Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-ปุราณ-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-purāṇa-ṭīkā |
ปาราชิกกณฺฑํ
Pārājikakaṇḍaṃ
๑. ปฐมปาราชิกวณฺณนา
1. Paṭhamapārājikavaṇṇanā
อิธ ปน ฐตฺวา สิกฺขาปทานํ กมเภโท ปกาเสตโพฺพฯ กถํ – สพฺพสิกฺขาปทานํ ยถาสมฺภวํ เทสนากฺกโม, ปหานกฺกโม, ปฎิปตฺติกฺกโม, อุปฺปตฺติกฺกโมติ จตุพฺพิโธ กโม ลพฺภติฯ ตตฺถ ภควตา ราชคเห ภิกฺขูนํ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ อนุชานเนฺตน ปาติโมกฺขุเทฺทสสฺส โย เทสนากฺกโม อนุญฺญาโต, ตํ เทสนากฺกมํ อนุกฺกมโนฺตว มหากสฺสโป ปฐมํ ปาราชิกุเทฺทสํ ปุจฺฉิ, ตทนนฺตรํ สงฺฆาทิเสสุเทฺทสํ, ตทนนฺตรํ อนิยตุเทฺทสํ, ตทนนฺตรํ วิตฺถารุเทฺทสํฯ ตทนนฺตรํ ภิกฺขุนิวิภงฺคญฺจ เตเนว อนุกฺกเมน ปุจฺฉิฯ ตโต ปรํ ตโย อาปตฺติกฺขเนฺธ สงฺคเหตุํ วินา คณนปริเจฺฉเทน เสขิยธเมฺม ปุจฺฉิฯ อาปตฺติกฺขเนฺธ สภาคโต ปฎฺฐาย ปุจฺฉโนฺต วีสติขนฺธเก ปุจฺฉิฯ นิทานุเทฺทสโนฺตคธานํ วา สรูเปน อนุทฺทิฎฺฐานํ ปุจฺฉนตฺถํ ขนฺธเก ปุจฺฉิฯ เอเตน ขนฺธเก ปญฺญตฺตา ถุลฺลจฺจยาปิ สงฺคหิตา โหนฺติฯ ปุจฺฉิตานุกฺกเมเนว อายสฺมา อุปาลิเตฺถโร พฺยากาสิฯ อยเมตฺถ เทสนากฺกโมฯ อุภโตวิภงฺคขนฺธกโต ปน อุจฺจินิตฺวา ตทา ปริวาโร วิสุํ ปาฬิ กโต, อิมเมว วจนํ สนฺธาย อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ ‘‘เอเตเนว อุปาเยน ขนฺธกํ ปริวาเรปิ อาโรปยิํสู’’ติอาทิ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.ปฐมมหาสงฺคอีติกถา)ฯ อปิจ ปาฬิยํ ‘‘เอเตเนว อุปาเยน อุภโตวิภเงฺค ปุจฺฉิฯ ปุโฎฺฐ ปุโฎฺฐ อายสฺมา อุปาลิ วิสฺสเชฺชสี’’ติ (จูฬว. ๔๓๙) เอตฺตกเมว วุตฺตํฯ ตสฺมา เถโร อุภโตวิภเงฺค เอว ปุจฺฉิฯ วิสฺสชฺชโนฺต ปน อายสฺมา อุปาลิ นิรวเสสํ ทเสฺสโนฺต ขนฺธกปริวาเร อโนฺต กตฺวา เทเสสิฯ คณสชฺฌายกาเล ปน ตทา ขนฺธกปริวารา วิสุํ ปาฬิ กตาติ อยเมตฺถ เทสนากฺกโมฯ
Idha pana ṭhatvā sikkhāpadānaṃ kamabhedo pakāsetabbo. Kathaṃ – sabbasikkhāpadānaṃ yathāsambhavaṃ desanākkamo, pahānakkamo, paṭipattikkamo, uppattikkamoti catubbidho kamo labbhati. Tattha bhagavatā rājagahe bhikkhūnaṃ pātimokkhuddesaṃ anujānantena pātimokkhuddesassa yo desanākkamo anuññāto, taṃ desanākkamaṃ anukkamantova mahākassapo paṭhamaṃ pārājikuddesaṃ pucchi, tadanantaraṃ saṅghādisesuddesaṃ, tadanantaraṃ aniyatuddesaṃ, tadanantaraṃ vitthāruddesaṃ. Tadanantaraṃ bhikkhunivibhaṅgañca teneva anukkamena pucchi. Tato paraṃ tayo āpattikkhandhe saṅgahetuṃ vinā gaṇanaparicchedena sekhiyadhamme pucchi. Āpattikkhandhe sabhāgato paṭṭhāya pucchanto vīsatikhandhake pucchi. Nidānuddesantogadhānaṃ vā sarūpena anuddiṭṭhānaṃ pucchanatthaṃ khandhake pucchi. Etena khandhake paññattā thullaccayāpi saṅgahitā honti. Pucchitānukkameneva āyasmā upālitthero byākāsi. Ayamettha desanākkamo. Ubhatovibhaṅgakhandhakato pana uccinitvā tadā parivāro visuṃ pāḷi kato, imameva vacanaṃ sandhāya aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ ‘‘eteneva upāyena khandhakaṃ parivārepi āropayiṃsū’’tiādi (pārā. aṭṭha. 1.paṭhamamahāsaṅgaītikathā). Apica pāḷiyaṃ ‘‘eteneva upāyena ubhatovibhaṅge pucchi. Puṭṭho puṭṭho āyasmā upāli vissajjesī’’ti (cūḷava. 439) ettakameva vuttaṃ. Tasmā thero ubhatovibhaṅge eva pucchi. Vissajjanto pana āyasmā upāli niravasesaṃ dassento khandhakaparivāre anto katvā desesi. Gaṇasajjhāyakāle pana tadā khandhakaparivārā visuṃ pāḷi katāti ayamettha desanākkamo.
ยทิ เอวํ นิทานุเทฺทโส ปฐมเทสนาติ เจ? น, อุโปสถกฺขนฺธเก (มหาว. ๑๓๓) ‘‘ยานิ มยา ภิกฺขูนํ สิกฺขาปทานิ ปญฺญตฺตานิ, ตานิ เนสํ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ อนุชาเนยฺย’’นฺติ วจนโต, ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺตี’’ติ (มหาว. ๑๓๔) วจนโต จฯ อกุสลาพฺยากตานํ อาปตฺตีนํ ทิฎฺฐธมฺมสมฺปรายิกาสวฎฺฐานิยตฺตา ยถาภูตํ สีลสํวรเกน ปริวชฺชเนน ปหาตพฺพตฺตา ปหานกฺกโมเปตฺถ สมฺภวติ ‘‘ตาวเทว จตฺตาริ อกรณียานิ อาจิกฺขิตพฺพานี’’ติ วจนโตฯ ตถา ‘‘สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสู’’ติ (ม. นิ. ๓.๗๕; วิภ. ๕๐๘) วจนโต ยถาภูตํ อาจิกฺขนสิกฺขเนน ปฎิปตฺติกฺกโมปิ สมฺภวติฯ ยถุเทฺทสกฺกมํ ปริยาปุณิตพฺพปริยตฺติอเตฺถนาปิ ปฎิปตฺติกฺกโม, เอวมิเมหิ ตีหิ กเมหิ เทเสตพฺพานเมเตสํ สิกฺขาปทานํ ยถาสมฺภวํ อุปฺปตฺติกฺกโม สมฺภวติฯ ตถา หิ ยํ ยํ สาธารณํ, ตํ ตํ ภิกฺขุํ อารพฺภ อุปฺปเนฺน เอว วตฺถุสฺมิํ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ฉนฺทโส เมถุนํ ธมฺม’’นฺติอาทินา นเยน ภิกฺขุนีนมฺปิ ปญฺญตฺตํฯ ยโต ภิกฺขุนีนํ ตํ อนุปฺปนฺนปญฺญตฺติ น สิยา, ตโต อนุปฺปนฺนปญฺญตฺติ ตสฺมิํ นตฺถีติ (ปริ. ๒๐๑-๒๐๒) ปริวารวจนํ น วิรุชฺฌติฯ เอตฺตาวตา ปุริเมน กมตฺตเยน ยํ ปฐมํ เทเสตพฺพํ, ตํ ปาราชิกุเทฺทเส ปฐมุปฺปนฺนตฺตา เมถุนธมฺมปาราชิกํ สพฺพปฐมํ เทเสตุกาโม อายสฺมา อุปาลิเตฺถโร ‘‘ตตฺร สุทํ ภควา เวสาลิยํ วิหรตี’’ติ (ปารา. ๒๓) เวสาลิยเมว ปาเปตฺวา ฐเปสิฯ
Yadi evaṃ nidānuddeso paṭhamadesanāti ce? Na, uposathakkhandhake (mahāva. 133) ‘‘yāni mayā bhikkhūnaṃ sikkhāpadāni paññattāni, tāni nesaṃ pātimokkhuddesaṃ anujāneyya’’nti vacanato, ‘‘yassa siyā āpattī’’ti (mahāva. 134) vacanato ca. Akusalābyākatānaṃ āpattīnaṃ diṭṭhadhammasamparāyikāsavaṭṭhāniyattā yathābhūtaṃ sīlasaṃvarakena parivajjanena pahātabbattā pahānakkamopettha sambhavati ‘‘tāvadeva cattāri akaraṇīyāni ācikkhitabbānī’’ti vacanato. Tathā ‘‘samādāya sikkhati sikkhāpadesū’’ti (ma. ni. 3.75; vibha. 508) vacanato yathābhūtaṃ ācikkhanasikkhanena paṭipattikkamopi sambhavati. Yathuddesakkamaṃ pariyāpuṇitabbapariyattiatthenāpi paṭipattikkamo, evamimehi tīhi kamehi desetabbānametesaṃ sikkhāpadānaṃ yathāsambhavaṃ uppattikkamo sambhavati. Tathā hi yaṃ yaṃ sādhāraṇaṃ, taṃ taṃ bhikkhuṃ ārabbha uppanne eva vatthusmiṃ ‘‘yā pana bhikkhunī chandaso methunaṃ dhamma’’ntiādinā nayena bhikkhunīnampi paññattaṃ. Yato bhikkhunīnaṃ taṃ anuppannapaññatti na siyā, tato anuppannapaññatti tasmiṃ natthīti (pari. 201-202) parivāravacanaṃ na virujjhati. Ettāvatā purimena kamattayena yaṃ paṭhamaṃ desetabbaṃ, taṃ pārājikuddese paṭhamuppannattā methunadhammapārājikaṃ sabbapaṭhamaṃ desetukāmo āyasmā upālitthero ‘‘tatra sudaṃ bhagavā vesāliyaṃ viharatī’’ti (pārā. 23) vesāliyameva pāpetvā ṭhapesi.
