโรฯ กิํ อภิหรียติ? ภตฺตํฯ ภตฺตเมว อภิหาโร ภตฺตาภิหาโร, ตํ ภตฺตาภิหารํฯ อภิหริํสูติ อภิมุขา หริํสุฯ ตสฺส สนฺติกํ คเหตฺวา อาคมํสูติ อโตฺถฯ เอตสฺส กิํ ปมาณนฺติ? สฎฺฐิ ถาลิปากาฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สฎฺฐิมเตฺต ถาลิปาเก ภตฺตาภิหารํ อภิหริํสู’’ติฯ ภิกฺขูนํ วิสฺสเชฺชตฺวาติ สยํ อุกฺกฎฺฐปิณฺฑปาติกตฺตา สปทานจารํ จริตุกาโม ภิกฺขูนํ ปริโภคตฺถาย ปริจฺจชิตฺวา ทตฺวาฯ อยํ หิ อายสฺมา ‘‘ภิกฺขู จ ลาภํ ลจฺฉนฺติ อหญฺจ ปิณฺฑเกน น กิลมิสฺสามี’’ติ เอตทตฺถเมว อาคโตฯ ตสฺมา อตฺตโน อาคมนานุรูปํ กโรโนฺต ภิกฺขูนํ วิสฺสเชฺชตฺวา สยํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ
Senāsanaṃsaṃsāmetvāti senāsanaṃ paṭisāmetvā; yathā na vinassati tathā naṃ suṭṭhu ṭhapetvāti attho. Saṭṭhimatte thālipāketi gaṇanaparicchedato saṭṭhithālipāke. Ekameko cettha thālipāko dasannaṃ bhikkhūnaṃ bhattaṃ gaṇhāti. Taṃ sabbampi channaṃ bhikkhusatānaṃ bhattaṃ hoti. Bhattābhihāraṃ abhihariṃsūti ettha abhiharīyatīti abhihāro. Kiṃ abhiharīyati? Bhattaṃ. Bhattameva abhihāro bhattābhihāro, taṃ bhattābhihāraṃ. Abhihariṃsūti abhimukhā hariṃsu. Tassa santikaṃ gahetvā āgamaṃsūti attho. Etassa kiṃ pamāṇanti? Saṭṭhi thālipākā. Tena vuttaṃ – ‘‘saṭṭhimatte thālipāke bhattābhihāraṃ abhihariṃsū’’ti. Bhikkhūnaṃ vissajjetvāti sayaṃ ukkaṭṭhapiṇḍapātikattā sapadānacāraṃ caritukāmo bhikkhūnaṃ paribhogatthāya pariccajitvā datvā. Ayaṃ hi āyasmā ‘‘bhikkhū ca lābhaṃ lacchanti ahañca piṇḍakena na kilamissāmī’’ti etadatthameva āgato. Tasmā attano āgamanānurūpaṃ karonto bhikkhūnaṃ vissajjetvā sayaṃ piṇḍāya pāvisi.
๓๑. ญาติทาสีติ ญาตกานํ ทาสีฯ อาภิโทสิกนฺติ ปาริวาสิกํ เอกรตฺตาติกฺกนฺตํ ปูติภูตํฯ ตตฺรายํ ปทโตฺถ – ปูติภาวโทเสน อภิภูโตติ อภิโทโส, อภิโทโสว อาภิโทสิโก, เอกรตฺตาติกฺกนฺตสฺส วา นามสญฺญา เอสา, ยทิทํ อาภิโทสิโกติ, ตํ อาภิโทสิกํฯ กุมฺมาสนฺติ ยวกุมฺมาสํฯ ฉเฑฺฑตุกามา โหตีติ ยสฺมา อนฺตมโส ทาสกมฺมกรานมฺปิ โครูปานมฺปิ อปริโภคารโห, ตสฺมา ตํ กจวรํ วิย พหิ ฉเฑฺฑตุกามา โหติฯ สเจตนฺติ สเจ เอตํฯ ภคินีติ อริยโวหาเรน ญาติทาสิํ อาลปติฯ ฉฑฺฑนียธมฺมนฺติ ฉเฑฺฑตพฺพสภาวํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ภคินิ, เอตํ สเจ พหิ ฉฑฺฑนียธมฺมํ นิสฺสฎฺฐปริคฺคหํ, ตํ อิธ เม ปเตฺต อากิรา’’ติฯ
31.Ñātidāsīti ñātakānaṃ dāsī. Ābhidosikanti pārivāsikaṃ ekarattātikkantaṃ pūtibhūtaṃ. Tatrāyaṃ padattho – pūtibhāvadosena abhibhūtoti abhidoso, abhidosova ābhidosiko, ekarattātikkantassa vā nāmasaññā esā, yadidaṃ ābhidosikoti, taṃ ābhidosikaṃ. Kummāsanti yavakummāsaṃ. Chaḍḍetukāmā hotīti yasmā antamaso dāsakammakarānampi gorūpānampi aparibhogāraho, tasmā taṃ kacavaraṃ viya bahi chaḍḍetukāmā hoti. Sacetanti sace etaṃ. Bhaginīti ariyavohārena ñātidāsiṃ ālapati. Chaḍḍanīyadhammanti chaḍḍetabbasabhāvaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘bhagini, etaṃ sace bahi chaḍḍanīyadhammaṃ nissaṭṭhapariggahaṃ, taṃ idha me patte ākirā’’ti.
กิํ ปน เอวํ วตฺตุํ ลพฺภติ, วิญฺญตฺติ วา ปยุตฺตวาจา วา น โหตีติ? น โหติฯ กสฺมา? นิสฺสฎฺฐปริคฺคหตฺตาฯ ยญฺหิ ฉฑฺฑนียธมฺมํ นิสฺสฎฺฐปริคฺคหํ, ยตฺถ สามิกา อนาลยา โหนฺติ, ตํ สพฺพํ ‘‘เทถ อาหรถ อิธ อากิรถา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ตถา หิ อคฺคอริยวํสิโก อายสฺมา รฎฺฐปาโลปิ ‘‘ฉฑฺฑนียธมฺมํ กุมฺมาสํ อิธ เม ปเตฺต อากิรา’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๙๙) อวจฯ ตสฺมา ยํ เอวรูปํ ฉฑฺฑนียธมฺมํ อญฺญํ วา อปริคฺคหิตํ วนมูลผลเภสชฺชาทิกํ ตํ สพฺพํ ยถาสุขํ อาหราเปตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํ, น กุกฺกุจฺจายิตพฺพํฯ หตฺถานนฺติ ภิกฺขาคฺคหณตฺถํ ปตฺตํ อุปนามยโต มณิพนฺธโต ปภุติ ทฺวินฺนมฺปิ หตฺถานํฯ ปาทานนฺติ นิวาสนนฺตโต ปฎฺฐาย ทฺวินฺนมฺปิ ปาทานํฯ สรสฺสาติ ‘‘สเจตํ ภคินี’’ติ วาจํ นิจฺฉารยโต สรสฺส จฯ นิมิตฺตํ อคฺคเหสีติ คิหิกาเล สลฺลกฺขิตปุพฺพํ อาการํ อคฺคเหสิ สญฺชานิ สลฺลเกฺขสิฯ สุทิโนฺน หิ ภควโต ทฺวาทสเม วเสฺส ปพฺพชิโต วีสติเม วเสฺส ญาติกุลํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ สยํ ปพฺพชฺชาย อฎฺฐวสฺสิโก หุตฺวา; เตน นํ สา ญาติทาสี ทิสฺวาว น สญฺชานิ, นิมิตฺตํ ปน อคฺคเหสีติฯ
Kiṃ pana evaṃ vattuṃ labbhati, viññatti vā payuttavācā vā na hotīti? Na hoti. Kasmā? Nissaṭṭhapariggahattā. Yañhi chaḍḍanīyadhammaṃ nissaṭṭhapariggahaṃ, yattha sāmikā anālayā honti, taṃ sabbaṃ ‘‘detha āharatha idha ākirathā’’ti vattuṃ vaṭṭati. Tathā hi aggaariyavaṃsiko āyasmā raṭṭhapālopi ‘‘chaḍḍanīyadhammaṃ kummāsaṃ idha me patte ākirā’’ti (ma. ni. 2.299) avaca. Tasmā yaṃ evarūpaṃ chaḍḍanīyadhammaṃ aññaṃ vā apariggahitaṃ vanamūlaphalabhesajjādikaṃ taṃ sabbaṃ yathāsukhaṃ āharāpetvā paribhuñjitabbaṃ, na kukkuccāyitabbaṃ. Hatthānanti bhikkhāggahaṇatthaṃ pattaṃ upanāmayato maṇibandhato pabhuti dvinnampi hatthānaṃ. Pādānanti nivāsanantato paṭṭhāya dvinnampi pādānaṃ. Sarassāti ‘‘sacetaṃ bhaginī’’ti vācaṃ nicchārayato sarassa ca. Nimittaṃ aggahesīti gihikāle sallakkhitapubbaṃ ākāraṃ aggahesi sañjāni sallakkhesi. Sudinno hi bhagavato dvādasame vasse pabbajito vīsatime vasse ñātikulaṃ piṇḍāya paviṭṭho sayaṃ pabbajjāya aṭṭhavassiko hutvā; tena naṃ sā ñātidāsī disvāva na sañjāni, nimittaṃ pana aggahesīti.
สุทินฺนสฺส มาตรํ เอตทโวจาติ อติครุนา ปพฺพชฺชูปคเตน สามิปุเตฺตน สทฺธิํ ‘‘ตฺวํ นุ โข เม, ภเนฺต, อโยฺย สุทิโนฺน’’ติอาทิวจนํ วตฺตุํ อวิสหนฺตี เวเคน ฆรํ ปวิสิตฺวา สุทินฺนสฺส มาตรํ เอตํ อโวจฯ ยเคฺฆติ อาโรจนเตฺถ นิปาโตฯ สเจ เช สจฺจนฺติ เอตฺถ เชติ อาลปเน นิปาโตฯ เอวญฺหิ ตสฺมิํ เทเส ทาสิชนํ อาลปนฺติ, ตสฺมา ‘‘ตฺวํ, โภติ ทาสิ, สเจ สจฺจํ ภณสี’’ติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Sudinnassa mātaraṃ etadavocāti atigarunā pabbajjūpagatena sāmiputtena saddhiṃ ‘‘tvaṃ nu kho me, bhante, ayyo sudinno’’tiādivacanaṃ vattuṃ avisahantī vegena gharaṃ pavisitvā sudinnassa mātaraṃ etaṃ avoca. Yaggheti ārocanatthe nipāto. Sace je saccanti ettha jeti ālapane nipāto. Evañhi tasmiṃ dese dāsijanaṃ ālapanti, tasmā ‘‘tvaṃ, bhoti dāsi, sace saccaṃ bhaṇasī’’ti evamettha attho daṭṭhabbo.
๓๒. อญฺญตรํ กุฎฺฎมูลนฺติ ตสฺมิํ กิร เทเส ทานปตีนํ ฆเรสุ สาลา โหนฺติ, อาสนานิ เจตฺถ ปญฺญตฺตานิ โหนฺติ, อุปฎฺฐาปิตํ อุทกกญฺชิยํ; ตตฺถ ปพฺพชิตา ปิณฺฑาย จริตฺวา นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺติฯ สเจ อิจฺฉนฺติ, ทานปตีนมฺปิ สนฺตกํ คณฺหนฺติฯ ตสฺมา ตมฺปิ อญฺญตรสฺส กุลสฺส อีทิสาย สาลาย อญฺญตรํ กุฎฺฎมูลนฺติ เวทิตพฺพํฯ น หิ ปพฺพชิตา กปณมนุสฺสา วิย อสารุเปฺป ฐาเน นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺตีติฯ
32.Aññataraṃ kuṭṭamūlanti tasmiṃ kira dese dānapatīnaṃ gharesu sālā honti, āsanāni cettha paññattāni honti, upaṭṭhāpitaṃ udakakañjiyaṃ; tattha pabbajitā piṇḍāya caritvā nisīditvā bhuñjanti. Sace icchanti, dānapatīnampi santakaṃ gaṇhanti. Tasmā tampi aññatarassa kulassa īdisāya sālāya aññataraṃ kuṭṭamūlanti veditabbaṃ. Na hi pabbajitā kapaṇamanussā viya asāruppe ṭhāne nisīditvā bhuñjantīti.
อตฺถิ นาม ตาตาติ เอตฺถ อตฺถีติ วิชฺชมานเตฺถ; นามาติ ปุจฺฉนเตฺถ มญฺญนเตฺถ จ นิปาโตฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อตฺถิ นุ โข, ตาต สุทินฺน, อมฺหากํ ธนํ, น มยํ นิทฺธนาติ วตฺตพฺพา, เยสํ โน ตฺวํ อีทิเส ฐาเน นิสีทิตฺวา อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ ปริภุญฺชิสฺสสิ’’; ตถา ‘‘อตฺถิ นุ โข, ตาต สุทินฺน, อมฺหากํ ชีวิตํ, น มยํ มตาติ วตฺตพฺพา, เยสํ โน ตฺวํ อีทิเส ฐาเน นิสีทิตฺวา อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ ปริภุญฺชิสฺสสิ’’; ตถา ‘‘อตฺถิ มเญฺญ, ตาต สุทินฺน, ตว อพฺภนฺตเร สาสนํ นิสฺสาย ปฎิลโทฺธ สมณคุโณ, ยํ ตฺวํ สุโภชนรสสํวฑฺฒิโตปิ อิมํ ชิคุจฺฉเนยฺยํ อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ อมตมิว นิพฺพิกาโร ปริภุญฺชิสฺสสี’’ติฯ
Atthi nāma tātāti ettha atthīti vijjamānatthe; nāmāti pucchanatthe maññanatthe ca nipāto. Idañhi vuttaṃ hoti – ‘‘atthi nu kho, tāta sudinna, amhākaṃ dhanaṃ, na mayaṃ niddhanāti vattabbā, yesaṃ no tvaṃ īdise ṭhāne nisīditvā ābhidosikaṃ kummāsaṃ paribhuñjissasi’’; tathā ‘‘atthi nu kho, tāta sudinna, amhākaṃ jīvitaṃ, na mayaṃ matāti vattabbā, yesaṃ no tvaṃ īdise ṭhāne nisīditvā ābhidosikaṃ kummāsaṃ paribhuñjissasi’’; tathā ‘‘atthi maññe, tāta sudinna, tava abbhantare sāsanaṃ nissāya paṭiladdho samaṇaguṇo, yaṃ tvaṃ subhojanarasasaṃvaḍḍhitopi imaṃ jigucchaneyyaṃ ābhidosikaṃ kummāsaṃ amatamiva nibbikāro paribhuñjissasī’’ti.
โส ปน คหปติ ทุกฺขาภิตุนฺนตาย เอตมตฺถํ ปริปุณฺณํ กตฺวา วตฺตุมสโกฺกโนฺต ‘‘อตฺถิ นาม, ตาต สุทินฺน, อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ ปริภุญฺชิสฺสสี’’ติ เอตฺตกเมว อโวจฯ อกฺขรจินฺตกา ปเนตฺถ อิมํ ลกฺขณํ วทนฺติ – อโนกปฺปนามริสนตฺถวเสน เอตํ อตฺถินามสเทฺท อุปปเท ‘‘ปริภุญฺชิสฺสสี’’ติ อนาคตวจนํ กตํฯ ตสฺสายมโตฺถ – อตฺถิ นาม…เป.… ปริภุญฺชิสฺสสิ, อิทํ ปจฺจกฺขมฺปิ อหํ น สทฺทหามิ น มริสยามีติฯ ตตายํ อาภิโทสิโกติ ตโต ตว เคหโต อยํ อาภิโทสิโก กุมฺมาโส ลโทฺธติ อโตฺถฯ ตโตยนฺติปิ ปาโฐฯ ตทายนฺติปิ ปฐนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ เยน สกปิตุ นิเวสนนฺติ เยน สกสฺส ปิตุ อตฺตโน ปิตุ นิเวสนนฺติ อโตฺถ; เถโร ปิตริ เปเมเนว สุพฺพโจ หุตฺวา อคมาสิฯ อธิวาเสสีติ เถโร อุกฺกฎฺฐปิณฺฑปาติโกปิ สมาโน ‘‘สเจ เอกภตฺตมฺปิ น คเหสฺสามิ, อติวิย เนสํ โทมนสฺสํ ภวิสฺสตี’’ติ ญาตีนํ อนุกมฺปาย อธิวาเสสิฯ
So pana gahapati dukkhābhitunnatāya etamatthaṃ paripuṇṇaṃ katvā vattumasakkonto ‘‘atthi nāma, tāta sudinna, ābhidosikaṃ kummāsaṃ paribhuñjissasī’’ti ettakameva avoca. Akkharacintakā panettha imaṃ lakkhaṇaṃ vadanti – anokappanāmarisanatthavasena etaṃ atthināmasadde upapade ‘‘paribhuñjissasī’’ti anāgatavacanaṃ kataṃ. Tassāyamattho – atthi nāma…pe… paribhuñjissasi, idaṃ paccakkhampi ahaṃ na saddahāmi na marisayāmīti. Tatāyaṃ ābhidosikoti tato tava gehato ayaṃ ābhidosiko kummāso laddhoti attho. Tatoyantipi pāṭho. Tadāyantipi paṭhanti, taṃ na sundaraṃ. Yena sakapitu nivesananti yena sakassa pitu attano pitu nivesananti attho; thero pitari pemeneva subbaco hutvā agamāsi. Adhivāsesīti thero ukkaṭṭhapiṇḍapātikopi samāno ‘‘sace ekabhattampi na gahessāmi, ativiya nesaṃ domanassaṃ bhavissatī’’ti ñātīnaṃ anukampāya adhivāsesi.
๓๓. โอปุญฺชาเปตฺวาติ อุปลิมฺปาเปตฺวาฯ เอกํ หิรญฺญสฺสาติ เอตฺถ หิรญฺญนฺติ กหาปโณ เวทิตโพฺพฯ ปุริโสติ นาติทีโฆ นาติรโสฺส มชฺฌิมปฺปมาโณ เวทิตโพฺพฯ ติโรกรณียนฺติ กรณเตฺถ ภุมฺมํ; สาณิปากาเรน ปริกฺขิปิตฺวาติ อโตฺถฯ อถ วา ติโร กโรนฺติ เอเตนาติ ติโรกรณียํ, ตํ ปริกฺขิปิตฺวา; สมนฺตโต กตฺวาติ อโตฺถฯ เตน หีติ ยสฺมา อชฺช สุทิโนฺน อาคมิสฺสติ เตน การเณนฯ หิ อิติ ปทปูรณมเตฺต นิปาโตฯ เตนาติ อยมฺปิ วา อุโยฺยชนเตฺถ นิปาโตเยวฯ
33.Opuñjāpetvāti upalimpāpetvā. Ekaṃ hiraññassāti ettha hiraññanti kahāpaṇo veditabbo. Purisoti nātidīgho nātirasso majjhimappamāṇo veditabbo. Tirokaraṇīyanti karaṇatthe bhummaṃ; sāṇipākārena parikkhipitvāti attho. Atha vā tiro karonti etenāti tirokaraṇīyaṃ, taṃ parikkhipitvā; samantato katvāti attho. Tena hīti yasmā ajja sudinno āgamissati tena kāraṇena. Hi iti padapūraṇamatte nipāto. Tenāti ayampi vā uyyojanatthe nipātoyeva.
๓๔. ปุพฺพณฺหสมยนฺติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ปาฬิยํ กาลาโรจนํ น วุตฺตํ, อถ โข อาโรจิเตเยว กาเล อคมาสีติ เวทิตโพฺพฯ อิทํ เต ตาตาติ เทฺว ปุเญฺช ทเสฺสโนฺต อาหฯ มาตูติ ชเนตฺติยาฯ มตฺติกนฺติ มาติโต อาคตํ; อิทํ เต มาตามหิยา มาตุ อิมํ เคหํ อาคจฺฉนฺติยา ทินฺนธนนฺติ อโตฺถฯ อิตฺถิกาย อิตฺถิธนนฺติ หีเฬโนฺต อาห ฯ อิตฺถิกาย นาม อิตฺถิปริโภคานํเยว นฺหานจุณฺณาทีนํ อตฺถาย ลทฺธํ ธนํ กิตฺตกํ ภเวยฺยฯ ตสฺสาปิ ตาว ปริมาณํ ปสฺสฯ อถ วา อิทํ เต ตาต สุทินฺน มาตุ ธนํ, ตญฺจ โข มตฺติกํ, น มยา ทินฺนํ, ตว มาตุเยว สนฺตกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ ปเนตํ น กสิยา น วณิชฺชาย สมฺภูตํ, อปิจ โข อิตฺถิกาย อิตฺถิธนํฯ ยํ อิตฺถิกาย ญาติกุลโต สามิกกุลํ คจฺฉนฺติยา ลทฺธพฺพํ นฺหานจุณฺณาทีนํ อตฺถาย อิตฺถิธนํ, ตํ ตาว เอตฺตกนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
34.Pubbaṇhasamayanti ettha kiñcāpi pāḷiyaṃ kālārocanaṃ na vuttaṃ, atha kho ārociteyeva kāle agamāsīti veditabbo. Idaṃ te tātāti dve puñje dassento āha. Mātūti janettiyā. Mattikanti mātito āgataṃ; idaṃ te mātāmahiyā mātu imaṃ gehaṃ āgacchantiyā dinnadhananti attho. Itthikāya itthidhananti hīḷento āha . Itthikāya nāma itthiparibhogānaṃyeva nhānacuṇṇādīnaṃ atthāya laddhaṃ dhanaṃ kittakaṃ bhaveyya. Tassāpi tāva parimāṇaṃ passa. Atha vā idaṃ te tāta sudinna mātu dhanaṃ, tañca kho mattikaṃ, na mayā dinnaṃ, tava mātuyeva santakanti vuttaṃ hoti. Taṃ panetaṃ na kasiyā na vaṇijjāya sambhūtaṃ, apica kho itthikāya itthidhanaṃ. Yaṃ itthikāya ñātikulato sāmikakulaṃ gacchantiyā laddhabbaṃ nhānacuṇṇādīnaṃ atthāya itthidhanaṃ, taṃ tāva ettakanti evamettha attho daṭṭhabbo.
อญฺญํ เปตฺติกํ อญฺญํ ปิตามหนฺติ ยํ ปน เต ปิตุ จ ปิตามหานญฺจ สนฺตกํ, ตํ อญฺญํเยวฯ นิหิตญฺจ ปยุตฺตญฺจ อติวิย พหุ; เอตฺถ จ ปิตามหนฺติ ตทฺธิตโลปํ กตฺวา เวทิตพฺพํฯ เปตามหนฺติ วา ปาโฐฯ ลพฺภา ตาต สุทินฺน หีนายาวตฺติตฺวาติ ตาต, สุทินฺน, อุตฺตมํ อริยทฺธชํ ปพฺพชิตลิงฺคํ ปหาย หีนาย คิหิภาวาย อาวตฺติตฺวา ลพฺภา โภคา ภุญฺชิตุํ, นาลพฺภา ภุญฺชิตุํ, น ตฺวํ ราชภีโต ปพฺพชิโต, น อิณายิเกหิ ปลิพุโทฺธ หุตฺวาติฯ ตาต น อุสฺสหามีติ เอตฺถ ปน ตาตาติ วจนํ เคหสิตเปเมน อาห, น สมณเตเชนฯ น อุสฺสหามีติ น สโกฺกมิฯ น วิสหามีติ นปฺปโหมิ, น สมโตฺถมฺหิฯ
Aññaṃ pettikaṃ aññaṃ pitāmahanti yaṃ pana te pitu ca pitāmahānañca santakaṃ, taṃ aññaṃyeva. Nihitañca payuttañca ativiya bahu; ettha ca pitāmahanti taddhitalopaṃ katvā veditabbaṃ. Petāmahanti vā pāṭho. Labbhā tāta sudinna hīnāyāvattitvāti tāta, sudinna, uttamaṃ ariyaddhajaṃ pabbajitaliṅgaṃ pahāya hīnāya gihibhāvāya āvattitvā labbhā bhogā bhuñjituṃ, nālabbhā bhuñjituṃ, na tvaṃ rājabhīto pabbajito, na iṇāyikehi palibuddho hutvāti. Tāta na ussahāmīti ettha pana tātāti vacanaṃ gehasitapemena āha, na samaṇatejena. Na ussahāmīti na sakkomi. Na visahāmīti nappahomi, na samatthomhi.
‘‘วเทยฺยาม โข ตํ คหปตี’’ติ อิทํ ปน วจนํ สมณเตเชนาหฯ นาติกเฑฺฒยฺยาสีติ ยํ เต มยิ เปมํ ปติฎฺฐิตํ, ตํ โกธวเสน น อติกเฑฺฒยฺยาสิ; สเจ น กุเชฺฌยฺยาสีติ วุตฺตํ โหติฯ ตโต เสฎฺฐิ ‘‘ปุโตฺต เม สงฺคหํ มเญฺญ กตฺตุกาโม’’ติ อุทคฺคจิโตฺต อาห – ‘‘วเทหิ ตาต สุทินฺนา’’ติฯ เตนหีติ อุโยฺยชนเตฺถ วิภตฺติปติรูปโก นิปาโตฯ ตโตนิทานนฺติ ตํนิทานํ ตํเหตุกนฺติ ปจฺจตฺตวจนสฺส โต-อาเทโส เวทิตโพฺพ; สมาเส จสฺส โลปาภาโวฯ ภยํ วาติ ‘‘กินฺติ เม โภเค เนว ราชาโน หเรยฺยุ’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตํ ราชาทิภยํ; จิตฺตุตฺราโสติ อโตฺถฯ ฉมฺภิตตฺตนฺติ ราชูหิ วา โจเรหิ วา ‘‘ธนํ เทหี’’ติ กมฺมการณํ การิยมานสฺส กายิญฺชนํ กายกโมฺป หทยมํสจลนํฯ โลมหํโสติ อุปฺปเนฺน ภเย โลมานํ หํสนํ อุทฺธคฺคภาโวฯ อารโกฺขติ อโนฺต จ พหิ จ รตฺติญฺจ ทิวา จ อารกฺขณํฯ
‘‘Vadeyyāma kho taṃ gahapatī’’ti idaṃ pana vacanaṃ samaṇatejenāha. Nātikaḍḍheyyāsīti yaṃ te mayi pemaṃ patiṭṭhitaṃ, taṃ kodhavasena na atikaḍḍheyyāsi; sace na kujjheyyāsīti vuttaṃ hoti. Tato seṭṭhi ‘‘putto me saṅgahaṃ maññe kattukāmo’’ti udaggacitto āha – ‘‘vadehi tāta sudinnā’’ti. Tenahīti uyyojanatthe vibhattipatirūpako nipāto. Tatonidānanti taṃnidānaṃ taṃhetukanti paccattavacanassa to-ādeso veditabbo; samāse cassa lopābhāvo. Bhayaṃ vāti ‘‘kinti me bhoge neva rājāno hareyyu’’ntiādinā nayena vuttaṃ rājādibhayaṃ; cittutrāsoti attho. Chambhitattanti rājūhi vā corehi vā ‘‘dhanaṃ dehī’’ti kammakāraṇaṃ kāriyamānassa kāyiñjanaṃ kāyakampo hadayamaṃsacalanaṃ. Lomahaṃsoti uppanne bhaye lomānaṃ haṃsanaṃ uddhaggabhāvo. Ārakkhoti anto ca bahi ca rattiñca divā ca ārakkhaṇaṃ.
๓๕. เตน หิ วธูติ เสฎฺฐิ คหปติ ธนํ ทเสฺสตฺวา ปุตฺตํ อตฺตนา คิหิภาวตฺถาย ปโลเภตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘มาตุคามสทิสํ ทานิ ปุริสานํ พนฺธนํ นตฺถี’’ติ มญฺญิตฺวา ตสฺส ปุราณทุติยิกํ อามเนฺตสิ – ‘‘เตน หิ วธู’’ติฯ ปุราณทุติยิกนฺติ ปุราณํ ทุติยิกํ ปุเพฺพ คิหิกาเล ทุติยิกํ, เคหสิตสุขุปโภคสหายิกํ ภูตปุพฺพภริยนฺติ อโตฺถฯ เตน หีติ เยน การเณน มาตุคามสทิสํ พนฺธนํ นตฺถิฯ ปาเทสุ คเหตฺวาติ ปาเท คเหตฺวา; อุปโยคเตฺถ ภุมฺมวจนํ, ปาเทสุ วา ตํ คเหตฺวาฯ ‘‘กีทิสา นาม ตา อยฺยปุตฺต อจฺฉราโย’’ติ กสฺมา เอวมาห? ตทา กิร สมฺพหุเล ขตฺติยกุมาเรปิ พฺราหฺมณกุมาเรปิ เสฎฺฐิปุเตฺตปิ มหาสมฺปตฺติโย ปหาย ปพฺพชเนฺต ทิสฺวา ปพฺพชฺชาคุณํ อชานนฺตา กถํ สมุฎฺฐาเปนฺติ – ‘‘กสฺมา เอเต ปพฺพชนฺตี’’ติฯ อถเญฺญ วทนฺติ – ‘‘เทวจฺฉรานํ เทวนาฎกานํ การณา’’ติฯ สา กถา วิตฺถาริกา อโหสิฯ ตํ คเหตฺวา อยํ เอวมาหาติฯ เถโร ตํ ปฎิกฺขิปโนฺต น โข อหํ ภคินีติ อาหฯ สมุทาจรตีติ โวหรติ วเทติฯ ตเตฺถว มุจฺฉิตา ปปตาติ นํ ภคินิวาเทน สมุทาจรนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อนตฺถิโก ทานิ มยา อยํ โย มํ ปชาปติํ สมานํ อตฺตนา สทฺธิํ เอกมาตุกุจฺฉิยา สยิตทาริกํ วิย มญฺญตี’’ติ สมุปฺปนฺนพลวโสกา หุตฺวา ตสฺมิํเยว ปเทเส มุจฺฉิตา ปปตา; ปติตาติ อโตฺถฯ
35.Tena hi vadhūti seṭṭhi gahapati dhanaṃ dassetvā puttaṃ attanā gihibhāvatthāya palobhetuṃ asakkonto ‘‘mātugāmasadisaṃ dāni purisānaṃ bandhanaṃ natthī’’ti maññitvā tassa purāṇadutiyikaṃ āmantesi – ‘‘tena hi vadhū’’ti. Purāṇadutiyikanti purāṇaṃ dutiyikaṃ pubbe gihikāle dutiyikaṃ, gehasitasukhupabhogasahāyikaṃ bhūtapubbabhariyanti attho. Tena hīti yena kāraṇena mātugāmasadisaṃ bandhanaṃ natthi. Pādesu gahetvāti pāde gahetvā; upayogatthe bhummavacanaṃ, pādesu vā taṃ gahetvā. ‘‘Kīdisā nāma tā ayyaputta accharāyo’’ti kasmā evamāha? Tadā kira sambahule khattiyakumārepi brāhmaṇakumārepi seṭṭhiputtepi mahāsampattiyo pahāya pabbajante disvā pabbajjāguṇaṃ ajānantā kathaṃ samuṭṭhāpenti – ‘‘kasmā ete pabbajantī’’ti. Athaññe vadanti – ‘‘devaccharānaṃ devanāṭakānaṃ kāraṇā’’ti. Sā kathā vitthārikā ahosi. Taṃ gahetvā ayaṃ evamāhāti. Thero taṃ paṭikkhipanto na kho ahaṃ bhaginīti āha. Samudācaratīti voharati vadeti. Tattheva mucchitā papatāti naṃ bhaginivādena samudācarantaṃ disvā ‘‘anatthiko dāni mayā ayaṃ yo maṃ pajāpatiṃ samānaṃ attanā saddhiṃ ekamātukucchiyā sayitadārikaṃ viya maññatī’’ti samuppannabalavasokā hutvā tasmiṃyeva padese mucchitā papatā; patitāti attho.
มา โน วิเหฐยิตฺถาติ มา อเมฺห ธนํ ทเสฺสตฺวา มาตุคามญฺจ อุโยฺยเชตฺวา วิเหฐยิตฺถ; วิเหสา เหสา ปพฺพชิตานนฺติฯ เตน หิ ตาต สุทินฺน พีชกมฺปิ เทหีติ เอตฺถ เตน หีติ อภิรติยํ อุโยฺยเชติฯ สเจ ตฺวํ อภิรโต พฺรหฺมจริยํ จรสิ, จริตฺวา อากาเส นิสีทิตฺวา ปรินิพฺพายิตา โหหิ, อมฺหากํ ปน กุลวํสพีชกํ เอกํ ปุตฺตํ เทหิฯ มา โน อปุตฺตกํ สาปเตยฺยํ ลิจฺฉวโย อติหราเปสุนฺติ มยญฺหิ ลิจฺฉวีนํ คณราชูนํ รเชฺช วสาม, เต เต ปิตุโน อจฺจเยน อิมํ สาปเตยฺยํ เอวํ มหนฺตํ อมฺหากํ วิภวํ อปุตฺตกํ กุลธนรกฺขเกน ปุเตฺตน วิรหิตํ อตฺตโน ราชเนฺตปุรํ อติหราเปยฺยุนฺติ, ตํ เต มา อติหราเปสุํ, มา อติหราเปนฺตูติฯ
Mā no viheṭhayitthāti mā amhe dhanaṃ dassetvā mātugāmañca uyyojetvā viheṭhayittha; vihesā hesā pabbajitānanti. Tena hi tāta sudinna bījakampi dehīti ettha tena hīti abhiratiyaṃ uyyojeti. Sace tvaṃ abhirato brahmacariyaṃ carasi, caritvā ākāse nisīditvā parinibbāyitā hohi, amhākaṃ pana kulavaṃsabījakaṃ ekaṃ puttaṃ dehi. Mā no aputtakaṃ sāpateyyaṃ licchavayo atiharāpesunti mayañhi licchavīnaṃ gaṇarājūnaṃ rajje vasāma, te te pituno accayena imaṃ sāpateyyaṃ evaṃ mahantaṃ amhākaṃ vibhavaṃ aputtakaṃ kuladhanarakkhakena puttena virahitaṃ attano rājantepuraṃ atiharāpeyyunti, taṃ te mā atiharāpesuṃ, mā atiharāpentūti.
เอตํ โข เม, อมฺม, สกฺกา กาตุนฺติ กสฺมา เอวมาห? โส กิร จิเนฺตสิ – ‘‘เอเตสํ สาปเตยฺยสฺส อหเมว สามี, อโญฺญ นตฺถิฯ เต มํ สาปเตยฺยรกฺขณตฺถาย นิจฺจํ อนุพนฺธิสฺสนฺติ; เตนาหํ น ลจฺฉามิ อโปฺปสฺสุโกฺก สมณธมฺมํ กาตุํ, ปุตฺตกํ ปน ลภิตฺวา โอรมิสฺสนฺติ, ตโต อหํ ยถาสุขํ สมณธมฺมํ กริสฺสามี’’ติ อิมํ นยํ ปสฺสโนฺต เอวมาหาติฯ
Etaṃ kho me, amma, sakkā kātunti kasmā evamāha? So kira cintesi – ‘‘etesaṃ sāpateyyassa ahameva sāmī, añño natthi. Te maṃ sāpateyyarakkhaṇatthāya niccaṃ anubandhissanti; tenāhaṃ na lacchāmi appossukko samaṇadhammaṃ kātuṃ, puttakaṃ pana labhitvā oramissanti, tato ahaṃ yathāsukhaṃ samaṇadhammaṃ karissāmī’’ti imaṃ nayaṃ passanto evamāhāti.
๓๖. ปุปฺผนฺติ อุตุกาเล อุปฺปนฺนโลหิตสฺส นามํฯ มาตุคามสฺส หิ อุตุกาเล คพฺภปติฎฺฐานฎฺฐาเน โลหิตวณฺณา ปิฬกา สณฺฐหิตฺวา สตฺต ทิวสานิ วฑฺฒิตฺวา ภิชฺชนฺติ, ตโต โลหิตํ ปคฺฆรติ, ตเสฺสตํ นามํ ‘‘ปุปฺผ’’นฺติฯ ตํ ปน ยาว พลวํ โหติ พหุ ปคฺฆรติ, ตาว ทินฺนาปิ ปฎิสนฺธิ น ติฎฺฐติ, โทเสเนว สทฺธิํ ปคฺฆรติ; โทเส ปน ปคฺฆริเต สุเทฺธ วตฺถุมฺหิ ทินฺนา ปฎิสนฺธิ ขิปฺปํ ปติฎฺฐาติฯ ปุปฺผํสา อุปฺปชฺชีติ ปุปฺผํ อสฺสา อุปฺปชฺชิ; อการโลเปน สนฺธิ ปุราณทุติยิกาย พาหายํ คเหตฺวาติ ปุราณทุติยิกาย ยา พาหา, ตตฺร นํ คเหตฺวาติ อโตฺถฯ
36.Pupphanti utukāle uppannalohitassa nāmaṃ. Mātugāmassa hi utukāle gabbhapatiṭṭhānaṭṭhāne lohitavaṇṇā piḷakā saṇṭhahitvā satta divasāni vaḍḍhitvā bhijjanti, tato lohitaṃ paggharati, tassetaṃ nāmaṃ ‘‘puppha’’nti. Taṃ pana yāva balavaṃ hoti bahu paggharati, tāva dinnāpi paṭisandhi na tiṭṭhati, doseneva saddhiṃ paggharati; dose pana paggharite suddhe vatthumhi dinnā paṭisandhi khippaṃ patiṭṭhāti. Pupphaṃsā uppajjīti pupphaṃ assā uppajji; akāralopena sandhi purāṇadutiyikāya bāhāyaṃ gahetvāti purāṇadutiyikāya yā bāhā, tatra naṃ gahetvāti attho.
อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเทติ ปฐมปาราชิกสิกฺขาปเท อฎฺฐปิเตฯ ภควโต กิร ปฐมโพธิยํ วีสติ วสฺสานิ ภิกฺขู จิตฺตํ อาราธยิํสุ, น เอวรูปํ อชฺฌาจารมกํสุฯ ตํ สนฺธาเยว อิทํ สุตฺตมาห – ‘‘อาราธยิํสุ วต เม, ภิกฺขเว, ภิกฺขู เอกํ สมยํ จิตฺต’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๒๕)ฯ อถ ภควา อชฺฌาจารํ อปสฺสโนฺต ปาราชิกํ วา สงฺฆาทิเสสํ วา น ปญฺญเปสิฯ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปน วตฺถุสฺมิํ อวเสเส ปญฺจ ขุทฺทกาปตฺติกฺขเนฺธ เอว ปญฺญเปสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเท’’ติฯ
Apaññatte sikkhāpadeti paṭhamapārājikasikkhāpade aṭṭhapite. Bhagavato kira paṭhamabodhiyaṃ vīsati vassāni bhikkhū cittaṃ ārādhayiṃsu, na evarūpaṃ ajjhācāramakaṃsu. Taṃ sandhāyeva idaṃ suttamāha – ‘‘ārādhayiṃsu vata me, bhikkhave, bhikkhū ekaṃ samayaṃ citta’’nti (ma. ni. 1.225). Atha bhagavā ajjhācāraṃ apassanto pārājikaṃ vā saṅghādisesaṃ vā na paññapesi. Tasmiṃ tasmiṃ pana vatthusmiṃ avasese pañca khuddakāpattikkhandhe eva paññapesi. Tena vuttaṃ – ‘‘apaññatte sikkhāpade’’ti.
อนาทีนวทโสฺสติ ยํ ภควา อิทานิ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปโนฺต อาทีนวํ ทเสฺสสฺสติ, ตํ อปสฺสโนฺต อนวชฺชสญฺญี หุตฺวาฯ สเจ หิ ‘‘อยํ อิทํ น กรณียนฺติ วา มูลเจฺฉชฺชาย วา สํวตฺตตี’’ติ ชาเนยฺย, สทฺธาปพฺพชิโต กุลปุโตฺต ตโตนิทานํ ชีวิตกฺขยํ ปาปุณโนฺตปิ น กเรยฺยฯ เอตฺถ ปน อาทีนวํ อปสฺสโนฺต นิโทฺทสสญฺญี อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนาทีนวทโสฺส’’ติฯ ปุราณทุติยิกายาติ ภุมฺมวจนํฯ อภิวิญฺญาเปสีติ ปวเตฺตสิ; ปวตฺตนาปิ หิ กายวิญฺญตฺติโจปนโต ‘‘วิญฺญาปนา’’ติ วุจฺจติฯ ติกฺขตฺตุํ อภิวิญฺญาปนเญฺจส คพฺภสณฺฐานสนฺนิฎฺฐานตฺถมกาสีติ เวทิตโพฺพฯ
Anādīnavadassoti yaṃ bhagavā idāni sikkhāpadaṃ paññapento ādīnavaṃ dassessati, taṃ apassanto anavajjasaññī hutvā. Sace hi ‘‘ayaṃ idaṃ na karaṇīyanti vā mūlacchejjāya vā saṃvattatī’’ti jāneyya, saddhāpabbajito kulaputto tatonidānaṃ jīvitakkhayaṃ pāpuṇantopi na kareyya. Ettha pana ādīnavaṃ apassanto niddosasaññī ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘anādīnavadasso’’ti. Purāṇadutiyikāyāti bhummavacanaṃ. Abhiviññāpesīti pavattesi; pavattanāpi hi kāyaviññatticopanato ‘‘viññāpanā’’ti vuccati. Tikkhattuṃ abhiviññāpanañcesa gabbhasaṇṭhānasanniṭṭhānatthamakāsīti veditabbo.
สา เตน คพฺภํ คณฺหีติ สา จ เตเนว อชฺฌาจาเรน คพฺภํ คณฺหิ, น อญฺญถาฯ กิํ ปน อญฺญถาปิ คพฺภคฺคหณํ โหตีติ ? โหติฯ กถํ? กายสํสเคฺคน , โจฬคฺคหเณน, อสุจิปาเนน, นาภิปรามสเนน, รูปทสฺสเนน, สเทฺทน, คเนฺธนฯ อิตฺถิโย หิ เอกจฺจา อุตุสมเย ฉนฺทราครตฺตา ปุริสานํ หตฺถคฺคาห-เวณิคฺคาห-องฺคปจฺจงฺคปรามสนํ สาทิยนฺติโยปิ คพฺภํ คณฺหนฺติฯ เอวํ กายสํสเคฺคน คพฺภคฺคหณํ โหติฯ
Sā tena gabbhaṃ gaṇhīti sā ca teneva ajjhācārena gabbhaṃ gaṇhi, na aññathā. Kiṃ pana aññathāpi gabbhaggahaṇaṃ hotīti ? Hoti. Kathaṃ? Kāyasaṃsaggena , coḷaggahaṇena, asucipānena, nābhiparāmasanena, rūpadassanena, saddena, gandhena. Itthiyo hi ekaccā utusamaye chandarāgarattā purisānaṃ hatthaggāha-veṇiggāha-aṅgapaccaṅgaparāmasanaṃ sādiyantiyopi gabbhaṃ gaṇhanti. Evaṃ kāyasaṃsaggena gabbhaggahaṇaṃ hoti.
อุทายิเตฺถรสฺส ปน ปุราณทุติยิกา ภิกฺขุนี ตํ อสุจิํ เอกเทสํ มุเขน อคฺคเหสิ, เอกเทสํ โจฬเกเนว สทฺธิํ องฺคชาเต ปกฺขิปิฯ สา เตน คพฺภํ คณฺหิฯ เอวํ โจฬคฺคหเณน คพฺภคฺคหณํ โหติฯ
Udāyittherassa pana purāṇadutiyikā bhikkhunī taṃ asuciṃ ekadesaṃ mukhena aggahesi, ekadesaṃ coḷakeneva saddhiṃ aṅgajāte pakkhipi. Sā tena gabbhaṃ gaṇhi. Evaṃ coḷaggahaṇena gabbhaggahaṇaṃ hoti.
มิคสิงฺคตาปสสฺส มาตา มิคี อุตุสมเย ตาปสสฺส ปสฺสาวฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา สสมฺภวํ ปสฺสาวํ ปิวิฯ สา เตน คพฺภํ คณฺหิตฺวา มิคสิงฺคํ วิชายิฯ เอวํ อสุจิปาเนน คพฺภคฺคหณํ โหติฯ
Migasiṅgatāpasassa mātā migī utusamaye tāpasassa passāvaṭṭhānaṃ āgantvā sasambhavaṃ passāvaṃ pivi. Sā tena gabbhaṃ gaṇhitvā migasiṅgaṃ vijāyi. Evaṃ asucipānena gabbhaggahaṇaṃ hoti.
สามสฺส ปน โพธิสตฺตสฺส มาตาปิตูนํ จกฺขุปริหานิํ ญตฺวา สโกฺก ปุตฺตํ ทาตุกาโม ทุกูลปณฺฑิตํ อาห – ‘‘วฎฺฎติ ตุมฺหากํ เมถุนธโมฺม’’ติ? ‘‘อนตฺถิกา มยํ เอเตน, อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตามฺหา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อิมิสฺสา อุตุสมเย องฺคุเฎฺฐน นาภิํ ปรามเสยฺยาถา’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ สา เตน คพฺภํ คณฺหิตฺวา สามํ ตาปสทารกํ วิชายิฯ เอวํ นาภิปรามสเนน คพฺภคฺคหณํ โหติฯ เอเตเนว นเยน มณฺฑพฺยสฺส จ จณฺฑปโชฺชตสฺส จ วตฺถุ เวทิตพฺพํฯ
Sāmassa pana bodhisattassa mātāpitūnaṃ cakkhuparihāniṃ ñatvā sakko puttaṃ dātukāmo dukūlapaṇḍitaṃ āha – ‘‘vaṭṭati tumhākaṃ methunadhammo’’ti? ‘‘Anatthikā mayaṃ etena, isipabbajjaṃ pabbajitāmhā’’ti. ‘‘Tena hi imissā utusamaye aṅguṭṭhena nābhiṃ parāmaseyyāthā’’ti. So tathā akāsi. Sā tena gabbhaṃ gaṇhitvā sāmaṃ tāpasadārakaṃ vijāyi. Evaṃ nābhiparāmasanena gabbhaggahaṇaṃ hoti. Eteneva nayena maṇḍabyassa ca caṇḍapajjotassa ca vatthu veditabbaṃ.
กถํ รูปทสฺสเนน โหติ? อิเธกจฺจา อิตฺถี อุตุสมเย ปุริสสํสคฺคํ อลภมานา ฉนฺทราควเสน อโนฺตเคหคตาว ปุริสํ อุปนิชฺฌายติ ราโชโรธา วิย, สา เตน คพฺภํ คณฺหาติฯ เอวํ รูปทสฺสเนน คพฺภคฺคหณํ โหติฯ
Kathaṃ rūpadassanena hoti? Idhekaccā itthī utusamaye purisasaṃsaggaṃ alabhamānā chandarāgavasena antogehagatāva purisaṃ upanijjhāyati rājorodhā viya, sā tena gabbhaṃ gaṇhāti. Evaṃ rūpadassanena gabbhaggahaṇaṃ hoti.
พลากาสุ ปน ปุริโส นาม นตฺถิ, ตา อุตุสมเย เมฆสทฺทํ สุตฺวา คพฺภํ คณฺหนฺติฯ กุกฺกุฎิโยปิ กทาจิ เอกสฺส กุกฺกุฎสฺส สทฺทํ สุตฺวา พหุกาปิ คพฺภํ คณฺหนฺติฯ ตถา คาวี อุสภสฺสฯ เอวํ สเทฺทน คพฺภคฺคหณํ โหติฯ
Balākāsu pana puriso nāma natthi, tā utusamaye meghasaddaṃ sutvā gabbhaṃ gaṇhanti. Kukkuṭiyopi kadāci ekassa kukkuṭassa saddaṃ sutvā bahukāpi gabbhaṃ gaṇhanti. Tathā gāvī usabhassa. Evaṃ saddena gabbhaggahaṇaṃ hoti.
คาวี เอว จ กทาจิ อุสภคเนฺธน คพฺภํ คณฺหนฺติฯ เอวํ คเนฺธน คพฺภคฺคหณํ โหติฯ
Gāvī eva ca kadāci usabhagandhena gabbhaṃ gaṇhanti. Evaṃ gandhena gabbhaggahaṇaṃ hoti.
อิธ ปนายํ อชฺฌาจาเรน คพฺภํ คณฺหิฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ อุตุนี โหติ, คนฺธโพฺพ จ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ, เอวํ ติณฺณํ สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๘)ฯ
Idha panāyaṃ ajjhācārena gabbhaṃ gaṇhi. Yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘mātāpitaro ca sannipatitā honti, mātā ca utunī hoti, gandhabbo ca paccupaṭṭhito hoti, evaṃ tiṇṇaṃ sannipātā gabbhassāvakkanti hotī’’ti (ma. ni. 1.408).
ภุมฺมา เทวา สทฺทมนุสฺสาเวสุนฺติ ยสฺมา นตฺถิ โลเก รโห นาม ปาปกมฺมํ ปกุพฺพโตฯ สพฺพปฐมํ หิสฺส ตํ ปาปํ อตฺตนา ชานาติ, ตโต อารกฺขเทวตา, อถญฺญาปิ ปรจิตฺตวิทุนิโย เทวตาฯ ตสฺมาสฺส ปรจิตฺตวิทู สกลวนสณฺฑนิสฺสิตา ภุมฺมา เทวา ตํ อชฺฌาจารํ ทิสฺวา สทฺทํ อนุสฺสาเวสุํฯ ยถา อเญฺญปิ เทวา สุณนฺติ, ตถา นิจฺฉาเรสุํฯ กินฺติ ? นิรพฺพุโท วต, โภ…เป.… อาทีนโว อุปฺปาทิโตติฯ ตสฺสโตฺถ เวรญฺชกเณฺฑ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Bhummādevā saddamanussāvesunti yasmā natthi loke raho nāma pāpakammaṃ pakubbato. Sabbapaṭhamaṃ hissa taṃ pāpaṃ attanā jānāti, tato ārakkhadevatā, athaññāpi paracittaviduniyo devatā. Tasmāssa paracittavidū sakalavanasaṇḍanissitā bhummā devā taṃ ajjhācāraṃ disvā saddaṃ anussāvesuṃ. Yathā aññepi devā suṇanti, tathā nicchāresuṃ. Kinti ? Nirabbudo vata, bho…pe… ādīnavo uppāditoti. Tassattho verañjakaṇḍe vuttanayeneva veditabbo.
ภุมฺมานํ เทวานํ สทฺทํ สุตฺวา จาตุมหาราชิกาติ เอตฺถ ปน ภุมฺมานํ เทวานํ สทฺทํ อากาสฎฺฐเทวตา อโสฺสสุํ; อากาสฎฺฐานํ จาตุมหาราชิกาติ อยมนุกฺกโม เวทิตโพฺพฯ พฺรหฺมกายิกาติ อสญฺญสเตฺต จ อรูปาวจเร จ ฐเปตฺวา สเพฺพปิ พฺรหฺมาโน อโสฺสสุํ; สุตฺวา จ สทฺทมนุสฺสาเวสุนฺติ เวทิตโพฺพฯ อิติห เตน ขเณนาติ เอวํ เตน สุทินฺนสฺส อชฺฌาจารกฺขเณนฯ เตน มุหุเตฺตนาติ อชฺฌาจารมุหุเตฺตเนวฯ ยาว พฺรหฺมโลกาติ ยาว อกนิฎฺฐพฺรหฺมโลกาฯ อพฺภุคฺคจฺฉีติ อภิอุคฺคจฺฉิ อพฺภุฎฺฐาสิ เอกโกลาหลมโหสีติฯ
Bhummānaṃ devānaṃ saddaṃ sutvā cātumahārājikāti ettha pana bhummānaṃ devānaṃ saddaṃ ākāsaṭṭhadevatā assosuṃ; ākāsaṭṭhānaṃ cātumahārājikāti ayamanukkamo veditabbo. Brahmakāyikāti asaññasatte ca arūpāvacare ca ṭhapetvā sabbepi brahmāno assosuṃ; sutvā ca saddamanussāvesunti veditabbo. Itiha tena khaṇenāti evaṃ tena sudinnassa ajjhācārakkhaṇena. Tena muhuttenāti ajjhācāramuhutteneva. Yāva brahmalokāti yāva akaniṭṭhabrahmalokā. Abbhuggacchīti abhiuggacchi abbhuṭṭhāsi ekakolāhalamahosīti.
ปุตฺตํ วิชายีติ สุวณฺณพิมฺพสทิสํ ปจฺฉิมภวิกสตฺตํ ชเนสิฯ พีชโกติ นามมกํสูติ น อญฺญํ นามํ กาตุมทํสุ, ‘‘พีชกมฺปิ เทหี’’ติ มาตามหิยา วุตฺตภาวสฺส ปากฎตฺตา ‘‘พีชโก เตฺววสฺส นามํ โหตู’’ติ ‘‘พีชโก’’ติ นามมกํสุฯ ปุตฺตสฺส ปน นามวเสเนว จ มาตาปิตูนมฺปิสฺส นามมกํสุฯ เต อปเรน สมเยนาติ พีชกญฺจ พีชกมาตรญฺจ สนฺธาย วุตฺตํฯ พีชกสฺส กิร สตฺตฎฺฐวสฺสกาเล ตสฺส มาตา ภิกฺขุนีสุ โส จ ภิกฺขูสุ ปพฺพชิตฺวา กลฺยาณมิเตฺต อุปนิสฺสาย อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อุโภ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉากํสู’’ติฯ
Puttaṃ vijāyīti suvaṇṇabimbasadisaṃ pacchimabhavikasattaṃ janesi. Bījakoti nāmamakaṃsūti na aññaṃ nāmaṃ kātumadaṃsu, ‘‘bījakampi dehī’’ti mātāmahiyā vuttabhāvassa pākaṭattā ‘‘bījako tvevassa nāmaṃ hotū’’ti ‘‘bījako’’ti nāmamakaṃsu. Puttassa pana nāmavaseneva ca mātāpitūnampissa nāmamakaṃsu. Te aparena samayenāti bījakañca bījakamātarañca sandhāya vuttaṃ. Bījakassa kira sattaṭṭhavassakāle tassa mātā bhikkhunīsu so ca bhikkhūsu pabbajitvā kalyāṇamitte upanissāya arahatte patiṭṭhahiṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘ubho agārasmā anagāriyaṃ pabbajitvā arahattaṃ sacchākaṃsū’’ti.
๓๗. เอวํ มาตาปุตฺตานํ ปพฺพชฺชา สผลา อโหสิฯ ปิตา ปน วิปฺปฎิสาราภิภูโต วิหาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อายสฺมโต สุทินฺนสฺสอหุเทว กุกฺกุจฺจ’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ อหุเทวาติ อหุ เอว, ทกาโร ปทสนฺธิกโรฯ อโหสิเยวาติ อโตฺถฯ กุกฺกุจฺจนฺติ อชฺฌาจารเหตุโก ปจฺฉานุตาโปฯ วิปฺปฎิสาโรติปิ ตเสฺสว นามํฯ โส หิ วิญฺญูหิ อกตฺตพฺพตาย กุจฺฉิตกิริยภาวโต กุกฺกุจฺจํฯ กตํ อชฺฌาจารํ นิวเตฺตตุํ อสมตฺถตาย ตํ ปฎิจฺจ วิรูปํ สรณภาวโต วิปฺปฎิสาโรติ วุจฺจติฯ อลาภา วต เมติ มยฺหํ วต อลาภา; เย ฌานาทีนํ คุณานํ อลาภา นาม, เต มยฺหํ, น อญฺญสฺสาติ อธิปฺปาโยฯ น วต เม ลาภาติ เยปิ เม ปฎิลทฺธา ปพฺพชฺชสรณคมนสิกฺขาสมาทานคุณา, เตปิ เนว มยฺหํ ลาภา อชฺฌาจารมลีนตฺตาฯ ทุลฺลทฺธํ วต เมติ อิทํ สาสนํ ลทฺธมฺปิ เม ทุลฺลทฺธํฯ น วต เม สุลทฺธนฺติ ยถา อเญฺญสํ กุลปุตฺตานํ, เอวํ น วต เม สุลทฺธํฯ กสฺมา? ยมหํ เอวํ สฺวากฺขาเตธมฺมวินเย…เป.… พฺรหฺมจริยํ จริตุนฺติฯ พฺรหฺมจริยนฺติ สิกฺขตฺตยสงฺคหิตํ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ กิโส อโหสีติ ขาทิตุํ วา ภุญฺชิตุํ วา อสโกฺกโนฺต ตนุโก อโหสิ อปฺปมํสโลหิโต ฯ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโตติ สญฺชาตุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกภาโว ปณฺฑุปลาสปฺปฎิภาโคฯ ธมนิสนฺถตคโตฺตติ ปริยาทินฺนมํสโลหิตตฺตา สิราชาเลเนว สนฺถริตคโตฺตฯ อโนฺตมโนติ อนุโสจนวเสน อพฺภนฺตเรเยว ฐิตจิโตฺตฯ หทยวตฺถุํ นิสฺสาย ปวตฺตนวเสน ปน สเพฺพปิ อโนฺตมนาเยวฯ ลีนมโนติ อุเทฺทเส ปริปุจฺฉาย กมฺมฎฺฐาเน อธิสีเล อธิจิเตฺต อธิปญฺญาย วตฺตปฎิปตฺติปูรเณ จ นิกฺขิตฺตธุโร อวิปฺผาริโก อญฺญทตฺถุ โกสชฺชวเสเนว ลีโน สงฺกุจิโต มโน อสฺสาติ ลีนมโนฯ ทุกฺขีติ เจโตทุเกฺขน ทุกฺขีฯ ทุมฺมโนติ โทเสน ทุฎฺฐมโน, วิรูปมโน วา โทมนสฺสาภิภูตตายฯ ปชฺฌายีติ วิปฺปฎิสารวเสน วหจฺฉิโนฺน วิย คทฺรโภ ตํ ตํ จินฺตยิฯ
37. Evaṃ mātāputtānaṃ pabbajjā saphalā ahosi. Pitā pana vippaṭisārābhibhūto vihāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho āyasmato sudinnassaahudeva kukkucca’’ntiādi. Tattha ahudevāti ahu eva, dakāro padasandhikaro. Ahosiyevāti attho. Kukkuccanti ajjhācārahetuko pacchānutāpo. Vippaṭisārotipi tasseva nāmaṃ. So hi viññūhi akattabbatāya kucchitakiriyabhāvato kukkuccaṃ. Kataṃ ajjhācāraṃ nivattetuṃ asamatthatāya taṃ paṭicca virūpaṃ saraṇabhāvato vippaṭisāroti vuccati. Alābhā vata meti mayhaṃ vata alābhā; ye jhānādīnaṃ guṇānaṃ alābhā nāma, te mayhaṃ, na aññassāti adhippāyo. Na vata me lābhāti yepi me paṭiladdhā pabbajjasaraṇagamanasikkhāsamādānaguṇā, tepi neva mayhaṃ lābhā ajjhācāramalīnattā. Dulladdhaṃ vata meti idaṃ sāsanaṃ laddhampi me dulladdhaṃ. Na vata me suladdhanti yathā aññesaṃ kulaputtānaṃ, evaṃ na vata me suladdhaṃ. Kasmā? Yamahaṃ evaṃ svākkhātedhammavinaye…pe… brahmacariyaṃ caritunti. Brahmacariyanti sikkhattayasaṅgahitaṃ maggabrahmacariyaṃ. Kiso ahosīti khādituṃ vā bhuñjituṃ vā asakkonto tanuko ahosi appamaṃsalohito . Uppaṇḍuppaṇḍukajātoti sañjātuppaṇḍuppaṇḍukabhāvo paṇḍupalāsappaṭibhāgo. Dhamanisanthatagattoti pariyādinnamaṃsalohitattā sirājāleneva santharitagatto. Antomanoti anusocanavasena abbhantareyeva ṭhitacitto. Hadayavatthuṃ nissāya pavattanavasena pana sabbepi antomanāyeva. Līnamanoti uddese paripucchāya kammaṭṭhāne adhisīle adhicitte adhipaññāya vattapaṭipattipūraṇe ca nikkhittadhuro avipphāriko aññadatthu kosajjavaseneva līno saṅkucito mano assāti līnamano. Dukkhīti cetodukkhena dukkhī. Dummanoti dosena duṭṭhamano, virūpamano vā domanassābhibhūtatāya. Pajjhāyīti vippaṭisāravasena vahacchinno viya gadrabho taṃ taṃ cintayi.
๓๘. สหายกา ภิกฺขูติ ตํ เอวํภูตํ คณสงฺคณิกาปปเญฺจน วีตินาเมนฺตํ ทิสฺวา ยสฺส วิสฺสาสิกา กถาผาสุกา ภิกฺขู เต นํ เอตทโวจุํฯ ปีณินฺทฺริโยติ ปสาทปติฎฺฐาโนกาสสฺส สมฺปุณฺณตฺตา ปริปุณฺณจกฺขุอาทิอินฺทฺริโยฯ โส ทานิ ตฺวนฺติ เอตฺถ ทานีติ นิปาโต, โส ปน ตฺวนฺติ วุตฺตํ โหติฯ กจฺจิโน ตฺวนฺติ กจฺจิ นุ ตฺวํ ฯ อนภิรโตติ อุกฺกณฺฐิโต; คิหิภาวํ ปตฺถยมาโนติ อโตฺถฯ ตสฺมา ตเมว อนภิรติํ ปฎิกฺขิปโนฺต อาห – ‘‘น โข อหํ, อาวุโส, อนภิรโต’’ติฯ อธิกุสลานํ ปน ธมฺมานํ ภาวนาย อภิรโตว อหนฺติ ฯ อตฺถิ เม ปาปกมฺมํ กตนฺติ มยา กตํ เอกํ ปาปกมฺมํ อตฺถิ อุปลพฺภติ สํวิชฺชติ, นิจฺจกาลํ อภิมุขํ วิย เม ติฎฺฐติฯ อถ นํ ปกาเสโนฺต ‘‘ปุราณทุติยิกายา’’ติอาทิมาหฯ
38.Sahāyakā bhikkhūti taṃ evaṃbhūtaṃ gaṇasaṅgaṇikāpapañcena vītināmentaṃ disvā yassa vissāsikā kathāphāsukā bhikkhū te naṃ etadavocuṃ. Pīṇindriyoti pasādapatiṭṭhānokāsassa sampuṇṇattā paripuṇṇacakkhuādiindriyo. So dāni tvanti ettha dānīti nipāto, so pana tvanti vuttaṃ hoti. Kaccino tvanti kacci nu tvaṃ . Anabhiratoti ukkaṇṭhito; gihibhāvaṃ patthayamānoti attho. Tasmā tameva anabhiratiṃ paṭikkhipanto āha – ‘‘na kho ahaṃ, āvuso, anabhirato’’ti. Adhikusalānaṃ pana dhammānaṃ bhāvanāya abhiratova ahanti . Atthi me pāpakammaṃ katanti mayā kataṃ ekaṃ pāpakammaṃ atthi upalabbhati saṃvijjati, niccakālaṃ abhimukhaṃ viya me tiṭṭhati. Atha naṃ pakāsento ‘‘purāṇadutiyikāyā’’tiādimāha.
