Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-อภินว-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-abhinava-ṭīkā |
ปาราชิกกณฺฑํ
Pārājikakaṇḍaṃ
อิทานิ นิทานุเทฺทสานนฺตรํ วุตฺตสฺส ปาราชิกุเทฺทสสฺส อตฺถํ สํวเณฺณตุํ ‘‘อิทานี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ นิทานานนฺตรนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส, นิทานํ อนนฺตรํ กตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถาติ ปาราชิกกเณฺฑฯ ปาติโมเกฺขติ ภิกฺขุปาติโมเกฺขฯ จตฺตาโรติ คณนปริเจฺฉโท อูนาติเรกภาวนิวตฺตนโตฯ ปาราชิกาติ สชาตินามํฯ อาปตฺติโยติ สพฺพสาธารณนามํฯ อุทฺทิสียตีติ อุเทฺทโสฯ ภาวปฺปธาโนยํ นิเทฺทโสฯ เตนาห ‘‘อุทฺทิสิตพฺพต’’นฺติฯ
Idāni nidānuddesānantaraṃ vuttassa pārājikuddesassa atthaṃ saṃvaṇṇetuṃ ‘‘idānī’’tiādi āraddhaṃ. Nidānānantaranti bhāvanapuṃsakaniddeso, nidānaṃ anantaraṃ katvāti vuttaṃ hoti. Tatthāti pārājikakaṇḍe. Pātimokkheti bhikkhupātimokkhe. Cattāroti gaṇanaparicchedo ūnātirekabhāvanivattanato. Pārājikāti sajātināmaṃ. Āpattiyoti sabbasādhāraṇanāmaṃ. Uddisīyatīti uddeso. Bhāvappadhānoyaṃ niddeso. Tenāha ‘‘uddisitabbata’’nti.
๑. ปฐมปาราชิกวณฺณนา
1. Paṭhamapārājikavaṇṇanā
โย ปนาติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๔๕ ภิกฺขุปทภาชนียวณฺณนา) เอตฺถ ยสฺมา ปนาติ นิปาตมตฺตํ, โยติ อตฺถปทํ, ตญฺจ อนิยเมน ปุคฺคลํ ทีเปติฯ ตสฺมา ตสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โย โกจี’’ติ อาหฯ ยสฺมา ปน โย โยโกจิ นาม, โส อวสฺสํ ลิงฺคยุตฺตชาตินามโคตฺตสีลวิหารโคจรวเยสุ เอเกนากาเรน ปญฺญายติ, ตสฺมา ตํ ตถา ญาเปตุํ ‘‘รสฺสทีฆาทินา’’ติอาทิมาหฯ อาทิสเทฺทน นวกมฺมาทีนํ คหณํฯ ลิงฺคาทิเภเทนาติ ลิงฺคียติญายติ เอเตนาติ ลิงฺคํ, ตํ อาทิ เยสํ เตติ ลิงฺคาทโย, เตสํ เภโท ลิงฺคาทิเภโท, เตน ลิงฺคาทิเภเทนฯ เอตฺถาทิสเทฺทน ปน ยุตฺตาทีนํ คหณํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ลิงฺควเสน ยาทิโส วา ตาทิโส วา โหตุ, ทีโฆ วา รโสฺส วา กาโฬ วา โอทาโต วา มงฺคุรจฺฉวิ วา กิโส วา ถูโล วาฯ โยควเสน เยน วา เตน วา ยุโตฺต โหตุ, นวกมฺมยุโตฺต วา อุเทฺทสยุโตฺต วา วาสธุรยุโตฺต วาฯ ชาติวเสน ยํชโจฺจ วา ตํชโจฺจ วา โหตุ, ขตฺติโย วา พฺราหฺมโณ วา เวโสฺส วา สุโทฺธ วาฯ นามวเสน ยถานาโม วา ตถานาโม วา โหตุ, พุทฺธรกฺขิโต วา ธมฺมรกฺขิโต วา สงฺฆรกฺขิโต วาฯ โคตฺตวเสน ยถาโคโตฺต วา ตถาโคโตฺต วา โหตุ, กจฺจายโน วา วาสิโฎฺฐ วา โกสิโย วาฯ สีเลสุ ยถาสีโล วา ตถาสีโล วา โหตุ, นวกมฺมสีโล วา อุเทฺทสสีโล วา วาสธุรสีโล วาฯ วิหาเรสุปิ ยถาวิหารี วา ตถาวิหารี วา โหตุ, นวกมฺมวิหารี วา อุเทฺทสวิหารี วา วาสธุรวิหารี วา ฯ โคจเรสุปิ ยถาโคจโร วา ตถาโคจโร วา โหตุ, นวกมฺมโคจโร วา อุเทฺทสโคจโร วา วาสธุรโคจโร วาฯ วเยสุปิ โย วา โส วา โหตุ เถโร วา นโว วา มชฺฌิโม วา, อถ โข สโพฺพว อิมสฺมิํ อเตฺถ ‘‘โย’’ติ วุจฺจตีติฯ
Yo panāti (pārā. aṭṭha. 1.45 bhikkhupadabhājanīyavaṇṇanā) ettha yasmā panāti nipātamattaṃ, yoti atthapadaṃ, tañca aniyamena puggalaṃ dīpeti. Tasmā tassa atthaṃ dassento ‘‘yo kocī’’ti āha. Yasmā pana yo yokoci nāma, so avassaṃ liṅgayuttajātināmagottasīlavihāragocaravayesu ekenākārena paññāyati, tasmā taṃ tathā ñāpetuṃ ‘‘rassadīghādinā’’tiādimāha. Ādisaddena navakammādīnaṃ gahaṇaṃ. Liṅgādibhedenāti liṅgīyatiñāyati etenāti liṅgaṃ, taṃ ādi yesaṃ teti liṅgādayo, tesaṃ bhedo liṅgādibhedo, tena liṅgādibhedena. Etthādisaddena pana yuttādīnaṃ gahaṇaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – liṅgavasena yādiso vā tādiso vā hotu, dīgho vā rasso vā kāḷo vā odāto vā maṅguracchavi vā kiso vā thūlo vā. Yogavasena yena vā tena vā yutto hotu, navakammayutto vā uddesayutto vā vāsadhurayutto vā. Jātivasena yaṃjacco vā taṃjacco vā hotu, khattiyo vā brāhmaṇo vā vesso vā suddho vā. Nāmavasena yathānāmo vā tathānāmo vā hotu, buddharakkhito vā dhammarakkhito vā saṅgharakkhito vā. Gottavasena yathāgotto vā tathāgotto vā hotu, kaccāyano vā vāsiṭṭho vā kosiyo vā. Sīlesu yathāsīlo vā tathāsīlo vā hotu, navakammasīlo vā uddesasīlo vā vāsadhurasīlo vā. Vihāresupi yathāvihārī vā tathāvihārī vā hotu, navakammavihārī vā uddesavihārī vā vāsadhuravihārī vā . Gocaresupi yathāgocaro vā tathāgocaro vā hotu, navakammagocaro vā uddesagocaro vā vāsadhuragocaro vā. Vayesupi yo vā so vā hotu thero vā navo vā majjhimo vā, atha kho sabbova imasmiṃ atthe ‘‘yo’’ti vuccatīti.
อิทานิ ‘‘ภิกฺขู’’ติ ปทํ สํวเณฺณตุํ ‘‘เอหิภิกฺขูปสมฺปทา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘เอหิ ภิกฺขู’’ติ ภควโต วจนมเตฺตน ภิกฺขุภาโว เอหิภิกฺขูปสมฺปทาฯ ‘‘พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามี’’ติอาทินา (มหาว. ๑๐๕) นเยน ติกฺขตฺตุํ วาจํ ภินฺทิตฺวา วุเตฺตหิ ตีหิ สรณคมเนหิ อุปสมฺปทา สรณคมนูปสมฺปทาฯ โอวาทปฺปฎิคฺคหณูปสมฺปทา (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๔๕) นาม –
Idāni ‘‘bhikkhū’’ti padaṃ saṃvaṇṇetuṃ ‘‘ehibhikkhūpasampadā’’tiādimāha. Tattha ‘‘ehi bhikkhū’’ti bhagavato vacanamattena bhikkhubhāvo ehibhikkhūpasampadā. ‘‘Buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’tiādinā (mahāva. 105) nayena tikkhattuṃ vācaṃ bhinditvā vuttehi tīhi saraṇagamanehi upasampadā saraṇagamanūpasampadā. Ovādappaṭiggahaṇūpasampadā (pārā. aṭṭha. 1.45) nāma –
‘‘ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘ติพฺพํ เม หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสติ เถเรสุ นเวสุ มชฺฌิเมสู’ติ, เอวญฺหิ เต กสฺสป สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘ยํ กิญฺจิ ธมฺมํ สุณิสฺสามิ กุสลูปสํหิตํ, สพฺพํ ตํ อฎฺฐิํ กตฺวา มนสิ กริตฺวา สพฺพเจตสา สมนฺนาหริตฺวา โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณิสฺสามี’ติ, เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘สาตสหคตา จ เม กายคตาสติ น วิชหิสฺสตี’ติ, เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) –
‘‘Tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘tibbaṃ me hirottappaṃ paccupaṭṭhitaṃ bhavissati theresu navesu majjhimesū’ti, evañhi te kassapa sikkhitabbaṃ. Tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘yaṃ kiñci dhammaṃ suṇissāmi kusalūpasaṃhitaṃ, sabbaṃ taṃ aṭṭhiṃ katvā manasi karitvā sabbacetasā samannāharitvā ohitasoto dhammaṃ suṇissāmī’ti, evañhi te, kassapa, sikkhitabbaṃ. Tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘sātasahagatā ca me kāyagatāsati na vijahissatī’ti, evañhi te, kassapa, sikkhitabba’’nti (saṃ. ni. 2.154) –
อิมินา โอวาทปฺปฎิคฺคหเณน มหากสฺสปเตฺถรสฺส อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ
Iminā ovādappaṭiggahaṇena mahākassapattherassa anuññātaupasampadā.
ปญฺหาพฺยากรณูปสมฺปทา นาม โสปากสฺส อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ ภควา กิร ปุพฺพาราเม อนุจงฺกมนฺตํ โสปากสามเณรํ ‘‘‘อุทฺธุมาตกสญฺญา’ติ วา โสปาก ‘รูปสญฺญา’ติ วา อิเม ธมฺมา นานตฺถา นานาพฺยญฺชนา, อุทาหุ เอกตฺถา พฺยญฺชนเมว นาน’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๔๕) ทส อสุภนิสฺสิเต ปเญฺห ปุจฺฉิฯ โส เต พฺยากาสิฯ ภควา ตสฺส สาธุการํ ทตฺวา ‘‘กติวโสฺส ตฺวํ, โสปากา’’ติ ปุจฺฉิฯ สตฺตวโสฺสหํ ภควาติฯ ‘‘โสปาก, ตฺวํ มม สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สทฺธิํ สํสนฺทิตฺวา ปเญฺห พฺยากาสี’’ติ อารทฺธจิโตฺต อุปสมฺปทํ อนุชานิ, อยํ ปญฺหาพฺยากรณูปสมฺปทาฯ
Pañhābyākaraṇūpasampadā nāma sopākassa anuññātaupasampadā. Bhagavā kira pubbārāme anucaṅkamantaṃ sopākasāmaṇeraṃ ‘‘‘uddhumātakasaññā’ti vā sopāka ‘rūpasaññā’ti vā ime dhammā nānatthā nānābyañjanā, udāhu ekatthā byañjanameva nāna’’nti (pārā. aṭṭha. 1.45) dasa asubhanissite pañhe pucchi. So te byākāsi. Bhagavā tassa sādhukāraṃ datvā ‘‘kativasso tvaṃ, sopākā’’ti pucchi. Sattavassohaṃ bhagavāti. ‘‘Sopāka, tvaṃ mama sabbaññutaññāṇena saddhiṃ saṃsanditvā pañhe byākāsī’’ti āraddhacitto upasampadaṃ anujāni, ayaṃ pañhābyākaraṇūpasampadā.
อฎฺฐครุธมฺมปฎิคฺคหณูปสมฺปทา นาม มหาปชาปติยา อฎฺฐครุธมฺมปฺปฎิคฺคหเณน อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ
Aṭṭhagarudhammapaṭiggahaṇūpasampadā nāma mahāpajāpatiyā aṭṭhagarudhammappaṭiggahaṇena anuññātaupasampadā.
ทูเตนูปสมฺปทา นาม อฑฺฒกาสิยา คณิกาย อนุญฺญาตอุปสมฺปทาฯ
Dūtenūpasampadā nāma aḍḍhakāsiyā gaṇikāya anuññātaupasampadā.
อฎฺฐวาจิกูปสมฺปทา นาม ภิกฺขุนิยา ภิกฺขุนิสงฺฆโต ญตฺติจตุเตฺถน, ภิกฺขุสงฺฆโต ญตฺติจตุเตฺถนาติ อิเมหิ ทฺวีหิ กเมฺมหิ อุปสมฺปทาฯ
Aṭṭhavācikūpasampadā nāma bhikkhuniyā bhikkhunisaṅghato ñatticatutthena, bhikkhusaṅghato ñatticatutthenāti imehi dvīhi kammehi upasampadā.
ญตฺติจตุตฺถกมฺมูปสมฺปทา นาม ภิกฺขูนํ เอตรหิ อุปสมฺปทาฯ ญตฺติจตุเตฺถนาติ ตีหิ อนุสฺสาวนาหิ, เอกาย จ ญตฺติยาติ เอวํ ญตฺติจตุเตฺถนฯ กิญฺจาปิ หิ ญตฺติ สพฺพปฐมํ วุจฺจติ, ติสฺสนฺนํ ปน อนุสฺสาวนานํ อตฺถพฺยญฺชนเภทาภาวโต อตฺถพฺยญฺชนภินฺนํ ญตฺติํ ตาสํ จตุตฺถนฺติ กตฺวา ‘‘ญตฺติจตุตฺถ’’นฺติ วุจฺจติฯ อกุเปฺปนาติ อโกเปตพฺพตํ, อปฺปฎิโกฺกสิตพฺพตญฺจ อุปคเตนฯ ฐานารเหนาติ การณารเหน สตฺถุ สาสนารเหนฯ อุปสมฺปโนฺน นาม อุปริภาวํ สมาปโนฺน, ปโตฺตติ อโตฺถฯ ภิกฺขุภาโว หิ อุปริภาโว, ตเญฺจส ยถาวุเตฺตน กเมฺมน สมาปนฺนตฺตา ‘‘อุปสมฺปโนฺน’’ติ วุจฺจติฯ กสฺมา ปเนตฺถ อิมินาว อุปสมฺปโนฺน อิธ คหิโต, นาเญฺญหีติ? วุจฺจเต – เอหิภิกฺขูปสมฺปทา อนฺติมภวิกานเมว, สรณคมนูปสมฺปทา ปริสุทฺธานํ, โอวาทปฺปฎิคฺคหณปญฺหาพฺยากรณูปสมฺปทา มหากสฺสปโสปากานํ, น จ เต ภพฺพา ปาราชิกาทิโลกวชฺชํ อาปชฺชิตุํ, อฎฺฐครุธมฺมปฺปฎิคฺคหณาทโย จ ภิกฺขุนีนํเยว อนุญฺญาตาฯ อยญฺจ ภิกฺขุ, ตสฺมา ญตฺติจตุเตฺถเนว อุปสมฺปทากเมฺมน อุปสมฺปโนฺน อิธ คหิโต, นาเญฺญหีติ เวทิตโพฺพฯ ปณฺณตฺติวเชฺชสุ ปน สิกฺขาปเทสุ อเญฺญปิ เอหิภิกฺขูปสมฺปทาย อุปสมฺปนฺนาทโย สงฺคยฺหนฺติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๔๕ ภิกฺขุปทภาชนียวณฺณนา)ฯ วกฺขติ หิ ‘‘ปณฺณตฺติวเชฺชสุ ปน อเญฺญปิ สงฺคหํ คจฺฉนฺตี’’ติฯ อิทานิ ‘‘อกุเปฺปน ฐานารเหน อุปสมฺปโนฺน’’ติ สํขิเตฺตน วุตฺตมตฺถํ วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ตสฺส ปนา’’ติอาทิมาหฯ
Ñatticatutthakammūpasampadā nāma bhikkhūnaṃ etarahi upasampadā. Ñatticatutthenāti tīhi anussāvanāhi, ekāya ca ñattiyāti evaṃ ñatticatutthena. Kiñcāpi hi ñatti sabbapaṭhamaṃ vuccati, tissannaṃ pana anussāvanānaṃ atthabyañjanabhedābhāvato atthabyañjanabhinnaṃ ñattiṃ tāsaṃ catutthanti katvā ‘‘ñatticatuttha’’nti vuccati. Akuppenāti akopetabbataṃ, appaṭikkositabbatañca upagatena. Ṭhānārahenāti kāraṇārahena satthu sāsanārahena. Upasampanno nāma uparibhāvaṃ samāpanno, pattoti attho. Bhikkhubhāvo hi uparibhāvo, tañcesa yathāvuttena kammena samāpannattā ‘‘upasampanno’’ti vuccati. Kasmā panettha imināva upasampanno idha gahito, nāññehīti? Vuccate – ehibhikkhūpasampadā antimabhavikānameva, saraṇagamanūpasampadā parisuddhānaṃ, ovādappaṭiggahaṇapañhābyākaraṇūpasampadā mahākassapasopākānaṃ, na ca te bhabbā pārājikādilokavajjaṃ āpajjituṃ, aṭṭhagarudhammappaṭiggahaṇādayo ca bhikkhunīnaṃyeva anuññātā. Ayañca bhikkhu, tasmā ñatticatuttheneva upasampadākammena upasampanno idha gahito, nāññehīti veditabbo. Paṇṇattivajjesu pana sikkhāpadesu aññepi ehibhikkhūpasampadāya upasampannādayo saṅgayhanti (sārattha. ṭī. 2.45 bhikkhupadabhājanīyavaṇṇanā). Vakkhati hi ‘‘paṇṇattivajjesu pana aññepi saṅgahaṃ gacchantī’’ti. Idāni ‘‘akuppena ṭhānārahena upasampanno’’ti saṃkhittena vuttamatthaṃ vitthāretvā dassetuṃ ‘‘tassa panā’’tiādimāha.
ตตฺถาติ เตสุ ปญฺจสุฯ วสติ เอตฺถาติ วตฺถุ, อาธาโร ปติฎฺฐาฯ เตนาห ‘‘อุปสมฺปทาเปโกฺข ปุคฺคโล’’ติฯ อูนานิ อปริปุณฺณานิ วีสติ วสฺสานิ อสฺสาติ อูนวีสติวโสฺสฯ เอตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ อุปริ สปฺปาณกวเคฺค อูนวีสติสิกฺขาปเท (กงฺขา. อฎฺฐ. อูนวีสติวสฺสสิกฺขาปทวณฺณนา) วณฺณยิสฺสามฯ เตสูติ ปณฺฑกาทีสุ เอกาทสสุ อภพฺพปุคฺคเลสุฯ ปณฺฑโก (มหาว. อฎฺฐ. ๑๐๙) ปเนตฺถ ปญฺจวิโธ โหติ อาสิตฺตปณฺฑโก, อุสูยปณฺฑโก , โอปกฺกมิกปณฺฑโก, นปุํสกปณฺฑโก, ปกฺขปณฺฑโกติฯ เตสุ อาสิตฺตปณฺฑกสฺส จ อุสูยปณฺฑกสฺส จ ปพฺพชฺชา น วาริตา, อิตเรสํ ติณฺณํ วาริตาฯ เตสุปิ ปกฺขปณฺฑกสฺส ยสฺมิํ ปเกฺข ปณฺฑโก โหติ, ตสฺมิํเยวสฺส ปเกฺข ปพฺพชฺชา วาริตาติฯ ตโย เจตฺถ ปพฺพชฺชูปสมฺปทานํ อภพฺพตาย อวตฺถูฯ เตนาห ‘‘อาสิตฺตปณฺฑกญฺจา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ยสฺส ปเรสํ องฺคชาตํ มุเขน คเหตฺวา อสุจินา อาสิตฺตสฺส ปริฬาโห วูปสมฺมติ, อยํ อาสิตฺตปณฺฑโกฯ ยสฺส ปเรสํ อชฺฌาจารํ ปสฺสโต อุสูยาย อุปฺปนฺนาย ปริฬาโห วูปสมฺมติ, อยํ อุสูยปณฺฑโกฯ ยสฺส อุปกฺกเมน พีชานิ อปนีตานิ, อยํ โอปกฺกมิกปณฺฑโก (วิ. สงฺค. อฎฺฐ. ๑๓๕; วิ. วิ. ฎี. มหาวคฺค ๒.๑๐๙)ฯ โย ปน ปฎิสนฺธิยํเยว อภาวโก อุปฺปโนฺน, อยํ นปุํสกปณฺฑโกฯ เอกโจฺจ ปน อกุสลวิปากานุภาเวน กาฬปเกฺข ปณฺฑโก โหติ, ชุณฺหปเกฺข ปนสฺส ปริฬาโห วูปสมฺมติ, อยํ ปกฺขปณฺฑโกติ เวทิตโพฺพฯ
Tatthāti tesu pañcasu. Vasati etthāti vatthu, ādhāro patiṭṭhā. Tenāha ‘‘upasampadāpekkho puggalo’’ti. Ūnāni aparipuṇṇāni vīsati vassāni assāti ūnavīsativasso. Ettha yaṃ vattabbaṃ, taṃ upari sappāṇakavagge ūnavīsatisikkhāpade (kaṅkhā. aṭṭha. ūnavīsativassasikkhāpadavaṇṇanā) vaṇṇayissāma. Tesūti paṇḍakādīsu ekādasasu abhabbapuggalesu. Paṇḍako (mahāva. aṭṭha. 109) panettha pañcavidho hoti āsittapaṇḍako, usūyapaṇḍako , opakkamikapaṇḍako, napuṃsakapaṇḍako, pakkhapaṇḍakoti. Tesu āsittapaṇḍakassa ca usūyapaṇḍakassa ca pabbajjā na vāritā, itaresaṃ tiṇṇaṃ vāritā. Tesupi pakkhapaṇḍakassa yasmiṃ pakkhe paṇḍako hoti, tasmiṃyevassa pakkhe pabbajjā vāritāti. Tayo cettha pabbajjūpasampadānaṃ abhabbatāya avatthū. Tenāha ‘‘āsittapaṇḍakañcā’’tiādi. Tattha yassa paresaṃ aṅgajātaṃ mukhena gahetvā asucinā āsittassa pariḷāho vūpasammati, ayaṃ āsittapaṇḍako. Yassa paresaṃ ajjhācāraṃ passato usūyāya uppannāya pariḷāho vūpasammati, ayaṃ usūyapaṇḍako. Yassa upakkamena bījāni apanītāni, ayaṃ opakkamikapaṇḍako (vi. saṅga. aṭṭha. 135; vi. vi. ṭī. mahāvagga 2.109). Yo pana paṭisandhiyaṃyeva abhāvako uppanno, ayaṃ napuṃsakapaṇḍako. Ekacco pana akusalavipākānubhāvena kāḷapakkhe paṇḍako hoti, juṇhapakkhe panassa pariḷāho vūpasammati, ayaṃ pakkhapaṇḍakoti veditabbo.
เถเยฺยน สํวาโส เอตสฺสาติ เถยฺยสํวาสโกฯ โส จ น สํวาสมตฺตเสฺสว เถนโก อิธาธิเปฺปโต, อถ โข ลิงฺคสฺส, ตทุภยสฺส จ เถนโกปีติ อาห ‘‘เถยฺยสํวาสโก ปน ติวิโธ’’ติอาทิฯ น ภิกฺขุวสฺสานิ คเณตีติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐) ‘‘อหํ ทสวโสฺส วา วีสติวโสฺส วา’’ติ มุสา วตฺวา ภิกฺขุวสฺสานิ น คเณติฯ น ยถาวุฑฺฒํ ภิกฺขูนํ วา สามเณรานํ วา วนฺทนํ สาทิยตีติ อตฺตนา มุสาวาทํ กตฺวา ทสฺสิตวสฺสานุรูเปน ยถาวุฑฺฒํ วนฺทนํ นาธิวาเสติฯ น อาสเนน ปฎิพาหตีติ ‘‘อเปหิ, เม เอตํ ปาปุณาตี’’ติ อาสเนน นปฺปฎิพาหติฯ น อุโปสถาทีสุ สนฺทิสฺสตีติ อุโปสถปฺปวารณาทีสุ น สนฺทิสฺสติฯ ลิงฺคมตฺตเสฺสวาติ เอวสเทฺทน สํวาสํ นิวเตฺตติฯ สมาโนติ สโนฺตฯ ลิงฺคานุรูปสฺส สํวาสสฺสาติ สามเณรลิงฺคานุรูปสฺส สามเณรสํวาสสฺสฯ สเจ ปน กาสาเย ธุรํ นิกฺขิปิตฺวา นโคฺค วา โอทาตวตฺถนิวโตฺถ วา เมถุนเสวนาทีหิ อสฺสมโณ หุตฺวา กาสายานิ นิวาเสติ, ลิงฺคเตฺถนโก โหติฯ สเจ คิหิภาวํ ปตฺถยมาโน กาสายํ โอวฎฺฎิกํ กตฺวา, อเญฺญน วา อากาเรน คิหินิวาสเนน นิวาเสติ ‘‘โสภติ นุ โข เม คิหิลิงฺคํ, น โสภตี’’ติ วีมํสนตฺถํ, รกฺขติ ตาว, ‘‘โสภตี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปุน ลิงฺคํ สาทิยติ, ลิงฺคเตฺถนโก โหติฯ โอทาตํ นิวาเสตฺวา วีมํสนสมฺปฎิจฺฉเนสุปิ เอเสว นโย ฯ สเจปิ นิวตฺถกาสาวสฺส อุปริ โอทาตํ นิวาเสตฺวา วีมํสติ วา สมฺปฎิจฺฉติ วา, รกฺขติ เอวฯ
Theyyena saṃvāso etassāti theyyasaṃvāsako. So ca na saṃvāsamattasseva thenako idhādhippeto, atha kho liṅgassa, tadubhayassa ca thenakopīti āha ‘‘theyyasaṃvāsako pana tividho’’tiādi. Na bhikkhuvassāni gaṇetīti (mahāva. aṭṭha. 110) ‘‘ahaṃ dasavasso vā vīsativasso vā’’ti musā vatvā bhikkhuvassāni na gaṇeti. Na yathāvuḍḍhaṃ bhikkhūnaṃ vā sāmaṇerānaṃ vā vandanaṃ sādiyatīti attanā musāvādaṃ katvā dassitavassānurūpena yathāvuḍḍhaṃ vandanaṃ nādhivāseti. Na āsanena paṭibāhatīti ‘‘apehi, me etaṃ pāpuṇātī’’ti āsanena nappaṭibāhati. Na uposathādīsu sandissatīti uposathappavāraṇādīsu na sandissati. Liṅgamattassevāti evasaddena saṃvāsaṃ nivatteti. Samānoti santo. Liṅgānurūpassa saṃvāsassāti sāmaṇeraliṅgānurūpassa sāmaṇerasaṃvāsassa. Sace pana kāsāye dhuraṃ nikkhipitvā naggo vā odātavatthanivattho vā methunasevanādīhi assamaṇo hutvā kāsāyāni nivāseti, liṅgatthenako hoti. Sace gihibhāvaṃ patthayamāno kāsāyaṃ ovaṭṭikaṃ katvā, aññena vā ākārena gihinivāsanena nivāseti ‘‘sobhati nu kho me gihiliṅgaṃ, na sobhatī’’ti vīmaṃsanatthaṃ, rakkhati tāva, ‘‘sobhatī’’ti sampaṭicchitvā puna liṅgaṃ sādiyati, liṅgatthenako hoti. Odātaṃ nivāsetvā vīmaṃsanasampaṭicchanesupi eseva nayo . Sacepi nivatthakāsāvassa upari odātaṃ nivāsetvā vīmaṃsati vā sampaṭicchati vā, rakkhati eva.
อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนเกปิ เอเสว นโยติ ปาราชิกํ อาปนฺนเก ภิกฺขุมฺหิปิ เอเสว นโยติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเจ โกจิ ภิกฺขุ กาสาเย สอุสฺสาโหว โอทาตํ นิวาเสตฺวา เมถุนํ ปฎิเสวิตฺวา ปุน กาสายานิ นิวาเสตฺวา วสฺสคณนาทิเภทํ สพฺพํ วิธิํ อาปชฺชติ, อยํ ภิกฺขูหิ ทินฺนลิงฺคสฺส อปริจฺจตฺตตฺตา น ลิงฺคเตฺถนโก, ลิงฺคานุรูปสฺส สํวาสสฺส สาทิตตฺตา นาปิ สํวาสเตฺถนโกติฯ วิเทสนฺติ ปรเทสํฯ อิทญฺจ วเญฺจตุํ สกฺกุเณยฺยฎฺฐานํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ โย ปน สเทเสปิ เอวํ กโรติ, โสปิ สํวาสเตฺถนโกวฯ ‘‘สํวาสมตฺตเสฺสวา’’ติ อิมินา ลิงฺคํ ปฎิกฺขิปติฯ สเจ โกจิ วุฑฺฒปพฺพชิโต (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐) ภิกฺขุวสฺสานิ คเณตฺวา มหาเปฬาทีสุ ทิยฺยมานภตฺตํ คณฺหาติ, โสปิ เถยฺยสํวาสโก โหติฯ สยํ สามเณโรว สามเณรปฺปฎิปาฎิยา กูฎวสฺสานิ คเณตฺวา คณฺหโนฺต เถยฺยสํวาสโก น โหติฯ ภิกฺขุ ปน ภิกฺขุปฎิปาฎิยา กูฎวสฺสานิ คเณตฺวา คณฺหโนฺต ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพฯ
Antimavatthuajjhāpannakepi eseva nayoti pārājikaṃ āpannake bhikkhumhipi eseva nayoti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – sace koci bhikkhu kāsāye saussāhova odātaṃ nivāsetvā methunaṃ paṭisevitvā puna kāsāyāni nivāsetvā vassagaṇanādibhedaṃ sabbaṃ vidhiṃ āpajjati, ayaṃ bhikkhūhi dinnaliṅgassa apariccattattā na liṅgatthenako, liṅgānurūpassa saṃvāsassa sāditattā nāpi saṃvāsatthenakoti. Videsanti paradesaṃ. Idañca vañcetuṃ sakkuṇeyyaṭṭhānaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Yo pana sadesepi evaṃ karoti, sopi saṃvāsatthenakova. ‘‘Saṃvāsamattassevā’’ti iminā liṅgaṃ paṭikkhipati. Sace koci vuḍḍhapabbajito (mahāva. aṭṭha. 110) bhikkhuvassāni gaṇetvā mahāpeḷādīsu diyyamānabhattaṃ gaṇhāti, sopi theyyasaṃvāsako hoti. Sayaṃ sāmaṇerova sāmaṇerappaṭipāṭiyā kūṭavassāni gaṇetvā gaṇhanto theyyasaṃvāsako na hoti. Bhikkhu pana bhikkhupaṭipāṭiyā kūṭavassāni gaṇetvā gaṇhanto bhaṇḍagghena kāretabbo.
นนุ สํวาโส นาม เอกกมฺมํ เอกุเทฺทโส สมสิกฺขตาติ อาห ‘‘ภิกฺขุวสฺสคณนาทิโก หี’’ติอาทิฯ อิมินา น เกวลํ เอกกมฺมาทิโกว กิริยเภโท สํวาโสติ อิธาธิเปฺปโต, อถ โข ตทโญฺญ ภิกฺขุวสฺสคณนาทิโกปีติ ทเสฺสติฯ อิมสฺมิํ อเตฺถติ เถยฺยสํวาสกาธิกาเรฯ สิกฺขํ ปจฺจกฺขายาติ สิกฺขํ ปริจฺจชิตฺวาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเจ โกจิ ภิกฺขุ สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย ลิงฺคํ อนปเนตฺวา ทุสฺสีลกมฺมํ กตฺวา วา อกตฺวา วา ‘‘น มํ โกจิ ชานาตี’’ติ ปุน สพฺพํ ปุเพฺพ วุตฺตํ วสฺสคณนาทิเภทํ วิธิํ ปฎิปชฺชติ, โส เถยฺยสํวาสโก โหตีติฯ
Nanu saṃvāso nāma ekakammaṃ ekuddeso samasikkhatāti āha ‘‘bhikkhuvassagaṇanādiko hī’’tiādi. Iminā na kevalaṃ ekakammādikova kiriyabhedo saṃvāsoti idhādhippeto, atha kho tadañño bhikkhuvassagaṇanādikopīti dasseti. Imasmiṃ attheti theyyasaṃvāsakādhikāre. Sikkhaṃ paccakkhāyāti sikkhaṃ pariccajitvā. Idaṃ vuttaṃ hoti – sace koci bhikkhu sikkhaṃ paccakkhāya liṅgaṃ anapanetvā dussīlakammaṃ katvā vā akatvā vā ‘‘na maṃ koci jānātī’’ti puna sabbaṃ pubbe vuttaṃ vassagaṇanādibhedaṃ vidhiṃ paṭipajjati, so theyyasaṃvāsako hotīti.
สเจ ปน กสฺสจิ ราชา กุโทฺธ โหติ, โส ‘‘เอวํ เม โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา ปลายติฯ ตํ ทิสฺวา รโญฺญ อาโรเจนฺติฯ ราชา ‘‘สเจ ปพฺพชิโต, น ตํ ลพฺภา กิญฺจิ กาตุ’’นฺติ ตสฺมิํ โกธํ ปฎิวิเนติฯ โส ‘‘วูปสนฺตํ เม ราชภย’’นฺติ สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโต ปพฺพาเชตโพฺพฯ อถาปิ ‘‘สาสนํ นิสฺสาย มยา ชีวิตํ ลทฺธํ, หนฺท ทานิ อหํ ปพฺพชามี’’ติ อุปฺปนฺนสํเวโค เตเนว ลิเงฺคน อาคนฺตฺวา อาคนฺตุกวตฺตํ น สาทิยติ, ภิกฺขูหิ ปุโฎฺฐ วา อปุโฎฺฐ วา ยถาภูตมตฺตานํ อาวิกตฺวาว ปพฺพชฺชํ ยาจติ, ลิงฺคํ อปเนตฺวา ปพฺพาเชตโพฺพฯ สเจ ปน วตฺตํ สาทิยติ, ปพฺพชิตาลยํ ทเสฺสติ, สพฺพํ ปุเพฺพ วุตฺตํ วสฺสคณนาทิเภทํ ปฎิปชฺชติ, อยํ ปน น ปพฺพาเชตโพฺพฯ
Sace pana kassaci rājā kuddho hoti, so ‘‘evaṃ me sotthi bhavissatī’’ti sayameva liṅgaṃ gahetvā palāyati. Taṃ disvā rañño ārocenti. Rājā ‘‘sace pabbajito, na taṃ labbhā kiñci kātu’’nti tasmiṃ kodhaṃ paṭivineti. So ‘‘vūpasantaṃ me rājabhaya’’nti saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgato pabbājetabbo. Athāpi ‘‘sāsanaṃ nissāya mayā jīvitaṃ laddhaṃ, handa dāni ahaṃ pabbajāmī’’ti uppannasaṃvego teneva liṅgena āgantvā āgantukavattaṃ na sādiyati, bhikkhūhi puṭṭho vā apuṭṭho vā yathābhūtamattānaṃ āvikatvāva pabbajjaṃ yācati, liṅgaṃ apanetvā pabbājetabbo. Sace pana vattaṃ sādiyati, pabbajitālayaṃ dasseti, sabbaṃ pubbe vuttaṃ vassagaṇanādibhedaṃ paṭipajjati, ayaṃ pana na pabbājetabbo.
อิธ ปเนกโจฺจ ทุพฺภิเกฺข ชีวิตุํ อสโกฺกโนฺต สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา สพฺพปาสณฺฑิยภตฺตานิ ภุญฺชโนฺต ทุพฺภิเกฺข วีติวเตฺต สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโตติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ
Idha panekacco dubbhikkhe jīvituṃ asakkonto sayameva liṅgaṃ gahetvā sabbapāsaṇḍiyabhattāni bhuñjanto dubbhikkhe vītivatte saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgatoti sabbaṃ purimasadisameva.
อปโร มหากนฺตารํ นิตฺถริตุกาโม โหติ, สตฺถวาโห จ ปพฺพชิเต คเหตฺวา คจฺฉติฯ โส ‘‘เอวํ มํ สตฺถวาโห คเหตฺวา คมิสฺสตี’’ติ สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา สตฺถวาเหน สทฺธิํ กนฺตารํ นิตฺถริตฺวา เขมนฺตํ ปตฺวา สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโตติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ
Aparo mahākantāraṃ nittharitukāmo hoti, satthavāho ca pabbajite gahetvā gacchati. So ‘‘evaṃ maṃ satthavāho gahetvā gamissatī’’ti sayameva liṅgaṃ gahetvā satthavāhena saddhiṃ kantāraṃ nittharitvā khemantaṃ patvā saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgatoti sabbaṃ purimasadisameva.
อปโร โรคภเย (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐; วิ. สงฺค. อฎฺฐ. ๑๓๘) อุปฺปเนฺน ชีวิตุํ อสโกฺกโนฺต สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา สพฺพปาสณฺฑิยภตฺตานิ ภุญฺชโนฺต โรคภเย วูปสเนฺต สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโตติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ
Aparo rogabhaye (mahāva. aṭṭha. 110; vi. saṅga. aṭṭha. 138) uppanne jīvituṃ asakkonto sayameva liṅgaṃ gahetvā sabbapāsaṇḍiyabhattāni bhuñjanto rogabhaye vūpasante saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgatoti sabbaṃ purimasadisameva.
อปรสฺส เอโก เวริโก กุโทฺธ โหติ, ฆาเตตุกาโม นํ วิจรติฯ โส ‘‘เอวํ เม โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา ปลายติฯ เวริโก ‘‘กุหิํ โส’’ติ ปริเยสโนฺต ‘‘ปพฺพชิตฺวา ปลาโต’’ติ สุตฺวา ‘‘สเจ ปพฺพชิโต, น ตํ ลพฺภา กิญฺจิ กาตุ’’นฺติ ตสฺมิํ โกธํ ปฎิวิเนติฯ โส ‘‘วูปสนฺตํ เม เวริภย’’นฺติ สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโตติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ
Aparassa eko veriko kuddho hoti, ghātetukāmo naṃ vicarati. So ‘‘evaṃ me sotthi bhavissatī’’ti sayameva liṅgaṃ gahetvā palāyati. Veriko ‘‘kuhiṃ so’’ti pariyesanto ‘‘pabbajitvā palāto’’ti sutvā ‘‘sace pabbajito, na taṃ labbhā kiñci kātu’’nti tasmiṃ kodhaṃ paṭivineti. So ‘‘vūpasantaṃ me veribhaya’’nti saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgatoti sabbaṃ purimasadisameva.
อปโร ญาติกุลํ คนฺตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย คิหี หุตฺวา ‘‘อิมานิ จีวรานิ อิธ วินสฺสิสฺสนฺติ, สเจปิ อิมานิ คเหตฺวา วิหารํ คมิสฺสามิ, อนฺตรามเคฺค มํ ‘โจโร’ติ คเหสฺสนฺติ, ยํนูนาหํ กายปริหาริยานิ กตฺวา คเจฺฉยฺย’’นฺติ จีวราหรณตฺถํ นิวาเสตฺวา จ ปารุปิตฺวา จ วิหารํ คจฺฉติฯ ตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สามเณรา จ ทหรา จ อพฺภุคฺคจฺฉนฺติ, วตฺตํ ทเสฺสนฺติฯ โส น สาทิยติ, ยถาภูตมตฺตานํ อาวิกโรติฯ สเจ ภิกฺขู ‘‘น ทานิ มยํ ตํ มุญฺจิสฺสามา’’ติ พลกฺกาเรน ปพฺพาเชตุกามา โหนฺติ, กาสายานิ อปเนตฺวา ปุน ปพฺพาเชตโพฺพฯ สเจ ปน ‘‘น อิเม มม หีนายาวตฺตภาวํ ชานนฺตี’’ติ ตํเยว ภิกฺขุภาวํ ปฎิชานิตฺวา สพฺพํ ปุเพฺพ วุตฺตวสฺสคณนาทิเภทํ วิธิํ ปฎิปชฺชติ, อยํ น ปพฺพาเชตโพฺพฯ เตนาห ‘‘ราชทุพฺภิกฺขกนฺตาร-โรคเวรีภเยน วา’’ติอาทิฯ ภยสโทฺท เจตฺถ ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพ ‘‘ราชภเยน, ทุพฺภิกฺขภเยนา’’ติอาทินาฯ ลิงฺคํ อาทิยตีติ เวสํ คณฺหาติฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ สํวาสํ นาธิวาเสติ, ยาว โส สุทฺธมานโสติ ภิกฺขูนํ วเญฺจตุกามตาย อภาวโต โย สุทฺธมานโส ยาว สํวาสํ นาธิวาเสติ, ตาว เอส ‘‘คิหี มํ ‘สมโณ’ติ ชานนฺตู’’ติ วญฺจนจิเตฺต สติปิ ภิกฺขูนํ วเญฺจตุกามตาย อภาวโต โทโส นตฺถีติ เถยฺยสํวาสโก นามาติ น วุจฺจตีติ อโตฺถฯ
Aparo ñātikulaṃ gantvā sikkhaṃ paccakkhāya gihī hutvā ‘‘imāni cīvarāni idha vinassissanti, sacepi imāni gahetvā vihāraṃ gamissāmi, antarāmagge maṃ ‘coro’ti gahessanti, yaṃnūnāhaṃ kāyaparihāriyāni katvā gaccheyya’’nti cīvarāharaṇatthaṃ nivāsetvā ca pārupitvā ca vihāraṃ gacchati. Taṃ dūratova āgacchantaṃ disvā sāmaṇerā ca daharā ca abbhuggacchanti, vattaṃ dassenti. So na sādiyati, yathābhūtamattānaṃ āvikaroti. Sace bhikkhū ‘‘na dāni mayaṃ taṃ muñcissāmā’’ti balakkārena pabbājetukāmā honti, kāsāyāni apanetvā puna pabbājetabbo. Sace pana ‘‘na ime mama hīnāyāvattabhāvaṃ jānantī’’ti taṃyeva bhikkhubhāvaṃ paṭijānitvā sabbaṃ pubbe vuttavassagaṇanādibhedaṃ vidhiṃ paṭipajjati, ayaṃ na pabbājetabbo. Tenāha ‘‘rājadubbhikkhakantāra-rogaverībhayena vā’’tiādi. Bhayasaddo cettha paccekaṃ yojetabbo ‘‘rājabhayena, dubbhikkhabhayenā’’tiādinā. Liṅgaṃ ādiyatīti vesaṃ gaṇhāti. Idhāti imasmiṃ sāsane. Saṃvāsaṃ nādhivāseti, yāva so suddhamānasoti bhikkhūnaṃ vañcetukāmatāya abhāvato yo suddhamānaso yāva saṃvāsaṃ nādhivāseti, tāva esa ‘‘gihī maṃ ‘samaṇo’ti jānantū’’ti vañcanacitte satipi bhikkhūnaṃ vañcetukāmatāya abhāvato doso natthīti theyyasaṃvāsako nāmāti na vuccatīti attho.
ติตฺถิเยสุ ปกฺกนฺตโก ปวิโฎฺฐติ ติตฺถิยปกฺกนฺตโกฯ โส จ น เกวลํ ตตฺถ ปวิฎฺฐมเตฺตเนว ติตฺถิยปกฺกนฺตโก โหติ, อถ โข เตสํ ลทฺธิคฺคหเณนฯ เตนาห ‘‘โย ปนา’’ติอาทิฯ ‘‘อุปสมฺปโนฺน’’ติ อิมินา อนุปสมฺปโนฺน ติตฺถิยปกฺกนฺตโก น โหตีติ ทเสฺสติฯ วุตฺตเญฺหตํ กุรุนฺทิอฎฺฐกถายํ ‘‘อยญฺจ ติตฺถิยปกฺกนฺตโก นาม อุปสมฺปนฺนภิกฺขุนา กถิโต, ตสฺมา สามเณโร สลิเงฺคน ติตฺถายตนํ คโตปิ ปุน ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๐)ฯ กุสจีราทิกนฺติ เอตฺถาทิสเทฺทน ผลกกฺขณฺฑชฎาทีนํ คหณํฯ สเจปิ ‘‘อยํ ปพฺพชฺชา เสฎฺฐา’’ติ เสฎฺฐภาวํ วา อุปคจฺฉติ, น มุจฺจติ, ติตฺถิยปกฺกนฺตโกว โหติฯ วตานีติ อุกฺกุฎิกปฺปธานาทีนิ วตานิฯ สเจ ปน ‘‘โสภติ นุ โข เม ติตฺถิยปพฺพชฺชา, นนุ โข โสภตี’’ติ วีมํสนตฺถํ กุสจีราทีนิ นิวาเสติ, ชฎํ วา พนฺธติ, ขาริกาชํ วา อาทิยติ, ยาว น สมฺปฎิจฺฉติ ตํ ลทฺธิํ, ตาว รกฺขติ, สมฺปฎิจฺฉิตมเตฺต ติตฺถิยปกฺกนฺตโก โหติฯ อจฺฉินฺนจีวโร ปน กุสจีราทีนิ นิวาเสโนฺต, ราชภยาทีหิ วา ติตฺถิยลิงฺคํ คณฺหโนฺต ลทฺธิยา อภาเวน เนว ติตฺถิยปกฺกนฺตโก โหติฯ
Titthiyesu pakkantako paviṭṭhoti titthiyapakkantako. So ca na kevalaṃ tattha paviṭṭhamatteneva titthiyapakkantako hoti, atha kho tesaṃ laddhiggahaṇena. Tenāha ‘‘yo panā’’tiādi. ‘‘Upasampanno’’ti iminā anupasampanno titthiyapakkantako na hotīti dasseti. Vuttañhetaṃ kurundiaṭṭhakathāyaṃ ‘‘ayañca titthiyapakkantako nāma upasampannabhikkhunā kathito, tasmā sāmaṇero saliṅgena titthāyatanaṃ gatopi puna pabbajjañca upasampadañca labhatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 110). Kusacīrādikanti etthādisaddena phalakakkhaṇḍajaṭādīnaṃ gahaṇaṃ. Sacepi ‘‘ayaṃ pabbajjā seṭṭhā’’ti seṭṭhabhāvaṃ vā upagacchati, na muccati, titthiyapakkantakova hoti. Vatānīti ukkuṭikappadhānādīni vatāni. Sace pana ‘‘sobhati nu kho me titthiyapabbajjā, nanu kho sobhatī’’ti vīmaṃsanatthaṃ kusacīrādīni nivāseti, jaṭaṃ vā bandhati, khārikājaṃ vā ādiyati, yāva na sampaṭicchati taṃ laddhiṃ, tāva rakkhati, sampaṭicchitamatte titthiyapakkantako hoti. Acchinnacīvaro pana kusacīrādīni nivāsento, rājabhayādīhi vā titthiyaliṅgaṃ gaṇhanto laddhiyā abhāvena neva titthiyapakkantako hoti.
อวเสโส สโพฺพปีติ นาคสุปณฺณยกฺขคนฺธพฺพาทิโกฯ ยเญฺหตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ
Avaseso sabbopīti nāgasupaṇṇayakkhagandhabbādiko. Yañhettha vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva.
ยถา สมานชาติกสฺส (สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๑๑๒) วิโกปเน กมฺมํ ครุตรํ, น ตถา วิชาติกสฺสาติ อาห ‘‘มนุสฺสชาติกา’’ติฯ ปุตฺตสมฺพเนฺธน มาตาปิตุสมญฺญา, ทตฺตกิตฺติมาทิวเสนปิ ปุตฺตโวหาโร โลเก ทิสฺสติ, โส จ โข ปริยายโตติ นิปฺปริยายสิทฺธตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ชเนตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ชเนตฺตีติ ชนิกา, มาตาติ อโตฺถฯ ยถา มนุสฺสตฺตภาเว ฐิตเสฺสว กุสลธมฺมานํ ติกฺขวิสทสูรภาวาปตฺติ, ยถา ตํ ติณฺณมฺปิ โพธิสตฺตานํ โพธิตฺตยนิปฺผตฺติยํ, เอวํ มนุสฺสตฺตภาเว ฐิตเสฺสว อกุสลธมฺมานมฺปิ ติกฺขวิสทสูรภาวาปตฺตีติ อาห ‘‘มนุสฺสภูเตเนวา’’ติฯ สญฺจิจฺจาติ ‘‘ปาโณ’’ติ สญฺญาย สทฺธิํ วธกเจตนาย เจเตตฺวาฯ อยํ มาตุฆาตโก นามาติ อยํ อานนฺตริเยน มาตุฆาตกกเมฺมน มาตุฆาตโก นามฯ เยน ปน มนุสฺสิตฺถิภูตาปิ อชนิกา โปสาวนิกมาตา วา มหามาตา วา จูฬมาตา วา ชนิกาปิ วา อมนุสฺสิตฺถิภูตา มาตา ฆาติตา, ตสฺส ปพฺพชฺชา น วาริตา, น จ อานนฺตริโก โหติฯ เยน สยํ ติรจฺฉานภูเตน มนุสฺสิตฺถิภูตา มาตา ฆาติตา, โสปิ อานนฺตริโก น โหติฯ ติรจฺฉานคตตฺตา ปนสฺส ปพฺพชฺชา ปฎิกฺขิตฺตา, กมฺมํ ปนสฺส ภาริยํ โหติ, อานนฺตริยํ อาหเจฺจว ติฎฺฐติฯ
Yathā samānajātikassa (sārattha. ṭī. mahāvagga 3.112) vikopane kammaṃ garutaraṃ, na tathā vijātikassāti āha ‘‘manussajātikā’’ti. Puttasambandhena mātāpitusamaññā, dattakittimādivasenapi puttavohāro loke dissati, so ca kho pariyāyatoti nippariyāyasiddhataṃ dassetuṃ ‘‘janettī’’ti vuttaṃ. Janettīti janikā, mātāti attho. Yathā manussattabhāve ṭhitasseva kusaladhammānaṃ tikkhavisadasūrabhāvāpatti, yathā taṃ tiṇṇampi bodhisattānaṃ bodhittayanipphattiyaṃ, evaṃ manussattabhāve ṭhitasseva akusaladhammānampi tikkhavisadasūrabhāvāpattīti āha ‘‘manussabhūtenevā’’ti. Sañciccāti ‘‘pāṇo’’ti saññāya saddhiṃ vadhakacetanāya cetetvā. Ayaṃ mātughātako nāmāti ayaṃ ānantariyena mātughātakakammena mātughātako nāma. Yena pana manussitthibhūtāpi ajanikā posāvanikamātā vā mahāmātā vā cūḷamātā vā janikāpi vā amanussitthibhūtā mātā ghātitā, tassa pabbajjā na vāritā, na ca ānantariko hoti. Yena sayaṃ tiracchānabhūtena manussitthibhūtā mātā ghātitā, sopi ānantariko na hoti. Tiracchānagatattā panassa pabbajjā paṭikkhittā, kammaṃ panassa bhāriyaṃ hoti, ānantariyaṃ āhacceva tiṭṭhati.