อิทานิ สเพฺพสํ สิกฺขาปทานํ ปญฺญาปนวิธานํ เวทิตพฺพํฯ กถํ? ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถา’’ติ (ปารา. ๓๙, ๔๓) เอวํ สอุเทฺทสอนุเทฺทสเภทโต ทุวิธํฯ ตตฺถ ปาติโมเกฺข สรูปโต อาคตา ปญฺจ อาปตฺติกฺขนฺธา สอุเทฺทสปญฺญตฺติ นามฯ สาปิ ทฺวิธา สปุคฺคลาปุคฺคลนิเทฺทสเภทโตฯ ตตฺถ ยสฺสา ปญฺญตฺติยา อโนฺต อาปตฺติยา สห, วินา วา ปุคฺคโล ทสฺสิโต, สา สปุคฺคลนิเทฺทสาฯ อิตรา อปุคฺคลนิเทฺทสาฯ
Idāni sabbesaṃ sikkhāpadānaṃ paññāpanavidhānaṃ veditabbaṃ. Kathaṃ? ‘‘Evañca pana, bhikkhave, imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyāthā’’ti (pārā. 39, 43) evaṃ sauddesaanuddesabhedato duvidhaṃ. Tattha pātimokkhe sarūpato āgatā pañca āpattikkhandhā sauddesapaññatti nāma. Sāpi dvidhā sapuggalāpuggalaniddesabhedato. Tattha yassā paññattiyā anto āpattiyā saha, vinā vā puggalo dassito, sā sapuggalaniddesā. Itarā apuggalaniddesā.
ตตฺถ สปุคฺคลนิเทฺทสา ทฺวิธา อทสฺสิตทสฺสิตาปตฺติเภทโตฯ ตตฺถ อทสฺสิตาปตฺติกา นาม อฎฺฐ ปาราชิกา ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ ‘‘ปาราชิโก โหติ อสํวาโส’’ติ (ปารา. ๓๙, ๔๔, ๘๙, ๙๑, ๑๖๗, ๑๗๑, ๑๙๕, ๑๙๗) หิ ปุคฺคโลว ตตฺถ ทสฺสิโต, นาปตฺติฯ ทสฺสิตาปตฺติกา นาม ภิกฺขุนิปาติโมเกฺข อาคตา สตฺตรส สงฺฆาทิเสสา ธมฺมาฯ ‘‘อยมฺปิ ภิกฺขุนี ปฐมาปตฺติกํ ธมฺมํ อาปนฺนา นิสฺสารณียํ สงฺฆาทิเสส’’นฺติ (ปาจิ. ๖๘๓, ๖๘๗) หิ ตตฺถ อาปตฺติ ทสฺสิตา สทฺธิํ ปุคฺคเลนฯ
Tattha sapuggalaniddesā dvidhā adassitadassitāpattibhedato. Tattha adassitāpattikā nāma aṭṭha pārājikā dhammā veditabbā. ‘‘Pārājiko hoti asaṃvāso’’ti (pārā. 39, 44, 89, 91, 167, 171, 195, 197) hi puggalova tattha dassito, nāpatti. Dassitāpattikā nāma bhikkhunipātimokkhe āgatā sattarasa saṅghādisesā dhammā. ‘‘Ayampi bhikkhunī paṭhamāpattikaṃ dhammaṃ āpannā nissāraṇīyaṃ saṅghādisesa’’nti (pāci. 683, 687) hi tattha āpatti dassitā saddhiṃ puggalena.
ตถา อปุคฺคลนิเทฺทสาปิ อทสฺสิตทสฺสิตาปตฺติเภทโต ทฺวิธาฯ ตตฺถ อทสฺสิตาปตฺติกา นาม เสขิยา ธมฺมาฯ วุตฺตาวเสสา ทสฺสิตาปตฺติกาติ เวทิตพฺพาฯ
Tathā apuggalaniddesāpi adassitadassitāpattibhedato dvidhā. Tattha adassitāpattikā nāma sekhiyā dhammā. Vuttāvasesā dassitāpattikāti veditabbā.
สาปิ ทฺวิธา อนิทฺทิฎฺฐการกนิทฺทิฎฺฐการกเภทโตฯ ตตฺถ อนิทฺทิฎฺฐการกา นาม สุกฺกวิสฎฺฐิมุสาวาโทมสวาทเปสุญฺญภูตคามอญฺญวาทกอุชฺฌาปนกคณโภชนปรมฺปรโภชนสุราเมรยองฺคุลิปโตทกหสธมฺมอนาทริยตลฆาตกชตุมฎฺฐกสิกฺขาปทานํ วเสน ปญฺจทสวิธา โหนฺติฯ ตตฺถ นิทฺทิฎฺฐการเก มิสฺสามิสฺสเภโท เวทิตโพฺพ – ตตฺถ อุปโยคภุมฺมวิภตฺติโย เอกํเสน มิสฺสาฯ อวเสสา มิสฺสา จ อมิสฺสา จฯ เสยฺยถิทํ – ปจฺจตฺตํ ตาว ทฺวีสุ อนิยเตสุ อุปโยเคน มิสฺสํ, ทฺวาทสสุ ปาฎิเทสนีเยสุ กรเณน มิสฺสํ, อูนปญฺจพนฺธนปตฺตสิกฺขาปเทสุ สามิกรเณหิ, อูนวีสติวเสฺส ภุเมฺมน, โมหนเก อุปโยคสามิภุเมฺมหิฯ ยสฺมา ‘‘วิวณฺณก’’นฺติ ภาโว อธิเปฺปโต, น กตฺตา, ตสฺมา วิวณฺณกสิกฺขาปทํ ยทา น สมฺภวติ, เอวํ ปจฺจตฺตํ ปญฺจวิธํ มิสฺสํ โหติฯ เสเสสุ ปฐมานิยตํ ฐเปตฺวา อาทิมฺหิ ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติ เอวมาคตํ ปจฺจตฺตํ วา, ทุติยานิยตํ ฐเปตฺวา ปณีตโภชนสมณุเทฺทสตติยจตุตฺถปาฎิเทสนียสิกฺขาปเทสุ มเชฺฌ ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติ เอวมาคตํ ปจฺจตฺตํ วา, ทุพฺพจกุลทูสกสํสฎฺฐสิกฺขาปเทสุ อาทิมฺหิ เกวลํ ‘‘ภิกฺขู’’ติ อาคตํ ปจฺจตฺตํ วา, เภทานุวตฺตกสิกฺขาปเท มเชฺฌ อาคตํ ปจฺจตฺตํ วา อญฺญาย วิภตฺติยา อมิสฺสเมว โหติฯ ตตฺถ เภทานุวตฺตกตุวฎฺฎนทฺวยสํสฎฺฐทุติยปาฎิเทสนียสิกฺขาปเทสุ พหุวจนํ, อิตรตฺถ สพฺพตฺถ เอกวจนเมวาติ เวทิตพฺพํฯ
Sāpi dvidhā aniddiṭṭhakārakaniddiṭṭhakārakabhedato. Tattha aniddiṭṭhakārakā nāma sukkavisaṭṭhimusāvādomasavādapesuññabhūtagāmaaññavādakaujjhāpanakagaṇabhojanaparamparabhojanasurāmerayaaṅgulipatodakahasadhammaanādariyatalaghātakajatumaṭṭhakasikkhāpadānaṃ vasena pañcadasavidhā honti. Tattha niddiṭṭhakārake missāmissabhedo veditabbo – tattha upayogabhummavibhattiyo ekaṃsena missā. Avasesā missā ca amissā ca. Seyyathidaṃ – paccattaṃ tāva dvīsu aniyatesu upayogena missaṃ, dvādasasu pāṭidesanīyesu karaṇena missaṃ, ūnapañcabandhanapattasikkhāpadesu sāmikaraṇehi, ūnavīsativasse bhummena, mohanake upayogasāmibhummehi. Yasmā ‘‘vivaṇṇaka’’nti bhāvo adhippeto, na kattā, tasmā vivaṇṇakasikkhāpadaṃ yadā na sambhavati, evaṃ paccattaṃ pañcavidhaṃ missaṃ hoti. Sesesu paṭhamāniyataṃ ṭhapetvā ādimhi ‘‘yo pana bhikkhū’’ti evamāgataṃ paccattaṃ vā, dutiyāniyataṃ ṭhapetvā paṇītabhojanasamaṇuddesatatiyacatutthapāṭidesanīyasikkhāpadesu majjhe ‘‘yo pana bhikkhū’’ti evamāgataṃ paccattaṃ vā, dubbacakuladūsakasaṃsaṭṭhasikkhāpadesu ādimhi kevalaṃ ‘‘bhikkhū’’ti āgataṃ paccattaṃ vā, bhedānuvattakasikkhāpade majjhe āgataṃ paccattaṃ vā aññāya vibhattiyā amissameva hoti. Tattha bhedānuvattakatuvaṭṭanadvayasaṃsaṭṭhadutiyapāṭidesanīyasikkhāpadesu bahuvacanaṃ, itarattha sabbattha ekavacanamevāti veditabbaṃ.