อลญฺหิ เต, อาวุโส สุทินฺน, กุกฺกุจฺจายาติ อาวุโส สุทินฺน, ตุเยฺหตํ ปาปกมฺมํ อลํ สมตฺถํ กุกฺกุจฺจาย; ปฎิพลํ กุกฺกุจฺจํ อุปฺปาเทตุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยํ ตฺวนฺติ อาทิมฺหิ เยน ปาเปน ตฺวํ น สกฺขิสฺสสิ พฺรหฺมจริยํ จริตุํ, ตํ เต ปาปํ อลํ กุกฺกุจฺจายาติ เอวํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ อถ นํ อนุสาสนฺตา ‘‘นนุ อาวุโส ภควตา’’ติอาทิมาหํสุฯ ตตฺถ นนูติ อนุมติคฺคหณเตฺถ นิปาโตฯ อเนกปริยาเยนาติ อเนกการเณนฯ วิราคายาติ วิราคตฺถายฯ โน สราคายาติ โน ราเคน รชฺชนตฺถายฯ ภควตา หิ ‘‘อิมํ เม ธมฺมํ สุตฺวา สตฺตา สพฺพภวโภเคสุ วิรชฺชิสฺสนฺติ, โน รชฺชิสฺสนฺตี’’ เอตทตฺถาย ธโมฺม เทสิโตติ อธิปฺปาโยฯ เอส นโย สพฺพปเทสุฯ อิทํ ปเนตฺถ ปริยายวจนมตฺตํฯ วิสํโยคายาติ กิเลเสหิ วิสํยุชฺชนตฺถายฯ โน สํโยคายาติ น สํยุชฺชนตฺถายฯ อนุปาทานายาติ อคฺคหณตฺถายฯ โน สอุปาทานายาติ น สงฺคหณตฺถายฯ
Alañhi te, āvuso sudinna, kukkuccāyāti āvuso sudinna, tuyhetaṃ pāpakammaṃ alaṃ samatthaṃ kukkuccāya; paṭibalaṃ kukkuccaṃ uppādetunti vuttaṃ hoti. Yaṃ tvanti ādimhi yena pāpena tvaṃ na sakkhissasi brahmacariyaṃ carituṃ, taṃ te pāpaṃ alaṃ kukkuccāyāti evaṃ sambandho veditabbo. Atha naṃ anusāsantā ‘‘nanu āvuso bhagavatā’’tiādimāhaṃsu. Tattha nanūti anumatiggahaṇatthe nipāto. Anekapariyāyenāti anekakāraṇena. Virāgāyāti virāgatthāya. No sarāgāyāti no rāgena rajjanatthāya. Bhagavatā hi ‘‘imaṃ me dhammaṃ sutvā sattā sabbabhavabhogesu virajjissanti, no rajjissantī’’ etadatthāya dhammo desitoti adhippāyo. Esa nayo sabbapadesu. Idaṃ panettha pariyāyavacanamattaṃ. Visaṃyogāyāti kilesehi visaṃyujjanatthāya. No saṃyogāyāti na saṃyujjanatthāya. Anupādānāyāti aggahaṇatthāya. Nosaupādānāyāti na saṅgahaṇatthāya.
ตตฺถ นาม ตฺวนฺติ ตสฺมิํ นาม ตฺวํฯ สราคาย เจเตสฺสสีติ สห ราเคน วตฺตมานาย เมถุนธมฺมาย เจเตสฺสสิ กเปฺปสฺสสิ ปกเปฺปสฺสสิ; เอตทตฺถํ วายมิสฺสสีติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ปุน ราควิราคาทีนิ นว ปทานิ นิพฺพตฺติตโลกุตฺตรนิพฺพานเมว สนฺธาย วุตฺตานิฯ ตสฺมา ราควิราคายาติ วา มทนิมฺมทนายาติ วา วุเตฺตปิ ‘‘นิพฺพานตฺถายา’’ติ เอวเมว อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ นิพฺพานญฺหิ ยสฺมา ตํ อาคมฺม อารพฺภ ปฎิจฺจ ราโค วิรชฺชติ น โหติ, ตสฺมา ราควิราโคติ วุจฺจติฯ ยสฺมา ปน ตํ อาคมฺม มานมท-ปุริสมทาทโย มทา นิมฺมทา อมทา โหนฺติ วินสฺสนฺติ, ตสฺมา มทนิมฺมทนนฺติ วุจฺจติฯ ยสฺมา จ ตํ อาคมฺม สพฺพาปิ กามปิปาสา วินยํ อพฺภตฺถํ ยาติ, ตสฺมา ปิปาสวินโยติ วุจฺจติฯ ยสฺมา ปน ตํ อาคมฺม ปญฺจ กามคุณาลยา สมุคฺฆาตํ คจฺฉนฺติ, ตสฺมา อาลยสมุคฺฆาโตติ วุจฺจติฯ ยสฺมา จ ตํ อาคมฺม เตภูมกวฎฺฎํ อุปจฺฉิชฺชติ, ตสฺมา วฎฺฎุปเจฺฉโทติ วุจฺจติฯ ยสฺมา ปน ตํ อาคมฺม สพฺพโส ตณฺหา ขยํ คจฺฉติ วิรชฺชติ นิรุชฺฌติ จ, ตสฺมา ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธติ วุจฺจติฯ ยสฺมา ปเนตํ จตโสฺส โยนิโย, ปญฺจ คติโย, สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโย, นว จ สตฺตาวาเส, อปราปรภาวาย วินนโต อาพนฺธนโต สํสิพฺพนโต วานนฺติ ลทฺธโวหาราย ตณฺหาย นิกฺขนฺตํ นิสฺสฎํ วิสํยุตฺตํ, ตสฺมา นิพฺพานนฺติ วุจฺจตีติฯ
Tatthanāma tvanti tasmiṃ nāma tvaṃ. Sarāgāya cetessasīti saha rāgena vattamānāya methunadhammāya cetessasi kappessasi pakappessasi; etadatthaṃ vāyamissasīti attho. Esa nayo sabbattha. Puna rāgavirāgādīni nava padāni nibbattitalokuttaranibbānameva sandhāya vuttāni. Tasmā rāgavirāgāyāti vā madanimmadanāyāti vā vuttepi ‘‘nibbānatthāyā’’ti evameva attho daṭṭhabbo. Nibbānañhi yasmā taṃ āgamma ārabbha paṭicca rāgo virajjati na hoti, tasmā rāgavirāgoti vuccati. Yasmā pana taṃ āgamma mānamada-purisamadādayo madā nimmadā amadā honti vinassanti, tasmā madanimmadananti vuccati. Yasmā ca taṃ āgamma sabbāpi kāmapipāsā vinayaṃ abbhatthaṃ yāti, tasmā pipāsavinayoti vuccati. Yasmā pana taṃ āgamma pañca kāmaguṇālayā samugghātaṃ gacchanti, tasmā ālayasamugghātoti vuccati. Yasmā ca taṃ āgamma tebhūmakavaṭṭaṃ upacchijjati, tasmā vaṭṭupacchedoti vuccati. Yasmā pana taṃ āgamma sabbaso taṇhā khayaṃ gacchati virajjati nirujjhati ca, tasmā taṇhakkhayo virāgo nirodhoti vuccati. Yasmā panetaṃ catasso yoniyo, pañca gatiyo, satta viññāṇaṭṭhitiyo, nava ca sattāvāse, aparāparabhāvāya vinanato ābandhanato saṃsibbanato vānanti laddhavohārāya taṇhāya nikkhantaṃ nissaṭaṃ visaṃyuttaṃ, tasmā nibbānanti vuccatīti.
กามานํ ปหานํ อกฺขาตนฺติ วตฺถุกามานํ, กิเลสกามานญฺจ ปหานํ วุตฺตํฯ กามสญฺญานํ ปริญฺญาติ สพฺพาสมฺปิ กามสญฺญานํ ญาตตีรณปหานวเสน ติวิธา ปริญฺญา อกฺขาตาฯ กามปิปาสานนฺติ กาเมสุ ปาตพฺยตานํ กาเม วา ปาตุมิจฺฉานํฯ กามวิตกฺกานนฺติ กามุปสญฺหิตานํวิตกฺกานํฯ กามปริฬาหานนฺติ ปญฺจกามคุณิกราควเสน อุปฺปนฺนปริฬาหานํ อโนฺตทาหานํฯ อิเมสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ กิเลสกฺขยกโร โลกุตฺตรมโคฺคว กถิโตฯ สพฺพปฐเมสุ ปน ตีสุ ฐาเนสุ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสโก มโคฺค กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Kāmānaṃ pahānaṃ akkhātanti vatthukāmānaṃ, kilesakāmānañca pahānaṃ vuttaṃ. Kāmasaññānaṃ pariññāti sabbāsampi kāmasaññānaṃ ñātatīraṇapahānavasena tividhā pariññā akkhātā. Kāmapipāsānanti kāmesu pātabyatānaṃ kāme vā pātumicchānaṃ. Kāmavitakkānanti kāmupasañhitānaṃvitakkānaṃ. Kāmapariḷāhānanti pañcakāmaguṇikarāgavasena uppannapariḷāhānaṃ antodāhānaṃ. Imesu pañcasu ṭhānesu kilesakkhayakaro lokuttaramaggova kathito. Sabbapaṭhamesu pana tīsu ṭhānesu lokiyalokuttaramissako maggo kathitoti veditabbo.
เนตํ อาวุโสติ น เอตํ อาวุโส, ตว ปาปกมฺมํ อปฺปสนฺนานญฺจ ปสาทาย เอวรูปานํ ปสาทตฺถาย น โหติฯ อถ เขฺวตนฺติ อถ โข เอตํฯ อถ โข ตนฺติปิ ปาโฐฯ อญฺญถตฺตายาติ ปสาทญฺญถาภาวาย วิปฺปฎิสาราย โหติฯ เย มเคฺคน อนาคตสทฺธา, เตสํ วิปฺปฎิสารํ กโรติ – ‘‘อีทิเสปิ นาม ธมฺมวินเย มยํ ปสนฺนา, ยเตฺถวํ ทุปฺปฎิปนฺนา ภิกฺขู’’ติฯ เย ปน มเคฺคนาคตสทฺธา, เตสํ สิเนรุ วิย วาเตหิ อจโล ปสาโท อีทิเสหิ วตฺถูหิ อิโต วา ทารุณตเรหิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอกจฺจานํ อญฺญถตฺตายา’’ติฯ
Netaṃ āvusoti na etaṃ āvuso, tava pāpakammaṃ appasannānañca pasādāya evarūpānaṃ pasādatthāya na hoti. Atha khvetanti atha kho etaṃ. Atha kho tantipi pāṭho. Aññathattāyāti pasādaññathābhāvāya vippaṭisārāya hoti. Ye maggena anāgatasaddhā, tesaṃ vippaṭisāraṃ karoti – ‘‘īdisepi nāma dhammavinaye mayaṃ pasannā, yatthevaṃ duppaṭipannā bhikkhū’’ti. Ye pana maggenāgatasaddhā, tesaṃ sineru viya vātehi acalo pasādo īdisehi vatthūhi ito vā dāruṇatarehi. Tena vuttaṃ – ‘‘ekaccānaṃ aññathattāyā’’ti.
๓๙. ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุนฺติ ภควโต เอตํ อตฺถํ อาจิกฺขิํสุ ปฎิเวทยิํสุฯ อาโรจยมานา จ เนว ปิยกมฺยตาย น เภทปุเรกฺขารตาย , น ตสฺสายสฺมโต อวณฺณปกาสนตฺถาย, น กลิสาสนาโรปนตฺถาย, นาปิ ‘‘อิทํ สุตฺวา ภควา อิมสฺส สาสเน ปติฎฺฐํ น ทสฺสติ, นิกฺกฑฺฒาเปสฺสติ น’’นฺติ มญฺญมานา อาโรเจสุํฯ อถ โข ‘‘อิมํ สาสเน อุปฺปนฺนํ อพฺพุทํ ญตฺวา ภควา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสติ, เวลํ มริยาทํ อาณํ ฐเปสฺสตี’’ติ อาโรเจสุํฯ
39.Bhagavato etamatthaṃ ārocesunti bhagavato etaṃ atthaṃ ācikkhiṃsu paṭivedayiṃsu. Ārocayamānā ca neva piyakamyatāya na bhedapurekkhāratāya , na tassāyasmato avaṇṇapakāsanatthāya, na kalisāsanāropanatthāya, nāpi ‘‘idaṃ sutvā bhagavā imassa sāsane patiṭṭhaṃ na dassati, nikkaḍḍhāpessati na’’nti maññamānā ārocesuṃ. Atha kho ‘‘imaṃ sāsane uppannaṃ abbudaṃ ñatvā bhagavā sikkhāpadaṃ paññapessati, velaṃ mariyādaṃ āṇaṃ ṭhapessatī’’ti ārocesuṃ.
เอตสฺมิํ นิทาเน เอตสฺมิํ ปกรเณติ เอตฺถ สุทินฺนสฺส อชฺฌาจารวีติกฺกโม สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา การณตฺตา นิทานเญฺจว ปกรณญฺจาติ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ การณญฺหิ ยสฺมา นิเทติ อตฺตโน ผลํ ‘‘คณฺหาถ น’’นฺติ ทเสฺสนฺตํ วิย อเปฺปติ, ปกโรติ จ นํ กตฺตุํ อารภติ, กโรติเยว วา; ตสฺมา นิทานเญฺจว ปกรณญฺจาติ วุจฺจติฯ วิครหิ พุโทฺธ ภควาติ พุโทฺธ ภควา วิครหิ นินฺทิ; ยถา ตํ วณฺณาวณฺณารหานํ วณฺณญฺจ อวณฺณญฺจ ภณเนฺตสุ อคฺคปุคฺคโลฯ น หิ ภควโต สีลวีติกฺกมกรํ ปุคฺคลํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ชาติยา วา โคเตฺตน วา โกลปุตฺติเยน วา คเนฺถน วา ธุตเงฺคน วา ญาโต ยสสฺสี อีทิสํ ปุคฺคลํ รกฺขิตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, นาปิ เปสลํ คุณวนฺตํ ทิสฺวา ตสฺส คุณํ ปฎิจฺฉาเทตุํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ อถ โข ครหิตพฺพํ ครหติ เอว, ปสํสิตพฺพญฺจ ปสํสติ เอว, อยญฺจ ครหิตโพฺพ; ตสฺมา ตํ ตาทิลกฺขเณ ฐิโต อวิกมฺปมาเนน จิเตฺตน วิครหิ พุโทฺธ ภควา ‘‘อนนุจฺฉวิก’’นฺติอาทีหิ วจเนหิฯ
Etasmiṃ nidāne etasmiṃ pakaraṇeti ettha sudinnassa ajjhācāravītikkamo sikkhāpadapaññattiyā kāraṇattā nidānañceva pakaraṇañcāti vuttoti veditabbo. Kāraṇañhi yasmā nideti attano phalaṃ ‘‘gaṇhātha na’’nti dassentaṃ viya appeti, pakaroti ca naṃ kattuṃ ārabhati, karotiyeva vā; tasmā nidānañceva pakaraṇañcāti vuccati. Vigarahi buddho bhagavāti buddho bhagavā vigarahi nindi; yathā taṃ vaṇṇāvaṇṇārahānaṃ vaṇṇañca avaṇṇañca bhaṇantesu aggapuggalo. Na hi bhagavato sīlavītikkamakaraṃ puggalaṃ disvā ‘‘ayaṃ jātiyā vā gottena vā kolaputtiyena vā ganthena vā dhutaṅgena vā ñāto yasassī īdisaṃ puggalaṃ rakkhituṃ vaṭṭatī’’ti cittaṃ uppajjati, nāpi pesalaṃ guṇavantaṃ disvā tassa guṇaṃ paṭicchādetuṃ cittaṃ uppajjati. Atha kho garahitabbaṃ garahati eva, pasaṃsitabbañca pasaṃsati eva, ayañca garahitabbo; tasmā taṃ tādilakkhaṇe ṭhito avikampamānena cittena vigarahi buddho bhagavā ‘‘ananucchavika’’ntiādīhi vacanehi.
ตตฺถายํ อตฺถวณฺณนา – ยทิทํ ตยา, โมฆปุริส, ตุจฺฉมนุสฺส กมฺมํ กตํ, ตํ สมณกรณานํ ธมฺมานํ มคฺคผลนิพฺพานสาสนานํ วา น อนุจฺฉวิกํ, เตสํ ฉวิํ ฉายํ สุนฺทรภาวํ น อเนฺวติ นานุคจฺฉติ, อถ โข อารกาว เตหิ ธเมฺมหิฯ อนนุจฺฉวิกตฺตา เอว จ อนนุโลมิกํ, เตสํ น อนุโลเมติ; อถ โข วิโลมํ ปจฺจนีกภาเว ฐิตํฯ อนนุโลมิกตฺตา เอว จ อปฺปติรูปํ, ปติรูปํ สทิสํ ปฎิภาคํ น โหติ, อถ โข อสทิสํ อปฺปฎิภาคเมวฯ อปฺปติรูปตฺตา เอว จ อสฺสามณกํ, สมณานํ กมฺมํ น โหติฯ อสฺสามณกตฺตา อกปฺปิยํฯ ยญฺหิ สมณกมฺมํ น โหติ, ตํ เตสํ น กปฺปติฯ อกปฺปิยตฺตา อกรณียํฯ น หิ สมณา ยํ น กปฺปติ, ตํ กโรนฺติฯ ตเญฺจตํ ตยา กตํ, ตสฺมา อนนุจฺฉวิกํ เต, โมฆปุริส, กตํ…เป.… อกรณียนฺติฯ กถญฺหิ นามาติ เกน นาม การเณน, กิํ นาม การณํ ปสฺสโนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ ตโต การณาภาวํ ทเสฺสโนฺต ปรโต ‘‘นนุ มยา โมฆปุริสา’’ติอาทิมาหฯ ตํ สพฺพํ วุตฺตตฺถเมวฯ
Tatthāyaṃ atthavaṇṇanā – yadidaṃ tayā, moghapurisa, tucchamanussa kammaṃ kataṃ, taṃ samaṇakaraṇānaṃ dhammānaṃ maggaphalanibbānasāsanānaṃ vā na anucchavikaṃ, tesaṃ chaviṃ chāyaṃ sundarabhāvaṃ na anveti nānugacchati, atha kho ārakāva tehi dhammehi. Ananucchavikattā eva ca ananulomikaṃ, tesaṃ na anulometi; atha kho vilomaṃ paccanīkabhāve ṭhitaṃ. Ananulomikattā eva ca appatirūpaṃ, patirūpaṃ sadisaṃ paṭibhāgaṃ na hoti, atha kho asadisaṃ appaṭibhāgameva. Appatirūpattā eva ca assāmaṇakaṃ, samaṇānaṃ kammaṃ na hoti. Assāmaṇakattā akappiyaṃ. Yañhi samaṇakammaṃ na hoti, taṃ tesaṃ na kappati. Akappiyattā akaraṇīyaṃ. Na hi samaṇā yaṃ na kappati, taṃ karonti. Tañcetaṃ tayā kataṃ, tasmā ananucchavikaṃ te, moghapurisa, kataṃ…pe… akaraṇīyanti. Kathañhi nāmāti kena nāma kāraṇena, kiṃ nāma kāraṇaṃ passantoti vuttaṃ hoti. Tato kāraṇābhāvaṃ dassento parato ‘‘nanu mayā moghapurisā’’tiādimāha. Taṃ sabbaṃ vuttatthameva.
อิทานิ ยสฺมา ยํ เตน ปาปกมฺมํ กตํ, ตํ วิปจฺจมานํ อติวิย ทุกฺขวิปากํ โหติ, ตสฺมาสฺส ตํ วิปากํ ทเสฺสตุํ กตาปราธํ วิย ปุตฺตํ อนุกมฺปกา มาตาปิตโร ทยาลุเกน จิเตฺตน สุทินฺนํ ปริภาสโนฺต ‘‘วรํ เต โมฆปุริสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาสุ สีฆํ เอตสฺส วิสํ อาคจฺฉตีติ อาสีวิโสฯ โฆรํ จณฺฑมสฺส วิสนฺติ โฆรวิโส, ตสฺส อาสีวิสสฺส โฆรวิสสฺสฯ ‘‘ปกฺขิตฺต’’นฺติ เอตสฺส ‘‘วร’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธ ฯ อีทิสสฺส อาสีวิสสฺส โฆรวิสสฺส มุเข องฺคชาตํ วรํ ปกฺขิตฺตํ; สเจ ปกฺขิตฺตํ ภเวยฺย, วรํ สิยา; สุนฺทรํ สาธุ สุฎฺฐุ สิยาติ อโตฺถฯ น เตฺววาติ น ตุ เอว วรํ น สุนฺทรเมว น สาธุเมว น สุฎฺฐุเมวฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ กณฺหสปฺปสฺสาติ กาฬสปฺปสฺสฯ องฺคารกาสุยาติ องฺคารปุณฺณกูเป, องฺคารราสิมฺหิ วาฯ อาทิตฺตายาติ ปทิตฺตาย คหิตอคฺคิวณฺณายฯ สมฺปชฺชลิตายาติ สมนฺตโต ปชฺชลิตาย อจฺจิโย มุจฺจนฺติยาฯ สโชติภูตายาติ สปฺปภายฯ สมนฺตโต อุฎฺฐิตาหิ ชาลาหิ เอกปฺปภาสมุทยภูตายาติ วุตฺตํ โหติฯ
Idāni yasmā yaṃ tena pāpakammaṃ kataṃ, taṃ vipaccamānaṃ ativiya dukkhavipākaṃ hoti, tasmāssa taṃ vipākaṃ dassetuṃ katāparādhaṃ viya puttaṃ anukampakā mātāpitaro dayālukena cittena sudinnaṃ paribhāsanto ‘‘varaṃ te moghapurisā’’tiādimāha. Tattha āsu sīghaṃ etassa visaṃ āgacchatīti āsīviso. Ghoraṃ caṇḍamassa visanti ghoraviso, tassa āsīvisassa ghoravisassa. ‘‘Pakkhitta’’nti etassa ‘‘vara’’nti iminā sambandho . Īdisassa āsīvisassa ghoravisassa mukhe aṅgajātaṃ varaṃ pakkhittaṃ; sace pakkhittaṃ bhaveyya, varaṃ siyā; sundaraṃ sādhu suṭṭhu siyāti attho. Na tvevāti na tu eva varaṃ na sundarameva na sādhumeva na suṭṭhumeva. Esa nayo sabbattha. Kaṇhasappassāti kāḷasappassa. Aṅgārakāsuyāti aṅgārapuṇṇakūpe, aṅgārarāsimhi vā. Ādittāyāti padittāya gahitaaggivaṇṇāya. Sampajjalitāyāti samantato pajjalitāya acciyo muccantiyā. Sajotibhūtāyāti sappabhāya. Samantato uṭṭhitāhi jālāhi ekappabhāsamudayabhūtāyāti vuttaṃ hoti.
ตํ กิสฺส เหตูติ ยํ มยา วุตฺตํ ‘‘วร’’นฺติ ตํ กิสฺส เหตุ, กตเรน การเณนาติ เจ? มรณํ วา นิคเจฺฉยฺยาติ โย ตตฺถ องฺคชาตํ ปกฺขิเปยฺย, โส มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ อิโตนิทานญฺจ โข…เป.… อุปปเชฺชยฺยาติ ยํ อิทํ มาตุคามสฺส องฺคชาเต องฺคชาตปกฺขิปนํ, อิโตนิทานํ ตสฺส การโก ปุคฺคโล นิรยํ อุปปเชฺชยฺย; เอวํ กมฺมสฺส มหาสาวชฺชตํ ปสฺสโนฺต ตํ ครหิ, น ตสฺส ทุกฺขาคมํ อิจฺฉมาโนฯ ตตฺถ นาม ตฺวนฺติ ตสฺมิํ นาม เอวรูเป กเมฺม เอวํ มหาสาวเชฺช สมาเนปิ ตฺวํฯ ยํ ตฺวนฺติ เอตฺถ ยนฺติ หีฬนเตฺถ นิปาโตฯ ตฺวนฺติ ตํ-สทฺทสฺส เววจนํ; ทฺวีหิปิ ยํ วา ตํ วา หีฬิตมวญฺญาตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อสทฺธมฺมนฺติ อสตํ นีจชนานํ ธมฺมํ; เตหิ เสวิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ คามธมฺมนฺติ คามานํ ธมฺมํ; คามวาสิกมนุสฺสานํ ธมฺมนฺติ วุตฺตํ โหติฯ วสลธมฺมนฺติ ปาปธเมฺม วสนฺติ ปคฺฆรนฺตีติ วสลา, เตสํ วสลานํ หีนปุริสานํ ธมฺมํ, วสลํ วา กิเลสปคฺฆรณกํ ธมฺมํฯ ทุฎฺฐุลฺลนฺติ ทุฎฺฐุ จ กิเลสทูสิตํ ถูลญฺจ อสุขุมํ, อนิปุณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โอทกนฺติกนฺติ อุทกกิจฺจํ อนฺติกํ อวสานํ อสฺสาติ โอทกนฺติโก, ตํ โอทกนฺติกํฯ รหสฺสนฺติ รโหภวํ, ปฎิจฺฉเนฺน โอกาเส อุปฺปชฺชนกํฯ อยญฺหิ ธโมฺม ชิคุจฺฉนียตฺตา น สกฺกา อาวิ อเญฺญสํ ทสฺสนวิสเย กาตุํ, เตน วุตฺตํ – ‘‘รหสฺส’’นฺติฯ ทฺวยํทฺวยสมาปตฺตินฺติ ทฺวีหิ ทฺวีหิ สมาปชฺชิตพฺพํ, ทฺวยํ ทฺวยํ สมาปตฺตินฺติปิ ปาโฐฯ ทยํ ทยํ สมาปตฺตินฺติปิ ปฐนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ สมาปชฺชิสฺสสีติ เอตํ ‘‘ตตฺถ นาม ตฺว’’นฺติ เอตฺถ วุตฺตนามสเทฺทน โยเชตพฺพํ ‘‘สมาปชฺชิสฺสสิ นามา’’ติฯ
Taṃ kissa hetūti yaṃ mayā vuttaṃ ‘‘vara’’nti taṃ kissa hetu, katarena kāraṇenāti ce? Maraṇaṃ vā nigaccheyyāti yo tattha aṅgajātaṃ pakkhipeyya, so maraṇaṃ vā nigaccheyya maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ. Itonidānañca kho…pe… upapajjeyyāti yaṃ idaṃ mātugāmassa aṅgajāte aṅgajātapakkhipanaṃ, itonidānaṃ tassa kārako puggalo nirayaṃ upapajjeyya; evaṃ kammassa mahāsāvajjataṃ passanto taṃ garahi, na tassa dukkhāgamaṃ icchamāno. Tattha nāma tvanti tasmiṃ nāma evarūpe kamme evaṃ mahāsāvajje samānepi tvaṃ. Yaṃ tvanti ettha yanti hīḷanatthe nipāto. Tvanti taṃ-saddassa vevacanaṃ; dvīhipi yaṃ vā taṃ vā hīḷitamavaññātanti vuttaṃ hoti. Asaddhammanti asataṃ nīcajanānaṃ dhammaṃ; tehi sevitabbanti attho. Gāmadhammanti gāmānaṃ dhammaṃ; gāmavāsikamanussānaṃ dhammanti vuttaṃ hoti. Vasaladhammanti pāpadhamme vasanti paggharantīti vasalā, tesaṃ vasalānaṃ hīnapurisānaṃ dhammaṃ, vasalaṃ vā kilesapaggharaṇakaṃ dhammaṃ. Duṭṭhullanti duṭṭhu ca kilesadūsitaṃ thūlañca asukhumaṃ, anipuṇanti vuttaṃ hoti. Odakantikanti udakakiccaṃ antikaṃ avasānaṃ assāti odakantiko, taṃ odakantikaṃ. Rahassanti rahobhavaṃ, paṭicchanne okāse uppajjanakaṃ. Ayañhi dhammo jigucchanīyattā na sakkā āvi aññesaṃ dassanavisaye kātuṃ, tena vuttaṃ – ‘‘rahassa’’nti. Dvayaṃdvayasamāpattinti dvīhi dvīhi samāpajjitabbaṃ, dvayaṃ dvayaṃ samāpattintipi pāṭho. Dayaṃ dayaṃ samāpattintipi paṭhanti, taṃ na sundaraṃ. Samāpajjissasīti etaṃ ‘‘tattha nāma tva’’nti ettha vuttanāmasaddena yojetabbaṃ ‘‘samāpajjissasi nāmā’’ti.
พหูนํ โข…เป.… อาทิกตฺตา ปุพฺพงฺคโมติ สาสนํ สนฺธาย วทติฯ อิมสฺมิํ สาสเน ตฺวํ พหูนํ ปุคฺคลานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทิกตฺตา, สพฺพปฐมํ กรณโต; ปุพฺพงฺคโม สพฺพปฐมํ เอตํ มคฺคํ ปฎิปนฺนตฺตา; ทฺวารํทโท, อุปายทสฺสโกติ วุตฺตํ โหติฯ อิมญฺหิ เลสํ ลทฺธา ตว อนุสิกฺขมานา พหู ปุคฺคลา นานปฺปการเก มกฺกฎิยา เมถุนปฎิเสวนาทิเก อกุสลธเมฺม กริสฺสนฺตีติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ
Bahūnaṃkho…pe… ādikattā pubbaṅgamoti sāsanaṃ sandhāya vadati. Imasmiṃ sāsane tvaṃ bahūnaṃ puggalānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ ādikattā, sabbapaṭhamaṃ karaṇato; pubbaṅgamo sabbapaṭhamaṃ etaṃ maggaṃ paṭipannattā; dvāraṃdado, upāyadassakoti vuttaṃ hoti. Imañhi lesaṃ laddhā tava anusikkhamānā bahū puggalā nānappakārake makkaṭiyā methunapaṭisevanādike akusaladhamme karissantīti ayamettha adhippāyo.
อเนกปริยาเยนาติ อิเมหิ ‘‘อนนุจฺฉวิก’’นฺติอาทินา นเยน วุเตฺตหิ, พหูหิ การเณหิฯ ทุพฺภรตาย…เป.… โกสชฺชสฺส อวณฺณํ ภาสิตฺวาติ ทุพฺภรตาทีนํ วตฺถุภูตสฺส อสํวรสฺส อวณฺณํ นินฺทํ ครหํ ภาสิตฺวาติ อโตฺถฯ ยสฺมา หิ อสํวเร ฐิตสฺส ปุคฺคลสฺส อตฺตา ทุพฺภรตเญฺจว ทุโปฺปสตญฺจ อาปชฺชติ, ตสฺมา อสํวโร ‘‘ทุพฺภรตา, ทุโปฺปสตา’’ติ จ วุจฺจติฯ ยสฺมา ปน อสํวเร ฐิตสฺส อตฺตา จตูสุ ปจฺจเยสุ มหิจฺฉตํ สิเนรุปฺปมาเณปิ จ ปจฺจเย ลทฺธา อสนฺตุฎฺฐิตํ อาปชฺชติ, ตสฺมา อสํวโร ‘‘มหิจฺฉตา, อสนฺตุฎฺฐิตา’’ติ จ วุจฺจติฯ ยสฺมา จ อสํวเร ฐิตสฺส อตฺตา คณสงฺคณิกาย เจว กิเลสสงฺคณิกาย จ สํวตฺตติ, โกสชฺชานุคโต จ โหติ อฎฺฐกุสีตวตฺถุปาริปูริยา สํวตฺตติ, ตสฺมา อสํวโร ‘‘สงฺคณิกา, เจว โกสชฺชญฺจา’’ติ วุจฺจติฯ
Anekapariyāyenāti imehi ‘‘ananucchavika’’ntiādinā nayena vuttehi, bahūhi kāraṇehi. Dubbharatāya…pe… kosajjassa avaṇṇaṃ bhāsitvāti dubbharatādīnaṃ vatthubhūtassa asaṃvarassa avaṇṇaṃ nindaṃ garahaṃ bhāsitvāti attho. Yasmā hi asaṃvare ṭhitassa puggalassa attā dubbharatañceva dupposatañca āpajjati, tasmā asaṃvaro ‘‘dubbharatā, dupposatā’’ti ca vuccati. Yasmā pana asaṃvare ṭhitassa attā catūsu paccayesu mahicchataṃ sineruppamāṇepi ca paccaye laddhā asantuṭṭhitaṃ āpajjati, tasmā asaṃvaro ‘‘mahicchatā, asantuṭṭhitā’’ti ca vuccati. Yasmā ca asaṃvare ṭhitassa attā gaṇasaṅgaṇikāya ceva kilesasaṅgaṇikāya ca saṃvattati, kosajjānugato ca hoti aṭṭhakusītavatthupāripūriyā saṃvattati, tasmā asaṃvaro ‘‘saṅgaṇikā, ceva kosajjañcā’’ti vuccati.
สุภรตาย…เป.… วีริยารมฺภสฺส วณฺณํ ภาสิตฺวาติ สุภรตาทีนํ วตฺถุภูตสฺส สํวรสฺส วณฺณํ ภาสิตฺวาติ อโตฺถฯ ยสฺมา หิ อสํวรํ ปหาย สํวเร ฐิตสฺส อตฺตา สุภโร โหติ สุโปโส, จตูสุ จ ปจฺจเยสุ อปฺปิจฺฉตํ นิตฺตณฺหภาวํ อาปชฺชติ, เอกเมกสฺมิญฺจ ปจฺจเย ยถาลาภ-ยถาพล-ยถาสารุปฺปวเสน ติปฺปเภทาย สนฺตุฎฺฐิยา สํวตฺตติ, ตสฺมา สํวโร ‘‘สุภรตา เจว สุโปสตา จ อปฺปิโจฺฉ จ สนฺตุโฎฺฐ จา’’ติ วุจฺจติฯ
Subharatāya…pe… vīriyārambhassa vaṇṇaṃ bhāsitvāti subharatādīnaṃ vatthubhūtassa saṃvarassa vaṇṇaṃ bhāsitvāti attho. Yasmā hi asaṃvaraṃ pahāya saṃvare ṭhitassa attā subharo hoti suposo, catūsu ca paccayesu appicchataṃ nittaṇhabhāvaṃ āpajjati, ekamekasmiñca paccaye yathālābha-yathābala-yathāsāruppavasena tippabhedāya santuṭṭhiyā saṃvattati, tasmā saṃvaro ‘‘subharatā ceva suposatā ca appiccho ca santuṭṭho cā’’ti vuccati.
ยสฺมา ปน อสํวรํ ปหาย สํวเร ฐิตสฺส อตฺตา กิเลสสเลฺลขนตาย เจว นิทฺธุนนตาย จ สํวตฺตติ, ตสฺมา สํวโร ‘‘สเลฺลโข จ ธุโต จา’’ติ วุจฺจติฯ
Yasmā pana asaṃvaraṃ pahāya saṃvare ṭhitassa attā kilesasallekhanatāya ceva niddhunanatāya ca saṃvattati, tasmā saṃvaro ‘‘sallekho ca dhuto cā’’ti vuccati.
ยสฺมา จ อสํวรํ ปหาย สํวเร ฐิตสฺส อตฺตา กายวาจานํ อปฺปาสาทิกํ อปฺปสาทนียํ อสนฺตํ อสารุปฺปํ กายวจีทุจฺจริตํ จิตฺตสฺส อปฺปาสาทิกํ อปฺปสาทนียํ อสนฺตํ อสารุปฺปํ อกุสลวิตกฺกตฺตยญฺจ อนุปคมฺม ตพฺพิปรีตสฺส กายวจีสุจริตสฺส เจว กุสลวิตกฺกตฺตยสฺส จ ปาสาทิกสฺส ปสาทนียสฺส สนฺตสฺส สารุปฺปสฺส ปาริปูริยา สํวตฺตติ, ตสฺมา สํวโร ‘‘ปาสาทิโก’’ติ วุจฺจติฯ
Yasmā ca asaṃvaraṃ pahāya saṃvare ṭhitassa attā kāyavācānaṃ appāsādikaṃ appasādanīyaṃ asantaṃ asāruppaṃ kāyavacīduccaritaṃ cittassa appāsādikaṃ appasādanīyaṃ asantaṃ asāruppaṃ akusalavitakkattayañca anupagamma tabbiparītassa kāyavacīsucaritassa ceva kusalavitakkattayassa ca pāsādikassa pasādanīyassa santassa sāruppassa pāripūriyā saṃvattati, tasmā saṃvaro ‘‘pāsādiko’’ti vuccati.
ยสฺมา ปน อสํวรํ ปหาย สํวเร ฐิตสฺส อตฺตา สพฺพกิเลสาปจยภูตาย, วิวฎฺฎาย, อฎฺฐวีริยารมฺภวตฺถุปาริปูริยา จ สํวตฺตติ, ตสฺมา สํวโร ‘‘อปจโย เจว วีริยารโมฺภ จา’’ติ วุจฺจตีติฯ
Yasmā pana asaṃvaraṃ pahāya saṃvare ṭhitassa attā sabbakilesāpacayabhūtāya, vivaṭṭāya, aṭṭhavīriyārambhavatthupāripūriyā ca saṃvattati, tasmā saṃvaro ‘‘apacayo ceva vīriyārambho cā’’ti vuccatīti.
ภิกฺขูนํ ตทนุจฺฉวิกํ ตทนุโลมิกนฺติ ตตฺถ สนฺนิปติตานํ ภิกฺขูนํ ยํ อิทานิ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสติ, ตสฺส อนุจฺฉวิกเญฺจว อนุโลมิกญฺจฯ โย วา อยํ สุภรตาทีหิ สํวโร วุโตฺต, ตสฺส อนุจฺฉวิกเญฺจว อนุโลมิกญฺจ สํวรปฺปหานปฎิสํยุตฺตํ อสุตฺตนฺตวินิพทฺธํ ปาฬิวินิมุตฺตํ โอกฺกนฺติกธมฺมเทสนํ กตฺวาติ อโตฺถฯ ภควา กิร อีทิเสสุ ฐาเนสุ ปญฺจวณฺณกุสุมมาลํ กโรโนฺต วิย, รตนทามํ สเชฺชโนฺต วิย, จ เย ปฎิกฺขิปนาธิปฺปายา อสํวราภิรตา เต สมฺปรายิเกน วฎฺฎภเยน ตเชฺชโนฺต อเนกปฺปการํ อาทีนวํ ทเสฺสโนฺต, เย สิกฺขากามา สํวเร ฐิตา เต อเปฺปกเจฺจ อรหเตฺต ปติฎฺฐเปโนฺต อเปฺปกเจฺจ อนาคามิ-สกทาคามิ-โสตาปตฺติผเลสุ อุปนิสฺสยวิรหิเตปิ สคฺคมเคฺค ปติฎฺฐเปโนฺต ทีฆนิกายปฺปมาณมฺปิ มชฺฌิมนิกายปฺปมาณมฺปิ ธมฺมเทสนํ กโรติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ – ‘‘ภิกฺขูนํ ตทนุจฺฉวิกํ ตทนุโลมิกํ ธมฺมิํ กถํ กตฺวา’’ติฯ
Bhikkhūnaṃ tadanucchavikaṃ tadanulomikanti tattha sannipatitānaṃ bhikkhūnaṃ yaṃ idāni sikkhāpadaṃ paññapessati, tassa anucchavikañceva anulomikañca. Yo vā ayaṃ subharatādīhi saṃvaro vutto, tassa anucchavikañceva anulomikañca saṃvarappahānapaṭisaṃyuttaṃ asuttantavinibaddhaṃ pāḷivinimuttaṃ okkantikadhammadesanaṃ katvāti attho. Bhagavā kira īdisesu ṭhānesu pañcavaṇṇakusumamālaṃ karonto viya, ratanadāmaṃ sajjento viya, ca ye paṭikkhipanādhippāyā asaṃvarābhiratā te samparāyikena vaṭṭabhayena tajjento anekappakāraṃ ādīnavaṃ dassento, ye sikkhākāmā saṃvare ṭhitā te appekacce arahatte patiṭṭhapento appekacce anāgāmi-sakadāgāmi-sotāpattiphalesu upanissayavirahitepi saggamagge patiṭṭhapento dīghanikāyappamāṇampi majjhimanikāyappamāṇampi dhammadesanaṃ karoti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ – ‘‘bhikkhūnaṃ tadanucchavikaṃ tadanulomikaṃ dhammiṃ kathaṃ katvā’’ti.
เตน หีติ เตน สุทินฺนสฺส อชฺฌาจาเรน การณภูเตนฯ สิกฺขาปทนฺติ เอตฺถ สิกฺขิตพฺพาติ สิกฺขา, ปชฺชเต อิมินาติ ปทํ, สิกฺขาย ปทํ สิกฺขาปทํ; สิกฺขาย อธิคมุปาโยติ อโตฺถฯ อถ วา มูลํ นิสฺสโย ปติฎฺฐาติ วุตฺตํ โหติฯ เมถุนวิรติยา เมถุนสํวรเสฺสตํ อธิวจนํฯ เมถุนสํวโร หิ ตทเญฺญสํ สิกฺขาสงฺขาตานํ สีลวิปสฺสนาฌานมคฺคธมฺมานํ วุตฺตตฺถวเสน ปทตฺตา อิธ ‘‘สิกฺขาปท’’นฺติ อธิเปฺปโตฯ อยญฺจ อโตฺถ สิกฺขาปทวิภเงฺค วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อปิจ ตสฺสตฺถสฺส ทีปกํ วจนมฺปิ ‘‘สิกฺขาปท’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘สิกฺขาปทนฺติ โย ตตฺถ นามกาโย ปทกาโย นิรุตฺติกาโย พฺยญฺชนกาโย’’ติฯ อถ วา ยถา ‘‘อนภิชฺฌา ธมฺมปท’’นฺติ วุเตฺต อนภิชฺฌา เอโก ธมฺมโกฎฺฐาโสติ อโตฺถ โหติ, เอวมิธาปิ ‘‘สิกฺขาปท’’นฺติ สิกฺขาโกฎฺฐาโส สิกฺขาย เอโก ปเทโสติปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tena hīti tena sudinnassa ajjhācārena kāraṇabhūtena. Sikkhāpadanti ettha sikkhitabbāti sikkhā, pajjate imināti padaṃ, sikkhāya padaṃ sikkhāpadaṃ; sikkhāya adhigamupāyoti attho. Atha vā mūlaṃ nissayo patiṭṭhāti vuttaṃ hoti. Methunaviratiyā methunasaṃvarassetaṃ adhivacanaṃ. Methunasaṃvaro hi tadaññesaṃ sikkhāsaṅkhātānaṃ sīlavipassanājhānamaggadhammānaṃ vuttatthavasena padattā idha ‘‘sikkhāpada’’nti adhippeto. Ayañca attho sikkhāpadavibhaṅge vuttanayeneva veditabbo. Apica tassatthassa dīpakaṃ vacanampi ‘‘sikkhāpada’’nti veditabbaṃ. Vuttampi cetaṃ – ‘‘sikkhāpadanti yo tattha nāmakāyo padakāyo niruttikāyo byañjanakāyo’’ti. Atha vā yathā ‘‘anabhijjhā dhammapada’’nti vutte anabhijjhā eko dhammakoṭṭhāsoti attho hoti, evamidhāpi ‘‘sikkhāpada’’nti sikkhākoṭṭhāso sikkhāya eko padesotipi attho veditabbo.
ทส อตฺถวเส ปฎิจฺจาติ ทส การณวเส สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุ อธิคมนีเย หิตวิเสเส ปฎิจฺจ อาคมฺม อารพฺภ, ทสนฺนํ หิตวิเสสานํ นิปฺผตฺติํ สมฺปสฺสมาโนติ วุตฺตํ โหติฯ อิทานิ เต ทส อตฺถวเส ทเสฺสโนฺต ‘‘สงฺฆสุฎฺฐุตายา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สงฺฆสุฎฺฐุตา นาม สงฺฆสฺส สุฎฺฐุภาโว, ‘‘สุฎฺฐุ เทวา’’ติ อาคตฎฺฐาเน วิย ‘‘สุฎฺฐุ, ภเนฺต’’ติ วจนสมฺปฎิจฺฉนภาโว ฯ โย จ ตถาคตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉติ , ตสฺส ตํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย โหติ, ตสฺมา สงฺฆสฺส ‘‘สุฎฺฐุ, ภเนฺต’’ติ มม วจนสมฺปฎิจฺฉนตฺถํ ปญฺญเปสฺสามิ, อสมฺปฎิจฺฉเน อาทีนวํ สมฺปฎิจฺฉเน จ อานิสํสํ ทเสฺสตฺวา, น พลกฺกาเรน อภิภวิตฺวาติ เอตมตฺถํ อาวิกโรโนฺต อาห – ‘‘สงฺฆสุฎฺฐุตายา’’ติฯ สงฺฆผาสุตายาติ สงฺฆสฺส ผาสุภาวาย; สหชีวิตาย สุขวิหารตฺถายาติ อโตฺถฯ
Dasaatthavase paṭiccāti dasa kāraṇavase sikkhāpadapaññattihetu adhigamanīye hitavisese paṭicca āgamma ārabbha, dasannaṃ hitavisesānaṃ nipphattiṃ sampassamānoti vuttaṃ hoti. Idāni te dasa atthavase dassento ‘‘saṅghasuṭṭhutāyā’’tiādimāha. Tattha saṅghasuṭṭhutā nāma saṅghassa suṭṭhubhāvo, ‘‘suṭṭhu devā’’ti āgataṭṭhāne viya ‘‘suṭṭhu, bhante’’ti vacanasampaṭicchanabhāvo . Yo ca tathāgatassa vacanaṃ sampaṭicchati , tassa taṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya hoti, tasmā saṅghassa ‘‘suṭṭhu, bhante’’ti mama vacanasampaṭicchanatthaṃ paññapessāmi, asampaṭicchane ādīnavaṃ sampaṭicchane ca ānisaṃsaṃ dassetvā, na balakkārena abhibhavitvāti etamatthaṃ āvikaronto āha – ‘‘saṅghasuṭṭhutāyā’’ti. Saṅghaphāsutāyāti saṅghassa phāsubhāvāya; sahajīvitāya sukhavihāratthāyāti attho.
ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายาติ ทุมฺมงฺกู นาม ทุสฺสีลปุคฺคลา; เย มงฺกุตํ อาปาทิยมานาปิ ทุเกฺขน อาปชฺชนฺติ, วีติกฺกมํ กโรนฺตา วา กตฺวา วา น ลชฺชนฺติ, เตสํ นิคฺคหตฺถาย; เต หิ สิกฺขาปเท อสติ ‘‘กิํ ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐํ, กิํ สุตํ – กิํ อเมฺหหิ กตํ; กตรสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ กตมํ อาปตฺติํ อาโรเปตฺวา อเมฺห นิคฺคณฺหถา’’ติ สงฺฆํ วิเหเฐสฺสนฺติ, สิกฺขาปเท ปน สติ เต สโงฺฆ สิกฺขาปทํ ทเสฺสตฺวา ธเมฺมน วินเยน สตฺถุสาสเนน นิคฺคเหสฺสติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายา’’ติฯ
Dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyāti dummaṅkū nāma dussīlapuggalā; ye maṅkutaṃ āpādiyamānāpi dukkhena āpajjanti, vītikkamaṃ karontā vā katvā vā na lajjanti, tesaṃ niggahatthāya; te hi sikkhāpade asati ‘‘kiṃ tumhehi diṭṭhaṃ, kiṃ sutaṃ – kiṃ amhehi kataṃ; katarasmiṃ vatthusmiṃ katamaṃ āpattiṃ āropetvā amhe niggaṇhathā’’ti saṅghaṃ viheṭhessanti, sikkhāpade pana sati te saṅgho sikkhāpadaṃ dassetvā dhammena vinayena satthusāsanena niggahessati. Tena vuttaṃ – ‘‘dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyā’’ti.
เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหารายาติ เปสลานํ ปิยสีลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหารตฺถายฯ ปิยสีลา หิ ภิกฺขู กตฺตพฺพากตฺตพฺพํ สาวชฺชานวชฺชํ เวลํ มริยาทํ อชานนฺตา สิกฺขตฺตยปาริปูริยา ฆฎมานา กิลมนฺติ, สนฺทิฎฺฐมานา อุพฺพาฬฺหา โหนฺติฯ กตฺตพฺพากตฺตพฺพํ ปน สาวชฺชานวชฺชํ เวลํ มริยาทํ ญตฺวา สิกฺขตฺตยปาริปูริยา ฆฎมานา น กิลมนฺติ, สนฺทิฎฺฐมานา น อุพฺพาฬฺหา โหนฺติฯ เตน เนสํ สิกฺขาปทปญฺญาปนา ผาสุวิหาราย สํวตฺตติฯ โย วา ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคโห, เสฺวว เอเตสํ ผาสุวิหาโรฯ ทุสฺสีลปุคฺคเล นิสฺสาย หิ อุโปสโถ น ติฎฺฐติ , ปวารณา น ติฎฺฐติ, สงฺฆกมฺมานิ นปฺปวตฺตนฺติ, สามคฺคี น โหติ, ภิกฺขู อเนกคฺคา อุเทฺทสปริปุจฺฉากมฺมฎฺฐานาทีนิ อนุยุญฺชิตุํ น สโกฺกนฺติฯ ทุสฺสีเลสุ ปน นิคฺคหิเตสุ สโพฺพปิ อยํ อุปทฺทโว น โหติฯ ตโต เปสลา ภิกฺขู ผาสุ วิหรนฺติฯ เอวํ ‘‘เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุ วิหารายา’’ติ เอตฺถ ทฺวิธา อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihārāyāti pesalānaṃ piyasīlānaṃ bhikkhūnaṃ phāsuvihāratthāya. Piyasīlā hi bhikkhū kattabbākattabbaṃ sāvajjānavajjaṃ velaṃ mariyādaṃ ajānantā sikkhattayapāripūriyā ghaṭamānā kilamanti, sandiṭṭhamānā ubbāḷhā honti. Kattabbākattabbaṃ pana sāvajjānavajjaṃ velaṃ mariyādaṃ ñatvā sikkhattayapāripūriyā ghaṭamānā na kilamanti, sandiṭṭhamānā na ubbāḷhā honti. Tena nesaṃ sikkhāpadapaññāpanā phāsuvihārāya saṃvattati. Yo vā dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggaho, sveva etesaṃ phāsuvihāro. Dussīlapuggale nissāya hi uposatho na tiṭṭhati , pavāraṇā na tiṭṭhati, saṅghakammāni nappavattanti, sāmaggī na hoti, bhikkhū anekaggā uddesaparipucchākammaṭṭhānādīni anuyuñjituṃ na sakkonti. Dussīlesu pana niggahitesu sabbopi ayaṃ upaddavo na hoti. Tato pesalā bhikkhū phāsu viharanti. Evaṃ ‘‘pesalānaṃ bhikkhūnaṃ phāsu vihārāyā’’ti ettha dvidhā attho veditabbo.
ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวรายาติ ทิฎฺฐธมฺมิกา อาสวา นาม อสํวเร ฐิเตน ตสฺมิเญฺญว อตฺตภาเว ปตฺตพฺพา ปาณิปฺปหาร-ทณฺฑปฺปหาร-หตฺถเจฺฉท-ปาทเจฺฉท-อกิตฺติ-อยสวิปฺปฎิสาราทโย ทุกฺขวิเสสาฯ อิติ อิเมสํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย ปิธานาย อาคมนมคฺคถกนายาติ อโตฺถฯ
Diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāyāti diṭṭhadhammikā āsavā nāma asaṃvare ṭhitena tasmiññeva attabhāve pattabbā pāṇippahāra-daṇḍappahāra-hatthaccheda-pādaccheda-akitti-ayasavippaṭisārādayo dukkhavisesā. Iti imesaṃ diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya pidhānāya āgamanamaggathakanāyāti attho.
สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายาติ สมฺปรายิกา อาสวา นาม อสํวเร ฐิเตน กตปาปกมฺมมูลกา สมฺปราเย นรกาทีสุ ปตฺตพฺพา ทุกฺขวิเสสา, เตสํ ปฎิฆาตตฺถาย ปฎิปฺปสฺสมฺภนตฺถาย วูปสมตฺถายาติ วุตฺตํ โหติฯ
Samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyāti samparāyikā āsavā nāma asaṃvare ṭhitena katapāpakammamūlakā samparāye narakādīsu pattabbā dukkhavisesā, tesaṃ paṭighātatthāya paṭippassambhanatthāya vūpasamatthāyāti vuttaṃ hoti.
อปฺปสนฺนานํ ปสาทายาติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา หิ สติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติํ ญตฺวา วา ยถาปญฺญตฺตํ ปฎิปชฺชมาเน ภิกฺขู ทิสฺวา วา เยปิ อปฺปสนฺนา ปณฺฑิตมนุสฺสา, เต ‘‘ยานิ วต โลเก มหาชนสฺส รชฺชน-ทุสฺสน-มุยฺหนฎฺฐานานิ, เตหิ อิเม สมณา สกฺยปุตฺติยา อารกา วิรตา วิหรนฺติ, ทุกฺกรํ วต กโรนฺติ, ภาริยํ วต กโรนฺตี’’ติ ปสาทํ อาปชฺชนฺติ, วินยปิฎเก โปตฺถกํ ทิสฺวา มิจฺฉาทิฎฺฐิก-ติเวที พฺราหฺมโณ วิยฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อปฺปสนฺนานํ ปสาทายา’’ติฯ
Appasannānaṃ pasādāyāti sikkhāpadapaññattiyā hi sati sikkhāpadapaññattiṃ ñatvā vā yathāpaññattaṃ paṭipajjamāne bhikkhū disvā vā yepi appasannā paṇḍitamanussā, te ‘‘yāni vata loke mahājanassa rajjana-dussana-muyhanaṭṭhānāni, tehi ime samaṇā sakyaputtiyā ārakā viratā viharanti, dukkaraṃ vata karonti, bhāriyaṃ vata karontī’’ti pasādaṃ āpajjanti, vinayapiṭake potthakaṃ disvā micchādiṭṭhika-tivedī brāhmaṇo viya. Tena vuttaṃ – ‘‘appasannānaṃ pasādāyā’’ti.
ปสนฺนานํ ภิโยฺยภาวายาติ เยปิ สาสเน ปสนฺนา กุลปุตฺตา เตปิ สิกฺขาปทปญฺญตฺติํ ญตฺวา ยถาปญฺญตฺตํ ปฎิปชฺชมาเน ภิกฺขู วา ทิสฺวา ‘‘อโห อยฺยา ทุกฺกรการิโน, เย ยาวชีวํ เอกภตฺตํ พฺรหฺมจริยํ วินยสํวรํ อนุปาเลนฺตี’’ติ ภิโยฺย ภิโยฺย ปสีทนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปสนฺนานํ ภิโยฺยภาวายา’’ติฯ
Pasannānaṃ bhiyyobhāvāyāti yepi sāsane pasannā kulaputtā tepi sikkhāpadapaññattiṃ ñatvā yathāpaññattaṃ paṭipajjamāne bhikkhū vā disvā ‘‘aho ayyā dukkarakārino, ye yāvajīvaṃ ekabhattaṃ brahmacariyaṃ vinayasaṃvaraṃ anupālentī’’ti bhiyyo bhiyyo pasīdanti. Tena vuttaṃ – ‘‘pasannānaṃ bhiyyobhāvāyā’’ti.
สทฺธมฺมฎฺฐิติยาติ ติวิโธ สทฺธโมฺม – ปริยตฺติสทฺธโมฺม, ปฎิปตฺติสทฺธโมฺม, อธิคมสทฺธโมฺมติฯ ตตฺถ ปิฎกตฺตยสงฺคหิตํ สพฺพมฺปิ พุทฺธวจนํ ‘‘ปริยตฺติสทฺธโมฺม’’ นามฯ เตรส ธุตคุณา, จุทฺทส ขนฺธกวตฺตานิ, เทฺวอสีติ มหาวตฺตานิ, สีลสมาธิวิปสฺสนาติ อยํ ‘‘ปฎิปตฺติสทฺธโมฺม’’ นามฯ จตฺตาโร อริยมคฺคา จตฺตาริ จ สามญฺญผลานิ นิพฺพานญฺจาติ อยํ ‘‘อธิคมสทฺธโมฺม’’ นามฯ โส สโพฺพปิ ยสฺมา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา สติ ภิกฺขู สิกฺขาปทญฺจ ตสฺส วิภงฺคญฺจ ตทตฺถโชตนตฺถํ อญฺญญฺจ พุทฺธวจนํ ปริยาปุณนฺติ, ยถาปญฺญตฺตญฺจ ปฎิปชฺชมานา ปฎิปตฺติํ ปูเรตฺวา ปฎิปตฺติยา อธิคนฺตพฺพํ โลกุตฺตรธมฺมํ อธิคจฺฉนฺติ, ตสฺมา สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา จิรฎฺฐิติโก โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สทฺธมฺมฎฺฐิติยา’’ติฯ
Saddhammaṭṭhitiyāti tividho saddhammo – pariyattisaddhammo, paṭipattisaddhammo, adhigamasaddhammoti. Tattha piṭakattayasaṅgahitaṃ sabbampi buddhavacanaṃ ‘‘pariyattisaddhammo’’ nāma. Terasa dhutaguṇā, cuddasa khandhakavattāni, dveasīti mahāvattāni, sīlasamādhivipassanāti ayaṃ ‘‘paṭipattisaddhammo’’ nāma. Cattāro ariyamaggā cattāri ca sāmaññaphalāni nibbānañcāti ayaṃ ‘‘adhigamasaddhammo’’ nāma. So sabbopi yasmā sikkhāpadapaññattiyā sati bhikkhū sikkhāpadañca tassa vibhaṅgañca tadatthajotanatthaṃ aññañca buddhavacanaṃ pariyāpuṇanti, yathāpaññattañca paṭipajjamānā paṭipattiṃ pūretvā paṭipattiyā adhigantabbaṃ lokuttaradhammaṃ adhigacchanti, tasmā sikkhāpadapaññattiyā ciraṭṭhitiko hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘saddhammaṭṭhitiyā’’ti.
วินยานุคฺคหายาติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา หิ สติ สํวรวินโย จ ปหานวินโย จ สมถวินโย จ ปญฺญตฺติวินโย จาติ จตุพฺพิโธปิ วินโย อนุคฺคหิโต โหติ อุปตฺถมฺภิโต สูปตฺถมฺภิโตฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วินยานุคฺคหายา’’ติฯ
Vinayānuggahāyāti sikkhāpadapaññattiyā hi sati saṃvaravinayo ca pahānavinayo ca samathavinayo ca paññattivinayo cāti catubbidhopi vinayo anuggahito hoti upatthambhito sūpatthambhito. Tena vuttaṃ – ‘‘vinayānuggahāyā’’ti.
สพฺพาเนว เจตานิ ปทานิ ‘‘สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสามี’’ติ อิมินา วจเนน สทฺธิํ โยเชตพฺพานิ ฯ ตตฺรายํ ปฐมปจฺฉิมปทโยชนา – ‘‘สงฺฆสุฎฺฐุตาย สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสามิ, วินยานุคฺคหาย สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสามี’’ติฯ
Sabbāneva cetāni padāni ‘‘sikkhāpadaṃ paññapessāmī’’ti iminā vacanena saddhiṃ yojetabbāni . Tatrāyaṃ paṭhamapacchimapadayojanā – ‘‘saṅghasuṭṭhutāya sikkhāpadaṃ paññapessāmi, vinayānuggahāya sikkhāpadaṃ paññapessāmī’’ti.
อปิ เจตฺถ ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ ตํ สงฺฆผาสุ, ยํ สงฺฆผาสุ ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายาติ เอวํ สงฺขลิกนยํ; ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ ตํ สงฺฆผาสุ, ยํ สงฺฆสุฎฺฐุ ตํ ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหายาติ เอวญฺจ เอเกกปทมูลิกํ ทสกฺขตฺตุํ โยชนํ กตฺวา ยํ วุตฺตํ ปริวาเร (ปริ. ๓๓๔) –
Api cettha yaṃ saṅghasuṭṭhu taṃ saṅghaphāsu, yaṃ saṅghaphāsu taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyāti evaṃ saṅkhalikanayaṃ; yaṃ saṅghasuṭṭhu taṃ saṅghaphāsu, yaṃ saṅghasuṭṭhu taṃ dummaṅkūnaṃ puggalānaṃ niggahāyāti evañca ekekapadamūlikaṃ dasakkhattuṃ yojanaṃ katvā yaṃ vuttaṃ parivāre (pari. 334) –
‘‘อตฺถสตํ ธมฺมสตํ, เทฺว จ นิรุตฺติสตานิ;
‘‘Atthasataṃ dhammasataṃ, dve ca niruttisatāni;
จตฺตาริ ญาณสตานิ, อตฺถวเส ปกรเณ’’ติฯ
Cattāri ñāṇasatāni, atthavase pakaraṇe’’ti.
ตํ สพฺพํ เวทิตพฺพํฯ ตํ ปเนตํ ยสฺมา ปริวาเรเยว อาวิ ภวิสฺสติ, ตสฺมา อิธ น วณฺณิตนฺติฯ
Taṃ sabbaṃ veditabbaṃ. Taṃ panetaṃ yasmā parivāreyeva āvi bhavissati, tasmā idha na vaṇṇitanti.
เอวํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา อานิสํสํ ทเสฺสตฺวา ตสฺมิํ สิกฺขาปเท ภิกฺขูหิ กตฺตพฺพกิจฺจํ ทีเปโนฺต ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถา’’ติ อาหฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ภิกฺขเว, อิมํ ปน มยา อิติ สนฺทสฺสิตานิสํสํ สิกฺขาปทํ เอวํ ปาติโมกฺขุเทฺทเส อุทฺทิเสยฺยาถ จ ปริยาปุเณยฺยาถ จ ธาเรยฺยาถ จ อเญฺญสญฺจ วาเจยฺยาถาติฯ อติเรกานยนโตฺถ หิ เอตฺถ จ สโทฺท, เตนายมโตฺถ อานีโต โหตีติฯ
Evaṃ sikkhāpadapaññattiyā ānisaṃsaṃ dassetvā tasmiṃ sikkhāpade bhikkhūhi kattabbakiccaṃ dīpento ‘‘evañca pana, bhikkhave, imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyāthā’’ti āha. Kiṃ vuttaṃ hoti? Bhikkhave, imaṃ pana mayā iti sandassitānisaṃsaṃ sikkhāpadaṃ evaṃ pātimokkhuddese uddiseyyātha ca pariyāpuṇeyyātha ca dhāreyyātha ca aññesañca vāceyyāthāti. Atirekānayanattho hi ettha ca saddo, tenāyamattho ānīto hotīti.