เยน มนุสฺสภูโต ชนโก ปิตา สยมฺปิ มนุสฺสชาติเกเนว สตา สญฺจิจฺจ ชีวิตา โวโรปิโต, อยํ อานนฺตริเยน ปิตุฆาตกกเมฺมน ปิตุฆาตโก นามาติ อิมมตฺถํ อติทิสโนฺต ‘‘ปิตุฆาตเกปิ เอเสว นโย’’ติ อาหฯ สเจปิ หิ เวสิยา ปุโตฺต โหติ, ‘‘อยํ เม ปิตา’’ติ น ชานาติ, ยสฺส สมฺภเวน นิพฺพโตฺต, โส จ เตน ฆาติโต, ‘‘ปิตุฆาตโก’’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ, อานนฺตริยญฺจ ผุสติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๔)ฯ
Yena manussabhūto janako pitā sayampi manussajātikeneva satā sañcicca jīvitā voropito, ayaṃ ānantariyena pitughātakakammena pitughātako nāmāti imamatthaṃ atidisanto ‘‘pitughātakepi eseva nayo’’ti āha. Sacepi hi vesiyā putto hoti, ‘‘ayaṃ me pitā’’ti na jānāti, yassa sambhavena nibbatto, so ca tena ghātito, ‘‘pitughātako’’tveva saṅkhaṃ gacchati, ānantariyañca phusati (mahāva. aṭṭha. 114).
เอฬกจตุกฺกํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๒๘; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๗๕; วิภ. อฎฺฐ. ๘๐๙; สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๑๑๒), สงฺคามจตุกฺกํ, โจรจตุกฺกเญฺจตฺถ กเถตพฺพํฯ ‘‘เอฬกํ มาเรมี’’ติ อภิสนฺธินาปิ หิ เอฬกฎฺฐาเน ฐิตํ มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา มาเรโนฺต อานนฺตริยํ ผุสติ มารณาธิปฺปาเยเนว อานนฺตริยวตฺถุโน วิโกปิตตฺตาฯ เอฬกาภิสนฺธินา, ปน มาตาปิติอภิสนฺธินา วา เอฬกํ มาเรโนฺต อานนฺตริยํ น ผุสติ อานนฺตริยวตฺถุอภาวโตฯ มาตาปิติอภิสนฺธินา มาตาปิตโร มาเรโนฺต ผุสเตว ฯ เอเสว นโย อิตรสฺมิมฺปิ จตุกฺกทฺวเยฯ สพฺพตฺถ หิ ปุริมํ อภิสนฺธิจิตฺตํ อปฺปมาณํ, วธกจิตฺตํ, ปน ตทารมฺมณชีวิตินฺทฺริยญฺจ อานนฺตริยานานนฺตริยภาเว ปมาณํฯ
Eḷakacatukkaṃ (ma. ni. aṭṭha. 3.128; a. ni. aṭṭha. 1.1.275; vibha. aṭṭha. 809; sārattha. ṭī. mahāvagga 3.112), saṅgāmacatukkaṃ, coracatukkañcettha kathetabbaṃ. ‘‘Eḷakaṃ māremī’’ti abhisandhināpi hi eḷakaṭṭhāne ṭhitaṃ manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā mārento ānantariyaṃ phusati māraṇādhippāyeneva ānantariyavatthuno vikopitattā. Eḷakābhisandhinā, pana mātāpitiabhisandhinā vā eḷakaṃ mārento ānantariyaṃ na phusati ānantariyavatthuabhāvato. Mātāpitiabhisandhinā mātāpitaro mārento phusateva . Eseva nayo itarasmimpi catukkadvaye. Sabbattha hi purimaṃ abhisandhicittaṃ appamāṇaṃ, vadhakacittaṃ, pana tadārammaṇajīvitindriyañca ānantariyānānantariyabhāve pamāṇaṃ.
อรหนฺตฆาตโกปิ มนุสฺสอรหนฺตวเสเนว เวทิตโพฺพติ อาห ‘‘เยน อนฺตมโส คิหิลิเงฺค ฐิโตปี’’ติอาทิฯ อมนุสฺสชาติกํ ปน อรหนฺตํ, มนุสฺสชาติกํ วา อวเสสํ อริยปุคฺคลํ ฆาเตตฺวา อานนฺตริโก น โหติ, ปพฺพชฺชาปิสฺส น วาริตา, กมฺมํ ปน พลวํ โหติฯ ติรจฺฉาโน มนุสฺสอรหนฺตมฺปิ ฆาเตตฺวา อานนฺตริโก น โหติ, กมฺมํ ปน ภาริยนฺติ อยเมตฺถ วินิจฺฉโยฯ ยถา มาตาปิตูสุ, เอวํ อรหเนฺตปิ เอฬกจตุกฺกาทีนิ เวทิตพฺพานิฯ
Arahantaghātakopi manussaarahantavaseneva veditabboti āha ‘‘yena antamaso gihiliṅge ṭhitopī’’tiādi. Amanussajātikaṃ pana arahantaṃ, manussajātikaṃ vā avasesaṃ ariyapuggalaṃ ghātetvā ānantariko na hoti, pabbajjāpissa na vāritā, kammaṃ pana balavaṃ hoti. Tiracchāno manussaarahantampi ghātetvā ānantariko na hoti, kammaṃ pana bhāriyanti ayamettha vinicchayo. Yathā mātāpitūsu, evaṃ arahantepi eḷakacatukkādīni veditabbāni.
ปกตตฺตํ ภิกฺขุนินฺติ ปริสุทฺธสีลํ อุภโตสเงฺฆ อุปสมฺปนฺนํ ภิกฺขุนิํฯ โย (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๕) ปน กายสํสเคฺคน สีลวินาสํ ปาเปติ, ตสฺส ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ น วาริตาฯ พลกฺกาเรน โอทาตวตฺถวสนํ กตฺวา อนิจฺฉมานํเยว ทูเสโนฺตปิ ภิกฺขุนิทูสโกเยว, พลกฺกาเรน ปน โอทาตวตฺถวสนํ กตฺวา อิจฺฉมานํ ทูเสโนฺต ภิกฺขุนิทูสโก น โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา คิหิภาเว สมฺปฎิจฺฉิตมเตฺตเยว สา อภิกฺขุนี โหติ ฯ สกิํ สีลวิปนฺนํ ปน ปจฺฉา ทูเสโนฺต สิกฺขมานสามเณรีสุ จ วิปฺปฎิปชฺชโนฺต เนว ภิกฺขุนิทูสโก โหติ, ปพฺพชฺชํ, อุปสมฺปทญฺจ ลภตีติฯ
Pakatattaṃ bhikkhuninti parisuddhasīlaṃ ubhatosaṅghe upasampannaṃ bhikkhuniṃ. Yo (mahāva. aṭṭha. 115) pana kāyasaṃsaggena sīlavināsaṃ pāpeti, tassa pabbajjā ca upasampadā ca na vāritā. Balakkārena odātavatthavasanaṃ katvā anicchamānaṃyeva dūsentopi bhikkhunidūsakoyeva, balakkārena pana odātavatthavasanaṃ katvā icchamānaṃ dūsento bhikkhunidūsako na hoti. Kasmā? Yasmā gihibhāve sampaṭicchitamatteyeva sā abhikkhunī hoti . Sakiṃ sīlavipannaṃ pana pacchā dūsento sikkhamānasāmaṇerīsu ca vippaṭipajjanto neva bhikkhunidūsako hoti, pabbajjaṃ, upasampadañca labhatīti.
ธมฺมโต อุคฺคตํ อปคตํ อุทฺธมฺมํฯ อุพฺพินยนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ จตุนฺนํ กมฺมานนฺติ อปโลกนญตฺติญตฺติทุติยญตฺติจตุตฺถสงฺขาตานํ จตุนฺนํ กมฺมานํฯ อิเมสญฺหิ อญฺญตรํ สงฺฆกมฺมํ เอกสีมายํ วิสุํ วิสุํ กโรเนฺตน สโงฺฆ ภิโนฺน นาม โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จตุนฺนํ กมฺมานํ อญฺญตรวเสน สงฺฆํ ภินฺทตี’’ติฯ
Dhammato uggataṃ apagataṃ uddhammaṃ. Ubbinayanti etthāpi eseva nayo. Catunnaṃ kammānanti apalokanañattiñattidutiyañatticatutthasaṅkhātānaṃ catunnaṃ kammānaṃ. Imesañhi aññataraṃ saṅghakammaṃ ekasīmāyaṃ visuṃ visuṃ karontena saṅgho bhinno nāma hoti. Tena vuttaṃ ‘‘catunnaṃ kammānaṃ aññataravasena saṅghaṃ bhindatī’’ti.
‘‘ทุฎฺฐจิเตฺตนา’’ติ วุตฺตเมวตฺถํ วิภาเวตุํ ‘‘วธกจิเตฺตนา’’ติ วุตฺตํฯ วธกเจตนาย หิ ทูสิตํ จิตฺตํ อิธ ทุฎฺฐจิตฺตํ นามฯ โลหิตํ อุปฺปาเทตีติ อโนฺตสรีเรเยว โลหิตํ อุปฺปาเทติ, สญฺจิตํ กโรตีติ อธิปฺปาโยฯ น หิ ตถาคตสฺส อเภชฺชกายตาย ปรูปกฺกเมน ธมฺมํ ภินฺทิตฺวา โลหิตํ ปคฺฆรติ, สรีรสฺส ปน อโนฺตเยว เอกสฺมิํ ฐาเน โลหิตํ สโมสรติ, อาฆาเตน ปกุปฺปมานํ สญฺจิตํ โหติ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ โย ปน โรควูปสมนตฺถํ ชีวโก วิย สเตฺถน ผาเลตฺวา ปูติมํสญฺจ โลหิตญฺจ นีหริตฺวา ผาสุกํ กโรติ, อยํ โลหิตุปฺปาทโก น โหติ, พหุํ ปน โส ปุญฺญํ ปสวติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๑๕)ฯ
‘‘Duṭṭhacittenā’’ti vuttamevatthaṃ vibhāvetuṃ ‘‘vadhakacittenā’’ti vuttaṃ. Vadhakacetanāya hi dūsitaṃ cittaṃ idha duṭṭhacittaṃ nāma. Lohitaṃ uppādetīti antosarīreyeva lohitaṃ uppādeti, sañcitaṃ karotīti adhippāyo. Na hi tathāgatassa abhejjakāyatāya parūpakkamena dhammaṃ bhinditvā lohitaṃ paggharati, sarīrassa pana antoyeva ekasmiṃ ṭhāne lohitaṃ samosarati, āghātena pakuppamānaṃ sañcitaṃ hoti, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Yo pana rogavūpasamanatthaṃ jīvako viya satthena phāletvā pūtimaṃsañca lohitañca nīharitvā phāsukaṃ karoti, ayaṃ lohituppādako na hoti, bahuṃ pana so puññaṃ pasavati (mahāva. aṭṭha. 115).
ทุวิธมฺปิ พฺยญฺชนนฺติ ยถาวุตฺตกมฺมทฺวยโต สมุฎฺฐิตํ อิตฺถินิมิตฺตํ, ปุริสนิมิตฺตญฺจาติ ทุวิธมฺปิ พฺยญฺชนํฯ อิมินา จ วิคฺคเหน ‘‘อุภโตพฺยญฺชนโก’’ติ อสมานาธิกรณวิสโย พาหิรตฺถสมาโสยํ, ปุริมปเท จ วิภตฺติอโลโปติ ทเสฺสติฯ โส ทุวิโธ โหติ อิตฺถิอุภโตพฺยญฺชนโก, ปุริสอุภโตพฺยญฺชนโก จาติฯ ตตฺถ อิตฺถิอุภโตพฺยญฺชนกสฺส อิตฺถินิมิตฺตํ ปากฎํ โหติ, ปุริสนิมิตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนํฯ ปุริสอุภโตพฺยญฺชนกสฺส ปุริสนิมิตฺตํ ปากฎํ, อิตฺถินิมิตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนํฯ อิตฺถิอุภโตพฺยญฺชนกสฺส อิตฺถีสุ ปุริสตฺตํ กโรนฺตสฺส อิตฺถินิมิตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนํ โหติ, ปุริสนิมิตฺตํ ปากฎํ โหติฯ ปุริสอุภโตพฺยญฺชนกสฺส ปุริสานํ อิตฺถิภาวํ อุปคจฺฉนฺตสฺส ปุริสนิมิตฺตํ ปฎิจฺฉนฺนํ โหติ, อิตฺถินิมิตฺตํ ปากฎํ โหติฯ อิตฺถิอุภโตพฺยญฺชนโก สยญฺจ คพฺภํ คณฺหาติ, ปรญฺจ คณฺหาเปติฯ ปุริสอุภโตพฺยญฺชนโก ปน สยํ น คณฺหาติ, ปรํ คณฺหาเปตีติ อิทเมเตสํ นานากรณํฯ
Duvidhampi byañjananti yathāvuttakammadvayato samuṭṭhitaṃ itthinimittaṃ, purisanimittañcāti duvidhampi byañjanaṃ. Iminā ca viggahena ‘‘ubhatobyañjanako’’ti asamānādhikaraṇavisayo bāhiratthasamāsoyaṃ, purimapade ca vibhattialopoti dasseti. So duvidho hoti itthiubhatobyañjanako, purisaubhatobyañjanako cāti. Tattha itthiubhatobyañjanakassa itthinimittaṃ pākaṭaṃ hoti, purisanimittaṃ paṭicchannaṃ. Purisaubhatobyañjanakassa purisanimittaṃ pākaṭaṃ, itthinimittaṃ paṭicchannaṃ. Itthiubhatobyañjanakassa itthīsu purisattaṃ karontassa itthinimittaṃ paṭicchannaṃ hoti, purisanimittaṃ pākaṭaṃ hoti. Purisaubhatobyañjanakassa purisānaṃ itthibhāvaṃ upagacchantassa purisanimittaṃ paṭicchannaṃ hoti, itthinimittaṃ pākaṭaṃ hoti. Itthiubhatobyañjanako sayañca gabbhaṃ gaṇhāti, parañca gaṇhāpeti. Purisaubhatobyañjanako pana sayaṃ na gaṇhāti, paraṃ gaṇhāpetīti idametesaṃ nānākaraṇaṃ.
อปรามสนานีติ อคฺคหณานิ อวจนานิฯ ‘‘อยํ อิตฺถนฺนาโม’’ติ อุปสมฺปทาเปกฺขสฺส อกิตฺตนนฺติ ยสฺส อุปสมฺปทา กรียติ, ตสฺส อกิตฺตนํ, ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘อยํ ธมฺมรกฺขิโต’’ติ (ปริ. อฎฺฐ. ๔๘๔) อวจนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ อุปชฺฌายสฺส อกิตฺตนนฺติ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อุปสมฺปทาเปโกฺข’’ติ วตฺวา ‘‘อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺสา’’ติ อวจนํฯ สเพฺพน สพฺพํ ญตฺติยา อนุจฺจารณนฺติ ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา จตุกฺขตฺตุํ กมฺมวาจาย เอว อนุสฺสาวนกมฺมสฺส กรณํฯ สมฺปนฺนนฺติ อุเปตํฯ
Aparāmasanānīti aggahaṇāni avacanāni. ‘‘Ayaṃ itthannāmo’’ti upasampadāpekkhassa akittananti yassa upasampadā karīyati, tassa akittanaṃ, ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vattabbe ‘‘ayaṃ dhammarakkhito’’ti (pari. aṭṭha. 484) avacananti vuttaṃ hoti. ‘‘Itthannāmassa upasampadāpekkho’’ti upajjhāyassa akittananti ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito āyasmato buddharakkhitassa upasampadāpekkho’’ti vattabbe ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ dhammarakkhito upasampadāpekkho’’ti vatvā ‘‘āyasmato buddharakkhitassā’’ti avacanaṃ. Sabbena sabbaṃ ñattiyā anuccāraṇanti ñattiṃ aṭṭhapetvā catukkhattuṃ kammavācāya eva anussāvanakammassa karaṇaṃ. Sampannanti upetaṃ.
หาปนํ ปริจฺจชนํฯ โยปิ เอกํ ญตฺติํ ฐเปตฺวา สกิํเยว วา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา อนุสฺสาวนํ กโรติ, อยมฺปิ สาวนํ หาเปติเยวฯ ทุรุจฺจารณํ นาม อญฺญสฺมิํ อกฺขเร วตฺตเพฺพ อญฺญสฺส วจนํฯ ตสฺมา กมฺมวาจํ กโรเนฺตน ภิกฺขุนา ยฺวายํ –
Hāpanaṃ pariccajanaṃ. Yopi ekaṃ ñattiṃ ṭhapetvā sakiṃyeva vā dvikkhattuṃ vā anussāvanaṃ karoti, ayampi sāvanaṃ hāpetiyeva. Duruccāraṇaṃ nāma aññasmiṃ akkhare vattabbe aññassa vacanaṃ. Tasmā kammavācaṃ karontena bhikkhunā yvāyaṃ –
‘‘สิถิลํ ธนิตญฺจ ทีฆรสฺสํ;
‘‘Sithilaṃ dhanitañca dīgharassaṃ;
ครุกํ ลหุกเญฺจว นิคฺคหีตํ;
Garukaṃ lahukañceva niggahītaṃ;
สมฺพนฺธววตฺถิตํ วิมุตฺตํ;
Sambandhavavatthitaṃ vimuttaṃ;
ทสธา พฺยญฺชนพุทฺธิยา ปเภโท’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๙๐; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๙๑; อ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓.๖๔, ปริ. อฎฺฐ. ๔๘๕; วิ. สงฺค. อฎฺฐ. ๒๕๒) –
Dasadhā byañjanabuddhiyā pabhedo’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.190; ma. ni. aṭṭha. 1.291; a. ni. aṭṭha. 2.3.64, pari. aṭṭha. 485; vi. saṅga. aṭṭha. 252) –
วุโตฺต, อยํ สุฎฺฐุ อุปลเกฺขตโพฺพฯ เอตฺถ หิ สิถิลํ นาม ปญฺจสุ วเคฺคสุ ปฐมตติยํฯ ธนิตํ นาม เตเสฺวว ทุติยจตุตฺถํฯ ทีฆนฺติ ทีเฆน กาเลน วตฺตพฺพํ อา-การาทิฯ รสฺสนฺติ ตโต อุปฑฺฒกาเลน วตฺตพฺพํ อ-การาทิฯ ครุกนฺติ ทีฆเมว, ยํ วา ‘‘อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตเตฺถรสฺส ยสฺส นกฺขมตี’’ติ เอวํ สํโยคปรํ กตฺวา วุจฺจติฯ ลหุกนฺติ รสฺสเมว, ยํ วา ‘‘อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตเตฺถรสฺส ยสฺส น ขมตี’’ติ เอวํ อสํโยคปรํ กตฺวา วุจฺจติฯ นิคฺคหีตนฺติ ยํ กรณานิ นิคฺคเหตฺวา อวิสฺสเชฺชตฺวา อวิวเฎน มุเขน สานุนาสิกํ กตฺวา วตฺตพฺพํฯ สมฺพนฺธนฺติ ยํ ปรปเทน สมฺพนฺธิตฺวา ‘‘ตุณฺหิสฺสา’’ติ วา ‘‘ตุณฺหสฺสา’’ติ วา วุจฺจติฯ ววตฺถิตนฺติ ยํ ปรปเทน สมฺพนฺธํ อกตฺวา วิจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘ตุณฺหี อสฺสา’’ติ วา ‘‘ตุณฺห อสฺสา’’ติ วา วุจฺจติฯ วิมุตฺตนฺติ ยํ กรณานิ อนิคฺคเหตฺวา วิสฺสเชฺชตฺวา วิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ อกตฺวา วุจฺจติฯ
Vutto, ayaṃ suṭṭhu upalakkhetabbo. Ettha hi sithilaṃ nāma pañcasu vaggesu paṭhamatatiyaṃ. Dhanitaṃ nāma tesveva dutiyacatutthaṃ. Dīghanti dīghena kālena vattabbaṃ ā-kārādi. Rassanti tato upaḍḍhakālena vattabbaṃ a-kārādi. Garukanti dīghameva, yaṃ vā ‘‘āyasmato buddharakkhitattherassa yassa nakkhamatī’’ti evaṃ saṃyogaparaṃ katvā vuccati. Lahukanti rassameva, yaṃ vā ‘‘āyasmato buddharakkhitattherassa yassa na khamatī’’ti evaṃ asaṃyogaparaṃ katvā vuccati. Niggahītanti yaṃ karaṇāni niggahetvā avissajjetvā avivaṭena mukhena sānunāsikaṃ katvā vattabbaṃ. Sambandhanti yaṃ parapadena sambandhitvā ‘‘tuṇhissā’’ti vā ‘‘tuṇhassā’’ti vā vuccati. Vavatthitanti yaṃ parapadena sambandhaṃ akatvā vicchinditvā ‘‘tuṇhī assā’’ti vā ‘‘tuṇha assā’’ti vā vuccati. Vimuttanti yaṃ karaṇāni aniggahetvā vissajjetvā vivaṭena mukhena anunāsikaṃ akatvā vuccati.
ตตฺถ ‘‘สุณาตุ เม’’ติ วตฺตเพฺพ ต-การสฺส ถ-การํ กตฺวา ‘‘สุณาถุ เม’’ติ วจนํ สิถิลสฺส ธนิตกรณํ นาม, ตถา ‘‘ปตฺตกลฺลํ เอสา ญตฺตี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ปตฺถกลฺลํ เอสา ญตฺตี’’ติอาทิวจนญฺจฯ ‘‘ภเนฺต, สโงฺฆ’’ติ วตฺตเพฺพ ภ-การ ฆ-การานํ พ-การ ค-กาเร กตฺวา ‘‘พเนฺต สํโค’’ติ วจนํ ธนิตสฺส สิถิลกรณํ นามฯ ‘‘สุณาตุ เม’’ติ วิวเฎน มุเขน วตฺตเพฺพ ‘‘สุณํตุ เม’’ติ วา ‘‘เอสา ญตฺตี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘เอสํ ญตฺตี’’ติ วา อวิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ กตฺวา วจนํ วิมุตฺตสฺส นิคฺคหิตวจนํ นามฯ ‘‘ปตฺตกลฺล’’นฺติ อวิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ กตฺวา วตฺตเพฺพ ‘‘ปตฺตกลฺลา’’ติ วิวเฎน มุเขน อนุนาสิกํ อกตฺวา วจนํ นิคฺคหิตสฺส วิมุตฺตวจนํ นามฯ อิติ สิถิเล กตฺตเพฺพ ธนิตํ, ธนิเต กตฺตเพฺพ สิถิลํ, วิมุเตฺต กตฺตเพฺพ นิคฺคหิตํ, นิคฺคหิเต กตฺตเพฺพ วิมุตฺตนฺติ อิมานิ จตฺตาริ พฺยญฺชนานิ อโนฺตกมฺมวาจาย กมฺมํ ทูเสนฺติฯ เอวํ วทโนฺต หิ อญฺญสฺมิํ อกฺขเร วตฺตเพฺพ อญฺญํ วทติ, ทุรุตฺตํ กโรตีติ วุจฺจติฯ
Tattha ‘‘suṇātu me’’ti vattabbe ta-kārassa tha-kāraṃ katvā ‘‘suṇāthu me’’ti vacanaṃ sithilassadhanitakaraṇaṃ nāma, tathā ‘‘pattakallaṃ esā ñattī’’ti vattabbe ‘‘patthakallaṃ esā ñattī’’tiādivacanañca. ‘‘Bhante, saṅgho’’ti vattabbe bha-kāra gha-kārānaṃ ba-kāra ga-kāre katvā ‘‘bante saṃgo’’ti vacanaṃ dhanitassa sithilakaraṇaṃ nāma. ‘‘Suṇātu me’’ti vivaṭena mukhena vattabbe ‘‘suṇaṃtu me’’ti vā ‘‘esā ñattī’’ti vattabbe ‘‘esaṃ ñattī’’ti vā avivaṭena mukhena anunāsikaṃ katvā vacanaṃ vimuttassa niggahitavacanaṃ nāma. ‘‘Pattakalla’’nti avivaṭena mukhena anunāsikaṃ katvā vattabbe ‘‘pattakallā’’ti vivaṭena mukhena anunāsikaṃ akatvā vacanaṃ niggahitassa vimuttavacanaṃ nāma. Iti sithile kattabbe dhanitaṃ, dhanite kattabbe sithilaṃ, vimutte kattabbe niggahitaṃ, niggahite kattabbe vimuttanti imāni cattāri byañjanāni antokammavācāya kammaṃ dūsenti. Evaṃ vadanto hi aññasmiṃ akkhare vattabbe aññaṃ vadati, duruttaṃ karotīti vuccati.
อิตเรสุ ปน ทีฆรสฺสาทีสุ ฉสุ พฺยญฺชเนสุ ทีฆฎฺฐาเน ทีฆเมวฯ รสฺสฎฺฐาเน จ รสฺสเมวาติ เอวํ ยถาฐาเน ตํ ตเทว อกฺขรํ ภาสเนฺตน อนุกฺกมาคตํ ปเวณิํ อวินาเสเนฺตน กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ สเจ ปน เอวํ อกตฺวา ทีเฆ วตฺตเพฺพ รสฺสํ, รเสฺส วา วตฺตเพฺพ ทีฆํ วทติ, ตถา ครุเก วตฺตเพฺพ ลหุกํ, ลหุเก วา วตฺตเพฺพ ครุกํ วทติ, สมฺพเนฺธ วา ปน วตฺตเพฺพ ววตฺถิตํ, ววตฺถิเต วา วตฺตเพฺพ สมฺพนฺธํ วทติ, เอวํ วุเตฺตปิ กมฺมวาจา น กุปฺปติฯ อิมานิ หิ ฉ พฺยญฺชนานิ กมฺมํ น โกเปนฺติฯ
Itaresu pana dīgharassādīsu chasu byañjanesu dīghaṭṭhāne dīghameva. Rassaṭṭhāne ca rassamevāti evaṃ yathāṭhāne taṃ tadeva akkharaṃ bhāsantena anukkamāgataṃ paveṇiṃ avināsentena kammavācā kātabbā. Sace pana evaṃ akatvā dīghe vattabbe rassaṃ, rasse vā vattabbe dīghaṃ vadati, tathā garuke vattabbe lahukaṃ, lahuke vā vattabbe garukaṃ vadati, sambandhe vā pana vattabbe vavatthitaṃ, vavatthite vā vattabbe sambandhaṃ vadati, evaṃ vuttepi kammavācā na kuppati. Imāni hi cha byañjanāni kammaṃ na kopenti.