ตถา อุปโยโค ทฺวีสุ วิกปฺปนสิกฺขาปเทสุ, ตนฺตวายสิกฺขาปเท จ ปจฺจเตฺตน มิโสฺส, อภิหฎสิกฺขาปเท กรเณน, ราชสิกฺขาปเท กรณสามิปจฺจเตฺตหีติ อุปโยโค ติธา มิโสฺส โหติฯ กรณญฺจ กุฎิการมหลฺลกทุติยกถินเทฺวภาคนิสีทนสนฺถตทุพฺพณฺณกรณสิกฺขาปเทสุ ฉสุ ปจฺจเตฺตน มิสฺสํ, ปฐมตติยกถินอฎฺฐงฺคุลปาทกนิสีทนกณฺฑุปฺปฎิจฺฉาทิกวสฺสิกสาฎิกอุทกสาฎิกเทฺวธมฺมปจฺจาสีสนสิกฺขาปเทสุ อฎฺฐสุ สามินา มิสฺสนฺติ กรณํ ทฺวิธา มิสฺสํ โหติฯ อวเสเสสุ ฉพฺพสฺสวสฺสิกสาฎิกทฺวตฺติจฺฉทนาวสถปิณฺฑมหานามครุลหุปาวุรณสิกฺขาปเทสุ สตฺตสุ กรณวิภตฺติ อญฺญวิภตฺติยา อมิสฺสา, อเจฺจกเอฬกโลมสิกฺขาปเทสุ สามิวิภตฺติ กรณวิภตฺติยา มิสฺสาฯ อติเรกปตฺตเภสชฺชสิกฺขาปเทสุ อคฺคหิตคฺคหเณน สามิวิภตฺติ อมิสฺสาว โหตีติ เวทิตพฺพาฯ เอวํ ตาว นิทฺทิฎฺฐการเกสุ สิกฺขาปเทสุ –
Tathā upayogo dvīsu vikappanasikkhāpadesu, tantavāyasikkhāpade ca paccattena misso, abhihaṭasikkhāpade karaṇena, rājasikkhāpade karaṇasāmipaccattehīti upayogo tidhā misso hoti. Karaṇañca kuṭikāramahallakadutiyakathinadvebhāganisīdanasanthatadubbaṇṇakaraṇasikkhāpadesu chasu paccattena missaṃ, paṭhamatatiyakathinaaṭṭhaṅgulapādakanisīdanakaṇḍuppaṭicchādikavassikasāṭikaudakasāṭikadvedhammapaccāsīsanasikkhāpadesu aṭṭhasu sāminā missanti karaṇaṃ dvidhā missaṃ hoti. Avasesesu chabbassavassikasāṭikadvatticchadanāvasathapiṇḍamahānāmagarulahupāvuraṇasikkhāpadesu sattasu karaṇavibhatti aññavibhattiyā amissā, accekaeḷakalomasikkhāpadesu sāmivibhatti karaṇavibhattiyā missā. Atirekapattabhesajjasikkhāpadesu aggahitaggahaṇena sāmivibhatti amissāva hotīti veditabbā. Evaṃ tāva niddiṭṭhakārakesu sikkhāpadesu –
ปญฺจธา จ ติธา เจว, ทฺวิธา เจปิ ตเถกธา;
Pañcadhā ca tidhā ceva, dvidhā cepi tathekadhā;
ภินฺนา วิภตฺติโย ปญฺจ, สเพฺพกาทสธา สิยุํฯ
Bhinnā vibhattiyo pañca, sabbekādasadhā siyuṃ.
เอวํ ตาว ยถาวุเตฺตสุ สอุเทฺทสปญฺญตฺติสงฺขาเตสุ สิกฺขาปเทสุ อคฺคหิตคฺคหเณน ปญฺญาสุตฺตเรสุ ติสเตสุ นวุติอนิทฺทิฎฺฐการเก วเชฺชตฺวา นิทฺทิฎฺฐการกานิ อติเรกสฎฺฐิทฺวิสตานิ โหนฺติฯ เตสุ ปจฺจตฺตกรณานิ ติํสุตฺตรานิ ทฺวิสตานิ โหนฺติฯ เตสุ อมิสฺสปจฺจตฺตกรณานิ ทฺวาทสุตฺตรานิ ทฺวิสตานิ, มิสฺสปจฺจตฺตกรณานิ อฎฺฐารส โหนฺติฯ อวเสเสสุ ติํสติยา สิกฺขาปเทสุ มิโสฺสปโยคกรณานิ ปญฺจ โหนฺติ, มิสฺสกรณานิ จุทฺทส, อมิสฺสานิ สตฺต, มิสฺสามิสฺสกรณานิ เทฺว, อมิสฺสานิ เทฺวติ สเพฺพสุปิ นิทฺทิฎฺฐการเกสุ เภทานุวตฺตกทุพฺพจกุลทูสกปฐมทุติยตติยกถินอภิหฎกุฎิการมหลฺลกวิกปฺปนทฺวยเทฺวภาคฉพฺพสฺสนิสีทนสนฺถตเอฬกโลมาติเรกปตฺตเภสชฺชวสฺสิกสาฎิกตนฺตวายอเจฺจกฉารตฺตทฺว ปญฺจตฺติํเสสุ ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติ นตฺถิฯ ทุติยานิยตปณีตโภชนสมณุเทฺทสตติยจตุตฺถปาฎิเทสนีเยสุ มเชฺฌ อตฺถิฯ
Evaṃ tāva yathāvuttesu sauddesapaññattisaṅkhātesu sikkhāpadesu aggahitaggahaṇena paññāsuttaresu tisatesu navutianiddiṭṭhakārake vajjetvā niddiṭṭhakārakāni atirekasaṭṭhidvisatāni honti. Tesu paccattakaraṇāni tiṃsuttarāni dvisatāni honti. Tesu amissapaccattakaraṇāni dvādasuttarāni dvisatāni, missapaccattakaraṇāni aṭṭhārasa honti. Avasesesu tiṃsatiyā sikkhāpadesu missopayogakaraṇāni pañca honti, missakaraṇāni cuddasa, amissāni satta, missāmissakaraṇāni dve, amissāni dveti sabbesupi niddiṭṭhakārakesu bhedānuvattakadubbacakuladūsakapaṭhamadutiyatatiyakathinaabhihaṭakuṭikāramahallakavikappanadvayadvebhāgachabbassanisīdanasanthataeḷakalomātirekapattabhesajjavassikasāṭikatantavāyaaccekachārattadva pañcattiṃsesu ‘‘yo pana bhikkhū’’ti natthi. Dutiyāniyatapaṇītabhojanasamaṇuddesatatiyacatutthapāṭidesanīyesu majjhe atthi.
เอตฺตาวตา สอุเทฺทสานุเทฺทสทุกํ, สปุคฺคลาปุคฺคลนิเทฺทสทุกํ, ปเจฺจกทสฺสิตาปตฺติทุกทฺวยํ, อนิทฺทิฎฺฐการกทุกํ, ตตฺถ นิทฺทิฎฺฐการเกสุ ปจฺจตฺตภุมฺมทุกํ, สโยปนาโยปนทุกํ, อโยปนมเชฺฌโยปนทุกํ, เอกาเนกวจนทุกนฺติ นว ทุกานิ ทสฺสิตานิ โหนฺติฯ วิเสสการณํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สิกฺขาปเท สมฺปเตฺต อาวิภวิสฺสติฯ เอวํ ตาว สอุเทฺทสปญฺญตฺติํ ญตฺวา เสสวินยปิฎเก ยา กาจิ ปญฺญตฺติ อนุเทฺทสปญฺญตฺตีติ เวทิตพฺพาฯ สา ปทภาชนนฺตราปตฺติวินีตวตฺถุปฎิเกฺขปปญฺญตฺติอวุตฺตสิทฺธิสิกฺขาปทวเสน ฉพฺพิธา โหติฯ
Ettāvatā sauddesānuddesadukaṃ, sapuggalāpuggalaniddesadukaṃ, paccekadassitāpattidukadvayaṃ, aniddiṭṭhakārakadukaṃ, tattha niddiṭṭhakārakesu paccattabhummadukaṃ, sayopanāyopanadukaṃ, ayopanamajjheyopanadukaṃ, ekānekavacanadukanti nava dukāni dassitāni honti. Visesakāraṇaṃ tasmiṃ tasmiṃ sikkhāpade sampatte āvibhavissati. Evaṃ tāva sauddesapaññattiṃ ñatvā sesavinayapiṭake yā kāci paññatti anuddesapaññattīti veditabbā. Sā padabhājanantarāpattivinītavatthupaṭikkhepapaññattiavuttasiddhisikkhāpadavasena chabbidhā hoti.
ตตฺถ ‘‘เยภุเยฺยน ขยิเต อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺส (ปริ. ๑๕๗-๑๕๘), วฎฺฎกเต มุเข อจฺฉุปนฺตสฺส อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๗๓) เอวมาทิกา ปทภาชเน สนฺทิสฺสมานาปตฺติ ปทภาชนสิกฺขาปทํ นามฯ ‘‘น จ, ภิกฺขเว, สพฺพมตฺติกามยา กุฎิ กาตพฺพา, โย กเรยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิ (ปารา. ๘๕) อนฺตราปตฺติสิกฺขาปทํ นามฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทิวาปฎิสลฺลียเนฺตน ทฺวารํ สํวริตฺวา ปฎิสลฺลียิตุ’’นฺติ (ปารา. ๗๗) เอวมาทิ วินีตวตฺถุสิกฺขาปทํ นามฯ ‘‘สงฺฆเภทโก, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๑๑๕) เอวมาทิ ปฎิเกฺขปสิกฺขาปทํ นามฯ
Tattha ‘‘yebhuyyena khayite āpatti thullaccayassa (pari. 157-158), vaṭṭakate mukhe acchupantassa āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 73) evamādikā padabhājane sandissamānāpatti padabhājanasikkhāpadaṃ nāma. ‘‘Na ca, bhikkhave, sabbamattikāmayā kuṭi kātabbā, yo kareyya, āpatti dukkaṭassā’’tiādi (pārā. 85) antarāpattisikkhāpadaṃ nāma. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, divāpaṭisallīyantena dvāraṃ saṃvaritvā paṭisallīyitu’’nti (pārā. 77) evamādi vinītavatthusikkhāpadaṃ nāma. ‘‘Saṅghabhedako, bhikkhave, anupasampanno na upasampādetabbo’’ti (mahāva. 115) evamādi paṭikkhepasikkhāpadaṃ nāma.
ยสฺมา ปน เตน เตน ปฎิเกฺขเปน ‘‘โย ปน ภิกฺขุ สมคฺคํ สงฺฆํ อธมฺมสญฺญี ภิเนฺทยฺย, ปาราชิโก โหติ อสํวาโสฯ โย ปน ภิกฺขุ ทุฎฺฐจิโตฺต ภควโต ชีวมานกสรีเร โลหิตํ อุปฺปาเทยฺย, ปาราชิโก โหติ อสํวาโส’’ติ สิกฺขาปทานิ ปญฺญตฺตานิ โหนฺติฯ ยานิ สนฺธาย ‘‘เอกสฺส เฉชฺชกา โหติ, จตุนฺนํ ถุลฺลจฺจยํ, จตุนฺนเญฺจว อนาปตฺติ, สเพฺพสํ เอกวตฺถุกา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘อตฺถาปตฺติ ติฎฺฐเนฺต ภควติ อาปชฺชติ, โน ปรินิพฺพุเต’’ติ (ปริ. ๓๒๓) จ วุตฺตํฯ เตน น เกวลํ ‘‘น, ภิกฺขเว, ชานํ สงฺฆเภทโก อนุปสมฺปโนฺน อุปสมฺปาเทตโพฺพ…เป.… อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ อิทเมว สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ โหติ สาธกํ โหติฯ ‘‘ปณฺฑโก, ภิกฺขเว, อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปโนฺน นาเสตโพฺพ’’ติ (มหาว. ๑๐๙) เอวมาทีสุ ปน อุปชฺฌายาทีนํ ทุกฺกฎเมว ปญฺญตฺตํ, น ปณฺฑกาทีนํ ปาราชิกาปตฺติฯ น หิ เตสํ ภิกฺขุภาโว อตฺถิฯ ยโต สิยา ปาราชิกาปตฺติฯ ตถา ‘‘น อจฺฉิเนฺน เถเว ปกฺกมิตพฺพ’’นฺติ (มหาว. ๖๖, ๖๗, ๗๘, ๗๙) เอวมาทิกญฺจ ปฎิเกฺขปสิกฺขาปทเมว นามฯ
Yasmā pana tena tena paṭikkhepena ‘‘yo pana bhikkhu samaggaṃ saṅghaṃ adhammasaññī bhindeyya, pārājiko hoti asaṃvāso. Yo pana bhikkhu duṭṭhacitto bhagavato jīvamānakasarīre lohitaṃ uppādeyya, pārājiko hoti asaṃvāso’’ti sikkhāpadāni paññattāni honti. Yāni sandhāya ‘‘ekassa chejjakā hoti, catunnaṃ thullaccayaṃ, catunnañceva anāpatti, sabbesaṃ ekavatthukā’’ti vuttaṃ. ‘‘Atthāpatti tiṭṭhante bhagavati āpajjati, no parinibbute’’ti (pari. 323) ca vuttaṃ. Tena na kevalaṃ ‘‘na, bhikkhave, jānaṃ saṅghabhedako anupasampanno upasampādetabbo…pe… āpatti dukkaṭassā’’ti idameva sikkhāpadaṃ paññattaṃ hoti sādhakaṃ hoti. ‘‘Paṇḍako, bhikkhave, anupasampanno na upasampādetabbo, upasampanno nāsetabbo’’ti (mahāva. 109) evamādīsu pana upajjhāyādīnaṃ dukkaṭameva paññattaṃ, na paṇḍakādīnaṃ pārājikāpatti. Na hi tesaṃ bhikkhubhāvo atthi. Yato siyā pārājikāpatti. Tathā ‘‘na acchinne theve pakkamitabba’’nti (mahāva. 66, 67, 78, 79) evamādikañca paṭikkhepasikkhāpadameva nāma.