อิทานิ ยํ วุตฺตํ ‘‘อิมํ สิกฺขาปท’’นฺติ ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โย ปน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺย, ปาราชิโก โหติ อสํวาโส’’ติ อาหฯ เอวํ มูลเจฺฉชฺชวเสน ทฬฺหํ กตฺวา ปฐมปาราชิเก ปญฺญเตฺต อปรมฺปิ อนุปญฺญตฺตตฺถาย มกฺกฎีวตฺถุ อุทปาทิฯ ตสฺสุปฺปตฺติทีปนตฺถเมตํ วุตฺตํ – เอวญฺจิทํ ภควตา ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ โหตีติฯ ตสฺสโตฺถ – ภควตา ภิกฺขูนํ อิทํ สิกฺขาปทํ เอวํ ปญฺญตฺตํ โหติ จ, อิทญฺจ อญฺญํ วตฺถุ อุทปาทีติฯ
Idāni yaṃ vuttaṃ ‘‘imaṃ sikkhāpada’’nti taṃ dassento ‘‘yo pana bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyya, pārājiko hoti asaṃvāso’’ti āha. Evaṃ mūlacchejjavasena daḷhaṃ katvā paṭhamapārājike paññatte aparampi anupaññattatthāya makkaṭīvatthu udapādi. Tassuppattidīpanatthametaṃ vuttaṃ – evañcidaṃ bhagavatā bhikkhūnaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ hotīti. Tassattho – bhagavatā bhikkhūnaṃ idaṃ sikkhāpadaṃ evaṃ paññattaṃ hoti ca, idañca aññaṃ vatthu udapādīti.
ปฐมปญฺญตฺติกถา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamapaññattikathā niṭṭhitā.
สุทินฺนภาณวารํ นิฎฺฐิตํฯ
Sudinnabhāṇavāraṃ niṭṭhitaṃ.
มกฺกฎีวตฺถุกถา
Makkaṭīvatthukathā
๔๐. อิทานิ ยํ ตํ อญฺญํ วตฺถุ อุปฺปนฺนํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เตน โข ปน สมเยนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ อนุตฺตานปทวณฺณนา – มกฺกฎิํ อามิเสนาติ มหาวเน ภิกฺขูนํ ขนฺติเมตฺตาทิคุณานุภาเวน นิราสงฺกจิตฺตา พหู มิคโมรกุกฺกุฎมกฺกฎาทโย ติรจฺฉานา ปธานาคารฎฺฐาเนสุ วิจรนฺติฯ ตตฺร เอกํ มกฺกฎิํ อามิเสน ยาคุภตฺตขชฺชกาทินา อุปลาเปตฺวา, สงฺคณฺหิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺสาติ ภุมฺมวจนํฯ ปฎิเสวตีติ ปจุรปฎิเสวโน โหติ; ปจุรเตฺถ หิ วตฺตมานวจนํฯ โส ภิกฺขูติ โส เมถุนธมฺมปฎิเสวนโก ภิกฺขุฯ เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺตาติ เต ภิกฺขู อาคนฺตุกา พุทฺธทสฺสนาย อาคตา ปาโตว อาคนฺตุกภตฺตานิ ลภิตฺวา กตภตฺตกิจฺจา ภิกฺขูนํ นิวาสนฎฺฐานานิ ปสฺสิสฺสามาติ วิจริํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺตา’’ติฯ เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมีติ ติรจฺฉานคตา นาม เอกภิกฺขุนา สทฺธิํ วิสฺสาสํ กตฺวา อเญฺญสุปิ ตาทิสเญฺญว จิตฺตํ อุปฺปาเทนฺติฯ ตสฺมา สา มกฺกฎี เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา จ อตฺตโน วิสฺสาสิกภิกฺขุเสฺสว เตสมฺปิ ตํ วิการํ ทเสฺสสิฯ
40. Idāni yaṃ taṃ aññaṃ vatthu uppannaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘tena kho pana samayenā’’tiādimāha. Tatrāyaṃ anuttānapadavaṇṇanā – makkaṭiṃ āmisenāti mahāvane bhikkhūnaṃ khantimettādiguṇānubhāvena nirāsaṅkacittā bahū migamorakukkuṭamakkaṭādayo tiracchānā padhānāgāraṭṭhānesu vicaranti. Tatra ekaṃ makkaṭiṃ āmisena yāgubhattakhajjakādinā upalāpetvā, saṅgaṇhitvāti vuttaṃ hoti. Tassāti bhummavacanaṃ. Paṭisevatīti pacurapaṭisevano hoti; pacuratthe hi vattamānavacanaṃ. So bhikkhūti so methunadhammapaṭisevanako bhikkhu. Senāsanacārikaṃ āhiṇḍantāti te bhikkhū āgantukā buddhadassanāya āgatā pātova āgantukabhattāni labhitvā katabhattakiccā bhikkhūnaṃ nivāsanaṭṭhānāni passissāmāti vicariṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘senāsanacārikaṃ āhiṇḍantā’’ti. Yena te bhikkhū tenupasaṅkamīti tiracchānagatā nāma ekabhikkhunā saddhiṃ vissāsaṃ katvā aññesupi tādisaññeva cittaṃ uppādenti. Tasmā sā makkaṭī yena te bhikkhū tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā ca attano vissāsikabhikkhusseva tesampi taṃ vikāraṃ dassesi.
เฉปฺปนฺติ นงฺคุฎฺฐํฯ โอฑฺฑีติ อภิมุขํ ฐเปสิฯ นิมิตฺตมฺปิ อกาสีติ เยน นิยาเมน ยาย กิริยาย เมถุนาธิปฺปายํ เต ชานนฺติ ตํ อกาสีติ อโตฺถ ฯ โส ภิกฺขูติ ยสฺสายํ วิหาโรฯ เอกมนฺตํ นิลียิํสูติ เอกสฺมิํ โอกาเส ปฎิจฺฉนฺนา อจฺฉิํสุฯ
Cheppanti naṅguṭṭhaṃ. Oḍḍīti abhimukhaṃ ṭhapesi. Nimittampi akāsīti yena niyāmena yāya kiriyāya methunādhippāyaṃ te jānanti taṃ akāsīti attho . So bhikkhūti yassāyaṃ vihāro. Ekamantaṃ nilīyiṃsūti ekasmiṃ okāse paṭicchannā acchiṃsu.
๔๑. สจฺจํ, อาวุโสติ สโหฑฺฒคฺคหิโต โจโร วิย ปจฺจกฺขํ ทิสฺวา โจทิตตฺตา ‘‘กิํ วา มยา กต’’นฺติอาทีนิ วตฺตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘สจฺจํ, อาวุโส’’ติ อาหฯ นนุ, อาวุโส, ตเถว ตํ โหตีติ อาวุโส ยถา มนุสฺสิตฺถิยา, นนุ ติรจฺฉานคติตฺถิยาปิ ตํ สิกฺขาปทํ ตเถว โหติฯ มนุสฺสิตฺถิยาปิ หิ ทสฺสนมฺปิ คหณมฺปิ อามสนมฺปิ ผุสนมฺปิ ฆฎฺฎนมฺปิ ทุฎฺฐุลฺลเมวฯ ติรจฺฉานคติตฺถิยาปิ ตํ สพฺพํ ทุฎฺฐุลฺลเมวฯ โก เอตฺถ วิเสโส? อเลสฎฺฐาเน ตฺวํ เลสํ โอเฑฺฑสีติฯ
41.Saccaṃ, āvusoti sahoḍḍhaggahito coro viya paccakkhaṃ disvā coditattā ‘‘kiṃ vā mayā kata’’ntiādīni vattuṃ asakkonto ‘‘saccaṃ, āvuso’’ti āha. Nanu, āvuso, tatheva taṃ hotīti āvuso yathā manussitthiyā, nanu tiracchānagatitthiyāpi taṃ sikkhāpadaṃ tatheva hoti. Manussitthiyāpi hi dassanampi gahaṇampi āmasanampi phusanampi ghaṭṭanampi duṭṭhullameva. Tiracchānagatitthiyāpi taṃ sabbaṃ duṭṭhullameva. Ko ettha viseso? Alesaṭṭhāne tvaṃ lesaṃ oḍḍesīti.
๔๒. อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปิ ปาราชิโก โหติ อสํวาโสติ ติรจฺฉานคตายปิ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺวา ปาราชิโก เยว โหตีติ ทฬฺหตรํ สิกฺขาปทมกาสิฯ ทุวิธญฺหิ สิกฺขาปทํ – โลกวชฺชํ, ปณฺณตฺติวชฺชญฺจฯ ตตฺถ ยสฺส สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมว โหติ, ตํ โลกวชฺชํ นามฯ เสสํ ปณฺณตฺติวชฺชํฯ ตตฺถ โลกวเชฺช อนุปญฺญตฺติ อุปฺปชฺชมานา รุนฺธนฺตี ทฺวารํ ปิทหนฺตี โสตํ ปจฺฉินฺทมานา คาฬฺหตรํ กโรนฺตี อุปฺปชฺชติ, อญฺญตฺร อธิมานา, อญฺญตฺร สุปินนฺตาติ อยํ ปน วีติกฺกมาภาวา อโพฺพหาริกตฺตา จ วุตฺตาฯ ปณฺณตฺติวเชฺช อกเต วีติกฺกเม อุปฺปชฺชมานา สิถิลํ กโรนฺตี โมเจนฺตี ทฺวารํ ททมานา อปราปรมฺปิ อนาปตฺติํ กุรุมานา อุปฺปชฺชติ, คณโภชนปรมฺปรโภชนาทีสุ อนุปญฺญตฺติโย วิยฯ ‘‘อนฺตมโส ตงฺขณิกายปี’’ติ เอวรูปา ปน กเต วีติกฺกเม อุปฺปนฺนตฺตา ปญฺญตฺติคติกาว โหติฯ อิทํ ปน ปฐมสิกฺขาปทํ ยสฺมา โลกวชฺชํ, น ปณฺณตฺติวชฺชํ; ตสฺมา อยมนุปญฺญตฺติ รุนฺธนฺตี ทฺวารํ ปิทหนฺตี โสตํ ปจฺฉินฺทมานา คาฬฺหตรํ กโรนฺตี อุปฺปชฺชิฯ
42.Antamaso tiracchānagatāyapi pārājiko hoti asaṃvāsoti tiracchānagatāyapi methunaṃ dhammaṃ paṭisevitvā pārājiko yeva hotīti daḷhataraṃ sikkhāpadamakāsi. Duvidhañhi sikkhāpadaṃ – lokavajjaṃ, paṇṇattivajjañca. Tattha yassa sacittakapakkhe cittaṃ akusalameva hoti, taṃ lokavajjaṃ nāma. Sesaṃ paṇṇattivajjaṃ. Tattha lokavajje anupaññatti uppajjamānā rundhantī dvāraṃ pidahantī sotaṃ pacchindamānā gāḷhataraṃ karontī uppajjati, aññatra adhimānā, aññatra supinantāti ayaṃ pana vītikkamābhāvā abbohārikattā ca vuttā. Paṇṇattivajje akate vītikkame uppajjamānā sithilaṃ karontī mocentī dvāraṃ dadamānā aparāparampi anāpattiṃ kurumānā uppajjati, gaṇabhojanaparamparabhojanādīsu anupaññattiyo viya. ‘‘Antamaso taṅkhaṇikāyapī’’ti evarūpā pana kate vītikkame uppannattā paññattigatikāva hoti. Idaṃ pana paṭhamasikkhāpadaṃ yasmā lokavajjaṃ, na paṇṇattivajjaṃ; tasmā ayamanupaññatti rundhantī dvāraṃ pidahantī sotaṃ pacchindamānā gāḷhataraṃ karontī uppajji.
เอวํ เทฺวปิ วตฺถูนิ สมฺปิเณฺฑตฺวา มูลเจฺฉชฺชวเสน ทฬฺหตรํ กตฺวา ปฐมปาราชิเก ปญฺญเตฺต อปรมฺปิ อนุปญฺญตฺตตฺถาย วชฺชิปุตฺตกวตฺถุ อุทปาทิฯ ตสฺสุปฺปตฺติทสฺสนตฺถเมตํ วุตฺตํ – ‘‘เอวญฺจิทํ ภควตา ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ โหตี’’ติ ฯ ตสฺสโตฺถ – ภควตา ภิกฺขูนํ อิทํ สิกฺขาปทํ เอวํ ปญฺญตฺตํ โหติ จ อิทญฺจ อญฺญมฺปิ วตฺถุ อุทปาทีติฯ
Evaṃ dvepi vatthūni sampiṇḍetvā mūlacchejjavasena daḷhataraṃ katvā paṭhamapārājike paññatte aparampi anupaññattatthāya vajjiputtakavatthu udapādi. Tassuppattidassanatthametaṃ vuttaṃ – ‘‘evañcidaṃ bhagavatā bhikkhūnaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ hotī’’ti . Tassattho – bhagavatā bhikkhūnaṃ idaṃ sikkhāpadaṃ evaṃ paññattaṃ hoti ca idañca aññampi vatthu udapādīti.
มกฺกฎีวตฺถุกถา นิฎฺฐิตาฯ
Makkaṭīvatthukathā niṭṭhitā.
สนฺถตภาณวาโร
Santhatabhāṇavāro
วชฺชิปุตฺตกวตฺถุวณฺณนา
Vajjiputtakavatthuvaṇṇanā
๔๓-๔๔. อิทานิ ยํ ตํ อญฺญมฺปิ วตฺถุ อุปฺปนฺนํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เตน โข ปน สมเยนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺราปิ อยมนุตฺตานปทวณฺณนา – เวสาลิกาติ เวสาลิวาสิโนฯ วชฺชิปุตฺตกาติ วชฺชิรเฎฺฐ เวสาลิยํ กุลานํ ปุตฺตาฯ สาสเน กิร โย โย อุปทฺทโว อาทีนโว อพฺพุทมุปฺปชฺชิ, สพฺพํ ตํ วชฺชิปุตฺตเก นิสฺสายฯ ตถา หิ เทวทโตฺตปิ วชฺชิปุตฺตเก ปเกฺข ลภิตฺวา สงฺฆํ ภินฺทิฯ วชฺชิปุตฺตกา เอว จ วสฺสสตปรินิพฺพุเต ภควติ อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุสาสนํ ทีเปสุํฯ อิเมปิ เตสํ เยว เอกเจฺจ เอวํ ปญฺญเตฺตปิ สิกฺขาปเท ยาวทตฺถํ ภุญฺชิํสุ…เป.… เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิํสูติฯ
43-44. Idāni yaṃ taṃ aññampi vatthu uppannaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘tena kho pana samayenā’’tiādimāha. Tatrāpi ayamanuttānapadavaṇṇanā – vesālikāti vesālivāsino. Vajjiputtakāti vajjiraṭṭhe vesāliyaṃ kulānaṃ puttā. Sāsane kira yo yo upaddavo ādīnavo abbudamuppajji, sabbaṃ taṃ vajjiputtake nissāya. Tathā hi devadattopi vajjiputtake pakkhe labhitvā saṅghaṃ bhindi. Vajjiputtakā eva ca vassasataparinibbute bhagavati uddhammaṃ ubbinayaṃ satthusāsanaṃ dīpesuṃ. Imepi tesaṃ yeva ekacce evaṃ paññattepi sikkhāpade yāvadatthaṃ bhuñjiṃsu…pe… methunaṃ dhammaṃ paṭiseviṃsūti.
ญาติพฺยสเนนปีติ เอตฺถ อสนํ พฺยสนํ วิเกฺขโป วิทฺธํสนํ วินาโสติ สพฺพเมตํ เอกตฺถํฯ ญาตีนํ พฺยสนํ ญาติพฺยสนํ, เตน ญาติพฺยสเนน, ราชทณฺฑพฺยาธิมรณวิปฺปวาสนิมิเตฺตน ญาติวินาเสนาติ อโตฺถฯ เอส นโย ทุติยปเทปิฯ ตติยปเท ปน อาโรคฺยวินาสโก โรโค เอว โรคพฺยสนํฯ โส หิ อาโรคฺยํ พฺยสติ วิกฺขิปติ วินาเสตีติ พฺยสนํฯ โรโคว พฺยสนํ โรคพฺยสนํ, เตน โรคพฺยสเนนฯ ผุฎฺฐาติ อธิปนฺนา อภิภูตา สมนฺนาคตาติ อโตฺถฯ
Ñātibyasanenapīti ettha asanaṃ byasanaṃ vikkhepo viddhaṃsanaṃ vināsoti sabbametaṃ ekatthaṃ. Ñātīnaṃ byasanaṃ ñātibyasanaṃ, tena ñātibyasanena, rājadaṇḍabyādhimaraṇavippavāsanimittena ñātivināsenāti attho. Esa nayo dutiyapadepi. Tatiyapade pana ārogyavināsako rogo eva rogabyasanaṃ. So hi ārogyaṃ byasati vikkhipati vināsetīti byasanaṃ. Rogova byasanaṃ rogabyasanaṃ, tena rogabyasanena. Phuṭṭhāti adhipannā abhibhūtā samannāgatāti attho.
น มยํ, ภเนฺต อานนฺท, พุทฺธครหิโนติ ภเนฺต อานนฺท, มยํ น พุทฺธํ ครหาม, น พุทฺธสฺส โทสํ เทมฯ น ธมฺมครหิโน, น สงฺฆครหิโนฯ อตฺตครหิโน มยนฺติ อตฺตานเมว มยํ ครหาม, อตฺตโน โทสํ เทมฯ อลกฺขิกาติ นิสฺสิริกาฯ อปฺปปุญฺญาติ ปริตฺตปุญฺญาฯ วิปสฺสกา กุสลานํ ธมฺมานนฺติ เย อฎฺฐติํสารมฺมเณสุ วิภตฺตา กุสลา ธมฺมา, เตสํ วิปสฺสกา; ตโต ตโต อารมฺมณโต วุฎฺฐาย เตว ธเมฺม วิปสฺสมานาติ อโตฺถฯ ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตนฺติ รตฺติยา ปุพฺพํ ปุพฺพรตฺตํ, รตฺติยา อปรํ อปรรตฺตํ, ปฐมยามญฺจ ปจฺฉิมยามญฺจาติ วุตฺตํ โหติฯ โพธิปกฺขิกานนฺติ โพธิสฺส ปเกฺข ภวานํ, อรหตฺตมคฺคญาณสฺส อุปการกานนฺติ อโตฺถฯ ภาวนานุโยคนฺติ วฑฺฒนานุโยคํฯ อนุยุตฺตา วิหเรยฺยามาติ คิหิปลิโพธํ อาวาสปลิโพธญฺจ ปหาย วิวิเตฺตสุ เสนาสเนสุ ยุตฺตปยุตฺตา อนญฺญกิจฺจา วิหเรยฺยามฯ
Na mayaṃ, bhante ānanda, buddhagarahinoti bhante ānanda, mayaṃ na buddhaṃ garahāma, na buddhassa dosaṃ dema. Na dhammagarahino, na saṅghagarahino. Attagarahino mayanti attānameva mayaṃ garahāma, attano dosaṃ dema. Alakkhikāti nissirikā. Appapuññāti parittapuññā. Vipassakā kusalānaṃ dhammānanti ye aṭṭhatiṃsārammaṇesu vibhattā kusalā dhammā, tesaṃ vipassakā; tato tato ārammaṇato vuṭṭhāya teva dhamme vipassamānāti attho. Pubbarattāpararattanti rattiyā pubbaṃ pubbarattaṃ, rattiyā aparaṃ apararattaṃ, paṭhamayāmañca pacchimayāmañcāti vuttaṃ hoti. Bodhipakkhikānanti bodhissa pakkhe bhavānaṃ, arahattamaggañāṇassa upakārakānanti attho. Bhāvanānuyoganti vaḍḍhanānuyogaṃ. Anuyuttā vihareyyāmāti gihipalibodhaṃ āvāsapalibodhañca pahāya vivittesu senāsanesu yuttapayuttā anaññakiccā vihareyyāma.
เอวมาวุโสติ เถโร เอเตสํ อาสยํ อชานโนฺต อิทํ เนสํ มหาคชฺชิตํ สุตฺวา ‘‘สเจ อิเม อีทิสา ภวิสฺสนฺติ, สาธู’’ติ มญฺญมาโน ‘‘เอวมาวุโส’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ อฎฺฐานเมตํ อนวกาโสติ อุภยเมฺปตํ การณปฎิเกฺขปวจนํฯ การณญฺหิ ยสฺมา ตตฺถ ตทายตฺตวุตฺติภาเวน ผลํ ติฎฺฐติฯ ยสฺมา จสฺส ตํ โอกาโส โหติ ตทายตฺตวุตฺติภาเวน, ตสฺมา ‘‘ฐานญฺจ อวกาโส จา’’ติ วุจฺจติ, ตํ ปฎิกฺขิปโนฺต อาห – ‘‘อฎฺฐานเมตํ, อานนฺท , อนวกาโส’’ติฯ เอตํ ฐานํ วา โอกาโส วา นตฺถิฯ ยํ ตถาคโตติ เยน ตถาคโต วชฺชีนํ วา…เป.… สมูหเนยฺย, ตํ การณํ นตฺถีติ อโตฺถฯ ยทิ หิ ภควา เอเตสํ ‘‘ลเภยฺยาม อุปสมฺปท’’นฺติ ยาจนฺตานํ อุปสมฺปทํ ทเทยฺย, เอวํ สเนฺต ‘‘ปาราชิโก โหติ อสํวาโส’’ติ ปญฺญตฺตํ สมูหเนยฺยฯ ยสฺมา ปเนตํ น สมูหนติ, ตสฺมา ‘‘อฎฺฐานเมต’’นฺติอาทิมาหฯ
Evamāvusoti thero etesaṃ āsayaṃ ajānanto idaṃ nesaṃ mahāgajjitaṃ sutvā ‘‘sace ime īdisā bhavissanti, sādhū’’ti maññamāno ‘‘evamāvuso’’ti sampaṭicchi. Aṭṭhānametaṃ anavakāsoti ubhayampetaṃ kāraṇapaṭikkhepavacanaṃ. Kāraṇañhi yasmā tattha tadāyattavuttibhāvena phalaṃ tiṭṭhati. Yasmā cassa taṃ okāso hoti tadāyattavuttibhāvena, tasmā ‘‘ṭhānañca avakāso cā’’ti vuccati, taṃ paṭikkhipanto āha – ‘‘aṭṭhānametaṃ, ānanda , anavakāso’’ti. Etaṃ ṭhānaṃ vā okāso vā natthi. Yaṃ tathāgatoti yena tathāgato vajjīnaṃ vā…pe… samūhaneyya, taṃ kāraṇaṃ natthīti attho. Yadi hi bhagavā etesaṃ ‘‘labheyyāma upasampada’’nti yācantānaṃ upasampadaṃ dadeyya, evaṃ sante ‘‘pārājiko hoti asaṃvāso’’ti paññattaṃ samūhaneyya. Yasmā panetaṃ na samūhanati, tasmā ‘‘aṭṭhānameta’’ntiādimāha.
โส อาคโต น อุปสมฺปาเทตโพฺพติ ‘‘ยทิ หิ เอวํ อาคโต อุปสมฺปทํ ลเภยฺย, สาสเน อคารโว ภเวยฺยฯ สามเณรภูมิยํ ปน ฐิโต สคารโว จ ภวิสฺสติ, อตฺตตฺถญฺจ กริสฺสตี’’ติ ญตฺวา อนุกมฺปมาโน ภควา อาห – ‘‘โส อาคโต น อุปสมฺปาเทตโพฺพ’’ติฯ โส อาคโต อุปสมฺปาเทตโพฺพติ เอวํ อาคโต ภิกฺขุภาเว ฐตฺวา อวิปนฺนสีลตาย สาสเน สคารโว ภวิสฺสติ, โส สติ อุปนิสฺสเย นจิรเสฺสว อุตฺตมตฺถํ ปาปุณิสฺสตีติ ญตฺวา อุปสมฺปาเทตโพฺพติ อาหฯ
So āgato na upasampādetabboti ‘‘yadi hi evaṃ āgato upasampadaṃ labheyya, sāsane agāravo bhaveyya. Sāmaṇerabhūmiyaṃ pana ṭhito sagāravo ca bhavissati, attatthañca karissatī’’ti ñatvā anukampamāno bhagavā āha – ‘‘so āgato na upasampādetabbo’’ti. So āgato upasampādetabboti evaṃ āgato bhikkhubhāve ṭhatvā avipannasīlatāya sāsane sagāravo bhavissati, so sati upanissaye nacirasseva uttamatthaṃ pāpuṇissatīti ñatvā upasampādetabboti āha.
เอวํ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺวา อาคเตสุ อนุปสมฺปาเทตพฺพญฺจ อุปสมฺปาเทตพฺพญฺจ ทเสฺสตฺวา ตีณิปิ วตฺถูนิ สโมธาเนตฺวา ปริปุณฺณํ กตฺวา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตุกาโม ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถา’’ติ วตฺวา ‘‘โย ปน ภิกฺขุ…เป.… อสํวาโส’’ติ ปริปุณฺณํ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิฯ
Evaṃ methunaṃ dhammaṃ paṭisevitvā āgatesu anupasampādetabbañca upasampādetabbañca dassetvā tīṇipi vatthūni samodhānetvā paripuṇṇaṃ katvā sikkhāpadaṃ paññapetukāmo ‘‘evañca pana, bhikkhave, imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyāthā’’ti vatvā ‘‘yo pana bhikkhu…pe… asaṃvāso’’ti paripuṇṇaṃ sikkhāpadaṃ paññapesi.
วชฺชิปุตฺตกวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Vajjiputtakavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.
จตุพฺพิธวินยกถา
Catubbidhavinayakathā
๔๕. อิทานิสฺส อตฺถํ วิภชโนฺต ‘‘โย ปนาติ, โย ยาทิโส’’ติอาทิมาหฯ ตสฺมิํ ปน สิกฺขาปเท จ สิกฺขาปทวิภเงฺค จ สกเล จ วินยวินิจฺฉเย โกสลฺลํ ปตฺถยเนฺตน จตุพฺพิโธ วินโย ชานิตโพฺพ –
45. Idānissa atthaṃ vibhajanto ‘‘yo panāti, yo yādiso’’tiādimāha. Tasmiṃ pana sikkhāpade ca sikkhāpadavibhaṅge ca sakale ca vinayavinicchaye kosallaṃ patthayantena catubbidho vinayo jānitabbo –
จตุพฺพิธญฺหิ วินยํ, มหาเถรา มหิทฺธิกา;
Catubbidhañhi vinayaṃ, mahātherā mahiddhikā;
นีหริตฺวา ปกาเสสุํ, ธมฺมสงฺคาหกา ปุราฯ
Nīharitvā pakāsesuṃ, dhammasaṅgāhakā purā.
กตมํ จตุพฺพิธํ? สุตฺตํ, สุตฺตานุโลมํ, อาจริยวาทํ, อตฺตโนมตินฺติฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อาหจฺจปเทน รเสน อาจริยวํเสน อธิปฺปายา’’ติ, เอตฺถ หิ อาหจฺจปทนฺติ สุตฺตํ อธิเปฺปตํ, รโสติ สุตฺตานุโลมํ, อาจริยวํโสติ อาจริยวาโท, อธิปฺปาโยติ อตฺตโนมติฯ
Katamaṃ catubbidhaṃ? Suttaṃ, suttānulomaṃ, ācariyavādaṃ, attanomatinti. Yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘āhaccapadena rasena ācariyavaṃsena adhippāyā’’ti, ettha hi āhaccapadanti suttaṃ adhippetaṃ, rasoti suttānulomaṃ, ācariyavaṃsoti ācariyavādo, adhippāyoti attanomati.
ตตฺถ สุตฺตํนาม สกเล วินยปิฎเก ปาฬิฯ
Tattha suttaṃnāma sakale vinayapiṭake pāḷi.
สุตฺตานุโลมํ นาม จตฺตาโร มหาปเทสา; เย ภควตา เอวํ วุตฺตา – ‘‘ยํ, ภิกฺขเว , มยา ‘อิทํ น กปฺปตี’ติ อปฺปฎิกฺขิตฺตํ, ตํ เจ อกปฺปิยํ อนุโลเมติ; กปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว น กปฺปติฯ ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ น กปฺปตี’ติ อปฺปฎิกฺขิตฺตํ, ตํ เจ กปฺปิยํ อนุโลเมติ; อกปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว กปฺปติฯ ยํ, ภิกฺขเว , มยา ‘อิทํ กปฺปตี’ติ อนนุญฺญาตํ, ตํ เจ อกปฺปิยํ อนุโลเมติ, กปฺปิยํ ปฎิพาหติ; ตํ โว น กปฺปติฯ ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ กปฺปตี’ติ อนนุญฺญาตํ, ตํ เจ กปฺปิยํ อนุโลเมติ, อกปฺปิยํ ปฎิพาหติ; ตํ โว กปฺปตี’’ติ (มหาว. ๓๐๕)ฯ
Suttānulomaṃ nāma cattāro mahāpadesā; ye bhagavatā evaṃ vuttā – ‘‘yaṃ, bhikkhave , mayā ‘idaṃ na kappatī’ti appaṭikkhittaṃ, taṃ ce akappiyaṃ anulometi; kappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo na kappati. Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ na kappatī’ti appaṭikkhittaṃ, taṃ ce kappiyaṃ anulometi; akappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo kappati. Yaṃ, bhikkhave , mayā ‘idaṃ kappatī’ti ananuññātaṃ, taṃ ce akappiyaṃ anulometi, kappiyaṃ paṭibāhati; taṃ vo na kappati. Yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ kappatī’ti ananuññātaṃ, taṃ ce kappiyaṃ anulometi, akappiyaṃ paṭibāhati; taṃ vo kappatī’’ti (mahāva. 305).
อาจริยวาโท นาม ธมฺมสงฺคาหเกหิ ปญฺจหิ อรหนฺตสเตหิ ฐปิตา ปาฬิวินิมุตฺตา โอกฺกนฺตวินิจฺฉยปฺปวตฺตา อฎฺฐกถาตนฺติฯ
Ācariyavādo nāma dhammasaṅgāhakehi pañcahi arahantasatehi ṭhapitā pāḷivinimuttā okkantavinicchayappavattā aṭṭhakathātanti.
อตฺตโนมติ นาม สุตฺต-สุตฺตานุโลม-อาจริยวาเท มุญฺจิตฺวา อนุมาเนน อตฺตโน อนุพุทฺธิยา นยคฺคาเหน อุปฎฺฐิตาการกถนํฯ
Attanomati nāma sutta-suttānuloma-ācariyavāde muñcitvā anumānena attano anubuddhiyā nayaggāhena upaṭṭhitākārakathanaṃ.
อปิจ สุตฺตนฺตาภิธมฺมวินยฎฺฐกถาสุ อาคโต สโพฺพปิ เถรวาโท ‘‘อตฺตโนมติ’’ นามฯ ตํ ปน อตฺตโนมติํ คเหตฺวา กเถเนฺตน น ทฬฺหคฺคาหํ คเหตฺวา โวหริตพฺพํฯ การณํ สลฺลเกฺขตฺวา อเตฺถน ปาฬิํ, ปาฬิยา จ อตฺถํ สํสนฺทิตฺวา กเถตพฺพํฯ อตฺตโนมติ อาจริยวาเท โอตาเรตพฺพาฯ สเจ ตตฺถ โอตรติ เจว สเมติ จ, คเหตพฺพาฯ สเจ เนว โอตรติ น สเมติ, น คเหตพฺพาฯ อยญฺหิ อตฺตโนมติ นาม สพฺพทุพฺพลาฯ อตฺตโนมติโต อาจริยวาโท พลวตโรฯ
Apica suttantābhidhammavinayaṭṭhakathāsu āgato sabbopi theravādo ‘‘attanomati’’ nāma. Taṃ pana attanomatiṃ gahetvā kathentena na daḷhaggāhaṃ gahetvā voharitabbaṃ. Kāraṇaṃ sallakkhetvā atthena pāḷiṃ, pāḷiyā ca atthaṃ saṃsanditvā kathetabbaṃ. Attanomati ācariyavāde otāretabbā. Sace tattha otarati ceva sameti ca, gahetabbā. Sace neva otarati na sameti, na gahetabbā. Ayañhi attanomati nāma sabbadubbalā. Attanomatito ācariyavādo balavataro.
อาจริยวาโทปิ สุตฺตานุโลเม โอตาเรตโพฺพฯ ตตฺถ โอตรโนฺต สเมโนฺตเยว คเหตโพฺพ, อิตโร น คเหตโพฺพฯ อาจริยวาทโต หิ สุตฺตานุโลมํ พลวตรํฯ
Ācariyavādopi suttānulome otāretabbo. Tattha otaranto samentoyeva gahetabbo, itaro na gahetabbo. Ācariyavādato hi suttānulomaṃ balavataraṃ.
สุตฺตานุโลมมฺปิ สุเตฺต โอตาเรตพฺพํฯ ตตฺถ โอตรนฺตํ สเมนฺตเมว คเหตพฺพํ, อิตรํ น คเหตพฺพํฯ สุตฺตานุโลมโต หิ สุตฺตเมว พลวตรํฯ สุตฺตญฺหิ อปฺปฎิวตฺติยํ การกสงฺฆสทิสํ พุทฺธานํ ฐิตกาลสทิสํฯ ตสฺมา ยทา เทฺว ภิกฺขู สากจฺฉนฺติ, สกวาที สุตฺตํ คเหตฺวา กเถติ, ปรวาที สุตฺตานุโลมํฯ เตหิ อญฺญมญฺญํ เขปํ วา ครหํ วา อกตฺวา สุตฺตานุโลมํ สุเตฺต โอตาเรตพฺพํฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพํฯ โน เจ, น คเหตพฺพํ; สุตฺตสฺมิํเยว ฐาตพฺพํฯ อถายํ สุตฺตํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อาจริยวาทํฯ เตหิปิ อญฺญมญฺญํ เขปํ วา ครหํ วา อกตฺวา อาจริยวาโท สุเตฺต โอตาเรตโพฺพฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตโพฺพฯ อโนตรโนฺต อสเมโนฺต จ คารยฺหาจริยวาโท น คเหตโพฺพ; สุตฺตสฺมิํเยว ฐาตพฺพํฯ
Suttānulomampi sutte otāretabbaṃ. Tattha otarantaṃ samentameva gahetabbaṃ, itaraṃ na gahetabbaṃ. Suttānulomato hi suttameva balavataraṃ. Suttañhi appaṭivattiyaṃ kārakasaṅghasadisaṃ buddhānaṃ ṭhitakālasadisaṃ. Tasmā yadā dve bhikkhū sākacchanti, sakavādī suttaṃ gahetvā katheti, paravādī suttānulomaṃ. Tehi aññamaññaṃ khepaṃ vā garahaṃ vā akatvā suttānulomaṃ sutte otāretabbaṃ. Sace otarati sameti, gahetabbaṃ. No ce, na gahetabbaṃ; suttasmiṃyeva ṭhātabbaṃ. Athāyaṃ suttaṃ gahetvā katheti, paro ācariyavādaṃ. Tehipi aññamaññaṃ khepaṃ vā garahaṃ vā akatvā ācariyavādo sutte otāretabbo. Sace otarati sameti, gahetabbo. Anotaranto asamento ca gārayhācariyavādo na gahetabbo; suttasmiṃyeva ṭhātabbaṃ.
อถายํ สุตฺตํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อตฺตโนมติํฯ เตหิปิ อญฺญมญฺญํ เขปํ วา ครหํ วา อกตฺวา อตฺตโนมติ สุเตฺต โอตาเรตพฺพาฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพาฯ โน เจ, น คเหตพฺพาฯ สุตฺตสฺมิํ เยว ฐาตพฺพํฯ
Athāyaṃ suttaṃ gahetvā katheti, paro attanomatiṃ. Tehipi aññamaññaṃ khepaṃ vā garahaṃ vā akatvā attanomati sutte otāretabbā. Sace otarati sameti, gahetabbā. No ce, na gahetabbā. Suttasmiṃ yeva ṭhātabbaṃ.
อถ ปนายํ สุตฺตานุโลมํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตํฯ สุตฺตํ สุตฺตานุโลเม โอตาเรตพฺพํฯ สเจ โอตรติ สเมติ, ติโสฺส สงฺคีติโย อารูฬฺหํ ปาฬิอาคตํ ปญฺญายติ, คเหตพฺพํฯ โน เจ ตถา ปญฺญายติ น โอตรติ น สเมติ, พาหิรกสุตฺตํ วา โหติ สิโลโก วา อญฺญํ วา คารยฺหสุตฺตํ คุฬฺหเวสฺสนฺตรคุฬฺหวินยเวทลฺลาทีนํ อญฺญตรโต อาคตํ, น คเหตพฺพํฯ สุตฺตานุโลมสฺมิํเยว ฐาตพฺพํฯ
Atha panāyaṃ suttānulomaṃ gahetvā katheti, paro suttaṃ. Suttaṃ suttānulome otāretabbaṃ. Sace otarati sameti, tisso saṅgītiyo ārūḷhaṃ pāḷiāgataṃ paññāyati, gahetabbaṃ. No ce tathā paññāyati na otarati na sameti, bāhirakasuttaṃ vā hoti siloko vā aññaṃ vā gārayhasuttaṃ guḷhavessantaraguḷhavinayavedallādīnaṃ aññatarato āgataṃ, na gahetabbaṃ. Suttānulomasmiṃyeva ṭhātabbaṃ.
อถายํ สุตฺตานุโลมํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อาจริยวาทํฯ อาจริยวาโท สุตฺตานุโลเม โอตาเรตโพฺพฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตโพฺพฯ โน เจ, น คเหตโพฺพฯ สุตฺตานุโลเมเยว ฐาตพฺพํฯ
Athāyaṃ suttānulomaṃ gahetvā katheti, paro ācariyavādaṃ. Ācariyavādo suttānulome otāretabbo. Sace otarati sameti, gahetabbo. No ce, na gahetabbo. Suttānulomeyeva ṭhātabbaṃ.
อถายํ สุตฺตานุโลมํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อตฺตโนมติํฯ อตฺตโนมติ สุตฺตานุโลเม โอตาเรตพฺพาฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพาฯ โน เจ, น คเหตพฺพาฯ สุตฺตานุโลเมเยว ฐาตพฺพํฯ
Athāyaṃ suttānulomaṃ gahetvā katheti, paro attanomatiṃ. Attanomati suttānulome otāretabbā. Sace otarati sameti, gahetabbā. No ce, na gahetabbā. Suttānulomeyeva ṭhātabbaṃ.
อถ ปนายํ อาจริยวาทํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตํฯ สุตฺตํ อาจริยวาเท โอตาเรตพฺพํฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพํฯ อิตรํ คารยฺหสุตฺตํ น คเหตพฺพํฯ อาจริยวาเทเยว ฐาตพฺพํฯ
Atha panāyaṃ ācariyavādaṃ gahetvā katheti, paro suttaṃ. Suttaṃ ācariyavāde otāretabbaṃ. Sace otarati sameti, gahetabbaṃ. Itaraṃ gārayhasuttaṃ na gahetabbaṃ. Ācariyavādeyeva ṭhātabbaṃ.
อถายํ อาจริยวาทํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตานุโลมํฯ สุตฺตานุโลมํ อาจริยวาเท โอตาเรตพฺพํฯ โอตรนฺตํ สเมนฺตเมว คเหตพฺพํ, อิตรํ น คเหตพฺพํฯ อาจริยวาเทเยว ฐาตพฺพํฯ
Athāyaṃ ācariyavādaṃ gahetvā katheti, paro suttānulomaṃ. Suttānulomaṃ ācariyavāde otāretabbaṃ. Otarantaṃ samentameva gahetabbaṃ, itaraṃ na gahetabbaṃ. Ācariyavādeyeva ṭhātabbaṃ.
อถายํ อาจริยวาทํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อตฺตโนมติํฯ อตฺตโนมติ อาจริยวาเท โอตาเรตพฺพาฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพาฯ โน เจ, น คเหตพฺพาฯ อาจริยวาเทเยว ฐาตพฺพํฯ
Athāyaṃ ācariyavādaṃ gahetvā katheti, paro attanomatiṃ. Attanomati ācariyavāde otāretabbā. Sace otarati sameti, gahetabbā. No ce, na gahetabbā. Ācariyavādeyeva ṭhātabbaṃ.
อถ ปนายํ อตฺตโนมติํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตํฯ สุตฺตํ อตฺตโนมติยํ โอตาเรตพฺพํฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตพฺพํฯ อิตรํ คารยฺหสุตฺตํ น คเหตพฺพํฯ อตฺตโนมติยเมว ฐาตพฺพํฯ
Atha panāyaṃ attanomatiṃ gahetvā katheti, paro suttaṃ. Suttaṃ attanomatiyaṃ otāretabbaṃ. Sace otarati sameti, gahetabbaṃ. Itaraṃ gārayhasuttaṃ na gahetabbaṃ. Attanomatiyameva ṭhātabbaṃ.
อถายํ อตฺตโนมติํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร สุตฺตานุโลมํฯ สุตฺตานุโลมํ อตฺตโนมติยํ โอตาเรตพฺพํฯ โอตรนฺตํ สเมนฺตเมว คเหตพฺพํ, อิตรํ น คเหตพฺพํฯ อตฺตโนมติยเมว ฐาตพฺพํฯ
Athāyaṃ attanomatiṃ gahetvā katheti, paro suttānulomaṃ. Suttānulomaṃ attanomatiyaṃ otāretabbaṃ. Otarantaṃ samentameva gahetabbaṃ, itaraṃ na gahetabbaṃ. Attanomatiyameva ṭhātabbaṃ.
อถายํ อตฺตโนมติํ คเหตฺวา กเถติ, ปโร อาจริยวาทํฯ อาจริยวาโท อตฺตโนมติยํ โอตาเรตโพฺพฯ สเจ โอตรติ สเมติ, คเหตโพฺพ; อิตโร คารยฺหาจริยวาโท น คเหตโพฺพฯ อตฺตโนมติยเมว ฐาตพฺพํฯ อตฺตโน คหณเมว พลิยํ กาตพฺพํฯ สพฺพฎฺฐาเนสุ จ เขโป วา ครหา วา น กาตพฺพาติฯ
Athāyaṃ attanomatiṃ gahetvā katheti, paro ācariyavādaṃ. Ācariyavādo attanomatiyaṃ otāretabbo. Sace otarati sameti, gahetabbo; itaro gārayhācariyavādo na gahetabbo. Attanomatiyameva ṭhātabbaṃ. Attano gahaṇameva baliyaṃ kātabbaṃ. Sabbaṭṭhānesu ca khepo vā garahā vā na kātabbāti.
อถ ปนายํ ‘‘กปฺปิย’’นฺติ คเหตฺวา กเถติ, ปโร ‘‘อกปฺปิย’’นฺติฯ สุเตฺต จ สุตฺตานุโลเม จ โอตาเรตพฺพํฯ สเจ กปฺปิยํ โหติ, กปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ สเจ อกปฺปิยํ, อกปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ
Atha panāyaṃ ‘‘kappiya’’nti gahetvā katheti, paro ‘‘akappiya’’nti. Sutte ca suttānulome ca otāretabbaṃ. Sace kappiyaṃ hoti, kappiye ṭhātabbaṃ. Sace akappiyaṃ, akappiye ṭhātabbaṃ.
อถายํ ตสฺส กปฺปิยภาวสาธกํ สุตฺตโต พหุํ การณญฺจ วินิจฺฉยญฺจ ทเสฺสติ, ปโร การณํ น วินฺทติฯ กปฺปิเยว ฐาตพฺพํฯ อถ ปโร ตสฺส อกปฺปิยภาวสาธกํ สุตฺตโต พหุํ การณญฺจ วินิจฺฉยญฺจ ทเสฺสติ, อเนน อตฺตโน คหณนฺติ กตฺวา ทฬฺหํ อาทาย น ฐาตพฺพํฯ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อกปฺปิเยว ฐาตพฺพํฯ อถ ทฺวินฺนมฺปิ การณจฺฉายา ทิสฺสติ, ปฎิกฺขิตฺตภาโวเยว สาธุ, อกปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ วินยญฺหิ ปตฺวา กปฺปิยากปฺปิยวิจารณมาคมฺม รุนฺธิตพฺพํ, คาฬฺหํ กตฺตพฺพํ, โสตํ ปจฺฉินฺทิตพฺพํ, ครุกภาเวเยว ฐาตพฺพํฯ
Athāyaṃ tassa kappiyabhāvasādhakaṃ suttato bahuṃ kāraṇañca vinicchayañca dasseti, paro kāraṇaṃ na vindati. Kappiyeva ṭhātabbaṃ. Atha paro tassa akappiyabhāvasādhakaṃ suttato bahuṃ kāraṇañca vinicchayañca dasseti, anena attano gahaṇanti katvā daḷhaṃ ādāya na ṭhātabbaṃ. ‘‘Sādhū’’ti sampaṭicchitvā akappiyeva ṭhātabbaṃ. Atha dvinnampi kāraṇacchāyā dissati, paṭikkhittabhāvoyeva sādhu, akappiye ṭhātabbaṃ. Vinayañhi patvā kappiyākappiyavicāraṇamāgamma rundhitabbaṃ, gāḷhaṃ kattabbaṃ, sotaṃ pacchinditabbaṃ, garukabhāveyeva ṭhātabbaṃ.
อถ ปนายํ ‘‘อกปฺปิย’’นฺติ คเหตฺวา กเถติ, ปโร ‘‘กปฺปิย’’นฺติฯ สุเตฺต จ สุตฺตานุโลเม จ โอตาเรตพฺพํฯ สเจ กปฺปิยํ โหติ, กปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ สเจ อกปฺปิยํ, อกปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ
Atha panāyaṃ ‘‘akappiya’’nti gahetvā katheti, paro ‘‘kappiya’’nti. Sutte ca suttānulome ca otāretabbaṃ. Sace kappiyaṃ hoti, kappiye ṭhātabbaṃ. Sace akappiyaṃ, akappiye ṭhātabbaṃ.
อถายํ พหูหิ สุตฺตวินิจฺฉยการเณหิ อกปฺปิยภาวํ ทเสฺสติ, ปโร การณํ น วินฺทติ, อกปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ อถ ปโร พหูหิ สุตฺตวินิจฺฉยการเณหิ กปฺปิยภาวํ ทเสฺสติ, อยํ การณํ น วินฺทติ, กปฺปิเย ฐาตพฺพํฯ อถ ทฺวินฺนมฺปิ การณจฺฉายา ทิสฺสติ, อตฺตโน คหณํ น วิสฺสเชฺชตพฺพํฯ ยถา จายํ กปฺปิยากปฺปิเย อกปฺปิยกปฺปิเย จ วินิจฺฉโย วุโตฺต; เอวํ อนาปตฺติอาปตฺติวาเท อาปตฺตานาปตฺติวาเท จ, ลหุกครุกาปตฺติวาเท ครุกลหุกาปตฺติวาเท จาปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ นามมตฺตํเยว หิ เอตฺถ นานํ, โยชนานเย นานํ นตฺถิ, ตสฺมา น วิตฺถาริตํฯ
Athāyaṃ bahūhi suttavinicchayakāraṇehi akappiyabhāvaṃ dasseti, paro kāraṇaṃ na vindati, akappiye ṭhātabbaṃ. Atha paro bahūhi suttavinicchayakāraṇehi kappiyabhāvaṃ dasseti, ayaṃ kāraṇaṃ na vindati, kappiye ṭhātabbaṃ. Atha dvinnampi kāraṇacchāyā dissati, attano gahaṇaṃ na vissajjetabbaṃ. Yathā cāyaṃ kappiyākappiye akappiyakappiye ca vinicchayo vutto; evaṃ anāpattiāpattivāde āpattānāpattivāde ca, lahukagarukāpattivāde garukalahukāpattivāde cāpi vinicchayo veditabbo. Nāmamattaṃyeva hi ettha nānaṃ, yojanānaye nānaṃ natthi, tasmā na vitthāritaṃ.
เอวํ กปฺปิยากปฺปิยาทิวินิจฺฉเย อุปฺปเนฺน โย สุตฺต-สุตฺตานุโลมอาจริยวาทอตฺตโนมตีสุ อติเรกการณํ ลภติ, ตสฺส วาเท ฐาตพฺพํฯ สพฺพโส ปน การณํ วินิจฺฉยํ อลภเนฺตน สุตฺตํ น ชหิตพฺพํ, สุตฺตสฺมิํเยว ฐาตพฺพนฺติฯ เอวํ ตสฺมิํ สิกฺขาปเท จ สิกฺขาปทวิภเงฺค จ สกเล จ วินยวินิจฺฉเย โกสลฺลํ ปตฺถยเนฺตน อยํ จตุพฺพิโธ วินโย ชานิตโพฺพฯ
Evaṃ kappiyākappiyādivinicchaye uppanne yo sutta-suttānulomaācariyavādaattanomatīsu atirekakāraṇaṃ labhati, tassa vāde ṭhātabbaṃ. Sabbaso pana kāraṇaṃ vinicchayaṃ alabhantena suttaṃ na jahitabbaṃ, suttasmiṃyeva ṭhātabbanti. Evaṃ tasmiṃ sikkhāpade ca sikkhāpadavibhaṅge ca sakale ca vinayavinicchaye kosallaṃ patthayantena ayaṃ catubbidho vinayo jānitabbo.
อิมญฺจ ปน จตุพฺพิธํ วินยํ ญตฺวาปิ วินยธเรน ปุคฺคเลน ติลกฺขณสมนฺนาคเตน ภวิตพฺพํฯ ตีณิ หิ วินยธรสฺส ลกฺขณานิ อิจฺฉิตพฺพานิฯ กตมานิ ตีณิ? ‘‘สุตฺตญฺจสฺส สฺวาคตํ โหติ สุปฺปวตฺติ สุวินิจฺฉิตํ สุตฺตโต อนุพฺยญฺชนโต’’ติ อิทเมกํ ลกฺขณํฯ ‘‘วินเย โข ปน ฐิโต โหติ อสํหีโร’’ติ อิทํ ทุติยํฯ ‘‘อาจริยปรมฺปรา โข ปนสฺส สุคฺคหิตา โหติ สุมนสิกตา สูปธาริตา’’ติ อิทํ ตติยํฯ
Imañca pana catubbidhaṃ vinayaṃ ñatvāpi vinayadharena puggalena tilakkhaṇasamannāgatena bhavitabbaṃ. Tīṇi hi vinayadharassa lakkhaṇāni icchitabbāni. Katamāni tīṇi? ‘‘Suttañcassa svāgataṃ hoti suppavatti suvinicchitaṃ suttato anubyañjanato’’ti idamekaṃ lakkhaṇaṃ. ‘‘Vinaye kho pana ṭhito hoti asaṃhīro’’ti idaṃ dutiyaṃ. ‘‘Ācariyaparamparā kho panassa suggahitā hoti sumanasikatā sūpadhāritā’’ti idaṃ tatiyaṃ.
ตตฺถ สุตฺตํ นาม สกลํ วินยปิฎกํฯ ตญฺจสฺส สฺวาคตํ โหตีติ สุฎฺฐุ อาคตํฯ สุปฺปวตฺตีติ สุฎฺฐุ ปวตฺตํ ปคุณํ วาจุคฺคตํ สุวินิจฺฉิตํฯ สุตฺตโต อนุพฺยญฺชนโตติ ปาฬิโต จ ปริปุจฺฉโต จ อฎฺฐกถาโต จ สุวินิจฺฉิตํ โหติ, กงฺขเจฺฉทํ กตฺวา อุคฺคหิตํฯ
Tattha suttaṃ nāma sakalaṃ vinayapiṭakaṃ. Tañcassa svāgataṃ hotīti suṭṭhu āgataṃ. Suppavattīti suṭṭhu pavattaṃ paguṇaṃ vācuggataṃ suvinicchitaṃ. Suttato anubyañjanatoti pāḷito ca paripucchato ca aṭṭhakathāto ca suvinicchitaṃ hoti, kaṅkhacchedaṃ katvā uggahitaṃ.
วินเย โข ปน ฐิโต โหตีติ วินเย ลชฺชีภาเวน ปติฎฺฐิโต โหติฯ อลชฺชี หิ พหุสฺสุโตปิ สมาโน ลาภครุตาย ตนฺติํ วิสํวาเทตฺวา อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุสาสนํ ทีเปตฺวา สาสเน มหนฺตํ อุปทฺทวํ กโรติฯ สงฺฆเภทมฺปิ สงฺฆราชิมฺปิ อุปฺปาเทติฯ ลชฺชี ปน กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโม ชีวิตเหตุปิ ตนฺติํ อวิสํวาเทตฺวา ธมฺมเมว วินยเมว จ ทีเปติ, สตฺถุสาสนํ ครุํ กตฺวา ฐเปติฯ ตถา หิ ปุเพฺพ มหาเถรา ติกฺขตฺตุํ วาจํ นิจฺฉาเรสุํ – ‘‘อนาคเต ลชฺชี รกฺขิสฺสติ, ลชฺชี รกฺขิสฺสติ, ลชฺชี รกฺขิสฺสตี’’ติฯ เอวํ โย ลชฺชี, โส วินยํ อวิชหโนฺต อโวกฺกมโนฺต ลชฺชีภาเวน วินเย ฐิโต โหติ สุปฺปติฎฺฐิโตติฯ อสํหีโรติ สํหีโร นาม โย ปาฬิยํ วา อฎฺฐกถายํ วา เหฎฺฐโต วา อุปริโต วา ปทปฎิปาฎิยา วา ปุจฺฉิยมาโน วิตฺถุนติ วิปฺผนฺทติ สนฺติฎฺฐิตุํ น สโกฺกติ; ยํ ยํ ปเรน วุจฺจติ ตํ ตํ อนุชานาติ; สกวาทํ ฉเฑฺฑตฺวา ปรวาทํ คณฺหาติฯ โย ปน ปาฬิยํ วา อฎฺฐกถาย วา เหฎฺฐุปริเยน วา ปทปฎิปาฎิยา วา ปุจฺฉิยมาโน น วิตฺถุนติ น วิปฺผนฺทติ, เอเกกโลมํ สณฺฑาเสน คณฺหโนฺต วิย ‘‘เอวํ มยํ วทาม; เอวํ โน อาจริยา วทนฺตี’’ติ วิสฺสเชฺชติ; ยมฺหิ ปาฬิ จ ปาฬิวินิจฺฉโย จ สุวณฺณภาชเน ปกฺขิตฺตสีหวสา วิย ปริกฺขยํ ปริยาทานํ อคจฺฉโนฺต ติฎฺฐติ, อยํ วุจฺจติ ‘‘อสํหีโร’’ติฯ
Vinaye kho pana ṭhito hotīti vinaye lajjībhāvena patiṭṭhito hoti. Alajjī hi bahussutopi samāno lābhagarutāya tantiṃ visaṃvādetvā uddhammaṃ ubbinayaṃ satthusāsanaṃ dīpetvā sāsane mahantaṃ upaddavaṃ karoti. Saṅghabhedampi saṅgharājimpi uppādeti. Lajjī pana kukkuccako sikkhākāmo jīvitahetupi tantiṃ avisaṃvādetvā dhammameva vinayameva ca dīpeti, satthusāsanaṃ garuṃ katvā ṭhapeti. Tathā hi pubbe mahātherā tikkhattuṃ vācaṃ nicchāresuṃ – ‘‘anāgate lajjī rakkhissati, lajjī rakkhissati, lajjī rakkhissatī’’ti. Evaṃ yo lajjī, so vinayaṃ avijahanto avokkamanto lajjībhāvena vinaye ṭhito hoti suppatiṭṭhitoti. Asaṃhīroti saṃhīro nāma yo pāḷiyaṃ vā aṭṭhakathāyaṃ vā heṭṭhato vā uparito vā padapaṭipāṭiyā vā pucchiyamāno vitthunati vipphandati santiṭṭhituṃ na sakkoti; yaṃ yaṃ parena vuccati taṃ taṃ anujānāti; sakavādaṃ chaḍḍetvā paravādaṃ gaṇhāti. Yo pana pāḷiyaṃ vā aṭṭhakathāya vā heṭṭhupariyena vā padapaṭipāṭiyā vā pucchiyamāno na vitthunati na vipphandati, ekekalomaṃ saṇḍāsena gaṇhanto viya ‘‘evaṃ mayaṃ vadāma; evaṃ no ācariyā vadantī’’ti vissajjeti; yamhi pāḷi ca pāḷivinicchayo ca suvaṇṇabhājane pakkhittasīhavasā viya parikkhayaṃ pariyādānaṃ agacchanto tiṭṭhati, ayaṃ vuccati ‘‘asaṃhīro’’ti.
อาจริยปรมฺปรา โข ปนสฺส สุคฺคหิตา โหตีติ เถรปรมฺปรา วํสปรมฺปรา จสฺส สุอุ คหิตา โหติฯ สุมนสิกตาติ สุฎฺฐุ มนสิกตา; อาวชฺชิตมเตฺต อุชฺชลิตปทีโป วิย โหติฯ สูปธาริตาติ สุฎฺฐุ อุปธาริตา ปุพฺพาปรานุสนฺธิโต อตฺถโต การณโต จ อุปธาริตา; อตฺตโน มติํ ปหาย อาจริยสุทฺธิยา วตฺตา โหติ ‘‘มยฺหํ อาจริโย อสุกาจริยสฺส สนฺติเก อุคฺคณฺหิ, โส อสุกสฺสา’’ติ เอวํ สพฺพํ อาจริยปรมฺปรํ เถรวาทงฺคํ อาหริตฺวา ยาว อุปาลิเตฺถโร สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก อุคฺคณฺหีติ ปาเปตฺวา ฐเปติฯ ตโตปิ อาหริตฺวา อุปาลิเตฺถโร สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก อุคฺคณฺหิ, ทาสกเตฺถโร อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส อุปาลิเตฺถรสฺส, โสณกเตฺถโร อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส ทาสกเตฺถรสฺส, สิคฺควเตฺถโร อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส โสณกเตฺถรสฺส, โมคฺคลิปุตฺตติสฺสเตฺถโร อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส สิคฺควเตฺถรสฺส จณฺฑวชฺชิเตฺถรสฺส จาติฯ เอวํ สพฺพํ อาจริยปรมฺปรํ เถรวาทงฺคํ อาหริตฺวา อตฺตโน อาจริยํ ปาเปตฺวา ฐเปติฯ เอวํ อุคฺคหิตา หิ อาจริยปรมฺปรา สุคฺคหิตา โหติฯ เอวํ อสโกฺกเนฺตน ปน อวสฺสํ เทฺว ตโย ปริวฎฺฎา อุคฺคเหตพฺพาฯ สพฺพปจฺฉิเมน หิ นเยน ยถา อาจริโย จ อาจริยาจริโย จ ปาฬิญฺจ ปริปุจฺฉญฺจ วทนฺติ, ตถา ญาตุํ วฎฺฎติฯ
Ācariyaparamparā kho panassa suggahitā hotīti theraparamparā vaṃsaparamparā cassa suu gahitā hoti. Sumanasikatāti suṭṭhu manasikatā; āvajjitamatte ujjalitapadīpo viya hoti. Sūpadhāritāti suṭṭhu upadhāritā pubbāparānusandhito atthato kāraṇato ca upadhāritā; attano matiṃ pahāya ācariyasuddhiyā vattā hoti ‘‘mayhaṃ ācariyo asukācariyassa santike uggaṇhi, so asukassā’’ti evaṃ sabbaṃ ācariyaparamparaṃ theravādaṅgaṃ āharitvā yāva upālitthero sammāsambuddhassa santike uggaṇhīti pāpetvā ṭhapeti. Tatopi āharitvā upālitthero sammāsambuddhassa santike uggaṇhi, dāsakatthero attano upajjhāyassa upālittherassa, soṇakatthero attano upajjhāyassa dāsakattherassa, siggavatthero attano upajjhāyassa soṇakattherassa, moggaliputtatissatthero attano upajjhāyassa siggavattherassa caṇḍavajjittherassa cāti. Evaṃ sabbaṃ ācariyaparamparaṃ theravādaṅgaṃ āharitvā attano ācariyaṃ pāpetvā ṭhapeti. Evaṃ uggahitā hi ācariyaparamparā suggahitā hoti. Evaṃ asakkontena pana avassaṃ dve tayo parivaṭṭā uggahetabbā. Sabbapacchimena hi nayena yathā ācariyo ca ācariyācariyo ca pāḷiñca paripucchañca vadanti, tathā ñātuṃ vaṭṭati.
อิเมหิ จ ปน ตีหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคเตน วินยธเรน วตฺถุวินิจฺฉยตฺถํ สนฺนิปติเต สเงฺฆ โอติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ โจทเกน จ จุทิตเกน จ วุเตฺต วตฺตเพฺพ สหสา อวินิจฺฉินิตฺวาว ฉ ฐานานิ โอโลเกตพฺพานิฯ กตมานิ ฉ? วตฺถุ โอโลเกตพฺพํ, มาติกา โอโลเกตพฺพา, ปทภาชนียํ โอโลเกตพฺพํ, ติกปริเจฺฉโท โอโลเกตโพฺพ, อนฺตราปตฺติ โอโลเกตพฺพา, อนาปตฺติ โอโลเกตพฺพาติฯ
Imehi ca pana tīhi lakkhaṇehi samannāgatena vinayadharena vatthuvinicchayatthaṃ sannipatite saṅghe otiṇṇe vatthusmiṃ codakena ca cuditakena ca vutte vattabbe sahasā avinicchinitvāva cha ṭhānāni oloketabbāni. Katamāni cha? Vatthu oloketabbaṃ, mātikā oloketabbā, padabhājanīyaṃ oloketabbaṃ, tikaparicchedo oloketabbo, antarāpatti oloketabbā, anāpatti oloketabbāti.
วตฺถุํ โอโลเกโนฺตปิ หิ ‘‘ติเณน วา ปเณฺณน วา ปฎิจฺฉาเทตฺวา อาคนฺตพฺพํ, น เตฺวว นเคฺคน อาคนฺตพฺพํ; โย อาคเจฺฉยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๕๑๗) เอวํ เอกจฺจํ อาปตฺติํ ปสฺสติฯ โส ตํ สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ
Vatthuṃ olokentopi hi ‘‘tiṇena vā paṇṇena vā paṭicchādetvā āgantabbaṃ, na tveva naggena āgantabbaṃ; yo āgaccheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 517) evaṃ ekaccaṃ āpattiṃ passati. So taṃ suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.
มาติกํ โอโลเกโนฺตปิ ‘‘สมฺปชานมุสาวาเท ปาจิตฺติย’’นฺติอาทินา (ปาจิ. ๒) นเยน ปญฺจนฺนํ อาปตฺตีนํ อญฺญตรํ อาปตฺติํ ปสฺสติ, โส ตํ สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ
Mātikaṃ olokentopi ‘‘sampajānamusāvāde pācittiya’’ntiādinā (pāci. 2) nayena pañcannaṃ āpattīnaṃ aññataraṃ āpattiṃ passati, so taṃ suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.