ยํ ปน สุตฺตนฺติกเตฺถรา ‘‘ท-กาโร ต-การมาปชฺชติ, ต-กาโร ท-การมาปชฺชติ, จ-กาโร ช-การมาปชฺชติ, ช-กาโร จ-การมาปชฺชติ, ย-กาโร ก-การมาปชฺชติ, ก-กาโร ย-การมาปชฺชติ, ตสฺมา ท-การาทีสุ วตฺตเพฺพสุ ต-การาทีนํ วจนํ น วิรุชฺฌตี’’ติ วทนฺติ, ตํ กมฺมวาจํ ปตฺวา น วฎฺฎติฯ ตสฺมา วินยธเรน เนว ท-กาโร ต-กาโร กาตโพฺพ…เป.… น ก-กาโร ย-กาโรฯ ยถาปาฬิยา นิรุตฺติํ โสเธตฺวา ทสวิธาย พฺยญฺชนนิรุตฺติยา วุตฺตโทเส ปริหรเนฺตน กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ อิตรถา หิ สาวนํ หาเปติ นามฯ ญตฺติํ อฎฺฐเปตฺวา ปฐมํ อนุสฺสาวนกรณนฺติ สมฺพโนฺธฯ
Yaṃ pana suttantikattherā ‘‘da-kāro ta-kāramāpajjati, ta-kāro da-kāramāpajjati, ca-kāro ja-kāramāpajjati, ja-kāro ca-kāramāpajjati, ya-kāro ka-kāramāpajjati, ka-kāro ya-kāramāpajjati, tasmā da-kārādīsu vattabbesu ta-kārādīnaṃ vacanaṃ na virujjhatī’’ti vadanti, taṃ kammavācaṃ patvā na vaṭṭati. Tasmā vinayadharena neva da-kāro ta-kāro kātabbo…pe… na ka-kāro ya-kāro. Yathāpāḷiyā niruttiṃ sodhetvā dasavidhāya byañjananiruttiyā vuttadose pariharantena kammavācā kātabbā. Itarathā hi sāvanaṃ hāpeti nāma. Ñattiṃ aṭṭhapetvā paṭhamaṃ anussāvanakaraṇanti sambandho.
ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตาติ ยตฺตกา ภิกฺขู ตสฺส อุปสมฺปทากมฺมสฺส ปตฺตา ยุตฺตา อนุรูปาฯ เต จ โข สพฺพนฺติเมน ปริยาเยน หตฺถปาสํ อวิชหิตฺวา เอกสีมฎฺฐา ปญฺจ ปกตตฺตา ภิกฺขูฯ น หิ เตหิ วินา ตํ กมฺมํ กรียติ, น เตสํ ฉโนฺท เอติฯ อวเสสา ปน สเจปิ สหสฺสมตฺตา โหนฺติ, สเจ เอกสีมฎฺฐา เอกสฺมิํ ฐาเน สมานสํวาสกา, สเพฺพ ฉนฺทารหาว โหนฺติ, ฉนฺทํ ทตฺวา อาคจฺฉนฺตุ วา, มา วา, กมฺมํ น กุปฺปติฯ ปฎิโกฺกสนนฺติ นิวารณํฯ ติฎฺฐติ เอตฺถ ผลํ ตทายตฺตวุตฺติตายาติ ฐานํ, การณํฯ อิธ ปน อุปสมฺปทากมฺมกรณสฺส การณตฺตา อุปสมฺปทากมฺมวาจาสงฺขาตํ ภควโต วจนํ วุจฺจติฯ เตนาห ‘‘การณารหตฺตา ปน สตฺถุ สาสนารหตฺตา’’ติฯ ยถา จ ‘‘ตํ กตฺตพฺพ’’นฺติ ภควตา อนุสิฎฺฐํ, ตถากรณํ อุปสมฺปทากมฺมสฺส การณํ โหตีติ ฐานารหํ นามฯ เกจิ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๔๕) ปน ‘‘ฐานารเหนาติ เอตฺถ ‘น, ภิกฺขเว, หตฺถจฺฉิโนฺน ปพฺพาเชตโพฺพ’ติอาทิ (มหาว. ๑๑๙) สตฺถุสาสนํ ฐาน’’นฺติ วทนฺติฯ อิธาติ อิมสฺมิํ ปาราชิเกฯ ยถา จ อิธ, เอวํ สพฺพตฺถาปิ โลกวชฺชสิกฺขาปเทสุ อยเมว อธิเปฺปโตติ เวทิตพฺพํฯ เตนาห ‘‘ปณฺณตฺติวเชฺชสุ ปนา’’ติอาทิฯ อเญฺญปีติ เอหิภิกฺขูปสมฺปนฺนาทโยปิฯ กถเมตํ วิญฺญายติ ปณฺณตฺติวเชฺชสุ สิกฺขาปเทสุ อเญฺญปิ สงฺคหํ คจฺฉนฺตีติ? อตฺถโต อาปนฺนตฺตาฯ ตถา หิ ‘‘เทฺว ปุคฺคลา อภพฺพา อาปตฺติํ อาปชฺชิตุํ พุทฺธา จ ปเจฺจกพุทฺธา จ, เทฺว ปุคฺคลา ภพฺพา อาปตฺติํ อาปชฺชิตุํ ภิกฺขู จ ภิกฺขุนิโย จา’’ติ (ปริ. ๓๒๒) สามญฺญโต วุตฺตตฺตาฯ เอหิภิกฺขูปสมฺปนฺนาทโยปิ อสญฺจิจฺจ อสฺสติยา อจิตฺตกํ สหเสยฺยาปตฺติอาทิเภทํ ปณฺณตฺติวชฺชํ อาปชฺชนฺตีติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๔๕) อตฺถโต อาปนฺนํฯ
Yāvatikā bhikkhū kammappattāti yattakā bhikkhū tassa upasampadākammassa pattā yuttā anurūpā. Te ca kho sabbantimena pariyāyena hatthapāsaṃ avijahitvā ekasīmaṭṭhā pañca pakatattā bhikkhū. Na hi tehi vinā taṃ kammaṃ karīyati, na tesaṃ chando eti. Avasesā pana sacepi sahassamattā honti, sace ekasīmaṭṭhā ekasmiṃ ṭhāne samānasaṃvāsakā, sabbe chandārahāva honti, chandaṃ datvā āgacchantu vā, mā vā, kammaṃ na kuppati. Paṭikkosananti nivāraṇaṃ. Tiṭṭhati ettha phalaṃ tadāyattavuttitāyāti ṭhānaṃ, kāraṇaṃ. Idha pana upasampadākammakaraṇassa kāraṇattā upasampadākammavācāsaṅkhātaṃ bhagavato vacanaṃ vuccati. Tenāha ‘‘kāraṇārahattā pana satthu sāsanārahattā’’ti. Yathā ca ‘‘taṃ kattabba’’nti bhagavatā anusiṭṭhaṃ, tathākaraṇaṃ upasampadākammassa kāraṇaṃ hotīti ṭhānārahaṃ nāma. Keci (sārattha. ṭī. 2.45) pana ‘‘ṭhānārahenāti ettha ‘na, bhikkhave, hatthacchinno pabbājetabbo’tiādi (mahāva. 119) satthusāsanaṃ ṭhāna’’nti vadanti. Idhāti imasmiṃ pārājike. Yathā ca idha, evaṃ sabbatthāpi lokavajjasikkhāpadesu ayameva adhippetoti veditabbaṃ. Tenāha ‘‘paṇṇattivajjesu panā’’tiādi. Aññepīti ehibhikkhūpasampannādayopi. Kathametaṃ viññāyati paṇṇattivajjesu sikkhāpadesu aññepi saṅgahaṃ gacchantīti? Atthato āpannattā. Tathā hi ‘‘dve puggalā abhabbā āpattiṃ āpajjituṃ buddhā ca paccekabuddhā ca, dve puggalā bhabbā āpattiṃ āpajjituṃ bhikkhū ca bhikkhuniyo cā’’ti (pari. 322) sāmaññato vuttattā. Ehibhikkhūpasampannādayopi asañcicca assatiyā acittakaṃ sahaseyyāpattiādibhedaṃ paṇṇattivajjaṃ āpajjantīti (sārattha. ṭī. 2.45) atthato āpannaṃ.
อิทานิ ‘‘ภิกฺขูน’’นฺติ อิมํ ปทํ วิเสสตฺถาภาวโต วิสุํ อวเณฺณตฺวาว ยํ สิกฺขญฺจ สาชีวญฺจ สมาปนฺนตฺตา ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติอาทิมาหฯ สิกฺขิตพฺพาติ สิกฺขา, ปาติโมกฺขสํวรสีลํ, สห ชีวนฺติ เอตฺถาติ สาชีวํ, มาติกาทิเภทา ปณฺณตฺติ, สิกฺขา จ สาชีวญฺจ สิกฺขาสาชีวํ, ตทุภยํ สมาปโนฺน อุปคโตติ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺนฯ เตนาห ‘‘ยา ภิกฺขูน’’นฺติอาทิฯ เอตฺถ จ ‘‘สิกฺขา’’ติ สาชีวสหจริยโต อธิสีลสิกฺขาว อธิเปฺปตาติ อาห ‘‘อธิสีลสงฺขาตา’’ติฯ อธิกํ อุตฺตมํ สีลนฺติ อธิสีลํ, ‘‘อธิสีล’’นฺติ สงฺขาตา อธิสีลสงฺขาตาฯ
Idāni ‘‘bhikkhūna’’nti imaṃ padaṃ visesatthābhāvato visuṃ avaṇṇetvāva yaṃ sikkhañca sājīvañca samāpannattā bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno hoti, taṃ dassento ‘‘bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno’’tiādimāha. Sikkhitabbāti sikkhā, pātimokkhasaṃvarasīlaṃ, saha jīvanti etthāti sājīvaṃ, mātikādibhedā paṇṇatti, sikkhā ca sājīvañca sikkhāsājīvaṃ, tadubhayaṃ samāpanno upagatoti sikkhāsājīvasamāpanno. Tenāha ‘‘yā bhikkhūna’’ntiādi. Ettha ca ‘‘sikkhā’’ti sājīvasahacariyato adhisīlasikkhāva adhippetāti āha ‘‘adhisīlasaṅkhātā’’ti. Adhikaṃ uttamaṃ sīlanti adhisīlaṃ, ‘‘adhisīla’’nti saṅkhātā adhisīlasaṅkhātā.
กตมํ ปเนตฺถ สีลํ, กตมํ อธิสีลนฺติ? วุจฺจเต – ปญฺจงฺคทสงฺคสีลํ ตาว สีลเมว, น ตํ อธิสีลํฯ ปาติโมกฺขสํวรสีลํ ปน อธิสีล’’นฺติ วุจฺจติฯ ตญฺหิ สูริโย วิย ปโชฺชตานํ, สิเนรุ วิย จ ปพฺพตานํ สพฺพโลกิยสีลานํ อธิกเญฺจว อุตฺตมญฺจ, พุทฺธุปฺปาเทเยว จ ปวตฺตติ, น วินา พุทฺธุปฺปาทาฯ น หิ ตํ ปญฺญตฺติํ อุทฺธริตฺวา อโญฺญ สโตฺต ปญฺญาเปตุํ สโกฺกติ, พุทฺธาเยว ปนสฺส สพฺพโส กายวจีทฺวารชฺฌาจารโสตํ ฉินฺทิตฺวา ตสฺส ตสฺส วีติกฺกมสฺส อนุจฺฉวิกํ ตํ ตํ สีลสํวรํ ปญฺญาเปนฺติฯ ปาติโมกฺขสํวรสีลโตปิ จ มคฺคผลสมฺปยุตฺตเมว สีลํ อธิสีลํ, ตํ ปน อิธ น อธิเปฺปตํฯ น หิ ตํ สมาปโนฺน เมถุนธมฺมํ ปฎิเสวติฯ
Katamaṃ panettha sīlaṃ, katamaṃ adhisīlanti? Vuccate – pañcaṅgadasaṅgasīlaṃ tāva sīlameva, na taṃ adhisīlaṃ. Pātimokkhasaṃvarasīlaṃ pana adhisīla’’nti vuccati. Tañhi sūriyo viya pajjotānaṃ, sineru viya ca pabbatānaṃ sabbalokiyasīlānaṃ adhikañceva uttamañca, buddhuppādeyeva ca pavattati, na vinā buddhuppādā. Na hi taṃ paññattiṃ uddharitvā añño satto paññāpetuṃ sakkoti, buddhāyeva panassa sabbaso kāyavacīdvārajjhācārasotaṃ chinditvā tassa tassa vītikkamassa anucchavikaṃ taṃ taṃ sīlasaṃvaraṃ paññāpenti. Pātimokkhasaṃvarasīlatopi ca maggaphalasampayuttameva sīlaṃ adhisīlaṃ, taṃ pana idha na adhippetaṃ. Na hi taṃ samāpanno methunadhammaṃ paṭisevati.
เอเตติ นานาเทสชาติโคตฺตาทิเภทภินฺนา ภิกฺขูฯ สห ชีวนฺตีติ เอกุเทฺทสาทิวเสน สห ปวตฺตนฺติฯ เตนาห ‘‘เอกชีวิกา สภาควุตฺติโน’’ติฯ สิกฺขาปทสงฺขาตนฺติ ปณฺณตฺติสงฺขาตํฯ สาปิ หิ วิรติอาทีนํ ทีปนโต ‘‘สิกฺขาปท’’นฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘สิกฺขาปทนฺติ โย ตตฺถ นามกาโย ปทกาโย นิรุตฺติกาโย พฺยญฺชนกาโย’’ติฯ ตตฺถาติ เตสุฯ สิกฺขํ ปริปูเรโนฺตติ อกตฺตพฺพปริวชฺชนกตฺตพฺพกรณวเสน วาริตฺตจาริตฺตสงฺขาตํ ทุวิธํ สีลํ ปริปูเรโนฺตติ อโตฺถ, วาริตฺตสีลวเสน วิรติสมฺปยุตฺตเจตนํ, จาริตฺตสีลวเสน วิรติวิปฺปยุตฺตเจตนญฺจ อตฺตนิ ปวเตฺตโนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ สาชีวญฺจ อวีติกฺกมโนฺตติ สิกฺขาปทญฺจ อมทฺทโนฺต, สีลสํวรณํ, สาชีวานติกฺกมนญฺจาติ อิทเมว ทฺวยํ อิธ สมาปชฺชนํ นามาติ อธิปฺปาโยฯ ตตฺถ สาชีวานติกฺกโม สิกฺขาปาริปูริยา ปจฺจโยฯ ตสฺสานติกฺกมนโต หิ ยาว มคฺคา สิกฺขา ปริปูรติฯ อปิเจตฺถ ‘‘สิกฺขํ ปริปูเรโนฺต’’ติ อิมินา วิรติเจตนาสงฺขาตสฺส สีลสํวรสฺส วิเสสโต สนฺตาเน ปวตฺตนกาโลว คหิโต, ‘‘อวีติกฺกมโนฺต’’ติ อิมินา ปน อปฺปวตฺตนกาโลปิฯ สิกฺขญฺหิ ปริปูรณวเสน อตฺตนิ ปวเตฺตโนฺตปิ นิทฺทาทิวเสน อปฺปวเตฺตโนฺตปิ วีติกฺกมาภาวา สิกฺขนวเสน สมาปโนฺนติ วุจฺจติฯ
Eteti nānādesajātigottādibhedabhinnā bhikkhū. Saha jīvantīti ekuddesādivasena saha pavattanti. Tenāha ‘‘ekajīvikā sabhāgavuttino’’ti. Sikkhāpadasaṅkhātanti paṇṇattisaṅkhātaṃ. Sāpi hi viratiādīnaṃ dīpanato ‘‘sikkhāpada’’nti vuccati. Vuttampi cetaṃ ‘‘sikkhāpadanti yo tattha nāmakāyo padakāyo niruttikāyo byañjanakāyo’’ti. Tatthāti tesu. Sikkhaṃ paripūrentoti akattabbaparivajjanakattabbakaraṇavasena vārittacārittasaṅkhātaṃ duvidhaṃ sīlaṃ paripūrentoti attho, vārittasīlavasena viratisampayuttacetanaṃ, cārittasīlavasena virativippayuttacetanañca attani pavattentoti vuttaṃ hoti. Sājīvañca avītikkamantoti sikkhāpadañca amaddanto, sīlasaṃvaraṇaṃ, sājīvānatikkamanañcāti idameva dvayaṃ idha samāpajjanaṃ nāmāti adhippāyo. Tattha sājīvānatikkamo sikkhāpāripūriyā paccayo. Tassānatikkamanato hi yāva maggā sikkhā paripūrati. Apicettha ‘‘sikkhaṃ paripūrento’’ti iminā viraticetanāsaṅkhātassa sīlasaṃvarassa visesato santāne pavattanakālova gahito, ‘‘avītikkamanto’’ti iminā pana appavattanakālopi. Sikkhañhi paripūraṇavasena attani pavattentopi niddādivasena appavattentopi vītikkamābhāvā sikkhanavasena samāpannoti vuccati.
ยสฺมา สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺส เอกจฺจํ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ อโตฺถ โหติ, ตสฺมา ตํ สนฺธาย ‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขายา’’ติ ปทสฺส อตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ อาหาติ ทเสฺสตุํ ‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สิยา (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๔๕ สิกฺขาปจฺจกฺขานวิภงฺควณฺณนา), ยสฺมา น สพฺพํ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ, ตสฺมา ‘‘ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ ปฐมํ วตฺวา ตสฺส อตฺถนิยมนตฺถํ ‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขายา’’ติ วตฺตพฺพนฺติ? ตํ น, กสฺมา? อตฺถานุกฺกมาภาวโตฯ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ หิ วุตฺตตฺตา ยํ สิกฺขํ สมาปโนฺน, ตํ อปจฺจกฺขาย, ยญฺจ สาชีวํ สมาปโนฺน, ตตฺถ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวาติ วุจฺจมาเน อนุกฺกเมเนว อโตฺถ วุโตฺต โหติ, น อญฺญถาฯ ตสฺมา อิทเมว ปฐมํ วุตฺตนฺติฯ
Yasmā sikkhāpaccakkhānassa ekaccaṃ dubbalyāvikammaṃ attho hoti, tasmā taṃ sandhāya ‘‘sikkhaṃ apaccakkhāyā’’ti padassa atthaṃ vivaranto ‘‘dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti āhāti dassetuṃ ‘‘sikkhaṃ apaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā’’tiādimāha. Tattha siyā (pārā. aṭṭha. 1.45 sikkhāpaccakkhānavibhaṅgavaṇṇanā), yasmā na sabbaṃ dubbalyāvikammaṃ sikkhāpaccakkhānaṃ, tasmā ‘‘dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti paṭhamaṃ vatvā tassa atthaniyamanatthaṃ ‘‘sikkhaṃ apaccakkhāyā’’ti vattabbanti? Taṃ na, kasmā? Atthānukkamābhāvato. ‘‘Sikkhāsājīvasamāpanno’’ti hi vuttattā yaṃ sikkhaṃ samāpanno, taṃ apaccakkhāya, yañca sājīvaṃ samāpanno, tattha dubbalyaṃ anāvikatvāti vuccamāne anukkameneva attho vutto hoti, na aññathā. Tasmā idameva paṭhamaṃ vuttanti.
อิทานิ ตทุภยเมว ปากฎํ กตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิมาหฯ ตทภาเวนาติ เตสํ จิตฺตาทีนํ อภาเวนฯ จวิตุกามตาจิเตฺตนาติ อปคนฺตุกามตาจิเตฺตน ฯ ทวาติ สหสาฯ โย หิ อญฺญํ ภณิตุกาโม สหสา ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ ภณติ, อยํ ทวา วทติ นามฯ รวาติ วิรชฺฌิตฺวาฯ โย หิ อญฺญํ ภณิตุกาโม วิรุชฺฌิตฺวา ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ ภณติ, อยํ รวา ภณติ นามฯ ปุริเมน โก วิเสโสติ เจ? ปุริมํ ปณฺฑิตสฺสาปิ สหสาวเสน อญฺญภณนํ, อิทํ ปน มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ปกฺขลนฺตสฺส ‘‘อญฺญํ ภณิสฺสามี’’ติ อญฺญภณนํฯ ‘‘อกฺขรสมยานภิญฺญาตตาย วา กรณสมฺปตฺติยา อภาวโต วา กเถตพฺพํ กเถตุมสโกฺกโนฺต หุตฺวา อญฺญํ กเถโนฺต รวา ภณติ นามา’’ติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๕๔) เอเกฯ
Idāni tadubhayameva pākaṭaṃ katvā dassetuṃ ‘‘tatthā’’tiādimāha. Tadabhāvenāti tesaṃ cittādīnaṃ abhāvena. Cavitukāmatācittenāti apagantukāmatācittena . Davāti sahasā. Yo hi aññaṃ bhaṇitukāmo sahasā ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti bhaṇati, ayaṃ davā vadati nāma. Ravāti virajjhitvā. Yo hi aññaṃ bhaṇitukāmo virujjhitvā ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti bhaṇati, ayaṃ ravā bhaṇati nāma. Purimena ko visesoti ce? Purimaṃ paṇḍitassāpi sahasāvasena aññabhaṇanaṃ, idaṃ pana mandattā momūhattā pakkhalantassa ‘‘aññaṃ bhaṇissāmī’’ti aññabhaṇanaṃ. ‘‘Akkharasamayānabhiññātatāya vā karaṇasampattiyā abhāvato vā kathetabbaṃ kathetumasakkonto hutvā aññaṃ kathento ravā bhaṇati nāmā’’ti (sārattha. ṭī. 2.54) eke.
วชฺชาวชฺชํ อุปนิชฺฌายตีติ อุปชฺฌาโย, ตํ อุปชฺฌายํฯ ‘‘เอวํ สชฺฌายิตพฺพํ, เอวํ อภิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทินา อาจารสิกฺขาปนโก อาจริโยฯ อเนฺต สมีเป วสติ สีเลนาติ อเนฺตวาสี, วิภตฺติอโลเปน ยถา ‘‘วเนกเสรุกา’’ติฯ สมาโน อุปชฺฌาโย อสฺสาติ สมานุปชฺฌายโกฯ เอวํ สมานาจริยโกฯ สพฺรหฺมจารินฺติ ภิกฺขุํฯ โส หิ ‘‘เอกกมฺมํ, เอกุเทฺทโส, สมสิกฺขตา’’ติ อิมํ พฺรหฺมํ สมานํ จรติ, ตสฺมา ‘‘สพฺรหฺมจารี’’ติ วุจฺจติฯ เอวํ วุตฺตานนฺติ เอวํ ปทภาชนีเย วุตฺตานํฯ ยถา หิ โลเก สสฺสานํ วิรุหนฎฺฐานํ ‘‘เขตฺต’’นฺติ วุจฺจติ, เอวมิมานิปิ พุทฺธาทีนิ ปทานิ สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺส วิรุหนฎฺฐานตฺถา ‘‘เขตฺต’’นฺติ วุจฺจนฺตีติ อาห ‘‘อิเมสํ ทฺวาวีสติยา เขตฺตปทาน’’นฺติฯ ยสฺมา ปเนเตสํ เววจเนหิปิ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, ตสฺมา ‘‘สเววจนสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ วิวิธํ เอกสฺมิํเยว อเตฺถ วจนํ วิวจนํ, วิวจนเมว เววจนํ, ปริยายนามํ, สห เววจเนหีติ สเววจนํ, ตสฺส สเววจนสฺสฯ เอตฺถ จ วณฺณปฎฺฐาเน (สารตฺถ. ฎี. ๒.๕๒; วิ. วิ. ฎี. ๑.๕๓; วชิร. ฎี. ๕๓) อาคตํ นามสหสฺสํ, อุปาลิคาถาสุ (ม. นิ. ๒.๗๖) นามสตํ, อญฺญานิ จ คุณโต ลพฺภมานานิ นามานิ ‘‘พุทฺธเววจนานี’’ติ เวทิตพฺพานิฯ สพฺพานิปิ ธมฺมสฺส นามานิ ‘‘ธมฺมเววจนานี’’ติ เวทิตพฺพานิฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
Vajjāvajjaṃ upanijjhāyatīti upajjhāyo, taṃ upajjhāyaṃ. ‘‘Evaṃ sajjhāyitabbaṃ, evaṃ abhikkamitabba’’ntiādinā ācārasikkhāpanako ācariyo. Ante samīpe vasati sīlenāti antevāsī, vibhattialopena yathā ‘‘vanekaserukā’’ti. Samāno upajjhāyo assāti samānupajjhāyako. Evaṃ samānācariyako. Sabrahmacārinti bhikkhuṃ. So hi ‘‘ekakammaṃ, ekuddeso, samasikkhatā’’ti imaṃ brahmaṃ samānaṃ carati, tasmā ‘‘sabrahmacārī’’ti vuccati. Evaṃ vuttānanti evaṃ padabhājanīye vuttānaṃ. Yathā hi loke sassānaṃ viruhanaṭṭhānaṃ ‘‘khetta’’nti vuccati, evamimānipi buddhādīni padāni sikkhāpaccakkhānassa viruhanaṭṭhānatthā ‘‘khetta’’nti vuccantīti āha ‘‘imesaṃ dvāvīsatiyā khettapadāna’’nti. Yasmā panetesaṃ vevacanehipi sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, tasmā ‘‘savevacanassā’’ti vuttaṃ. Vividhaṃ ekasmiṃyeva atthe vacanaṃ vivacanaṃ, vivacanameva vevacanaṃ, pariyāyanāmaṃ, saha vevacanehīti savevacanaṃ, tassa savevacanassa. Ettha ca vaṇṇapaṭṭhāne (sārattha. ṭī. 2.52; vi. vi. ṭī. 1.53; vajira. ṭī. 53) āgataṃ nāmasahassaṃ, upāligāthāsu (ma. ni. 2.76) nāmasataṃ, aññāni ca guṇato labbhamānāni nāmāni ‘‘buddhavevacanānī’’ti veditabbāni. Sabbānipi dhammassa nāmāni ‘‘dhammavevacanānī’’ti veditabbāni. Esa nayo sabbattha.