ขนฺธเกสุ ปญฺญตฺตทุกฺกฎถุลฺลจฺจยานิ ปญฺญตฺติสิกฺขาปทํ นามฯ ‘‘เตน หิ, สาริปุตฺต, เภทานุวตฺตเก ถุลฺลจฺจยํ เทสาเปหี’’ติ (จูฬว. ๓๔๕) วุตฺตํ, ถุลฺลจฺจยมฺปิ ตเตฺถว สโมธานํ คจฺฉติฯ อิทํ เตสํ วิภตฺติกมฺมกฺขเณ อปญฺญตฺตตฺตา อวิชฺชมานมฺปิ ภควโต วจเนน วิสุทฺธกฺขเณปิ วิชฺชมานํ ชาตนฺติ เอเกฯ ‘‘เภทานุวตฺตเก เทสาเปหี’’ติ วจนโต เสสเภทานุวตฺตกานํ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ชานํ สงฺฆเภทกานํ อนุวเตฺตยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ ตถา สพฺพานิ ขนฺธกวตฺตานิ, วินยกมฺมานิ จ ตเตฺถว สโมธานํ คจฺฉนฺติฯ ยถาห ‘‘ปญฺญเตฺต ตํ อุปาลิ มยา อาคนฺตุกานํ ภิกฺขูนํ อาคนฺตุกวตฺตํ…เป.… เอวํ สุปญฺญเตฺต โข มยา อุปาลิ สิกฺขาปเท’’ติอาทิฯ ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี นจฺจํ วา คีตํ วา วาทิตํ วา ทสฺสนาย คเจฺฉยฺย , ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๘๓๔) อิมินา สุเตฺตน ภิกฺขุนี นเจฺจยฺย วา คาเยยฺย วา วาเทยฺย วา, ปาจิตฺติยนฺติ เอวมาทิกํ ยํ กิญฺจิ อฎฺฐกถาย ทิสฺสมานํ อาปตฺติชาตํ วินยกมฺมํ วา อวุตฺตสิทฺธิสิกฺขาปทํ นามฯ ฉพฺพิธเมฺปตํ ฉหิ อากาเรหิ อุเทฺทสารหํ น โหตีติ อนุเทฺทสสิกฺขาปทํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ เสยฺยถิทํ – ปญฺจหิ อุเทฺทเสหิ ยถาสมฺภวํ วิสภาคตฺตา ถุลฺลจฺจยทุพฺภาสิตานํ สภาควตฺถุกมฺปิ ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยทฺวยํ อสภาคาปตฺติกตฺตา อนฺตราปตฺติปญฺญตฺติสิกฺขาปทานํ, นานาวตฺถุกาปตฺติกตฺตา ปฎิเกฺขปสิกฺขาปทานํ, เกสญฺจิ วินีตวตฺถุปญฺญตฺติสิกฺขาปทานญฺจ อทสฺสิตาปตฺติกตฺตา, อทสฺสิตวตฺถุกตฺตา เภทานุวตฺตกถุลฺลจฺจยสฺส, อทสฺสิตาปตฺติวตฺถุกตฺตา อวุตฺตสิทฺธิสิกฺขาปทานนฺติฯ เอตฺตาวตา ‘‘ทุวิธํ สิกฺขาปทปญฺญาปนํ สอุเทฺทสานุเทฺทสเภทโต’’ติ ยํ วุตฺตํ, ตํ สมาสโต ปกาสิตํ โหติฯ
Khandhakesu paññattadukkaṭathullaccayāni paññattisikkhāpadaṃ nāma. ‘‘Tena hi, sāriputta, bhedānuvattake thullaccayaṃ desāpehī’’ti (cūḷava. 345) vuttaṃ, thullaccayampi tattheva samodhānaṃ gacchati. Idaṃ tesaṃ vibhattikammakkhaṇe apaññattattā avijjamānampi bhagavato vacanena visuddhakkhaṇepi vijjamānaṃ jātanti eke. ‘‘Bhedānuvattake desāpehī’’ti vacanato sesabhedānuvattakānaṃ ‘‘yo pana bhikkhu jānaṃ saṅghabhedakānaṃ anuvatteyya, āpatti thullaccayassā’’ti sikkhāpadaṃ paññattaṃ hotīti veditabbaṃ. Tathā sabbāni khandhakavattāni, vinayakammāni ca tattheva samodhānaṃ gacchanti. Yathāha ‘‘paññatte taṃ upāli mayā āgantukānaṃ bhikkhūnaṃ āgantukavattaṃ…pe… evaṃ supaññatte kho mayā upāli sikkhāpade’’tiādi. ‘‘Yā pana bhikkhunī naccaṃ vā gītaṃ vā vāditaṃ vā dassanāya gaccheyya , pācittiya’’nti (pāci. 834) iminā suttena bhikkhunī nacceyya vā gāyeyya vā vādeyya vā, pācittiyanti evamādikaṃ yaṃ kiñci aṭṭhakathāya dissamānaṃ āpattijātaṃ vinayakammaṃ vā avuttasiddhisikkhāpadaṃ nāma. Chabbidhampetaṃ chahi ākārehi uddesārahaṃ na hotīti anuddesasikkhāpadaṃ nāmāti veditabbaṃ. Seyyathidaṃ – pañcahi uddesehi yathāsambhavaṃ visabhāgattā thullaccayadubbhāsitānaṃ sabhāgavatthukampi dukkaṭathullaccayadvayaṃ asabhāgāpattikattā antarāpattipaññattisikkhāpadānaṃ, nānāvatthukāpattikattā paṭikkhepasikkhāpadānaṃ, kesañci vinītavatthupaññattisikkhāpadānañca adassitāpattikattā, adassitavatthukattā bhedānuvattakathullaccayassa, adassitāpattivatthukattā avuttasiddhisikkhāpadānanti. Ettāvatā ‘‘duvidhaṃ sikkhāpadapaññāpanaṃ sauddesānuddesabhedato’’ti yaṃ vuttaṃ, taṃ samāsato pakāsitaṃ hoti.