ปทภาชนียํ โอโลเกโนฺตปิ ‘‘อกฺขยิเต สรีเร เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ เยภุเยฺยน ขยิเต สรีเร เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติอาทินา (ปารา. ๕๙ อาทโย, อตฺถโต สมานํ) นเยน สตฺตนฺนํ อาปตฺตีนํ อญฺญตรํ อาปตฺติํ ปสฺสติ, โส ปทภาชนียโต สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ
Padabhājanīyaṃ olokentopi ‘‘akkhayite sarīre methunaṃ dhammaṃ paṭisevati, āpatti pārājikassa. Yebhuyyena khayite sarīre methunaṃ dhammaṃ paṭisevati, āpatti thullaccayassā’’tiādinā (pārā. 59 ādayo, atthato samānaṃ) nayena sattannaṃ āpattīnaṃ aññataraṃ āpattiṃ passati, so padabhājanīyato suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.
ติกปริเจฺฉทํ โอโลเกโนฺตปิ ติกสงฺฆาทิเสสํ วา ติกปาจิตฺติยํ วา ติกทุกฺกฎํ วา อญฺญตรํ วา อาปตฺติํ ติกปริเจฺฉเท ปสฺสติ, โส ตโต สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ
Tikaparicchedaṃ olokentopi tikasaṅghādisesaṃ vā tikapācittiyaṃ vā tikadukkaṭaṃ vā aññataraṃ vā āpattiṃ tikaparicchede passati, so tato suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.
อนฺตราปตฺติํ โอโลเกโนฺตปิ ‘‘ปฎิลาตํ อุกฺขิปติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๓๕๕) เอวํ ยา สิกฺขาปทนฺตเรสุ อนฺตราปตฺติ โหติ ตํ ปสฺสติ, โส ตํ สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ
Antarāpattiṃ olokentopi ‘‘paṭilātaṃ ukkhipati, āpatti dukkaṭassā’’ti (pāci. 355) evaṃ yā sikkhāpadantaresu antarāpatti hoti taṃ passati, so taṃ suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.
อนาปตฺติํ โอโลเกโนฺตปิ ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ อสาทิยนฺตสฺส, อเถยฺยจิตฺตสฺส, น มรณาธิปฺปายสฺส, อนุลฺลปนาธิปฺปายสฺส, น โมจนาธิปฺปายสฺส, อสญฺจิจฺจ, อสฺสติยา, อชานนฺตสฺสา’’ติ (ปารา. ๗๒ อาทโย) เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สิกฺขาปเท นิทฺทิฎฺฐํ อนาปตฺติํ ปสฺสติ, โส ตํ สุตฺตํ อาเนตฺวา ตํ อธิกรณํ วูปสเมสฺสติฯ
Anāpattiṃ olokentopi ‘‘anāpatti bhikkhu asādiyantassa, atheyyacittassa, na maraṇādhippāyassa, anullapanādhippāyassa, na mocanādhippāyassa, asañcicca, assatiyā, ajānantassā’’ti (pārā. 72 ādayo) evaṃ tasmiṃ tasmiṃ sikkhāpade niddiṭṭhaṃ anāpattiṃ passati, so taṃ suttaṃ ānetvā taṃ adhikaraṇaṃ vūpasamessati.
โย หิ ภิกฺขุ จตุพฺพิธวินยโกวิโท ติลกฺขณสมฺปโนฺน อิมานิ ฉ ฐานานิ โอโลเกตฺวา อธิกรณํ วูปสเมสฺสติ, ตสฺส วินิจฺฉโย อปฺปฎิวตฺติโย, พุเทฺธน สยํ นิสีทิตฺวา วินิจฺฉิตสทิโส โหติฯ ตํ เจวํ วินิจฺฉยกุสลํ ภิกฺขุํ โกจิ กตสิกฺขาปทวีติกฺกโม ภิกฺขุ อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตโน กุกฺกุจฺจํ ปุเจฺฉยฺย; เตน สาธุกํ สลฺลเกฺขตฺวา สเจ อนาปตฺติ โหติ, ‘‘อนาปตฺตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ ปน อาปตฺติ โหติ, ‘‘อาปตฺตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ สา เทสนาคามินี เจ, ‘‘เทสนาคามินี’’ติ วตฺตพฺพํฯ วุฎฺฐานคามินี เจ, ‘‘วุฎฺฐานคามินี’’ติ วตฺตพฺพํฯ อถสฺส ปาราชิกจฺฉายา ทิสฺสติ, ‘‘ปาราชิกาปตฺตี’’ติ น ตาว วตฺตพฺพํฯ กสฺมา? เมถุนธมฺมวีติกฺกโม หิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมวีติกฺกโม จ โอฬาริโกฯ อทินฺนาทานมนุสฺสวิคฺคหวีติกฺกมา ปน สุขุมา จิตฺตลหุกาฯ เต สุขุเมเนว อาปชฺชติ , สุขุเมน รกฺขติ, ตสฺมา วิเสเสน ตํวตฺถุกํ กุกฺกุจฺจํ ปุจฺฉิยมาโน ‘‘อาปตฺตี’’ติ อวตฺวา สจสฺส อาจริโย ธรติ, ตโต เตน โส ภิกฺขุ ‘‘อมฺหากํ อาจริยํ ปุจฺฉา’’ติ เปเสตโพฺพฯ สเจ โส ปุน อาคนฺตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ อาจริโย สุตฺตโต นยโต โอโลเกตฺวา ‘สเตกิโจฺฉ’ติ มํ อาหา’’ติ วทติ, ตโต อเนน โส ‘‘สาธุ สุฎฺฐุ ยํ อาจริโย ภณติ ตํ กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ อถ ปนสฺส อาจริโย นตฺถิ, สทฺธิํ อุคฺคหิตเตฺถโร ปน อตฺถิ, ตสฺส สนฺติกํ เปเสตโพฺพ – ‘‘อเมฺหหิ สห อุคฺคหิตเตฺถโร คณปาโมโกฺข, ตํ คนฺตฺวา ปุจฺฉา’’ติฯ เตนาปิ ‘‘สเตกิโจฺฉ’’ติ วินิจฺฉิเต ‘‘สาธุ สุฎฺฐุ ตสฺส วจนํ กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ อถ สทฺธิํ อุคฺคหิตเตฺถโรปิ นตฺถิ, อเนฺตวาสิโก ปณฺฑิโต อตฺถิ, ตสฺส สนฺติกํ เปเสตโพฺพ – ‘‘อสุกทหรํ คนฺตฺวา ปุจฺฉา’’ติฯ เตนาปิ ‘‘สเตกิโจฺฉ’’ติ วินิจฺฉิเต ‘‘สาธุ สุฎฺฐุ ตสฺส วจนํ กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ อถ ทหรสฺสาปิ ปาราชิกจฺฉายาว อุปฎฺฐาติ, เตนาปิ ‘‘ปาราชิโกสี’’ติ น วตฺตโพฺพฯ ทุลฺลโภ หิ พุทฺธุปฺปาโท, ตโต ทุลฺลภตรา ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จฯ เอวํ ปน วตฺตโพฺพ – ‘‘วิวิตฺตํ โอกาสํ สมฺมชฺชิตฺวา ทิวาวิหารํ นิสีทิตฺวา สีลานิ โสเธตฺวา ทฺวตฺติํสาการํ ตาว มนสิ กโรหี’’ติฯ สเจ ตสฺส อโรคํ สีลํ กมฺมฎฺฐานํ ฆฎยติ, สงฺขารา ปากฎา หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, อุปจารปฺปนาปฺปตฺตํ วิย จิตฺตมฺปิ เอกคฺคํ โหติ, ทิวสํ อติกฺกนฺตมฺปิ น ชานาติฯ โส ทิวสาติกฺกเม อุปฎฺฐานํ อาคโต เอวํ วตฺตโพฺพ – ‘‘กีทิสา เต จิตฺตปฺปวตฺตี’’ติฯ อาโรจิตาย จิตฺตปฺปวตฺติยา วตฺตโพฺพ – ‘‘ปพฺพชฺชา นาม จิตฺตวิสุทฺธตฺถาย, อปฺปมโตฺต สมณธมฺมํ กโรหี’’ติฯ
Yo hi bhikkhu catubbidhavinayakovido tilakkhaṇasampanno imāni cha ṭhānāni oloketvā adhikaraṇaṃ vūpasamessati, tassa vinicchayo appaṭivattiyo, buddhena sayaṃ nisīditvā vinicchitasadiso hoti. Taṃ cevaṃ vinicchayakusalaṃ bhikkhuṃ koci katasikkhāpadavītikkamo bhikkhu upasaṅkamitvā attano kukkuccaṃ puccheyya; tena sādhukaṃ sallakkhetvā sace anāpatti hoti, ‘‘anāpattī’’ti vattabbaṃ. Sace pana āpatti hoti, ‘‘āpattī’’ti vattabbaṃ. Sā desanāgāminī ce, ‘‘desanāgāminī’’ti vattabbaṃ. Vuṭṭhānagāminī ce, ‘‘vuṭṭhānagāminī’’ti vattabbaṃ. Athassa pārājikacchāyā dissati, ‘‘pārājikāpattī’’ti na tāva vattabbaṃ. Kasmā? Methunadhammavītikkamo hi uttarimanussadhammavītikkamo ca oḷāriko. Adinnādānamanussaviggahavītikkamā pana sukhumā cittalahukā. Te sukhumeneva āpajjati , sukhumena rakkhati, tasmā visesena taṃvatthukaṃ kukkuccaṃ pucchiyamāno ‘‘āpattī’’ti avatvā sacassa ācariyo dharati, tato tena so bhikkhu ‘‘amhākaṃ ācariyaṃ pucchā’’ti pesetabbo. Sace so puna āgantvā ‘‘tumhākaṃ ācariyo suttato nayato oloketvā ‘satekiccho’ti maṃ āhā’’ti vadati, tato anena so ‘‘sādhu suṭṭhu yaṃ ācariyo bhaṇati taṃ karohī’’ti vattabbo. Atha panassa ācariyo natthi, saddhiṃ uggahitatthero pana atthi, tassa santikaṃ pesetabbo – ‘‘amhehi saha uggahitatthero gaṇapāmokkho, taṃ gantvā pucchā’’ti. Tenāpi ‘‘satekiccho’’ti vinicchite ‘‘sādhu suṭṭhu tassa vacanaṃ karohī’’ti vattabbo. Atha saddhiṃ uggahitattheropi natthi, antevāsiko paṇḍito atthi, tassa santikaṃ pesetabbo – ‘‘asukadaharaṃ gantvā pucchā’’ti. Tenāpi ‘‘satekiccho’’ti vinicchite ‘‘sādhu suṭṭhu tassa vacanaṃ karohī’’ti vattabbo. Atha daharassāpi pārājikacchāyāva upaṭṭhāti, tenāpi ‘‘pārājikosī’’ti na vattabbo. Dullabho hi buddhuppādo, tato dullabhatarā pabbajjā ca upasampadā ca. Evaṃ pana vattabbo – ‘‘vivittaṃ okāsaṃ sammajjitvā divāvihāraṃ nisīditvā sīlāni sodhetvā dvattiṃsākāraṃ tāva manasi karohī’’ti. Sace tassa arogaṃ sīlaṃ kammaṭṭhānaṃ ghaṭayati, saṅkhārā pākaṭā hutvā upaṭṭhahanti, upacārappanāppattaṃ viya cittampi ekaggaṃ hoti, divasaṃ atikkantampi na jānāti. So divasātikkame upaṭṭhānaṃ āgato evaṃ vattabbo – ‘‘kīdisā te cittappavattī’’ti. Ārocitāya cittappavattiyā vattabbo – ‘‘pabbajjā nāma cittavisuddhatthāya, appamatto samaṇadhammaṃ karohī’’ti.
ยสฺส ปน สีลํ ภินฺนํ โหติ, ตสฺส กมฺมฎฺฐานํ น ฆฎยติ, ปโตทาภิตุนฺนํ วิย จิตฺตํ วิกมฺปติ, วิปฺปฎิสารคฺคินา ฑยฺหติ, ตตฺตปาสาเณ นิสิโนฺน วิย ตงฺขณเญฺญว วุฎฺฐาติฯ โส อาคโต ‘‘กา เต จิตฺตปฺปวตฺตี’’ติ ปุจฺฉิตโพฺพฯ อาโรจิตาย จิตฺตปฺปวตฺติยา ‘‘นตฺถิ โลเก รโห นาม ปาปกมฺมํ ปกุพฺพโตฯ สพฺพปฐมญฺหิ ปาปํ กโรโนฺต อตฺตนา ชานาติ, อถสฺส อารกฺขเทวตา ปรจิตฺตวิทู สมณพฺราหฺมณา อญฺญา จ เทวตา ชานนฺติ, ตฺวํเยว ทานิ ตว โสตฺถิํ ปริเยสาหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ
Yassa pana sīlaṃ bhinnaṃ hoti, tassa kammaṭṭhānaṃ na ghaṭayati, patodābhitunnaṃ viya cittaṃ vikampati, vippaṭisāragginā ḍayhati, tattapāsāṇe nisinno viya taṅkhaṇaññeva vuṭṭhāti. So āgato ‘‘kā te cittappavattī’’ti pucchitabbo. Ārocitāya cittappavattiyā ‘‘natthi loke raho nāma pāpakammaṃ pakubbato. Sabbapaṭhamañhi pāpaṃ karonto attanā jānāti, athassa ārakkhadevatā paracittavidū samaṇabrāhmaṇā aññā ca devatā jānanti, tvaṃyeva dāni tava sotthiṃ pariyesāhī’’ti vattabbo.
นิฎฺฐิตา จตุพฺพิธวินยกถา
Niṭṭhitā catubbidhavinayakathā
วินยธรสฺส จ ลกฺขณาทิกถาฯ
Vinayadharassa ca lakkhaṇādikathā.
ภิกฺขุปทภาชนียวณฺณนา
Bhikkhupadabhājanīyavaṇṇanā
อิทานิ สิกฺขาปทวิภงฺคสฺส อตฺถํ วณฺณยิสฺสามฯ ยํ วุตฺตํ โย ปนาติ โย ยาทิโสติอาทิฯ เอตฺถ โย ปนาติ วิภชิตพฺพปทํ; โย ยาทิโสติอาทีนิ ตสฺส วิภชนปทานิฯ เอตฺถ จ ยสฺมา ปนาติ นิปาตมตฺตํ; โยติ อตฺถปทํ; ตญฺจ อนิยเมน ปุคฺคลํ ทีเปติ, ตสฺมา ตสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อนิยเมน ปุคฺคลทีปกํ โย สทฺทเมว อาหฯ ตสฺมา เอตฺถ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพ – โย ปนาติ โย โยโกจีติ วุตฺตํ โหติฯ ยสฺมา ปน โย โยโกจิ นาม, โส อวสฺสํ ลิงฺค-ยุตฺต-ชาติ-นาม-โคตฺต-สีล-วิหาร-โคจรวเยสุ เอเกนากาเรน ปญฺญายติ, ตสฺมา ตํ ตถา ญาเปตุํ ตํ ปเภทํ ปกาเสโนฺต ‘‘ยาทิโส’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยาทิโสติ ลิงฺควเสน ยาทิโส วา ตาทิโส วา โหตุ; ทีโฆ วา รโสฺส วา กาโฬ วา โอทาโต วา มงฺคุรจฺฉวิ วา กิโส วา ถูโล วาติ อโตฺถฯ ยถายุโตฺตติ โยควเสน เยน วา เตน วา ยุโตฺต โหตุ; นวกมฺมยุโตฺต วา อุเทฺทสยุโตฺต วา วาสธุรยุโตฺต วาติ อโตฺถฯ ยถาชโจฺจติ ชาติวเสน ยํชโจฺจ วา ตํชโจฺจ วา โหตุ; ขตฺติโย วา พฺราหฺมโณ วา เวโสฺส วา สุโทฺท วาติ อโตฺถฯ ยถานาโมติ นามวเสน ยถานาโม วา ตถานาโม วา โหตุ; พุทฺธรกฺขิโต วา ธมฺมรกฺขิโต วา สงฺฆรกฺขิโต วาติ อโตฺถฯ ยถาโคโตฺตติ โคตฺตวเสน ยถาโคโตฺต วา ตถาโคโตฺต วา เยน วา เตน วา โคเตฺตน โหตุ; กจฺจายโน วา วาสิโฎฺฐ วา โกสิโย วาติ อโตฺถฯ ยถาสีโลติ สีเลสุ ยถาสีโล วา ตถาสีโล วา โหตุ; นวกมฺมสีโล วา อุเทฺทสสีโล วา วาสธุรสีโล วาติ อโตฺถฯ ยถาวิหารีติ วิหาเรสุปิ ยถาวิหารี วา ตถาวิหารี วา โหตุ; นวกมฺมวิหารี วา อุเทฺทสวิหารี วา วาสธุรวิหารี วาติ อโตฺถฯ ยถาโคจโรติ โคจเรสุปิ ยถาโคจโร วา ตถาโคจโร วา โหตุ; นวกมฺมโคจโร วา อุเทฺทสโคจโร วา วาสธุรโคจโร วาติ อโตฺถฯ เถโร วาติ อาทีสุ วโยวุฑฺฒาทีสุ โย วา โส วา โหตุ; ปริปุณฺณทสวสฺสตาย เถโร วา อูนปญฺจวสฺสตาย นโว วา อติเรกปญฺจวสฺสตาย มชฺฌิโม วาติ อโตฺถฯ อถ โข สโพฺพว อิมสฺมิํ อเตฺถ เอโส วุจฺจติ ‘‘โย ปนา’’ติฯ
Idāni sikkhāpadavibhaṅgassa atthaṃ vaṇṇayissāma. Yaṃ vuttaṃ yo panāti yo yādisotiādi. Ettha yo panāti vibhajitabbapadaṃ; yo yādisotiādīni tassa vibhajanapadāni. Ettha ca yasmā panāti nipātamattaṃ; yoti atthapadaṃ; tañca aniyamena puggalaṃ dīpeti, tasmā tassa atthaṃ dassento aniyamena puggaladīpakaṃ yo saddameva āha. Tasmā ettha evamattho veditabbo – yo panāti yo yokocīti vuttaṃ hoti. Yasmā pana yo yokoci nāma, so avassaṃ liṅga-yutta-jāti-nāma-gotta-sīla-vihāra-gocaravayesu ekenākārena paññāyati, tasmā taṃ tathā ñāpetuṃ taṃ pabhedaṃ pakāsento ‘‘yādiso’’tiādimāha. Tattha yādisoti liṅgavasena yādiso vā tādiso vā hotu; dīgho vā rasso vā kāḷo vā odāto vā maṅguracchavi vā kiso vā thūlo vāti attho. Yathāyuttoti yogavasena yena vā tena vā yutto hotu; navakammayutto vā uddesayutto vā vāsadhurayutto vāti attho. Yathājaccoti jātivasena yaṃjacco vā taṃjacco vā hotu; khattiyo vā brāhmaṇo vā vesso vā suddo vāti attho. Yathānāmoti nāmavasena yathānāmo vā tathānāmo vā hotu; buddharakkhito vā dhammarakkhito vā saṅgharakkhito vāti attho. Yathāgottoti gottavasena yathāgotto vā tathāgotto vā yena vā tena vā gottena hotu; kaccāyano vā vāsiṭṭho vā kosiyo vāti attho. Yathāsīloti sīlesu yathāsīlo vā tathāsīlo vā hotu; navakammasīlo vā uddesasīlo vā vāsadhurasīlo vāti attho. Yathāvihārīti vihāresupi yathāvihārī vā tathāvihārī vā hotu; navakammavihārī vā uddesavihārī vā vāsadhuravihārī vāti attho. Yathāgocaroti gocaresupi yathāgocaro vā tathāgocaro vā hotu; navakammagocaro vā uddesagocaro vā vāsadhuragocaro vāti attho. Thero vāti ādīsu vayovuḍḍhādīsu yo vā so vā hotu; paripuṇṇadasavassatāya thero vā ūnapañcavassatāya navo vā atirekapañcavassatāya majjhimo vāti attho. Atha kho sabbova imasmiṃ atthe eso vuccati ‘‘yo panā’’ti.
ภิกฺขุนิเทฺทเส ภิกฺขตีติ ภิกฺขโก; ลภโนฺต วา อลภโนฺต วา อริยาย ยาจนาย ยาจตีติ อโตฺถฯ พุทฺธาทีหิ อชฺฌุปคตํ ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคตตฺตา ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโต นามฯ โย หิ โกจิ อปฺปํ วา มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, โส กสิโครกฺขาทีหิ ชีวิกกปฺปนํ หิตฺวา ลิงฺคสมฺปฎิจฺฉเนเนว ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขุฯ ปรปฎิพทฺธชีวิกตฺตา วา วิหารมเชฺฌ กาชภตฺตํ ภุญฺชมาโนปิ ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขุ; ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชาย อุสฺสาหชาตตฺตา วา ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขุฯ อคฺฆผสฺสวณฺณเภเทน ภินฺนํ ปฎํ ธาเรตีติ ภินฺนปฎธโรฯ ตตฺถ สตฺถกเจฺฉทเนน อคฺฆเภโท เวทิตโพฺพฯ สหสฺสคฺฆนโกปิ หิ ปโฎ สตฺถเกน ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉิโนฺน ภินฺนโคฺฆ โหติฯ ปุริมคฺฆโต อุปฑฺฒมฺปิ น อคฺฆติฯ สุตฺตสํสิพฺพเนน ผสฺสเภโท เวทิตโพฺพฯ สุขสมฺผโสฺสปิ หิ ปโฎ สุเตฺตหิ สํสิพฺพิโต ภินฺนผโสฺส โหติฯ ขรสมฺผสฺสตํ ปาปุณาติฯ สูจิมลาทีหิ วณฺณเภโท เวทิตโพฺพฯ สุปริสุโทฺธปิ หิ ปโฎ สูจิกมฺมโต ปฎฺฐาย สูจิมเลน, หตฺถเสทมลชลฺลิกาหิ, อวสาเน รชนกปฺปกรเณหิ จ ภินฺนวโณฺณ โหติ; ปกติวณฺณํ วิชหติฯ เอวํ ตีหากาเรหิ ภินฺนปฎธารณโต ภินฺนปฎธโรติ ภิกฺขุฯ คิหิวตฺถวิสภาคานํ วา กาสาวานํ ธารณมเตฺตเนว ภินฺนปฎธโรติ ภิกฺขุฯ
Bhikkhuniddese bhikkhatīti bhikkhako; labhanto vā alabhanto vā ariyāya yācanāya yācatīti attho. Buddhādīhi ajjhupagataṃ bhikkhācariyaṃ ajjhupagatattā bhikkhācariyaṃ ajjhupagato nāma. Yo hi koci appaṃ vā mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, so kasigorakkhādīhi jīvikakappanaṃ hitvā liṅgasampaṭicchaneneva bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhu. Parapaṭibaddhajīvikattā vā vihāramajjhe kājabhattaṃ bhuñjamānopi bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhu; piṇḍiyālopabhojanaṃ nissāya pabbajjāya ussāhajātattā vā bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhu. Agghaphassavaṇṇabhedena bhinnaṃ paṭaṃ dhāretīti bhinnapaṭadharo. Tattha satthakacchedanena agghabhedo veditabbo. Sahassagghanakopi hi paṭo satthakena khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinno bhinnaggho hoti. Purimagghato upaḍḍhampi na agghati. Suttasaṃsibbanena phassabhedo veditabbo. Sukhasamphassopi hi paṭo suttehi saṃsibbito bhinnaphasso hoti. Kharasamphassataṃ pāpuṇāti. Sūcimalādīhi vaṇṇabhedo veditabbo. Suparisuddhopi hi paṭo sūcikammato paṭṭhāya sūcimalena, hatthasedamalajallikāhi, avasāne rajanakappakaraṇehi ca bhinnavaṇṇo hoti; pakativaṇṇaṃ vijahati. Evaṃ tīhākārehi bhinnapaṭadhāraṇato bhinnapaṭadharoti bhikkhu. Gihivatthavisabhāgānaṃ vā kāsāvānaṃ dhāraṇamatteneva bhinnapaṭadharoti bhikkhu.
สมญฺญายาติ ปญฺญตฺติยา โวหาเรนาติ อโตฺถฯ สมญฺญาย เอว หิ เอกโจฺจ ‘‘ภิกฺขู’’ติ ปญฺญายติฯ ตถา หิ นิมนฺตนาทิมฺหิ ภิกฺขูสุ คณิยมาเนสุ สามเณเรปิ คเหตฺวา ‘‘สตํ ภิกฺขู สหสฺสํ ภิกฺขู’’ติ วทนฺติฯ ปฎิญฺญายาติ อตฺตโน ปฎิชานเนน ปฎิญฺญายปิ หิ เอกโจฺจ ‘‘ภิกฺขู’’ติ ปญฺญายติฯ ตสฺส ‘‘โก เอตฺถาติ? อหํ, อาวุโส, ภิกฺขู’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๙๖) เอวมาทีสุ สมฺภโว ทฎฺฐโพฺพ ฯ อยํ ปน อานนฺทเตฺถเรน วุตฺตา ธมฺมิกา ปฎิญฺญาฯ รตฺติภาเค ปน ทุสฺสีลาปิ ปฎิปถํ อาคจฺฉนฺตา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ วุเตฺต อธมฺมิกาย ปฎิญฺญาย อภูตาย ‘‘มยํ ภิกฺขู’’ติ วทนฺติฯ
Samaññāyāti paññattiyā vohārenāti attho. Samaññāya eva hi ekacco ‘‘bhikkhū’’ti paññāyati. Tathā hi nimantanādimhi bhikkhūsu gaṇiyamānesu sāmaṇerepi gahetvā ‘‘sataṃ bhikkhū sahassaṃ bhikkhū’’ti vadanti. Paṭiññāyāti attano paṭijānanena paṭiññāyapi hi ekacco ‘‘bhikkhū’’ti paññāyati. Tassa ‘‘ko etthāti? Ahaṃ, āvuso, bhikkhū’’ti (a. ni. 10.96) evamādīsu sambhavo daṭṭhabbo . Ayaṃ pana ānandattherena vuttā dhammikā paṭiññā. Rattibhāge pana dussīlāpi paṭipathaṃ āgacchantā ‘‘ko etthā’’ti vutte adhammikāya paṭiññāya abhūtāya ‘‘mayaṃ bhikkhū’’ti vadanti.
เอหิ ภิกฺขูติ เอหิ ภิกฺขุ นาม ภควโต ‘‘เอหิ ภิกฺขู’’ติ วจนมเตฺตน ภิกฺขุภาวํ เอหิภิกฺขูปสมฺปทํ ปโตฺตฯ ภควา หิ เอหิภิกฺขุภาวาย อุปนิสฺสยสมฺปนฺนํ ปุคฺคลํ ทิสฺวา รตฺตปํสุกูลนฺตรโต สุวณฺณวณฺณํ ทกฺขิณหตฺถํ นีหริตฺวา พฺรหฺมโฆสํ นิจฺฉาเรโนฺต ‘‘เอหิ, ภิกฺขุ, จร พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยายา’’ติ วทติฯ ตสฺส สเหว ภควโต วจเนน คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายติ, ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ รุหติฯ ภณฺฑุ กาสายวสโน โหติฯ เอกํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา เอกํ อํเส ฐเปตฺวา วามํสกูเฎ อาสตฺตนีลุปฺปลวณฺณมตฺติกาปโตฺต –
Ehi bhikkhūti ehi bhikkhu nāma bhagavato ‘‘ehi bhikkhū’’ti vacanamattena bhikkhubhāvaṃ ehibhikkhūpasampadaṃ patto. Bhagavā hi ehibhikkhubhāvāya upanissayasampannaṃ puggalaṃ disvā rattapaṃsukūlantarato suvaṇṇavaṇṇaṃ dakkhiṇahatthaṃ nīharitvā brahmaghosaṃ nicchārento ‘‘ehi, bhikkhu, cara brahmacariyaṃ sammā dukkhassa antakiriyāyā’’ti vadati. Tassa saheva bhagavato vacanena gihiliṅgaṃ antaradhāyati, pabbajjā ca upasampadā ca ruhati. Bhaṇḍu kāsāyavasano hoti. Ekaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ekaṃ aṃse ṭhapetvā vāmaṃsakūṭe āsattanīluppalavaṇṇamattikāpatto –
‘‘ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, วาสิ สูจิ จ พนฺธนํ;
‘‘Ticīvarañca patto ca, vāsi sūci ca bandhanaṃ;
ปริสฺสาวเนน อเฎฺฐเต, ยุตฺตโยคสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ
Parissāvanena aṭṭhete, yuttayogassa bhikkhuno’’ti.
เอวํ วุเตฺตหิ อฎฺฐหิ ปริกฺขาเรหิ สรีเร ปฎิมุเกฺกหิเยว สฎฺฐิวสฺสิกเตฺถโร วิย อิริยาปถสมฺปโนฺน พุทฺธาจริยโก พุทฺธุปชฺฌายโก สมฺมาสมฺพุทฺธํ วนฺทมาโนเยว ติฎฺฐติฯ ภควา หิ ปฐมโพธิยํ เอกสฺมิํ กาเล เอหิภิกฺขูปสมฺปทาย เอว อุปสมฺปาเทติฯ เอวํ อุปสมฺปนฺนานิ จ สหสฺสุปริ เอกจตฺตาลีสุตฺตรานิ ตีณิ ภิกฺขุสตานิ อเหสุํ; เสยฺยถิทํ – ปญฺจ ปญฺจวคฺคิยเตฺถรา, ยโส กุลปุโตฺต, ตสฺส ปริวารา จตุปณฺณาส สหายกา, ติํส ภทฺทวคฺคิยา, สหสฺสปุราณชฎิลา, สทฺธิํ ทฺวีหิ อคฺคสาวเกหิ อฑฺฒเตยฺยสตา ปริพฺพาชกา, เอโก องฺคุลิมาลเตฺถโรติฯ วุตฺตเญฺหตํ อฎฺฐกถายํ –
Evaṃ vuttehi aṭṭhahi parikkhārehi sarīre paṭimukkehiyeva saṭṭhivassikatthero viya iriyāpathasampanno buddhācariyako buddhupajjhāyako sammāsambuddhaṃ vandamānoyeva tiṭṭhati. Bhagavā hi paṭhamabodhiyaṃ ekasmiṃ kāle ehibhikkhūpasampadāya eva upasampādeti. Evaṃ upasampannāni ca sahassupari ekacattālīsuttarāni tīṇi bhikkhusatāni ahesuṃ; seyyathidaṃ – pañca pañcavaggiyattherā, yaso kulaputto, tassa parivārā catupaṇṇāsa sahāyakā, tiṃsa bhaddavaggiyā, sahassapurāṇajaṭilā, saddhiṃ dvīhi aggasāvakehi aḍḍhateyyasatā paribbājakā, eko aṅgulimālattheroti. Vuttañhetaṃ aṭṭhakathāyaṃ –
‘‘ตีณิ สตํ สหสฺสญฺจ, จตฺตาลีสํ ปุนาปเร;
‘‘Tīṇi sataṃ sahassañca, cattālīsaṃ punāpare;
เอโก จ เถโร สปฺปโญฺญ, สเพฺพ เต เอหิภิกฺขุกา’’ติฯ
Eko ca thero sappañño, sabbe te ehibhikkhukā’’ti.
น เกวลญฺจ เอเต เอว, อเญฺญปิ พหู สนฺติฯ เสยฺยถิทํ – ติสตปริวาโร เสโล พฺราหฺมโณ, สหสฺสปริวาโร มหากปฺปิโน, ทสสหสฺสา กปิลวตฺถุวาสิโน กุลปุตฺตา, โสฬสสหสฺสา ปารายนิกพฺราหฺมณาติ เอวมาทโยฯ เต ปน วินยปิฎเก ปาฬิยํ น นิทฺทิฎฺฐตฺตา น วุตฺตาฯ อิเม ตตฺถ นิทฺทิฎฺฐตฺตา วุตฺตาติฯ
Na kevalañca ete eva, aññepi bahū santi. Seyyathidaṃ – tisataparivāro selo brāhmaṇo, sahassaparivāro mahākappino, dasasahassā kapilavatthuvāsino kulaputtā, soḷasasahassā pārāyanikabrāhmaṇāti evamādayo. Te pana vinayapiṭake pāḷiyaṃ na niddiṭṭhattā na vuttā. Ime tattha niddiṭṭhattā vuttāti.
‘‘สตฺตวีส สหสฺสานิ, ตีณิเยว สตานิ จ;
‘‘Sattavīsa sahassāni, tīṇiyeva satāni ca;
เอเตปิ สเพฺพ สงฺขาตา, สเพฺพ เต เอหิภิกฺขุกา’’ติฯ
Etepi sabbe saṅkhātā, sabbe te ehibhikkhukā’’ti.
ตีหิ สรณคมเนหิ อุปสมฺปโนฺนติ ‘‘พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามี’’ติอาทินา นเยน ติกฺขตฺตุํ วาจํ ภินฺทิตฺวา วุเตฺตหิ ตีหิ สรณคมเนหิ อุปสมฺปโนฺนฯ อยญฺหิ อุปสมฺปทา นาม อฎฺฐวิธา – เอหิภิกฺขูปสมฺปทา, สรณคมนูปสมฺปทา, โอวาทปฎิคฺคหณูปสมฺปทา, ปญฺหพฺยากรณูปสมฺปทา, ครุธมฺมปฎิคฺคหณูปสมฺปทา, ทูเตนูปสมฺปทา, อฎฺฐวาจิกูปสมฺปทา, ญตฺติจตุตฺถกมฺมูปสมฺปทาติฯ ตตฺถ เอหิภิกฺขูปสมฺปทา, สรณคมนูปสมฺปทา จ วุตฺตา เอวฯ
Tīhi saraṇagamanehi upasampannoti ‘‘buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’tiādinā nayena tikkhattuṃ vācaṃ bhinditvā vuttehi tīhi saraṇagamanehi upasampanno. Ayañhi upasampadā nāma aṭṭhavidhā – ehibhikkhūpasampadā, saraṇagamanūpasampadā, ovādapaṭiggahaṇūpasampadā, pañhabyākaraṇūpasampadā, garudhammapaṭiggahaṇūpasampadā, dūtenūpasampadā, aṭṭhavācikūpasampadā, ñatticatutthakammūpasampadāti. Tattha ehibhikkhūpasampadā, saraṇagamanūpasampadā ca vuttā eva.
โอวาทปฎิคฺคหณูปสมฺปทา นาม ‘‘ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ – ‘ติพฺพํ เม หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสติ เถเรสุ นเวสุ มชฺฌิเมสุ จา’ติฯ เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ – ‘ยํ กิญฺจิ ธมฺมํ โสสฺสามิ กุสลูปสํหิตํ, สพฺพํ ตํ อฎฺฐิํ กตฺวา มนสิ กตฺวา สพฺพเจตสา สมนฺนาหริตฺวา โอหิตโสโต ธมฺมํ โสสฺสามี’ติฯ เอวํ หิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ – ‘สาตสหคตา จ เม กายคตาสติ น วิชหิสฺสตี’ติฯ เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) อิมินา โอวาทปฎิคฺคหเณน มหากสฺสปเตฺถรสฺส อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ
Ovādapaṭiggahaṇūpasampadā nāma ‘‘tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ – ‘tibbaṃ me hirottappaṃ paccupaṭṭhitaṃ bhavissati theresu navesu majjhimesu cā’ti. Evañhi te, kassapa, sikkhitabbaṃ. Tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ – ‘yaṃ kiñci dhammaṃ sossāmi kusalūpasaṃhitaṃ, sabbaṃ taṃ aṭṭhiṃ katvā manasi katvā sabbacetasā samannāharitvā ohitasoto dhammaṃ sossāmī’ti. Evaṃ hi te, kassapa, sikkhitabbaṃ. Tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ – ‘sātasahagatā ca me kāyagatāsati na vijahissatī’ti. Evañhi te, kassapa, sikkhitabba’’nti (saṃ. ni. 2.154) iminā ovādapaṭiggahaṇena mahākassapattherassa anuññātaupasampadā.
ปญฺหพฺยากรณูปสมฺปทา นาม โสปากสฺส อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ ภควา กิร ปุพฺพาราเม อนุจงฺกมนฺตํ โสปากสามเณรํ ‘‘‘อุทฺธุมาตกสญฺญา’ติ วา, โสปาก, ‘รูปสญฺญา’ติ วา อิเม ธมฺมา นานตฺถา นานาพฺยญฺชนา , อุทาหุ เอกตฺถา, พฺยญฺชนเมว นาน’’นฺติ ทส อสุภนิสฺสิเต ปเญฺห ปุจฺฉิฯ โส เต พฺยากาสิฯ ภควา ตสฺส สาธุการํ ทตฺวา ‘‘กติวโสฺสสิ ตฺวํ, โสปากา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สตฺตวโสฺสหํ, ภควา’’ติฯ ‘‘โสปาก, ตฺวํ มม สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สทฺธิํ สํสนฺทิตฺวา ปเญฺห พฺยากาสี’’ติ อารทฺธจิโตฺต อุปสมฺปทํ อนุชานิฯ อยํ ปญฺหพฺยากรณูปสมฺปทาฯ
Pañhabyākaraṇūpasampadā nāma sopākassa anuññātaupasampadā. Bhagavā kira pubbārāme anucaṅkamantaṃ sopākasāmaṇeraṃ ‘‘‘uddhumātakasaññā’ti vā, sopāka, ‘rūpasaññā’ti vā ime dhammā nānatthā nānābyañjanā , udāhu ekatthā, byañjanameva nāna’’nti dasa asubhanissite pañhe pucchi. So te byākāsi. Bhagavā tassa sādhukāraṃ datvā ‘‘kativassosi tvaṃ, sopākā’’ti pucchi. ‘‘Sattavassohaṃ, bhagavā’’ti. ‘‘Sopāka, tvaṃ mama sabbaññutaññāṇena saddhiṃ saṃsanditvā pañhe byākāsī’’ti āraddhacitto upasampadaṃ anujāni. Ayaṃ pañhabyākaraṇūpasampadā.
ครุธมฺมปฎิคฺคหณูปสมฺปทา นาม มหาปชาปติยา อฎฺฐครุธมฺมสฺส ปฎิคฺคหเณน อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ
Garudhammapaṭiggahaṇūpasampadā nāma mahāpajāpatiyā aṭṭhagarudhammassa paṭiggahaṇena anuññātaupasampadā.
ทูเตนูปสมฺปทา นาม อฑฺฒกาสิยา คณิกาย อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ
Dūtenūpasampadā nāma aḍḍhakāsiyā gaṇikāya anuññātaupasampadā.
อฎฺฐวาจิกูปสมฺปทา นาม ภิกฺขุนิยา ภิกฺขุนิสงฺฆโต ญตฺติจตุเตฺถน ภิกฺขุสงฺฆโต ญตฺติจตุเตฺถนาติ อิเมหิ ทฺวีหิ กเมฺมหิ อุปสมฺปทาฯ
Aṭṭhavācikūpasampadā nāma bhikkhuniyā bhikkhunisaṅghato ñatticatutthena bhikkhusaṅghato ñatticatutthenāti imehi dvīhi kammehi upasampadā.
ญตฺติจตุตฺถกมฺมูปสมฺปทา นาม ภิกฺขูนํ เอตรหิ อุปสมฺปทาฯ อิมาสุ อฎฺฐสุ อุปสมฺปทาสุ ‘‘ยา สา, ภิกฺขเว, มยา ตีหิ สรณคมเนหิ อุปสมฺปทา อนุญฺญาตา, ตํ อชฺชตเคฺค ปฎิกฺขิปามิฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน อุปสมฺปาเทตุ’’นฺติ (มหาว. ๖๙) เอวํ อนุญฺญาตาย อิมาย อุปสมฺปทาย อุปสมฺปโนฺนติ วุตฺตํ โหติฯ
Ñatticatutthakammūpasampadā nāma bhikkhūnaṃ etarahi upasampadā. Imāsu aṭṭhasu upasampadāsu ‘‘yā sā, bhikkhave, mayā tīhi saraṇagamanehi upasampadā anuññātā, taṃ ajjatagge paṭikkhipāmi. Anujānāmi, bhikkhave, ñatticatutthena kammena upasampādetu’’nti (mahāva. 69) evaṃ anuññātāya imāya upasampadāya upasampannoti vuttaṃ hoti.
ภโทฺรติ อปาปโกฯ กลฺยาณปุถุชฺชนาทโย หิ ยาว อรหา, ตาว ภเทฺรน สีเลน สมาธินา ปญฺญาย วิมุตฺติยา วิมุตฺติญาณทสฺสเนน จ สมนฺนาคตตฺตา ‘‘ภโทฺร ภิกฺขู’’ติ สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ สาโรติ เตหิเยว สีลสาราทีหิ สมนฺนาคตตฺตา นีลสมนฺนาคเมน นีโล ปโฎ วิย ‘‘สาโร ภิกฺขู’’ติ เวทิตโพฺพฯ วิคตกิเลสเผคฺคุภาวโต วา ขีณาสโวว ‘‘สาโร’’ติ เวทิตโพฺพฯ เสโขติ ปุถุชฺชนกลฺยาณเกน สทฺธิํ สตฺต อริยา ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขนฺตีติ เสขาฯ เตสุ โย โกจิ ‘‘เสโข ภิกฺขู’’ติ เวทิตโพฺพฯ น สิกฺขตีติ อเสโขฯ เสกฺขธเมฺม อติกฺกมฺม อคฺคผเล ฐิโต, ตโต อุตฺตริ สิกฺขิตพฺพาภาวโต ขีณาสโว ‘‘อเสโข’’ติ วุจฺจติฯ สมเคฺคน สเงฺฆนาติ สพฺพนฺติเมน ปริยาเยน ปญฺจวคฺคกรณีเย กเมฺม ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา, เตสํ อาคตตฺตา ฉนฺทารหานํ ฉนฺทสฺส อาหฎตฺตา, สมฺมุขีภูตานญฺจ อปฺปฎิโกฺกสนโต เอกสฺมิํ กเมฺม สมคฺคภาวํ อุปคเตนฯ ญตฺติจตุเตฺถนาติ ตีหิ อนุสฺสาวนาหิ เอกาย จ ญตฺติยา กาตเพฺพนฯ กเมฺมนาติ ธมฺมิเกน วินยกเมฺมนฯ อกุเปฺปนาติ วตฺถุ-ญตฺติ-อนุสฺสาวน-สีมา-ปริสสมฺปตฺติสมฺปนฺนตฺตา อโกเปตพฺพตํ อปฺปฎิโกฺกสิตพฺพตญฺจ อุปคเตนฯ ฐานารเหนาติ การณารเหน สตฺถุสาสนารเหนฯ อุปสมฺปโนฺน นาม อุปริภาวํ สมาปโนฺน, ปโตฺตติ อโตฺถฯ ภิกฺขุภาโว หิ อุปริภาโว, ตเญฺจส ยถาวุเตฺตน กเมฺมน สมาปนฺนตฺตา ‘‘อุปสมฺปโนฺน’’ติ วุจฺจติฯ เอตฺถ จ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ เอกเมว อาคตํฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน ฐตฺวา จตฺตาริ สงฺฆกมฺมานิ นีหริตฺวา วิตฺถารโต กเถตพฺพานีติ สพฺพอฎฺฐกถาสุ วุตฺตํฯ ตานิ จ ‘‘อปโลกนกมฺมํ ญตฺติกมฺมํ ญตฺติทุติยกมฺมํ ญตฺติจตุตฺถกมฺม’’นฺติ ปฎิปาฎิยา ฐเปตฺวา วิตฺถาเรน ขนฺธกโต ปริวาราวสาเน กมฺมวิภงฺคโต จ ปาฬิํ อาหริตฺวา กถิตานิฯ ตานิ มยํ ปริวาราวสาเน กมฺมวิภเงฺคเยว วณฺณยิสฺสามฯ เอวญฺหิ สติ ปฐมปาราชิกวณฺณนา จ น ภาริยา ภวิสฺสติ; ยถาฐิตาย จ ปาฬิยา วณฺณนา สุวิเญฺญยฺยา ภวิสฺสติฯ ตานิ จ ฐานานิ อสุญฺญานิ ภวิสฺสนฺติ; ตสฺมา อนุปทวณฺณนเมว กโรมฯ
Bhadroti apāpako. Kalyāṇaputhujjanādayo hi yāva arahā, tāva bhadrena sīlena samādhinā paññāya vimuttiyā vimuttiñāṇadassanena ca samannāgatattā ‘‘bhadro bhikkhū’’ti saṅkhyaṃ gacchanti. Sāroti tehiyeva sīlasārādīhi samannāgatattā nīlasamannāgamena nīlo paṭo viya ‘‘sāro bhikkhū’’ti veditabbo. Vigatakilesapheggubhāvato vā khīṇāsavova ‘‘sāro’’ti veditabbo. Sekhoti puthujjanakalyāṇakena saddhiṃ satta ariyā tisso sikkhā sikkhantīti sekhā. Tesu yo koci ‘‘sekho bhikkhū’’ti veditabbo. Na sikkhatīti asekho. Sekkhadhamme atikkamma aggaphale ṭhito, tato uttari sikkhitabbābhāvato khīṇāsavo ‘‘asekho’’ti vuccati. Samaggena saṅghenāti sabbantimena pariyāyena pañcavaggakaraṇīye kamme yāvatikā bhikkhū kammappattā, tesaṃ āgatattā chandārahānaṃ chandassa āhaṭattā, sammukhībhūtānañca appaṭikkosanato ekasmiṃ kamme samaggabhāvaṃ upagatena. Ñatticatutthenāti tīhi anussāvanāhi ekāya ca ñattiyā kātabbena. Kammenāti dhammikena vinayakammena. Akuppenāti vatthu-ñatti-anussāvana-sīmā-parisasampattisampannattā akopetabbataṃ appaṭikkositabbatañca upagatena. Ṭhānārahenāti kāraṇārahena satthusāsanārahena. Upasampanno nāma uparibhāvaṃ samāpanno, pattoti attho. Bhikkhubhāvo hi uparibhāvo, tañcesa yathāvuttena kammena samāpannattā ‘‘upasampanno’’ti vuccati. Ettha ca ñatticatutthakammaṃ ekameva āgataṃ. Imasmiṃ pana ṭhāne ṭhatvā cattāri saṅghakammāni nīharitvā vitthārato kathetabbānīti sabbaaṭṭhakathāsu vuttaṃ. Tāni ca ‘‘apalokanakammaṃ ñattikammaṃ ñattidutiyakammaṃ ñatticatutthakamma’’nti paṭipāṭiyā ṭhapetvā vitthārena khandhakato parivārāvasāne kammavibhaṅgato ca pāḷiṃ āharitvā kathitāni. Tāni mayaṃ parivārāvasāne kammavibhaṅgeyeva vaṇṇayissāma. Evañhi sati paṭhamapārājikavaṇṇanā ca na bhāriyā bhavissati; yathāṭhitāya ca pāḷiyā vaṇṇanā suviññeyyā bhavissati. Tāni ca ṭhānāni asuññāni bhavissanti; tasmā anupadavaṇṇanameva karoma.
ตตฺราติ เตสุ ‘‘ภิกฺขโก’’ติอาทินา นเยน วุเตฺตสุ ภิกฺขูสุฯ ยฺวายํ ภิกฺขูติ โย อยํ ภิกฺขุฯ สมเคฺคน สเงฺฆน…เป.… อุปสมฺปโนฺนติ อฎฺฐสุ อุปสมฺปทาสุ ญตฺติจตุเตฺถเนว กเมฺมน อุปสมฺปโนฺนฯ อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต ภิกฺขูติ อยํ อิมสฺมิํ ‘‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺวา ปาราชิโก โหตี’’ติ อเตฺถ ‘‘ภิกฺขู’’ติ อธิเปฺปโตฯ อิตเร ปน ‘‘ภิกฺขโก’’ติ อาทโย อตฺถุทฺธารวเสน วุตฺตาฯ เตสุ จ ‘‘ภิกฺขโก’’ติ อาทโย นิรุตฺติวเสน วุตฺตา, ‘‘สมญฺญาย ภิกฺขุ, ปฎิญฺญาย ภิกฺขู’’ติ อิเม เทฺว อภิลาปวเสน วุตฺตา, ‘‘เอหิ ภิกฺขู’’ติ พุเทฺธน อุปชฺฌาเยน ปฎิลทฺธอุปสมฺปทาวเสน วุโตฺตฯ สรณคมนภิกฺขุ อนุปฺปนฺนาย กมฺมวาจาย อุปสมฺปทาวเสน วุโตฺต, ‘‘ภโทฺร’’ติอาทโย คุณวเสน วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
Tatrāti tesu ‘‘bhikkhako’’tiādinā nayena vuttesu bhikkhūsu. Yvāyaṃ bhikkhūti yo ayaṃ bhikkhu. Samaggena saṅghena…pe… upasampannoti aṭṭhasu upasampadāsu ñatticatuttheneva kammena upasampanno. Ayaṃ imasmiṃ atthe adhippeto bhikkhūti ayaṃ imasmiṃ ‘‘methunaṃ dhammaṃ paṭisevitvā pārājiko hotī’’ti atthe ‘‘bhikkhū’’ti adhippeto. Itare pana ‘‘bhikkhako’’ti ādayo atthuddhāravasena vuttā. Tesu ca ‘‘bhikkhako’’ti ādayo niruttivasena vuttā, ‘‘samaññāya bhikkhu, paṭiññāya bhikkhū’’ti ime dve abhilāpavasena vuttā, ‘‘ehi bhikkhū’’ti buddhena upajjhāyena paṭiladdhaupasampadāvasena vutto. Saraṇagamanabhikkhu anuppannāya kammavācāya upasampadāvasena vutto, ‘‘bhadro’’tiādayo guṇavasena vuttāti veditabbā.
ภิกฺขุปทภาชนียํ นิฎฺฐิตํฯ
Bhikkhupadabhājanīyaṃ niṭṭhitaṃ.
สิกฺขาสาชีวปทภาชนียวณฺณนา
Sikkhāsājīvapadabhājanīyavaṇṇanā
อิทานิ ‘‘ภิกฺขูน’’นฺติ อิทํ ปทํ วิเสสตฺถาภาวโต อวิภชิตฺวาว ยํ สิกฺขญฺจ สาชีวญฺจ สมาปนฺนตฺตา ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต สิกฺขาติอาทิมาหฯ ตตฺถ สิกฺขิตพฺพาติ สิกฺขาฯ ติโสฺสติ คณนปริเจฺฉโท ฯ อธิสีลสิกฺขาติ อธิกํ อุตฺตมํ สีลนฺติ อธิสีลํ; อธิสีลญฺจ ตํ สิกฺขิตพฺพโต สิกฺขา จาติ อธิสีลสิกฺขาฯ เอส นโย อธิจิตฺต-อธิปญฺญาสิกฺขาสุฯ
Idāni ‘‘bhikkhūna’’nti idaṃ padaṃ visesatthābhāvato avibhajitvāva yaṃ sikkhañca sājīvañca samāpannattā bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno hoti, taṃ dassento sikkhātiādimāha. Tattha sikkhitabbāti sikkhā. Tissoti gaṇanaparicchedo . Adhisīlasikkhāti adhikaṃ uttamaṃ sīlanti adhisīlaṃ; adhisīlañca taṃ sikkhitabbato sikkhā cāti adhisīlasikkhā. Esa nayo adhicitta-adhipaññāsikkhāsu.
กตมํ ปเนตฺถ สีลํ, กตมํ อธิสีลํ, กตมํ จิตฺตํ, กตมํ อธิจิตฺตํ, กตมา ปญฺญา, กตมา อธิปญฺญาติ? วุจฺจเต – ปญฺจงฺคทสงฺคสีลํ ตาว สีลเมวฯ ตญฺหิ พุเทฺธ อุปฺปเนฺนปิ อนุปฺปเนฺนปิ โลเก ปวตฺตติฯ อุปฺปเนฺน พุเทฺธ ตสฺมิํ สีเล พุทฺธาปิ สาวกาปิ มหาชนํ สมาทเปนฺติฯ อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ปเจฺจกพุทฺธา จ กมฺมวาทิโน จ ธมฺมิกา สมณพฺราหฺมณา จกฺกวตฺตี จ มหาราชาโน มหาโพธิสตฺตา จ สมาทเปนฺติฯ สามมฺปิ ปณฺฑิตา สมณพฺราหฺมณา สมาทิยนฺติฯ เต ตํ กุสลํ ธมฺมํ ปริปูเรตฺวา เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สมฺปตฺติํ อนุโภนฺติฯ ปาติโมกฺขสํวรสีลํ ปน ‘‘อธิสีล’’นฺติ วุจฺจติ, ตญฺหิ สูริโย วิย ปโชฺชตานํ สิเนรุ วิย ปพฺพตานํ สพฺพโลกิยสีลานํ อธิกเญฺจว อุตฺตมญฺจ, พุทฺธุปฺปาเทเยว จ ปวตฺตติ, น วินา พุทฺธุปฺปาทาฯ น หิ ตํ ปญฺญตฺติํ อุทฺธริตฺวา อโญฺญ สโตฺต ฐเปตุํ สโกฺกติ, พุทฺธาเยว ปน สพฺพโส กายวจีทฺวารอชฺฌาจารโสตํ ฉินฺทิตฺวา ตสฺส ตสฺส วีติกฺกมสฺส อนุจฺฉวิกํ ตํ สีลสํวรํ ปญฺญเปนฺติฯ ปาติโมกฺขสํวรโตปิ จ มคฺคผลสมฺปยุตฺตเมว สีลํ อธิสีลํ, ตํ ปน อิธ อนธิเปฺปตํฯ น หิ ตํ สมาปโนฺน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวติฯ
Katamaṃ panettha sīlaṃ, katamaṃ adhisīlaṃ, katamaṃ cittaṃ, katamaṃ adhicittaṃ, katamā paññā, katamā adhipaññāti? Vuccate – pañcaṅgadasaṅgasīlaṃ tāva sīlameva. Tañhi buddhe uppannepi anuppannepi loke pavattati. Uppanne buddhe tasmiṃ sīle buddhāpi sāvakāpi mahājanaṃ samādapenti. Anuppanne buddhe paccekabuddhā ca kammavādino ca dhammikā samaṇabrāhmaṇā cakkavattī ca mahārājāno mahābodhisattā ca samādapenti. Sāmampi paṇḍitā samaṇabrāhmaṇā samādiyanti. Te taṃ kusalaṃ dhammaṃ paripūretvā devesu ca manussesu ca sampattiṃ anubhonti. Pātimokkhasaṃvarasīlaṃ pana ‘‘adhisīla’’nti vuccati, tañhi sūriyo viya pajjotānaṃ sineru viya pabbatānaṃ sabbalokiyasīlānaṃ adhikañceva uttamañca, buddhuppādeyeva ca pavattati, na vinā buddhuppādā. Na hi taṃ paññattiṃ uddharitvā añño satto ṭhapetuṃ sakkoti, buddhāyeva pana sabbaso kāyavacīdvāraajjhācārasotaṃ chinditvā tassa tassa vītikkamassa anucchavikaṃ taṃ sīlasaṃvaraṃ paññapenti. Pātimokkhasaṃvaratopi ca maggaphalasampayuttameva sīlaṃ adhisīlaṃ, taṃ pana idha anadhippetaṃ. Na hi taṃ samāpanno bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭisevati.
กามาวจรานิ ปน อฎฺฐ กุสลจิตฺตานิ, โลกิยอฎฺฐสมาปตฺติจิตฺตานิ จ เอกชฺฌํ กตฺวา จิตฺตเมวาติ เวทิตพฺพานิฯ พุทฺธุปฺปาทานุปฺปาเท จสฺส ปวตฺติ, สมาทปนํ สมาทานญฺจ สีเล วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ วิปสฺสนาปาทกํ อฎฺฐสมาปตฺติจิตฺตํ ปน ‘‘อธิจิตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ ตญฺหิ อธิสีลํ วิย สีลานํ สพฺพโลกิยจิตฺตานํ อธิกเญฺจว อุตฺตมญฺจ, พุทฺธุปฺปาเทเยว จ โหติ, น วินา พุทฺธุปฺปาทาฯ ตโตปิ จ มคฺคผลจิตฺตเมว อธิจิตฺตํ, ตํ ปน อิธ อนธิเปฺปตํฯ น หิ ตํ สมาปโนฺน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวติฯ
Kāmāvacarāni pana aṭṭha kusalacittāni, lokiyaaṭṭhasamāpatticittāni ca ekajjhaṃ katvā cittamevāti veditabbāni. Buddhuppādānuppāde cassa pavatti, samādapanaṃ samādānañca sīle vuttanayeneva veditabbaṃ. Vipassanāpādakaṃ aṭṭhasamāpatticittaṃ pana ‘‘adhicitta’’nti vuccati. Tañhi adhisīlaṃ viya sīlānaṃ sabbalokiyacittānaṃ adhikañceva uttamañca, buddhuppādeyeva ca hoti, na vinā buddhuppādā. Tatopi ca maggaphalacittameva adhicittaṃ, taṃ pana idha anadhippetaṃ. Na hi taṃ samāpanno bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭisevati.
‘‘อตฺถิ ทินฺนํ, อตฺถิ ยิฎฺฐ’’นฺติ (ธ. ส. ๑๓๗๑; วิภ. ๗๙๓; ม. นิ. ๓.๙๒) -อาทินยปฺปวตฺตํ ปน กมฺมสฺสกตญาณํ ปญฺญา, สา หิ พุเทฺธ อุปฺปเนฺนปิ อนุปฺปเนฺนปิ โลเก ปวตฺตติฯ อุปฺปเนฺน พุเทฺธ ตสฺสา ปญฺญาย พุทฺธาปิ พุทฺธสาวกาปิ มหาชนํ สมาทเปนฺติฯ อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ปเจฺจกพุทฺธา จ กมฺมวาทิโน จ ธมฺมิกา สมณพฺราหฺมณา จกฺกวตฺตี จ มหาราชาโน มหาโพธิสตฺตา จ สมาทเปนฺติฯ สามมฺปิ ปณฺฑิตา สตฺตา สมาทิยนฺติฯ ตถา หิ องฺกุโร ทสวสฺสสหสฺสานิ มหาทานํ อทาสิฯ เวลาโม, เวสฺสนฺตโร, อเญฺญ จ พหู ปณฺฑิตมนุสฺสา มหาทานานิ อทํสุฯ เต ตํ กุสลํ ธมฺมํ ปริปูเรตฺวา เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สมฺปตฺติํ อนุภวิํสุฯ ติลกฺขณาการปริเจฺฉทกํ ปน วิปสฺสนาญาณํ ‘‘อธิปญฺญา’’ติ วุจฺจติฯ สา หิ อธิสีล-อธิจิตฺตานิ วิย สีลจิตฺตานํ สพฺพโลกิยปญฺญานํ อธิกา เจว อุตฺตมา จ, น จ วินา พุทฺธุปฺปาทา โลเก ปวตฺตติฯ ตโตปิ จ มคฺคผลปญฺญาว อธิปญฺญา, สา ปน อิธ อนธิเปฺปตาฯ น หิ ตํ สมาปโนฺน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวตีติฯ
‘‘Atthi dinnaṃ, atthi yiṭṭha’’nti (dha. sa. 1371; vibha. 793; ma. ni. 3.92) -ādinayappavattaṃ pana kammassakatañāṇaṃ paññā, sā hi buddhe uppannepi anuppannepi loke pavattati. Uppanne buddhe tassā paññāya buddhāpi buddhasāvakāpi mahājanaṃ samādapenti. Anuppanne buddhe paccekabuddhā ca kammavādino ca dhammikā samaṇabrāhmaṇā cakkavattī ca mahārājāno mahābodhisattā ca samādapenti. Sāmampi paṇḍitā sattā samādiyanti. Tathā hi aṅkuro dasavassasahassāni mahādānaṃ adāsi. Velāmo, vessantaro, aññe ca bahū paṇḍitamanussā mahādānāni adaṃsu. Te taṃ kusalaṃ dhammaṃ paripūretvā devesu ca manussesu ca sampattiṃ anubhaviṃsu. Tilakkhaṇākāraparicchedakaṃ pana vipassanāñāṇaṃ ‘‘adhipaññā’’ti vuccati. Sā hi adhisīla-adhicittāni viya sīlacittānaṃ sabbalokiyapaññānaṃ adhikā ceva uttamā ca, na ca vinā buddhuppādā loke pavattati. Tatopi ca maggaphalapaññāva adhipaññā, sā pana idha anadhippetā. Na hi taṃ samāpanno bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭisevatīti.
ตตฺราติ ตาสุ ตีสุ สิกฺขาสุฯ ยายํ อธิสีลสิกฺขาติ ยา อยํ ปาติโมกฺขสีลสงฺขาตา อธิสีลสิกฺขาฯ เอตํ สาชีวํ นามาติ เอตํ สพฺพมฺปิ ภควตา วินเย ฐปิตํ สิกฺขาปทํ, ยสฺมา เอตฺถ นานาเทสชาติโคตฺตาทิเภทภินฺนา ภิกฺขู สห ชีวนฺติ เอกชีวิกา สภาคชีวิกา สภาควุตฺติโน โหนฺติ, ตสฺมา ‘‘สาชีว’’นฺติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ สิกฺขตีติ ตํ สิกฺขาปทํ จิตฺตสฺส อธิกรณํ กตฺวา ‘‘ยถาสิกฺขาปทํ นุ โข สิกฺขามิ น สิกฺขามี’’ติ จิเตฺตน โอโลเกโนฺต สิกฺขติฯ น เกวลญฺจายเมตสฺมิํ สาชีวสงฺขาเต สิกฺขาปเทเยว สิกฺขติ, สิกฺขายปิ สิกฺขติ, ‘‘เอตํ สาชีวํ นามา’’ติ อิมสฺส ปน อนนฺตรสฺส ปทสฺส วเสน ‘‘ตสฺมิํ สิกฺขตี’’ติ วุตฺตํฯ กิญฺจาปิ ตํ เอวํ วุตฺตํ, อถ โข อยเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ – ตสฺสา จ สิกฺขาย สิกฺขํ ปริปูเรโนฺต สิกฺขติ, ตสฺมิญฺจ สิกฺขาปเท อวีติกฺกมโนฺต สิกฺขตีติฯ เตน วุจฺจติ สาชีวสมาปโนฺนติ อิทมฺปิ อนนฺตรสฺส สาชีวปทเสฺสว วเสน วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน โส สิกฺขมฺปิ สมาปโนฺน, ตสฺมา สิกฺขาสมาปโนฺนติปิ อตฺถโต เวทิตโพฺพฯ เอวญฺหิ สติ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ เอตสฺส ปทสฺส ปทภาชนมฺปิ ปริปุณฺณํ โหติฯ
Tatrāti tāsu tīsu sikkhāsu. Yāyaṃ adhisīlasikkhāti yā ayaṃ pātimokkhasīlasaṅkhātā adhisīlasikkhā. Etaṃ sājīvaṃ nāmāti etaṃ sabbampi bhagavatā vinaye ṭhapitaṃ sikkhāpadaṃ, yasmā ettha nānādesajātigottādibhedabhinnā bhikkhū saha jīvanti ekajīvikā sabhāgajīvikā sabhāgavuttino honti, tasmā ‘‘sājīva’’nti vuccati. Tasmiṃ sikkhatīti taṃ sikkhāpadaṃ cittassa adhikaraṇaṃ katvā ‘‘yathāsikkhāpadaṃ nu kho sikkhāmi na sikkhāmī’’ti cittena olokento sikkhati. Na kevalañcāyametasmiṃ sājīvasaṅkhāte sikkhāpadeyeva sikkhati, sikkhāyapi sikkhati, ‘‘etaṃ sājīvaṃ nāmā’’ti imassa pana anantarassa padassa vasena ‘‘tasmiṃ sikkhatī’’ti vuttaṃ. Kiñcāpi taṃ evaṃ vuttaṃ, atha kho ayamettha attho daṭṭhabbo – tassā ca sikkhāya sikkhaṃ paripūrento sikkhati, tasmiñca sikkhāpade avītikkamanto sikkhatīti. Tena vuccati sājīvasamāpannoti idampi anantarassa sājīvapadasseva vasena vuttaṃ. Yasmā pana so sikkhampi samāpanno, tasmā sikkhāsamāpannotipi atthato veditabbo. Evañhi sati ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti etassa padassa padabhājanampi paripuṇṇaṃ hoti.