เตสุ ยํ กิญฺจิ วตฺตุกามสฺส ยํ กิญฺจิ วทโต สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหตีติ เตสุ ทฺวาวีสติยา เขตฺตปเทสุ ยํ กิญฺจิ เอกํ ปทํ วตฺตุกามสฺส ตโต อญฺญํ ยํ กิญฺจิ ปทมฺปิ วจีเภทํ กตฺวา วทโต เขตฺตปทโนฺตคธตฺตา สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหตีติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเจ ปนายํ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วตฺตุกาโม ปทปจฺจาภฎฺฐํ กตฺวา ‘‘ปจฺจกฺขามิ พุทฺธ’’นฺติ วา วเทยฺย, มิลกฺขภาสาทีสุ วา อญฺญตรภาสาย ตมตฺถํ วเทยฺย, ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วตฺตุกาโม อุปฺปฎิปาฎิยา ‘‘ธมฺมํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วา ‘‘สพฺรหฺมจาริํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วา วเทยฺย, เสยฺยถาปิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมวิภเงฺค ‘‘ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชามี’’ติ วตฺตุกาโม ‘‘ทุติยํ ฌาน’’นฺติ วทติฯ สเจ ‘‘ยสฺส วทติ, โส อยํ ภิกฺขุภาวํ จชิตุกาโม เอตมตฺถํ วทตี’’ติ เอตฺตกมตฺตมฺปิ ชานาติ, วิรทฺธํ นาม นตฺถิ, เขตฺตเมว โอติณฺณํ, ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ สกฺกตฺตา วา พฺรหฺมตฺตา วา จุตสโตฺต วิย จุโตว โหติ สาสนาติฯ
Tesu yaṃ kiñci vattukāmassa yaṃ kiñci vadato sikkhāpaccakkhānaṃ hotīti tesu dvāvīsatiyā khettapadesu yaṃ kiñci ekaṃ padaṃ vattukāmassa tato aññaṃ yaṃ kiñci padampi vacībhedaṃ katvā vadato khettapadantogadhattā sikkhāpaccakkhānaṃ hotīti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – sace panāyaṃ ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti vattukāmo padapaccābhaṭṭhaṃ katvā ‘‘paccakkhāmi buddha’’nti vā vadeyya, milakkhabhāsādīsu vā aññatarabhāsāya tamatthaṃ vadeyya, ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti vattukāmo uppaṭipāṭiyā ‘‘dhammaṃ paccakkhāmī’’ti vā ‘‘sabrahmacāriṃ paccakkhāmī’’ti vā vadeyya, seyyathāpi uttarimanussadhammavibhaṅge ‘‘paṭhamaṃ jhānaṃ samāpajjāmī’’ti vattukāmo ‘‘dutiyaṃ jhāna’’nti vadati. Sace ‘‘yassa vadati, so ayaṃ bhikkhubhāvaṃ cajitukāmo etamatthaṃ vadatī’’ti ettakamattampi jānāti, viraddhaṃ nāma natthi, khettameva otiṇṇaṃ, paccakkhātāva hoti sikkhā. Sakkattā vā brahmattā vā cutasatto viya cutova hoti sāsanāti.
อลนฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๒) โหตุ, ปริยตฺตนฺติ อโตฺถฯ กิํ นุ เมติ กิํ มยฺหํ กิจฺจํ, กิํ กรณียํ, กิํ สาเธตพฺพนฺติ อโตฺถฯ น มมโตฺถติ นตฺถิ มม อโตฺถฯ สุมุตฺตาหนฺติ สุฎฺฐุ มุโตฺต อหํฯ ปุริเมหิ จุทฺทสหิ ปเทหีติ พุทฺธาทีหิ สพฺรหฺมจาริปริยเนฺตหิ ปุริเมหิ จุทฺทสหิ ปเทหิฯ ยนฺนูนาหํ ปจฺจเกฺขยฺยนฺติ เอตฺถ ‘‘ยนฺนูนา’’ติ ปริวิตกฺกทสฺสเน นิปาโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘สจาหํ พุทฺธํ ปจฺจเกฺขยฺยํ, สาธุ วต เม สิยา’’ติฯ อาทิสเทฺทน ‘‘ปจฺจกฺขิ’’นฺติ วา ‘‘ปจฺจกฺขิสฺสามี’’ติ วา ‘‘ภวิสฺสามี’’ติ วา ‘‘โหมี’’ติ วา ‘‘ชาโตมฺหี’’ติ วา ‘‘อมฺหี’’ติ วา เอวํภูตานํ คหณํฯ สเจ ปน ‘‘อชฺช ปฎฺฐาย ‘คิหี’ติ มํ ธาเรหี’’ติ วา ‘‘ชานาหี’’ติ วา ‘‘สญฺชานาหี’’ติ วา ‘‘มนสิ กโรหี’’ติ วา วทติ, อริยเกน วา วทติ, มิลกฺขเกน วาฯ เอวเมตสฺมิํ อเตฺถ วุเตฺต ยสฺส วทติ, สเจ โส ชานาติ, ปจฺจกฺขาตา โหติ สิกฺขาฯ เอส นโย เสเสสุปิ ‘‘อุปาสโก’’ติอาทีสุ สตฺตสุ ปเทสุฯ เอตฺถ จ อริยกํ นาม มาคธโวหาโรฯ มิลกฺขกํ นาม อนริยโก อนฺธทมิฬาทิฯ
Alanti (pārā. aṭṭha. 1.52) hotu, pariyattanti attho. Kiṃ nu meti kiṃ mayhaṃ kiccaṃ, kiṃ karaṇīyaṃ, kiṃ sādhetabbanti attho. Na mamatthoti natthi mama attho. Sumuttāhanti suṭṭhu mutto ahaṃ. Purimehi cuddasahi padehīti buddhādīhi sabrahmacāripariyantehi purimehi cuddasahi padehi. Yannūnāhaṃ paccakkheyyanti ettha ‘‘yannūnā’’ti parivitakkadassane nipāto. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘sacāhaṃ buddhaṃ paccakkheyyaṃ, sādhu vata me siyā’’ti. Ādisaddena ‘‘paccakkhi’’nti vā ‘‘paccakkhissāmī’’ti vā ‘‘bhavissāmī’’ti vā ‘‘homī’’ti vā ‘‘jātomhī’’ti vā ‘‘amhī’’ti vā evaṃbhūtānaṃ gahaṇaṃ. Sace pana ‘‘ajja paṭṭhāya ‘gihī’ti maṃ dhārehī’’ti vā ‘‘jānāhī’’ti vā ‘‘sañjānāhī’’ti vā ‘‘manasi karohī’’ti vā vadati, ariyakena vā vadati, milakkhakena vā. Evametasmiṃ atthe vutte yassa vadati, sace so jānāti, paccakkhātā hoti sikkhā. Esa nayo sesesupi ‘‘upāsako’’tiādīsu sattasu padesu. Ettha ca ariyakaṃ nāma māgadhavohāro. Milakkhakaṃ nāma anariyako andhadamiḷādi.
อกฺขรลิขนนฺติ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติอาทินา อเญฺญสํ ทสฺสนตฺถํ อกฺขรลิขนํฯ อธิปฺปายวิญฺญาปโก องฺคุลิสโงฺกจนาทิโก หตฺถวิกาโร หตฺถมุทฺทา, หตฺถสโทฺท เจตฺถ ตเทกเทเสสุ องฺคุลีสุ ทฎฺฐโพฺพ ‘‘น ภุญฺชมาโน สพฺพํ หตฺถํ มุเข ปกฺขิปิสฺสามี’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๖๑๘) วิยฯ ตสฺมา อธิปฺปายวิญฺญาปกสฺส องฺคุลิสโงฺกจนาทิโน หตฺถวิการสฺส ทสฺสนํ หตฺถมุทฺทาทิทสฺสนนฺติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๕๑) เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อาทิสเทฺทน สีสกมฺปนทสฺสนาทิํ สงฺคณฺหาติฯ
Akkharalikhananti ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’tiādinā aññesaṃ dassanatthaṃ akkharalikhanaṃ. Adhippāyaviññāpako aṅgulisaṅkocanādiko hatthavikāro hatthamuddā, hatthasaddo cettha tadekadesesu aṅgulīsu daṭṭhabbo ‘‘na bhuñjamāno sabbaṃ hatthaṃ mukhe pakkhipissāmī’’tiādīsu (pāci. 618) viya. Tasmā adhippāyaviññāpakassa aṅgulisaṅkocanādino hatthavikārassa dassanaṃ hatthamuddādidassananti (sārattha. ṭī. 2.51) evamettha attho daṭṭhabbo. Ādisaddena sīsakampanadassanādiṃ saṅgaṇhāti.
อุมฺมตฺตกขิตฺตจิตฺตเวทนาฎฺฎานนฺติ เอตฺถ อุมฺมตฺตโกติ ปิตฺตุมฺมตฺตโกฯ ขิตฺตจิโตฺตติ ยเกฺขหิ กตจิตฺตวิเกฺขโป, ยกฺขุมฺมตฺตโกติ วุตฺตํ โหติฯ อุภินฺนํ ปน วิเสโส อนาปตฺติวาเร อาวิภวิสฺสติฯ เวทนาโฎฺฎติ พลวติยา ทุกฺขเวทนาย ผุโฎฺฐ มุจฺฉาปเรโต, เตน วิปฺปลปเนฺตน ปจฺจกฺขาตาปิ อปจฺจกฺขาตาว โหติฯ มนุสฺสชาติโก โหตีติ สภาโค วา วิสภาโค วา คหโฎฺฐ วา ปพฺพชิโต วา วิญฺญู โยโกจิ มนุโสฺส โหติฯ อุมฺมตฺตกาทีนนฺติ เอตฺถาทิสเทฺทน ขิตฺตจิตฺตเวทนาฎฺฎเทวตาติรจฺฉานคตานํ คหณํฯ ตตฺร อุมฺมตฺตกขิตฺตจิตฺตเวทนาฎฺฎติรจฺฉานคตานํ สนฺติเก ปจฺจกฺขาตาปิ อชานนภาเวน อปจฺจกฺขาตาว โหติฯ เทวตาย ปน สนฺติเก อติขิปฺปํ ชานนภาเวนฯ เทวตา นาม มหาปญฺญา ติเหตุกปฺปฎิสนฺธิกา อติขิปฺปํ ชานนฺติ, จิตฺตญฺจ นาเมตํ ลหุปริวตฺตํ, ตสฺมา ‘‘จิตฺตลหุกสฺส ปุคฺคลสฺส จิตฺตวเสเนว มา อติขิปฺปํ วินาโส อโหสี’’ติ เทวตาย สนฺติเก สิกฺขาปจฺจกฺขานํ ปฎิกฺขิปิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘น จ อุมฺมตฺตกาทีนํ อญฺญตโร’’ติฯ ทูเตน วาติ ‘‘มม สิกฺขาปจฺจกฺขานภาวํ กเถหี’’ติ มุขสาสนวเสน ทูเตน วาฯ ปเณฺณน วาติ ปเณฺณ ลิขิตฺวา ปหิณวเสน ปเณฺณน วาฯ
Ummattakakhittacittavedanāṭṭānanti ettha ummattakoti pittummattako. Khittacittoti yakkhehi katacittavikkhepo, yakkhummattakoti vuttaṃ hoti. Ubhinnaṃ pana viseso anāpattivāre āvibhavissati. Vedanāṭṭoti balavatiyā dukkhavedanāya phuṭṭho mucchāpareto, tena vippalapantena paccakkhātāpi apaccakkhātāva hoti. Manussajātiko hotīti sabhāgo vā visabhāgo vā gahaṭṭho vā pabbajito vā viññū yokoci manusso hoti. Ummattakādīnanti etthādisaddena khittacittavedanāṭṭadevatātiracchānagatānaṃ gahaṇaṃ. Tatra ummattakakhittacittavedanāṭṭatiracchānagatānaṃ santike paccakkhātāpi ajānanabhāvena apaccakkhātāva hoti. Devatāya pana santike atikhippaṃ jānanabhāvena. Devatā nāma mahāpaññā tihetukappaṭisandhikā atikhippaṃ jānanti, cittañca nāmetaṃ lahuparivattaṃ, tasmā ‘‘cittalahukassa puggalassa cittavaseneva mā atikhippaṃ vināso ahosī’’ti devatāya santike sikkhāpaccakkhānaṃ paṭikkhipi. Tena vuttaṃ ‘‘na ca ummattakādīnaṃ aññataro’’ti. Dūtena vāti ‘‘mama sikkhāpaccakkhānabhāvaṃ kathehī’’ti mukhasāsanavasena dūtena vā. Paṇṇena vāti paṇṇe likhitvā pahiṇavasena paṇṇena vā.
สเจ เต สิกฺขาปจฺจกฺขานภาวํ ชานนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ อาวชฺชนสมเยติ อตฺถาโภคสมเยฯ อิมินา ตํ ขณํเยว ปน อปุพฺพํ อจริมํ ทุชฺชานนฺติ ทเสฺสติฯ วจนานนฺตรเมวาติ วจนสฺส อนนฺตรเมว, อาวชฺชนสมเยวาติ อโตฺถฯ เอว-สเทฺทน ปน จิเรน ชานนํ ปฎิกฺขิปติฯ อุกฺกณฺฐิโตติ อนภิรติยา อิมสฺมิํ สาสเน กิจฺฉชีวิกํ ปโตฺตฯ อถ วา ‘‘อชฺช ยามิ, เสฺว ยามิ, อิโต ยามิ, เอตฺถ ยามี’’ติ อุทฺธํ กณฺฐํ กตฺวา วิหรมาโน วิกฺขิโตฺต, อเนกโคฺคติ วุตฺตํ โหติฯ อิทญฺจ ‘‘อนภิรโต สามญฺญา จวิตุกาโม’’ติอาทีนํ (ปารา. ๔๕) อุปลกฺขณํฯ เยน เกนจิ…เป.… ชานนฺตีติ สเจ เต‘‘อุกฺกณฺฐิโต’’ติ วา ‘‘คิหิภาวํ ปเตฺถตี’’ติ วา ‘‘อนภิรโต’’ติ วา ‘‘สามญฺญา จวิตุกาโม’’ติ วา เยน เกนจิ อากาเรน สิกฺขาปจฺจกฺขานภาวํ ชานนฺติฯ อิทญฺหิ สิกฺขาปจฺจกฺขานญฺจ อุปริ อภูตาโรจนทุฎฺฐุลฺลวาจาอตฺตกามทุฎฺฐโทสภูตาโรจนสิกฺขาปทานิ จ เอกปริเจฺฉทานิ, อาวชฺชนสมเย ญาเต เอว สีสํ เอนฺติฯ ‘‘กิํ อยํ ภณตี’’ติ กงฺขตา จิเรน ญาเต สีสํ น เอนฺติฯ เตนาห ‘‘อถ อปรภาเค’’ติอาทิฯ อถ ทฺวินฺนํ ฐิตฎฺฐาเน ทฺวินฺนมฺปิ นิยเมตฺวา ‘‘เอเตสํ อาโรเจมี’’ติ วทติ, เตสุ เอกสฺมิํ ชานเนฺตปิ ทฺวีสุ ชานเนฺตสุปิ ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ เอวํ สมฺพหุเลสุปิ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตนเยนาติ ‘‘ตสฺส วจนานนฺตร’’นฺติอาทินา วุเตฺตน นเยนฯ โย โกจิ มนุสฺสชาติโกติ อนฺตมโส นวกมฺมิกํ อุปาทาย โย โกจิ มนุโสฺสฯ วุตฺตเญฺหตํ สมนฺตปาสาทิกายํ –
Sace te sikkhāpaccakkhānabhāvaṃ jānantīti sambandho. Āvajjanasamayeti atthābhogasamaye. Iminā taṃ khaṇaṃyeva pana apubbaṃ acarimaṃ dujjānanti dasseti. Vacanānantaramevāti vacanassa anantarameva, āvajjanasamayevāti attho. Eva-saddena pana cirena jānanaṃ paṭikkhipati. Ukkaṇṭhitoti anabhiratiyā imasmiṃ sāsane kicchajīvikaṃ patto. Atha vā ‘‘ajja yāmi, sve yāmi, ito yāmi, ettha yāmī’’ti uddhaṃ kaṇṭhaṃ katvā viharamāno vikkhitto, anekaggoti vuttaṃ hoti. Idañca ‘‘anabhirato sāmaññā cavitukāmo’’tiādīnaṃ (pārā. 45) upalakkhaṇaṃ. Yena kenaci…pe… jānantīti sace te‘‘ukkaṇṭhito’’ti vā ‘‘gihibhāvaṃ patthetī’’ti vā ‘‘anabhirato’’ti vā ‘‘sāmaññā cavitukāmo’’ti vā yena kenaci ākārena sikkhāpaccakkhānabhāvaṃ jānanti. Idañhi sikkhāpaccakkhānañca upari abhūtārocanaduṭṭhullavācāattakāmaduṭṭhadosabhūtārocanasikkhāpadāni ca ekaparicchedāni, āvajjanasamaye ñāte eva sīsaṃ enti. ‘‘Kiṃ ayaṃ bhaṇatī’’ti kaṅkhatā cirena ñāte sīsaṃ na enti. Tenāha ‘‘atha aparabhāge’’tiādi. Atha dvinnaṃ ṭhitaṭṭhāne dvinnampi niyametvā ‘‘etesaṃ ārocemī’’ti vadati, tesu ekasmiṃ jānantepi dvīsu jānantesupi paccakkhātāva hoti sikkhā. Evaṃ sambahulesupi veditabbaṃ. Vuttanayenāti ‘‘tassa vacanānantara’’ntiādinā vuttena nayena. Yo koci manussajātikoti antamaso navakammikaṃ upādāya yo koci manusso. Vuttañhetaṃ samantapāsādikāyaṃ –
‘‘สเจ ปน อนภิรติยา ปีฬิโต สภาเค ภิกฺขู ปริสงฺกมาโน ‘โย โกจิ ชานาตู’ติ อุจฺจาสทฺทํ กโรโนฺต ‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’ติ วทติ, ตญฺจ อวิทูเร ฐิโต นวกมฺมิโก วา อโญฺญ วา สมยญฺญู ปุริโส สุตฺวา ‘อุกฺกณฺฐิโต อยํ สมโณ คิหิภาวํ ปเตฺถติ, สาสนโต จุโต’ติ ชานาติ, ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๑)ฯ
‘‘Sace pana anabhiratiyā pīḷito sabhāge bhikkhū parisaṅkamāno ‘yo koci jānātū’ti uccāsaddaṃ karonto ‘buddhaṃ paccakkhāmī’ti vadati, tañca avidūre ṭhito navakammiko vā añño vā samayaññū puriso sutvā ‘ukkaṇṭhito ayaṃ samaṇo gihibhāvaṃ pattheti, sāsanato cuto’ti jānāti, paccakkhātāva hoti sikkhā’’ti (pārā. aṭṭha. 1.51).
สเจ วจนตฺถํ ญตฺวาปิ ‘‘อยํ อุกฺกณฺฐิโต’’ติ วา ‘‘คิหิภาวํ ปเตฺถตี’’ติ วา น ชานาติ, อปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ สเจ ปน วจนตฺถํ อชานิตฺวาปิ ‘‘อุกฺกณฺฐิโต’’ติ วา ‘‘คิหิภาวํ ปเตฺถตี’’ติ วา ชานาติ, ปจฺจกฺขาตาว โหติ สิกฺขาฯ ทวายปีติ กีฬาธิปฺปาเยนปิฯ จิตฺตาทีนํ วา วเสนาติ จิตฺตาทีนํ วา ฉฬงฺคานํ วเสนฯ โหติ เจตฺถ –
Sace vacanatthaṃ ñatvāpi ‘‘ayaṃ ukkaṇṭhito’’ti vā ‘‘gihibhāvaṃ patthetī’’ti vā na jānāti, apaccakkhātāva hoti sikkhā. Sace pana vacanatthaṃ ajānitvāpi ‘‘ukkaṇṭhito’’ti vā ‘‘gihibhāvaṃ patthetī’’ti vā jānāti, paccakkhātāva hoti sikkhā. Davāyapīti kīḷādhippāyenapi. Cittādīnaṃ vā vasenāti cittādīnaṃ vā chaḷaṅgānaṃ vasena. Hoti cettha –
‘‘จิตฺตํ เขตฺตญฺจ กาโล จ, ปโยโค ปุคฺคโล ตถา;
‘‘Cittaṃ khettañca kālo ca, payogo puggalo tathā;
วิชานนนฺติ สิกฺขาย, ปจฺจกฺขานํ ฉฬงฺคิก’’นฺติฯ
Vijānananti sikkhāya, paccakkhānaṃ chaḷaṅgika’’nti.
สพฺพโส วา ปน อปจฺจกฺขาเนนาติ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติอาทีสุ เยน เยน ปริยาเยน สิกฺขาปจฺจกฺขานํ โหติ, ตโต เอกสฺสปิ ปจฺจกฺขานสฺส อภาเวนฯ อิมินา ปน ‘‘อิทํ ปทํ สาเวสฺสามิ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขามี’’ติ เอวํ ปวตฺตจิตฺตุปฺปาทสฺส อภาวํ ทเสฺสติฯ ยสฺส หิ เอวรูโป จิตฺตุปฺปาโท นตฺถิ, โส สพฺพโส น ปจฺจกฺขาติ นามาติฯ สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺสาติ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติอาทิสิกฺขาปจฺจกฺขานสฺสฯ อตฺถภูตํ เอกจฺจํ ทุพฺพลฺยนฺติ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติ วทติ วิญฺญาเปติ, เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, ทุพฺพลฺยาวิกมฺมเญฺจว โหติ, สิกฺขา จ ปจฺจกฺขาตา’’ติอาทินา (ปารา. ๕๓) วุเตฺตหิ เยหิ วจเนหิ สิกฺขาปจฺจกฺขานเญฺจว โหติ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมญฺจ, ตํ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติอาทิกํ อตฺถภูตํ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวาฯ ‘‘พุทฺธํ ปจฺจกฺขามี’’ติอาทิมฺหิ ปน วุเตฺต สิกฺขาปริปูรเณ ทุพฺพลภาวสฺสาปิ คมฺยมานตฺตา สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺส อิทํ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ อโตฺถติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอตฺถ จ ‘‘อตฺถภูต’’นฺติ อิมินา ‘‘ยนฺนูนาหํ พุทฺธํ ปจฺจเกฺขยฺย’’นฺติอาทิกํ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ ปฎิกฺขิปติฯ เยน หิ สิกฺขาปจฺจกฺขานเญฺจว โหติ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมญฺจ, ตเทว สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺส อตฺถภูตํฯ เยน ปน ทุพฺพลฺยาวิกมฺมเมว โหติ, น สิกฺขาปจฺจกฺขานํ, น ตํ ตสฺส อตฺถภูตนฺติฯ
Sabbaso vā pana apaccakkhānenāti ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’tiādīsu yena yena pariyāyena sikkhāpaccakkhānaṃ hoti, tato ekassapi paccakkhānassa abhāvena. Iminā pana ‘‘idaṃ padaṃ sāvessāmi, sikkhaṃ paccakkhāmī’’ti evaṃ pavattacittuppādassa abhāvaṃ dasseti. Yassa hi evarūpo cittuppādo natthi, so sabbaso na paccakkhāti nāmāti. Sikkhāpaccakkhānassāti ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’tiādisikkhāpaccakkhānassa. Atthabhūtaṃ ekaccaṃ dubbalyanti ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’ti vadati viññāpeti, evampi, bhikkhave, dubbalyāvikammañceva hoti, sikkhā ca paccakkhātā’’tiādinā (pārā. 53) vuttehi yehi vacanehi sikkhāpaccakkhānañceva hoti dubbalyāvikammañca, taṃ ‘‘buddhaṃ paccakkhāmī’’tiādikaṃ atthabhūtaṃ dubbalyaṃ anāvikatvā. ‘‘Buddhaṃ paccakkhāmī’’tiādimhi pana vutte sikkhāparipūraṇe dubbalabhāvassāpi gamyamānattā sikkhāpaccakkhānassa idaṃ dubbalyāvikammaṃ atthoti daṭṭhabbaṃ. Ettha ca ‘‘atthabhūta’’nti iminā ‘‘yannūnāhaṃ buddhaṃ paccakkheyya’’ntiādikaṃ dubbalyāvikammaṃ paṭikkhipati. Yena hi sikkhāpaccakkhānañceva hoti dubbalyāvikammañca, tadeva sikkhāpaccakkhānassa atthabhūtaṃ. Yena pana dubbalyāvikammameva hoti, na sikkhāpaccakkhānaṃ, na taṃ tassa atthabhūtanti.