ปญฺญตฺติยํ ตาว –
Paññattiyaṃ tāva –
‘‘การโก อิธ นิทฺทิโฎฺฐ, อเปกฺขาย อภาวโต;
‘‘Kārako idha niddiṭṭho, apekkhāya abhāvato;
ปุเพฺพ วตฺตพฺพวิธานา-ภาวโต จ อาทิโต โยปเนน สหา’’ติฯ –
Pubbe vattabbavidhānā-bhāvato ca ādito yopanena sahā’’ti. –
อยํ นโย เวทิตโพฺพฯ ตสฺสโตฺถ – เย เต อนิทฺทิฎฺฐการกา ปุเพฺพ วุตฺตปฺปเภทา สุกฺกวิสฎฺฐิอาทโย สิกฺขาปทวิเสสา, เตสุ อธิปฺปายกมฺมวตฺถุปุคฺคลปโยเค อเปกฺขาย ภาวโต การโก น นิทฺทิโฎฺฐ เตสํ สาเปกฺขภาวทสฺสนตฺถํฯ ตํ สพฺพํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สิกฺขาปเท อาวิภวิสฺสติ, อิธ ปน ปาราชิกปญฺญตฺติยํ อเปกฺขาย อภาวโต การโก นิทฺทิโฎฺฐฯ โย ปน การโก ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิํ ภิกฺขุนา อุพฺภตสฺมิ’’นฺติอาทีสุ (ปารา. ๔๖๒, ๔๗๒, ๔๗๕) วิย ปุเพฺพ วตฺตพฺพวิธานาภาวโต กรณาทิวเสน อนิทฺทิสิตฺวา ปจฺจตฺตวเสน นิทฺทิโฎฺฐ อเปกฺขาย อภาวโตฯ ตตฺถ นิทฺทิสิยมาโน เสสทุติยานิยตปณีตโภชนํ สมณุเทฺทสตติยจตอุตฺถปาฎิเทสนีเยสุ วิย มเชฺฌ อนิทฺทิสิตฺวา ‘‘น เหว โข ปน…เป.… โอภาสิตุ’’นฺติอาทิ (ปารา. ๔๕๓) วิย ปุเพฺพ วตฺตพฺพวิธานาภาวโต เอว อาทิมฺหิ นิทฺทิโฎฺฐฯ อาทิมฺหิ นิทฺทิสิยมาโนปิ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปเภเทสุ เภทานุวตฺตกาทีสุ ปญฺจตฺติํเสสุ สิกฺขาปเทสุ วิย อนิทฺทิสิตฺวา ปุเพฺพ วตฺตพฺพวิธานาภาวโต เอว ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติอาทิโตว โยปน-สเทฺทน สห นิทฺทิโฎฺฐฯ เอวํ นิทฺทิสิยมาโนปิ โส ยสฺมา ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนิโย เทฺว เอกมเญฺจ ตุวเฎฺฎยฺยุ’’นฺติอาทิ (ปาจิ. ๙๓๓) อาปตฺติ วิย ปรปฺปภวํ อาปตฺติํ น อาปชฺชติ, ตสฺมา ‘‘โย ปน ภิกฺขู’’ติ เอกวจเนน นิทฺทิโฎฺฐฯ เมถุนธมฺมาปตฺติปิ ปรปฺปภวา ‘‘ทฺวยํทฺวยสมาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๓๙) วจนโตติ เจ? ตํ น, อธิปฺปายชานนโตฯ อเนกิสฺสา เอว ภิกฺขุนิยา อาปตฺติ, น เอกิสฺสาติ นิยโม ตตฺถ อตฺถิ, น เอวํ อิธ นิยโมติ อนิยมิตาธิปฺปาโยฯ ลมฺพีมุทุปิฎฺฐีนํ กุโต ‘‘ทฺวยํทฺวยสมาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๕๕) วจนโต เตสํ เมถุนธมฺมาปตฺติฯ อยมโตฺถ จตโสฺส เมถุนธมฺมปจฺจยาติ อฎฺฐวตฺถุกํ สนฺธาย ‘‘เฉชฺชํ สิยา เมถุนธมฺมปจฺจยา’’ติ (ปริ. ๔๘๑) จ ปริวาเร วุตฺตวจเนน สาเธตโพฺพฯ
Ayaṃ nayo veditabbo. Tassattho – ye te aniddiṭṭhakārakā pubbe vuttappabhedā sukkavisaṭṭhiādayo sikkhāpadavisesā, tesu adhippāyakammavatthupuggalapayoge apekkhāya bhāvato kārako na niddiṭṭho tesaṃ sāpekkhabhāvadassanatthaṃ. Taṃ sabbaṃ tasmiṃ tasmiṃ sikkhāpade āvibhavissati, idha pana pārājikapaññattiyaṃ apekkhāya abhāvato kārako niddiṭṭho. Yo pana kārako ‘‘niṭṭhitacīvarasmiṃ bhikkhunā ubbhatasmi’’ntiādīsu (pārā. 462, 472, 475) viya pubbe vattabbavidhānābhāvato karaṇādivasena aniddisitvā paccattavasena niddiṭṭho apekkhāya abhāvato. Tattha niddisiyamāno sesadutiyāniyatapaṇītabhojanaṃ samaṇuddesatatiyacatautthapāṭidesanīyesu viya majjhe aniddisitvā ‘‘na heva kho pana…pe… obhāsitu’’ntiādi (pārā. 453) viya pubbe vattabbavidhānābhāvato eva ādimhi niddiṭṭho. Ādimhi niddisiyamānopi pubbe vuttappabhedesu bhedānuvattakādīsu pañcattiṃsesu sikkhāpadesu viya aniddisitvā pubbe vattabbavidhānābhāvato eva ‘‘yo pana bhikkhū’’tiāditova yopana-saddena saha niddiṭṭho. Evaṃ niddisiyamānopi so yasmā ‘‘yā pana bhikkhuniyo dve ekamañce tuvaṭṭeyyu’’ntiādi (pāci. 933) āpatti viya parappabhavaṃ āpattiṃ na āpajjati, tasmā ‘‘yo pana bhikkhū’’ti ekavacanena niddiṭṭho. Methunadhammāpattipi parappabhavā ‘‘dvayaṃdvayasamāpattī’’ti (pārā. 39) vacanatoti ce? Taṃ na, adhippāyajānanato. Anekissā eva bhikkhuniyā āpatti, na ekissāti niyamo tattha atthi, na evaṃ idha niyamoti aniyamitādhippāyo. Lambīmudupiṭṭhīnaṃ kuto ‘‘dvayaṃdvayasamāpattī’’ti (pārā. 55) vacanato tesaṃ methunadhammāpatti. Ayamattho catasso methunadhammapaccayāti aṭṭhavatthukaṃ sandhāya ‘‘chejjaṃ siyā methunadhammapaccayā’’ti (pari. 481) ca parivāre vuttavacanena sādhetabbo.
เภทานุวตฺตกสิกฺขาปเท ติณฺณํ อุทฺธํ น สมนุภาสิตพฺพา, น สเงฺฆน สงฺฆํ เอกโต กาตพฺพนฺติฯ นยทสฺสนตฺถํ อาทิโตว ‘‘ภิกฺขู โหนฺตี’’ติ พหุวจนนิเทฺทสํ กตฺวา ปุน ‘‘เอโก วา เทฺว วา ตโย วา’’ติ (ปารา. ๔๑๘) วุตฺตํ, อญฺญถา น ตโต อุทฺธํ ‘‘อนุวตฺตกา โหนฺตี’’ติ อาปชฺชติฯ ตโต นิทานวิโรโธฯ ปญฺจสตมตฺตา หิ ตทนุวตฺตกา อเหสุํฯ ยํ ปน สตฺตสติกกฺขนฺธเก ‘‘สโงฺฆ จตฺตาโร ปาจีนเก ภิกฺขู, จตฺตาโร ปาเวยฺยเก ภิกฺขู สมฺมเนฺนยฺย …เป.… สมฺมตา’’ติอาทิ (จูฬว. ๔๕๖) ญตฺติทุติยกมฺมํ วุตฺตํ, ตํ ‘‘อุพฺพาหิกาย อิมํ อธิกรณํ วูปสเมตุ’’นฺติ วุตฺตตฺตา เตหิ กตฺตพฺพวิธานํฯ สมฺมุติกรณเมว วา ตติยํ กตฺวา กปฺปติฯ น หิ เต เตน กเมฺมน กมฺมารหา กมฺมกตา โหนฺติฯ ยสฺส สโงฺฆ กมฺมํ กโรติ, โส กมฺมารโหติ ลกฺขณํฯ น จ ตทา สโงฺฆ เตสํ อฎฺฐนฺนมฺปิ ภิกฺขูนํ กมฺมํ อกาสิฯ ภชาปิยมานา เต กมฺมปตฺตภาวํ ภชนฺติฯ อธิกรณวูปสมกมฺมสฺส ปตฺตา ยุตฺตา สเงฺฆน กตาติ กตฺวา กมฺมปตฺตา เอว หิ เต โหนฺติฯ ‘‘เต ภิกฺขู ภิกฺขูหิ ยาวตติยํ สมนุภาสิตพฺพา ตสฺส ปฎินิสฺสคฺคายา’’ติ (ปารา. ๔๑๘) วจนโต เตหิ กตฺตพฺพวิธานํฯ สมฺมุติกรณเมว กมฺมํ โหตีติ เจ? ตํ น, อธิปฺปายชานนโต, ตสฺส ปฎินิสฺสคฺคาย เอว เต ภิกฺขู กมฺมารหา กาตพฺพา, น โทสาคติวเสนาติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ น หิ ปาจีนกาทีนํ สมฺมุติยา อธิกรณวูปสมสิทฺธิ วิย เตสํ สมนุภาสนกเมฺมน ตสฺส ปฎินิสฺสคฺคสิทฺธิ โหติ, สมฺมุติ นาเมสา ปฐมํ อนุมติํ คเหตฺวา ยาจิตฺวาว กรียติ, น ตถา กมฺมนฺติฯ กมฺมกรเณ ปน ตทตฺถสิทฺธิ โหติเยวฯ ปรสมฺมุติยา พหุตราว สมฺมนฺนิตพฺพาติ เวทิตพฺพํฯ
Bhedānuvattakasikkhāpade tiṇṇaṃ uddhaṃ na samanubhāsitabbā, na saṅghena saṅghaṃ ekato kātabbanti. Nayadassanatthaṃ āditova ‘‘bhikkhū hontī’’ti bahuvacananiddesaṃ katvā puna ‘‘eko vā dve vā tayo vā’’ti (pārā. 418) vuttaṃ, aññathā na tato uddhaṃ ‘‘anuvattakā hontī’’ti āpajjati. Tato nidānavirodho. Pañcasatamattā hi tadanuvattakā ahesuṃ. Yaṃ pana sattasatikakkhandhake ‘‘saṅgho cattāro pācīnake bhikkhū, cattāro pāveyyake bhikkhū sammanneyya …pe… sammatā’’tiādi (cūḷava. 456) ñattidutiyakammaṃ vuttaṃ, taṃ ‘‘ubbāhikāya imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasametu’’nti vuttattā tehi kattabbavidhānaṃ. Sammutikaraṇameva vā tatiyaṃ katvā kappati. Na hi te tena kammena kammārahā kammakatā honti. Yassa saṅgho kammaṃ karoti, so kammārahoti lakkhaṇaṃ. Na ca tadā saṅgho tesaṃ aṭṭhannampi bhikkhūnaṃ kammaṃ akāsi. Bhajāpiyamānā te kammapattabhāvaṃ bhajanti. Adhikaraṇavūpasamakammassa pattā yuttā saṅghena katāti katvā kammapattā eva hi te honti. ‘‘Te bhikkhū bhikkhūhi yāvatatiyaṃ samanubhāsitabbā tassa paṭinissaggāyā’’ti (pārā. 418) vacanato tehi kattabbavidhānaṃ. Sammutikaraṇameva kammaṃ hotīti ce? Taṃ na, adhippāyajānanato, tassa paṭinissaggāya eva te bhikkhū kammārahā kātabbā, na dosāgativasenāti ayamettha adhippāyo. Na hi pācīnakādīnaṃ sammutiyā adhikaraṇavūpasamasiddhi viya tesaṃ samanubhāsanakammena tassa paṭinissaggasiddhi hoti, sammuti nāmesā paṭhamaṃ anumatiṃ gahetvā yācitvāva karīyati, na tathā kammanti. Kammakaraṇe pana tadatthasiddhi hotiyeva. Parasammutiyā bahutarāva sammannitabbāti veditabbaṃ.