สิกฺขาสาชีวปทภาชนียํ นิฎฺฐิตํฯ
Sikkhāsājīvapadabhājanīyaṃ niṭṭhitaṃ.
สิกฺขาปจฺจกฺขานวิภงฺควณฺณนา
Sikkhāpaccakkhānavibhaṅgavaṇṇanā
สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวาติ สิกฺขญฺจ อปฺปฎิกฺขิปิตฺวา ทุพฺพลภาวญฺจ อปฺปกาเสตฺวาฯ ยสฺมา จ ทุพฺพเลฺย อาวิกเตปิ สิกฺขา อปฺปจฺจกฺขาตาว โหติ, สิกฺขาย ปน ปจฺจกฺขาตาย ทุพฺพลฺยํ อาวิกตเมว โหติฯ ตสฺมา ‘‘ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ อิมินา ปเทน น โกจิ วิเสสโตฺถ ลพฺภติฯ ยถา ปน ‘‘ทิรตฺตติรตฺตํ สหเสยฺยํ กเปฺปยฺยา’’ติ วุเตฺต ทิรตฺตวจเนน น โกจิ วิเสสโตฺถ ลพฺภติ, เกวลํ โลกโวหารวเสน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตาย มุขารูฬฺหตาย เอตํ วุตฺตํฯ เอวมิทมฺปิ โวหารวเสน พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตาย มุขารูฬฺหตาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Sikkhaṃappaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvāti sikkhañca appaṭikkhipitvā dubbalabhāvañca appakāsetvā. Yasmā ca dubbalye āvikatepi sikkhā appaccakkhātāva hoti, sikkhāya pana paccakkhātāya dubbalyaṃ āvikatameva hoti. Tasmā ‘‘dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti iminā padena na koci visesattho labbhati. Yathā pana ‘‘dirattatirattaṃ sahaseyyaṃ kappeyyā’’ti vutte dirattavacanena na koci visesattho labbhati, kevalaṃ lokavohāravasena byañjanasiliṭṭhatāya mukhārūḷhatāya etaṃ vuttaṃ. Evamidampi vohāravasena byañjanasiliṭṭhatāya mukhārūḷhatāya vuttanti veditabbaṃ.
ยสฺมา วา ภควา สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ ธมฺมํ เทเสติ, ตสฺมา ‘‘สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขายา’’ติ อิมินา อตฺถํ สมฺปาเทตฺวา ‘‘ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ อิมินา พฺยญฺชนํ สมฺปาเทติฯ ปริวารกปทวิรหิตญฺหิ เอกเมว อตฺถปทํ วุจฺจมานํ ปริวารวิรหิโต ราชา วิย, วตฺถาลงฺการวิรหิโต วิย จ ปุริโส น โสภติ; ปริวารเกน ปน อตฺถานุโลเมน สหายปเทน สทฺธิํ ตํ โสภตีติฯ
Yasmā vā bhagavā sātthaṃ sabyañjanaṃ dhammaṃ deseti, tasmā ‘‘sikkhaṃ appaccakkhāyā’’ti iminā atthaṃ sampādetvā ‘‘dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti iminā byañjanaṃ sampādeti. Parivārakapadavirahitañhi ekameva atthapadaṃ vuccamānaṃ parivāravirahito rājā viya, vatthālaṅkāravirahito viya ca puriso na sobhati; parivārakena pana atthānulomena sahāyapadena saddhiṃ taṃ sobhatīti.
ยสฺมา วา สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺส เอกจฺจํ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ อโตฺถ โหติ, ตสฺมา ตํ สนฺธาย ‘‘สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขายา’’ติปทสฺส อตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ อาหฯ
Yasmā vā sikkhāpaccakkhānassa ekaccaṃ dubbalyāvikammaṃ attho hoti, tasmā taṃ sandhāya ‘‘sikkhaṃ appaccakkhāyā’’tipadassa atthaṃ vivaranto ‘‘dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti āha.
ตตฺถ สิยา ยสฺมา น สพฺพํ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ, ตสฺมา ‘‘ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ ปฐมํ วตฺวา ตสฺส อตฺถนิยมนตฺถํ ‘‘สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขายา’’ติ วตฺตพฺพนฺติ, ตญฺจ น; กสฺมา? อตฺถานุกฺกมาภาวโตฯ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ หิ วุตฺตตฺตา ยํ สิกฺขํ สมาปโนฺน, ตํ อปฺปจฺจกฺขายาติ วุจฺจมาโน อนุกฺกเมเนว อโตฺถ วุโตฺต โหติ, น อญฺญถาฯ ตสฺมา อิทเมว ปฐมํ วุตฺตนฺติฯ
Tattha siyā yasmā na sabbaṃ dubbalyāvikammaṃ sikkhāpaccakkhānaṃ, tasmā ‘‘dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti paṭhamaṃ vatvā tassa atthaniyamanatthaṃ ‘‘sikkhaṃ appaccakkhāyā’’ti vattabbanti, tañca na; kasmā? Atthānukkamābhāvato. ‘‘Sikkhāsājīvasamāpanno’’ti hi vuttattā yaṃ sikkhaṃ samāpanno, taṃ appaccakkhāyāti vuccamāno anukkameneva attho vutto hoti, na aññathā. Tasmā idameva paṭhamaṃ vuttanti.
อปิจ อนุปฎิปาฎิยาปิ เอตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ กถํ? ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ เอตฺถ ยํ สิกฺขํ สมาปโนฺน ตํ อปฺปจฺจกฺขาย ยญฺจ สาชีวํ สมาปโนฺน ตตฺถ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวาติฯ
Apica anupaṭipāṭiyāpi ettha attho veditabbo. Kathaṃ? ‘‘Sikkhāsājīvasamāpanno’’ti ettha yaṃ sikkhaṃ samāpanno taṃ appaccakkhāya yañca sājīvaṃ samāpanno tattha dubbalyaṃ anāvikatvāti.
อิทานิ สิกฺขาปจฺจกฺขานทุพฺพลฺยาวิกมฺมานํ วิเสสาวิเสสํ สิกฺขาปจฺจกฺขานลกฺขณญฺจ ทเสฺสโนฺต ‘‘อตฺถิ ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อตฺถิ ภิกฺขเวติอาทีนิ เทฺว มาติกาปทานิ; ตานิ วิภชโนฺต ‘‘กถญฺจ ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ อนุตฺตานปทวณฺณนา – กถนฺติ เกน อากาเรนฯ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมญฺจาติ ทุพฺพลฺยสฺส อาวิกมฺมญฺจฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ อุกฺกณฺฐิโตติ อนภิรติยา อิมสฺมิํ สาสเน กิจฺฉชีวิกปฺปโตฺตฯ อถ วา อชฺช ยามิ, เสฺว ยามิ, อิโต ยามิ, เอตฺถ ยามีติ อุทฺธํ กณฺฐํ กตฺวา วิหรมาโน, วิกฺขิโตฺต อเนกโคฺคติ วุตฺตํ โหติฯ อนภิรโตติ สาสเน อภิรติวิรหิโตฯ
Idāni sikkhāpaccakkhānadubbalyāvikammānaṃ visesāvisesaṃ sikkhāpaccakkhānalakkhaṇañca dassento ‘‘atthi bhikkhave’’tiādimāha. Tattha atthi bhikkhavetiādīni dve mātikāpadāni; tāni vibhajanto ‘‘kathañca bhikkhave’’tiādimāha. Tatrāyaṃ anuttānapadavaṇṇanā – kathanti kena ākārena. Dubbalyāvikammañcāti dubbalyassa āvikammañca. Idhāti imasmiṃ sāsane. Ukkaṇṭhitoti anabhiratiyā imasmiṃ sāsane kicchajīvikappatto. Atha vā ajja yāmi, sve yāmi, ito yāmi, ettha yāmīti uddhaṃ kaṇṭhaṃ katvā viharamāno, vikkhitto anekaggoti vuttaṃ hoti. Anabhiratoti sāsane abhirativirahito.
สามญฺญา จวิตุกาโมติ สมณภาวโต อปคนฺตุกาโมฯ ภิกฺขุภาวนฺติ ภิกฺขุภาเวนฯ กรณเตฺถ อุปโยควจนํฯ ‘‘กเณฺฐ อาสเตฺตน อฎฺฎีเยยฺยา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๑๖๒) ปน ยถาลกฺขณํ กรณวจเนเนว วุตฺตํฯ อฎฺฎียมาโนติ อฎฺฎํ ปีฬิตํ ทุกฺขิตํ วิย อตฺตานํ อาจรมาโน; เตน วา ภิกฺขุภาเวน อโฎฺฎ กริยมาโน ปีฬิยมาโนติ อโตฺถฯ หรายมาโนติ ลชฺชมาโนฯ ชิคุจฺฉมาโนติ อสุจิํ วิย ตํ ชิคุจฺฉโนฺตฯ คิหิภาวํ ปตฺถยมาโนติอาทีนิ อุตฺตานตฺถานิเยวฯ ยํนูนาหํ พุทฺธํ ปจฺจเกฺขยฺยนฺติ เอตฺถ ยํนูนาติ ปริวิตกฺกทสฺสเน นิปาโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘สจาหํ พุทฺธํ ปจฺจเกฺขยฺยํ, สาธุ วต เม สิยา’’ติฯ วทติ วิญฺญาเปตีติ อิมมตฺถํ เอเตหิ วา อเญฺญหิ วา พฺยญฺชเนหิ วจีเภทํ กตฺวา วทติ เจว, ยสฺส จ วทติ, ตํ วิญฺญาเปติ ชานาเปติฯ เอวมฺปีติ อุปริมตฺถสมฺปิณฺฑนโตฺต ปิกาโรฯ เอวมฺปิ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมเญฺจว โหติ สิกฺขา จ อปฺปจฺจกฺขาตา, อญฺญถาปิฯ
Sāmaññā cavitukāmoti samaṇabhāvato apagantukāmo. Bhikkhubhāvanti bhikkhubhāvena. Karaṇatthe upayogavacanaṃ. ‘‘Kaṇṭhe āsattena aṭṭīyeyyā’’tiādīsu (pārā. 162) pana yathālakkhaṇaṃ karaṇavacaneneva vuttaṃ. Aṭṭīyamānoti aṭṭaṃ pīḷitaṃ dukkhitaṃ viya attānaṃ ācaramāno; tena vā bhikkhubhāvena aṭṭo kariyamāno pīḷiyamānoti attho. Harāyamānoti lajjamāno. Jigucchamānoti asuciṃ viya taṃ jigucchanto. Gihibhāvaṃ patthayamānotiādīni uttānatthāniyeva. Yaṃnūnāhaṃ buddhaṃ paccakkheyyanti ettha yaṃnūnāti parivitakkadassane nipāto. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘sacāhaṃ buddhaṃ paccakkheyyaṃ, sādhu vata me siyā’’ti. Vadati viññāpetīti imamatthaṃ etehi vā aññehi vā byañjanehi vacībhedaṃ katvā vadati ceva, yassa ca vadati, taṃ viññāpeti jānāpeti. Evampīti uparimatthasampiṇḍanatto pikāro. Evampi dubbalyāvikammañceva hoti sikkhā ca appaccakkhātā, aññathāpi.
อิทานิ ตํ อญฺญถาปิ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ สิกฺขาย จ อปฺปจฺจกฺขานํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อถ วา ปนา’’ติอาทิมาหฯ ตํ สพฺพํ อตฺถโต อุตฺตานเมวฯ ปทโต ปเนตฺถ อาทิโต ปฎฺฐาย ‘‘พุทฺธํ ปจฺจเกฺขยฺยํ, ธมฺมํ, สงฺฆํ, สิกฺขํ, วินยํ, ปาติโมกฺขํ, อุเทฺทสํ, อุปชฺฌายํ, อาจริยํ, สทฺธิวิหาริกํ, อเนฺตวาสิกํ, สมานุปชฺฌายกํ, สมานาจริยกํ, สพฺรหฺมจาริํ ปจฺจเกฺขยฺย’’นฺติ อิมานิ จุทฺทส ปทานิ ปจฺจกฺขานากาเรน วุตฺตานิฯ
Idāni taṃ aññathāpi dubbalyāvikammaṃ sikkhāya ca appaccakkhānaṃ dassento ‘‘atha vā panā’’tiādimāha. Taṃ sabbaṃ atthato uttānameva. Padato panettha ādito paṭṭhāya ‘‘buddhaṃ paccakkheyyaṃ, dhammaṃ, saṅghaṃ, sikkhaṃ, vinayaṃ, pātimokkhaṃ, uddesaṃ, upajjhāyaṃ, ācariyaṃ, saddhivihārikaṃ, antevāsikaṃ, samānupajjhāyakaṃ, samānācariyakaṃ, sabrahmacāriṃ paccakkheyya’’nti imāni cuddasa padāni paccakkhānākārena vuttāni.
คิหี อสฺสนฺติอาทีนิ ‘‘คิหี, อุปาสโก, อารามิโก, สามเณโร, ติตฺถิโย, ติตฺถิยสาวโก, อสฺสมโณ, อสกฺยปุตฺติโย อสฺส’’นฺติ อิมานิ อฎฺฐ ปทานิ ‘‘อสฺส’’นฺติ อิมินา ภาววิกปฺปากาเรน วุตฺตานิฯ เอวํ ‘‘ยํนูนาห’’นฺติ อิมินา ปฎิสํยุตฺตานิ ทฺวาวีสติ ปทานิฯ
Gihī assantiādīni ‘‘gihī, upāsako, ārāmiko, sāmaṇero, titthiyo, titthiyasāvako, assamaṇo, asakyaputtiyo assa’’nti imāni aṭṭha padāni ‘‘assa’’nti iminā bhāvavikappākārena vuttāni. Evaṃ ‘‘yaṃnūnāha’’nti iminā paṭisaṃyuttāni dvāvīsati padāni.
๔๖. ยถา จ เอตานิ, เอวํ ‘‘ยทิ ปนาหํ, อปาหํ, หนฺทาหํ, โหติ เม’’ติ อิเมสุ เอกเมเกน ปฎิสํยุตฺตานิ ทฺวาวีสตีติ สพฺพาเนว สตญฺจ ทส จ ปทานิ โหนฺติฯ
46. Yathā ca etāni, evaṃ ‘‘yadi panāhaṃ, apāhaṃ, handāhaṃ, hoti me’’ti imesu ekamekena paṭisaṃyuttāni dvāvīsatīti sabbāneva satañca dasa ca padāni honti.
๔๗. ตโต ปรํ สริตพฺพวตฺถุทสฺสนนเยน ปวตฺตานิ ‘‘มาตรํ สรามี’’ติอาทีนิ สตฺตรส ปทานิฯ ตตฺถ เขตฺตนฺติ สาลิเขตฺตาทิํฯ วตฺถุนฺติ ติณปณฺณสากผลาผลสมุฎฺฐานฎฺฐานํฯ สิปฺปนฺติ กุมฺภการเปสการสิปฺปาทิกํฯ
47. Tato paraṃ saritabbavatthudassananayena pavattāni ‘‘mātaraṃ sarāmī’’tiādīni sattarasa padāni. Tattha khettanti sālikhettādiṃ. Vatthunti tiṇapaṇṇasākaphalāphalasamuṭṭhānaṭṭhānaṃ. Sippanti kumbhakārapesakārasippādikaṃ.
๔๘. ตโต ปรํ สกิญฺจนสปลิโพธภาวทสฺสนวเสน ปวตฺตานิ ‘‘มาตา เม อตฺถิ, สา มยา โปเสตพฺพา’’ติอาทีนิ นว ปทานิฯ
48. Tato paraṃ sakiñcanasapalibodhabhāvadassanavasena pavattāni ‘‘mātā me atthi, sā mayā posetabbā’’tiādīni nava padāni.
๔๙. ตโต ปรํ สนิสฺสยสปฺปติฎฺฐภาวทสฺสนวเสน ปวตฺตานิ ‘‘มาตา เม อตฺถิ, สา มํ โปเสสฺสตี’’ติอาทีนิ โสฬส ปทานิฯ
49. Tato paraṃ sanissayasappatiṭṭhabhāvadassanavasena pavattāni ‘‘mātā me atthi, sā maṃ posessatī’’tiādīni soḷasa padāni.
๕๐. ตโต ปรํ เอกภตฺตเอกเสยฺยพฺรหฺมจริยานํ ทุกฺกรภาวทสฺสนวเสน ปวตฺตานิ ‘‘ทุกฺกร’’นฺติอาทีนิ อฎฺฐ ปทานิฯ
50. Tato paraṃ ekabhattaekaseyyabrahmacariyānaṃ dukkarabhāvadassanavasena pavattāni ‘‘dukkara’’ntiādīni aṭṭha padāni.
ตตฺถ ทุกฺกรนฺติ เอกภตฺตาทีนํ กรเณ ทุกฺกรตํ ทเสฺสติฯ น สุกรนฺติ สุกรภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ เอวํ ทุจฺจรํ น สุจรนฺติ เอตฺถฯ น อุสฺสหามีติ ตตฺถ อุสฺสาหาภาวํ อสกฺกุเณยฺยตํ ทเสฺสติฯ น วิสหามีติ อสยฺหตํ ทเสฺสติฯ น รมามีติ รติยา อภาวํ ทเสฺสติฯ นาภิรมามีติ อภิรติยา อภาวํ ทเสฺสติฯ เอวํ อิมานิ จ ปญฺญาส, ปุริมานิ จ ทสุตฺตรสตนฺติ สฎฺฐิสตํ ปทานิ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมวาเร วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ
Tattha dukkaranti ekabhattādīnaṃ karaṇe dukkarataṃ dasseti. Na sukaranti sukarabhāvaṃ paṭikkhipati. Evaṃ duccaraṃ na sucaranti ettha. Na ussahāmīti tattha ussāhābhāvaṃ asakkuṇeyyataṃ dasseti. Na visahāmīti asayhataṃ dasseti. Na ramāmīti ratiyā abhāvaṃ dasseti. Nābhiramāmīti abhiratiyā abhāvaṃ dasseti. Evaṃ imāni ca paññāsa, purimāni ca dasuttarasatanti saṭṭhisataṃ padāni dubbalyāvikammavāre vuttānīti veditabbāni.
๕๑. สิกฺขาปจฺจกฺขานวาเรปิ ‘‘กถญฺจ ภิกฺขเว’’ติ อาทิ สพฺพํ อตฺถโต อุตฺตานเมวฯ ปทโต ปเนตฺถาปิ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามิ, ธมฺมํ, สงฺฆํ, สิกฺขํ, วินยํ, ปาติโมกฺขํ, อุเทฺทสํ, อุปชฺฌายํ, อาจริยํ, สทฺธิวิหาริกํ, อเนฺตวาสิกํ, สมานุปชฺฌายกํ, สมานาจริยกํ, สพฺรหฺมจาริํ ปจฺจกฺขามี’’ติ อิมานิ จุทฺทส ปทานิ สิกฺขาปจฺจกฺขานวจนสมฺพเนฺธน ปวตฺตานิฯ สพฺพปเทสุ จ ‘‘วทติ วิญฺญาเปตี’’ติ วจนสฺส อยมโตฺถ – วจีเภทํ กตฺวา วทติ, ยสฺส จ วทติ ตํ เตเนว วจีเภเทน ‘‘อยํ สาสนํ ชหิตุกาโม สาสนโต มุจฺจิตุกาโม ภิกฺขุภาวํ จชิตุกาโม อิมํ วากฺยเภทํ กโรตี’’ติ วิญฺญาเปติ สาเวติ ชานาเปติฯ
51. Sikkhāpaccakkhānavārepi ‘‘kathañca bhikkhave’’ti ādi sabbaṃ atthato uttānameva. Padato panetthāpi ‘‘buddhaṃ paccakkhāmi, dhammaṃ, saṅghaṃ, sikkhaṃ, vinayaṃ, pātimokkhaṃ, uddesaṃ, upajjhāyaṃ, ācariyaṃ, saddhivihārikaṃ, antevāsikaṃ, samānupajjhāyakaṃ, samānācariyakaṃ, sabrahmacāriṃ paccakkhāmī’’ti imāni cuddasa padāni sikkhāpaccakkhānavacanasambandhena pavattāni. Sabbapadesu ca ‘‘vadati viññāpetī’’ti vacanassa ayamattho – vacībhedaṃ katvā vadati, yassa ca vadati taṃ teneva vacībhedena ‘‘ayaṃ sāsanaṃ jahitukāmo sāsanato muccitukāmo bhikkhubhāvaṃ cajitukāmo imaṃ vākyabhedaṃ karotī’’ti viññāpeti sāveti jānāpeti.
สเจ ปนายํ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วตฺตุกาโม ปทปจฺจาภฎฺฐํ กตฺวา ‘‘ปจฺจกฺขามิ พุทฺธ’’นฺติ วา วเทยฺยฯ มิลกฺขภาสาสุ วา อญฺญตรภาสาย ตมตฺถํ วเทยฺยฯ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วตฺตุกาโม อุปฺปฎิปาฎิยา ‘‘ธมฺมํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วา ‘‘สพฺรหฺมจาริํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วา วเทยฺย, เสยฺยถาปิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมวิภเงฺค ‘‘ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชามี’’ติ วตฺตุกาโม ‘‘ทุติยํ ฌาน’’นฺติ วทติ, สเจ ยสฺส วทติ โส ‘‘อยํ ภิกฺขุภาวํ จชิตุกาโม เอตมตฺถํ วทตี’’ติ เอตฺตกมตฺตมฺปิ ชานาติ, วิรทฺธํ นาม นตฺถิ; เขตฺตเมว โอติณฺณํ, ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ สกฺกตฺตา วา พฺรหฺมตฺตา วา จุตสโตฺต วิย จุโตว โหติ สาสนาฯ
Sace panāyaṃ ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti vattukāmo padapaccābhaṭṭhaṃ katvā ‘‘paccakkhāmi buddha’’nti vā vadeyya. Milakkhabhāsāsu vā aññatarabhāsāya tamatthaṃ vadeyya. ‘‘Buddhaṃ paccakkhāmī’’ti vattukāmo uppaṭipāṭiyā ‘‘dhammaṃ paccakkhāmī’’ti vā ‘‘sabrahmacāriṃ paccakkhāmī’’ti vā vadeyya, seyyathāpi uttarimanussadhammavibhaṅge ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajjāmī’’ti vattukāmo ‘‘dutiyaṃ jhāna’’nti vadati, sace yassa vadati so ‘‘ayaṃ bhikkhubhāvaṃ cajitukāmo etamatthaṃ vadatī’’ti ettakamattampi jānāti, viraddhaṃ nāma natthi; khettameva otiṇṇaṃ, paccakkhātāva hoti sikkhā. Sakkattā vā brahmattā vā cutasatto viya cutova hoti sāsanā.
สเจ ปน ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขิ’’นฺติ วา, ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขิสฺสามี’’ติ วา, ‘‘พุทฺธํ ปจฺจเกฺขยฺย’’นฺติ วาติ อตีตานาคตปริกปฺปวจเนหิ วทติ, ทูตํ วา ปหิณาติ, สาสนํ วา เปเสติ, อกฺขรํ วา ฉินฺทติ, หตฺถมุทฺทาย วา ตมตฺถํ อาโรเจติ, อปฺปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขาฯ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาโรจนํ ปน หตฺถมุทฺทายปิ สีสํ เอติฯ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ มนุสฺสชาติกสตฺตสฺส สนฺติเก จิตฺตสมฺปยุตฺตํ วจีเภทํ กโรนฺตเสฺสว สีสํ เอติฯ วจีเภทํ กตฺวา วิญฺญาเปโนฺตปิ จ ยทิ ‘‘อยเมว ชานาตู’’ติ เอกํ นิยเมตฺวา อาโรเจติ, ตญฺจ โสเยว ชานาติ, ปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขาฯ อถ โส น ชานาติ, อโญฺญ สมีเป ฐิโต ชานาติ, อปฺปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขาฯ อถ ทฺวินฺนํ ฐิตฎฺฐาเน ทฺวินฺนมฺปิ นิยเมตฺวา ‘‘เอเตสํ อาโรเจมี’’ติ วทติ, เตสุ เอกสฺมิํ ชานเนฺตปิ ทฺวีสุ ชานเนฺตสุปิ ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ เอวํ สมฺพหุเลสุปิ เวทิตพฺพํฯ
Sace pana ‘‘buddhaṃ paccakkhi’’nti vā, ‘‘buddhaṃ paccakkhissāmī’’ti vā, ‘‘buddhaṃ paccakkheyya’’nti vāti atītānāgataparikappavacanehi vadati, dūtaṃ vā pahiṇāti, sāsanaṃ vā peseti, akkharaṃ vā chindati, hatthamuddāya vā tamatthaṃ āroceti, appaccakkhātā hoti sikkhā. Uttarimanussadhammārocanaṃ pana hatthamuddāyapi sīsaṃ eti. Sikkhāpaccakkhānaṃ manussajātikasattassa santike cittasampayuttaṃ vacībhedaṃ karontasseva sīsaṃ eti. Vacībhedaṃ katvā viññāpentopi ca yadi ‘‘ayameva jānātū’’ti ekaṃ niyametvā āroceti, tañca soyeva jānāti, paccakkhātā hoti sikkhā. Atha so na jānāti, añño samīpe ṭhito jānāti, appaccakkhātā hoti sikkhā. Atha dvinnaṃ ṭhitaṭṭhāne dvinnampi niyametvā ‘‘etesaṃ ārocemī’’ti vadati, tesu ekasmiṃ jānantepi dvīsu jānantesupi paccakkhātāva hoti sikkhā. Evaṃ sambahulesupi veditabbaṃ.
สเจ ปน อนภิรติยา ปีฬิโต สภาเค ภิกฺขู ปริสงฺกมาโน ‘‘โย โกจิ ชานาตู’’ติ อุจฺจสทฺทํ กโรโนฺต ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วทติ, ตญฺจ อวิทูเร ฐิโต นวกมฺมิโก วา อโญฺญ วา สมยญฺญู ปุริโส สุตฺวา ‘‘อุกฺกณฺฐิโต อยํ สมโณ คิหิภาวํ ปเตฺถติ, สาสนโต จุโต’’ติ ชานาติ, ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ ตงฺขณเญฺญว ปน อปุพฺพํ อจริมํ ทุชฺชานํ, สเจ อาวชฺชนสมเย ชานาติ; ยถา ปกติยา โลเก มนุสฺสา วจนํ สุตฺวา ชานนฺติ, ปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขาฯ อถ อปรภาเค ‘‘กิํ อิมินา วุตฺต’’นฺติ กงฺขโนฺต จิเรน ชานาติ, อปฺปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขาฯ อิทญฺหิ สิกฺขาปจฺจกฺขานญฺจ อุปริ อภูตาโรจนทุฎฺฐุลฺลวาจา-อตฺตกามทุฎฺฐโทสภูตา-โรจนสิกฺขาปทานิ จ เอกปริเจฺฉทานิฯ อาวชฺชนสมเย ญาเต เอว สีสํ เอนฺติ, ‘‘กิํ อยํ ภณตี’’ติ กงฺขตา จิเรน ญาเต สีสํ น เอนฺติฯ ยถา จายํ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ ปเท วินิจฺฉเย วุโตฺต; เอวํ สพฺพปเทสุ เวทิตโพฺพฯ
Sace pana anabhiratiyā pīḷito sabhāge bhikkhū parisaṅkamāno ‘‘yo koci jānātū’’ti uccasaddaṃ karonto ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti vadati, tañca avidūre ṭhito navakammiko vā añño vā samayaññū puriso sutvā ‘‘ukkaṇṭhito ayaṃ samaṇo gihibhāvaṃ pattheti, sāsanato cuto’’ti jānāti, paccakkhātāva hoti sikkhā. Taṅkhaṇaññeva pana apubbaṃ acarimaṃ dujjānaṃ, sace āvajjanasamaye jānāti; yathā pakatiyā loke manussā vacanaṃ sutvā jānanti, paccakkhātā hoti sikkhā. Atha aparabhāge ‘‘kiṃ iminā vutta’’nti kaṅkhanto cirena jānāti, appaccakkhātā hoti sikkhā. Idañhi sikkhāpaccakkhānañca upari abhūtārocanaduṭṭhullavācā-attakāmaduṭṭhadosabhūtā-rocanasikkhāpadāni ca ekaparicchedāni. Āvajjanasamaye ñāte eva sīsaṃ enti, ‘‘kiṃ ayaṃ bhaṇatī’’ti kaṅkhatā cirena ñāte sīsaṃ na enti. Yathā cāyaṃ ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti pade vinicchaye vutto; evaṃ sabbapadesu veditabbo.
ยสฺมา จ ยทา สิกฺขา ปจฺจกฺขาตา โหติ, ตทา ‘‘ยํนูนาหํ พุทฺธํ ปจฺจเกฺขยฺย’’นฺติอาทีนิ อวทตาปิ ทุพฺพลฺยํ อาวิกตเมว โหติ; ตสฺมา สเพฺพสํ ปทานํ อวสาเน วุตฺตํ – ‘‘เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, ทุพฺพลฺยาวิกมฺมเญฺจว โหติ สิกฺขา จ ปจฺจกฺขาตา’’ติฯ
Yasmā ca yadā sikkhā paccakkhātā hoti, tadā ‘‘yaṃnūnāhaṃ buddhaṃ paccakkheyya’’ntiādīni avadatāpi dubbalyaṃ āvikatameva hoti; tasmā sabbesaṃ padānaṃ avasāne vuttaṃ – ‘‘evampi, bhikkhave, dubbalyāvikammañceva hoti sikkhā ca paccakkhātā’’ti.
ตโต ปรํ คิหีติ มํ ธาเรหีติ เอตฺถ สเจปิ ‘‘คิหี ภวิสฺสามี’’ติ วา ‘‘คิหี โหมี’’ติ วา ‘‘คิหี ชาโตมฺหี’’ติ วา ‘‘คิหิมฺหี’’ติ วา วทติ, อปฺปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขาฯ สเจ ปน ‘‘อชฺช ปฎฺฐาย คิหีติ มํ ธาเรหี’’ติ วา ‘‘ชานาหี’’ติ วา ‘‘สญฺชานาหี’’ติ วา ‘‘มนสิ กโรหี’’ติ วา วทติ, อริยเกน วา วทติ มิลกฺขเกน วา; เอวเมตสฺมิํ อเตฺถ วุเตฺต ยสฺส วทติ, สเจ โส ชานาติ, ปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขาฯ เอส นโย เสเสสุปิ ‘‘อุปาสโก’’ติอาทีสุ สตฺตสุ ปเทสุฯ เอวํ อิมานิ จ อฎฺฐ, ปุริมานิ จ จุทฺทสาติ ทฺวาวีสติ ปทานิ โหนฺติฯ
Tato paraṃ gihīti maṃ dhārehīti ettha sacepi ‘‘gihī bhavissāmī’’ti vā ‘‘gihī homī’’ti vā ‘‘gihī jātomhī’’ti vā ‘‘gihimhī’’ti vā vadati, appaccakkhātā hoti sikkhā. Sace pana ‘‘ajja paṭṭhāya gihīti maṃ dhārehī’’ti vā ‘‘jānāhī’’ti vā ‘‘sañjānāhī’’ti vā ‘‘manasi karohī’’ti vā vadati, ariyakena vā vadati milakkhakena vā; evametasmiṃ atthe vutte yassa vadati, sace so jānāti, paccakkhātā hoti sikkhā. Esa nayo sesesupi ‘‘upāsako’’tiādīsu sattasu padesu. Evaṃ imāni ca aṭṭha, purimāni ca cuddasāti dvāvīsati padāni honti.
๕๒. อิโต ปรํ ปุริมาเนว จุทฺทส ปทานิ ‘‘อลํ เม, กินฺนุ เม, น มมโตฺถ, สุมุตฺตาห’’นฺติ อิเมหิ จตูหิ โยเชตฺวา วุตฺตานิ ฉปฺปญฺญาส โหนฺติฯ ตตฺถ อลนฺติ โหตุ, ปริยตฺตนฺติ อโตฺถฯ กิํนุ เมติ กิํ มยฺหํ กิจฺจํ, กิํ กรณียํ, กิํ สาเธตพฺพนฺติ อโตฺถฯ น มมโตฺถติ นตฺถิ มม อโตฺถฯ สุมุตฺตาหนฺติ สุมุโตฺต อหํฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ เอวํ อิมานิ จ ฉปฺปญฺญาส ปุริมานิ จ ทฺวาวีสตีติ อฎฺฐสตฺตติ ปทานิ สรูเปเนว วุตฺตานิฯ
52. Ito paraṃ purimāneva cuddasa padāni ‘‘alaṃ me, kinnu me, na mamattho, sumuttāha’’nti imehi catūhi yojetvā vuttāni chappaññāsa honti. Tattha alanti hotu, pariyattanti attho. Kiṃnu meti kiṃ mayhaṃ kiccaṃ, kiṃ karaṇīyaṃ, kiṃ sādhetabbanti attho. Na mamatthoti natthi mama attho. Sumuttāhanti sumutto ahaṃ. Sesamettha vuttanayameva. Evaṃ imāni ca chappaññāsa purimāni ca dvāvīsatīti aṭṭhasattati padāni sarūpeneva vuttāni.
๕๓. ยสฺมา ปน เตสํ เววจเนหิปิ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, ตสฺมา ‘‘ยานิ วา ปนญฺญานิปี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยานิ วา ปนญฺญานิปีติ ปาฬิยํ ‘‘พุทฺธ’’นฺติอาทีนิ อาคตปทานิ ฐเปตฺวา ยานิ อญฺญานิ อตฺถิฯ พุทฺธเววจนานิ วาติ พุทฺธสฺส วา ปริยายนามานิ…เป.… อสกฺยปุตฺติยสฺส วาฯ ตตฺถ วณฺณปฎฺฐาเน อาคตํ นามสหสฺสํ อุปาลิคาถาสุ (ม. นิ. ๒.๗๖) นามสตํ อญฺญานิ จ คุณโต ลพฺภมานานิ นามานิ ‘‘พุทฺธเววจนานี’’ติ เวทิตพฺพานิฯ สพฺพานิปิ ธมฺมสฺส นามานิ ธมฺมเววจนานีติ เวทิตพฺพานิฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
53. Yasmā pana tesaṃ vevacanehipi sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, tasmā ‘‘yāni vā panaññānipī’’tiādimāha. Tattha yāni vā panaññānipīti pāḷiyaṃ ‘‘buddha’’ntiādīni āgatapadāni ṭhapetvā yāni aññāni atthi. Buddhavevacanāni vāti buddhassa vā pariyāyanāmāni…pe… asakyaputtiyassa vā. Tattha vaṇṇapaṭṭhāne āgataṃ nāmasahassaṃ upāligāthāsu (ma. ni. 2.76) nāmasataṃ aññāni ca guṇato labbhamānāni nāmāni ‘‘buddhavevacanānī’’ti veditabbāni. Sabbānipi dhammassa nāmāni dhammavevacanānīti veditabbāni. Esa nayo sabbattha.
อยํ ปเนตฺถ โยชนา – พุทฺธํ ปจฺจกฺขามีติ น เวววจเนน ปจฺจกฺขานํ ยถารุตเมวฯ ‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปจฺจกฺขามิ, อนนฺตพุทฺธิํ, อโนมพุทฺธิํ, โพธิปญฺญาณํ, ธีรํ, วิคตโมหํ, ปภินฺนขีลํ, วิชิตวิชยํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวมาทิพุทฺธเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํฯ
Ayaṃ panettha yojanā – buddhaṃ paccakkhāmīti na vevavacanena paccakkhānaṃ yathārutameva. ‘‘Sammāsambuddhaṃ paccakkhāmi, anantabuddhiṃ, anomabuddhiṃ, bodhipaññāṇaṃ, dhīraṃ, vigatamohaṃ, pabhinnakhīlaṃ, vijitavijayaṃ paccakkhāmī’’ti evamādibuddhavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ.
ธมฺมํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํ, ยถารุตเมวฯ ‘‘สฺวากฺขาตํ ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิ, สนฺทิฎฺฐิกํ, อกาลิกํ, เอหิปสฺสิกํ, โอปเนยฺยิกํ, ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺพํ วิญฺญูหิ ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิฯ อสงฺขตํ ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิ; วิราคํ, นิโรธํ, อมตํ ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิ, ทีฆนิกายํ ปจฺจกฺขามิ, พฺรหฺมชาลํ มชฺฌิมนิกายํ, มูลปริยายํ, สํยุตฺตนิกายํ, โอฆตรณํ, องฺคุตฺตรนิกายํ, จิตฺตปริยาทานํ, ขุทฺทกนิกายํ, ชาตกํ, อภิธมฺมํ, กุสลํ ธมฺมํ, อกุสลํ ธมฺมํ, อพฺยากตํ ธมฺมํ, สติปฎฺฐานํ, สมฺมปฺปธานํ, อิทฺธิปาทํ, อินฺทฺริยํ, พลํ, โพชฺฌงฺคํ, มคฺคํ, ผลํ, นิพฺพานํ ปจฺจกฺขามี’’ติ จตุราสีติธมฺมกฺขนฺธสหเสฺสสุ เอกธมฺมกฺขนฺธสฺสปิ นามํ ธมฺมเววจนเมวฯ เอวํ ธมฺมเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Dhammaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ, yathārutameva. ‘‘Svākkhātaṃ dhammaṃ paccakkhāmi, sandiṭṭhikaṃ, akālikaṃ, ehipassikaṃ, opaneyyikaṃ, paccattaṃ veditabbaṃ viññūhi dhammaṃ paccakkhāmi. Asaṅkhataṃ dhammaṃ paccakkhāmi; virāgaṃ, nirodhaṃ, amataṃ dhammaṃ paccakkhāmi, dīghanikāyaṃ paccakkhāmi, brahmajālaṃ majjhimanikāyaṃ, mūlapariyāyaṃ, saṃyuttanikāyaṃ, oghataraṇaṃ, aṅguttaranikāyaṃ, cittapariyādānaṃ, khuddakanikāyaṃ, jātakaṃ, abhidhammaṃ, kusalaṃ dhammaṃ, akusalaṃ dhammaṃ, abyākataṃ dhammaṃ, satipaṭṭhānaṃ, sammappadhānaṃ, iddhipādaṃ, indriyaṃ, balaṃ, bojjhaṅgaṃ, maggaṃ, phalaṃ, nibbānaṃ paccakkhāmī’’ti caturāsītidhammakkhandhasahassesu ekadhammakkhandhassapi nāmaṃ dhammavevacanameva. Evaṃ dhammavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
สงฺฆํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘สุปฺปฎิปนฺนํ สงฺฆํ ปจฺจกฺขามิ, อุชุปฺปฎิปนฺนํ, ญายปฺปฎิปนฺนํ, สามีจิปฺปฎิปนฺนํ สงฺฆํ, จตุปุริสยุคํ สงฺฆํ, อฎฺฐปุริสปุคฺคลํ สงฺฆํ, อาหุเนยฺยํ สงฺฆํ, ปาหุเนยฺยํ, ทกฺขิเณยฺยํ, อญฺชลิกรณียํ, อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ สงฺฆํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ สงฺฆเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Saṅghaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Suppaṭipannaṃ saṅghaṃ paccakkhāmi, ujuppaṭipannaṃ, ñāyappaṭipannaṃ, sāmīcippaṭipannaṃ saṅghaṃ, catupurisayugaṃ saṅghaṃ, aṭṭhapurisapuggalaṃ saṅghaṃ, āhuneyyaṃ saṅghaṃ, pāhuneyyaṃ, dakkhiṇeyyaṃ, añjalikaraṇīyaṃ, anuttaraṃ puññakkhettaṃ saṅghaṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ saṅghavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
สิกฺขํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘ภิกฺขุสิกฺขํ ปจฺจกฺขามิ, ภิกฺขุนีสิกฺขํ, อธิสีลสิกฺขํ, อธิจิตฺตสิกฺขํ, อธิปญฺญาสิกฺขํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ สิกฺขาเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Sikkhaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Bhikkhusikkhaṃ paccakkhāmi, bhikkhunīsikkhaṃ, adhisīlasikkhaṃ, adhicittasikkhaṃ, adhipaññāsikkhaṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ sikkhāvevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
วินยํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘ภิกฺขุวินยํ ปจฺจกฺขามิ, ภิกฺขุนีวินยํ, ปฐมํ ปาราชิกํ, ทุติยํ ตติยํ จตุตฺถํ ปาราชิกํ, สงฺฆาทิเสสํ, ถุลฺลจฺจยํ, ปาจิตฺติยํ, ปาฎิเทสนียํ, ทุกฺกฎํ, ทุพฺภาสิตํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวมาทิวินยเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Vinayaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Bhikkhuvinayaṃ paccakkhāmi, bhikkhunīvinayaṃ, paṭhamaṃ pārājikaṃ, dutiyaṃ tatiyaṃ catutthaṃ pārājikaṃ, saṅghādisesaṃ, thullaccayaṃ, pācittiyaṃ, pāṭidesanīyaṃ, dukkaṭaṃ, dubbhāsitaṃ paccakkhāmī’’ti evamādivinayavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
ปาติโมกฺขํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘ภิกฺขุปาติโมกฺขํ ภิกฺขุนีปาติโมกฺขํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ ปาติโมกฺขเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Pātimokkhaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Bhikkhupātimokkhaṃ bhikkhunīpātimokkhaṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ pātimokkhavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
อุเทฺทสํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘ภิกฺขุปาติโมกฺขุเทฺทสํ, ภิกฺขุนีปาติโมกฺขุเทฺทสํ , ปฐมํ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ, ทุติยํ ตติยํ จตุตฺถํ ปญฺจมํ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ, สมฺมาสมฺพุทฺธุเทฺทสํ, อนนฺตพุทฺธิอุเทฺทสํ, อโนมพุทฺธิอุเทฺทสํ, โพธิปญฺญาณุเทฺทสํ, ธีรุเทฺทสํ, วิคตโมหุเทฺทสํ, ปภินฺนขีลุเทฺทสํ, วิชิตวิชยุเทฺทสํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวมาทิอุเทฺทสเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Uddesaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Bhikkhupātimokkhuddesaṃ, bhikkhunīpātimokkhuddesaṃ , paṭhamaṃ pātimokkhuddesaṃ, dutiyaṃ tatiyaṃ catutthaṃ pañcamaṃ pātimokkhuddesaṃ, sammāsambuddhuddesaṃ, anantabuddhiuddesaṃ, anomabuddhiuddesaṃ, bodhipaññāṇuddesaṃ, dhīruddesaṃ, vigatamohuddesaṃ, pabhinnakhīluddesaṃ, vijitavijayuddesaṃ paccakkhāmī’’ti evamādiuddesavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
อุปชฺฌายํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘โย มํ ปพฺพาเชสิ, โย มํ อุปสมฺปาเทสิ, ยสฺส มูเลนาหํ ปพฺพชิโต, ยสฺส มูเลนาหํ อุปสมฺปโนฺน, ยสฺสมูลิกา มยฺหํ ปพฺพชฺชา, ยสฺสมูลิกา มยฺหํ อุปสมฺปทา ตาหํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ อุปชฺฌายเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Upajjhāyaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Yo maṃ pabbājesi, yo maṃ upasampādesi, yassa mūlenāhaṃ pabbajito, yassa mūlenāhaṃ upasampanno, yassamūlikā mayhaṃ pabbajjā, yassamūlikā mayhaṃ upasampadā tāhaṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ upajjhāyavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
อาจริยํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘โย มํ ปพฺพาเชสิ, โย มํ อนุสฺสาเวสิ, ยาหํ นิสฺสาย วสามิ, ยาหํ อุทฺทิสาเปมิ, ยาหํ ปริปุจฺฉามิ, โย มํ อุทฺทิสติ, โย มํ ปริปุจฺฉาเปติ ตาหํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ อาจริยเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Ācariyaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Yo maṃ pabbājesi, yo maṃ anussāvesi, yāhaṃ nissāya vasāmi, yāhaṃ uddisāpemi, yāhaṃ paripucchāmi, yo maṃ uddisati, yo maṃ paripucchāpeti tāhaṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ ācariyavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
สทฺธิวิหาริกํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘ยาหํ ปพฺพาเชสิํ, ยาหํ อุปสมฺปาเทสิํ, มยฺหํ มูเลน โย ปพฺพชิโต, มยฺหํ มูเลน โย อุปสมฺปโนฺน, มยฺหํมูลิกา ยสฺส ปพฺพชฺชา, มยฺหํ มูลิกา ยสฺส อุปสมฺปทา ตาหํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ สทฺธิวิหาริกเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Saddhivihārikaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Yāhaṃ pabbājesiṃ, yāhaṃ upasampādesiṃ, mayhaṃ mūlena yo pabbajito, mayhaṃ mūlena yo upasampanno, mayhaṃmūlikā yassa pabbajjā, mayhaṃ mūlikā yassa upasampadā tāhaṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ saddhivihārikavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
อเนฺตวาสิกํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘ยาหํ ปพฺพาเชสิํ, ยาหํ อนุสฺสาเวสิํ, โย มํ นิสฺสาย วสติ, โย มํ อุทฺทิสาเปติ, โย มํ ปริปุจฺฉติ, ยสฺสาหํ อุทฺทิสามิ, ยาหํ ปริปุจฺฉาเปมิ ตํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ อเนฺตวาสิกเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Antevāsikaṃpaccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Yāhaṃ pabbājesiṃ, yāhaṃ anussāvesiṃ, yo maṃ nissāya vasati, yo maṃ uddisāpeti, yo maṃ paripucchati, yassāhaṃ uddisāmi, yāhaṃ paripucchāpemi taṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ antevāsikavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
สมานุปชฺฌายกํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘มยฺหํ อุปชฺฌาโย ยํ ปพฺพาเชสิ, ยํ อุปสมฺปาเทสิ, โย ตสฺส มูเลน ปพฺพชิโต, โย ตสฺส มูเลน อุปสมฺปโนฺน, ยสฺส ตมฺมูลิกา ปพฺพชฺชา, ยสฺส ตมฺมูลิกา อุปสมฺปทา ตํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ สมานุปชฺฌายกเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Samānupajjhāyakaṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Mayhaṃ upajjhāyo yaṃ pabbājesi, yaṃ upasampādesi, yo tassa mūlena pabbajito, yo tassa mūlena upasampanno, yassa tammūlikā pabbajjā, yassa tammūlikā upasampadā taṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ samānupajjhāyakavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
สมานาจริยกํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘มยฺหํ อาจริโย ยํ ปพฺพาเชสิ, ยํ อนุสฺสาเวสิ, โย ตํ นิสฺสาย วสติ, โย ตํ อุทฺทิสาเปติ ปริปุจฺฉติ, ยสฺส เม อาจริโย อุทฺทิสติ, ยํ ปริปุจฺฉาเปติ ตํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ สมานาจริยกเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Samānācariyakaṃpaccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Mayhaṃ ācariyo yaṃ pabbājesi, yaṃ anussāvesi, yo taṃ nissāya vasati, yo taṃ uddisāpeti paripucchati, yassa me ācariyo uddisati, yaṃ paripucchāpeti taṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ samānācariyakavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
สพฺรหฺมจาริํ ปจฺจกฺขามีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘เยนาหํ สทฺธิํ อธิสีลํ สิกฺขามิ, อธิจิตฺตํ อธิปญฺญํ สิกฺขามิ ตํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ สพฺรหฺมจาริเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Sabrahmacāriṃ paccakkhāmīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Yenāhaṃ saddhiṃ adhisīlaṃ sikkhāmi, adhicittaṃ adhipaññaṃ sikkhāmi taṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ sabrahmacārivevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
คิหีติ มํ ธาเรหีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘อาคาริโกติ มํ ธาเรหิ, กสฺสโก, วาณิโช, โครโกฺข, โอกลฺลโก, โมฬิพโทฺธ, กามคุณิโกติ มํ ธาเรหี’’ติ เอวํ คิหิเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Gihīti maṃ dhārehīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Āgārikoti maṃ dhārehi, kassako, vāṇijo, gorakkho, okallako, moḷibaddho, kāmaguṇikoti maṃ dhārehī’’ti evaṃ gihivevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
อุปาสโกติ มํ ธาเรหีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘เทฺววาจิโก อุปาสโกติ มํ ธาเรหิ, เตวาจิโก อุปาสโก, พุทฺธํ สรณคมนิโก, ธมฺมํ สงฺฆํ สรณคมนิโก, ปญฺจสิกฺขาปทิโก ทสสิกฺขาปทิโก อุปาสโกติ มํ ธาเรหี’’ติ เอวํ อุปาสกเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Upāsakoti maṃ dhārehīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Dvevāciko upāsakoti maṃ dhārehi, tevāciko upāsako, buddhaṃ saraṇagamaniko, dhammaṃ saṅghaṃ saraṇagamaniko, pañcasikkhāpadiko dasasikkhāpadiko upāsakoti maṃ dhārehī’’ti evaṃ upāsakavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
อารามิโกติ มํ ธาเรหีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘กปฺปิยการโกติ มํ ธาเรหิ, เวยฺยาวจฺจกโร, อปฺปหริตการโก, ยาคุภาชโก, ผลภาชโก, ขชฺชกภาชโกติ มํ ธาเรหี’’ติ เอวํ อารามิกเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Ārāmikoti maṃ dhārehīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Kappiyakārakoti maṃ dhārehi, veyyāvaccakaro, appaharitakārako, yāgubhājako, phalabhājako, khajjakabhājakoti maṃ dhārehī’’ti evaṃ ārāmikavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
สามเณโรติ มํ ธาเรหีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘กุมารโกติ มํ ธาเรหิ, เจลฺลโก, เจฎโก, โมฬิคโลฺล, สมณุเทฺทโส’ติ มํ ธาเรหี’’ติ เอวํ สามเณรเวจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Sāmaṇeroti maṃ dhārehīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Kumārakoti maṃ dhārehi, cellako, ceṭako, moḷigallo, samaṇuddeso’ti maṃ dhārehī’’ti evaṃ sāmaṇeravecanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
ติตฺถิโยติ มํ ธาเรหีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘นิคโณฺฐติ มํ ธาเรหิ, อาชีวโก, ตาปโส, ปริพฺพาชโก, ปณฺฑรโงฺคติ มํ ธาเรหี’’ติ เอวํ ติตฺถิยเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Titthiyoti maṃ dhārehīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Nigaṇṭhoti maṃ dhārehi, ājīvako, tāpaso, paribbājako, paṇḍaraṅgoti maṃ dhārehī’’ti evaṃ titthiyavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
ติตฺถิยสาวโกติ มํ ธาเรหีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘นิคณฺฐสาวโกติ มํ ธาเรหิ’’ อาชีวก ตาปส ปริพฺพาชก ปณฺฑรงฺคสาวโกติ มํ ธาเรหีติ เอวํ ติตฺถิยสาวกเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Titthiyasāvakotimaṃ dhārehīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Nigaṇṭhasāvakoti maṃ dhārehi’’ ājīvaka tāpasa paribbājaka paṇḍaraṅgasāvakoti maṃ dhārehīti evaṃ titthiyasāvakavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
อสฺสมโณติ มํ ธาเรหีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘ทุสฺสีโลติ มํ ธาเรหิ, ปาปธโมฺม, อสุจิสงฺกสฺสรสมาจาโร, ปฎิจฺฉนฺนกมฺมโนฺต, อสฺสมโณ สมณปฎิโญฺญ, อพฺรหฺมจารี พฺรหฺมจาริปฎิโญฺญ, อโนฺตปูติ, อวสฺสุโต, กสมฺพุชาโต, โกโณฺฐ’ติ มํ ธาเรหี’’ติ เอวํ อสฺสมณเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Assamaṇoti maṃ dhārehīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Dussīloti maṃ dhārehi, pāpadhammo, asucisaṅkassarasamācāro, paṭicchannakammanto, assamaṇo samaṇapaṭiñño, abrahmacārī brahmacāripaṭiñño, antopūti, avassuto, kasambujāto, koṇṭho’ti maṃ dhārehī’’ti evaṃ assamaṇavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
อสกฺยปุตฺติโยติ มํ ธาเรหีติ น เววจเนน ปจฺจกฺขานํฯ ‘‘น สมฺมาสมฺพุทฺธปุโตฺตติ มํ ธาเรหิ, น อนนฺตพุทฺธิปุโตฺต, น อโนมพุทฺธิปุโตฺต, น โพธิปญฺญาณปุโตฺต, น ธีรปุโตฺต, น วิคตโมหปุโตฺต, น ปภินฺนขีลปุโตฺต , น วิชิตวิชยปุโตฺตติ มํ ธาเรหี’’ติ เอวมาทิอสกฺยปุตฺติยเววจเนน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติฯ
Asakyaputtiyoti maṃ dhārehīti na vevacanena paccakkhānaṃ. ‘‘Na sammāsambuddhaputtoti maṃ dhārehi, na anantabuddhiputto, na anomabuddhiputto, na bodhipaññāṇaputto, na dhīraputto, na vigatamohaputto, na pabhinnakhīlaputto , na vijitavijayaputtoti maṃ dhārehī’’ti evamādiasakyaputtiyavevacanena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti.
เตหิ อากาเรหิ เตหิ ลิเงฺคหิ เตหิ นิมิเตฺตหีติ เตหิ ‘‘พุทฺธเววจนานิ วา’’ติอาทินา นเยน วุเตฺตหิ พุทฺธาทีนํ เววจเนหิฯ เววจนานิ หิ สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺส การณตฺตา อาการานิ, พุทฺธาทีนํ สณฺฐานทีปนตฺตา สิกฺขาปจฺจกฺขานสณฺฐานตฺตา เอว วา ลิงฺคานิ, สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺส สญฺชานนเหตุโต มนุสฺสานํ ติลกาทีนิ วิย นิมิตฺตานีติ วุจฺจนฺติฯ เอวํ โข ภิกฺขเวติ อิโต ปรํ อญฺญสฺส สิกฺขาปจฺจกฺขานการณสฺส อภาวโต นิยเมโนฺต อาหฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ, เอวเมว ทุพฺพลฺยาวิกมฺมเญฺจว โหติ สิกฺขาปจฺจกฺขานญฺจ, น อิโต ปรํ การณมตฺถีติฯ
Tehi ākārehi tehi liṅgehi tehi nimittehīti tehi ‘‘buddhavevacanāni vā’’tiādinā nayena vuttehi buddhādīnaṃ vevacanehi. Vevacanāni hi sikkhāpaccakkhānassa kāraṇattā ākārāni, buddhādīnaṃ saṇṭhānadīpanattā sikkhāpaccakkhānasaṇṭhānattā eva vā liṅgāni, sikkhāpaccakkhānassa sañjānanahetuto manussānaṃ tilakādīni viya nimittānīti vuccanti. Evaṃ kho bhikkhaveti ito paraṃ aññassa sikkhāpaccakkhānakāraṇassa abhāvato niyamento āha. Ayañhettha attho, evameva dubbalyāvikammañceva hoti sikkhāpaccakkhānañca, na ito paraṃ kāraṇamatthīti.
๕๔. เอวํ สิกฺขาปจฺจกฺขานลกฺขณํ ทเสฺสตฺวา อปฺปจฺจกฺขาเน อสโมฺมหตฺถํ ตเสฺสว จ สิกฺขาปจฺจกฺขานลกฺขณสฺส ปุคฺคลาทิวเสน วิปตฺติทสฺสนตฺถํ ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, อปฺปจฺจกฺขาตา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เยหิ อากาเรหีติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ อุมฺมตฺตโกติ ยกฺขุมฺมตฺตโก วา ปิตฺตุมฺมตฺตโก วา โย โกจิ วิปรีตสโญฺญ, โส สเจ ปจฺจกฺขาติ, อปฺปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขาฯ อุมฺมตฺตกสฺสาติ ตาทิสเสฺสว อุมฺมตฺตกสฺส; ตาทิสสฺส หิ สนฺติเก สเจ ปกตโตฺต สิกฺขํ ปจฺจกฺขาติ, อุมฺมตฺตโก น ชานาติ, อปฺปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ ขิตฺตจิโตฺตติ ยกฺขุมฺมตฺตโก วุจฺจติฯ ปุริมปเท ปน อุมฺมตฺตกสามเญฺญน วุตฺตํ ‘‘ยกฺขุมฺมตฺตโก วา ปิตฺตุมฺมตฺตโก วา’’ติฯ อุภินฺนมฺปิ วิเสโส อนาปตฺติวาเร อาวิ ภวิสฺสติ ฯ เอวํ ขิตฺตจิโตฺต สิกฺขํ ปจฺจกฺขาติ, อปฺปจฺจกฺขาตาว โหติฯ ตสฺส สนฺติเก ปจฺจกฺขาตาปิ ตมฺหิ อชานเนฺต อปฺปจฺจกฺขาตาว โหติฯ
54. Evaṃ sikkhāpaccakkhānalakkhaṇaṃ dassetvā appaccakkhāne asammohatthaṃ tasseva ca sikkhāpaccakkhānalakkhaṇassa puggalādivasena vipattidassanatthaṃ ‘‘kathañca, bhikkhave, appaccakkhātā’’tiādimāha. Tattha yehi ākārehītiādi vuttanayameva. Ummattakoti yakkhummattako vā pittummattako vā yo koci viparītasañño, so sace paccakkhāti, appaccakkhātā hoti sikkhā. Ummattakassāti tādisasseva ummattakassa; tādisassa hi santike sace pakatatto sikkhaṃ paccakkhāti, ummattako na jānāti, appaccakkhātāva hoti sikkhā. Khittacittoti yakkhummattako vuccati. Purimapade pana ummattakasāmaññena vuttaṃ ‘‘yakkhummattako vā pittummattako vā’’ti. Ubhinnampi viseso anāpattivāre āvi bhavissati . Evaṃ khittacitto sikkhaṃ paccakkhāti, appaccakkhātāva hoti. Tassa santike paccakkhātāpi tamhi ajānante appaccakkhātāva hoti.
เวทนาโฎฺฎติ พลวติยา ทุกฺขเวทนาย ผุโฎฺฐ มุจฺฉาปเรโต; เตน วิลปเนฺตน ปจฺจกฺขาตาปิ อปฺปจฺจกฺขาตาว โหติฯ ตสฺส สนฺติเก ปจฺจกฺขาตาปิ ตมฺหิ อชานเนฺต อปฺปจฺจกฺขาตา โหติฯ
Vedanāṭṭoti balavatiyā dukkhavedanāya phuṭṭho mucchāpareto; tena vilapantena paccakkhātāpi appaccakkhātāva hoti. Tassa santike paccakkhātāpi tamhi ajānante appaccakkhātā hoti.
เทวตาย สนฺติเกติ ภุมฺมเทวตํ อาทิํ กตฺวา ยาว อกนิฎฺฐเทวตาย สนฺติเก ปจฺจกฺขาตาปิ อปฺปจฺจกฺขาตาว โหติฯ ติรจฺฉานคตสฺสาติ นาคมาณวกสฺส วา สุปณฺณมาณวกสฺส วา กินฺนร-หตฺถิ-มกฺกฎาทีนํ วา ยสฺส กสฺสจิ สนฺติเก ปจฺจกฺขาตาปิ อปฺปจฺจกฺขาตาว โหติ ฯ ตตฺร อุมฺมตฺตกาทีนํ สนฺติเก อชานนภาเวน อปฺปจฺจกฺขาตาติ อาหฯ เทวตาย สนฺติเก อติขิปฺปํ ชานนภาเวนฯ เทวตา นาม มหาปญฺญา ติเหตุกปฎิสนฺธิกา อติขิปฺปํ ชานนฺติ, จิตฺตญฺจ นาเมตํ ลหุปริวตฺตํฯ ตสฺมา จิตฺตลหุกสฺส ปุคฺคลสฺส จิตฺตวเสเนว ‘‘มา อติขิปฺปํ วินาโส อโหสี’’ติ เทวตาย สนฺติเก สิกฺขาปจฺจกฺขานํ ปฎิกฺขิปิฯ
Devatāya santiketi bhummadevataṃ ādiṃ katvā yāva akaniṭṭhadevatāya santike paccakkhātāpi appaccakkhātāva hoti. Tiracchānagatassāti nāgamāṇavakassa vā supaṇṇamāṇavakassa vā kinnara-hatthi-makkaṭādīnaṃ vā yassa kassaci santike paccakkhātāpi appaccakkhātāva hoti . Tatra ummattakādīnaṃ santike ajānanabhāvena appaccakkhātāti āha. Devatāya santike atikhippaṃ jānanabhāvena. Devatā nāma mahāpaññā tihetukapaṭisandhikā atikhippaṃ jānanti, cittañca nāmetaṃ lahuparivattaṃ. Tasmā cittalahukassa puggalassa cittavaseneva ‘‘mā atikhippaṃ vināso ahosī’’ti devatāya santike sikkhāpaccakkhānaṃ paṭikkhipi.