ราคปริยุฎฺฐาเนน สทิสภาวาปตฺติยา มิถุนานํ อยนฺติ ‘‘เมถุโน’’ติ ธโมฺมว วุจฺจตีติ อาห ‘‘ราคปริยุฎฺฐาเนนา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ราคปริยุฎฺฐาเนนาติ ราคสฺส ปริยุฎฺฐาเนน, เมถุนราคสฺส ปวตฺติยา ปริโยนทฺธจิตฺตตายาติ อโตฺถฯ ธโมฺมติ อชฺฌาจาโรฯ ‘‘ปลมฺพเต วิลมฺพเต’’ติอาทีสุ วิย อุปสคฺคสฺส โกจิ อตฺถวิเสโส นตฺถีติ อาห ‘‘เสเวยฺยา’’ติฯ อชฺฌาปเชฺชยฺยาติ อภิภุยฺย ปเชฺชยฺยฯ สพฺพนฺติเมนาติ ปรนิมฺมิตวสวตฺติ…เป.… จาตุมหาราชิกมนุสฺสิตฺถินาคครุฬมาณวิกาทีนํ สพฺพาสํ อนฺติเมนฯ ติรจฺฉานคตายาติ ติรจฺฉาเนสุ อุปฺปนฺนายฯ เตนาห ‘‘ปฎิสนฺธิวเสนา’’ติฯ ปาราชิกาย วตฺถุภูตา เอว เจตฺถ ติรจฺฉานคติตฺถี ‘‘ติรจฺฉานคตา’’ติ คเหตพฺพา, น สพฺพาฯ ตตฺรายํ ปริเจฺฉโท –
Rāgapariyuṭṭhānena sadisabhāvāpattiyā mithunānaṃ ayanti ‘‘methuno’’ti dhammova vuccatīti āha ‘‘rāgapariyuṭṭhānenā’’tiādi. Tattha rāgapariyuṭṭhānenāti rāgassa pariyuṭṭhānena, methunarāgassa pavattiyā pariyonaddhacittatāyāti attho. Dhammoti ajjhācāro. ‘‘Palambate vilambate’’tiādīsu viya upasaggassa koci atthaviseso natthīti āha ‘‘seveyyā’’ti. Ajjhāpajjeyyāti abhibhuyya pajjeyya. Sabbantimenāti paranimmitavasavatti…pe… cātumahārājikamanussitthināgagaruḷamāṇavikādīnaṃ sabbāsaṃ antimena. Tiracchānagatāyāti tiracchānesu uppannāya. Tenāha ‘‘paṭisandhivasenā’’ti. Pārājikāya vatthubhūtā eva cettha tiracchānagatitthī ‘‘tiracchānagatā’’ti gahetabbā, na sabbā. Tatrāyaṃ paricchedo –
‘‘อปทานํ อหิมจฺฉา, ทฺวิปทานญฺจ กุกฺกุฎี;
‘‘Apadānaṃ ahimacchā, dvipadānañca kukkuṭī;
จตุปฺปทานํ มชฺชารี, วตฺถุ ปาราชิกสฺสิมา’’ติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๕)
Catuppadānaṃ majjārī, vatthu pārājikassimā’’ti. (pārā. aṭṭha. 1.55)
ตตฺถ อหิคฺคหเณน สพฺพาปิ อชครโคนสาทิเภทา ทีฆชาติ สงฺคหิตาฯ ตสฺมา ทีฆชาตีสุ ยตฺถ ติณฺณํ มคฺคานํ อญฺญตรสฺมิํ สกฺกา ติลผลมตฺตมฺปิ ปเวเสตุํ, สา ปาราชิกวตฺถุ, อวเสสา ทุกฺกฎวตฺถูติ เวทิตพฺพาฯ มจฺฉคฺคหเณน สพฺพาปิ มจฺฉกจฺฉปมณฺฑูกาทิเภทา โอทกชาติ สงฺคหิตาฯ ตตฺราปิ ทีฆชาติยํ วุตฺตนเยเนว ปาราชิกวตฺถุ จ ทุกฺกฎวตฺถุ จ เวทิตพฺพํฯ อยํ ปน วิเสโส – ปตงฺคมุขมณฺฑูกา นาม โหนฺติ, เตสํ มุขสณฺฐานํ มหนฺตํ, ฉิทฺทํ อปฺปกํ, ตตฺถ ปเวสนํ นปฺปโหติ, มุขสณฺฐานํ ปน วณสเงฺขปํ คจฺฉติ, ตสฺมา ตํ ถุลฺลจฺจยวตฺถูติ เวทิตพฺพํ ฯ กุกฺกุฎิคฺคหเณน สพฺพาปิ กากกโปตาทิเภทา ปกฺขิชาติ สงฺคหิตาฯ ตตฺราปิ วุตฺตนเยเนว ปาราชิกวตฺถุ จ ทุกฺกฎวตฺถุ จ เวทิตพฺพํฯ มชฺชาริคฺคหเณน สพฺพาปิ รุกฺขสุนขมงฺคุสโคธาทิเภทา จตุปฺปทชาติ สงฺคหิตาฯ ตตฺราปิ วุตฺตนเยเนว ปาราชิกวตฺถุ จ ทุกฺกฎวตฺถุ จ เวทิตพฺพํฯ
Tattha ahiggahaṇena sabbāpi ajagaragonasādibhedā dīghajāti saṅgahitā. Tasmā dīghajātīsu yattha tiṇṇaṃ maggānaṃ aññatarasmiṃ sakkā tilaphalamattampi pavesetuṃ, sā pārājikavatthu, avasesā dukkaṭavatthūti veditabbā. Macchaggahaṇena sabbāpi macchakacchapamaṇḍūkādibhedā odakajāti saṅgahitā. Tatrāpi dīghajātiyaṃ vuttanayeneva pārājikavatthu ca dukkaṭavatthu ca veditabbaṃ. Ayaṃ pana viseso – pataṅgamukhamaṇḍūkā nāma honti, tesaṃ mukhasaṇṭhānaṃ mahantaṃ, chiddaṃ appakaṃ, tattha pavesanaṃ nappahoti, mukhasaṇṭhānaṃ pana vaṇasaṅkhepaṃ gacchati, tasmā taṃ thullaccayavatthūti veditabbaṃ . Kukkuṭiggahaṇena sabbāpi kākakapotādibhedā pakkhijāti saṅgahitā. Tatrāpi vuttanayeneva pārājikavatthu ca dukkaṭavatthu ca veditabbaṃ. Majjāriggahaṇena sabbāpi rukkhasunakhamaṅgusagodhādibhedā catuppadajāti saṅgahitā. Tatrāpi vuttanayeneva pārājikavatthu ca dukkaṭavatthu ca veditabbaṃ.
ปาราชิโก โหตีติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๕) ปราชิโต โหติ ปราชยํ อปโนฺนฯ อยญฺหิ ปาราชิกสโทฺท สิกฺขาปทาปตฺติปุคฺคเลสุ วตฺตติฯ ตตฺถ ‘‘อฎฺฐานเมตํ, อานนฺท, อนวกาโส, ยํ ตถาคโต วชฺชีนํ วา วชฺชิปุตฺตกานํ วา การณา สาวกานํ ปาราชิกํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ สมูหเนยฺยา’’ติ (ปารา. ๔๓) เอวํ สิกฺขาปเท วตฺตมาโน เวทิตโพฺพฯ ‘‘อาปตฺติํ ตฺวํ ภิกฺขุ อาปโนฺน ปาราชิก’’นฺติ (ปารา. ๖๗) เอวํ อาปตฺติยํฯ ‘‘น มยํ ปาราชิกา, โย อวหโฎ, โส ปาราชิโก’’ติ (ปารา. ๑๕๕) เอวํ ปุคฺคเล วตฺตมาโน เวทิตโพฺพฯ ‘‘ปาราชิเกน ธเมฺมน อนุทฺธํเสยฺยา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๓๘๔) ปน ธเมฺม วตฺตตีติ วทนฺติฯ ยสฺมา ปน ตตฺถ ‘‘ธโมฺม’’ติ กตฺถจิ อาปตฺติ, กตฺถจิ สิกฺขาปทเมว อธิเปฺปตํ, ตสฺมา โส วิสุํ น วตฺตโพฺพฯ ตตฺถ สิกฺขาปทํ โย ตํ อติกฺกมติ, ตํ ปราเชติ, ตสฺมา ‘‘ปาราชิก’’นฺติ วุจฺจติฯ อาปตฺติ ปน โย นํ อชฺฌาปชฺชติ, ตํ ปราเชติ, ตสฺมา ‘‘ปาราชิกา’’ติ วุจฺจติฯ ปุคฺคโล ยสฺมา ปราชิโต ปราชยมาปโนฺน, ตสฺมา ‘‘ปาราชิโก’’ติ วุจฺจติฯ อิธ ปน ปุคฺคโล เวทิตโพฺพติ อาห ‘‘ปาราชิโก โหตี’’ติอาทิฯ อิมินาปิ อิทํ ทเสฺสติ – ‘‘ปราชิตสเทฺท อุปสคฺคสฺส วุทฺธิํ กตฺวา, ต-การสฺส จ ก-การํ กตฺวา ปาราชิโก โหตีติ นิทฺทิโฎฺฐ’’ติฯ
Pārājiko hotīti (pārā. aṭṭha. 1.55) parājito hoti parājayaṃ apanno. Ayañhi pārājikasaddo sikkhāpadāpattipuggalesu vattati. Tattha ‘‘aṭṭhānametaṃ, ānanda, anavakāso, yaṃ tathāgato vajjīnaṃ vā vajjiputtakānaṃ vā kāraṇā sāvakānaṃ pārājikaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ samūhaneyyā’’ti (pārā. 43) evaṃ sikkhāpade vattamāno veditabbo. ‘‘Āpattiṃ tvaṃ bhikkhu āpanno pārājika’’nti (pārā. 67) evaṃ āpattiyaṃ. ‘‘Na mayaṃ pārājikā, yo avahaṭo, so pārājiko’’ti (pārā. 155) evaṃ puggale vattamāno veditabbo. ‘‘Pārājikena dhammena anuddhaṃseyyā’’tiādīsu (pārā. 384) pana dhamme vattatīti vadanti. Yasmā pana tattha ‘‘dhammo’’ti katthaci āpatti, katthaci sikkhāpadameva adhippetaṃ, tasmā so visuṃ na vattabbo. Tattha sikkhāpadaṃ yo taṃ atikkamati, taṃ parājeti, tasmā ‘‘pārājika’’nti vuccati. Āpatti pana yo naṃ ajjhāpajjati, taṃ parājeti, tasmā ‘‘pārājikā’’ti vuccati. Puggalo yasmā parājito parājayamāpanno, tasmā ‘‘pārājiko’’ti vuccati. Idha pana puggalo veditabboti āha ‘‘pārājiko hotī’’tiādi. Imināpi idaṃ dasseti – ‘‘parājitasadde upasaggassa vuddhiṃ katvā, ta-kārassa ca ka-kāraṃ katvā pārājiko hotīti niddiṭṭho’’ti.
อปโลกนาทิ จตุพฺพิธมฺปิ สงฺฆกมฺมํ สีมาปริจฺฉิเนฺนหิ ปกตเตฺตหิ ภิกฺขูหิ เอกโต กตฺตพฺพตฺตา เอกกมฺมํ นามฯ อาทิสเทฺทน เอกุเทฺทสสมสิกฺขตานํ คหณํฯ ตตฺถ ปญฺจวิโธปิ ปาติโมกฺขุเทฺทโส เอกโต อุทฺทิสิตพฺพตฺตา เอกุเทฺทโส นามฯ นหาปิตปุพฺพกาทีนํ วิย โอทิสฺส อนุญฺญาตํ ฐเปตฺวา อวเสสํ สพฺพมฺปิ สิกฺขาปทํ สเพฺพหิปิ ลชฺชิปุคฺคเลหิ สมํ สิกฺขิตพฺพภาวโต สมสิกฺขตา นามฯ ยสฺมา สเพฺพปิ ลชฺชิโน เอเตสุ เอกกมฺมาทีสุ สห วสนฺติ, น เอโกปิ ตโต พหิทฺธา สนฺทิสฺสติ, ตสฺมา ตานิ สพฺพานิปิ คเหตฺวา เอกกมฺมาทิโก ติวิโธปิ สํวาโส นามาติ อาห ‘‘โส จ วุตฺตปฺปกาโร สํวาโส เตน ปุคฺคเลน สทฺธิํ นตฺถิ, เตน การเณน โส ปาราชิโก ปุคฺคโล ‘อสํวาโส’ติ วุจฺจตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๕)ฯ
Apalokanādi catubbidhampi saṅghakammaṃ sīmāparicchinnehi pakatattehi bhikkhūhi ekato kattabbattā ekakammaṃ nāma. Ādisaddena ekuddesasamasikkhatānaṃ gahaṇaṃ. Tattha pañcavidhopi pātimokkhuddeso ekato uddisitabbattā ekuddeso nāma. Nahāpitapubbakādīnaṃ viya odissa anuññātaṃ ṭhapetvā avasesaṃ sabbampi sikkhāpadaṃ sabbehipi lajjipuggalehi samaṃ sikkhitabbabhāvato samasikkhatā nāma. Yasmā sabbepi lajjino etesu ekakammādīsu saha vasanti, na ekopi tato bahiddhā sandissati, tasmā tāni sabbānipi gahetvā ekakammādiko tividhopi saṃvāso nāmāti āha ‘‘so ca vuttappakāro saṃvāso tena puggalena saddhiṃ natthi, tena kāraṇena so pārājiko puggalo ‘asaṃvāso’ti vuccatī’’ti (pārā. aṭṭha. 1.55).
อิทานิ ยสฺมา น เกวลํ มนุสฺสิตฺถิยา เอว นิมิตฺตํ ปาราชิกวตฺถุ, อถ โข อมนุสฺสิตฺถิติรจฺฉานคติตฺถีนมฺปิฯ น จ อิตฺถิยา เอวฯ อถ โข อุภโตพฺยญฺชนกปณฺฑกปุริสานมฺปิ, ตสฺมา เต สเตฺต, เตสญฺจ ยํ ยํ นิมิตฺตํ วตฺถุ โหติ, ตํ ตํ นิมิตฺตํ, ตตฺถ จ ยถา ปฎิเสวโนฺต ปาราชิโก โหติ, ตญฺจ สพฺพํ วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อยํ ปเนตฺถ วินิจฺฉโย’’ติอาทิมาหฯ เอตฺถาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ เตสูติ เย ติํสมคฺคา วุตฺตา, เตสุฯ อตฺตโน วาติ ลมฺพิมุทุปิฎฺฐิเก สนฺธาย วุตฺตํฯ สนฺถตสฺส วาติ เยน เกนจิ วเตฺถน วา ปเณฺณน วา วากปเฎฺฎน วา จเมฺมน วา ติปุสีสาทีนํ ปเฎฺฎน วา ปลิเวเฐตฺวา, อโนฺต วา ปเวเสตฺวา ปฎิจฺฉนฺนสฺสฯ อกฺขายิตสฺส วาติ โสณสิงฺคาลาทีหิ อกฺขาทิตสฺสฯ เยภุเยฺยน อกฺขายิตสฺสาติ ยาว อุปฑฺฒกฺขายิโต นาม น โหติ, เอวํ อกฺขายิตสฺสฯ อโลฺลกาเสติ ติโนฺตกาเสฯ สนฺถตนฺติ เตสํเยว วตฺถาทีนํ เยน เกนจิ ปฎิจฺฉนฺนํฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – น เหตฺถ อนุปาทินฺนกํ อนุปาทินฺนเกน ฉุปติ, มุตฺติ อตฺถิ, อถ โข อุปาทินฺนเกน วา อนุปาทินฺนกํ ฆฎฺฎิยตุ, อนุปาทินฺนเกน วา อุปาทินฺนกํ, อนุปาทินฺนเกน วา อนุปาทินฺนกํ, อุปาทินฺนเกน วา อุปาทินฺนกํฯ สเจ ยตฺตเก ปวิเฎฺฐ ปาราชิกํ โหตีติ วุตฺตํ, ตตฺตกํ เสวนจิเตฺตน ปเวเสติ, สพฺพตฺถายํ ปาราชิกาปตฺติํ อาปโนฺน นาม โหตีติฯ
Idāni yasmā na kevalaṃ manussitthiyā eva nimittaṃ pārājikavatthu, atha kho amanussitthitiracchānagatitthīnampi. Na ca itthiyā eva. Atha kho ubhatobyañjanakapaṇḍakapurisānampi, tasmā te satte, tesañca yaṃ yaṃ nimittaṃ vatthu hoti, taṃ taṃ nimittaṃ, tattha ca yathā paṭisevanto pārājiko hoti, tañca sabbaṃ vitthāretvā dassetuṃ ‘‘ayaṃ panettha vinicchayo’’tiādimāha. Etthāti imasmiṃ sikkhāpade. Tesūti ye tiṃsamaggā vuttā, tesu. Attano vāti lambimudupiṭṭhike sandhāya vuttaṃ. Santhatassa vāti yena kenaci vatthena vā paṇṇena vā vākapaṭṭena vā cammena vā tipusīsādīnaṃ paṭṭena vā paliveṭhetvā, anto vā pavesetvā paṭicchannassa. Akkhāyitassa vāti soṇasiṅgālādīhi akkhāditassa. Yebhuyyena akkhāyitassāti yāva upaḍḍhakkhāyito nāma na hoti, evaṃ akkhāyitassa. Allokāseti tintokāse. Santhatanti tesaṃyeva vatthādīnaṃ yena kenaci paṭicchannaṃ. Ayañhettha saṅkhepattho – na hettha anupādinnakaṃ anupādinnakena chupati, mutti atthi, atha kho upādinnakena vā anupādinnakaṃ ghaṭṭiyatu, anupādinnakena vā upādinnakaṃ, anupādinnakena vā anupādinnakaṃ, upādinnakena vā upādinnakaṃ. Sace yattake paviṭṭhe pārājikaṃ hotīti vuttaṃ, tattakaṃ sevanacittena paveseti, sabbatthāyaṃ pārājikāpattiṃ āpanno nāma hotīti.
เอวํ เสวนจิเตฺตเนว ปเวเสนฺตสฺส อาปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺมา ตํ ปเวสนํ นาม น เกวลํ อตฺตูปกฺกเมเนว, ปรูปกฺกเมนาปิ โหติฯ ตตฺราปิ สาทิยนฺตเสฺสว อาปตฺติ ปฎิเสวนจิตฺตสมงฺคิสฺส , น อิตรสฺสาติ ทเสฺสตุํ ‘‘ปเรน วา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปเรนาติ ภิกฺขุปจฺจตฺถิกาทินา เยน เกนจิ อเญฺญนฯ ปเวสนปวิฎฺฐฎฺฐิตอุทฺธรเณสูติ เอตฺถ อคฺคโต (สารตฺถ. ฎี. ๒.๕๘) ยาว มูลา ปเวสนํ ปเวสนํ นามฯ องฺคชาตสฺส ยตฺตกํ ฐานํ ปเวสนารหํ, ตตฺตกํ อนวเสสโต ปวิฎฺฐํ ปวิฎฺฐํ นามฯ เอวํ ปวิฎฺฐสฺส อุทฺธรณารมฺภโต อนฺตรา ฐิตกาโล ฐิตํ นามฯ สมนฺตปาสาทิกายํ ปน มาตุคามสฺส สุกฺกวิสฎฺฐิํ ปตฺวา สพฺพถา วายามโต โอรมิตฺวา ฐิตกาลํ สนฺธาย ‘‘สุกฺกวิสฎฺฐิสมเย’’ติ วุตฺตํฯ อุทฺธรณํ นาม ยาว อคฺคา นีหรณกาโลฯ สาทิยตีติ เสวนจิตฺตํ อุปฎฺฐเปติฯ อสาธารณวินิจฺฉโยติ อทินฺนาทานาทีหิ สเพฺพหิ สิกฺขาปเทหิ อสาธารโณ วินิจฺฉโยฯ
Evaṃ sevanacitteneva pavesentassa āpattiṃ dassetvā idāni yasmā taṃ pavesanaṃ nāma na kevalaṃ attūpakkameneva, parūpakkamenāpi hoti. Tatrāpi sādiyantasseva āpatti paṭisevanacittasamaṅgissa , na itarassāti dassetuṃ ‘‘parena vā’’tiādimāha. Tattha parenāti bhikkhupaccatthikādinā yena kenaci aññena. Pavesanapaviṭṭhaṭṭhitauddharaṇesūti ettha aggato (sārattha. ṭī. 2.58) yāva mūlā pavesanaṃ pavesanaṃ nāma. Aṅgajātassa yattakaṃ ṭhānaṃ pavesanārahaṃ, tattakaṃ anavasesato paviṭṭhaṃ paviṭṭhaṃ nāma. Evaṃ paviṭṭhassa uddharaṇārambhato antarā ṭhitakālo ṭhitaṃ nāma. Samantapāsādikāyaṃ pana mātugāmassa sukkavisaṭṭhiṃ patvā sabbathā vāyāmato oramitvā ṭhitakālaṃ sandhāya ‘‘sukkavisaṭṭhisamaye’’ti vuttaṃ. Uddharaṇaṃ nāma yāva aggā nīharaṇakālo. Sādiyatīti sevanacittaṃ upaṭṭhapeti. Asādhāraṇavinicchayoti adinnādānādīhi sabbehi sikkhāpadehi asādhāraṇo vinicchayo.
สาธารณวินิจฺฉยตฺถนฺติ ปริวารวเสน สาธารณวินิจฺฉยตฺถํฯ มาติกาติ มาตา, ชเนตฺตีติ อโตฺถฯ นิททาติ เทสนํ เทสวเสน อวิทิตํ วิทิตํ กตฺวา นิทเสฺสตีติ นิทานํฯ ปญฺญาปียตีติ ปญฺญตฺติ, ตสฺสา ปกาโร ปญฺญตฺติวิธิ อเงฺคติ คเมติ ญาเปตีติ องฺคํ, การณํฯ สมุฎฺฐหนฺติ อาปตฺติโย เอเตนาติ สมุฎฺฐานํ, อุปฺปตฺติการณํ, ตสฺส วิธิ สมุฎฺฐานวิธิฯ วชฺชกมฺมปฺปเภทญฺจาติ เอตฺถ ปเภทสโทฺท ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพ ‘‘วชฺชปฺปเภทํ, กมฺมปฺปเภทญฺจา’’ติฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สิกฺขาปเทฯ
Sādhāraṇavinicchayatthanti parivāravasena sādhāraṇavinicchayatthaṃ. Mātikāti mātā, janettīti attho. Nidadāti desanaṃ desavasena aviditaṃ viditaṃ katvā nidassetīti nidānaṃ. Paññāpīyatīti paññatti, tassā pakāro paññattividhi aṅgeti gameti ñāpetīti aṅgaṃ, kāraṇaṃ. Samuṭṭhahanti āpattiyo etenāti samuṭṭhānaṃ, uppattikāraṇaṃ, tassa vidhi samuṭṭhānavidhi. Vajjakammappabhedañcāti ettha pabhedasaddo paccekaṃ yojetabbo ‘‘vajjappabhedaṃ, kammappabhedañcā’’ti. Tattha tatthāti tasmiṃ tasmiṃ sikkhāpade.
ปญฺญตฺติฎฺฐานนฺติ ปญฺญตฺติฎฺฐปนสฺส ฐานํ, สิกฺขาปทานํ ปญฺญตฺติเทโสติ อโตฺถฯ ปุคฺคโลติ เอตฺถ อาทิกมฺมิโกเยว อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘ปุคฺคโล นาม ยํ ยํ อารพฺภ ตํ ตํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺต’’นฺติ, โส โส ปุคฺคโลติ อธิปฺปาโยฯ โหนฺติ เจตฺถ –
Paññattiṭṭhānanti paññattiṭṭhapanassa ṭhānaṃ, sikkhāpadānaṃ paññattidesoti attho. Puggaloti ettha ādikammikoyeva adhippetoti āha ‘‘puggalo nāma yaṃ yaṃ ārabbha taṃ taṃ sikkhāpadaṃ paññatta’’nti, so so puggaloti adhippāyo. Honti cettha –
‘‘สุทิโนฺน ธนิโย สมฺพหุลา วคฺคุมุทนฺติกา;
‘‘Sudinno dhaniyo sambahulā vaggumudantikā;
เสยฺยสโก อุทายิ จา-ฬวกา ฉนฺนเมตฺติยาฯ
Seyyasako udāyi cā-ḷavakā channamettiyā.
‘‘เทวทตฺตสฺสชิปุนพฺพสุ-ฉพฺพคฺคิโยปนนฺทญฺญตโรปิ จ;
‘‘Devadattassajipunabbasu-chabbaggiyopanandaññataropi ca;
หตฺถโก จานุรุโทฺธ จ, สตฺตรส จูฬปนฺถโกฯ
Hatthako cānuruddho ca, sattarasa cūḷapanthako.
‘‘เพลฎฺฐสีโส จานโนฺท, สาคโตริฎฺฐนามโก;
‘‘Belaṭṭhasīso cānando, sāgatoriṭṭhanāmako;
นนฺทเตฺถเรน เตวีส, ภิกฺขูนํ อาทิกมฺมิกาฯ
Nandattherena tevīsa, bhikkhūnaṃ ādikammikā.
‘‘สุนฺทรีนนฺทา ถุลฺลนนฺทา, ฉพฺพคฺคิยญฺญตราปิ จ;
‘‘Sundarīnandā thullanandā, chabbaggiyaññatarāpi ca;
จณฺฑกาฬี สมฺพหุลา, เทฺว จ ภิกฺขุนิโย ปรา;
Caṇḍakāḷī sambahulā, dve ca bhikkhuniyo parā;
ภิกฺขุนีนํ ตุ สเตฺตว, โหนฺติ ตา อาทิกมฺมิกา’’ติฯ
Bhikkhunīnaṃ tu satteva, honti tā ādikammikā’’ti.