‘‘เมถุนธมฺม’’นฺติ เอวํ พาหุลฺลนเยน ลทฺธนามกํ สกปโยเคน วา ปรปโยเคน วา อตฺตโน นิมิตฺตสฺส สกมเคฺค วา ปรมเคฺค วา ปรนิมิตฺตสฺส วา สกมเคฺค เอว ปเวสนปวิฎฺฐฎฺฐิตอุทฺธรเณสุ ยํ กิญฺจิ เอกํ ปฎิสาทิยนวเสน เสเวยฺย, ปาราชิโก โหติ อสํวาโสติฯ เกจิ ปน ‘‘ปเวสนาทีนิ จตฺตาริ วา ตีณิ วา เทฺว วา เอกํ วา ปฎิเสเวยฺย, ปาราชิโก โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘โส เจ ปเวสนํ สาทิยติ, ปวิฎฺฐํ สาทิยติ, ฐิตํ สาทิยติ, อุทฺธรณํ สาทิยติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’ติอาที’’ติ (ปารา. ๕๘) วทนฺติฯ เตสํ มเตน จตูสุปิ จตโสฺส ปาราชิกาปตฺติโย อาปชฺชติฯ เตเยว เอวํ วทนฺติ – อาปชฺชตุ เมถุนธมฺมปาราชิกาปตฺติ, เมถุนธมฺมปาราชิกาปตฺติยา ตํภาคิยาติ อตฺตโน วีติกฺกเม ปาราชิกาปตฺติโย, สงฺฆาทิเสสาปตฺติญฺจ อาปชฺชิตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย คหฎฺฐกาเล เมถุนาทิกํ ปาราชิกํ อาปชฺชิตฺวา ปุน ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปชฺชิตฺวา เอกํ สงฺฆาทิเสสาปตฺติํ เอกมเนกํ วา ปฎิกริตฺวาว โส ปุคฺคโล ยสฺมา นิราปตฺติโก โหติ, ตสฺมา โส คหฎฺฐกาเล สาปตฺติโกวาติฯ อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนสฺสาปิ อเตฺถว อาปตฺติฯ วุฎฺฐานเทสนาหิ ปน อสุชฺฌนโต ‘‘ปโยเค ปโยเค อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ น วุตฺตํฯ คณนปโยชนาภาวโต กิญฺจาปิ น วุตฺตํ, อถ โข ปทภาชเน (ปารา. ๕๘) ‘‘อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ วจเนนายมโตฺถ สิโทฺธติ ยุตฺติญฺจ วทนฺติฯ
‘‘Methunadhamma’’nti evaṃ bāhullanayena laddhanāmakaṃ sakapayogena vā parapayogena vā attano nimittassa sakamagge vā paramagge vā paranimittassa vā sakamagge eva pavesanapaviṭṭhaṭṭhitauddharaṇesu yaṃ kiñci ekaṃ paṭisādiyanavasena seveyya, pārājiko hoti asaṃvāsoti. Keci pana ‘‘pavesanādīni cattāri vā tīṇi vā dve vā ekaṃ vā paṭiseveyya, pārājiko hoti. Vuttañhetaṃ ‘so ce pavesanaṃ sādiyati, paviṭṭhaṃ sādiyati, ṭhitaṃ sādiyati, uddharaṇaṃ sādiyati, āpatti pārājikassā’tiādī’’ti (pārā. 58) vadanti. Tesaṃ matena catūsupi catasso pārājikāpattiyo āpajjati. Teyeva evaṃ vadanti – āpajjatu methunadhammapārājikāpatti, methunadhammapārājikāpattiyā taṃbhāgiyāti attano vītikkame pārājikāpattiyo, saṅghādisesāpattiñca āpajjitvā sikkhaṃ paccakkhāya gahaṭṭhakāle methunādikaṃ pārājikaṃ āpajjitvā puna pabbajitvā upasampajjitvā ekaṃ saṅghādisesāpattiṃ ekamanekaṃ vā paṭikaritvāva so puggalo yasmā nirāpattiko hoti, tasmā so gahaṭṭhakāle sāpattikovāti. Antimavatthuajjhāpannassāpi attheva āpatti. Vuṭṭhānadesanāhi pana asujjhanato ‘‘payoge payoge āpatti pārājikassā’’ti na vuttaṃ. Gaṇanapayojanābhāvato kiñcāpi na vuttaṃ, atha kho padabhājane (pārā. 58) ‘‘āpatti pārājikassā’’ti vacanenāyamattho siddhoti yuttiñca vadanti.
ยทิ เอวํ มาติกายมฺปิ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺย, ปาราชิก’’นฺติ วตฺตพฺพํ ภเวยฺย, ปาราชิกสฺส อนวเสสวจนมฺปิ น ยุเชฺชยฺยฯ สเพฺพปิ หิ อาปตฺติกฺขเนฺธ, ภิกฺขุคณนญฺจ อนวเสเสตฺวา ติฎฺฐตีติ อนวเสสวจนนฺติ กตฺวา ปเวเสว อาปตฺติ, น ปวิฎฺฐาทีสุฯ ตเมเวกํ สนฺธาย ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺตี’’ติ (มหาว. ๑๓๔) ปาราชิกาปตฺติมฺปิ อโนฺต กตฺวา นิทานุเทฺทสวจนํ เวทิตพฺพํฯ ตสฺมา มาติกายํ ‘‘ปาราชิก’’นฺติ อวตฺวา ‘‘ปาราชิโก โหตี’’ติ (ปารา. ๔๒, ๔๔) ปุคฺคลนิเทฺทสวจนํ เตน สรีรพนฺธเนน อุปสมฺปทาย อภพฺพภาวทีปนตฺถํฯ ‘‘อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ ปทภาชเน วจนํ อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนสฺสาปิ ปาราชิกสฺส อสํวาสสฺส สโต ปุคฺคลสฺส อเถยฺยสํวาสกภาวทีปนตฺถํฯ น หิ โส สํวาสํ สาทิยโนฺตปิ เถยฺยสํวาสโก โหติ, ตสฺมา อุปสมฺปโนฺน ‘‘ภิกฺขู’’เตฺวว วุจฺจติฯ เตเนวาห ‘‘อสุโทฺธ โหติ ปุคฺคโล อญฺญตรํ ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺน, ตเญฺจ สุทฺธทิฎฺฐิ สมาโน อโนกาสํ การาเปตฺวา อโกฺกสาธิปฺปาโย วทติ, อาปตฺติ โอมสวาเทน ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๘๙) อนุปสมฺปนฺนสฺส ตทภาวโต สิโทฺธ โส อุปสมฺปโนฺน ‘‘ภิกฺขู’’เตฺวว วุจฺจตีติ, เตน ปทโสธมฺมํ, สหเสยฺยญฺจ ชเนติ, ภิกฺขุเปสุญฺญาทิญฺจ ชเนตีติ เวทิตพฺพํ (วชิร. ฎี. ปาราชิก ๓๙)ฯ
Yadi evaṃ mātikāyampi ‘‘yo pana bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyya, pārājika’’nti vattabbaṃ bhaveyya, pārājikassa anavasesavacanampi na yujjeyya. Sabbepi hi āpattikkhandhe, bhikkhugaṇanañca anavasesetvā tiṭṭhatīti anavasesavacananti katvā paveseva āpatti, na paviṭṭhādīsu. Tamevekaṃ sandhāya ‘‘yassa siyā āpattī’’ti (mahāva. 134) pārājikāpattimpi anto katvā nidānuddesavacanaṃ veditabbaṃ. Tasmā mātikāyaṃ ‘‘pārājika’’nti avatvā ‘‘pārājiko hotī’’ti (pārā. 42, 44) puggalaniddesavacanaṃ tena sarīrabandhanena upasampadāya abhabbabhāvadīpanatthaṃ. ‘‘Āpatti pārājikassā’’ti padabhājane vacanaṃ antimavatthuṃ ajjhāpannassāpi pārājikassa asaṃvāsassa sato puggalassa atheyyasaṃvāsakabhāvadīpanatthaṃ. Na hi so saṃvāsaṃ sādiyantopi theyyasaṃvāsako hoti, tasmā upasampanno ‘‘bhikkhū’’tveva vuccati. Tenevāha ‘‘asuddho hoti puggalo aññataraṃ pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpanno, tañce suddhadiṭṭhi samāno anokāsaṃ kārāpetvā akkosādhippāyo vadati, āpatti omasavādena dukkaṭassā’’ti (pārā. 389) anupasampannassa tadabhāvato siddho so upasampanno ‘‘bhikkhū’’tveva vuccatīti, tena padasodhammaṃ, sahaseyyañca janeti, bhikkhupesuññādiñca janetīti veditabbaṃ (vajira. ṭī. pārājika 39).
นิทานา มาติกาเภโท, วิภโงฺค ตนฺนิยามโก;
Nidānā mātikābhedo, vibhaṅgo tanniyāmako;
ตโต อาปตฺติยา เภโท, อนาปตฺติ ตทญฺญถาติฯ (วชิร. ฎี. ปาราชิก ๔๓-๔๔) –
Tato āpattiyā bhedo, anāpatti tadaññathāti. (vajira. ṭī. pārājika 43-44) –
อยํ นโย เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ สุทินฺนวตฺถุ (ปารา. ๒๔ อาทโย)-มกฺกฎิวตฺถุ (ปารา. ๔๐ อาทโย)-วชฺชิปุตฺตกวตฺถุ (ปารา. ๔๓) จาติ ติปฺปเภทวตฺถุ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส นิทานํ นามฯ ตโต นิทานา ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูนํ…เป.… อสํวาโส’’ติ (ปารา. ๔๔) อิมิสฺสา มาติกาย เภโท ชาโตฯ ตตฺถ หิ ‘‘อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายา’’ติ (ปารา. ๔๔) อิตฺถิลิงฺควเสน ‘‘สจฺจํ, อาวุโส, ภควตา สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตญฺจ โข อิตฺถิยา, โน ปุริเส, โน ปณฺฑเก, โน อุภโตพฺยญฺชนเก จา’’ติ มกฺกฎิปาราชิโก วิย อโญฺญปิ เลสํ โอเฑฺฑตุํ สโกฺกติ, ตสฺมา ตาทิสสฺส อเลโสกาสสฺส ทสฺสนตฺถํ อิทํ วุจฺจติ, มกฺกฎิสงฺขาตา นิทานา ‘‘อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปี’’ติ มาติกาย วจนเภโท, น อิตฺถิยา เอว เมถุนสิทฺธิทสฺสนโตฯ ตสฺมา วิภโงฺค ตนฺนิยามโก ตสฺสา มาติกาย อธิเปฺปตตฺถนิยามโก วิภโงฺคติฯ วิภเงฺค หิ ‘‘ติโสฺส อิตฺถิโย, ตโย อุภโตพฺยญฺชนกา, ตโย ปณฺฑกา, ตโย ปุริสาฯ มนุสฺสิตฺถิยา ตโย มเคฺค, ติรจฺฉานคตปุริสสฺส เทฺว มเคฺค’’ติอาทินา (ปารา. ๕๖) นเยน สพฺพเลโสกาสํ ปิทหิตฺวา นิยโม กโตฯ เอตฺถาห – ยทิ เอวํ สาธารณสิกฺขาปทวเสน วา ลิงฺคปริวตฺตนวเสน วา น เกวลํ ภิกฺขูนํ, ภิกฺขุนีนมฺปิ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ วิภเงฺค วตฺตพฺพํ สิยาฯ ตทวจเนน หิ ภิกฺขุนี ปุริสลิงฺคปาตุภาเวน