มนุเสฺสสุ ปน นิยโม นตฺถิฯ ยสฺส กสฺสจิ สภาคสฺส วา วิสภาคสฺส วา คหฎฺฐสฺส วา ปพฺพชิตสฺส วา วิญฺญุสฺส สนฺติเก ปจฺจกฺขาตา ปจฺจกฺขาตาว โหติฯ สเจ ปน โส น ชานาติ, อปฺปจฺจกฺขาตาว โหตีติ เอตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อริยเกนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อริยกํ นาม อริยโวหาโร, มาคธภาสาฯ มิลกฺขกํ นาม โย โกจิ อนริยโก อนฺธทมิฬาทิฯ โส จ น ปฎิวิชานาตีติ ภาสนฺตเร วา อนภิญฺญตาย, พุทฺธสมเย วา อโกวิทตาย ‘‘อิทํ นาม อตฺถํ เอส ภณตี’’ติ นปฺปฎิวิชานาติฯ ทวายาติ สหสา อญฺญํ ภณิตุกาโม สหสา ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ ภณติฯ รวายาติ รวาภเญฺญน, ‘‘อญฺญํ ภณิสฺสามี’’ติ อญฺญํ ภณโนฺตฯ ปุริเมน โก วิเสโสติ เจ? ปุริมํ ปณฺฑิตสฺสาปิ สหสาวเสน อญฺญภณนํฯ อิทํ ปน มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา อปกตญฺญุตฺตา ปกฺขลนฺตสฺส ‘‘อญฺญํ ภณิสฺสามี’’ติ อญฺญภณนํฯ
Manussesu pana niyamo natthi. Yassa kassaci sabhāgassa vā visabhāgassa vā gahaṭṭhassa vā pabbajitassa vā viññussa santike paccakkhātā paccakkhātāva hoti. Sace pana so na jānāti, appaccakkhātāva hotīti etamatthaṃ dassento ‘‘ariyakenā’’tiādimāha. Tattha ariyakaṃ nāma ariyavohāro, māgadhabhāsā. Milakkhakaṃ nāma yo koci anariyako andhadamiḷādi. So ca na paṭivijānātīti bhāsantare vā anabhiññatāya, buddhasamaye vā akovidatāya ‘‘idaṃ nāma atthaṃ esa bhaṇatī’’ti nappaṭivijānāti. Davāyāti sahasā aññaṃ bhaṇitukāmo sahasā ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti bhaṇati. Ravāyāti ravābhaññena, ‘‘aññaṃ bhaṇissāmī’’ti aññaṃ bhaṇanto. Purimena ko visesoti ce? Purimaṃ paṇḍitassāpi sahasāvasena aññabhaṇanaṃ. Idaṃ pana mandattā momūhattā apakataññuttā pakkhalantassa ‘‘aññaṃ bhaṇissāmī’’ti aññabhaṇanaṃ.
อสาเวตุกาโม สาเวตีติ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส ปาฬิํ วาเจติ ปริปุจฺฉติ อุคฺคณฺหาติ สชฺฌายํ กโรติ วเณฺณติ, อยํ วุจฺจติ ‘‘อสาเวตุกาโม สาเวตี’’ติฯ สาเวตุกาโม น สาเวตีติ ทุพฺพลภาวํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขโนฺต วจีเภทํ น กโรติ, อยํ วุจฺจติ ‘‘สาเวตุกาโม น สาเวตี’’ติฯ อวิญฺญุสฺส สาเวตีติ มหลฺลกสฺส วา โปตฺถกรูปสทิสสฺส, ครุเมธสฺส วา สมเย อโกวิทสฺส, คามทารกานํ วา อวิญฺญุตํ ปตฺตานํ สาเวติฯ วิญฺญุสฺส น สาเวตีติ ปณฺฑิตสฺส ญาตุํ สมตฺถสฺส น สาเวติฯ สพฺพโส วา ปนาติ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติอาทีสุ เยน เยน ปริยาเยน สิกฺขา ปจฺจกฺขาตา โหติ, ตโต เอกมฺปิ วจีเภทํ กตฺวา น สาเวติฯ เอวํ โขติ อปฺปจฺจกฺขานลกฺขณํ นิยเมติฯ อยํ เหตฺถ อโตฺถ – ‘‘เอวเมว สิกฺขา อปฺปจฺจกฺขาตา โหติ, น อเญฺญน การเณนา’’ติฯ
Asāvetukāmo sāvetīti imassa sikkhāpadassa pāḷiṃ vāceti paripucchati uggaṇhāti sajjhāyaṃ karoti vaṇṇeti, ayaṃ vuccati ‘‘asāvetukāmo sāvetī’’ti. Sāvetukāmo na sāvetīti dubbalabhāvaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhanto vacībhedaṃ na karoti, ayaṃ vuccati ‘‘sāvetukāmo na sāvetī’’ti. Aviññussa sāvetīti mahallakassa vā potthakarūpasadisassa, garumedhassa vā samaye akovidassa, gāmadārakānaṃ vā aviññutaṃ pattānaṃ sāveti. Viññussa na sāvetīti paṇḍitassa ñātuṃ samatthassa na sāveti. Sabbaso vā panāti ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’tiādīsu yena yena pariyāyena sikkhā paccakkhātā hoti, tato ekampi vacībhedaṃ katvā na sāveti. Evaṃ khoti appaccakkhānalakkhaṇaṃ niyameti. Ayaṃ hettha attho – ‘‘evameva sikkhā appaccakkhātā hoti, na aññena kāraṇenā’’ti.
สิกฺขาปจฺจกฺขานวิภงฺคํ นิฎฺฐิตํฯ
Sikkhāpaccakkhānavibhaṅgaṃ niṭṭhitaṃ.
มูลปญฺญตฺติวณฺณนา
Mūlapaññattivaṇṇanā
๕๕. อิทานิ ‘‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยา’’ติอาทีนํ อตฺถทสฺสนตฺถํ ‘‘เมถุนธโมฺม นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เมถุนธโมฺม นามาติ อิทํ นิทฺทิสิตพฺพสฺส เมถุนธมฺมสฺส อุเทฺทสปทํฯ อสทฺธโมฺมติ อสตํ นีจชนานํ ธโมฺมฯ คามธโมฺมติ คามวาสีนํ เสวนธโมฺมฯ วสลธโมฺมติ วสลานํ ธโมฺม; กิเลสวสฺสนโต วา สยเมว วสโล ธโมฺมติ วสลธโมฺมฯ ทุฎฺฐุลฺลนฺติ ทุฎฺฐุญฺจ กิเลเสหิ ทุฎฺฐตฺตา, ถูลญฺจ อนิปุณภาวโตติ ทุฎฺฐุลฺลํฯ อิโต ปฎฺฐาย จ ตีสุ ปเทสุ ‘‘โย โส’’ติ อิทํ ปริวเตฺตตฺวา ‘‘ยํ ต’’นฺติ กตฺวา โยเชตพฺพํ – ‘‘ยํ ตํ ทุฎฺฐุลฺลํ, ยํ ตํ โอทกนฺติกํ, ยํ ตํ รหสฺส’’นฺติฯ เอตฺถ จ ยสฺมา ตสฺส กมฺมสฺส ปริวารภูตํ ทสฺสนมฺปิ คหณมฺปิ อามสนมฺปิ ผุสนมฺปิ ฆฎฺฎนมฺปิ ทุฎฺฐุลฺลํ, ตสฺมาปิ ตํ กมฺมํ ทุฎฺฐุลฺลํฯ ยํ ตํ ทุฎฺฐุลฺลํ โส เมถุนธโมฺมฯ อุทกํ อสฺส อเนฺต สุทฺธตฺถํ อาทียตีติ อุทกนฺตํ, อุทกนฺตเมว โอทกนฺติกํ; ยํ ตํ โอทกนฺติกํ , โส เมถุนธโมฺมฯ รโห ปฎิจฺฉเนฺน โอกาเส กตฺตพฺพตาย รหสฺสํฯ ยํ ตํ รหสฺสํ, โส เมถุนธโมฺมติ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
55. Idāni ‘‘methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyā’’tiādīnaṃ atthadassanatthaṃ ‘‘methunadhammo nāmā’’tiādimāha. Tattha methunadhammo nāmāti idaṃ niddisitabbassa methunadhammassa uddesapadaṃ. Asaddhammoti asataṃ nīcajanānaṃ dhammo. Gāmadhammoti gāmavāsīnaṃ sevanadhammo. Vasaladhammoti vasalānaṃ dhammo; kilesavassanato vā sayameva vasalo dhammoti vasaladhammo. Duṭṭhullanti duṭṭhuñca kilesehi duṭṭhattā, thūlañca anipuṇabhāvatoti duṭṭhullaṃ. Ito paṭṭhāya ca tīsu padesu ‘‘yo so’’ti idaṃ parivattetvā ‘‘yaṃ ta’’nti katvā yojetabbaṃ – ‘‘yaṃ taṃ duṭṭhullaṃ, yaṃ taṃ odakantikaṃ, yaṃ taṃ rahassa’’nti. Ettha ca yasmā tassa kammassa parivārabhūtaṃ dassanampi gahaṇampi āmasanampi phusanampi ghaṭṭanampi duṭṭhullaṃ, tasmāpi taṃ kammaṃ duṭṭhullaṃ. Yaṃ taṃ duṭṭhullaṃ so methunadhammo. Udakaṃ assa ante suddhatthaṃ ādīyatīti udakantaṃ, udakantameva odakantikaṃ; yaṃ taṃ odakantikaṃ , so methunadhammo. Raho paṭicchanne okāse kattabbatāya rahassaṃ. Yaṃ taṃ rahassaṃ, so methunadhammoti evaṃ yojanā veditabbā.
ทฺวเยน ทฺวเยน สมาปชฺชิตพฺพโต ทฺวยํทฺวยสมาปตฺติฯ ตตฺถ โยชนา – ‘‘ยา สา ทฺวยํทฺวยสมาปตฺติ โส เมถุนธโมฺม นามา’’ติฯ อิธ ปน ตํ สพฺพํ เอกชฺฌํ นิคเมโนฺต อาห ‘‘เอโส เมถุนธโมฺม นามา’’ติฯ กิํ การณา วุจฺจติ เมถุนธโมฺมติ? อุภินฺนํ รตฺตานํ สารตฺตานํ อวสฺสุตานํ ปริยุฎฺฐิตานํ อุภินฺนํ สทิสานํ ธโมฺมติ, ตํ การณา วุจฺจติ เมถุนธโมฺมติฯ
Dvayena dvayena samāpajjitabbato dvayaṃdvayasamāpatti. Tattha yojanā – ‘‘yā sā dvayaṃdvayasamāpatti so methunadhammo nāmā’’ti. Idha pana taṃ sabbaṃ ekajjhaṃ nigamento āha ‘‘eso methunadhammo nāmā’’ti. Kiṃ kāraṇā vuccati methunadhammoti? Ubhinnaṃ rattānaṃ sārattānaṃ avassutānaṃ pariyuṭṭhitānaṃ ubhinnaṃ sadisānaṃ dhammoti, taṃ kāraṇā vuccati methunadhammoti.
ปฎิเสวติ นามาติ อิทํ ‘‘ปฎิเสเวยฺยา’’ติ เอตฺถ เยนากาเรน ปฎิเสเวยฺยาติ วุจฺจติ, ตสฺสาการสฺส ทสฺสนตฺถํ มาติกาปทํฯ โย นิเตฺตน นิมิตฺตนฺติอาทีสุ โย ภิกฺขุ อิตฺถิยา นิมิเตฺตน อตฺตโน นิมิตฺตํ, อิตฺถิยา องฺคชาเตน อตฺตโน องฺคชาตํ สพฺพนฺติเมน ปมาเณน เอกติลพีชมตฺตมฺปิ วาเตน อสมฺผุเฎฺฐ อโลฺลกาเส ปเวเสติ, เอโส ปฎิเสวติ นาม; เอตฺตเกน สีลเภทํ ปาปุณาติ, ปาราชิโก โหติฯ
Paṭisevati nāmāti idaṃ ‘‘paṭiseveyyā’’ti ettha yenākārena paṭiseveyyāti vuccati, tassākārassa dassanatthaṃ mātikāpadaṃ. Yo nittena nimittantiādīsu yo bhikkhu itthiyā nimittena attano nimittaṃ, itthiyā aṅgajātena attano aṅgajātaṃ sabbantimena pamāṇena ekatilabījamattampi vātena asamphuṭṭhe allokāse paveseti, eso paṭisevati nāma; ettakena sīlabhedaṃ pāpuṇāti, pārājiko hoti.
เอตฺถ จ อิตฺถินิมิเตฺต จตฺตาริ ปสฺสานิ, เวมชฺฌญฺจาติ ปญฺจ ฐานานิ ลพฺภนฺติฯ ปุริสนิมิเตฺต จตฺตาริ ปสฺสานิ, มชฺฌํ, อุปริจาติ ฉฯ ตสฺมา อิตฺถินิมิเตฺต เหฎฺฐา ปเวเสโนฺตปิ ปาราชิโก โหติฯ อุปริโต ปเวเสโนฺตปิ, อุโภหิ ปเสฺสหิ ปเวเสโนฺตปิ จตฺตาริ ฐานานิ มุญฺจิตฺวา มเชฺฌน ปเวเสโนฺตปิ ปาราชิโก โหติฯ ปุริสนิมิตฺตํ ปน เหฎฺฐาภาเคน ฉุปนฺตํ ปเวเสโนฺตปิ ปาราชิโก โหติฯ อุปริภาเคน ฉุปนฺตํ ปเวเสโนฺตปิ, อุโภหิ ปเสฺสหิ ฉุปนฺตํ ปเวเสโนฺตปิ, มเชฺฌเนว ฉุปนฺตํ ปเวเสโนฺตปิ สมญฺฉิตงฺคุลิํ วิย มชฺฌิมปพฺพปิฎฺฐิยา สโงฺกเจตฺวา อุปริภาเคน ฉุปนฺตํ ปเวเสโนฺตปิ ปาราชิโก โหติฯ ตตฺถ ตุลาทณฺฑสทิสํ ปเวเสนฺตสฺสาปิ จตฺตาริ ปสฺสานิ, มชฺฌญฺจาติ ปญฺจ ฐานานิ; สโงฺกเจตฺวา ปเวเสนฺตสฺสาปิ จตฺตาริ ปสฺสานิ, อุปริภาคมชฺฌญฺจาติ ปญฺจ ฐานานิ – เอวํ สพฺพานิปิ ปุริสนิมิเตฺต ทส ฐานานิ โหนฺติฯ
Ettha ca itthinimitte cattāri passāni, vemajjhañcāti pañca ṭhānāni labbhanti. Purisanimitte cattāri passāni, majjhaṃ, uparicāti cha. Tasmā itthinimitte heṭṭhā pavesentopi pārājiko hoti. Uparito pavesentopi, ubhohi passehi pavesentopi cattāri ṭhānāni muñcitvā majjhena pavesentopi pārājiko hoti. Purisanimittaṃ pana heṭṭhābhāgena chupantaṃ pavesentopi pārājiko hoti. Uparibhāgena chupantaṃ pavesentopi, ubhohi passehi chupantaṃ pavesentopi, majjheneva chupantaṃ pavesentopi samañchitaṅguliṃ viya majjhimapabbapiṭṭhiyā saṅkocetvā uparibhāgena chupantaṃ pavesentopi pārājiko hoti. Tattha tulādaṇḍasadisaṃ pavesentassāpi cattāri passāni, majjhañcāti pañca ṭhānāni; saṅkocetvā pavesentassāpi cattāri passāni, uparibhāgamajjhañcāti pañca ṭhānāni – evaṃ sabbānipi purisanimitte dasa ṭhānāni honti.
นิมิเตฺต ชาตํ อนฎฺฐกายปฺปสาทํ จมฺมขีลํ วา ปิฬกํ วา ปเวเสติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสฯ นฎฺฐกายปฺปสาทํ มตจมฺมํ วา สุกฺขปิฬกํ วา ปเวเสติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ เมถุนสฺสาเทน โลมํ วา องฺคุลิ-องฺคุฎฺฐพีชาทีนิ วา ปเวเสนฺตสฺสาปิ ทุกฺกฎเมวฯ อยญฺจ เมถุนกถา นาม ยสฺมา ทุฎฺฐุลฺลา กถา อสพฺภิกถา, ตสฺมา เอตํ วา อญฺญํ วา วินเย อีทิสํ ฐานํ กเถเนฺตน ปฎิกฺกูลมนสิการญฺจ สมณสญฺญญฺจ หิโรตฺตปฺปญฺจ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา สมฺมาสมฺพุเทฺธ คารวํ อุปฺปาเทตฺวา อสมการุณิกสฺส โลกนาถสฺส กรุณาคุณํ อาวเชฺชตฺวา กเถตพฺพํฯ โส หิ นาม ภควา สพฺพโส กาเมหิ วินิวตฺตมานโสปิ สตฺตานุทฺทยาย โลกานุกมฺปาย สเตฺตสุ การุญฺญตํ ปฎิจฺจ สิกฺขาปทปญฺญาปนตฺถาย อีทิสํ กถํ กเถสิฯ ‘‘อโห สตฺถุ กรุณาคุโณ’’ติ เอวํ โลกนาถสฺส กรุณาคุณํ อาวเชฺชตฺวา กเถตพฺพํฯ
Nimitte jātaṃ anaṭṭhakāyappasādaṃ cammakhīlaṃ vā piḷakaṃ vā paveseti, āpatti pārājikassa. Naṭṭhakāyappasādaṃ matacammaṃ vā sukkhapiḷakaṃ vā paveseti, āpatti dukkaṭassa. Methunassādena lomaṃ vā aṅguli-aṅguṭṭhabījādīni vā pavesentassāpi dukkaṭameva. Ayañca methunakathā nāma yasmā duṭṭhullā kathā asabbhikathā, tasmā etaṃ vā aññaṃ vā vinaye īdisaṃ ṭhānaṃ kathentena paṭikkūlamanasikārañca samaṇasaññañca hirottappañca paccupaṭṭhapetvā sammāsambuddhe gāravaṃ uppādetvā asamakāruṇikassa lokanāthassa karuṇāguṇaṃ āvajjetvā kathetabbaṃ. So hi nāma bhagavā sabbaso kāmehi vinivattamānasopi sattānuddayāya lokānukampāya sattesu kāruññataṃ paṭicca sikkhāpadapaññāpanatthāya īdisaṃ kathaṃ kathesi. ‘‘Aho satthu karuṇāguṇo’’ti evaṃ lokanāthassa karuṇāguṇaṃ āvajjetvā kathetabbaṃ.
อปิจ ยทิ ภควา สพฺพากาเรน อีทิสํ กถํ น กเถยฺย, โก ชาเนยฺย ‘‘เอตฺตเกสุ
Apica yadi bhagavā sabbākārena īdisaṃ kathaṃ na katheyya, ko jāneyya ‘‘ettakesu
ฐาเนสุ ปาราชิกํ, เอตฺตเกสุ ถุลฺลจฺจยํ, เอตฺตเกสุ ทุกฺกฎ’’นฺติฯ ตสฺมา สุณเนฺตนปิ กเถเนฺตนปิ พีชเกน มุขํ อปิธาย ทนฺตวิทํสกํ หสมาเนน น นิสีทิตพฺพํฯ ‘‘สมฺมาสมฺพุเทฺธนาปิ อีทิสํ กถิต’’นฺติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา คพฺภิเตน หิโรตฺตปฺปสมฺปเนฺนน สตฺถุปฎิภาเคน หุตฺวา กเถตพฺพนฺติฯ
Ṭhānesu pārājikaṃ, ettakesu thullaccayaṃ, ettakesu dukkaṭa’’nti. Tasmā suṇantenapi kathentenapi bījakena mukhaṃ apidhāya dantavidaṃsakaṃ hasamānena na nisīditabbaṃ. ‘‘Sammāsambuddhenāpi īdisaṃ kathita’’nti paccavekkhitvā gabbhitena hirottappasampannena satthupaṭibhāgena hutvā kathetabbanti.
มูลปญฺญตฺตํ นิฎฺฐิตํฯ
Mūlapaññattaṃ niṭṭhitaṃ.
อนุปญฺญตฺติวาเร – อนฺตมโสติ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทนฯ ติรจฺฉานคตายปีติ ปฎิสนฺธิวเสน ติรจฺฉาเนสุ คตายปิฯ ปเคว มนุสฺสิตฺถิยาติ ปฐมตรํ มนุสฺสชาติกาย อิตฺถิยาฯ ปาราชิกวตฺถุภูตา เอว เจตฺถ ติรจฺฉานคติตฺถี ติรจฺฉานคตาติ คเหตพฺพา, น สพฺพาฯ ตตฺรายํ ปริเจฺฉโท –
Anupaññattivāre – antamasoti sabbantimena paricchedena. Tiracchānagatāyapīti paṭisandhivasena tiracchānesu gatāyapi. Pageva manussitthiyāti paṭhamataraṃ manussajātikāya itthiyā. Pārājikavatthubhūtā eva cettha tiracchānagatitthī tiracchānagatāti gahetabbā, na sabbā. Tatrāyaṃ paricchedo –
อปทานํ อหิ มจฺฉา, ทฺวิปทานญฺจ กุกฺกุฎี;
Apadānaṃ ahi macchā, dvipadānañca kukkuṭī;
จตุปฺปทานํ มชฺชารี, วตฺถุ ปาราชิกสฺสิมาติฯ
Catuppadānaṃ majjārī, vatthu pārājikassimāti.
ตตฺถ อหิคฺคหเณน สพฺพาปิ อชครโคนสาทิเภทา ทีฆชาติ สงฺคหิตาฯ ตสฺมา ทีฆชาตีสุ ยตฺถ ติณฺณํ มคฺคานํ อญฺญตรสฺมิํ สกฺกา ติลผลมตฺตมฺปิ ปเวเสตุํ, สา ปาราชิกวตฺถุฯ อวเสสา ทุกฺกฎวตฺถูติ เวทิตพฺพาฯ มจฺฉคฺคหเณน สพฺพาปิ มจฺฉกจฺฉปมณฺฑูกาทิเภทา โอทกชาติ สงฺคหิตาฯ ตตฺราปิ ทีฆชาติยํ วุตฺตนเยเนว ปาราชิกวตฺถุ จ ทุกฺกฎวตฺถุ จ เวทิตพฺพํฯ อยํ ปน วิเสโส – ปตงฺคมุขมณฺฑูกา นาม โหนฺติ เตสํ มุขสณฺฐานํ มหนฺตํ, ฉิทฺทํ อปฺปกํ, ตตฺถ ปเวสนํ นปฺปโหติ; มุขสณฺฐานํ ปน วณสเงฺขปํ คจฺฉติ, ตสฺมา ตํ ถุลฺลจฺจยวตฺถูติ เวทิตพฺพํฯ กุกฺกุฎิคฺคหเณน สพฺพาปิ กากกโปตาทิเภทา ปกฺขิชาติ สงฺคหิตาฯ ตตฺราปิ วุตฺตนเยเนว ปาราชิกวตฺถุ จ ทุกฺกฎวตฺถุ จ เวทิตพฺพํฯ มชฺชาริคฺคหเณน สพฺพาปิ รุกฺขสุนข-มุงฺคุส-โคธาทิเภทา จตุปฺปทชาติ สงฺคหิตาฯ ตตฺราปิ วุตฺตนเยเนว ปาราชิกวตฺถุ จ ทุกฺกฎวตฺถุ จ เวทิตพฺพํฯ
Tattha ahiggahaṇena sabbāpi ajagaragonasādibhedā dīghajāti saṅgahitā. Tasmā dīghajātīsu yattha tiṇṇaṃ maggānaṃ aññatarasmiṃ sakkā tilaphalamattampi pavesetuṃ, sā pārājikavatthu. Avasesā dukkaṭavatthūti veditabbā. Macchaggahaṇena sabbāpi macchakacchapamaṇḍūkādibhedā odakajāti saṅgahitā. Tatrāpi dīghajātiyaṃ vuttanayeneva pārājikavatthu ca dukkaṭavatthu ca veditabbaṃ. Ayaṃ pana viseso – pataṅgamukhamaṇḍūkā nāma honti tesaṃ mukhasaṇṭhānaṃ mahantaṃ, chiddaṃ appakaṃ, tattha pavesanaṃ nappahoti; mukhasaṇṭhānaṃ pana vaṇasaṅkhepaṃ gacchati, tasmā taṃ thullaccayavatthūti veditabbaṃ. Kukkuṭiggahaṇena sabbāpi kākakapotādibhedā pakkhijāti saṅgahitā. Tatrāpi vuttanayeneva pārājikavatthu ca dukkaṭavatthu ca veditabbaṃ. Majjāriggahaṇena sabbāpi rukkhasunakha-muṅgusa-godhādibhedā catuppadajāti saṅgahitā. Tatrāpi vuttanayeneva pārājikavatthu ca dukkaṭavatthu ca veditabbaṃ.
ปาราชิโกติ ปราชิโต, ปราชยํ อาปโนฺนฯ อยญฺหิ ปาราชิกสโทฺท สิกฺขาปทาปตฺติปุคฺคเลสุ วตฺตติฯ ตตฺถ ‘‘อฎฺฐานเมตํ, อานนฺท, อนวกาโส ยํ ตถาคโต วชฺชีนํ วา วชฺชิปุตฺตกานํ วา การณา สาวกานํ ปาราชิกํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ สมูหเนยฺยา’’ติ (ปารา. ๔๓) เอวํ สิกฺขาปเท วตฺตมาโน เวทิตโพฺพฯ ‘‘อาปตฺติํ ตฺวํ, ภิกฺขุ, อาปโนฺน ปาราชิก’’นฺติ (ปารา. ๖๗) เอวํ อาปตฺติยํฯ ‘‘น มยํ ปาราชิกา, โย อวหโฎ โส ปาราชิโก’’ติ (ปารา. ๑๕๕) เอวํ ปุคฺคเล วตฺตมาโน เวทิตโพฺพฯ ‘‘ปาราชิเกน ธเมฺมน อนุทฺธํเสยฺยา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๓๘๔) ปน ธเมฺม วตฺตตีติ วทนฺติฯ ยสฺมา ปน ตตฺถ ธโมฺมติ กตฺถจิ อาปตฺติ , กตฺถจิ สิกฺขาปทเมว อธิเปฺปตํ, ตสฺมา โส วิสุํ น วตฺตโพฺพฯ ตตฺถ สิกฺขาปทํ โย ตํ อติกฺกมติ, ตํ ปราเชติ, ตสฺมา ‘‘ปาราชิก’’นฺติ วุจฺจติฯ อาปตฺติ ปน โย นํ อชฺฌาปชฺชติ, ตํ ปราเชติ, ตสฺมา ‘‘ปาราชิกา’’ติ วุจฺจติฯ ปุคฺคโล ยสฺมา ปราชิโต ปราชยมาปโนฺน, ตสฺมา ‘‘ปาราชิโก’’ติ วุจฺจติฯ เอตเมว หิ อตฺถํ สนฺธาย ปริวาเรปิ –
Pārājikoti parājito, parājayaṃ āpanno. Ayañhi pārājikasaddo sikkhāpadāpattipuggalesu vattati. Tattha ‘‘aṭṭhānametaṃ, ānanda, anavakāso yaṃ tathāgato vajjīnaṃ vā vajjiputtakānaṃ vā kāraṇā sāvakānaṃ pārājikaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ samūhaneyyā’’ti (pārā. 43) evaṃ sikkhāpade vattamāno veditabbo. ‘‘Āpattiṃ tvaṃ, bhikkhu, āpanno pārājika’’nti (pārā. 67) evaṃ āpattiyaṃ. ‘‘Na mayaṃ pārājikā, yo avahaṭo so pārājiko’’ti (pārā. 155) evaṃ puggale vattamāno veditabbo. ‘‘Pārājikena dhammena anuddhaṃseyyā’’tiādīsu (pārā. 384) pana dhamme vattatīti vadanti. Yasmā pana tattha dhammoti katthaci āpatti , katthaci sikkhāpadameva adhippetaṃ, tasmā so visuṃ na vattabbo. Tattha sikkhāpadaṃ yo taṃ atikkamati, taṃ parājeti, tasmā ‘‘pārājika’’nti vuccati. Āpatti pana yo naṃ ajjhāpajjati, taṃ parājeti, tasmā ‘‘pārājikā’’ti vuccati. Puggalo yasmā parājito parājayamāpanno, tasmā ‘‘pārājiko’’ti vuccati. Etameva hi atthaṃ sandhāya parivārepi –
‘‘ปาราชิกนฺติ ยํ วุตฺตํ, ตํ สุโณหิ ยถาตถํ;
‘‘Pārājikanti yaṃ vuttaṃ, taṃ suṇohi yathātathaṃ;
จุโต ปรโทฺธ ภโฎฺฐ จ, สทฺธมฺมา หิ นิรงฺกโต;
Cuto paraddho bhaṭṭho ca, saddhammā hi niraṅkato;
สํวาโสปิ ตหิํ นตฺถิ, เตเนตํ อิติ วุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ (ปริ. ๓๓๙);
Saṃvāsopi tahiṃ natthi, tenetaṃ iti vuccatī’’ti vuttaṃ. (pari. 339);
อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – ‘‘ตํ สิกฺขาปทํ วีติกฺกมโนฺต อาปตฺติญฺจ อาปโนฺน ปุคฺคโล จุโต โหตีติ สพฺพํ โยเชตพฺพํฯ เตน วุจฺจตีติ เยน การเณน อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย ปริภโฎฺฐ ฉิโนฺน ปราชิโต สาสนโต, เตน วุจฺจติฯ กินฺติ? ‘‘ปาราชิโก โหตี’’ติฯ
Ayañhettha attho – ‘‘taṃ sikkhāpadaṃ vītikkamanto āpattiñca āpanno puggalo cuto hotīti sabbaṃ yojetabbaṃ. Tena vuccatīti yena kāraṇena assamaṇo hoti asakyaputtiyo paribhaṭṭho chinno parājito sāsanato, tena vuccati. Kinti? ‘‘Pārājiko hotī’’ti.
สห วสนฺติ เอตฺถาติ สํวาโส, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สํวาโส นามา’’ติ วตฺวา ‘‘เอกกมฺม’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ สทฺธิํ โยชนาย วณฺณนา – จตุพฺพิธมฺปิ สงฺฆกมฺมํ สีมาปริจฺฉิเนฺนหิ ปกตเตฺตหิ ภิกฺขูหิ เอกโต กตฺตพฺพตฺตา เอกกมฺมํ นามฯ ตถา ปญฺจวิโธปิ ปาติโมกฺขุเทฺทโส เอกโต อุทฺทิสิตพฺพตฺตา เอกุเทฺทโส นามฯ ปญฺญตฺตํ ปน สิกฺขาปทํ สเพฺพหิปิ ลชฺชีปุคฺคเลหิ สมํ สิกฺขิตพฺพภาวโต สมสิกฺขตา นามฯ เอตฺถ ยสฺมา สเพฺพปิ ลชฺชิโน เอเตสุ กมฺมาทีสุ สห วสนฺติ, น เอโกปิ ตโต พหิทฺธา สนฺทิสฺสติ, ตสฺมา ตานิ สพฺพานิปิ คเหตฺวา ‘‘เอโส สํวาโส นามา’’ติ อาหฯ โส จ วุตฺตปฺปกาโร สํวาโส เตน ปุคฺคเลน สทฺธิํ นตฺถิ, เตน การเณน โส ปาราชิโก ปุคฺคโล อสํวาโสติ วุจฺจตีติฯ
Saha vasanti etthāti saṃvāso, taṃ dassetuṃ ‘‘saṃvāso nāmā’’ti vatvā ‘‘ekakamma’’ntiādimāha. Tatrāyaṃ saddhiṃ yojanāya vaṇṇanā – catubbidhampi saṅghakammaṃ sīmāparicchinnehi pakatattehi bhikkhūhi ekato kattabbattā ekakammaṃ nāma. Tathā pañcavidhopi pātimokkhuddeso ekato uddisitabbattā ekuddeso nāma. Paññattaṃ pana sikkhāpadaṃ sabbehipi lajjīpuggalehi samaṃ sikkhitabbabhāvato samasikkhatā nāma. Ettha yasmā sabbepi lajjino etesu kammādīsu saha vasanti, na ekopi tato bahiddhā sandissati, tasmā tāni sabbānipi gahetvā ‘‘eso saṃvāso nāmā’’ti āha. So ca vuttappakāro saṃvāso tena puggalena saddhiṃ natthi, tena kāraṇena so pārājiko puggalo asaṃvāsoti vuccatīti.
๕๖. เอวํ อุทฺทิฎฺฐสิกฺขาปทํ ปทานุกฺกเมน วิภชิตฺวา อิทานิ ยํ ตํ ‘‘ปฎิเสเวยฺยา’’ติ เอตฺถ เยนากาเรน ปฎิเสเวยฺยาติ วุจฺจติ, ตสฺสาการสฺส ทสฺสนตฺถํ ‘‘ปฎิเสวติ นามา’’ติ อิทํ มาติกาปทํ ฐเปตฺวา ‘‘นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ องฺคชาเตน องฺคชาต’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยสฺมา น เกวลํ อิตฺถิยา เอว นิมิตฺตํ ปาราชิกวตฺถุ, น จ มนุสฺสิตฺถิยา เอว, สุวณฺณรชตาทิมยานญฺจ อิตฺถีนมฺปิ นิมิตฺตํ วตฺถุเมว น โหติ; ตสฺมา ยํ ยํ วตฺถุ โหติ, ตํ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ติโสฺส อิตฺถิโย’’ติอาทินา นเยน เยสํ นิมิตฺตานิ วตฺถูนิ โหนฺติ, เต สเตฺต วตฺวา ‘‘มนุสฺสิตฺถิยา ตโย มเคฺค’’ติอาทินา นเยน ตานิ วตฺถูนิ อาหฯ
56. Evaṃ uddiṭṭhasikkhāpadaṃ padānukkamena vibhajitvā idāni yaṃ taṃ ‘‘paṭiseveyyā’’ti ettha yenākārena paṭiseveyyāti vuccati, tassākārassa dassanatthaṃ ‘‘paṭisevati nāmā’’ti idaṃ mātikāpadaṃ ṭhapetvā ‘‘nimittena nimittaṃ aṅgajātena aṅgajāta’’nti vuttaṃ. Tattha yasmā na kevalaṃ itthiyā eva nimittaṃ pārājikavatthu, na ca manussitthiyā eva, suvaṇṇarajatādimayānañca itthīnampi nimittaṃ vatthumeva na hoti; tasmā yaṃ yaṃ vatthu hoti, taṃ taṃ dassetuṃ ‘‘tisso itthiyo’’tiādinā nayena yesaṃ nimittāni vatthūni honti, te satte vatvā ‘‘manussitthiyā tayo magge’’tiādinā nayena tāni vatthūni āha.
ตตฺถ ติโสฺส อิตฺถิโย, ตโย อุภโตพฺยญฺชนกา, ตโย ปณฺฑกา, ตโย ปุริสาติ ปาราชิกวตฺถูนํ นิมิตฺตานํ นิสฺสยา ทฺวาทส สตฺตา โหนฺติฯ เตสุ อิตฺถิปุริสา ปากฎา เอว ฯ ปณฺฑกอุภโตพฺยญฺชนกเภโท ปพฺพชฺชาขนฺธกวณฺณนายํ ปากโฎ ภวิสฺสติฯ
Tattha tisso itthiyo, tayo ubhatobyañjanakā, tayo paṇḍakā, tayo purisāti pārājikavatthūnaṃ nimittānaṃ nissayā dvādasa sattā honti. Tesu itthipurisā pākaṭā eva . Paṇḍakaubhatobyañjanakabhedo pabbajjākhandhakavaṇṇanāyaṃ pākaṭo bhavissati.
มนุสฺสิตฺถิยา ตโย มเคฺค เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวนฺตสฺสาติ เอตฺถ จ มนุสฺสิตฺถิยา ตีสุ มเคฺคสูติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอวํ สพฺพตฺถฯ สเพฺพ เอว เจเต มนุสฺสิตฺถิยา ตโย มคฺคา, อมนุสฺสิตฺถิยา ตโย, ติรจฺฉานคติตฺถิยา ตโยติ นว; มนุสฺสอุภโตพฺยญฺชนกาทีนํ นว; มนุสฺสปณฺฑกาทีนํ เทฺว เทฺว กตฺวา ฉ; ตถา มนุสฺสปุริสาทีนนฺติ สมติํส มคฺคา โหนฺติฯ เอเตสุ นิมิตฺตสงฺขาเตสุ ยตฺถ กตฺถจิ อตฺตโน องฺคชาตํ ติลผลมตฺตมฺปิ ปเวเสตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวโนฺต ปาราชิกํ อาปชฺชติฯ
Manussitthiyā tayo magge methunaṃ dhammaṃ paṭisevantassāti ettha ca manussitthiyā tīsu maggesūti attho veditabbo. Evaṃ sabbattha. Sabbe eva cete manussitthiyā tayo maggā, amanussitthiyā tayo, tiracchānagatitthiyā tayoti nava; manussaubhatobyañjanakādīnaṃ nava; manussapaṇḍakādīnaṃ dve dve katvā cha; tathā manussapurisādīnanti samatiṃsa maggā honti. Etesu nimittasaṅkhātesu yattha katthaci attano aṅgajātaṃ tilaphalamattampi pavesetvā methunaṃ dhammaṃ paṭisevanto pārājikaṃ āpajjati.
ปฐมจตุกฺกกถาวณฺณนา
Paṭhamacatukkakathāvaṇṇanā
๕๗. อาปชฺชโนฺต ปน ยสฺมา เสวนจิเตฺตเนว อาปชฺชติ, น วินา เตน; ตสฺมา ตํ ลกฺขณํ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘ภิกฺขุสฺส เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐิเต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ภิกฺขุสฺสาติ เมถุนเสวนกสฺส ภิกฺขุสฺสฯ เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐิเตติ ภุมฺมเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํ, เสวนจิเตฺต ปจฺจุปฎฺฐิเตติ อโตฺถฯ วจฺจมคฺคํ องฺคชาตํ ปเวเสนฺตสฺสาติ เยน มเคฺคน วจฺจํ นิกฺขมติ ตํ มคฺคํ อตฺตโน องฺคชาตํ ปุริสนิมิตฺตํ ติลผลมตฺตมฺปิ ปเวเสนฺตสฺสฯ อาปตฺติ ปาราชิกสฺสาติ อาปตฺติ ปาราชิกา อสฺส โหตีติ อโตฺถฯ อถ วา อาปตฺตีติ อาปชฺชนํ โหติฯ ปาราชิกสฺสาติ ปาราชิกธมฺมสฺสฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
57. Āpajjanto pana yasmā sevanacitteneva āpajjati, na vinā tena; tasmā taṃ lakkhaṇaṃ dassento bhagavā ‘‘bhikkhussa sevanacittaṃ upaṭṭhite’’tiādimāha. Tattha bhikkhussāti methunasevanakassa bhikkhussa. Sevanacittaṃ upaṭṭhiteti bhummatthe paccattavacanaṃ, sevanacitte paccupaṭṭhiteti attho. Vaccamaggaṃ aṅgajātaṃ pavesentassāti yena maggena vaccaṃ nikkhamati taṃ maggaṃ attano aṅgajātaṃ purisanimittaṃ tilaphalamattampi pavesentassa. Āpatti pārājikassāti āpatti pārājikā assa hotīti attho. Atha vā āpattīti āpajjanaṃ hoti. Pārājikassāti pārājikadhammassa. Esa nayo sabbattha.
๕๘. เอวํ เสวนจิเตฺตเนว ปเวเสนฺตสฺส อาปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺมา ตํ ปเวสนํ นาม น เกวลํ อตฺตูปกฺกเมเนว, ปรูปกฺกเมนาปิ โหติ ฯ ตตฺราปิ จ สาทิยนฺตเสฺสว อาปตฺติ ปฎิเสวนจิตฺตสมงฺคิสฺส, น อิตรสฺสฯ ตสฺมา เย สทฺธาปพฺพชิตา กุลปุตฺตา สมฺมาปฎิปนฺนกา ปรูปกฺกเมน ปเวสเนปิ สติ น สาทิยนฺติ, เตสํ รกฺขณตฺถํ ‘‘ภิกฺขุปจฺจตฺถิกา มนุสฺสิตฺถิ’’นฺติอาทิมาหฯ
58. Evaṃ sevanacitteneva pavesentassa āpattiṃ dassetvā idāni yasmā taṃ pavesanaṃ nāma na kevalaṃ attūpakkameneva, parūpakkamenāpi hoti . Tatrāpi ca sādiyantasseva āpatti paṭisevanacittasamaṅgissa, na itarassa. Tasmā ye saddhāpabbajitā kulaputtā sammāpaṭipannakā parūpakkamena pavesanepi sati na sādiyanti, tesaṃ rakkhaṇatthaṃ ‘‘bhikkhupaccatthikā manussitthi’’ntiādimāha.
ตตฺถ ปฎิปกฺขํ อตฺถยนฺติ อิจฺฉนฺตีติ ปจฺจตฺถิกา, ภิกฺขู เอว ปจฺจตฺถิกา ภิกฺขุปจฺจตฺถิกา; วิสภาคานํ เวริภิกฺขูนเมตํ อธิวจนํฯ มนุสฺสิตฺถิํ ภิกฺขุสฺส สนฺติเก อาเนตฺวาติ อิสฺสาปกตา ตํ ภิกฺขุํ นาเสตุกามา อามิเสน วา อุปลาเปตฺวา มิตฺตสนฺถววเสน วา ‘‘อิทํ อมฺหากํ กิจฺจํ กโรหี’’ติ วตฺวา กญฺจิ มนุสฺสิตฺถิํ รตฺติภาเค ตสฺส ภิกฺขุสฺส วสโนกาสํ อาเนตฺวาฯ วจฺจมเคฺคน องฺคชาตํ อภินิสีเทนฺตีติ ตํ ภิกฺขุํ หตฺถปาทสีสาทีสุ สุคฺคหิตํ นิปฺปริปฺผนฺทํ คเหตฺวา อิตฺถิยา วจฺจมเคฺคน ตสฺส ภิกฺขุโน องฺคชาตํ อภินิสีเทนฺติ; สมฺปโยเชนฺตีติ อโตฺถฯ
Tattha paṭipakkhaṃ atthayanti icchantīti paccatthikā, bhikkhū eva paccatthikā bhikkhupaccatthikā; visabhāgānaṃ veribhikkhūnametaṃ adhivacanaṃ. Manussitthiṃ bhikkhussa santike ānetvāti issāpakatā taṃ bhikkhuṃ nāsetukāmā āmisena vā upalāpetvā mittasanthavavasena vā ‘‘idaṃ amhākaṃ kiccaṃ karohī’’ti vatvā kañci manussitthiṃ rattibhāge tassa bhikkhussa vasanokāsaṃ ānetvā. Vaccamaggena aṅgajātaṃ abhinisīdentīti taṃ bhikkhuṃ hatthapādasīsādīsu suggahitaṃ nipparipphandaṃ gahetvā itthiyā vaccamaggena tassa bhikkhuno aṅgajātaṃ abhinisīdenti; sampayojentīti attho.
โส เจติอาทีสุ โส เจ ภิกฺขุ วจฺจมคฺคพฺภนฺตรํ อตฺตโน องฺคชาตสฺส ปเวสนํ สาทิยติ อธิวาเสติ ตสฺมิํ ขเณ เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติฯ ปวิฎฺฐํ สาทิยติ อธิวาเสติ, ปวิฎฺฐกาเล เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติฯ ฐิตํ สาทิยติ อธิวาเสติ, ฐานปฺปตฺตกาเล สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสมเย เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติฯ อุทฺธรณํ สาทิยติ อธิวาเสติ, นีหรณกาเล ปฎิเสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติฯ เอวํ จตูสุ ฐาเนสุ สาทิยโนฺต ‘‘มม เวริสมเณหิ อิทํ กต’’นฺติ วตฺตุํ น ลภติ, ปาราชิกาปตฺติเมว อาปชฺชติฯ ยถา จ อิมานิ จตฺตาริ สาทิยโนฺต อาปชฺชติ; เอวํ ปุริมํ เอกํ อสาทิยิตฺวา ตีณิ สาทิยโนฺตปิ, เทฺว อสาทิยิตฺวา เทฺว สาทิยโนฺตปิ, ตีณิ อสาทิยิตฺวา เอกํ สาทิยโนฺตปิ อาปชฺชติเยวฯ สพฺพโส ปน อสาทิยโนฺต อาสีวิสมุขํ วิย องฺคารกาสุํ วิย จ ปวิฎฺฐํ องฺคชาตํ มญฺญมาโน นาปชฺชติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปเวสนํ น สาทิยติ…เป.… อุทฺธรณํ น สาทิยติ, อนาปตฺตี’’ติฯ อิมญฺหิ เอวรูปํ อารทฺธวิปสฺสกํ กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขํ เอกาทสหิ อคฺคีหิ สมฺปชฺชลิตานิ จ สพฺพายตนานิ อุกฺขิตฺตาสิเก วิย จ วธเก ปญฺจ กามคุเณ ปสฺสนฺตํ ปุคฺคลํ รกฺขโนฺต ภควา ปจฺจตฺถิกานญฺจสฺส มโนรถวิฆาตํ กโรโนฺต อิมํ ‘‘ปเวสนํ น สาทิยตี’’ติอาทิกํ จตุกฺกํ นีหริตฺวา ฐเปสีติฯ
So cetiādīsu so ce bhikkhu vaccamaggabbhantaraṃ attano aṅgajātassa pavesanaṃ sādiyati adhivāseti tasmiṃ khaṇe sevanacittaṃ upaṭṭhāpeti. Paviṭṭhaṃ sādiyati adhivāseti, paviṭṭhakāle sevanacittaṃ upaṭṭhāpeti. Ṭhitaṃ sādiyati adhivāseti, ṭhānappattakāle sukkavissaṭṭhisamaye sevanacittaṃ upaṭṭhāpeti. Uddharaṇaṃ sādiyati adhivāseti, nīharaṇakāle paṭisevanacittaṃ upaṭṭhāpeti. Evaṃ catūsu ṭhānesu sādiyanto ‘‘mama verisamaṇehi idaṃ kata’’nti vattuṃ na labhati, pārājikāpattimeva āpajjati. Yathā ca imāni cattāri sādiyanto āpajjati; evaṃ purimaṃ ekaṃ asādiyitvā tīṇi sādiyantopi, dve asādiyitvā dve sādiyantopi, tīṇi asādiyitvā ekaṃ sādiyantopi āpajjatiyeva. Sabbaso pana asādiyanto āsīvisamukhaṃ viya aṅgārakāsuṃ viya ca paviṭṭhaṃ aṅgajātaṃ maññamāno nāpajjati. Tena vuttaṃ – ‘‘pavesanaṃ na sādiyati…pe… uddharaṇaṃ na sādiyati, anāpattī’’ti. Imañhi evarūpaṃ āraddhavipassakaṃ kāye ca jīvite ca anapekkhaṃ ekādasahi aggīhi sampajjalitāni ca sabbāyatanāni ukkhittāsike viya ca vadhake pañca kāmaguṇe passantaṃ puggalaṃ rakkhanto bhagavā paccatthikānañcassa manorathavighātaṃ karonto imaṃ ‘‘pavesanaṃ na sādiyatī’’tiādikaṃ catukkaṃ nīharitvā ṭhapesīti.
ปฐมจตุกฺกกถา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamacatukkakathā niṭṭhitā.
เอกูนสตฺตติทฺวิสตจตุกฺกกถา
Ekūnasattatidvisatacatukkakathā
๕๙-๖๐. เอวํ ปฐมจตุกฺกํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺมา ภิกฺขุปจฺจตฺถิกา อิตฺถิํ อาเนตฺวา น เกวลํ วจฺจมเคฺคเนว อภินิสีเทนฺติ, อถ โข ปสฺสาวมเคฺคนปิ มุเขนปิฯ อิตฺถิํ อาเนตฺวาปิ จ เกจิ ชาครนฺติํ อาเนนฺติ, เกจิ สุตฺตํ, เกจิ มตฺตํ, เกจิ อุมฺมตฺตํ, เกจิ ปมตฺตํ อญฺญวิหิตํ วิกฺขิตฺตจิตฺตนฺติ อโตฺถฯ เกจิ มตํ อกฺขายิตํ, โสณสิงฺคาลาทีหิ อกฺขายิตนิมิตฺตนฺติ อโตฺถฯ เกจิ มตํ เยภุเยฺยน อกฺขายิตํ, เยภุเยฺยน อกฺขายิตา นาม ยสฺสา นิมิเตฺต วจฺจมเคฺค ปสฺสาวมเคฺค มุเข วา พหุตโร โอกาโส อกฺขายิโต โหติฯ เกจิ มตํ เยภุเยฺยน ขายิตํ, เยภุเยฺยน ขายิตา นาม ยสฺสา วจฺจมคฺคาทิเก นิมิเตฺต พหุํ ขายิตํ โหติ, อปฺปํ อกฺขายิตํฯ น เกวลญฺจ มนุสฺสิตฺถิเมว อาเนนฺติ, อถ โข อมนุสฺสิตฺถิมฺปิ ติรจฺฉานคติตฺถิมฺปิฯ น เกวลญฺจ วุตฺตปฺปการํ อิตฺถิเมว, อุภโตพฺยญฺชนกมฺปิ ปณฺฑกมฺปิ ปุริสมฺปิ อาเนนฺติฯ ตสฺมา เตสํ วเสน อญฺญานิปิ จตุกฺกานิ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภิกฺขุปจฺจตฺถิกา มนุสฺสิตฺถิํ ชาครนฺติ’’นฺติอาทิมาหฯ
59-60. Evaṃ paṭhamacatukkaṃ dassetvā idāni yasmā bhikkhupaccatthikā itthiṃ ānetvā na kevalaṃ vaccamaggeneva abhinisīdenti, atha kho passāvamaggenapi mukhenapi. Itthiṃ ānetvāpi ca keci jāgarantiṃ ānenti, keci suttaṃ, keci mattaṃ, keci ummattaṃ, keci pamattaṃ aññavihitaṃ vikkhittacittanti attho. Keci mataṃ akkhāyitaṃ, soṇasiṅgālādīhi akkhāyitanimittanti attho. Keci mataṃ yebhuyyena akkhāyitaṃ, yebhuyyena akkhāyitā nāma yassā nimitte vaccamagge passāvamagge mukhe vā bahutaro okāso akkhāyito hoti. Keci mataṃ yebhuyyena khāyitaṃ, yebhuyyena khāyitā nāma yassā vaccamaggādike nimitte bahuṃ khāyitaṃ hoti, appaṃ akkhāyitaṃ. Na kevalañca manussitthimeva ānenti, atha kho amanussitthimpi tiracchānagatitthimpi. Na kevalañca vuttappakāraṃ itthimeva, ubhatobyañjanakampi paṇḍakampi purisampi ānenti. Tasmā tesaṃ vasena aññānipi catukkāni dassento ‘‘bhikkhupaccatthikā manussitthiṃ jāgaranti’’ntiādimāha.
ตตฺถ ปาฬิยา อสโมฺมหตฺถํ วุตฺตจตุกฺกานิ เอวํ สงฺขฺยาโต เวทิตพฺพานิ – มนุสฺสิตฺถิยา ติณฺณํ มคฺคานํ วเสน ตีณิ สุทฺธิกจตุกฺกานิ, ตีณิ ชาครนฺตีจตุกฺกานิ, ตีณิ สุตฺตจตุกฺกานิ, ตีณิ มตฺตจตุกฺกานิ, ตีณิ อุมฺมตฺตจตุกฺกานิ, ตีณิ ปมตฺตจตุกฺกานิ, ตีณิ มตอกฺขายิตจตุกฺกานิ, ตีณิ เยภุเยฺยน อกฺขายิตจตุกฺกานิ, ตีณิ เยภุเยฺยน ขายิตจตุกฺกานีติ สตฺตวีสติ จตุกฺกานิฯ ตถา อมนุสฺสิตฺถิยา; ตถา ติรจฺฉานคติตฺถิยาติ อิตฺถิวาเร เอกาสีติ จตุกฺกานิฯ ยถา จ อิตฺถิวาเร เอวํ อุภโตพฺยญฺชนกวาเรฯ ปณฺฑกปุริสวาเรสุ ปน ทฺวินฺนํ มคฺคานํ วเสน จตุปณฺณาส จตุปณฺณาส โหนฺติฯ เอวํ สพฺพานิปิ เทฺวสตานิ, สตฺตติ จ จตุกฺกานิ โหนฺติ, ตานิ อุตฺตานตฺถานิเยวฯ
Tattha pāḷiyā asammohatthaṃ vuttacatukkāni evaṃ saṅkhyāto veditabbāni – manussitthiyā tiṇṇaṃ maggānaṃ vasena tīṇi suddhikacatukkāni, tīṇi jāgarantīcatukkāni, tīṇi suttacatukkāni, tīṇi mattacatukkāni, tīṇi ummattacatukkāni, tīṇi pamattacatukkāni, tīṇi mataakkhāyitacatukkāni, tīṇi yebhuyyena akkhāyitacatukkāni, tīṇi yebhuyyena khāyitacatukkānīti sattavīsati catukkāni. Tathā amanussitthiyā; tathā tiracchānagatitthiyāti itthivāre ekāsīti catukkāni. Yathā ca itthivāre evaṃ ubhatobyañjanakavāre. Paṇḍakapurisavāresu pana dvinnaṃ maggānaṃ vasena catupaṇṇāsa catupaṇṇāsa honti. Evaṃ sabbānipi dvesatāni, sattati ca catukkāni honti, tāni uttānatthāniyeva.
สพฺพวาเรสุ ปเนตฺถ ‘‘มตํ เยภุเยฺยน อกฺขายิตํ ขายิต’’นฺติ เอตสฺมิํ ฐาเน อยํ วินิจฺฉโย – ตมฺพปณฺณิทีเป กิร เทฺว วินยธรา สมานาจริยกา เถรา อเหสุํ – อุปติสฺสเตฺถโร จ, ผุสฺสเทวเตฺถโร จฯ เต มหาภเย อุปฺปเนฺน วินยปิฎกํ ปริหรนฺตา รกฺขิํสุฯ เตสุ อุปติสฺสเตฺถโร พฺยตฺตตโรฯ ตสฺสาปิ เทฺว อเนฺตวาสิกา อเหสุํ – มหาปทุมเตฺถโร จ มหาสุมเตฺถโร จฯ เตสุ มหาสุมเตฺถโร นกฺขตฺตุํ วินยปิฎกํ อโสฺสสิ, มหาปทุมเตฺถโร เตน สทฺธิํ นวกฺขตฺตุํ, วิสุญฺจ เอกโกว นวกฺขตฺตุนฺติ อฎฺฐารสกฺขตฺตุํ อโสฺสสิ; อยเมว เตสุ พฺยตฺตตโร ฯ เตสุ มหาสุมเตฺถโร นวกฺขตฺตุํ วินยปิฎกํ สุตฺวา อาจริยํ มุญฺจิตฺวา อปรคงฺคํ อคมาสิฯ ตโต มหาปทุมเตฺถโร อาห – ‘‘สูโร วต, เร, เอส วินยธโร โย ธรมานกํเยว อาจริยํ มุญฺจิตฺวา อญฺญตฺถ วสิตพฺพํ มญฺญติฯ นนุ อาจริเย ธรมาเน วินยปิฎกญฺจ อฎฺฐกถา จ อเนกกฺขตฺตุํ คเหตฺวาปิ น วิสฺสเชฺชตพฺพํ, นิจฺจกาลํ โสตพฺพํ, อนุสํวจฺฉรํ สชฺฌายิตพฺพ’’นฺติฯ
Sabbavāresu panettha ‘‘mataṃ yebhuyyena akkhāyitaṃ khāyita’’nti etasmiṃ ṭhāne ayaṃ vinicchayo – tambapaṇṇidīpe kira dve vinayadharā samānācariyakā therā ahesuṃ – upatissatthero ca, phussadevatthero ca. Te mahābhaye uppanne vinayapiṭakaṃ pariharantā rakkhiṃsu. Tesu upatissatthero byattataro. Tassāpi dve antevāsikā ahesuṃ – mahāpadumatthero ca mahāsumatthero ca. Tesu mahāsumatthero nakkhattuṃ vinayapiṭakaṃ assosi, mahāpadumatthero tena saddhiṃ navakkhattuṃ, visuñca ekakova navakkhattunti aṭṭhārasakkhattuṃ assosi; ayameva tesu byattataro . Tesu mahāsumatthero navakkhattuṃ vinayapiṭakaṃ sutvā ācariyaṃ muñcitvā aparagaṅgaṃ agamāsi. Tato mahāpadumatthero āha – ‘‘sūro vata, re, esa vinayadharo yo dharamānakaṃyeva ācariyaṃ muñcitvā aññattha vasitabbaṃ maññati. Nanu ācariye dharamāne vinayapiṭakañca aṭṭhakathā ca anekakkhattuṃ gahetvāpi na vissajjetabbaṃ, niccakālaṃ sotabbaṃ, anusaṃvaccharaṃ sajjhāyitabba’’nti.
เอวํ วินยครุกานํ ภิกฺขูนํ กาเล เอกทิวสํ อุปติสฺสเตฺถโร มหาปทุมเตฺถรปฺปมุขานํ ปญฺจนฺนํ อเนฺตวาสิกสตานํ ปฐมปาราชิกสิกฺขาปเท อิมํ ปเทสํ วเณฺณโนฺต นิสิโนฺน โหติฯ ตํ อเนฺตวาสิกา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘ภเนฺต, เยภุเยฺยน อกฺขายิเต ปาราชิกํ, เยภุเยฺยน ขายิเต ถุลฺลจฺจยํ, อุปฑฺฒกฺขายิเต เกน ภวิตพฺพ’’นฺติ? เถโร อาห – ‘‘อาวุโส, พุทฺธา นาม ปาราชิกํ ปญฺญเปนฺตา น สาวเสสํ กตฺวา ปญฺญเปนฺติ, อนวเสสํเยว กตฺวา สพฺพํ ปริยาทิยิตฺวา โสตํ ฉินฺทิตฺวา ปาราชิกวตฺถุสฺมิํ ปาราชิกเมว ปญฺญเปนฺติฯ อิทญฺหิ สิกฺขาปทํ โลกวชฺชํ, น ปณฺณตฺติวชฺชํฯ ตสฺมา ยทิ อุปฑฺฒกฺขายิเต ปาราชิกํ ภเวยฺย, ปญฺญเปยฺย สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ ปาราชิกจฺฉายา ปเนตฺถ น ทิสฺสติ, ถุลฺลจฺจยเมว ทิสฺสตี’’ติฯ
Evaṃ vinayagarukānaṃ bhikkhūnaṃ kāle ekadivasaṃ upatissatthero mahāpadumattherappamukhānaṃ pañcannaṃ antevāsikasatānaṃ paṭhamapārājikasikkhāpade imaṃ padesaṃ vaṇṇento nisinno hoti. Taṃ antevāsikā pucchiṃsu – ‘‘bhante, yebhuyyena akkhāyite pārājikaṃ, yebhuyyena khāyite thullaccayaṃ, upaḍḍhakkhāyite kena bhavitabba’’nti? Thero āha – ‘‘āvuso, buddhā nāma pārājikaṃ paññapentā na sāvasesaṃ katvā paññapenti, anavasesaṃyeva katvā sabbaṃ pariyādiyitvā sotaṃ chinditvā pārājikavatthusmiṃ pārājikameva paññapenti. Idañhi sikkhāpadaṃ lokavajjaṃ, na paṇṇattivajjaṃ. Tasmā yadi upaḍḍhakkhāyite pārājikaṃ bhaveyya, paññapeyya sammāsambuddho. Pārājikacchāyā panettha na dissati, thullaccayameva dissatī’’ti.
อปิจ มตสรีเร ปาราชิกํ ปญฺญเปโนฺต ภควา เยภุเยฺยน อกฺขายิเต ฐเปสิ ‘‘ตโต ปรํ ปาราชิกํ นตฺถี’’ติ ทเสฺสตุํฯ ถุลฺลจฺจยํ ปญฺญเปโนฺต เยภุเยฺยน ขายิเต ฐเปสิ ‘‘ตโต ปรํ ถุลฺลจฺจยํ นตฺถี’’ติ ทเสฺสตุนฺติปิ เวทิตพฺพํฯ ขายิตาขายิตญฺจ นาเมตํ มตสรีรสฺมิํเยว เวทิตพฺพํ, น ชีวมาเนฯ ชีวมาเน หิ นขปิฎฺฐิปฺปมาเณปิ ฉวิมํเส วา นฺหารุมฺหิ วา สติ ปาราชิกเมว โหติฯ ยทิปิ นิมิตฺตํ สพฺพโส ขายิตํ ฉวิจมฺมํ นตฺถิ, นิมิตฺตสณฺฐานํ ปญฺญายติ, ปเวสนํ ชายติ, ปาราชิกเมวฯ นิมิตฺตสณฺฐานํ ปน อนวเสเสตฺวา สพฺพสฺมิํ นิมิเตฺต ฉินฺทิตฺวา สมนฺตโต ตเจฺฉตฺวา อุปฺปาฎิเต วณสเงฺขปวเสน ถุลฺลจฺจยํฯ นิมิตฺตโต ปติตาย มํสเปสิยา อุปกฺกมนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ มตสรีเร ปน ยทิปิ สพฺพํ สรีรํ ขายิตํ โหติ, ยทิปิ อกฺขายิตํ, ตโย ปน มคฺคา อกฺขายิตา, เตสุ อุปกฺกมนฺตสฺส ปาราชิกํฯ เยภุเยฺยน อกฺขายิเต ปาราชิกเมวฯ อุปฑฺฒกฺขายิเต จ เยภุเยฺยน ขายิเต จ ถุลฺลจฺจยํฯ
Apica matasarīre pārājikaṃ paññapento bhagavā yebhuyyena akkhāyite ṭhapesi ‘‘tato paraṃ pārājikaṃ natthī’’ti dassetuṃ. Thullaccayaṃ paññapento yebhuyyena khāyite ṭhapesi ‘‘tato paraṃ thullaccayaṃ natthī’’ti dassetuntipi veditabbaṃ. Khāyitākhāyitañca nāmetaṃ matasarīrasmiṃyeva veditabbaṃ, na jīvamāne. Jīvamāne hi nakhapiṭṭhippamāṇepi chavimaṃse vā nhārumhi vā sati pārājikameva hoti. Yadipi nimittaṃ sabbaso khāyitaṃ chavicammaṃ natthi, nimittasaṇṭhānaṃ paññāyati, pavesanaṃ jāyati, pārājikameva. Nimittasaṇṭhānaṃ pana anavasesetvā sabbasmiṃ nimitte chinditvā samantato tacchetvā uppāṭite vaṇasaṅkhepavasena thullaccayaṃ. Nimittato patitāya maṃsapesiyā upakkamantassa dukkaṭaṃ. Matasarīre pana yadipi sabbaṃ sarīraṃ khāyitaṃ hoti, yadipi akkhāyitaṃ, tayo pana maggā akkhāyitā, tesu upakkamantassa pārājikaṃ. Yebhuyyena akkhāyite pārājikameva. Upaḍḍhakkhāyite ca yebhuyyena khāyite ca thullaccayaṃ.