ตสฺส ตสฺส ปุคฺคลสฺสาติ ยํ ยํ สุทินฺนาทิกํ ปุคฺคลํ อารพฺภ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตสฺส ตสฺส ปุคฺคลสฺสฯ ปญฺญตฺตีติ ปฐมปญฺญตฺติฯ ปฐมปญฺญตฺติยา ปจฺฉา ฐปิตา ปญฺญตฺติ อนุปญฺญตฺติฯ อนุปฺปเนฺน โทเส ฐปิตา ปญฺญตฺติ อนุปฺปนฺนปญฺญตฺติฯ สพฺพตฺถ มชฺฌิมเทเส เจว ปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ จาติ สเพฺพสุ ปเทเสสุ ฐปิตา ปญฺญตฺติ สพฺพตฺถปญฺญตฺติฯ มชฺฌิมเทเสเยว ฐปิตา ปญฺญตฺติ ปเทสปญฺญตฺติฯ ภิกฺขูนเญฺจว ภิกฺขุนีนญฺจ สาธารณภูตา ปญฺญตฺติ สาธารณปญฺญตฺติฯ สุทฺธภิกฺขูนเมว, สุทฺธภิกฺขุนีนํ วา ปญฺญตฺตํ สิกฺขาปทํ อสาธารณปญฺญตฺติฯ อุภินฺนมฺปิ ปญฺญตฺติ อุภโตปญฺญตฺติฯ วินยธรปญฺจเมนาติ อนุสฺสาวนกาจริยปญฺจเมนฯ คุณงฺคุณูปาหนาติ จตุปฺปฎลโต ปฎฺฐาย กตา อุปาหนา, น เอกทฺวิติปฎลาฯ จมฺมตฺถรณนฺติ อตฺถริตพฺพํ จมฺมํฯ เอเตสํ วเสน จตุพฺพิธา ปเทสปญฺญตฺติ นามาติ เอเตสํ วเสน จตุพฺพิธา ปญฺญตฺติ มชฺฌิมเทเสเยว ปญฺญตฺตาติ ปเทสปญฺญตฺติ นามฯ เตเนวาห ‘‘มชฺฌิมเทเสเยว หี’’ติอาทิฯ ยสฺมา มชฺฌิมเทเสเยว ยถาวุตฺตวตฺถุวีติกฺกเม อาปตฺติ โหติ, น ปจฺจนฺติมชนปเท, ตสฺมา ปเทสปญฺญตฺตีติ อโตฺถฯ ธุวนฺหานํ ปฎิเกฺขปมตฺตนฺติ นิจฺจนหานปฺปฎิเสธนเมวฯ เอตฺถ จ มตฺตสเทฺทน อญฺญานิ ตีณิ สิกฺขาปทานิ ปฎิกฺขิปติฯ ตานิ หิ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สพฺพปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ วินยธรปญฺจเมน คเณน อุปสมฺปท’’นฺติอาทินา (มหาว. ๒๕๙) จมฺมกฺขนฺธเก อาคตานิฯ เตเนวาห ‘‘ตโต อญฺญา ปเทสปญฺญตฺติ นาม นตฺถี’’ติฯ สพฺพานีติ ตโต อวเสสานิ สพฺพานิ สิกฺขาปทานิฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อนุปฺปนฺนปญฺญตฺติ อฎฺฐครุธมฺมวเสน ภิกฺขุนีนํเยว อาคตา, ยสฺมา จ ธุวนฺหานํ ปฎิเกฺขปมตฺตํ ฐเปตฺวา ปาติโมเกฺข สพฺพานิ สิกฺขาปทานิ สพฺพตฺถปญฺญตฺติเยว โหนฺติ, ยสฺมา จ สาธารณปญฺญตฺติทุกญฺจ เอกโตปญฺญตฺติทุกญฺจ พฺยญฺชนมตฺตํ นานํ, อตฺถโต เอกํ, ตสฺมาฯ สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุ สิกฺขาปเทสุฯ อาปตฺติเภโท เหตฺถ อุตฺตรปทโลเปน ‘‘อาปตฺตี’’ติ วุโตฺตติ อาห ‘‘อาปตฺตีติ ปุพฺพปฺปโยคาทิวเสน อาปตฺติเภโท’’ติฯ สีลอาจารทิฎฺฐิอาชีววิปตฺตีนนฺติ เอตฺถ ปฐมา เทฺว อาปตฺติกฺขนฺธา สีลวิปตฺติ นาม, อวเสสา ปญฺจ อาจารวิปตฺติ นาม, มิจฺฉาทิฎฺฐิ จ อนฺตคฺคาหิกาทิฎฺฐิ จ ทิฎฺฐิวิปตฺติ นาม, อาชีวเหตุ ปญฺญตฺตานิ ฉ สิกฺขาปทานิ อาชีววิปตฺติ นาม, อิติ อิมาสํ สีลอาจารทิฎฺฐิอาชีววิปตฺตีนํ อญฺญตราติ อโตฺถฯ
Tassa tassa puggalassāti yaṃ yaṃ sudinnādikaṃ puggalaṃ ārabbha sikkhāpadaṃ paññattaṃ, tassa tassa puggalassa. Paññattīti paṭhamapaññatti. Paṭhamapaññattiyā pacchā ṭhapitā paññatti anupaññatti. Anuppanne dose ṭhapitā paññatti anuppannapaññatti. Sabbattha majjhimadese ceva paccantimesu janapadesu cāti sabbesu padesesu ṭhapitā paññatti sabbatthapaññatti. Majjhimadeseyeva ṭhapitā paññatti padesapaññatti. Bhikkhūnañceva bhikkhunīnañca sādhāraṇabhūtā paññatti sādhāraṇapaññatti. Suddhabhikkhūnameva, suddhabhikkhunīnaṃ vā paññattaṃ sikkhāpadaṃ asādhāraṇapaññatti. Ubhinnampi paññatti ubhatopaññatti. Vinayadharapañcamenāti anussāvanakācariyapañcamena. Guṇaṅguṇūpāhanāti catuppaṭalato paṭṭhāya katā upāhanā, na ekadvitipaṭalā. Cammattharaṇanti attharitabbaṃ cammaṃ. Etesaṃ vasena catubbidhā padesapaññatti nāmāti etesaṃ vasena catubbidhā paññatti majjhimadeseyeva paññattāti padesapaññatti nāma. Tenevāha ‘‘majjhimadeseyeva hī’’tiādi. Yasmā majjhimadeseyeva yathāvuttavatthuvītikkame āpatti hoti, na paccantimajanapade, tasmā padesapaññattīti attho. Dhuvanhānaṃ paṭikkhepamattanti niccanahānappaṭisedhanameva. Ettha ca mattasaddena aññāni tīṇi sikkhāpadāni paṭikkhipati. Tāni hi ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sabbapaccantimesu janapadesu vinayadharapañcamena gaṇena upasampada’’ntiādinā (mahāva. 259) cammakkhandhake āgatāni. Tenevāha ‘‘tato aññā padesapaññatti nāma natthī’’ti. Sabbānīti tato avasesāni sabbāni sikkhāpadāni. Tasmāti yasmā anuppannapaññatti aṭṭhagarudhammavasena bhikkhunīnaṃyeva āgatā, yasmā ca dhuvanhānaṃ paṭikkhepamattaṃ ṭhapetvā pātimokkhe sabbāni sikkhāpadāni sabbatthapaññattiyeva honti, yasmā ca sādhāraṇapaññattidukañca ekatopaññattidukañca byañjanamattaṃ nānaṃ, atthato ekaṃ, tasmā. Sabbatthāti sabbesu sikkhāpadesu. Āpattibhedo hettha uttarapadalopena ‘‘āpattī’’ti vuttoti āha ‘‘āpattīti pubbappayogādivasena āpattibhedo’’ti. Sīlaācāradiṭṭhiājīvavipattīnanti ettha paṭhamā dve āpattikkhandhā sīlavipatti nāma, avasesā pañca ācāravipatti nāma, micchādiṭṭhi ca antaggāhikādiṭṭhi ca diṭṭhivipatti nāma, ājīvahetu paññattāni cha sikkhāpadāni ājīvavipatti nāma, iti imāsaṃ sīlaācāradiṭṭhiājīvavipattīnaṃ aññatarāti attho.
น เกวลํ ยถาวุตฺตนเยเนว วุจฺจนฺตีติ อาห ‘‘ยานิ สิกฺขาปทสมุฎฺฐานานีติปิ วุจฺจนฺตี’’ติฯ เอตานิ หิ กิญฺจาปิ อาปตฺติยา สมุฎฺฐานานิ, น สิกฺขาปทสฺส, โวหารสุขตฺถํ ปเนวํ วุจฺจนฺตีติฯ ตตฺถาติ เตสุ ฉสุ สมุฎฺฐาเนสุฯ เตสูติ สจิตฺตกาจิตฺตเกสุฯ เอกํ สมุฎฺฐานํ อุปฺปตฺติการณํ เอติสฺสาติ เอกสมุฎฺฐานา, เอเกน วา สมุฎฺฐานํ เอติสฺสาติ เอกสมุฎฺฐานาฯ ‘‘ทฺวิสมุฎฺฐานา’’ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Na kevalaṃ yathāvuttanayeneva vuccantīti āha ‘‘yāni sikkhāpadasamuṭṭhānānītipi vuccantī’’ti. Etāni hi kiñcāpi āpattiyā samuṭṭhānāni, na sikkhāpadassa, vohārasukhatthaṃ panevaṃ vuccantīti. Tatthāti tesu chasu samuṭṭhānesu. Tesūti sacittakācittakesu. Ekaṃ samuṭṭhānaṃ uppattikāraṇaṃ etissāti ekasamuṭṭhānā, ekena vā samuṭṭhānaṃ etissāti ekasamuṭṭhānā. ‘‘Dvisamuṭṭhānā’’tiādīsupi eseva nayo.
สมุฎฺฐานวเสนาติ สมุฎฺฐานสีสวเสนฯ ปฐมปาราชิกํ สมุฎฺฐานํ เอติสฺสาติ ปฐมปาราชิกสมุฎฺฐานาฯ ตถา อทินฺนาทานสมุฎฺฐานา’’ติอาทีสุปิฯ
Samuṭṭhānavasenāti samuṭṭhānasīsavasena. Paṭhamapārājikaṃ samuṭṭhānaṃ etissāti paṭhamapārājikasamuṭṭhānā. Tathā adinnādānasamuṭṭhānā’’tiādīsupi.
สยํ ปถวิขณเน กาเยน, ปเร อาณาเปตฺวา ขณาปเน วาจาย จ อาปตฺติสมฺภวโต ‘‘ปถวิขณนาทีสุ วิยา’’ติ วุตฺตํฯ อาทิสเทฺทน อทินฺนาทานาทีนํ ปริคฺคโหฯ ปฐมกถินาปตฺติ กายวาจโต กตฺตพฺพํ อธิฎฺฐานํ วา วิกปฺปนํ วา อกโรนฺตสฺส โหติ, โน กโรนฺตสฺสาติ อาห ‘‘ปฐมกถินาปตฺติ วิยา’’ติฯ อญฺญาติกาย ภิกฺขุนิยา หตฺถโต จีวรปฺปฎิคฺคหณาปตฺติ ตสฺสา หตฺถโต จีวรํ ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส, ปริวตฺตกํ อเทนฺตสฺส จ โหตีติ กิริยากิริยโต สมุฎฺฐาติฯ ‘‘สิยา กโรนฺตสฺสา’’ติอาทีสุ สิยาติ ‘‘สิยา โข ปน เต พฺราหฺมณ เอวมสฺสา’’ติอาทีสุ วิย ‘‘กทาจี’’ติ อิมินา สมานโตฺถ นิปาโตฯ รูปิยปฺปฎิคฺคหณาปตฺติ สิยา กิริยา คหเณน อาปชฺชนโต, สิยา อกิริยา ปฎิเกฺขปสฺส อกรณโตติ อาห ‘‘รูปิยปฺปฎิคฺคหณาปตฺติ วิยา’’ติฯ กุฎิการาปตฺติ วตฺถุํ เทสาเปตฺวา ปมาณาติกฺกนฺตกรเณ กโรนฺตสฺส สิยา, อเทสาเปตฺวา ปน ปมาณาติกฺกนฺตกรเณ ปมาณยุตฺตํ วา กโรนฺตสฺส จ อกโรนฺตสฺส จ สิยาติ อาห ‘‘กุฎิการาปตฺติ วิยา’’ติฯ
Sayaṃ pathavikhaṇane kāyena, pare āṇāpetvā khaṇāpane vācāya ca āpattisambhavato ‘‘pathavikhaṇanādīsu viyā’’ti vuttaṃ. Ādisaddena adinnādānādīnaṃ pariggaho. Paṭhamakathināpatti kāyavācato kattabbaṃ adhiṭṭhānaṃ vā vikappanaṃ vā akarontassa hoti, no karontassāti āha ‘‘paṭhamakathināpatti viyā’’ti. Aññātikāya bhikkhuniyā hatthato cīvarappaṭiggahaṇāpatti tassā hatthato cīvaraṃ paṭiggaṇhantassa, parivattakaṃ adentassa ca hotīti kiriyākiriyato samuṭṭhāti. ‘‘Siyā karontassā’’tiādīsu siyāti ‘‘siyā kho pana te brāhmaṇa evamassā’’tiādīsu viya ‘‘kadācī’’ti iminā samānattho nipāto. Rūpiyappaṭiggahaṇāpatti siyā kiriyā gahaṇena āpajjanato, siyā akiriyā paṭikkhepassa akaraṇatoti āha ‘‘rūpiyappaṭiggahaṇāpatti viyā’’ti. Kuṭikārāpatti vatthuṃ desāpetvā pamāṇātikkantakaraṇe karontassa siyā, adesāpetvā pana pamāṇātikkantakaraṇe pamāṇayuttaṃ vā karontassa ca akarontassa ca siyāti āha ‘‘kuṭikārāpatti viyā’’ti.
สญฺญาย อภาเวน วิโมโกฺข อสฺสาติ สญฺญาวิโมโกฺขติ มเชฺฌปทโลปสมาโส ทฎฺฐโพฺพติ อาห ‘‘ยโต วีติกฺกมสญฺญายา’’ติอาทิฯ อิตรา นาม ยโต วีติกฺกมสญฺญาย อภาเวน น มุจฺจติ, สา อิตรสทฺทสฺส วุตฺตปฺปฎิโยคิวิสยตฺตาฯ ยา อจิตฺตเกน วา สจิตฺตกมิสฺสเกน วา สมุฎฺฐาตีติ ยา อาปตฺติ กทาจิ อจิตฺตเกน วา กทาจิ สจิตฺตกมิสฺสเกน วา สมุฎฺฐาเนน สมุฎฺฐาติฯ เอตฺถ จ สญฺญาทุกํ อนาปตฺติมุเขน วุตฺตํ, สจิตฺตกทุกํ อาปตฺติมุเขนาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Saññāya abhāvena vimokkho assāti saññāvimokkhoti majjhepadalopasamāso daṭṭhabboti āha ‘‘yato vītikkamasaññāyā’’tiādi. Itarā nāma yato vītikkamasaññāya abhāvena na muccati, sā itarasaddassa vuttappaṭiyogivisayattā. Yā acittakena vā sacittakamissakena vā samuṭṭhātīti yā āpatti kadāci acittakena vā kadāci sacittakamissakena vā samuṭṭhānena samuṭṭhāti. Ettha ca saññādukaṃ anāpattimukhena vuttaṃ, sacittakadukaṃ āpattimukhenāti daṭṭhabbaṃ.
ยสฺสา สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมว โหตีติ ยสฺสา สจิตฺตกาย อาปตฺติยา จิตฺตํ อกุสลเมว โหติ, ยสฺสา จ สจิตฺตกาจิตฺตกสงฺขาตาย สุราปานาทิอจิตฺตกาย อาปตฺติยา วตฺถุวิชานนจิเตฺตน สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมว โหติ, อยํ โลกวชฺชาฯ ‘‘สจิตฺตกปเกฺข’’ติ หิ อิทํ วจนํ สจิตฺตกาจิตฺตกํ สนฺธาย วุตฺตํฯ น หิ เอกํสโต สจิตฺตกสฺส ‘‘สจิตฺตกปเกฺข’’ติ วิเสสเน ปโยชนํ อตฺถีติฯ ยํ ปเนตฺถ คณฺฐิปเท ‘‘สุราปานสฺมิญฺหิ ‘สุรา’ติ วา ‘น วฎฺฎตี’ติ วา ชานิตฺวา ปิวเน อกุสลเมวา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘น วฎฺฎตีติ วา ชานิตฺวา’’ติ วุตฺตวจนํ น ยุชฺชติ ปณฺณตฺติวชฺชสฺสาปิ โลกวชฺชภาวปฺปสงฺคโตฯ ยสฺสา ปน ‘‘สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมวา’’ติ นิยโม นตฺถิ, สา ปณฺณตฺติวชฺชาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เสสา ปณฺณตฺติวชฺชา’’ติฯ ตถา หิ ตสฺสา วตฺถุวิชานนจิเตฺตน สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ สิยา กุสลํ, สิยา อกุสลํ, สิยา อพฺยากตนฺติ ‘‘อกุสลเมวา’’ติ นิยโม นตฺถิฯ อุภยตฺถ อาปชฺชิตพฺพาติ กายทฺวาเร, วจีทฺวาเร จาติ อุภยตฺถ อาปชฺชิตพฺพา อาปตฺติ, ตา ปน อทินฺนาทานาทโยฯ ‘‘มโนทฺวาเร อาปตฺติ นาม นตฺถี’’ติ อิทํ เยภุยฺยวเสน วุตฺตํ อุปนิกฺขิตฺตสาทิยนาทีสุ อาปตฺติสมฺภวโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Yassāsacittakapakkhe cittaṃ akusalameva hotīti yassā sacittakāya āpattiyā cittaṃ akusalameva hoti, yassā ca sacittakācittakasaṅkhātāya surāpānādiacittakāya āpattiyā vatthuvijānanacittena sacittakapakkhe cittaṃ akusalameva hoti, ayaṃ lokavajjā. ‘‘Sacittakapakkhe’’ti hi idaṃ vacanaṃ sacittakācittakaṃ sandhāya vuttaṃ. Na hi ekaṃsato sacittakassa ‘‘sacittakapakkhe’’ti visesane payojanaṃ atthīti. Yaṃ panettha gaṇṭhipade ‘‘surāpānasmiñhi ‘surā’ti vā ‘na vaṭṭatī’ti vā jānitvā pivane akusalamevā’’ti vuttaṃ. Tattha ‘‘na vaṭṭatīti vā jānitvā’’ti vuttavacanaṃ na yujjati paṇṇattivajjassāpi lokavajjabhāvappasaṅgato. Yassā pana ‘‘sacittakapakkhe cittaṃ akusalamevā’’ti niyamo natthi, sā paṇṇattivajjāti imamatthaṃ dassento āha ‘‘sesā paṇṇattivajjā’’ti. Tathā hi tassā vatthuvijānanacittena sacittakapakkhe cittaṃ siyā kusalaṃ, siyā akusalaṃ, siyā abyākatanti ‘‘akusalamevā’’ti niyamo natthi. Ubhayattha āpajjitabbāti kāyadvāre, vacīdvāre cāti ubhayattha āpajjitabbā āpatti, tā pana adinnādānādayo. ‘‘Manodvāre āpatti nāma natthī’’ti idaṃ yebhuyyavasena vuttaṃ upanikkhittasādiyanādīsu āpattisambhavatoti daṭṭhabbaṃ.
อกุสลจิโตฺต วา อาปชฺชตีติ ปาราชิกสุกฺกวิสฎฺฐิกายสํสคฺคทุฎฺฐุลฺลอตฺตกามปาริจริยทุฎฺฐโทสสงฺฆเภทปฺปหารทานตลสตฺติกาทิเภทํ อาปตฺติํ อกุสลจิโตฺต อาปชฺชติฯ อนุปสมฺปนฺนํ ปทโสธมฺมํ วาเจโนฺต, มาตุคามสฺส ธมฺมํ เทเสโนฺตติ เอวรูปํ อาปตฺติํ กุสลจิโตฺต อาปชฺชติฯ อสญฺจิจฺจสหเสยฺยาทิํ อพฺยากตจิโตฺต อาปชฺชติฯ ยํ อรหา อาปชฺชติ, สพฺพํ อพฺยากตจิโตฺตว อาปชฺชติฯ เตนาห ‘‘กุสลาพฺยากตจิโตฺต วา’’ติฯ
Akusalacitto vā āpajjatīti pārājikasukkavisaṭṭhikāyasaṃsaggaduṭṭhullaattakāmapāricariyaduṭṭhadosasaṅghabhedappahāradānatalasattikādibhedaṃ āpattiṃ akusalacitto āpajjati. Anupasampannaṃ padasodhammaṃ vācento, mātugāmassa dhammaṃ desentoti evarūpaṃ āpattiṃ kusalacitto āpajjati. Asañciccasahaseyyādiṃ abyākatacitto āpajjati. Yaṃ arahā āpajjati, sabbaṃ abyākatacittova āpajjati. Tenāha ‘‘kusalābyākatacitto vā’’ti.
ทุกฺขเวทนาสมงฺคี วาติ ทุฎฺฐโทสาทิเภทํ อาปตฺติํ อาปชฺชโนฺต ทุกฺขเวทนาสมงฺคี อาปชฺชติฯ เมถุนธมฺมาทิเภทํ ปน สุขเวทนาสมงฺคี อาปชฺชติฯ ยํ สุขเวทนาสมงฺคี อาปชฺชติ, ตํเยว มชฺฌโตฺต หุตฺวา อาปชฺชโนฺต อทุกฺขมสุขเวทนาสมงฺคี อาปชฺชติฯ เตนาห ‘‘อิตรเวทนาทฺวยสมงฺคี วา’’ติฯ อิทมฺปิ จ ติกทฺวยํ เยภุยฺยวเสเนว วุตฺตํฯ นิปชฺชิตฺวา นิโรธสมาปโนฺน หิ อจิตฺตโก อเวทโน สหเสยฺยาปตฺติํ อาปชฺชตีติฯ กิญฺจาปิ เอวํ อนิยเมน วุตฺตํ, วิเสโส ปเนตฺถ อตฺถีติ ทเสฺสตุํ ‘‘เอวํ สเนฺตปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอวํ สเนฺตปีติ หิ วิเสสาภิธานนิมิตฺตาภฺยูปคเมว ยุชฺชติฯ สเพฺพสํ วเสน ตีณิ จิตฺตานีติ กุสลากุสลาพฺยากตานํ วเสน ปทโสธมฺมาทีสุ ตีณิ จิตฺตานิฯ
Dukkhavedanāsamaṅgī vāti duṭṭhadosādibhedaṃ āpattiṃ āpajjanto dukkhavedanāsamaṅgī āpajjati. Methunadhammādibhedaṃ pana sukhavedanāsamaṅgī āpajjati. Yaṃ sukhavedanāsamaṅgī āpajjati, taṃyeva majjhatto hutvā āpajjanto adukkhamasukhavedanāsamaṅgī āpajjati. Tenāha ‘‘itaravedanādvayasamaṅgī vā’’ti. Idampi ca tikadvayaṃ yebhuyyavaseneva vuttaṃ. Nipajjitvā nirodhasamāpanno hi acittako avedano sahaseyyāpattiṃ āpajjatīti. Kiñcāpi evaṃ aniyamena vuttaṃ, viseso panettha atthīti dassetuṃ ‘‘evaṃ santepī’’tiādi vuttaṃ. Evaṃ santepīti hi visesābhidhānanimittābhyūpagameva yujjati. Sabbesaṃ vasena tīṇi cittānīti kusalākusalābyākatānaṃ vasena padasodhammādīsu tīṇi cittāni.
อิทานิ ตํ ยถาวุตฺตนิทานาทิเวทนาตฺติกปริโยสานํ สตฺตรสปฺปการํ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท โยเชตุํ ‘‘อิธ ปนา’’ติอาทิมาหฯ อิธาติ อิมสฺมิํ ปฐมปาราชิกสิกฺขาปเทฯ เวสาลิยนฺติ เอวํนามเก อิตฺถิลิงฺควเสน ปวตฺตโวหาเร นคเรฯ ตญฺหิ นครํ ติกฺขตฺตุํ ปาการปริเกฺขปวฑฺฒเนน วิสาลีภูตตฺตา ‘‘เวสาลี’’ติ วุจฺจติฯ อิทมฺปิ จ นครํ สพฺพญฺญุตํ สมฺปเตฺตเยว สมฺมาสมฺพุเทฺธ สพฺพาการเวปุลฺลตฺตํ ปตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขายา’’ติ จ ‘‘อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปี’’ติ จ เทฺว อนุปญฺญตฺติโยติ มกฺกฎิวชฺชิปุตฺตกวตฺถูนํ วเสน วุตฺตาฯ ‘‘อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายา’’ติ จ ‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขายา’’ติ จ อิมา เทฺว อนุปญฺญตฺติโยฯ อาปตฺติกรา จ โหตีติ ปฐมปญฺญตฺติโต วิสุํเยวาปตฺติกรา จ โหติฯ อญฺญวาทกสิกฺขาปทาทีสุ วิยาติ อญฺญวาทกสิกฺขาปทาทีสุ ‘‘วิเหสเก’’ติอาทิกา (ปาจิ. ๙๘) วิยาติ อโตฺถฯ อาทิสเทฺทน อุชฺฌาปนกสฺส ปริคฺคโหฯ เอตฺถ หิ อญฺญวาทกาทิโต วิสุํเยว วิเหสกาทีสุปิ ปาจิตฺติยํ โหติฯ ยถาห ‘‘โรปิเต วิเหสเก สงฺฆมเชฺฌ วตฺถุสฺมิํ วา อาปตฺติยา วา อนยุญฺชิยมาโน ตํ นกเถตุกาโม ตํ นอุคฺฆาเฎตุกาโม ตุณฺหีภูโต สงฺฆํ วิเหเสติ, อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสา’’ติอาทิ (ปารา. ๑๐๐)ฯ สุปินเนฺต วิชฺชมานาปิ โมจนสฺสาทเจตนา อโพฺพหาริกตฺตา อนาปตฺติกราติ อาห ‘‘อญฺญตฺร สุปินนฺตาติอาทิกา วิยา’’ติฯ ตถา หิ ถินมิเทฺธน อภิภูตตฺตา สุปิเน จิตฺตํ อโพฺพหาริกํ, จิตฺตสฺส อโพฺพหาริกตฺตา โอปกฺกมนกิริยาปวตฺตนิกาปิ เจตนา อโพฺพหาริกาฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อเตฺถสา, ภิกฺขเว, เจตนา, สา จ โข อโพฺพหาริกา’’ติ (ปารา. ๒๓๕), ตสฺมา ‘‘อญฺญตฺร สุปินนฺตา’’ติ อยํ อนุปญฺญตฺติ อนาปตฺติกรา ชาตาฯ อาทิสเทฺทน ‘‘อญฺญตฺร อธิมานา’’ติอาทิกํ (ปารา. ๑๙๗) สงฺคณฺหาติฯ อทินฺนาทานาทีสุ วิยาติ อทินฺนาทานาทีสุ ‘‘อรญฺญา วา’’ติอาทิกา (ปารา. ๙๑) วิยาติ อโตฺถฯ เอตฺถ ปน อาทิสเทฺทน ปฐมปาราชิกาทีนํ สงฺคโหฯ เอตฺถ หิ ‘‘ตญฺจ โข คาเม, โน อรเญฺญ’’ติอาทินา (ปารา. ๙๐) นเยน เลสํ โอเฑฺฑนฺตานํ เลสปิทหนตฺถํ ‘‘อรญฺญา วา’’ติอาทิกา อนุปญฺญตฺติ วุตฺตาติ อุปตฺถมฺภกราว โหติฯ เตเนว หิ ‘‘นนุ, อาวุโส, ตเถเวตํ โหตี’’ติ (ปารา. ๙๐) ภิกฺขูหิ วุตฺตํฯ
Idāni taṃ yathāvuttanidānādivedanāttikapariyosānaṃ sattarasappakāraṃ imasmiṃ sikkhāpade yojetuṃ ‘‘idha panā’’tiādimāha. Idhāti imasmiṃ paṭhamapārājikasikkhāpade. Vesāliyanti evaṃnāmake itthiliṅgavasena pavattavohāre nagare. Tañhi nagaraṃ tikkhattuṃ pākāraparikkhepavaḍḍhanena visālībhūtattā ‘‘vesālī’’ti vuccati. Idampi ca nagaraṃ sabbaññutaṃ sampatteyeva sammāsambuddhe sabbākāravepullattaṃ pattanti veditabbaṃ. ‘‘Sikkhaṃ apaccakkhāyā’’ti ca ‘‘antamaso tiracchānagatāyapī’’ti ca dve anupaññattiyoti makkaṭivajjiputtakavatthūnaṃ vasena vuttā. ‘‘Antamaso tiracchānagatāyā’’ti ca ‘‘sikkhaṃ apaccakkhāyā’’ti ca imā dve anupaññattiyo. Āpattikarā ca hotīti paṭhamapaññattito visuṃyevāpattikarā ca hoti. Aññavādakasikkhāpadādīsu viyāti aññavādakasikkhāpadādīsu ‘‘vihesake’’tiādikā (pāci. 98) viyāti attho. Ādisaddena ujjhāpanakassa pariggaho. Ettha hi aññavādakādito visuṃyeva vihesakādīsupi pācittiyaṃ hoti. Yathāha ‘‘ropite vihesake saṅghamajjhe vatthusmiṃ vā āpattiyā vā anayuñjiyamāno taṃ nakathetukāmo taṃ naugghāṭetukāmo tuṇhībhūto saṅghaṃ viheseti, āpatti pācittiyassā’’tiādi (pārā. 100). Supinante vijjamānāpi mocanassādacetanā abbohārikattā anāpattikarāti āha ‘‘aññatra supinantātiādikā viyā’’ti. Tathā hi thinamiddhena abhibhūtattā supine cittaṃ abbohārikaṃ, cittassa abbohārikattā opakkamanakiriyāpavattanikāpi cetanā abbohārikā. Vuttañhetaṃ ‘‘atthesā, bhikkhave, cetanā, sā ca kho abbohārikā’’ti (pārā. 235), tasmā ‘‘aññatra supinantā’’ti ayaṃ anupaññatti anāpattikarā jātā. Ādisaddena ‘‘aññatra adhimānā’’tiādikaṃ (pārā. 197) saṅgaṇhāti. Adinnādānādīsu viyāti adinnādānādīsu ‘‘araññā vā’’tiādikā (pārā. 91) viyāti attho. Ettha pana ādisaddena paṭhamapārājikādīnaṃ saṅgaho. Ettha hi ‘‘tañca kho gāme, no araññe’’tiādinā (pārā. 90) nayena lesaṃ oḍḍentānaṃ lesapidahanatthaṃ ‘‘araññā vā’’tiādikā anupaññatti vuttāti upatthambhakarāva hoti. Teneva hi ‘‘nanu, āvuso, tathevetaṃ hotī’’ti (pārā. 90) bhikkhūhi vuttaṃ.
วุตฺตปฺปกาเร มเคฺคติ ‘‘มนุสฺสามนุสฺสติรจฺฉานคตวเสนา’’ติอาทินา (กงฺขา. อฎฺฐ. ปฐมปาราชิกวณฺณนา) วุตฺตปฺปกาเร ติํสมเคฺคฯ อิมสฺส ปน ‘‘ฉิเนฺน’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ตจาทีนิ อนวเสเสตฺวาติ นิมิตฺตปฺปเทเส พหิ ฐิตานิ ฉวิจมฺมานิ อนวเสเสตฺวาฯ นิมิตฺตสณฺฐานมตฺตํ ปญฺญายตีติ นิมิตฺตมํสสฺส ปน อพฺภนฺตเร ฉวิจมฺมสฺส จ วิชฺชมานตฺตา วุตฺตํฯ จมฺมขิลนฺติ จมฺมกฺขณฺฑํฯ ‘‘อุณฺณิคโณฺฑ’’ติปิ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๕๕; วิ. วิ. ฎี. ๑.๕๕) วทนฺติฯ ตญฺหิ นิมิเตฺต ชาตตฺตา นิมิตฺตเมวฯ เตนาห ‘‘เสวนจิเตฺต สติ ปาราชิก’’นฺติฯ เสวนจิเตฺตติ เมถุนเสวนจิเตฺตฯ กายสํสคฺคเสวนจิเตฺต ปน สติ สงฺฆาทิเสโสว ฯ นโฎฺฐ กายปฺปสาโท เอตฺถาติ นฎฺฐกายปฺปสาทํ, สุกฺขปีฬกํ วา มตจมฺมํ วาติ อโตฺถฯ มเต อกฺขายิเต, เยภุเยฺยน อกฺขายิเต จ ปาราชิกาปตฺติวจนโต (ปารา. ๖๑) ปน นฎฺฐกายปฺปสาเทปิ อิตฺถินิมิเตฺต ปเวเสนฺตสฺส ปาราชิกาปตฺติเยวฯ นิมิตฺตสณฺฐานมตฺตมฺปิ อนวเสเสตฺวาติ นิมิตฺตากาเรน ฐิตํ ยถาวุตฺตนิมิตฺตมํสาทิมฺปิ อนวเสเสตฺวาฯ วณสเงฺขปวเสนาติ วณสงฺคหวเสนฯ วเณ ถุลฺลจฺจยญฺจ ‘‘อมเคฺคน อมคฺคํ ปเวเสติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปารา. ๖๖) อิมสฺส สุตฺตสฺส วเสน เวทิตพฺพํฯ ตสฺมิญฺหิ สุเตฺต ทฺวีสุ สมฺภินฺนวเณสุ เอเกน วเณน ปเวเสตฺวา ทุติเยน นีหรนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํฯ วุตฺตญฺหิ สมนฺตปาสาทิกายํ ‘‘อิมสฺส สตฺตสฺส อนุโลมวเสน สพฺพตฺถ วณสเงฺขเป ถุลฺลจฺจยํ เวทิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๖๖)ฯ มนุสฺสานํ ปน อกฺขิอาทโยปิ วณสงฺคหํ คจฺฉนฺตีติ วเณน เอกปริเจฺฉทํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ตถา’’ติอาทิมาหฯ เตสํ วณสงฺคโห ‘‘นวทฺวาโร มหาวโณ’’ติ (มิ. ป. ๒.๖.๑) เอวมาทิสุตฺตานุสาเรน เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ มนุสฺสานนฺติ อิตฺถิปุริสปณฺฑกอุภโตพฺยญฺชนกวเสน จตุพฺพิธานํ มนุสฺสานํฯ วตฺถิโกเสสูติ วตฺถิปุเฎสุ ปุริสานํ องฺคชาตโกเสสุฯ หตฺถิอสฺสาทีนญฺจ ติรจฺฉานานนฺติ หตฺถิอสฺสโคณคทฺรภโอฎฺฐมหิํสาทีนํ ติรจฺฉานคตานํฯ ติรจฺฉานานํ ปนาติ สเพฺพสมฺปิ ติรจฺฉานคตานํฯ สเพฺพสนฺติ ยถาวุตฺตมนุสฺสาทีนํ สเพฺพสํฯ
Vuttappakāre maggeti ‘‘manussāmanussatiracchānagatavasenā’’tiādinā (kaṅkhā. aṭṭha. paṭhamapārājikavaṇṇanā) vuttappakāre tiṃsamagge. Imassa pana ‘‘chinne’’ti iminā sambandho. Tacādīni anavasesetvāti nimittappadese bahi ṭhitāni chavicammāni anavasesetvā. Nimittasaṇṭhānamattaṃ paññāyatīti nimittamaṃsassa pana abbhantare chavicammassa ca vijjamānattā vuttaṃ. Cammakhilanti cammakkhaṇḍaṃ. ‘‘Uṇṇigaṇḍo’’tipi (sārattha. ṭī. 2.55; vi. vi. ṭī. 1.55) vadanti. Tañhi nimitte jātattā nimittameva. Tenāha ‘‘sevanacitte sati pārājika’’nti. Sevanacitteti methunasevanacitte. Kāyasaṃsaggasevanacitte pana sati saṅghādisesova . Naṭṭho kāyappasādo etthāti naṭṭhakāyappasādaṃ, sukkhapīḷakaṃ vā matacammaṃ vāti attho. Mate akkhāyite, yebhuyyena akkhāyite ca pārājikāpattivacanato (pārā. 61) pana naṭṭhakāyappasādepi itthinimitte pavesentassa pārājikāpattiyeva. Nimittasaṇṭhānamattampi anavasesetvāti nimittākārena ṭhitaṃ yathāvuttanimittamaṃsādimpi anavasesetvā. Vaṇasaṅkhepavasenāti vaṇasaṅgahavasena. Vaṇe thullaccayañca ‘‘amaggena amaggaṃ paveseti, āpatti thullaccayassā’’ti (pārā. 66) imassa suttassa vasena veditabbaṃ. Tasmiñhi sutte dvīsu sambhinnavaṇesu ekena vaṇena pavesetvā dutiyena nīharantassa thullaccayaṃ vuttaṃ. Vuttañhi samantapāsādikāyaṃ ‘‘imassa sattassa anulomavasena sabbattha vaṇasaṅkhepe thullaccayaṃ veditabba’’nti (pārā. aṭṭha. 1.66). Manussānaṃ pana akkhiādayopi vaṇasaṅgahaṃ gacchantīti vaṇena ekaparicchedaṃ katvā dassento ‘‘tathā’’tiādimāha. Tesaṃ vaṇasaṅgaho ‘‘navadvāro mahāvaṇo’’ti (mi. pa. 2.6.1) evamādisuttānusārena veditabbo. Tattha manussānanti itthipurisapaṇḍakaubhatobyañjanakavasena catubbidhānaṃ manussānaṃ. Vatthikosesūti vatthipuṭesu purisānaṃ aṅgajātakosesu. Hatthiassādīnañca tiracchānānanti hatthiassagoṇagadrabhaoṭṭhamahiṃsādīnaṃ tiracchānagatānaṃ. Tiracchānānaṃ panāti sabbesampi tiracchānagatānaṃ. Sabbesanti yathāvuttamanussādīnaṃ sabbesaṃ.
เอวํ ชีวมานกสรีเร ลพฺภมานํ อาปตฺติวิเสสํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ มตสรีเร ลพฺภมานํ อาปตฺติวิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘‘มตสรีเร’’ติอาทิมาหฯ วจฺจมคฺคปสฺสาวมคฺคมุขมคฺคานํ จตูสุ โกฎฺฐาเสสุ เทฺว โกฎฺฐาเส ฐเปตฺวา ยทา อปเร เทฺว โกฎฺฐาสา ขาทิตา, ตทา อุปฑฺฒกฺขายิตํ นาม โหติฯ น กุถิตํ โหตีติ อุทฺธุมาตกาทิภาเวน กุถิตํ น โหติ, อลฺลนฺติ อโตฺถฯ ยทา ปน สรีรํ อุทฺธุมาตกํ โหติ กุถิตํ นีลมกฺขิกสมากิณฺณํ กิมิกุลสมากุลํ นวหิ วณมุเขหิ ปคฺคฬิตปุพฺพกุณปภาเวน อุปคนฺตุมฺปิ อสกฺกุเณยฺยํ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๕๙-๖๐), ตทา ปาราชิกวตฺถุญฺจ ถุลฺลจฺจยวตฺถุญฺจ วิชหติ, ทุกฺกฎวตฺถุเมว โหตีติ อาห ‘‘กุถิเต ทุกฺกฎ’’นฺติฯ กุถิเตติ อุทฺธุมาตกภาวปฺปเตฺตฯ อีทิเส หิ สรีเร ยตฺถ กตฺถจิ อุปกฺกมโต ทุกฺกฎํฯ ตถา วฎฺฎกเต มุเข อจฺฉุปนฺตํ องฺคชาตํ ปเวเสนฺตสฺสาติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๗๓) วิวเฎฺฎ มุเข จตฺตาริ ปสฺสานิ, ตาลุกญฺจ อปฺผุสนฺตํ องฺคชาตํ ปเวเสนฺตสฺส ทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ สเจ ปน เหฎฺฐา วา อุปริ วา อุภยปเสฺสหิ วา ฉุปนฺตํ ปเวเสติ, ปาราชิกํฯ จตูหิ ปเสฺสหิ อจฺฉุปนฺตํ ปเวเสตฺวา อพฺภนฺตเร ตาลุกํ ฉุปติ, ปาราชิกเมวฯ พหิ นิกฺขนฺตชิวฺหาย วา ทเนฺตสุ วา องฺคชาตํ ปเวเสนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยนฺติ สมฺพโนฺธฯ ชีวมานกสรีเรปิ พหิ นิกฺขนฺตชิวฺหาย ถุลฺลจฺจยเมวฯ ยทิ ปน พหิ ชิวฺหาย ปลิเวเฐตฺวา อโนฺตมุขํ ปเวเสติ, ปาราชิกเมวฯ ยทิ ปน ทนฺตา สุผุสิตา, อโนฺตมุเข โอกาโส นตฺถิ, ทนฺตา จ พหิ โอฎฺฐมํเสน ปฎิจฺฉนฺนา, ตตฺถ วาเตน อสมฺผุฎฺฐํ อโลฺลกาสํ ติลผลมตฺตมฺปิ ปเวเสนฺตสฺส ปาราชิกเมวฯ อุปฺปาฎิเต ปน โอฎฺฐมํเส ทเนฺตสุเยว อุปกฺกมนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยํฯ โยปิ ทโนฺต พหิ นิกฺขมโนฺต ติฎฺฐติ, น สกฺกา โอเฎฺฐหิ ปิทหิตุํ, ตตฺถาปิ เอเสว นโยฯ
Evaṃ jīvamānakasarīre labbhamānaṃ āpattivisesaṃ dassetvā idāni matasarīre labbhamānaṃ āpattivisesaṃ dassetuṃ ‘‘matasarīre’’tiādimāha. Vaccamaggapassāvamaggamukhamaggānaṃ catūsu koṭṭhāsesu dve koṭṭhāse ṭhapetvā yadā apare dve koṭṭhāsā khāditā, tadā upaḍḍhakkhāyitaṃ nāma hoti. Na kuthitaṃ hotīti uddhumātakādibhāvena kuthitaṃ na hoti, allanti attho. Yadā pana sarīraṃ uddhumātakaṃ hoti kuthitaṃ nīlamakkhikasamākiṇṇaṃ kimikulasamākulaṃ navahi vaṇamukhehi paggaḷitapubbakuṇapabhāvena upagantumpi asakkuṇeyyaṃ (pārā. aṭṭha. 1.59-60), tadā pārājikavatthuñca thullaccayavatthuñca vijahati, dukkaṭavatthumeva hotīti āha ‘‘kuthite dukkaṭa’’nti. Kuthiteti uddhumātakabhāvappatte. Īdise hi sarīre yattha katthaci upakkamato dukkaṭaṃ. Tathā vaṭṭakate mukhe acchupantaṃ aṅgajātaṃ pavesentassāti (pārā. aṭṭha. 1.73) vivaṭṭe mukhe cattāri passāni, tālukañca apphusantaṃ aṅgajātaṃ pavesentassa dukkaṭanti attho. Sace pana heṭṭhā vā upari vā ubhayapassehi vā chupantaṃ paveseti, pārājikaṃ. Catūhi passehi acchupantaṃ pavesetvā abbhantare tālukaṃ chupati, pārājikameva. Bahi nikkhantajivhāya vā dantesu vā aṅgajātaṃ pavesentassa thullaccayanti sambandho. Jīvamānakasarīrepi bahi nikkhantajivhāya thullaccayameva. Yadi pana bahi jivhāya paliveṭhetvā antomukhaṃ paveseti, pārājikameva. Yadi pana dantā suphusitā, antomukhe okāso natthi, dantā ca bahi oṭṭhamaṃsena paṭicchannā, tattha vātena asamphuṭṭhaṃ allokāsaṃ tilaphalamattampi pavesentassa pārājikameva. Uppāṭite pana oṭṭhamaṃse dantesuyeva upakkamantassa thullaccayaṃ. Yopi danto bahi nikkhamanto tiṭṭhati, na sakkā oṭṭhehi pidahituṃ, tatthāpi eseva nayo.
เวทนาย อโฎฺฎ ปีฬิโต เวทนาโฎฺฎฯ อุมฺมตฺตโกติ เจตฺถ ปิตฺตุมฺมตฺตโก อธิเปฺปโตติ อาห ‘‘โย ปิตฺตวเสนา’’ติอาทิฯ ปิตฺตวเสนาติ พทฺธปิตฺตวเสนฯ ตสฺมิญฺหิ พทฺธปิเตฺต ปิตฺตโกสโต จลิตฺวา พหิ นิกฺขมเนฺต สตฺตา อุมฺมตฺตกา โหนฺติ, วิปลฺลตฺถสญฺญา หิโรตฺตปฺปํ ฉเฑฺฑตฺวา อสารุปฺปจริยํ จรนฺติ, ลหุกครุกานิ สิกฺขาปทานิ มทฺทนฺตาปิ น ชานนฺติ, เภสชฺชกิริยายปิ อเตกิจฺฉา โหนฺติ, เอวรูปสฺส อุมฺมตฺตกสฺส อนาปตฺติฯ อพทฺธปิตฺตํ ปน โลหิตํ วิย สพฺพงฺคคตํ, ตมฺหิ กุปิเต สตฺตานํ กณฺฑุกจฺฉุสรีรกมฺปาทีนิ โหนฺติ, ตานิ เภสชฺชกิริยาย วูปสมนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘พทฺธปิตฺตวเสนา’’ติฯ ขิตฺตจิโตฺต นาม วิสฺสฎฺฐจิโตฺต ยกฺขุมฺมตฺตโก วุจฺจตีติ อาห ‘‘ยเกฺขหิ กตจิตฺตวิเกฺขโป ขิตฺตจิโตฺต’’ติฯ ยกฺขา กิร เภรวานิ อารมฺมณานิ ทเสฺสตฺวา มุเขน หตฺถํ ปเวเสตฺวา, หทยรูปํ วา มทฺทนฺตา สเตฺต วิกฺขิตฺตจิเตฺต วิปลฺลตฺถสเญฺญ กโรนฺติ, เอวรูปสฺส ขิตฺตจิตฺตสฺส อนาปตฺติฯ เตสํ ปน อุภินฺนํ อยํ วิเสโส – ปิตฺตุมฺมตฺตโก นิจฺจเมว อุมฺมตฺตโก โหติ, ปกติสญฺญํ น ลภติฯ ยกฺขุมฺมตฺตโก อนฺตรนฺตรา ปกติสญฺญํ ปฎิลภติฯ อิธ ปน ปิตฺตุมฺมตฺตโก วา โหตุ, ยกฺขุมฺมตฺตโก วา, โย สพฺพโส มุฎฺฐสฺสติ กิญฺจิ น ชานาติ, อคฺคิมฺปิ สุวณฺณมฺปิ คูถมฺปิ จนฺทนมฺปิ เอกสทิสํ มทฺทโนฺตว วิจรติ, เอวรูปสฺส อนาปตฺติฯ อนฺตรนฺตรา ปกติสญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ญตฺวา กโรนฺตสฺส ปน อาปตฺติเยวฯ เตนาห ‘‘ทฺวินฺนมฺปิ จ เอเตส’’นฺติอาทิฯ
Vedanāya aṭṭo pīḷito vedanāṭṭo. Ummattakoti cettha pittummattako adhippetoti āha ‘‘yo pittavasenā’’tiādi. Pittavasenāti baddhapittavasena. Tasmiñhi baddhapitte pittakosato calitvā bahi nikkhamante sattā ummattakā honti, vipallatthasaññā hirottappaṃ chaḍḍetvā asāruppacariyaṃ caranti, lahukagarukāni sikkhāpadāni maddantāpi na jānanti, bhesajjakiriyāyapi atekicchā honti, evarūpassa ummattakassa anāpatti. Abaddhapittaṃ pana lohitaṃ viya sabbaṅgagataṃ, tamhi kupite sattānaṃ kaṇḍukacchusarīrakampādīni honti, tāni bhesajjakiriyāya vūpasamanti. Tena vuttaṃ ‘‘baddhapittavasenā’’ti. Khittacitto nāma vissaṭṭhacitto yakkhummattako vuccatīti āha ‘‘yakkhehi katacittavikkhepo khittacitto’’ti. Yakkhā kira bheravāni ārammaṇāni dassetvā mukhena hatthaṃ pavesetvā, hadayarūpaṃ vā maddantā satte vikkhittacitte vipallatthasaññe karonti, evarūpassa khittacittassa anāpatti. Tesaṃ pana ubhinnaṃ ayaṃ viseso – pittummattako niccameva ummattako hoti, pakatisaññaṃ na labhati. Yakkhummattako antarantarā pakatisaññaṃ paṭilabhati. Idha pana pittummattako vā hotu, yakkhummattako vā, yo sabbaso muṭṭhassati kiñci na jānāti, aggimpi suvaṇṇampi gūthampi candanampi ekasadisaṃ maddantova vicarati, evarūpassa anāpatti. Antarantarā pakatisaññaṃ paṭilabhitvā ñatvā karontassa pana āpattiyeva. Tenāha ‘‘dvinnampi ca etesa’’ntiādi.
อธิมตฺตเวทนายาติ อธิกปฺปมาณาย ทุกฺขเวทนายฯ อาทิกเมฺม นิยุโตฺต อาทิกมฺมิโก, โย จ อาทิกเมฺม นิยุโตฺต, โส ตสฺมิํ กเมฺม อาทิภูโต โหตีติ อาห ‘‘โย’’ติอาทิฯ อิธ ปน สุทินฺนเตฺถโร อาทิกมฺมิโก, ตสฺส อนาปตฺติฯ อวเสสานํ มกฺกฎิสมณวชฺชิปุตฺตกาทีนํ อาปตฺติเยวฯ ปฎิปาทนํ สมฺปาทนํฯ กโรโนฺตเยว หิ ตํ อาปชฺชตีติ กิริยํฯ อิทํ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๖๖) ปน เยภุยฺยวเสน วุตฺตํ เมถุนธเมฺม ปรูปกฺกเม สติ สาทิยนฺตสฺส อกิริยสมุฎฺฐานภาวโตฯ เมถุนปฺปฎิสํยุตฺตาย หิ กามสญฺญาย อภาเวน มุจฺจนโต สญฺญาวิโมกฺขํฯ ‘‘อนาปตฺติ อชานนฺตสฺส, อสาทิยนฺตสฺสา’’ติ (ปารา. ๖๖) หิ วุตฺตํฯ เมถุนจิเตฺตเนว นํ อาปชฺชติ, น วินา จิเตฺตนาติ สจิตฺตกํฯ ราควเสเนว อาปชฺชิตพฺพโต โลกวชฺชํฯ กายทฺวาเรเนว สมุฎฺฐานโต กายกมฺมํฯ จิตฺตํ ปเนตฺถ องฺคมตฺตํ โหติ , น ตสฺส วเสน กมฺมภาโว ลพฺภติฯ โลภจิเตฺตเนว อาปชฺชิตพฺพโต อกุสลจิตฺตํฯ สุขสมงฺคี วา อุเปกฺขาสมงฺคี วา อาปชฺชตีติ ทฺวิเวทนํฯ นนุ สมุฎฺฐานาทีนิ อาปตฺติยา โหนฺติ, น สิกฺขาปทสฺส, อถ กสฺมา สิกฺขาปทสฺส สมุฎฺฐานาทีนิ วุตฺตานีติ อาห ‘‘อิมานิ จ สมุฎฺฐานาทีนิ นามา’’ติอาทิฯ อาปตฺติยา โหนฺตีติ อชฺฌาจารสฺส โหนฺติฯ
Adhimattavedanāyāti adhikappamāṇāya dukkhavedanāya. Ādikamme niyutto ādikammiko, yo ca ādikamme niyutto, so tasmiṃ kamme ādibhūto hotīti āha ‘‘yo’’tiādi. Idha pana sudinnatthero ādikammiko, tassa anāpatti. Avasesānaṃ makkaṭisamaṇavajjiputtakādīnaṃ āpattiyeva. Paṭipādanaṃ sampādanaṃ. Karontoyeva hi taṃ āpajjatīti kiriyaṃ. Idaṃ (sārattha. ṭī. 2.66) pana yebhuyyavasena vuttaṃ methunadhamme parūpakkame sati sādiyantassa akiriyasamuṭṭhānabhāvato. Methunappaṭisaṃyuttāya hi kāmasaññāya abhāvena muccanato saññāvimokkhaṃ. ‘‘Anāpatti ajānantassa, asādiyantassā’’ti (pārā. 66) hi vuttaṃ. Methunacitteneva naṃ āpajjati, na vinā cittenāti sacittakaṃ. Rāgavaseneva āpajjitabbato lokavajjaṃ. Kāyadvāreneva samuṭṭhānato kāyakammaṃ. Cittaṃ panettha aṅgamattaṃ hoti , na tassa vasena kammabhāvo labbhati. Lobhacitteneva āpajjitabbato akusalacittaṃ. Sukhasamaṅgī vā upekkhāsamaṅgī vā āpajjatīti dvivedanaṃ. Nanu samuṭṭhānādīni āpattiyā honti, na sikkhāpadassa, atha kasmā sikkhāpadassa samuṭṭhānādīni vuttānīti āha ‘‘imāni ca samuṭṭhānādīni nāmā’’tiādi. Āpattiyā hontīti ajjhācārassa honti.
มุนนโต อนุมุนนโต มุติ, ญาณํ, ตํ เอตสฺส อตฺถีติ มุติมา, ญาณวาติ อโตฺถฯ
Munanato anumunanato muti, ñāṇaṃ, taṃ etassa atthīti mutimā, ñāṇavāti attho.
ปฐมปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.