มนุสฺสานํ ชีวมานกสรีเร อกฺขินาสกณฺณจฺฉิทฺทวตฺถิโกเสสุ สตฺถกาทีหิ กตวเณ วา เมถุนราเคน ติลผลมตฺตมฺปิ องฺคชาตํ ปเวเสนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยเมวฯ อวเสสสรีเร อุปกจฺฉกาทีสุ ทุกฺกฎํฯ มเต อลฺลสรีเร ปาราชิกเกฺขเตฺต ปาราชิกํ, ถุลฺลจฺจยเกฺขเตฺต ถุลฺลจฺจยํ, ทุกฺกฎเกฺขเตฺต ทุกฺกฎํฯ ยทา ปน สรีรํ อุทฺธุมาตกํ โหติ กุถิตํ นีลมกฺขิกสมากิณฺณํ กิมิกุลสมากุลํ นวหิ วณมุเขหิ ปคฺคฬิตปุพฺพกุณปภาเวน อุปคนฺตุมฺปิ อสกฺกุเณยฺยํ, ตทา ปาราชิกวตฺถุญฺจ ถุลฺลจฺจยวตฺถุญฺจ วิชหติ; ตาทิเส สรีเร ยตฺถ กตฺถจิ อุปกฺกมโต ทุกฺกฎเมวฯ ติรจฺฉานคตานํ หตฺถิ-อสฺส-โคณ-คทฺรภ-โอฎฺฐมหิํสาทีนํ นาสาย ถุลฺลจฺจยํฯ วตฺถิโกเส ถุลฺลจฺจยเมวฯ สเพฺพสมฺปิ ติรจฺฉานคตานํ อกฺขิกณฺณวเณสุ ทุกฺกฎํ, อวเสสสรีเรปิ ทุกฺกฎเมวฯ มตานํ อลฺลสรีเร ปาราชิกเกฺขเตฺต ปาราชิกํ, ถุลฺลจฺจยเกฺขเตฺต ถุลฺลจฺจยํ, ทุกฺกฎเกฺขเตฺต ทุกฺกฎํฯ
Manussānaṃ jīvamānakasarīre akkhināsakaṇṇacchiddavatthikosesu satthakādīhi katavaṇe vā methunarāgena tilaphalamattampi aṅgajātaṃ pavesentassa thullaccayameva. Avasesasarīre upakacchakādīsu dukkaṭaṃ. Mate allasarīre pārājikakkhette pārājikaṃ, thullaccayakkhette thullaccayaṃ, dukkaṭakkhette dukkaṭaṃ. Yadā pana sarīraṃ uddhumātakaṃ hoti kuthitaṃ nīlamakkhikasamākiṇṇaṃ kimikulasamākulaṃ navahi vaṇamukhehi paggaḷitapubbakuṇapabhāvena upagantumpi asakkuṇeyyaṃ, tadā pārājikavatthuñca thullaccayavatthuñca vijahati; tādise sarīre yattha katthaci upakkamato dukkaṭameva. Tiracchānagatānaṃ hatthi-assa-goṇa-gadrabha-oṭṭhamahiṃsādīnaṃ nāsāya thullaccayaṃ. Vatthikose thullaccayameva. Sabbesampi tiracchānagatānaṃ akkhikaṇṇavaṇesu dukkaṭaṃ, avasesasarīrepi dukkaṭameva. Matānaṃ allasarīre pārājikakkhette pārājikaṃ, thullaccayakkhette thullaccayaṃ, dukkaṭakkhette dukkaṭaṃ.
กุถิตกุณเป ปน ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว สพฺพตฺถ ทุกฺกฎํฯ กายสํสคฺคราเคน วา เมถุนราเคน วา ชีวมานกปุริสสฺส วตฺถิโกสํ อปฺปเวเสโนฺต นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ ฉุปติ, ทุกฺกฎํฯ เมถุนราเคน อิตฺถิยา อปฺปเวเสโนฺต นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ ฉุปติ, ถุลฺลจฺจยํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อิตฺถินิมิตฺตํ เมถุนราเคน มุเขน ฉุปติ ถุลฺลจฺจย’’นฺติ วุตฺตํฯ จมฺมกฺขนฺธเก ‘‘ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู อจิรวติยา นทิยา คาวีนํ ตรนฺตีนํ วิสาเณสุปิ คณฺหนฺติ, กเณฺณสุปิ คณฺหนฺติ, คีวายปิ คณฺหนฺติ, เฉปฺปายปิ คณฺหนฺติ, ปิฎฺฐิมฺปิ อภิรุหนฺติ, รตฺตจิตฺตาปิ องฺคชาตํ ฉุปนฺตี’’ติ (มหาว. ๒๕๒) อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา อวิเสเสน วุตฺตํ – ‘‘น จ, ภิกฺขเว, รตฺตจิเตฺตน องฺคชาตํ ฉุปิตพฺพํ, โย ฉุเปยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๕๒)ฯ ตํ สพฺพมฺปิ สํสนฺทิตฺวา ยถา น วิรุชฺฌติ ตถา คเหตพฺพํฯ กถญฺจ น วิรุชฺฌติ? ยํ ตาว มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตํ ‘‘เมถุนราเคน มุเขน ฉุปตี’’ติฯ ตตฺร กิร นิมิตฺตมุขํ มุขนฺติ อธิเปฺปตํฯ ‘‘เมถุนราเคนา’’ติ จ วุตฺตตฺตาปิ อยเมว ตตฺถ อธิปฺปาโยติ เวทิตโพฺพฯ น หิ อิตฺถินิมิเตฺต ปกติมุเขน เมถุนุปกฺกโม โหติฯ ขนฺธเกปิ เย ปิฎฺฐิํ อภิรุหนฺตา เมถุนราเคน องฺคชาเตน องฺคชาตํ ฉุปิํสุ, เต สนฺธาย ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิตรถา หิ ทุกฺกฎํ สิยาฯ เกจิ ปนาหุ ‘‘ขนฺธเกปิ มุเขเนว ฉุปนํ สนฺธาย โอฬาริกตฺตา กมฺมสฺส ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถายมฺปิ ตํ สนฺธายภาสิตํ คเหตฺวาว เมถุนราเคน มุเขน ฉุปติ ถุลฺลจฺจยนฺติ วุตฺต’’นฺติฯ ตสฺมา สุฎฺฐุ สลฺลเกฺขตฺวา อุโภสุ วินิจฺฉเยสุ โย ยุตฺตตโร โส คเหตโพฺพฯ วินยญฺญู ปน ปุริมํ ปสํสนฺติฯ กายสํสคฺคราเคน ปน ปกติมุเขน วา นิมิตฺตมุเขน วา อิตฺถินิมิตฺตํ ฉุปนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโสฯ ติรจฺฉานคติตฺถิยา ปสฺสาวมคฺคํ นิมิตฺตมุเขน ฉุปนฺตสฺส วุตฺตนเยเนว ถุลฺลจฺจยํฯ กายสํสคฺคราเคน ทุกฺกฎนฺติฯ
Kuthitakuṇape pana pubbe vuttanayeneva sabbattha dukkaṭaṃ. Kāyasaṃsaggarāgena vā methunarāgena vā jīvamānakapurisassa vatthikosaṃ appavesento nimittena nimittaṃ chupati, dukkaṭaṃ. Methunarāgena itthiyā appavesento nimittena nimittaṃ chupati, thullaccayaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘itthinimittaṃ methunarāgena mukhena chupati thullaccaya’’nti vuttaṃ. Cammakkhandhake ‘‘chabbaggiyā bhikkhū aciravatiyā nadiyā gāvīnaṃ tarantīnaṃ visāṇesupi gaṇhanti, kaṇṇesupi gaṇhanti, gīvāyapi gaṇhanti, cheppāyapi gaṇhanti, piṭṭhimpi abhiruhanti, rattacittāpi aṅgajātaṃ chupantī’’ti (mahāva. 252) imissā aṭṭhuppattiyā avisesena vuttaṃ – ‘‘na ca, bhikkhave, rattacittena aṅgajātaṃ chupitabbaṃ, yo chupeyya, āpatti thullaccayassā’’ti (mahāva. 252). Taṃ sabbampi saṃsanditvā yathā na virujjhati tathā gahetabbaṃ. Kathañca na virujjhati? Yaṃ tāva mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ ‘‘methunarāgena mukhena chupatī’’ti. Tatra kira nimittamukhaṃ mukhanti adhippetaṃ. ‘‘Methunarāgenā’’ti ca vuttattāpi ayameva tattha adhippāyoti veditabbo. Na hi itthinimitte pakatimukhena methunupakkamo hoti. Khandhakepi ye piṭṭhiṃ abhiruhantā methunarāgena aṅgajātena aṅgajātaṃ chupiṃsu, te sandhāya thullaccayaṃ vuttanti veditabbaṃ. Itarathā hi dukkaṭaṃ siyā. Keci panāhu ‘‘khandhakepi mukheneva chupanaṃ sandhāya oḷārikattā kammassa thullaccayaṃ vuttaṃ. Aṭṭhakathāyampi taṃ sandhāyabhāsitaṃ gahetvāva methunarāgena mukhena chupati thullaccayanti vutta’’nti. Tasmā suṭṭhu sallakkhetvā ubhosu vinicchayesu yo yuttataro so gahetabbo. Vinayaññū pana purimaṃ pasaṃsanti. Kāyasaṃsaggarāgena pana pakatimukhena vā nimittamukhena vā itthinimittaṃ chupantassa saṅghādiseso. Tiracchānagatitthiyā passāvamaggaṃ nimittamukhena chupantassa vuttanayeneva thullaccayaṃ. Kāyasaṃsaggarāgena dukkaṭanti.
เอกูนสตฺตติทฺวิสตจตุกฺกกถา นิฎฺฐิตาฯ
Ekūnasattatidvisatacatukkakathā niṭṭhitā.
สนฺถตจตุกฺกเภทกถา
Santhatacatukkabhedakathā
๖๑-๖๒. เอวํ ภควา ปฎิปนฺนกสฺส ภิกฺขุโน รกฺขณตฺถํ สตฺตติทฺวิสตจตุกฺกานิ นีหริตฺวา ‘‘อิทานิ เย อนาคเต ปาปภิกฺขู ‘สนฺถตํ อิมํ น กิญฺจิ อุปาทินฺนกํ อุปาทินฺนเกน ผุสติ, โก เอตฺถ โทโส’ติ สญฺจิจฺจ เลสํ โอเฑฺฑสฺสนฺติ, เตสํ สาสเน ปติฎฺฐา เอว น ภวิสฺสตี’’ติ ทิสฺวา เตสุ สตฺตติทฺวิสตจตุเกฺกสุ เอกเมกํ จตุกฺกํ จตูหิ สนฺถตาทิเภเทหิ ภินฺทิตฺวา ทเสฺสโนฺต ภิกฺขุปจฺจตฺถิกา มนุสฺสิตฺถิํ ภิกฺขุสฺส สนฺติเก อาเนตฺวา วจฺจมเคฺคน ปสฺสาวมเคฺคน มุเขน องฺคชาตํ อภินิสีเทนฺติ สนฺถตาย อสนฺถตสฺสาติอาทิมาหฯ
61-62. Evaṃ bhagavā paṭipannakassa bhikkhuno rakkhaṇatthaṃ sattatidvisatacatukkāni nīharitvā ‘‘idāni ye anāgate pāpabhikkhū ‘santhataṃ imaṃ na kiñci upādinnakaṃ upādinnakena phusati, ko ettha doso’ti sañcicca lesaṃ oḍḍessanti, tesaṃ sāsane patiṭṭhā eva na bhavissatī’’ti disvā tesu sattatidvisatacatukkesu ekamekaṃ catukkaṃ catūhi santhatādibhedehi bhinditvā dassento bhikkhupaccatthikā manussitthiṃ bhikkhussa santike ānetvā vaccamaggena passāvamaggena mukhena aṅgajātaṃ abhinisīdenti santhatāya asanthatassātiādimāha.
ตตฺถ สนฺถตาย อสนฺถตสฺสาติอาทีสุ สนฺถตาย อิตฺถิยา วจฺจมเคฺคน ปสฺสาวมเคฺคน มุเขน อสนฺถตสฺส ภิกฺขุสฺส องฺคชาตํ อภินิสีเทนฺตีติ อิมินา นเยน โยชนา เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ สนฺถตา นาม ยสฺสา ตีสุ มเคฺคสุ โย โกจิ มโคฺค ปลิเวเฐตฺวา วา อโนฺต วา ปเวเสตฺวา เยน เกนจิ วเตฺถน วา ปเณฺณน วา วากปเฎฺฎน วา จเมฺมน วา ติปุสีสาทีนํ ปเฎฺฎน วา ปฎิจฺฉโนฺนฯ สนฺถโต นาม ยสฺส องฺคชาตํ เตสํเยว วตฺถาทีนํ เยน เกนจิ ปฎิจฺฉนฺนํฯ ตตฺถ อุปาทินฺนเกน วา อนุปาทินฺนกํ ฆฎฺฎิยตุ, อนุปาทินฺนเกน วา อุปาทินฺนกํ, อนุปาทินฺนเกน วา อนุปาทินฺนกํ, อุปาทินฺนเกน วา อุปาทินฺนกํ, สเจ ยตฺตเก ปวิเฎฺฐ ปาราชิกํ โหตีติ วุตฺตํ, ตตฺตกํ ปวิสติ, สพฺพตฺถ สาทิยนฺตสฺส ปาราชิกเกฺขเตฺต ปาราชิกํ; ถุลฺลจฺจยเกฺขเตฺต ถุลฺลจฺจยํ, ทุกฺกฎเกฺขเตฺต ทุกฺกฎเมว โหติฯ สเจ อิตฺถินิมิตฺตํ ขาณุํ กตฺวา สนฺถตํ, ขาณุํ ฆเฎฺฎนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ สเจ ปุริสนิมิตฺตํ ขาณุํ กตฺวา สนฺถตํ, ขาณุํ ปเวเสนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ สเจ อุภยํ ขาณุํ กตฺวา สนฺถตํ, ขาณุนา ขาณุํ ฆเฎฺฎนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ สเจ อิตฺถินิมิเตฺต เวฬุนฬปพฺพาทีนํ กิญฺจิ ปกฺขิตฺตํ, ตสฺส เหฎฺฐาภาคํ เจปิ ผุสโนฺต ติลผลมตฺตํ ปเวเสติ, ปาราชิกํฯ อุปริภาคํ เจปิ อุโภสุ ปเสฺสสุ เอกปสฺสํ เจปิ ผุสโนฺต ปเวเสติ, ปาราชิกํฯ จตฺตาริปิ ปสฺสานิ อผุสโนฺต ปเวเสตฺวา ตสฺส ตลํ เจปิ ผุสติ, ปาราชิกํฯ ยทิ ปน ปเสฺสสุ วา ตเล วา อผุสโนฺต อากาสคตเมว กตฺวา ปเวเสตฺวา นีหรติ, ทุกฺกฎํฯ พหิทฺธา ขาณุเก ผุสติ ทุกฺกฎเมวฯ ยถา จ อิตฺถินิมิเตฺต วุตฺตํ, เอวํ สพฺพตฺถ ลกฺขณํ เวทิตพฺพนฺติฯ
Tattha santhatāya asanthatassātiādīsu santhatāya itthiyā vaccamaggena passāvamaggena mukhena asanthatassa bhikkhussa aṅgajātaṃ abhinisīdentīti iminā nayena yojanā veditabbā. Tattha santhatā nāma yassā tīsu maggesu yo koci maggo paliveṭhetvā vā anto vā pavesetvā yena kenaci vatthena vā paṇṇena vā vākapaṭṭena vā cammena vā tipusīsādīnaṃ paṭṭena vā paṭicchanno. Santhato nāma yassa aṅgajātaṃ tesaṃyeva vatthādīnaṃ yena kenaci paṭicchannaṃ. Tattha upādinnakena vā anupādinnakaṃ ghaṭṭiyatu, anupādinnakena vā upādinnakaṃ, anupādinnakena vā anupādinnakaṃ, upādinnakena vā upādinnakaṃ, sace yattake paviṭṭhe pārājikaṃ hotīti vuttaṃ, tattakaṃ pavisati, sabbattha sādiyantassa pārājikakkhette pārājikaṃ; thullaccayakkhette thullaccayaṃ, dukkaṭakkhette dukkaṭameva hoti. Sace itthinimittaṃ khāṇuṃ katvā santhataṃ, khāṇuṃ ghaṭṭentassa dukkaṭaṃ. Sace purisanimittaṃ khāṇuṃ katvā santhataṃ, khāṇuṃ pavesentassa dukkaṭaṃ. Sace ubhayaṃ khāṇuṃ katvā santhataṃ, khāṇunā khāṇuṃ ghaṭṭentassa dukkaṭaṃ. Sace itthinimitte veḷunaḷapabbādīnaṃ kiñci pakkhittaṃ, tassa heṭṭhābhāgaṃ cepi phusanto tilaphalamattaṃ paveseti, pārājikaṃ. Uparibhāgaṃ cepi ubhosu passesu ekapassaṃ cepi phusanto paveseti, pārājikaṃ. Cattāripi passāni aphusanto pavesetvā tassa talaṃ cepi phusati, pārājikaṃ. Yadi pana passesu vā tale vā aphusanto ākāsagatameva katvā pavesetvā nīharati, dukkaṭaṃ. Bahiddhā khāṇuke phusati dukkaṭameva. Yathā ca itthinimitte vuttaṃ, evaṃ sabbattha lakkhaṇaṃ veditabbanti.
สนฺถตจตุกฺกเภทกถา นิฎฺฐิตาฯ
Santhatacatukkabhedakathā niṭṭhitā.
ภิกฺขุปจฺจตฺถิกจตุกฺกเภทวณฺณนา
Bhikkhupaccatthikacatukkabhedavaṇṇanā
๖๓-๖๔. เอวํ สนฺถตจตุกฺกเภทํ วตฺวา อิทานิ ยสฺมา น เกวลํ มนุสฺสิตฺถิอาทิเก ภิกฺขุสฺส เอว สนฺติเก อาเนนฺติฯ อถ โข ภิกฺขุมฺปิ ตาสํ สนฺติเก อาเนนฺติ, ตสฺมา ตปฺปเภทํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภิกฺขุปจฺจตฺถิกา ภิกฺขุํ มนุสฺสิตฺถิยา สนฺติเก’’ติ อาทินา นเยน สพฺพานิ ตานิ จตุกฺกานิ ปุนปิ นีหริตฺวา ทเสฺสสิฯ เตสุ วินิจฺฉโย วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพติฯ
63-64. Evaṃ santhatacatukkabhedaṃ vatvā idāni yasmā na kevalaṃ manussitthiādike bhikkhussa eva santike ānenti. Atha kho bhikkhumpi tāsaṃ santike ānenti, tasmā tappabhedaṃ dassento ‘‘bhikkhupaccatthikā bhikkhuṃ manussitthiyā santike’’ti ādinā nayena sabbāni tāni catukkāni punapi nīharitvā dassesi. Tesu vinicchayo vuttanayeneva veditabboti.
ภิกฺขุปจฺจตฺถิกวเสน จตุกฺกเภทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhikkhupaccatthikavasena catukkabhedavaṇṇanā niṭṭhitā.
ราชปจฺจตฺถิกาทิจตุกฺกเภทกถา
Rājapaccatthikādicatukkabhedakathā
๖๕. ยสฺมา ปน น ภิกฺขุปจฺจตฺถิกา เอว เอวํ กโรนฺติ, ราชปจฺจตฺถิกาทโยปิ กโรนฺติฯ ตสฺมา ตมฺปิ ปเภทํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ราชปจฺจตฺถิกา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ราชาโน เอว ปจฺจตฺถิกา ราชปจฺจตฺถิกาฯ เต จ สยํ อาเนนฺตาปิ อเญฺญหิ อาณาเปนฺตาปิ อาเนนฺติเยวาติ เวทิตพฺพาฯ โจรา เอว ปจฺจตฺถิกา โจรปจฺจตฺถิกาฯ ธุตฺตาติ เมถุนุปสํหิตขิฑฺฑาปสุตา นาคริกเกราฎิยปุริสา, อิตฺถิธุตฺตสุราธุตฺตาทโย วา; ธุตฺตา เอว ปจฺจตฺถิกา ธุตฺตปจฺจตฺถิกาฯ คนฺธนฺติ หทยํ วุจฺจติ, ตํ อุปฺปาเฎนฺตีติ อุปฺปลคนฺธา, อุปฺปลคนฺธา เอว ปจฺจตฺถิกา อุปฺปลคนฺธปจฺจตฺถิกาฯ เอเต กิร น กสิวณิชฺชาทีหิ ชีวนฺติ, ปนฺถฆาตคามฆาตาทีนิ กตฺวา ปุตฺตทารํ โปเสนฺติฯ เต กมฺมสิทฺธิํ ปตฺถยมานา เทวตานํ อายาเจตฺวา ตาสํ พลิกมฺมตฺถํ มนุสฺสานํ หทยํ อุปฺปาเฎนฺติฯ สพฺพกาเล จ มนุสฺสา ทุลฺลภาฯ ภิกฺขู ปน อรเญฺญ วิหรนฺตา สุลภา โหนฺติฯ เต สีลวนฺตํ ภิกฺขุํ คเหตฺวา ‘‘สีลวโต วโธ นาม ภาริโย โหตี’’ติ มญฺญมานา ตสฺส สีลวินาสนตฺถํ มนุสฺสิตฺถิอาทิเก วา อาเนนฺติ; ตํ วา ตตฺถ เนนฺติฯ อยเมตฺถ วิเสโสฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ภิกฺขุปจฺจตฺถิกวาเร วุตฺตนเยเนว จ อิเมสุ จตูสุปิ วาเรสุ จตุกฺกานิ เวทิตพฺพานิฯ ปาฬิยํ ปน สํขิเตฺตน วุตฺตานิฯ
65. Yasmā pana na bhikkhupaccatthikā eva evaṃ karonti, rājapaccatthikādayopi karonti. Tasmā tampi pabhedaṃ dassento ‘‘rājapaccatthikā’’tiādimāha. Tattha rājāno eva paccatthikā rājapaccatthikā. Te ca sayaṃ ānentāpi aññehi āṇāpentāpi ānentiyevāti veditabbā. Corā eva paccatthikā corapaccatthikā. Dhuttāti methunupasaṃhitakhiḍḍāpasutā nāgarikakerāṭiyapurisā, itthidhuttasurādhuttādayo vā; dhuttā eva paccatthikā dhuttapaccatthikā. Gandhanti hadayaṃ vuccati, taṃ uppāṭentīti uppalagandhā, uppalagandhā eva paccatthikā uppalagandhapaccatthikā. Ete kira na kasivaṇijjādīhi jīvanti, panthaghātagāmaghātādīni katvā puttadāraṃ posenti. Te kammasiddhiṃ patthayamānā devatānaṃ āyācetvā tāsaṃ balikammatthaṃ manussānaṃ hadayaṃ uppāṭenti. Sabbakāle ca manussā dullabhā. Bhikkhū pana araññe viharantā sulabhā honti. Te sīlavantaṃ bhikkhuṃ gahetvā ‘‘sīlavato vadho nāma bhāriyo hotī’’ti maññamānā tassa sīlavināsanatthaṃ manussitthiādike vā ānenti; taṃ vā tattha nenti. Ayamettha viseso. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Bhikkhupaccatthikavāre vuttanayeneva ca imesu catūsupi vāresu catukkāni veditabbāni. Pāḷiyaṃ pana saṃkhittena vuttāni.
สพฺพากาเรน จตุกฺกเภทกถา นิฎฺฐิตาฯ
Sabbākārena catukkabhedakathā niṭṭhitā.
อาปตฺตานาปตฺติวารวณฺณนา
Āpattānāpattivāravaṇṇanā
๖๖. อิทานิ ยํ วุตฺตํ ‘‘มนุสฺสิตฺถิยา ตโย มเคฺค เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวนฺตสฺสา’’ติอาทิ, เอตฺถ อสโมฺมหตฺถํ ‘‘มเคฺคน มคฺค’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ มเคฺคน มคฺคนฺติ อิตฺถิยา ตีสุ มเคฺคสุ อญฺญตเรน มเคฺคน อตฺตโน องฺคชาตํ ปเวเสติ อถ วา สมฺภิเนฺนสุ ทฺวีสุ มเคฺคสุ ปสฺสาวมเคฺคน วจฺจมคฺคํ วจฺจมเคฺคน วา ปสฺสาวมคฺคํ ปเวเสติฯ มเคฺคน อมคฺคนฺติ ปสฺสาวาทิมเคฺคน ปเวเสตฺวา ตสฺส สามนฺตา วเณน นีหรติฯ อมเคฺคน มคฺคนฺติ มคฺคสามเนฺตน วเณน ปเวเสตฺวา มเคฺคน นีหรติฯ อมเคฺคน อมคฺคนฺติ ทฺวีสุ สมฺภินฺนวเณสุ เอเกน วเณน ปเวเสตฺวา ทุติเยน นีหรติฯ อิมสฺส สุตฺตสฺส อนุโลมวเสน สพฺพตฺถ วณสเงฺขเป ถุลฺลจฺจยํ เวทิตพฺพํฯ
66. Idāni yaṃ vuttaṃ ‘‘manussitthiyā tayo magge methunaṃ dhammaṃ paṭisevantassā’’tiādi, ettha asammohatthaṃ ‘‘maggena magga’’ntiādimāha. Tattha maggena magganti itthiyā tīsu maggesu aññatarena maggena attano aṅgajātaṃ paveseti atha vā sambhinnesu dvīsu maggesu passāvamaggena vaccamaggaṃ vaccamaggena vā passāvamaggaṃ paveseti. Maggena amagganti passāvādimaggena pavesetvā tassa sāmantā vaṇena nīharati. Amaggena magganti maggasāmantena vaṇena pavesetvā maggena nīharati. Amaggena amagganti dvīsu sambhinnavaṇesu ekena vaṇena pavesetvā dutiyena nīharati. Imassa suttassa anulomavasena sabbattha vaṇasaṅkhepe thullaccayaṃ veditabbaṃ.
อิทานิ ยํ ปรโต วกฺขติ ‘‘อนาปตฺติ อชานนฺตสฺส อสาทิยนฺตสฺสา’’ติ, ตตฺถ อสโมฺมหตฺถํ ‘‘ภิกฺขุ สุตฺตภิกฺขุมฺหี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ อธิปฺปาโย – โย ปฎิพุโทฺธ สาทิยติ โส ‘‘สุตฺตมฺหิ มยิ เอโส วิปฺปฎิปชฺชิ, นาหํ ชานามี’’ติ น มุจฺจติฯ อุโภ นาเสตพฺพาติ เจตฺถ เทฺวปิ ลิงฺคนาสเนน นาเสตพฺพาฯ ตตฺร ทูสกสฺส ปฎิญฺญากรณํ นตฺถิ, ทูสิโต ปุจฺฉิตฺวา ปฎิญฺญาย นาเสตโพฺพฯ สเจ น สาทิยติ, น นาเสตโพฺพฯ เอส นโย สามเณรวาเรปิฯ
Idāni yaṃ parato vakkhati ‘‘anāpatti ajānantassa asādiyantassā’’ti, tattha asammohatthaṃ ‘‘bhikkhu suttabhikkhumhī’’tiādimāha. Tatrāyaṃ adhippāyo – yo paṭibuddho sādiyati so ‘‘suttamhi mayi eso vippaṭipajji, nāhaṃ jānāmī’’ti na muccati. Ubho nāsetabbāti cettha dvepi liṅganāsanena nāsetabbā. Tatra dūsakassa paṭiññākaraṇaṃ natthi, dūsito pucchitvā paṭiññāya nāsetabbo. Sace na sādiyati, na nāsetabbo. Esa nayo sāmaṇeravārepi.
เอวํ ตตฺถ ตตฺถ ตํ ตํ อาปตฺติญฺจ อนาปตฺติญฺจ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อนาปตฺติเมว ทเสฺสโนฺต ‘‘อนาปตฺติ อชานนฺตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อชานโนฺต นาม โย มหานิทฺทํ โอกฺกโนฺต ปเรน กตํ อุปกฺกมมฺปิ น ชานาติ เวสาลิยํ มหาวเน ทิวาวิหารคโต ภิกฺขุ วิยฯ เอวรูปสฺส อนาปตฺติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘‘นาหํ ภควา ชานามี’ติ; ‘อนาปตฺติ, ภิกฺขุ, อชานนฺตสฺสา’’’ติ (ปารา. ๗๕)ฯ อสาทิยโนฺต นาม โย ชานิตฺวาปิ น สาทิยติ, ตเตฺถว สหสา วุฎฺฐิตภิกฺขุ วิยฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘‘นาหํ ภควา สาทิยิ’นฺติฯ ‘อนาปตฺติ, ภิกฺขุ, อสาทิยนฺตสฺสา’’ติฯ
Evaṃ tattha tattha taṃ taṃ āpattiñca anāpattiñca dassetvā idāni anāpattimeva dassento ‘‘anāpatti ajānantassā’’tiādimāha. Tattha ajānanto nāma yo mahāniddaṃ okkanto parena kataṃ upakkamampi na jānāti vesāliyaṃ mahāvane divāvihāragato bhikkhu viya. Evarūpassa anāpatti. Vuttampi cetaṃ – ‘‘‘nāhaṃ bhagavā jānāmī’ti; ‘anāpatti, bhikkhu, ajānantassā’’’ti (pārā. 75). Asādiyanto nāma yo jānitvāpi na sādiyati, tattheva sahasā vuṭṭhitabhikkhu viya. Vuttampi cetaṃ – ‘‘‘nāhaṃ bhagavā sādiyi’nti. ‘Anāpatti, bhikkhu, asādiyantassā’’ti.
อุมฺมตฺตโก นาม ปิตฺตุมฺมตฺตโกฯ ทุวิธญฺหิ ปิตฺตํ – พทฺธปิตฺตํ, อพทฺธปิตฺตญฺจาติฯ ตตฺถ อพทฺธปิตฺตํ โลหิตํ วิย สพฺพงฺคคตํ, ตมฺหิ กุปิเต สตฺตานํ กณฺฑุกจฺฉุสรีรกมฺปาทีนิ โหนฺติฯ ตานิ เภสชฺชกิริยาย วูปสมนฺติฯ พทฺธปิตฺตํ ปน ปิตฺตโกสเก ฐิตํฯ ตมฺหิ กุปิเต สตฺตา อุมฺมตฺตกา โหนฺติ วิปลฺลตฺถสญฺญา หิโรตฺตปฺปํ ฉเฑฺฑตฺวา อสารุปฺปาจารํ จรนฺติฯ ลหุกครุกานิ สิกฺขาปทานิ มทฺทนฺตาปิ น ชานนฺติฯ เภสชฺชกิริยายปิ อเตกิจฺฉา โหนฺติฯ เอวรูปสฺส อุมฺมตฺตกสฺส อนาปตฺติฯ
Ummattako nāma pittummattako. Duvidhañhi pittaṃ – baddhapittaṃ, abaddhapittañcāti. Tattha abaddhapittaṃ lohitaṃ viya sabbaṅgagataṃ, tamhi kupite sattānaṃ kaṇḍukacchusarīrakampādīni honti. Tāni bhesajjakiriyāya vūpasamanti. Baddhapittaṃ pana pittakosake ṭhitaṃ. Tamhi kupite sattā ummattakā honti vipallatthasaññā hirottappaṃ chaḍḍetvā asāruppācāraṃ caranti. Lahukagarukāni sikkhāpadāni maddantāpi na jānanti. Bhesajjakiriyāyapi atekicchā honti. Evarūpassa ummattakassa anāpatti.
ขิตฺตจิโตฺต นาม วิสฺสฎฺฐจิโตฺต ยกฺขุมฺมตฺตโก วุจฺจติฯ ยกฺขา กิร เภรวานิ วา อารมฺมณานิ ทเสฺสตฺวา มุเขน หตฺถํ ปเวเสตฺวา หทยรูปํ วา มทฺทนฺตา สเตฺต วิกฺขิตฺตจิเตฺต วิปลฺลตฺถสเญฺญ กโรนฺติฯ เอวรูปสฺส ขิตฺตจิตฺตสฺส อนาปตฺติฯ เตสํ ปน อุภินฺนํ อยํ วิเสโส – ปิตฺตุมฺมตฺตโก นิจฺจเมว อุมฺมตฺตโก โหติ, ปกติสญฺญํ น ลภติฯ ยกฺขุมฺมตฺตโก อนฺตรนฺตรา ปกติสญฺญํ ปฎิลภตีติฯ อิธ ปน ปิตฺตุมฺมตฺตโก วา โหตุ ยกฺขุมฺมตฺตโก วา, โย สพฺพโส มุฎฺฐสฺสติ กิญฺจิ น ชานาติ, อคฺคิมฺปิ สุวณฺณมฺปิ คูถมฺปิ จนฺทนมฺปิ เอกสทิสํ มทฺทโนฺตว วิจรติ, เอวรูปสฺส อนาปตฺติฯ อนฺตรนฺตรา สญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ญตฺวา กโรนฺตสฺส ปน อาปตฺติเยวฯ
Khittacitto nāma vissaṭṭhacitto yakkhummattako vuccati. Yakkhā kira bheravāni vā ārammaṇāni dassetvā mukhena hatthaṃ pavesetvā hadayarūpaṃ vā maddantā satte vikkhittacitte vipallatthasaññe karonti. Evarūpassa khittacittassa anāpatti. Tesaṃ pana ubhinnaṃ ayaṃ viseso – pittummattako niccameva ummattako hoti, pakatisaññaṃ na labhati. Yakkhummattako antarantarā pakatisaññaṃ paṭilabhatīti. Idha pana pittummattako vā hotu yakkhummattako vā, yo sabbaso muṭṭhassati kiñci na jānāti, aggimpi suvaṇṇampi gūthampi candanampi ekasadisaṃ maddantova vicarati, evarūpassa anāpatti. Antarantarā saññaṃ paṭilabhitvā ñatvā karontassa pana āpattiyeva.
เวทนาโฎฺฎ นาม โย อธิมตฺตาย ทุกฺขเวทนาย อาตุโร กิญฺจิ น ชานาติ, เอวรูปสฺส อนาปตฺติฯ
Vedanāṭṭo nāma yo adhimattāya dukkhavedanāya āturo kiñci na jānāti, evarūpassa anāpatti.
อาทิกมฺมิโก นาม โย ตสฺมิํ ตสฺมิํ กเมฺม อาทิภูโตฯ อิธ ปน สุทินฺนเตฺถโร อาทิกมฺมิโก, ตสฺส อนาปตฺติฯ อวเสสานํ มกฺกฎีสมณวชฺชิปุตฺตกาทีนํ อาปตฺติเยวาติฯ
Ādikammiko nāma yo tasmiṃ tasmiṃ kamme ādibhūto. Idha pana sudinnatthero ādikammiko, tassa anāpatti. Avasesānaṃ makkaṭīsamaṇavajjiputtakādīnaṃ āpattiyevāti.
ปทภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Padabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปกิณฺณกกถา
Pakiṇṇakakathā
อิมสฺมิํ ปน สิกฺขาปเท โกสลฺลตฺถํ อิทํ ปกิณฺณกํเวทิตพฺพํ –
Imasmiṃ pana sikkhāpade kosallatthaṃ idaṃ pakiṇṇakaṃveditabbaṃ –
‘‘สมุฎฺฐานญฺจ กิริยา, อโถ สญฺญา สจิตฺตกํ;
‘‘Samuṭṭhānañca kiriyā, atho saññā sacittakaṃ;
โลกวชฺชญฺจ กมฺมญฺจ, กุสลํ เวทนาย จา’’ติฯ
Lokavajjañca kammañca, kusalaṃ vedanāya cā’’ti.
ตตฺถ ‘‘สมุฎฺฐาน’’นฺติ สพฺพสงฺคาหกวเสน ฉ สิกฺขาปทสมุฎฺฐานานิฯ ตานิ ปริวาเร อาวิ ภวิสฺสนฺติฯ สมาสโต ปน สิกฺขาปทํ นาม – อตฺถิ ฉสมุฎฺฐานํ, อตฺถิ จตุสมุฎฺฐานํ, อตฺถิ ติสมุฎฺฐานํ, อตฺถิ กถินสมุฎฺฐานํ, อตฺถิ เอฬกโลมสมุฎฺฐานํ, อตฺถิ ธุรนิเกฺขปาทิสมุฎฺฐานนฺติฯ
Tattha ‘‘samuṭṭhāna’’nti sabbasaṅgāhakavasena cha sikkhāpadasamuṭṭhānāni. Tāni parivāre āvi bhavissanti. Samāsato pana sikkhāpadaṃ nāma – atthi chasamuṭṭhānaṃ, atthi catusamuṭṭhānaṃ, atthi tisamuṭṭhānaṃ, atthi kathinasamuṭṭhānaṃ, atthi eḷakalomasamuṭṭhānaṃ, atthi dhuranikkhepādisamuṭṭhānanti.
ตตฺราปิ กิญฺจิ กิริยโต สมุฎฺฐาติ, กิญฺจิ อกิริยโต สมุฎฺฐาติ, กิญฺจิ กิริยากิริยโต สมุฎฺฐาติ, กิญฺจิ สิยา กิริยโต, สิยา อกิริยโต สมุฎฺฐาติ, กิญฺจิ สิยา กิริยโต สิยา กิริยากิริยโต สมุฎฺฐาติฯ
Tatrāpi kiñci kiriyato samuṭṭhāti, kiñci akiriyato samuṭṭhāti, kiñci kiriyākiriyato samuṭṭhāti, kiñci siyā kiriyato, siyā akiriyato samuṭṭhāti, kiñci siyā kiriyato siyā kiriyākiriyato samuṭṭhāti.
ตตฺราปิ อตฺถิ สญฺญาวิโมกฺขํ, อตฺถิ โนสญฺญาวิโมกฺขํฯ ตตฺถ ยํ จิตฺตงฺคํ ลภติเยว, ตํ สญฺญาวิโมกฺขํ; อิตรํ โนสญฺญาวิโมกฺขํฯ
Tatrāpi atthi saññāvimokkhaṃ, atthi nosaññāvimokkhaṃ. Tattha yaṃ cittaṅgaṃ labhatiyeva, taṃ saññāvimokkhaṃ; itaraṃ nosaññāvimokkhaṃ.
ปุน อตฺถิ สจิตฺตกํ, อตฺถิ อจิตฺตกํฯ ยํ สเหว จิเตฺตน อาปชฺชติ, ตํ สจิตฺตกํ; ยํ วินาปิ จิเตฺตน อาปชฺชติ, ตํ อจิตฺตกํ ฯ ตํ สพฺพมฺปิ โลกวชฺชํ ปณฺณตฺติวชฺชนฺติ ทุวิธํฯ เตสํ ลกฺขณํ วุตฺตเมวฯ
Puna atthi sacittakaṃ, atthi acittakaṃ. Yaṃ saheva cittena āpajjati, taṃ sacittakaṃ; yaṃ vināpi cittena āpajjati, taṃ acittakaṃ . Taṃ sabbampi lokavajjaṃ paṇṇattivajjanti duvidhaṃ. Tesaṃ lakkhaṇaṃ vuttameva.
กมฺมกุสลเวทนาวเสนาปิ เจตฺถ อตฺถิ สิกฺขาปทํ กายกมฺมํ, อตฺถิ วจีกมฺมํฯ ตตฺถ ยํ กายทฺวาริกํ, ตํ กายกมฺมํ; ยํ วจีทฺวาริกํ, ตํ วจีกมฺมนฺติ เวทิตพฺพํฯ อตฺถิ ปน สิกฺขาปทํ กุสลํ, อตฺถิ อกุสลํ, อตฺถิ อพฺยากตํฯ ทฺวตฺติํเสว หิ อาปตฺติสมอุฎฺฐาปกจิตฺตานิ – อฎฺฐ กามาวจรกุสลานิ, ทฺวาทส อกุสลานิ, ทส กามาวจรกิริยจิตฺตานิ, กุสลโต จ กิริยโต จ เทฺว อภิญฺญาจิตฺตานีติฯ เตสุ ยํ กุสลจิเตฺตน อาปชฺชติ, ตํ กุสลํ; อิตเรหิ อิตรํฯ อตฺถิ จ สิกฺขาปทํ ติเวทนํ, อตฺถิ ทฺวิเวทนํ, อตฺถิ เอกเวทนํฯ ตตฺถ ยํ อาปชฺชโนฺต ตีสุ เวทนาสุ อญฺญตรเวทนาสมงฺคี หุตฺวา อาปชฺชติ, ตํ ติเวทนํ; ยํ อาปชฺชโนฺต สุขสมงฺคี วา อุเปกฺขาสมงฺคี วา อาปชฺชติ, ตํ ทฺวิเวทนํ; ยํ อาปชฺชโนฺต ทุกฺขเวทนาสมงฺคีเยว อาปชฺชติ, ตํ เอกเวทนนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ –
Kammakusalavedanāvasenāpi cettha atthi sikkhāpadaṃ kāyakammaṃ, atthi vacīkammaṃ. Tattha yaṃ kāyadvārikaṃ, taṃ kāyakammaṃ; yaṃ vacīdvārikaṃ, taṃ vacīkammanti veditabbaṃ. Atthi pana sikkhāpadaṃ kusalaṃ, atthi akusalaṃ, atthi abyākataṃ. Dvattiṃseva hi āpattisamauṭṭhāpakacittāni – aṭṭha kāmāvacarakusalāni, dvādasa akusalāni, dasa kāmāvacarakiriyacittāni, kusalato ca kiriyato ca dve abhiññācittānīti. Tesu yaṃ kusalacittena āpajjati, taṃ kusalaṃ; itarehi itaraṃ. Atthi ca sikkhāpadaṃ tivedanaṃ, atthi dvivedanaṃ, atthi ekavedanaṃ. Tattha yaṃ āpajjanto tīsu vedanāsu aññataravedanāsamaṅgī hutvā āpajjati, taṃ tivedanaṃ; yaṃ āpajjanto sukhasamaṅgī vā upekkhāsamaṅgī vā āpajjati, taṃ dvivedanaṃ; yaṃ āpajjanto dukkhavedanāsamaṅgīyeva āpajjati, taṃ ekavedananti veditabbaṃ. Evaṃ –
‘‘สมุฎฺฐานญฺจ กิริยา, อโถ สญฺญา สจิตฺตกํ;
‘‘Samuṭṭhānañca kiriyā, atho saññā sacittakaṃ;
โลกวชฺชญฺจ กมฺมญฺจ, กุสลํ เวทนาย จา’’ติฯ
Lokavajjañca kammañca, kusalaṃ vedanāya cā’’ti.
อิมํ ปกิณฺณกํ วิทิตฺวา เตสุ สมุฎฺฐานาทีสุ อิทํ สิกฺขาปทํ สมุฎฺฐานโต เอกสมุฎฺฐานํฯ องฺควเสน ทุกสมุฎฺฐานํ, กายจิตฺตโต สมุฎฺฐาติฯ กิริยสมุฎฺฐานญฺจ กโรโนฺตเยว หิ เอตํ อาปชฺชติฯ เมถุนปฎิสํยุตฺตาย กามสญฺญาย อภาเวน มุจฺจนโต สญฺญาวิโมกฺขํฯ ‘‘อนาปตฺติ อชานนฺตสฺส อสาทิยนฺตสฺสา’’ติ หิ วุตฺตํฯ เมถุนจิเตฺตเนว นํ อาปชฺชติ, น วินา จิเตฺตนาติ สจิตฺตกํฯ ราควเสเนว อาปชฺชิตพฺพโต โลกวชฺชํฯ กายทฺวาเรเนว สมุฎฺฐานโต กายกมฺมํฯ จิตฺตํ ปเนตฺถ องฺคมตฺตํ โหติ, น ตสฺส วเสน กมฺมภาโว ลพฺภติฯ โลภจิเตฺตน อาปชฺชิตพฺพโต อกุสลจิตฺตํฯ สุขสมงฺคี วา อุเปกฺขาสมงฺคี วา ตํ อาปชฺชตีติ ทฺวิเวทนนฺติ เวทิตพฺพํฯ สพฺพเญฺจตํ อาปตฺติยํ ยุชฺชติฯ สิกฺขาปทสีเสน ปน สพฺพอฎฺฐกถาสุเทสนา อารูฬฺหา, ตสฺมา เอวํ วุตฺตํฯ
Imaṃ pakiṇṇakaṃ viditvā tesu samuṭṭhānādīsu idaṃ sikkhāpadaṃ samuṭṭhānato ekasamuṭṭhānaṃ. Aṅgavasena dukasamuṭṭhānaṃ, kāyacittato samuṭṭhāti. Kiriyasamuṭṭhānañca karontoyeva hi etaṃ āpajjati. Methunapaṭisaṃyuttāya kāmasaññāya abhāvena muccanato saññāvimokkhaṃ. ‘‘Anāpatti ajānantassa asādiyantassā’’ti hi vuttaṃ. Methunacitteneva naṃ āpajjati, na vinā cittenāti sacittakaṃ. Rāgavaseneva āpajjitabbato lokavajjaṃ. Kāyadvāreneva samuṭṭhānato kāyakammaṃ. Cittaṃ panettha aṅgamattaṃ hoti, na tassa vasena kammabhāvo labbhati. Lobhacittena āpajjitabbato akusalacittaṃ. Sukhasamaṅgī vā upekkhāsamaṅgī vā taṃ āpajjatīti dvivedananti veditabbaṃ. Sabbañcetaṃ āpattiyaṃ yujjati. Sikkhāpadasīsena pana sabbaaṭṭhakathāsudesanā ārūḷhā, tasmā evaṃ vuttaṃ.
ปกิณฺณกกถา นิฎฺฐิตาฯ
Pakiṇṇakakathā niṭṭhitā.
วินีตวตฺถุวณฺณนา
Vinītavatthuvaṇṇanā
มกฺกฎี วชฺชิปุตฺตา จ…เป.… วุฑฺฒปพฺพชิโต มิโคติ อิทํ กิํ? อิมา วินีตวตฺถูนํ ภควตา สยํ วินิจฺฉิตานํ เตสํ เตสํ วตฺถูนํ อุทฺทานคาถา นามฯ ตานิ วตฺถูนิ ‘‘สุขํ วินยธรา อุคฺคณฺหิสฺสนฺตี’’ติ ธมฺมสงฺคาหกเตฺถเรหิ ฐปิตานิฯ วตฺถุคาถา ปน ธรมาเนเยว ภควติ อุปาลิเตฺถเรน ฐปิตา ‘‘อิมินา ลกฺขเณน อายติํ วินยธรา วินยํ วินิจฺฉินิสฺสนฺตี’’ติฯ ตสฺมา เอตฺถ วุตฺตลกฺขณํ สาธุกํ สลฺลเกฺขตฺวา ปฐมสิกฺขาปทํ วินิจฺฉินิตพฺพํฯ ทุติยาทีนญฺจ วินีตวตฺถูสุ วุตฺตลกฺขเณน ทุติยาทีนิฯ วินีตวตฺถูนิ หิ สิปฺปิกานํ ปฎิจฺฉนฺนกรูปานิ วิย วินยธรานํ ปฎิจฺฉนฺนกวตฺถูนิ โหนฺตีติฯ
Makkaṭīvajjiputtā ca…pe… vuḍḍhapabbajito migoti idaṃ kiṃ? Imā vinītavatthūnaṃ bhagavatā sayaṃ vinicchitānaṃ tesaṃ tesaṃ vatthūnaṃ uddānagāthā nāma. Tāni vatthūni ‘‘sukhaṃ vinayadharā uggaṇhissantī’’ti dhammasaṅgāhakattherehi ṭhapitāni. Vatthugāthā pana dharamāneyeva bhagavati upālittherena ṭhapitā ‘‘iminā lakkhaṇena āyatiṃ vinayadharā vinayaṃ vinicchinissantī’’ti. Tasmā ettha vuttalakkhaṇaṃ sādhukaṃ sallakkhetvā paṭhamasikkhāpadaṃ vinicchinitabbaṃ. Dutiyādīnañca vinītavatthūsu vuttalakkhaṇena dutiyādīni. Vinītavatthūni hi sippikānaṃ paṭicchannakarūpāni viya vinayadharānaṃ paṭicchannakavatthūni hontīti.
๖๗. ตตฺถ ปุริมานิ เทฺว วตฺถูนิ อนุปญฺญตฺติยํเยว วุตฺตตฺถานิฯ ตติเย วตฺถุมฺหิ คิหิลิเงฺคนาติ คิหิเวเสน โอทาตวโตฺถ หุตฺวาฯ จตุเตฺถ นตฺถิ กิญฺจิ วตฺตพฺพํฯ ตโต ปเรสุ สตฺตสุ วตฺถูสุ กุสจีรนฺติ กุเส คเนฺถตฺวา กตจีรํฯ วากจีรํ นาม ตาปสานํ วกฺกลํฯ ผลกจีรํ นาม ผลกสณฺฐานานิ ผลกานิ สิพฺพิตฺวา กตจีรํฯ เกสกมฺพโลติ เกเสหิ ตเนฺต วายิตฺวา กตกมฺพโลฯ วาลกมฺพโลติ จมรวาเลหิ วายิตฺวา กตกมฺพโลฯ อุลูกปกฺขิกนฺติ อุลูกสกุณสฺส ปเกฺขหิ กตนิวาสนํฯ อชินกฺขิปนฺติ สโลมํ สขุรํ อชินมิคจมฺมํฯ ทฺวาทสเม วตฺถุมฺหิ สารโตฺตติ กายสํสคฺคราเคน สารโตฺต; ตํ ราคํ ญตฺวา ภควา ‘‘อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสา’’ติ อาหฯ
67. Tattha purimāni dve vatthūni anupaññattiyaṃyeva vuttatthāni. Tatiye vatthumhi gihiliṅgenāti gihivesena odātavattho hutvā. Catutthe natthi kiñci vattabbaṃ. Tato paresu sattasu vatthūsu kusacīranti kuse ganthetvā katacīraṃ. Vākacīraṃ nāma tāpasānaṃ vakkalaṃ. Phalakacīraṃ nāma phalakasaṇṭhānāni phalakāni sibbitvā katacīraṃ. Kesakambaloti kesehi tante vāyitvā katakambalo. Vālakambaloti camaravālehi vāyitvā katakambalo. Ulūkapakkhikanti ulūkasakuṇassa pakkhehi katanivāsanaṃ. Ajinakkhipanti salomaṃ sakhuraṃ ajinamigacammaṃ. Dvādasame vatthumhi sārattoti kāyasaṃsaggarāgena sāratto; taṃ rāgaṃ ñatvā bhagavā ‘‘āpatti saṅghādisesassā’’ti āha.
๖๘. เตรสเม วตฺถุมฺหิ อุปฺปลวณฺณาติ สา เถรี สาวตฺถิยํ เสฎฺฐิธีตา สตสหสฺสกเปฺป อภินีหารสมฺปนฺนาฯ ตสฺสา ปกติยาปิ อติทสฺสนียา นีลุปฺปลวณฺณา กายจฺฉวิ, อพฺภนฺตเร ปน กิเลสสนฺตาปสฺส อภาเวน อติวิย วิโรจติฯ สา ตาเยว วณฺณโปกฺขรตาย ‘‘อุปฺปลวณฺณา’’ติ นามํ ลภิฯ ปฎิพทฺธจิโตฺตติ คิหิกาลโต ปฎฺฐาย รตฺตจิโตฺต; โส กิร ตสฺสา ญาติทารโก โหติฯ อถ โขติ อนนฺตรเตฺถ นิปาโต; มญฺจเก นิสินฺนานนฺตรเมวาติ วุตฺตํ โหติฯ ทิวา พาหิรโต อาคนฺตฺวา ทฺวารํ ปิธาย นิสินฺนานญฺหิ ปฐมํ อนฺธการํ โหติฯ โส ยาวสฺสา ตํ อนฺธการํ น นสฺสติ, ตาวเทว เอวมกาสีติ อโตฺถฯ ทูเสสีติ ปธํเสสิฯ เถรี ปน อนวชฺชา อตฺตโน สมณสญฺญํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา อสาทิยนฺตี นิสีทิ อสทฺธมฺมาธิปฺปาเยน ปรามฎฺฐา อคฺคิกฺขนฺธ-สิลาถมฺภ-ขทิรสารขาณุกา วิยฯ โสปิ อตฺตโน มโนรถํ ปูเรตฺวา คโตฯ ตสฺสา เถริยา ทสฺสนปถํ วิชหนฺตเสฺสว อยํ มหาปถวี สิเนรุปพฺพตํ ธาเรตุํ สมตฺถาปิ ตํ ปาปปุริสํ พฺยามมตฺตกเฬวรํ ธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี วิย ภิชฺชิตฺวา วิวรมทาสิฯ โส ตงฺขณเญฺญว อวีจิชาลานํ อินฺธนภาวํ อคมาสิฯ ภควา ตํ สุตฺวา ‘‘อนาปตฺติ, ภิกฺขเว, อสาทิยนฺติยา’’ติ วตฺวา เถริํ สนฺธาย ธมฺมปเท อิมํ คาถํ อภาสิ –
68. Terasame vatthumhi uppalavaṇṇāti sā therī sāvatthiyaṃ seṭṭhidhītā satasahassakappe abhinīhārasampannā. Tassā pakatiyāpi atidassanīyā nīluppalavaṇṇā kāyacchavi, abbhantare pana kilesasantāpassa abhāvena ativiya virocati. Sā tāyeva vaṇṇapokkharatāya ‘‘uppalavaṇṇā’’ti nāmaṃ labhi. Paṭibaddhacittoti gihikālato paṭṭhāya rattacitto; so kira tassā ñātidārako hoti. Atha khoti anantaratthe nipāto; mañcake nisinnānantaramevāti vuttaṃ hoti. Divā bāhirato āgantvā dvāraṃ pidhāya nisinnānañhi paṭhamaṃ andhakāraṃ hoti. So yāvassā taṃ andhakāraṃ na nassati, tāvadeva evamakāsīti attho. Dūsesīti padhaṃsesi. Therī pana anavajjā attano samaṇasaññaṃ paccupaṭṭhapetvā asādiyantī nisīdi asaddhammādhippāyena parāmaṭṭhā aggikkhandha-silāthambha-khadirasārakhāṇukā viya. Sopi attano manorathaṃ pūretvā gato. Tassā theriyā dassanapathaṃ vijahantasseva ayaṃ mahāpathavī sinerupabbataṃ dhāretuṃ samatthāpi taṃ pāpapurisaṃ byāmamattakaḷevaraṃ dhāretuṃ asakkontī viya bhijjitvā vivaramadāsi. So taṅkhaṇaññeva avīcijālānaṃ indhanabhāvaṃ agamāsi. Bhagavā taṃ sutvā ‘‘anāpatti, bhikkhave, asādiyantiyā’’ti vatvā theriṃ sandhāya dhammapade imaṃ gāthaṃ abhāsi –
‘‘วาริ โปกฺขรปเตฺตว, อารเคฺคริว สาสโป;
‘‘Vāri pokkharapatteva, āraggeriva sāsapo;
โย น ลิมฺปติ กาเมสุ, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ (ธ. ป. ๔๐๑);
Yo na limpati kāmesu, tamahaṃ brūmi brāhmaṇa’’nti. (dha. pa. 401);
๖๙. จุทฺทสเม วตฺถุมฺหิ อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุภูตนฺติ รตฺติภาเค นิทฺทํ โอกฺกนฺตสฺส ปุริสสณฺฐานํ มสฺสุทาฐิกาทิ สพฺพํ อนฺตรหิตํ อิตฺถิสณฺฐานํ อุปฺปนฺนํฯ ตเมว อุปชฺฌํ ตเมว อุปสมฺปทนฺติ ปุเพฺพ คหิตอุปชฺฌายเมว ปุเพฺพ กตอุปสมฺปทเมว อนุชานามิฯ ปุน อุปชฺฌา น คเหตพฺพา; อุปสมฺปทา น กาตพฺพาติ อโตฺถฯ ตานิเยว วสฺสานีติ ภิกฺขุอุปสมฺปทโต ปภุติ ยาว วสฺสคณนา, ตํเยว วสฺสคณนํ อนุชานามิฯ น อิโต ปฎฺฐาย วสฺสคณนา กาตพฺพาติ อโตฺถฯ ภิกฺขุนีหิ สงฺคมิตุนฺติ ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ สงฺคมิตุํ สงฺคนฺตุํ สมงฺคี ภวิตุํ อนุชานามีติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อปฺปติรูปํ ทานิสฺสา ภิกฺขูนํ มเชฺฌ วสิตุํ, ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตฺวา ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ วสตูติฯ ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ สาธารณาติ ยา เทสนาคามินิโย วา วุฎฺฐานคามินิโย วา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ สาธารณาฯ ตา อาปตฺติโย ภิกฺขุนีนํ สนฺติเก วุฎฺฐาตุนฺติ ตา สพฺพาปิ ภิกฺขุนีหิ กาตพฺพํ วินยกมฺมํ กตฺวา ภิกฺขุนีนํ สนฺติเก วุฎฺฐาตุํ อนุชานามีติ อโตฺถฯ ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺตีติ ยา ปน ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ อสาธารณา สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ-อาทิกา อาปตฺติโย, ตาหิ อนาปตฺติฯ ลิงฺคปริวตฺตเนน ตา อาปตฺติโย วุฎฺฐิตาว โหนฺติฯ ปุน ปกติลิเงฺค อุปฺปเนฺนปิ ตาหิ อาปตฺตีหิ ตสฺส อนาปตฺติเยวาติ อยํ ตาเวตฺถ ปาฬิวินิจฺฉโยฯ
69. Cuddasame vatthumhi itthiliṅgaṃ pātubhūtanti rattibhāge niddaṃ okkantassa purisasaṇṭhānaṃ massudāṭhikādi sabbaṃ antarahitaṃ itthisaṇṭhānaṃ uppannaṃ. Tameva upajjhaṃ tameva upasampadanti pubbe gahitaupajjhāyameva pubbe kataupasampadameva anujānāmi. Puna upajjhā na gahetabbā; upasampadā na kātabbāti attho. Tāniyevavassānīti bhikkhuupasampadato pabhuti yāva vassagaṇanā, taṃyeva vassagaṇanaṃ anujānāmi. Na ito paṭṭhāya vassagaṇanā kātabbāti attho. Bhikkhunīhi saṅgamitunti bhikkhunīhi saddhiṃ saṅgamituṃ saṅgantuṃ samaṅgī bhavituṃ anujānāmīti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – appatirūpaṃ dānissā bhikkhūnaṃ majjhe vasituṃ, bhikkhunupassayaṃ gantvā bhikkhunīhi saddhiṃ vasatūti. Yā āpattiyo bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi sādhāraṇāti yā desanāgāminiyo vā vuṭṭhānagāminiyo vā āpattiyo bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi saddhiṃ sādhāraṇā. Tā āpattiyo bhikkhunīnaṃ santike vuṭṭhātunti tā sabbāpi bhikkhunīhi kātabbaṃ vinayakammaṃ katvā bhikkhunīnaṃ santike vuṭṭhātuṃ anujānāmīti attho. Tāhi āpattīhi anāpattīti yā pana bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi asādhāraṇā sukkavissaṭṭhi-ādikā āpattiyo, tāhi anāpatti. Liṅgaparivattanena tā āpattiyo vuṭṭhitāva honti. Puna pakatiliṅge uppannepi tāhi āpattīhi tassa anāpattiyevāti ayaṃ tāvettha pāḷivinicchayo.
อยํ ปน ปาฬิมุโตฺต โอกฺกนฺติกวินิจฺฉโย – อิเมสุ ตาว ทฺวีสุ ลิเงฺคสุ ปุริสลิงฺคํ อุตฺตมํ, อิตฺถิลิงฺคํ หีนํ; ตสฺมา ปุริสลิงฺคํ พลวอกุสเลน อนฺตรธายติฯ อิตฺถิลิงฺคํ ทุพฺพลกุสเลน ปติฎฺฐาติฯ อิตฺถิลิงฺคํ ปน อนฺตรธายนฺตํ ทุพฺพลอกุสเลน อนฺตรธายติฯ ปุริสลิงฺคํ พลวกุสเลน ปติฎฺฐาติฯ เอวํ อุภยมฺปิ อกุสเลน อนฺตรธายติ, กุสเลน ปฎิลพฺภติฯ
Ayaṃ pana pāḷimutto okkantikavinicchayo – imesu tāva dvīsu liṅgesu purisaliṅgaṃ uttamaṃ, itthiliṅgaṃ hīnaṃ; tasmā purisaliṅgaṃ balavaakusalena antaradhāyati. Itthiliṅgaṃ dubbalakusalena patiṭṭhāti. Itthiliṅgaṃ pana antaradhāyantaṃ dubbalaakusalena antaradhāyati. Purisaliṅgaṃ balavakusalena patiṭṭhāti. Evaṃ ubhayampi akusalena antaradhāyati, kusalena paṭilabbhati.
ตตฺถ สเจ ทฺวินฺนํ ภิกฺขูนํ เอกโต สชฺฌายํ วา ธมฺมสากจฺฉํ วา กตฺวา เอกาคาเร นิปชฺชิตฺวา นิทฺทํ โอกฺกนฺตานํ เอกสฺส อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุภวติ, อุภินฺนมฺปิ สหเสยฺยาปตฺติ โหติฯ โส เจ ปฎิพุชฺฌิตฺวา อตฺตโน ตํ วิปฺปการํ ทิสฺวา ทุกฺขี ทุมฺมโน รตฺติภาเคเยว อิตรสฺส อาโรเจยฺย, เตน สมสฺสาเสตโพฺพ – ‘‘โหตุ, มา จินฺตยิตฺถฯ วฎฺฎเสฺสเวโส โทโสฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธน ทฺวารํ ทินฺนํ, ภิกฺขุ วา โหตุ ภิกฺขุนี วา, อนาวโฎ ธโมฺม อวาริโต สคฺคมโคฺค’’ติฯ สมสฺสาเสตฺวา จ เอวํ วตฺตพฺพํ – ‘‘ตุเมฺหหิ ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ อตฺถิ โว กาจิ สนฺทิฎฺฐา ภิกฺขุนิโย’’ติฯ สจสฺสา โหนฺติ ตาทิสา ภิกฺขุนิโย อตฺถีติ, โน เจ โหนฺติ นตฺถีติ วตฺวา โส ภิกฺขุ วตฺตโพฺพ – ‘‘มม สงฺคหํ กโรถ; อิทานิ มํ ปฐมํ ภิกฺขุนุปสฺสยํ เนถา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา ตํ คเหตฺวา ตสฺสา วา สนฺทิฎฺฐานํ อตฺตโน วา สนฺทิฎฺฐานํ ภิกฺขุนีนํ สนฺติกํ คนฺตพฺพํฯ คจฺฉเนฺตน จ น เอกเกน คนฺตพฺพํฯ จตูหิ ปญฺจหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ โชติกญฺจ กตฺตรทณฺฑญฺจ คเหตฺวา สํวิทหนํ ปริโมเจตฺวา ‘‘มยํ อสุกํ นาม ฐานํ คจฺฉามา’’ติ คนฺตพฺพํฯ สเจ พหิคาเม ทูเร วิหาโร โหติ, อนฺตรามเคฺค คามนฺตร-นทีปาร-รตฺติวิปฺปวาส-คณโอหียนาปตฺตีหิ อนาปตฺติฯ ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตฺวา ตา ภิกฺขุนิโย วตฺตพฺพา – ‘‘อสุกํ นาม ภิกฺขุํ ชานาถา’’ติ? ‘‘อาม, อยฺยา’’ติฯ ‘‘ตสฺส อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุภูตํ, สงฺคหํ ทานิสฺส กโรถา’’ติฯ ตา เจ ‘‘สาธุ, อยฺยา, อิทานิ มยมฺปิ สชฺฌายิสฺสาม, ธมฺมํ โสสฺสาม, คจฺฉถ ตุเมฺห’’ติ วตฺวา สงฺคหํ กโรนฺติ, อาราธิกา จ โหนฺติ สงฺคาหิกา ลชฺชินิโย, ตา โกเปตฺวา อญฺญตฺถ น คนฺตพฺพํฯ คจฺฉติ เจ, คามนฺตร-นทีปาร-รตฺติวิปฺปวาส-คณโอหียนาปตฺตีหิ น มุจฺจติฯ สเจ ปน ลชฺชินิโย โหนฺติ, น สงฺคาหิกาโย; อญฺญตฺถ คนฺตุํ ลพฺภติฯ สเจปิ อลชฺชินิโย โหนฺติ, สงฺคหํ ปน กโรนฺติ; ตาปิ ปริจฺจชิตฺวา อญฺญตฺถ คนฺตุํ ลพฺภติฯ สเจ ลชฺชินิโย จ สงฺคาหิกา จ, ญาติกา น โหนฺติ, อาสนฺนคาเม ปน อญฺญา ญาติกาโย โหนฺติ ปฎิชคฺคนิกา, ตาสมฺปิ สนฺติกํ คนฺตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ คนฺตฺวา สเจ ภิกฺขุภาเวปิ นิสฺสยปฎิปโนฺน, ปติรูปาย ภิกฺขุนิยา สนฺติเก นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ มาติกา วา วินโย วา อุคฺคหิโต สุคฺคหิโต, ปุน อุคฺคณฺหนการณํ นตฺถิฯ สเจ ภิกฺขุภาเว ปริสาวจโร, ตสฺส สนฺติเกเยว อุปสมฺปนฺนา สูปสมฺปนฺนาฯ อญฺญสฺส สนฺติเก นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ ปุเพฺพ ตํ นิสฺสาย วสเนฺตหิปิ อญฺญสฺส สนฺติเกเยว นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ ปริปุณฺณวสฺสสามเณเรนาปิ อญฺญสฺส สนฺติเกเยว อุปชฺฌา คเหตพฺพาฯ
Tattha sace dvinnaṃ bhikkhūnaṃ ekato sajjhāyaṃ vā dhammasākacchaṃ vā katvā ekāgāre nipajjitvā niddaṃ okkantānaṃ ekassa itthiliṅgaṃ pātubhavati, ubhinnampi sahaseyyāpatti hoti. So ce paṭibujjhitvā attano taṃ vippakāraṃ disvā dukkhī dummano rattibhāgeyeva itarassa āroceyya, tena samassāsetabbo – ‘‘hotu, mā cintayittha. Vaṭṭasseveso doso. Sammāsambuddhena dvāraṃ dinnaṃ, bhikkhu vā hotu bhikkhunī vā, anāvaṭo dhammo avārito saggamaggo’’ti. Samassāsetvā ca evaṃ vattabbaṃ – ‘‘tumhehi bhikkhunupassayaṃ gantuṃ vaṭṭati. Atthi vo kāci sandiṭṭhā bhikkhuniyo’’ti. Sacassā honti tādisā bhikkhuniyo atthīti, no ce honti natthīti vatvā so bhikkhu vattabbo – ‘‘mama saṅgahaṃ karotha; idāni maṃ paṭhamaṃ bhikkhunupassayaṃ nethā’’ti. Tena bhikkhunā taṃ gahetvā tassā vā sandiṭṭhānaṃ attano vā sandiṭṭhānaṃ bhikkhunīnaṃ santikaṃ gantabbaṃ. Gacchantena ca na ekakena gantabbaṃ. Catūhi pañcahi bhikkhūhi saddhiṃ jotikañca kattaradaṇḍañca gahetvā saṃvidahanaṃ parimocetvā ‘‘mayaṃ asukaṃ nāma ṭhānaṃ gacchāmā’’ti gantabbaṃ. Sace bahigāme dūre vihāro hoti, antarāmagge gāmantara-nadīpāra-rattivippavāsa-gaṇaohīyanāpattīhi anāpatti. Bhikkhunupassayaṃ gantvā tā bhikkhuniyo vattabbā – ‘‘asukaṃ nāma bhikkhuṃ jānāthā’’ti? ‘‘Āma, ayyā’’ti. ‘‘Tassa itthiliṅgaṃ pātubhūtaṃ, saṅgahaṃ dānissa karothā’’ti. Tā ce ‘‘sādhu, ayyā, idāni mayampi sajjhāyissāma, dhammaṃ sossāma, gacchatha tumhe’’ti vatvā saṅgahaṃ karonti, ārādhikā ca honti saṅgāhikā lajjiniyo, tā kopetvā aññattha na gantabbaṃ. Gacchati ce, gāmantara-nadīpāra-rattivippavāsa-gaṇaohīyanāpattīhi na muccati. Sace pana lajjiniyo honti, na saṅgāhikāyo; aññattha gantuṃ labbhati. Sacepi alajjiniyo honti, saṅgahaṃ pana karonti; tāpi pariccajitvā aññattha gantuṃ labbhati. Sace lajjiniyo ca saṅgāhikā ca, ñātikā na honti, āsannagāme pana aññā ñātikāyo honti paṭijagganikā, tāsampi santikaṃ gantuṃ vaṭṭatīti vadanti. Gantvā sace bhikkhubhāvepi nissayapaṭipanno, patirūpāya bhikkhuniyā santike nissayo gahetabbo. Mātikā vā vinayo vā uggahito suggahito, puna uggaṇhanakāraṇaṃ natthi. Sace bhikkhubhāve parisāvacaro, tassa santikeyeva upasampannā sūpasampannā. Aññassa santike nissayo gahetabbo. Pubbe taṃ nissāya vasantehipi aññassa santikeyeva nissayo gahetabbo. Paripuṇṇavassasāmaṇerenāpi aññassa santikeyeva upajjhā gahetabbā.
ยํ ปนสฺส ภิกฺขุภาเว อธิฎฺฐิตํ ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, ตํ อธิฎฺฐานํ วิชหติ, ปุน อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สงฺกจฺจิกา จ อุทกสาฎิกา จ คเหตพฺพาฯ ยํ อติเรกจีวรํ วา อติเรกปโตฺต วา วินยกมฺมํ กตฺวา ฐปิโต โหติ, ตํ สพฺพมฺปิ วินยกมฺมํ วิชหติ, ปุน กาตพฺพํฯ ปฎิคฺคหิตเตลมธุผาณิตาทีนิปิ ปฎิคฺคหณํ วิชหนฺติฯ สเจ ปฎิคฺคหณโต สตฺตเม ทิวเส ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ปุน ปฎิคฺคเหตฺวา สตฺตาหํ วฎฺฎติฯ ยํ ปน ภิกฺขุกาเล อญฺญสฺส ภิกฺขุโน สนฺตกํ ปฎิคฺคหิตํ, ตํ ปฎิคฺคหณํ น วิชหติฯ ยํ อุภินฺนํ สาธารณํ อวิภชิตฺวา ฐปิตํ, ตํ ปกตโตฺต รกฺขติฯ ยํ ปน วิภตฺตํ เอตเสฺสว สนฺตกํ, ตํ ปฎิคฺคหณํ วิชหติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ปริวาเร –
Yaṃ panassa bhikkhubhāve adhiṭṭhitaṃ ticīvarañca patto ca, taṃ adhiṭṭhānaṃ vijahati, puna adhiṭṭhātabbaṃ. Saṅkaccikā ca udakasāṭikā ca gahetabbā. Yaṃ atirekacīvaraṃ vā atirekapatto vā vinayakammaṃ katvā ṭhapito hoti, taṃ sabbampi vinayakammaṃ vijahati, puna kātabbaṃ. Paṭiggahitatelamadhuphāṇitādīnipi paṭiggahaṇaṃ vijahanti. Sace paṭiggahaṇato sattame divase liṅgaṃ parivattati, puna paṭiggahetvā sattāhaṃ vaṭṭati. Yaṃ pana bhikkhukāle aññassa bhikkhuno santakaṃ paṭiggahitaṃ, taṃ paṭiggahaṇaṃ na vijahati. Yaṃ ubhinnaṃ sādhāraṇaṃ avibhajitvā ṭhapitaṃ, taṃ pakatatto rakkhati. Yaṃ pana vibhattaṃ etasseva santakaṃ, taṃ paṭiggahaṇaṃ vijahati. Vuttampi cetaṃ parivāre –
‘‘เตลํ มธุํ ผาณิตญฺจาปิ สปฺปิํ;
‘‘Telaṃ madhuṃ phāṇitañcāpi sappiṃ;
สามํ คเหตฺวาน นิกฺขิเปยฺย;
Sāmaṃ gahetvāna nikkhipeyya;
อวีติวเตฺต สตฺตาเห;
Avītivatte sattāhe;
สติ ปจฺจเย ปริภุญฺชนฺตสฺส อาปตฺติ;
Sati paccaye paribhuñjantassa āpatti;
ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา’’ติฯ (ปริ. ๔๘๐);
Pañhā mesā kusalehi cintitā’’ti. (pari. 480);
อิทญฺหิ ลิงฺคปริวตฺตนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปฎิคฺคหณํ นาม ลิงฺคปริวตฺตเนน, กาลํกิริยาย, สิกฺขาปจฺจกฺขาเนน, หีนายาวตฺตเนน, อนุปสมฺปนฺนสฺส ทาเนน, อนเปกฺขวิสฺสชฺชเนน, อจฺฉินฺทิตฺวา คหเณน จ วิชหติฯ ตสฺมา สเจปิ หรีตกขณฺฑมฺปิ ปฎิคฺคเหตฺวา ฐปิตมตฺถิ, สพฺพมสฺส ปฎิคฺคหณํ วิชหติฯ ภิกฺขุวิหาเร ปน ยํกิญฺจิสฺสา สนฺตกํ ปฎิคฺคเหตฺวา วา อปฺปฎิคฺคเหตฺวา วา ฐปิตํ, สพฺพสฺส สาว อิสฺสรา, อาหราเปตฺวา คเหตพฺพํฯ ยํ ปเนตฺถ ถาวรํ ตสฺสา สนฺตกํ เสนาสนํ วา อุปโรปกา วา, เต ยสฺสิจฺฉติ ตสฺส ทาตพฺพาฯ เตรสสุ สมฺมุตีสุ ยา ภิกฺขุกาเล ลทฺธา สมฺมุติ, สพฺพา สา ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ ปุริมิกาย เสนาสนคฺคาโห ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ สเจ ปจฺฉิมิกาย เสนาสเน คหิเต ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ภิกฺขุนิสโงฺฆ จสฺสา อุปฺปนฺนํ ลาภํ ทาตุกาโม โหติ, อปโลเกตฺวา ทาตโพฺพฯ สเจ ภิกฺขุนีหิ สาธารณาย ปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา ปริวสนฺตสฺส ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ มานตฺตํ จรนฺตสฺส ปริวตฺตติ, ปุน ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ จิณฺณมานตฺตสฺส ปริวตฺตติ, ภิกฺขุนีหิ อพฺภานกมฺมํ กาตพฺพํฯ สเจ อกุสลวิปาเก ปริกฺขีเณ ปกฺขมานตฺตกาเล ปุนเทว ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ฉารตฺตํ มานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ จิเณฺณ ปกฺขมานเตฺต ปริวตฺตติ, ภิกฺขูหิ อพฺภานกมฺมํ กาตพฺพนฺติฯ
Idañhi liṅgaparivattanaṃ sandhāya vuttaṃ. Paṭiggahaṇaṃ nāma liṅgaparivattanena, kālaṃkiriyāya, sikkhāpaccakkhānena, hīnāyāvattanena, anupasampannassa dānena, anapekkhavissajjanena, acchinditvā gahaṇena ca vijahati. Tasmā sacepi harītakakhaṇḍampi paṭiggahetvā ṭhapitamatthi, sabbamassa paṭiggahaṇaṃ vijahati. Bhikkhuvihāre pana yaṃkiñcissā santakaṃ paṭiggahetvā vā appaṭiggahetvā vā ṭhapitaṃ, sabbassa sāva issarā, āharāpetvā gahetabbaṃ. Yaṃ panettha thāvaraṃ tassā santakaṃ senāsanaṃ vā uparopakā vā, te yassicchati tassa dātabbā. Terasasu sammutīsu yā bhikkhukāle laddhā sammuti, sabbā sā paṭippassambhati. Purimikāya senāsanaggāho paṭippassambhati. Sace pacchimikāya senāsane gahite liṅgaṃ parivattati, bhikkhunisaṅgho cassā uppannaṃ lābhaṃ dātukāmo hoti, apaloketvā dātabbo. Sace bhikkhunīhi sādhāraṇāya paṭicchannāya āpattiyā parivasantassa liṅgaṃ parivattati, pakkhamānattameva dātabbaṃ. Sace mānattaṃ carantassa parivattati, puna pakkhamānattameva dātabbaṃ. Sace ciṇṇamānattassa parivattati, bhikkhunīhi abbhānakammaṃ kātabbaṃ. Sace akusalavipāke parikkhīṇe pakkhamānattakāle punadeva liṅgaṃ parivattati, chārattaṃ mānattameva dātabbaṃ. Sace ciṇṇe pakkhamānatte parivattati, bhikkhūhi abbhānakammaṃ kātabbanti.
อนนฺตเร ภิกฺขุนิยา ลิงฺคปริวตฺตนวตฺถุมฺหิ อิธ วุตฺตนเยเนว สโพฺพ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ อยํ ปน วิเสโส – สเจปิ ภิกฺขุนิกาเล อาปนฺนา สญฺจริตฺตาปตฺติ ปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ปริวาสทานํ นตฺถิ, ฉารตฺตํ มานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ ปกฺขมานตฺตํ จรนฺติยา ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, น เตนโตฺถ, ฉารตฺตํ มานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ จิณฺณมานตฺตาย ปริวตฺตติ, ปุน มานตฺตํ อทตฺวา ภิกฺขูหิ อเพฺภตโพฺพฯ อถ ภิกฺขูหิ มานเตฺต อทิเนฺน ปุน ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ภิกฺขุนีหิ ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ อถ ฉารตฺตํ มานตฺตํ จรนฺตสฺส ปุน ปริวตฺตติ, ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ จิณฺณมานตฺตสฺส ปน ลิงฺคปริวเตฺต ชาเต ภิกฺขุนีหิ อพฺภานกมฺมํ กาตพฺพํ ฯ ปุน ปริวเตฺต จ ลิเงฺค ภิกฺขุนิภาเว ฐิตายปิ ยา อาปตฺติโย ปุเพฺพ ปฎิปฺปสฺสทฺธา, ตา สุปฺปฎิปฺปสฺสทฺธา เอวาติฯ
Anantare bhikkhuniyā liṅgaparivattanavatthumhi idha vuttanayeneva sabbo vinicchayo veditabbo. Ayaṃ pana viseso – sacepi bhikkhunikāle āpannā sañcarittāpatti paṭicchannā hoti, parivāsadānaṃ natthi, chārattaṃ mānattameva dātabbaṃ. Sace pakkhamānattaṃ carantiyā liṅgaṃ parivattati, na tenattho, chārattaṃ mānattameva dātabbaṃ. Sace ciṇṇamānattāya parivattati, puna mānattaṃ adatvā bhikkhūhi abbhetabbo. Atha bhikkhūhi mānatte adinne puna liṅgaṃ parivattati, bhikkhunīhi pakkhamānattameva dātabbaṃ. Atha chārattaṃ mānattaṃ carantassa puna parivattati, pakkhamānattameva dātabbaṃ. Ciṇṇamānattassa pana liṅgaparivatte jāte bhikkhunīhi abbhānakammaṃ kātabbaṃ . Puna parivatte ca liṅge bhikkhunibhāve ṭhitāyapi yā āpattiyo pubbe paṭippassaddhā, tā suppaṭippassaddhā evāti.
๗๐. อิโต ปรานิ ‘‘มาตุยา เมถุนํ ธมฺม’’นฺติอาทีนิ จตฺตาริ วตฺถูนิ อุตฺตานตฺถานิเยวฯ
70. Ito parāni ‘‘mātuyā methunaṃ dhamma’’ntiādīni cattāri vatthūni uttānatthāniyeva.
๗๑. มุทุปิฎฺฐิกวตฺถุมฺหิ โส กิร ภิกฺขุ นฎปุพฺพโกฯ ตสฺส สิปฺปโกสลฺลตฺถํ ปริกมฺมกตา ปิฎฺฐิ มุทุกา อโหสิฯ ตสฺมา เอวํ กาตุํ อสกฺขิฯ
71. Mudupiṭṭhikavatthumhi so kira bhikkhu naṭapubbako. Tassa sippakosallatthaṃ parikammakatā piṭṭhi mudukā ahosi. Tasmā evaṃ kātuṃ asakkhi.
ลมฺพีวตฺถุมฺหิ ตสฺส ภิกฺขุสฺส องฺคชาตํ ทีฆํ โหติ ลมฺพติ, ตสฺมา ลมฺพีติ วุโตฺตฯ
Lambīvatthumhi tassa bhikkhussa aṅgajātaṃ dīghaṃ hoti lambati, tasmā lambīti vutto.
อิโต ปรานิ เทฺว วณวตฺถูนิ อุตฺตานาเนวฯ เลปจิตฺตวตฺถุมฺหิ เลปจิตฺตํ นาม จิตฺตกมฺมรูปํฯ
Ito parāni dve vaṇavatthūni uttānāneva. Lepacittavatthumhi lepacittaṃ nāma cittakammarūpaṃ.
ทารุธีตลิกวตฺถุมฺหิ ทารุธีตลิกา นาม กฎฺฐรูปํฯ ยถา จ อิเมสุ ทฺวีสุ เอวํ อเญฺญสุปิ ทนฺตรูป-โปตฺถกรูป-โลหรูปาทีสุ อนุปาทินฺนเกสุ อิตฺถิรูเปสุ นิมิเตฺต เมถุนราเคน อุปกฺกมนฺตสฺส อสุจิ มุจฺจตุ วา มา วา, ทุกฺกฎเมวฯ กายสํสคฺคราเคน อุปกฺกมนฺตสฺสาปิ ตเถว ทุกฺกฎํฯ โมจนราเคน ปน อุปกฺกมนฺตสฺส มุเตฺต สงฺฆาทิเสโส, อมุเตฺต ถุลฺลจฺจยนฺติฯ
Dārudhītalikavatthumhi dārudhītalikā nāma kaṭṭharūpaṃ. Yathā ca imesu dvīsu evaṃ aññesupi dantarūpa-potthakarūpa-loharūpādīsu anupādinnakesu itthirūpesu nimitte methunarāgena upakkamantassa asuci muccatu vā mā vā, dukkaṭameva. Kāyasaṃsaggarāgena upakkamantassāpi tatheva dukkaṭaṃ. Mocanarāgena pana upakkamantassa mutte saṅghādiseso, amutte thullaccayanti.
๗๒. สุนฺทรวตฺถุมฺหิ อยํ สุนฺทโร นาม ราชคเห กุลทารโก สทฺธาย ปพฺพชิโต; อตฺตภาวสฺส อภิรูปตาย ‘‘สุนฺทโร’’ติ นามํ ลภิฯ ตํ รถิกาย คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สมุปฺปนฺนฉนฺทราคา สา อิตฺถี อิมํ วิปฺปการํ อกาสิฯ เถโร ปน อนาคามีฯ ตสฺมา โส น สาทิยิฯ อเญฺญสํ ปน อวิสโย เอโสฯ
72. Sundaravatthumhi ayaṃ sundaro nāma rājagahe kuladārako saddhāya pabbajito; attabhāvassa abhirūpatāya ‘‘sundaro’’ti nāmaṃ labhi. Taṃ rathikāya gacchantaṃ disvā samuppannachandarāgā sā itthī imaṃ vippakāraṃ akāsi. Thero pana anāgāmī. Tasmā so na sādiyi. Aññesaṃ pana avisayo eso.
อิโต ปเรสุ จตูสุ วตฺถูสุ เต ภิกฺขู ชฬา ทุเมฺมธา มาตุคามสฺส วจนํ คเหตฺวา ตถา กตฺวา ปจฺฉา กุกฺกุจฺจายิํสุฯ
Ito paresu catūsu vatthūsu te bhikkhū jaḷā dummedhā mātugāmassa vacanaṃ gahetvā tathā katvā pacchā kukkuccāyiṃsu.
๗๓. อกฺขายิตาทีนิ ตีณิ วตฺถูนิ อุตฺตานตฺถาเนวฯ ทฺวีสุ ฉินฺนสีสวตฺถูสุ อยํ วินิจฺฉโย – วฎฺฎกเต มุเข วิวเฎ องฺคชาตํ ปเวเสโนฺต สเจ เหฎฺฐา วา อุปริ วา อุภยปเสฺสหิ วา ฉุปนฺตํ ปเวเสติ, ปาราชิกํฯ จตูหิปิ ปเสฺสหิ อฉุปนฺตํ ปเวเสตฺวา อพฺภนฺตเร ตาลุกํ ฉุปติ, ปาราชิกเมวฯ จตฺตาริ ปสฺสานิ ตาลุกญฺจ อฉุปโนฺต อากาสคตเมว กตฺวา ปเวเสติ จ นีหรติ จ, ทุกฺกฎํฯ ยทิ ปน ทนฺตา สุผุสิตา, อโนฺตมุเข โอกาโส นตฺถิ, ทนฺตา จ พหิ โอฎฺฐมํเสน ปฎิจฺฉนฺนา, ตตฺถ วาเตน อสมฺผุฎฺฐํ อโลฺลกาสํ ติลผลมตฺตมฺปิ ปเวเสนฺตสฺส ปาราชิกเมวฯ อุปฺปาฎิเต ปน โอฎฺฐมํเส ทเนฺตสุเยว อุปกฺกมนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยํฯ โยปิ ทโนฺต พหิ นิกฺขมิตฺวา ติฎฺฐติ , น สกฺกา โอเฎฺฐหิ ปิทหิตุํฯ ตตฺถ อุปกฺกมเนฺตปิ พหิ นิกฺขนฺตชิวฺหาย อุปกฺกมเนฺตปิ ถุลฺลจฺจยเมวฯ ชีวมานกสรีเรปิ พหิ นิกฺขนฺตชิวฺหาย ถุลฺลจฺจยเมวฯ ยทิ ปน พหิชิวฺหาย ปลิเวเฐตฺวา อโนฺตมุขํ ปเวเสติ, ปาราชิกเมวฯ อุปริคีวาย ฉินฺนสีสสฺสปิ อโธภาเคน องฺคชาตํ ปเวเสตฺวา ตาลุกํ ฉุปนฺตสฺส ปาราชิกเมวฯ
73. Akkhāyitādīni tīṇi vatthūni uttānatthāneva. Dvīsu chinnasīsavatthūsu ayaṃ vinicchayo – vaṭṭakate mukhe vivaṭe aṅgajātaṃ pavesento sace heṭṭhā vā upari vā ubhayapassehi vā chupantaṃ paveseti, pārājikaṃ. Catūhipi passehi achupantaṃ pavesetvā abbhantare tālukaṃ chupati, pārājikameva. Cattāri passāni tālukañca achupanto ākāsagatameva katvā paveseti ca nīharati ca, dukkaṭaṃ. Yadi pana dantā suphusitā, antomukhe okāso natthi, dantā ca bahi oṭṭhamaṃsena paṭicchannā, tattha vātena asamphuṭṭhaṃ allokāsaṃ tilaphalamattampi pavesentassa pārājikameva. Uppāṭite pana oṭṭhamaṃse dantesuyeva upakkamantassa thullaccayaṃ. Yopi danto bahi nikkhamitvā tiṭṭhati , na sakkā oṭṭhehi pidahituṃ. Tattha upakkamantepi bahi nikkhantajivhāya upakkamantepi thullaccayameva. Jīvamānakasarīrepi bahi nikkhantajivhāya thullaccayameva. Yadi pana bahijivhāya paliveṭhetvā antomukhaṃ paveseti, pārājikameva. Uparigīvāya chinnasīsassapi adhobhāgena aṅgajātaṃ pavesetvā tālukaṃ chupantassa pārājikameva.
อฎฺฐิกวตฺถุมฺหิ สุสานํ คจฺฉนฺตสฺสาปิ ทุกฺกฎํฯ อฎฺฐิกานิ สงฺกฑฺฒนฺตสฺสาปิ, นิมิเตฺต เมถุนราเคน อุปกฺกมนฺตสฺสาปิ, กายสํสคฺคราเคน อุปกฺกมนฺตสฺสาปิ, มุจฺจตุ วา มา วา, ทุกฺกฎเมวฯ โมจนราเคน ปน อุปกฺกมนฺตสฺส มุจฺจเนฺต สงฺฆาทิเสโส, อมุจฺจเนฺต ถุลฺลจฺจยเมวฯ
Aṭṭhikavatthumhi susānaṃ gacchantassāpi dukkaṭaṃ. Aṭṭhikāni saṅkaḍḍhantassāpi, nimitte methunarāgena upakkamantassāpi, kāyasaṃsaggarāgena upakkamantassāpi, muccatu vā mā vā, dukkaṭameva. Mocanarāgena pana upakkamantassa muccante saṅghādiseso, amuccante thullaccayameva.
นาคีวตฺถุมฺหิ นาคมาณวิกา วา โหตุ กินฺนรีอาทีนํ วา อญฺญตรา, สพฺพตฺถ ปาราชิกํฯ
Nāgīvatthumhi nāgamāṇavikā vā hotu kinnarīādīnaṃ vā aññatarā, sabbattha pārājikaṃ.
ยกฺขีวตฺถุมฺหิ สพฺพาปิ เทวตา ยกฺขีเยวฯ
Yakkhīvatthumhi sabbāpi devatā yakkhīyeva.
เปตีวตฺถุมฺหิ นิชฺฌามตณฺหิกาทิเปติโย อลฺลียิตุมฺปิ น สกฺกาฯ วิมานเปติโย ปน อตฺถิ; ยาสํ กาฬปเกฺข อกุสลํ วิปจฺจติ, ชุณฺหปเกฺข เทวตา วิย สมฺปตฺติํ อนุโภนฺติฯ เอวรูปาย เปติยา วา ยกฺขิยา วา สเจ ทสฺสน-คหณ-อามสน-ผุสน-ฆฎฺฎนานิ ปญฺญายนฺติ, ปาราชิกํฯ อถาปิ ทสฺสนํ นตฺถิ, อิตรานิ ปญฺญายนฺติ, ปาราชิกเมวฯ อถ ทสฺสนคหณานิ น ปญฺญายนฺติ, อามสนผุสนฆฎฺฎเนหิ ปญฺญายมาเนหิ ตํ ปุคฺคลํ วิสญฺญํ กตฺวา อตฺตโน มโนรถํ ปูเรตฺวา คจฺฉติ, อยํ อวิสโย นามฯ ตสฺมา เอตฺถ อวิสยตฺตา อนาปตฺติฯ ปณฺฑกวตฺถุ ปากฎเมวฯ
Petīvatthumhi nijjhāmataṇhikādipetiyo allīyitumpi na sakkā. Vimānapetiyo pana atthi; yāsaṃ kāḷapakkhe akusalaṃ vipaccati, juṇhapakkhe devatā viya sampattiṃ anubhonti. Evarūpāya petiyā vā yakkhiyā vā sace dassana-gahaṇa-āmasana-phusana-ghaṭṭanāni paññāyanti, pārājikaṃ. Athāpi dassanaṃ natthi, itarāni paññāyanti, pārājikameva. Atha dassanagahaṇāni na paññāyanti, āmasanaphusanaghaṭṭanehi paññāyamānehi taṃ puggalaṃ visaññaṃ katvā attano manorathaṃ pūretvā gacchati, ayaṃ avisayo nāma. Tasmā ettha avisayattā anāpatti. Paṇḍakavatthu pākaṭameva.
อุปหตินฺทฺริยวตฺถุมฺหิ อุปหตินฺทฺริโยติ อุปหตกายปฺปสาโท ขาณุกณฺฎกมิว สุขํ วา ทุกฺขํ วา น เวทยติฯ อเวทยนฺตสฺสาปิ เสวนจิตฺตวเสน อาปตฺติฯ
Upahatindriyavatthumhi upahatindriyoti upahatakāyappasādo khāṇukaṇṭakamiva sukhaṃ vā dukkhaṃ vā na vedayati. Avedayantassāpi sevanacittavasena āpatti.
ฉุปิตมตฺตวตฺถุสฺมิํ โย ‘‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิสฺสามี’’ติ มาตุคามํ คณฺหิตฺวา เมถุเน วิรชฺชิตฺวา วิปฺปฎิสารี โหติ, ทุกฺกฎเมวสฺส โหติฯ เมถุนธมฺมสฺส หิ ปุพฺพปโยคา หตฺถคฺคาหาทโย ยาว สีสํ น ปาปุณาติ, ตาว ทุกฺกเฎ ติฎฺฐนฺติฯ สีเส ปเตฺต ปาราชิกํ โหติฯ ปฐมปาราชิกสฺส หิ ทุกฺกฎเมว สามนฺตํฯ อิตเรสํ ติณฺณํ ถุลฺลจฺจยํฯ อยํ ปน ภิกฺขุ เมถุนธเมฺม วิรชฺชิตฺวา กายสํสคฺคํ สาทิยีติ เวทิตโพฺพฯ เตนาห ภควา – ‘‘อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสา’’ติฯ
Chupitamattavatthusmiṃ yo ‘‘methunaṃ dhammaṃ paṭisevissāmī’’ti mātugāmaṃ gaṇhitvā methune virajjitvā vippaṭisārī hoti, dukkaṭamevassa hoti. Methunadhammassa hi pubbapayogā hatthaggāhādayo yāva sīsaṃ na pāpuṇāti, tāva dukkaṭe tiṭṭhanti. Sīse patte pārājikaṃ hoti. Paṭhamapārājikassa hi dukkaṭameva sāmantaṃ. Itaresaṃ tiṇṇaṃ thullaccayaṃ. Ayaṃ pana bhikkhu methunadhamme virajjitvā kāyasaṃsaggaṃ sādiyīti veditabbo. Tenāha bhagavā – ‘‘āpatti saṅghādisesassā’’ti.
๗๔. ภทฺทิยวตฺถุสฺมิํ ภทฺทิยํ นาม ตํ นครํฯ ชาติยาวนํ นาม ชาติปุปฺผคุมฺพานํ อุสฺสนฺนตาย เอวํ ลทฺธนามํ; ตํ ตสฺส นครสฺส อุปจาเร วนํ โหติฯ โส ตตฺถ นิปโนฺน เตน วาตุปตฺถเมฺภน มหานิทฺทํ โอกฺกมิฯ เอกรสํ ภวงฺคเมว วตฺตติฯ กิลินฺนํ ปสฺสิตฺวาติ อสุจิกิลิฎฺฐํ ปสฺสิตฺวาฯ
74. Bhaddiyavatthusmiṃ bhaddiyaṃ nāma taṃ nagaraṃ. Jātiyāvanaṃ nāma jātipupphagumbānaṃ ussannatāya evaṃ laddhanāmaṃ; taṃ tassa nagarassa upacāre vanaṃ hoti. So tattha nipanno tena vātupatthambhena mahāniddaṃ okkami. Ekarasaṃ bhavaṅgameva vattati. Kilinnaṃ passitvāti asucikiliṭṭhaṃ passitvā.
๗๕. อิโต ปรานิ สาทิยนปฎิสํยุตฺตานิ จตฺตาริ วตฺถูนิ, อชานนวตฺถุ จาติ ปญฺจ อุตฺตานตฺถาเนวฯ
75. Ito parāni sādiyanapaṭisaṃyuttāni cattāri vatthūni, ajānanavatthu cāti pañca uttānatthāneva.
๗๖. ทฺวีสุ อสาทิยนวตฺถูสุ สหสา วุฎฺฐาสีติ อาสีวิเสน ทโฎฺฐ วิย อคฺคินา ทโฑฺฒ วิย จ ตุริตํ วุฎฺฐาสิฯ อกฺกมิตฺวา ปวเตฺตสีติ อปฺปมโตฺต ภิกฺขุ อารทฺธวิปสฺสโก อุปฎฺฐิตสฺสติ ขิปฺปํ วุฎฺฐหโนฺตว อกฺกมิตฺวา ภูมิยํ วเฎฺฎโนฺต ปริวเฎฺฎโนฺต วิเหเฐโนฺต ปาเตสิฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณเกน หิ เอวรูเปสุ ฐาเนสุ จิตฺตํ รกฺขิตพฺพํฯ อยญฺจ เตสํ อญฺญตโร สงฺคามสีสโยโธ ภิกฺขุฯ
76. Dvīsu asādiyanavatthūsu sahasā vuṭṭhāsīti āsīvisena daṭṭho viya agginā daḍḍho viya ca turitaṃ vuṭṭhāsi. Akkamitvā pavattesīti appamatto bhikkhu āraddhavipassako upaṭṭhitassati khippaṃ vuṭṭhahantova akkamitvā bhūmiyaṃ vaṭṭento parivaṭṭento viheṭhento pātesi. Puthujjanakalyāṇakena hi evarūpesu ṭhānesu cittaṃ rakkhitabbaṃ. Ayañca tesaṃ aññataro saṅgāmasīsayodho bhikkhu.
๗๗. ทฺวารํ วิวริตฺวา นิปนฺนวตฺถุมฺหิ ทิวา ปฎิสลฺลียเนฺตนาติ ทิวา นิปชฺชเนฺตนฯ ทฺวารํ สํวริตฺวา ปฎิสลฺลียิตุนฺติ ทฺวารํ ปิทหิตฺวา นิปชฺชิตุํฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ ปาฬิยํ ‘‘อยํ นาม อาปตฺตี’’ติ น วุตฺตาฯ วิวริตฺวา นิปนฺนโทเสน ปน อุปฺปเนฺน วตฺถุสฺมิํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทิวา ปฎิสลฺลียเนฺตน ทฺวารํ สํวริตฺวา ปฎิสลฺลียิตุ’’นฺติ วุตฺตตฺตา อสํวริตฺวา ปฎิสลฺลียนฺตสฺส ทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ ภควโต หิ อธิปฺปายํ ญตฺวา อุปาลิเตฺถราทีหิ อฎฺฐกถา ฐปิตาฯ ‘‘อตฺถาปตฺติ ทิวา อาปชฺชติ โน รตฺติ’’นฺติ (ปริ. ๓๒๓) อิมินาปิ เจตํ สิทฺธํฯ
77. Dvāraṃ vivaritvā nipannavatthumhi divā paṭisallīyantenāti divā nipajjantena. Dvāraṃ saṃvaritvā paṭisallīyitunti dvāraṃ pidahitvā nipajjituṃ. Ettha ca kiñcāpi pāḷiyaṃ ‘‘ayaṃ nāma āpattī’’ti na vuttā. Vivaritvā nipannadosena pana uppanne vatthusmiṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, divā paṭisallīyantena dvāraṃ saṃvaritvā paṭisallīyitu’’nti vuttattā asaṃvaritvā paṭisallīyantassa dukkaṭaṃ vuttaṃ. Bhagavato hi adhippāyaṃ ñatvā upālittherādīhi aṭṭhakathā ṭhapitā. ‘‘Atthāpatti divā āpajjati no ratti’’nti (pari. 323) imināpi cetaṃ siddhaṃ.
กีทิสํ ปน ทฺวารํ สํวริตพฺพํ, กีทิสํ น สํวริตพฺพํ? รุกฺขปทรเวฬุปทรกิลญฺชปณฺณาทีนํ เยน เกนจิ กวาฎํ กตฺวา เหฎฺฐา อุทุกฺขเล อุปริ อุตฺตรปาสเก จ ปเวเสตฺวา กตํ ปริวตฺตกทฺวารเมว สํวริตพฺพํฯ อญฺญํ โครูปานํ วเชสุ วิย รุกฺขสูจิกณฺฎกทฺวารํ, คามถกนกํ จกฺกลกยุตฺตทฺวารํ, ผลเกสุ วา กิฎิกาสุ วา เทฺว ตีณิ จกฺกลกานิ โยเชตฺวา กตํ สํสรณกิฎิกทฺวารํ, อาปเณสุ วิย กตํ อุคฺฆาฎนกิฎิกทฺวารํ, ทฺวีสุ ตีสุ ฐาเนสุ เวณุสลากา โคเปฺผตฺวา ปณฺณกุฎีสุ กตํ สลากหตฺถกทฺวารํ, ทุสฺสสาณิทฺวารนฺติ เอวรูปํ ทฺวารํ น สํวริตพฺพํฯ ปตฺตหตฺถสฺส กวาฎปฺปณามเน ปน เอกํ ทุสฺสสาณิทฺวารเมว อนาปตฺติกรํ, อวเสสานิ ปณาเมนฺตสฺส อาปตฺติฯ ทิวา ปฎิสลฺลียนฺตสฺส ปน ปริวตฺตกทฺวารเมว อาปตฺติกรํ, เสสานิ สํวริตฺวา วา อสํวริตฺวา วา นิปนฺนสฺส อาปตฺติ นตฺถิฯ สํวริตฺวา ปน นิปชฺชิตพฺพํ, เอตํ วตฺตํฯ
Kīdisaṃ pana dvāraṃ saṃvaritabbaṃ, kīdisaṃ na saṃvaritabbaṃ? Rukkhapadaraveḷupadarakilañjapaṇṇādīnaṃ yena kenaci kavāṭaṃ katvā heṭṭhā udukkhale upari uttarapāsake ca pavesetvā kataṃ parivattakadvārameva saṃvaritabbaṃ. Aññaṃ gorūpānaṃ vajesu viya rukkhasūcikaṇṭakadvāraṃ, gāmathakanakaṃ cakkalakayuttadvāraṃ, phalakesu vā kiṭikāsu vā dve tīṇi cakkalakāni yojetvā kataṃ saṃsaraṇakiṭikadvāraṃ, āpaṇesu viya kataṃ ugghāṭanakiṭikadvāraṃ, dvīsu tīsu ṭhānesu veṇusalākā gopphetvā paṇṇakuṭīsu kataṃ salākahatthakadvāraṃ, dussasāṇidvāranti evarūpaṃ dvāraṃ na saṃvaritabbaṃ. Pattahatthassa kavāṭappaṇāmane pana ekaṃ dussasāṇidvārameva anāpattikaraṃ, avasesāni paṇāmentassa āpatti. Divā paṭisallīyantassa pana parivattakadvārameva āpattikaraṃ, sesāni saṃvaritvā vā asaṃvaritvā vā nipannassa āpatti natthi. Saṃvaritvā pana nipajjitabbaṃ, etaṃ vattaṃ.
ปริวตฺตกทฺวารํ ปน กิตฺตเกน สํวุตํ โหติ? สูจิฆฎิกาทีสุ ทินฺนาสุ สํวุตเมว โหติฯ อปิจ โข สูจิมเตฺตปิ ทิเนฺน วฎฺฎติฯ ฆฎิกมเตฺตปิ ทิเนฺน วฎฺฎติฯ ทฺวารพาหํ ผุสิตฺวา ปิหิตมเตฺตปิ วฎฺฎติฯ อีสกํ อผุสิเตปิ วฎฺฎติฯ สพฺพนฺติเมน วิธินา ยาวตา สีสํ นปฺปวิสติ ตาวตา อผุสิเตปิ วฎฺฎตีติฯ สเจ พหูนํ วฬญฺชนฎฺฐานํ โหติ, ภิกฺขุํ วา สามเณรํ วา ‘‘ทฺวารํ, อาวุโส, ชคฺคาหี’’ติ วตฺวาปิ นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ อถ ภิกฺขู จีวรกมฺมํ วา อญฺญํ วา กิญฺจิ กโรนฺตา นิสินฺนา โหนฺติ, ‘‘เอเต ทฺวารํ ชคฺคิสฺสนฺตี’’ติ อาโภคํ กตฺวาปิ นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อุปาสกมฺปิ อาปุจฺฉิตฺวา วา, ‘เอส ชคฺคิสฺสตี’ติ อาโภคํ กตฺวา วา นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ เกวลํ ภิกฺขุนิํ วา มาตุคามํ วา อาปุจฺฉิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ อถ ทฺวารสฺส อุทุกฺขลํ วา อุตฺตรปาสโก วา ภิโนฺน วา โหติ อฎฺฐปิโต วา, สํวริตุํ น สโกฺกติ, นวกมฺมตฺถํ วา ปน อิฎฺฐกปุโญฺช วา มตฺติกาทีนํ วา ราสิ อโนฺตทฺวาเร กโต โหติ, อฎฺฎํ วา พนฺธนฺติ, ยถา สํวริตุํ น สโกฺกติ; เอวรูเป อนฺตราเย สติ อสํวริตฺวาปิ นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ยทิ ปน กวาฎํ นตฺถิ, ลทฺธกปฺปเมวฯ อุปริ สยเนฺตน นิเสฺสณิํ อาโรเปตฺวา นิปชฺชิตพฺพํฯ สเจ นิเสฺสณิมตฺถเก ถกนกํ โหติ, ถเกตฺวาปิ นิปชฺชิตพฺพํฯ คเพฺภ นิปชฺชเนฺตน คพฺภทฺวารํ วา ปมุขทฺวารํ วา ยํกิญฺจิ สํวริตฺวา นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ สเจ เอกกุฎฺฎเก เคเห ทฺวีสุ ปเสฺสสุ ทฺวารานิ กตฺวา วฬญฺชนฺติ, เทฺวปิ ทฺวารานิ ชคฺคิตพฺพานิฯ
Parivattakadvāraṃ pana kittakena saṃvutaṃ hoti? Sūcighaṭikādīsu dinnāsu saṃvutameva hoti. Apica kho sūcimattepi dinne vaṭṭati. Ghaṭikamattepi dinne vaṭṭati. Dvārabāhaṃ phusitvā pihitamattepi vaṭṭati. Īsakaṃ aphusitepi vaṭṭati. Sabbantimena vidhinā yāvatā sīsaṃ nappavisati tāvatā aphusitepi vaṭṭatīti. Sace bahūnaṃ vaḷañjanaṭṭhānaṃ hoti, bhikkhuṃ vā sāmaṇeraṃ vā ‘‘dvāraṃ, āvuso, jaggāhī’’ti vatvāpi nipajjituṃ vaṭṭati. Atha bhikkhū cīvarakammaṃ vā aññaṃ vā kiñci karontā nisinnā honti, ‘‘ete dvāraṃ jaggissantī’’ti ābhogaṃ katvāpi nipajjituṃ vaṭṭati. Kurundaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘upāsakampi āpucchitvā vā, ‘esa jaggissatī’ti ābhogaṃ katvā vā nipajjituṃ vaṭṭati. Kevalaṃ bhikkhuniṃ vā mātugāmaṃ vā āpucchituṃ na vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Atha dvārassa udukkhalaṃ vā uttarapāsako vā bhinno vā hoti aṭṭhapito vā, saṃvarituṃ na sakkoti, navakammatthaṃ vā pana iṭṭhakapuñjo vā mattikādīnaṃ vā rāsi antodvāre kato hoti, aṭṭaṃ vā bandhanti, yathā saṃvarituṃ na sakkoti; evarūpe antarāye sati asaṃvaritvāpi nipajjituṃ vaṭṭati. Yadi pana kavāṭaṃ natthi, laddhakappameva. Upari sayantena nisseṇiṃ āropetvā nipajjitabbaṃ. Sace nisseṇimatthake thakanakaṃ hoti, thaketvāpi nipajjitabbaṃ. Gabbhe nipajjantena gabbhadvāraṃ vā pamukhadvāraṃ vā yaṃkiñci saṃvaritvā nipajjituṃ vaṭṭati. Sace ekakuṭṭake gehe dvīsu passesu dvārāni katvā vaḷañjanti, dvepi dvārāni jaggitabbāni.
ติภูมเกปิ ปาสาเท ทฺวารํ ชคฺคิตพฺพเมวฯ สเจ ภิกฺขาจารา ปฎิกฺกมฺม โลหปาสาทสทิสํ ปาสาทํ พหู ภิกฺขู ทิวาวิหารตฺถํ ปวิสนฺติ, สงฺฆเตฺถเรน ทฺวารปาลสฺส ‘‘ทฺวารํ ชคฺคาหี’’ติ วตฺวา วา ‘‘ทฺวารชคฺคนํ เอตสฺส ภาโร’’ติ อาโภคํ กตฺวา วา ปวิสิตฺวา นิปชฺชิตพฺพํ ฯ ยาว สงฺฆนวเกน เอวเมว กตฺตพฺพํฯ ปุเร ปวิสนฺตานํ ‘‘ทฺวารชคฺคนํ นาม ปจฺฉิมานํ ภาโร’’ติ เอวํ อาโภคํ กาตุมฺปิ วฎฺฎติฯ อนาปุจฺฉา วา อาโภคํ วา อกตฺวา อโนฺตคเพฺภ วา อสํวุตทฺวาเร พหิ วา นิปชฺชนฺตานํ อาปตฺติฯ คเพฺภ วา พหิ วา นิปชฺชนกาเลปิ ‘‘ทฺวารชคฺคนํ นาม มหาทฺวาเร ทฺวารปาลสฺส ภาโร’’ติ อาโภคํ กตฺวา นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติเยวฯ โลหปาสาทาทีสุ อากาสตเล นิปชฺชเนฺตนาปิ ทฺวารํ สํวริตพฺพเมวฯ
Tibhūmakepi pāsāde dvāraṃ jaggitabbameva. Sace bhikkhācārā paṭikkamma lohapāsādasadisaṃ pāsādaṃ bahū bhikkhū divāvihāratthaṃ pavisanti, saṅghattherena dvārapālassa ‘‘dvāraṃ jaggāhī’’ti vatvā vā ‘‘dvārajagganaṃ etassa bhāro’’ti ābhogaṃ katvā vā pavisitvā nipajjitabbaṃ . Yāva saṅghanavakena evameva kattabbaṃ. Pure pavisantānaṃ ‘‘dvārajagganaṃ nāma pacchimānaṃ bhāro’’ti evaṃ ābhogaṃ kātumpi vaṭṭati. Anāpucchā vā ābhogaṃ vā akatvā antogabbhe vā asaṃvutadvāre bahi vā nipajjantānaṃ āpatti. Gabbhe vā bahi vā nipajjanakālepi ‘‘dvārajagganaṃ nāma mahādvāre dvārapālassa bhāro’’ti ābhogaṃ katvā nipajjituṃ vaṭṭatiyeva. Lohapāsādādīsu ākāsatale nipajjantenāpi dvāraṃ saṃvaritabbameva.
อยเญฺหตฺถ สเงฺขโป – อิทํ ทิวาปฎิสลฺลียนํ เยน เกนจิ ปริกฺขิเตฺต สทฺวารพเนฺธ ฐาเน กถิตํฯ ตสฺมา อโพฺภกาเส วา รุกฺขมูเล วา มณฺฑเป วา ยตฺถ กตฺถจิ สทฺวารพเนฺธ นิปชฺชเนฺตน ทฺวารํ สํวริตฺวาว นิปชฺชิตพฺพํฯ สเจ มหาปริเวณํ โหติ, มหาโพธิยงฺคณโลหปาสาทงฺคณสทิสํ พหูนํ โอสรณฎฺฐานํ, ยตฺถ ทฺวารํ สํวุตมฺปิ สํวุตฎฺฐาเน น ติฎฺฐติ, ทฺวารํ อลภนฺตา ปาการํ อารุหิตฺวาปิ วิจรนฺติ, ตตฺถ สํวรณกิจฺจํ นตฺถิฯ รตฺติํ ทฺวารํ วิวริตฺวา นิปโนฺน อรุเณ อุคฺคเต อุฎฺฐหติ, อนาปตฺติฯ สเจ ปพุชฺฌิตฺวา ปุน สุปติ, อาปตฺติฯ โย ปน ‘‘อรุเณ อุคฺคเต วุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวาว ทฺวารํ อสํวริตฺวา รตฺติํ นิปชฺชติ, ยถาปริเจฺฉทเมว จ น วุฎฺฐาติ, ตสฺส อาปตฺติเยวฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘เอวํ นิปชฺชโนฺต อนาทริยทุกฺกฎาปิ น มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ
Ayañhettha saṅkhepo – idaṃ divāpaṭisallīyanaṃ yena kenaci parikkhitte sadvārabandhe ṭhāne kathitaṃ. Tasmā abbhokāse vā rukkhamūle vā maṇḍape vā yattha katthaci sadvārabandhe nipajjantena dvāraṃ saṃvaritvāva nipajjitabbaṃ. Sace mahāpariveṇaṃ hoti, mahābodhiyaṅgaṇalohapāsādaṅgaṇasadisaṃ bahūnaṃ osaraṇaṭṭhānaṃ, yattha dvāraṃ saṃvutampi saṃvutaṭṭhāne na tiṭṭhati, dvāraṃ alabhantā pākāraṃ āruhitvāpi vicaranti, tattha saṃvaraṇakiccaṃ natthi. Rattiṃ dvāraṃ vivaritvā nipanno aruṇe uggate uṭṭhahati, anāpatti. Sace pabujjhitvā puna supati, āpatti. Yo pana ‘‘aruṇe uggate vuṭṭhahissāmī’’ti paricchinditvāva dvāraṃ asaṃvaritvā rattiṃ nipajjati, yathāparicchedameva ca na vuṭṭhāti, tassa āpattiyeva. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘evaṃ nipajjanto anādariyadukkaṭāpi na muccatī’’ti vuttaṃ.
โย ปน พหุเทว รตฺติํ ชคฺคิตฺวา อทฺธานํ วา คนฺตฺวา ทิวา กิลนฺตรูโป มเญฺจ นิสิโนฺน ปาเท ภูมิโต อโมเจตฺวาว นิทฺทาวเสน นิปชฺชติ, ตสฺส อนาปตฺติฯ สเจ โอกฺกนฺตนิโทฺท อชานโนฺตปิ ปาเท มญฺจกํ อาโรเปติ, อาปตฺติเยวฯ นิสีทิตฺวา อปสฺสาย สุปนฺตสฺส อนาปตฺติฯ โยปิ จ ‘‘นิทฺทํ วิโนเทสฺสามี’’ติ จงฺกมโนฺต ปติตฺวา สหสาว วุฎฺฐาติ, ตสฺสาปิ อนาปตฺติฯ โย ปน ปติตฺวา ตเตฺถว สยติ, น วุฎฺฐาติ, ตสฺส อาปตฺติฯ
Yo pana bahudeva rattiṃ jaggitvā addhānaṃ vā gantvā divā kilantarūpo mañce nisinno pāde bhūmito amocetvāva niddāvasena nipajjati, tassa anāpatti. Sace okkantaniddo ajānantopi pāde mañcakaṃ āropeti, āpattiyeva. Nisīditvā apassāya supantassa anāpatti. Yopi ca ‘‘niddaṃ vinodessāmī’’ti caṅkamanto patitvā sahasāva vuṭṭhāti, tassāpi anāpatti. Yo pana patitvā tattheva sayati, na vuṭṭhāti, tassa āpatti.
โก มุจฺจติ, โก น มุจฺจตีติ? มหาปจฺจริยํ ตาว ‘‘เอกภเงฺคน นิปนฺนโกเยว มุจฺจติฯ ปาเท ปน ภูมิโต โมเจตฺวา นิปโนฺน ยกฺขคหิตโกปิ วิสญฺญีภูโตปิ น มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ปน ‘‘พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโตว มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน ‘‘โย จงฺกมโนฺต มุจฺจิตฺวา ปติโต ตเตฺถว สุปติ, ตสฺสาปิ อวิสยตฺตา อาปตฺติ น ทิสฺสติฯ อาจริยา ปน เอวํ น กถยนฺติฯ ตสฺมา อาปตฺติเยวาติ มหาปทุมเตฺถเรน วุตฺตํฯ เทฺว ปน ชนา อาปตฺติโต มุจฺจนฺติเยว, โย จ ยกฺขคหิตโก, โย จ พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโต’’ติฯ
Ko muccati, ko na muccatīti? Mahāpaccariyaṃ tāva ‘‘ekabhaṅgena nipannakoyeva muccati. Pāde pana bhūmito mocetvā nipanno yakkhagahitakopi visaññībhūtopi na muccatī’’ti vuttaṃ. Kurundaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘bandhitvā nipajjāpitova muccatī’’ti vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘yo caṅkamanto muccitvā patito tattheva supati, tassāpi avisayattā āpatti na dissati. Ācariyā pana evaṃ na kathayanti. Tasmā āpattiyevāti mahāpadumattherena vuttaṃ. Dve pana janā āpattito muccantiyeva, yo ca yakkhagahitako, yo ca bandhitvā nipajjāpito’’ti.
๗๘. ภารุกจฺฉกวตฺถุมฺหิ อนาปตฺติ สุปินเนฺตนาติ ยสฺมา สุปินเนฺต อวิสยตฺตา เอวํ โหติ, ตสฺมา อุปาลิเตฺถโร ภควตา อวินิจฺฉิตปุพฺพมฺปิ อิมํ วตฺถุํ นยคฺคาเหน วินิจฺฉินิฯ ภควาปิ จ สุตฺวา ‘‘สุกถิตํ, ภิกฺขเว, อุปาลินา; อปเท ปทํ กโรโนฺต วิย, อากาเส ปทํ ทเสฺสโนฺต วิย อุปาลิ อิมํ ปญฺหํ กเถสี’’ติ วตฺวา เถรํ เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ วินยธรานํ ยทิทํ อุปาลี’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙, ๒๒๘)ฯ อิโต ปรานิ สุปพฺพาทีนิ วตฺถูนิ อุตฺตานตฺถาเนวฯ
78. Bhārukacchakavatthumhi anāpatti supinantenāti yasmā supinante avisayattā evaṃ hoti, tasmā upālitthero bhagavatā avinicchitapubbampi imaṃ vatthuṃ nayaggāhena vinicchini. Bhagavāpi ca sutvā ‘‘sukathitaṃ, bhikkhave, upālinā; apade padaṃ karonto viya, ākāse padaṃ dassento viya upāli imaṃ pañhaṃ kathesī’’ti vatvā theraṃ etadagge ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ vinayadharānaṃ yadidaṃ upālī’’ti (a. ni. 1.219, 228). Ito parāni supabbādīni vatthūni uttānatthāneva.
๘๐. ภิกฺขุนีสมฺปโยชนาทีสุ เต ลิจฺฉวิกุมารกา ขิฑฺฑาปสุตา อตฺตโน อนาจาเรน เอวํ อกํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย จ ลิจฺฉวีนํ วินาโส เอว อุทปาทิฯ
80. Bhikkhunīsampayojanādīsu te licchavikumārakā khiḍḍāpasutā attano anācārena evaṃ akaṃsu. Tato paṭṭhāya ca licchavīnaṃ vināso eva udapādi.
๘๒. วุฑฺฒปพฺพชิตวตฺถุมฺหิ ทสฺสนํ อคมาสีติ อนุกมฺปาย ‘‘ตํ ทกฺขิสฺสามี’’ติ เคหํ อคมาสิฯ อถสฺส สา อตฺตโน จ ทารกานญฺจ นานปฺปกาเรหิ อนาถภาวํ สํวเณฺณสิฯ อนเปกฺขญฺจ นํ ญตฺวา กุปิตา ‘‘เอหิ วิพฺภมาหี’’ติ พลกฺกาเรน อคฺคเหสิฯ โส อตฺตานํ โมเจตุํ ปฎิกฺกมโนฺต ชราทุพฺพลตาย อุตฺตาโน ปริปติฯ ตโต สา อตฺตโน มนํ อกาสิฯ โส ปน ภิกฺขุ อนาคามี สมุจฺฉินฺนกามราโค ตสฺมา น สาทิยีติฯ
82. Vuḍḍhapabbajitavatthumhi dassanaṃ agamāsīti anukampāya ‘‘taṃ dakkhissāmī’’ti gehaṃ agamāsi. Athassa sā attano ca dārakānañca nānappakārehi anāthabhāvaṃ saṃvaṇṇesi. Anapekkhañca naṃ ñatvā kupitā ‘‘ehi vibbhamāhī’’ti balakkārena aggahesi. So attānaṃ mocetuṃ paṭikkamanto jarādubbalatāya uttāno paripati. Tato sā attano manaṃ akāsi. So pana bhikkhu anāgāmī samucchinnakāmarāgo tasmā na sādiyīti.
๘๓. มิคโปตกวตฺถุ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
83. Migapotakavatthu uttānatthamevāti.
วินีตวตฺถุ นิฎฺฐิตํฯ
Vinītavatthu niṭṭhitaṃ.
สมนฺตปาสาทิกาย วินยสํวณฺณนาย
Samantapāsādikāya vinayasaṃvaṇṇanāya
ปฐมปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.
ตตฺริทํ สมนฺตปาสาทิกาย สมนฺตปาสาทิกตฺตสฺมิํ –
Tatridaṃ samantapāsādikāya samantapāsādikattasmiṃ –
อาจริยปรมฺปรโต, นิทานวตฺถุปฺปเภททีปนโต;
Ācariyaparamparato, nidānavatthuppabhedadīpanato;
ปรสมยวิวชฺชนโต, สกสมยวิสุทฺธิโต เจวฯ
Parasamayavivajjanato, sakasamayavisuddhito ceva.
พฺยญฺชนปริโสธนโต, ปทตฺถโต ปาฬิโยชนกฺกมโต;
Byañjanaparisodhanato, padatthato pāḷiyojanakkamato;
สิกฺขาปทนิจฺฉยโต, วิภงฺคนยเภททสฺสนโตฯ
Sikkhāpadanicchayato, vibhaṅganayabhedadassanato.
สมฺปสฺสตํ น ทิสฺสติ, กิญฺจิ อปาสาทิกํ ยโต เอตฺถ;
Sampassataṃ na dissati, kiñci apāsādikaṃ yato ettha;
วิญฺญูนมยํ ตสฺมา, สมนฺตปาสาทิกาเตฺววฯ
Viññūnamayaṃ tasmā, samantapāsādikātveva.
สํวณฺณนา ปวตฺตา, วินยสฺส วิเนยฺยทมนกุสเลน;
Saṃvaṇṇanā pavattā, vinayassa vineyyadamanakusalena;
วุตฺตสฺส โลกนาเถน, โลกมนุกมฺปมาเนนาติฯ
Vuttassa lokanāthena, lokamanukampamānenāti.
ปฐมปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā
สุทินฺนภาณวารวณฺณนา • Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā
มกฺกฎิวตฺถุกถาวณฺณนา • Makkaṭivatthukathāvaṇṇanā
วชฺชิปุตฺตกวตฺถุวณฺณนา • Vajjiputtakavatthuvaṇṇanā
จตุพฺพิธวินยกถาวณฺณนา • Catubbidhavinayakathāvaṇṇanā
สิกฺขาปจฺจกฺขานวิภงฺควณฺณนา • Sikkhāpaccakkhānavibhaṅgavaṇṇanā
มูลปญฺญตฺติวณฺณนา • Mūlapaññattivaṇṇanā
อนุปญฺญตฺติวณฺณนา • Anupaññattivaṇṇanā
ปฐมจตุกฺกกถาวณฺณนา • Paṭhamacatukkakathāvaṇṇanā
เอกูนสตฺตติทฺวิสตจตุกฺกกถาวณฺณนา • Ekūnasattatidvisatacatukkakathāvaṇṇanā
สนฺถตจตุกฺกเภทกถาวณฺณนา • Santhatacatukkabhedakathāvaṇṇanā
ราชปจฺจตฺถิกาทิจตุกฺกเภทกถาวณฺณนา • Rājapaccatthikādicatukkabhedakathāvaṇṇanā
อาปตฺตานาปตฺติวารวณฺณนา • Āpattānāpattivāravaṇṇanā
วินีตวตฺถุวณฺณนา • Vinītavatthuvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā
สุทินฺนภาณวารวณฺณนา • Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā
มกฺกฎีวตฺถุกถาวณฺณนา • Makkaṭīvatthukathāvaṇṇanā
วชฺชิปุตฺตกวตฺถุวณฺณนา • Vajjiputtakavatthuvaṇṇanā
จตุพฺพิธวินยกถาวณฺณนา • Catubbidhavinayakathāvaṇṇanā
สิกฺขาปจฺจกฺขานกถาวณฺณนา • Sikkhāpaccakkhānakathāvaṇṇanā
มูลปญฺญตฺติกถาวณฺณนา • Mūlapaññattikathāvaṇṇanā
ปฐมจตุกฺกกถาวณฺณนา • Paṭhamacatukkakathāvaṇṇanā
เอกูนสตฺตติทฺวิสตจตุกฺกกถาวณฺณนา • Ekūnasattatidvisatacatukkakathāvaṇṇanā
สนฺถตจตุกฺกเภทกกถาวณฺณนา • Santhatacatukkabhedakakathāvaṇṇanā
วินีตวตฺถุวณฺณนา • Vinītavatthuvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā
สุทินฺนภาณวารวณฺณนา • Sudinnabhāṇavāravaṇṇanā
มกฺกฎีวตฺถุกถาวณฺณนา • Makkaṭīvatthukathāvaṇṇanā
วชฺชิปุตฺตกวตฺถุกถาวณฺณนา • Vajjiputtakavatthukathāvaṇṇanā
จตุพฺพิธวินยาทิกถาวณฺณนา • Catubbidhavinayādikathāvaṇṇanā
ปจฺจกฺขานวิภงฺควณฺณนา • Paccakkhānavibhaṅgavaṇṇanā
มูลปญฺญตฺติวณฺณนา • Mūlapaññattivaṇṇanā
อนุปญฺญตฺติวณฺณนา • Anupaññattivaṇṇanā
ปฐมจตุกฺกวณฺณนา • Paṭhamacatukkavaṇṇanā
เอกูนสตฺตติทฺวิสตจตุกฺกกถาวณฺณนา • Ekūnasattatidvisatacatukkakathāvaṇṇanā
สนฺถตจตุกฺกเภทกถาวณฺณนา • Santhatacatukkabhedakathāvaṇṇanā
ราชปจฺจตฺถิกาทิจตุกฺกเภทกถาวณฺณนา • Rājapaccatthikādicatukkabhedakathāvaṇṇanā
อาปตฺตานาปตฺติวารวณฺณนา • Āpattānāpattivāravaṇṇanā
วินีตวตฺถุวณฺณนา • Vinītavatthuvaṇṇanā