ภิกฺขุภาเว ฐิตา เอวํ วเทยฺย ‘‘นาหํ อุปสมฺปทากรณกาเล ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปนฺนา, ตสฺมา น อปจฺจกฺขาตสิกฺขาปิ เมถุนธเมฺมน ปาราชิกา โหมี’’ติฯ วุจฺจเต – ยถา วุตฺตํ, ตถา น วตฺตพฺพํ อนิฎฺฐปฺปสงฺคโตฯ ตถา วุเตฺต ภิกฺขุนีนมฺปิ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ อตฺถีติ อาปชฺชติฯ ตญฺจานิฎฺฐํฯ อิทมปรมนิฎฺฐํ ‘‘สพฺพสิกฺขาปทานิ สาธารณาเนว นาสาธารณานี’’ติฯ อปิจายํ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปนฺนาว โหตีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ตํเยว อุปชฺฌํ ตเมว อุปสมฺปทํ ตานิ วสฺสานิ ภิกฺขูหิ สงฺคมิตุ’’นฺติอาทิ (ปารา. ๖๙) วุตฺตํฯ ตโต อาปตฺติยา เภโทติ ตโต วิภงฺคโต ‘‘อกฺขยิเต สรีเร ปาราชิกํ, เยภุเยฺยน ขยิเต ถุลฺลจฺจย’’นฺติอาทิ (ปารา. ๗๓, ปริ. ๑๕๗) อาปตฺติยา เภโท โหติฯ อนาปตฺติ ตทญฺญถาติ ตโต เอว วิภงฺคโต เยน อากาเรน อาปตฺติ วุตฺตา, ตโต อเญฺญนากาเรน อนาปตฺติเภโทว โหติฯ ‘‘สาทิยติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺส, น สาทิยติ, อนาปตฺตี’’ติ หิ วิภเงฺค อสติ น ปญฺญายติฯ เอตฺตาวตา ‘‘นิทานา มาติกาเภโท’’ติ อยํ คาถา สมาสโต วุตฺตตฺถา โหติฯ วิเสสการณํ ปน ตสฺมิํ ตสฺมิํ สิกฺขาปเท อาวิภวิสฺสติฯ
Ayaṃ nayo veditabbo. Tattha sudinnavatthu (pārā. 24 ādayo)-makkaṭivatthu (pārā. 40 ādayo)-vajjiputtakavatthu (pārā. 43) cāti tippabhedavatthu imassa sikkhāpadassa nidānaṃ nāma. Tato nidānā ‘‘yo pana bhikkhu bhikkhūnaṃ…pe… asaṃvāso’’ti (pārā. 44) imissā mātikāya bhedo jāto. Tattha hi ‘‘antamaso tiracchānagatāyā’’ti (pārā. 44) itthiliṅgavasena ‘‘saccaṃ, āvuso, bhagavatā sikkhāpadaṃ paññattaṃ, tañca kho itthiyā, no purise, no paṇḍake, no ubhatobyañjanake cā’’ti makkaṭipārājiko viya aññopi lesaṃ oḍḍetuṃ sakkoti, tasmā tādisassa alesokāsassa dassanatthaṃ idaṃ vuccati, makkaṭisaṅkhātā nidānā ‘‘antamaso tiracchānagatāyapī’’ti mātikāya vacanabhedo, na itthiyā eva methunasiddhidassanato. Tasmā vibhaṅgo tanniyāmako tassā mātikāya adhippetatthaniyāmako vibhaṅgoti. Vibhaṅge hi ‘‘tisso itthiyo, tayo ubhatobyañjanakā, tayo paṇḍakā, tayo purisā. Manussitthiyā tayo magge, tiracchānagatapurisassa dve magge’’tiādinā (pārā. 56) nayena sabbalesokāsaṃ pidahitvā niyamo kato. Etthāha – yadi evaṃ sādhāraṇasikkhāpadavasena vā liṅgaparivattanavasena vā na kevalaṃ bhikkhūnaṃ, bhikkhunīnampi ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti vibhaṅge vattabbaṃ siyā. Tadavacanena hi bhikkhunī purisaliṅgapātubhāvena bhikkhubhāve ṭhitā evaṃ vadeyya ‘‘nāhaṃ upasampadākaraṇakāle bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpannā, tasmā na apaccakkhātasikkhāpi methunadhammena pārājikā homī’’ti. Vuccate – yathā vuttaṃ, tathā na vattabbaṃ aniṭṭhappasaṅgato. Tathā vutte bhikkhunīnampi sikkhāpaccakkhānaṃ atthīti āpajjati. Tañcāniṭṭhaṃ. Idamaparamaniṭṭhaṃ ‘‘sabbasikkhāpadāni sādhāraṇāneva nāsādhāraṇānī’’ti. Apicāyaṃ bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpannāva hotīti dassanatthaṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, taṃyeva upajjhaṃ tameva upasampadaṃ tāni vassāni bhikkhūhi saṅgamitu’’ntiādi (pārā. 69) vuttaṃ. Tato āpattiyā bhedoti tato vibhaṅgato ‘‘akkhayite sarīre pārājikaṃ, yebhuyyena khayite thullaccaya’’ntiādi (pārā. 73, pari. 157) āpattiyā bhedo hoti. Anāpatti tadaññathāti tato eva vibhaṅgato yena ākārena āpatti vuttā, tato aññenākārena anāpattibhedova hoti. ‘‘Sādiyati, āpatti pārājikassa, na sādiyati, anāpattī’’ti hi vibhaṅge asati na paññāyati. Ettāvatā ‘‘nidānā mātikābhedo’’ti ayaṃ gāthā samāsato vuttatthā hoti. Visesakāraṇaṃ pana tasmiṃ tasmiṃ sikkhāpade āvibhavissati.
ปฐมปญฺญตฺติ ตาว ปฐมโพธิํ อติกฺกมิตฺวา ปญฺญตฺตตฺตา, อายสฺมโต สุทินฺนสฺส อฎฺฐวสฺสิกกาเล ปญฺญตฺตตฺตา จ รตฺตญฺญุมหตฺตํ ปตฺตกาเล ปญฺญตฺตา, ทุติยปญฺญตฺติ พาหุสจฺจมหตฺตํ ปตฺตกาเลฯ โส หิ อายสฺมา มกฺกฎิปาราชิโก ยถา มาตุคามปฺปฎิสํยุเตฺตสุ สิกฺขาปเทสุ ติรจฺฉานคติตฺถี น อธิเปฺปตา, ตถา อิธาปีติ สญฺญาย ‘‘สจฺจํ, อาวุโส…เป.… ตญฺจ โข มนุสฺสิตฺถิยา, โน ติรจฺฉานคตายา’’ติ (ปารา. ๔๑) อาหฯ ตติยปญฺญตฺติ ลาภคฺคมหตฺตํ ปตฺตกาเล อุปฺปนฺนา ‘‘ยาวทตฺถํ ภุญฺชิตฺวา’’ติอาทิ (ปารา. ๔๓) วจนโต, เวปุลฺลมหตฺตมฺปิ เอเตฺถว ลพฺภตีติ อิมํ ปฐมปาราชิกสิกฺขาปทํ ติวิธมฺปิ วตฺถุํ อุปาทาย จตุพฺพิธมฺปิ ตํ กาลํ ปตฺวา ปญฺญตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Paṭhamapaññatti tāva paṭhamabodhiṃ atikkamitvā paññattattā, āyasmato sudinnassa aṭṭhavassikakāle paññattattā ca rattaññumahattaṃ pattakāle paññattā, dutiyapaññatti bāhusaccamahattaṃ pattakāle. So hi āyasmā makkaṭipārājiko yathā mātugāmappaṭisaṃyuttesu sikkhāpadesu tiracchānagatitthī na adhippetā, tathā idhāpīti saññāya ‘‘saccaṃ, āvuso…pe… tañca kho manussitthiyā, no tiracchānagatāyā’’ti (pārā. 41) āha. Tatiyapaññatti lābhaggamahattaṃ pattakāle uppannā ‘‘yāvadatthaṃ bhuñjitvā’’tiādi (pārā. 43) vacanato, vepullamahattampi ettheva labbhatīti imaṃ paṭhamapārājikasikkhāpadaṃ tividhampi vatthuṃ upādāya catubbidhampi taṃ kālaṃ patvā paññattanti veditabbaṃ.
ตตฺถ โย ปนาติ อนวเสสปริยาทานปทํฯ ภิกฺขูติ ตสฺส อติปฺปสงฺคนิยมปทํฯ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺนติ ตสฺส วิเสสนวจนํฯ น หิ สโพฺพปิ ภิกฺขุนามโก, ยา ภควตา ยาย กายจิ อุปสมฺปทาย อุปสมฺปนฺนภิกฺขูนํ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน สิกฺขิตพฺพา สิกฺขา วิหิตา , ‘‘เอตฺถ สห ชีวนฺตี’’ติ โย จ สาชีโว วุโตฺต, ตํ อุภยํ สมาปโนฺนว โหติฯ กทา ปน สมาปโนฺน โหติ? ยาย กายจิ อุปสมฺปทาย อุปสมฺปนฺนสมนนฺตรเมว ตทุภยํ ชานโนฺตปิ อชานโนฺตปิ ตทชฺฌุปคตตฺตา สมาปโนฺนว นาม โหติฯ สห ชีวนฺตีติ ยาว สิกฺขํ น ปจฺจกฺขาติ, ปาราชิกภาวํ วา น ปาปุณาติฯ ยํ ปน วุตฺตํ อนฺธกฎฺฐกถายํ ‘‘สิกฺขํ ปริปูเรโนฺต สิกฺขาสมาปโนฺน สาชีวํ อวีติกฺกมโนฺต สาชีวสมาปโนฺน’’ติ, ตํ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน วุตฺตํฯ น หิ สิกฺขํ อปริปูเรโนฺต, กามวิตกฺกาทิพหุโล วา เอกจฺจํ สาวเสสํ สาชีวํ วีติกฺกมโนฺต วา สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน นาม น โหติฯ
Tattha yo panāti anavasesapariyādānapadaṃ. Bhikkhūti tassa atippasaṅganiyamapadaṃ. Bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpannoti tassa visesanavacanaṃ. Na hi sabbopi bhikkhunāmako, yā bhagavatā yāya kāyaci upasampadāya upasampannabhikkhūnaṃ heṭṭhimaparicchedena sikkhitabbā sikkhā vihitā , ‘‘ettha saha jīvantī’’ti yo ca sājīvo vutto, taṃ ubhayaṃ samāpannova hoti. Kadā pana samāpanno hoti? Yāya kāyaci upasampadāya upasampannasamanantarameva tadubhayaṃ jānantopi ajānantopi tadajjhupagatattā samāpannova nāma hoti. Saha jīvantīti yāva sikkhaṃ na paccakkhāti, pārājikabhāvaṃ vā na pāpuṇāti. Yaṃ pana vuttaṃ andhakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘sikkhaṃ paripūrento sikkhāsamāpanno sājīvaṃ avītikkamanto sājīvasamāpanno’’ti, taṃ ukkaṭṭhaparicchedavasena vuttaṃ. Na hi sikkhaṃ aparipūrento, kāmavitakkādibahulo vā ekaccaṃ sāvasesaṃ sājīvaṃ vītikkamanto vā sikkhāsājīvasamāpanno nāma na hoti.
อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉเทน ปน จตุกฺกํ ลพฺภติ – ‘‘อตฺถิ ภิกฺขุ สิกฺขาสมาปโนฺน สีลานิ ปจฺจเวกฺขโนฺต น สาชีวสมาปโนฺน อจิตฺตกํ สิกฺขาปทํ วีติกฺกมโนฺต, อตฺถิ น สิกฺขาสมาปโนฺน กามวิตกฺกาทิพหุโล สาชีวสมาปโนฺน นิราปตฺติโก, อตฺถิ น สิกฺขาสมาปโนฺน น จ สาชีวสมาปโนฺน อนวเสสํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, อตฺถิ อุภยสมาปโนฺน สิกฺขํ ปริปูเรโนฺต สาชีวญฺจ อวีติกฺกมโนฺต’’ติฯ อยเมตฺถ จตุโตฺถ ภิกฺขุ อุกฺกโฎฺฐ อิธ อธิเปฺปโต สิยาฯ น หิ ภควา อนุกฺกฎฺฐํ วตฺตุํ ยุโตฺตติ เจ? น, ‘‘ตตฺร ยายํ อธิสีลสิกฺขา, อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปตา สิกฺขา’’ติ วจนวิโรธโต, อุกฺกฎฺฐคฺคหณาธิปฺปาเย สติ ‘‘สิกฺขาติ ติโสฺส สิกฺขา’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ สิกฺขตฺตยสมาปโนฺน หิ สพฺพุกฺกโฎฺฐฯ ‘‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยา’’ติ ปรโต วจนํ อเปกฺขิตฺวา อธิสีลสิกฺขาว วุตฺตาติ เจ? น, ตสฺสาปิ อภพฺพตฺตาฯ น หิ อธิสีลสิกฺขํ ปริปูเรโนฺต, สาชีวญฺจ อวีติกฺกมโนฺต เมถุนธมฺมํ ปฎิเสวิตุํ ภโพฺพ, ตํ สิกฺขํ อปริปูเรโนฺต, สาชีวญฺจ วีติกฺกมโนฺตเยว หิ ปฎิเสเวยฺยาติ อธิปฺปายาฯ ตสฺมา เอวเมตฺถ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ยสฺมา สิกฺขาปทสงฺขาโต สาชีโว อธิสีลสิกฺขเมว สงฺคณฺหาติ, น อิตรสิกฺขาทฺวยํ, ตสฺมา ‘‘ตตฺร ยายํ อธิสีลสิกฺขา, อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปตา สิกฺขา’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมา อธิสีลสิกฺขาย สงฺคาหโก สาชีโว สิกฺขาสาชีโวติ วุโตฺตฯ อิติ สาชีววิเสสนตฺถํ สิกฺขาคฺคหณํ กตํฯ ตทตฺถทีปนตฺถเมว วิภเงฺค สิกฺขํ อปรามสิตฺวา ‘‘ตสฺมิํ สิกฺขติ, เตน วุจฺจติ สาชีวสมาปโนฺน’’ติ (ปารา. ๔๕) วุตฺตํฯ เตน เอกเมวิทํ อตฺถปทนฺติ ทีปิตํ โหติฯ ตญฺจ อุปสมฺปทูปคมนนฺตรโต ปฎฺฐาย สิกฺขนาธิการตฺตา ‘‘สิกฺขตี’’ติ จ ‘‘สมาปโนฺน’’ติ จ วุจฺจติฯ โย เอวํ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ สงฺขํ คโต, ตาทิสํ ปจฺจยํ ปฎิจฺจ อปรภาเค สาชีวสงฺขาตเมว สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย ตสฺมิํเยว ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยาติ อยมโตฺถ ยุชฺชติฯ
Ukkaṭṭhaparicchedena pana catukkaṃ labbhati – ‘‘atthi bhikkhu sikkhāsamāpanno sīlāni paccavekkhanto na sājīvasamāpanno acittakaṃ sikkhāpadaṃ vītikkamanto, atthi na sikkhāsamāpanno kāmavitakkādibahulo sājīvasamāpanno nirāpattiko, atthi na sikkhāsamāpanno na ca sājīvasamāpanno anavasesaṃ āpattiṃ āpanno, atthi ubhayasamāpanno sikkhaṃ paripūrento sājīvañca avītikkamanto’’ti. Ayamettha catuttho bhikkhu ukkaṭṭho idha adhippeto siyā. Na hi bhagavā anukkaṭṭhaṃ vattuṃ yuttoti ce? Na, ‘‘tatra yāyaṃ adhisīlasikkhā, ayaṃ imasmiṃ atthe adhippetā sikkhā’’ti vacanavirodhato, ukkaṭṭhaggahaṇādhippāye sati ‘‘sikkhāti tisso sikkhā’’ti ettakameva vattabbanti adhippāyo. Sikkhattayasamāpanno hi sabbukkaṭṭho. ‘‘Methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyā’’ti parato vacanaṃ apekkhitvā adhisīlasikkhāva vuttāti ce? Na, tassāpi abhabbattā. Na hi adhisīlasikkhaṃ paripūrento, sājīvañca avītikkamanto methunadhammaṃ paṭisevituṃ bhabbo, taṃ sikkhaṃ aparipūrento, sājīvañca vītikkamantoyeva hi paṭiseveyyāti adhippāyā. Tasmā evamettha attho gahetabbo. Yasmā sikkhāpadasaṅkhāto sājīvo adhisīlasikkhameva saṅgaṇhāti, na itarasikkhādvayaṃ, tasmā ‘‘tatra yāyaṃ adhisīlasikkhā, ayaṃ imasmiṃ atthe adhippetā sikkhā’’ti vuttaṃ. Tasmā adhisīlasikkhāya saṅgāhako sājīvo sikkhāsājīvoti vutto. Iti sājīvavisesanatthaṃ sikkhāggahaṇaṃ kataṃ. Tadatthadīpanatthameva vibhaṅge sikkhaṃ aparāmasitvā ‘‘tasmiṃ sikkhati, tena vuccati sājīvasamāpanno’’ti (pārā. 45) vuttaṃ. Tena ekamevidaṃ atthapadanti dīpitaṃ hoti. Tañca upasampadūpagamanantarato paṭṭhāya sikkhanādhikārattā ‘‘sikkhatī’’ti ca ‘‘samāpanno’’ti ca vuccati. Yo evaṃ ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti saṅkhaṃ gato, tādisaṃ paccayaṃ paṭicca aparabhāge sājīvasaṅkhātameva sikkhaṃ apaccakkhāya tasmiṃyeva dubbalyaṃ anāvikatvā methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyāti ayamattho yujjati.
กินฺตุ อฎฺฐกถานโย ปฎิกฺขิโตฺต โหติ, โส จ น ปฎิเกฺขปารโห โหติ, อธิปฺปาโย ปเนตฺถ ปริเยสิตโพฺพฯ สเพฺพสุ สิกฺขาปเทสุ อิทเมว ภิกฺขุลกฺขณํ สาธารณํ ยทิทํ ‘‘ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติฯ ขีณาสโวปิ สาวโก อาปตฺติํ อาปชฺชติ อจิตฺตกํ, ตถา เสโกฺข, ปุถุชฺชโน ปน สจิตฺตกมฺปิ, ตสฺมา เสกฺขาเสกฺขปุถุชฺชนานํ สามญฺญมิทํ ภิกฺขุลกฺขณนฺติ กตฺวา เกวลํ สิกฺขาสมาปโนฺน, เกวลํ สาชีวสมาปโนฺน, อุภยสมาปโนฺน จาติ สรูเปกเทสเอกเสสนเยน ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’เตฺวว สมฺปิเณฺฑตฺวา อุกฺกฎฺฐคฺคหเณน อนุกฺกฎฺฐานํ คหณสิทฺธิโต อฎฺฐกถายํ อุกฺกโฎฺฐว วุโตฺตฯ ตเมว สมฺปาเทตุํ ‘‘ตสฺมิํ สิกฺขติ, เตน วุจฺจติ สาชีวสมาปโนฺน’’ติ เอตฺถ สิกฺขาสทฺทสฺส อวจเน ปริหารํ วตฺวา ยสฺมา ปน โส สิกฺขมฺปิ สมาปโนฺน, ตสฺมา สิกฺขาสมาปโนฺนติปิ อตฺถโต เวทิตโพฺพติ จ วตฺวา ‘‘ยํ สิกฺขํ สมาปโนฺน, ตํ อปจฺจกฺขาย, ยญฺจ สาชีวํ สมาปโนฺน, ตตฺถ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ วุตฺตนฺติ อยมฎฺฐกถาย อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพฯ เอตสฺมิํ ปน อธิปฺปาเย อธิสีลสิกฺขาย เอว คหณํ สพฺพตฺถิกตฺตา, สีลาธิการโต จ วินยสฺสาติ เวทิตพฺพํฯ ยถา จ สิกฺขาปทํ สมาทิยโนฺต สีลํ สมาทิยตีติ วุจฺจติ, เอวํ สิกฺขาปทํ ปจฺจกฺขโนฺต สีลํ ปจฺจกฺขาตีติ วตฺตุํ ยุชฺชติ, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตํ ‘‘ยํ สิกฺขํ สมาปโนฺน, ตํ อปจฺจกฺขายา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. สิกฺขาปจฺจกฺขานวิภงฺควณฺณนา)ฯ เอตฺตาวตา สมาสโต ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ เอตฺถ วตฺตพฺพวินิจฺฉโย นิฎฺฐิโต โหติฯ
Kintu aṭṭhakathānayo paṭikkhitto hoti, so ca na paṭikkhepāraho hoti, adhippāyo panettha pariyesitabbo. Sabbesu sikkhāpadesu idameva bhikkhulakkhaṇaṃ sādhāraṇaṃ yadidaṃ ‘‘bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno’’ti. Khīṇāsavopi sāvako āpattiṃ āpajjati acittakaṃ, tathā sekkho, puthujjano pana sacittakampi, tasmā sekkhāsekkhaputhujjanānaṃ sāmaññamidaṃ bhikkhulakkhaṇanti katvā kevalaṃ sikkhāsamāpanno, kevalaṃ sājīvasamāpanno, ubhayasamāpanno cāti sarūpekadesaekasesanayena ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’tveva sampiṇḍetvā ukkaṭṭhaggahaṇena anukkaṭṭhānaṃ gahaṇasiddhito aṭṭhakathāyaṃ ukkaṭṭhova vutto. Tameva sampādetuṃ ‘‘tasmiṃ sikkhati, tena vuccati sājīvasamāpanno’’ti ettha sikkhāsaddassa avacane parihāraṃ vatvā yasmā pana so sikkhampi samāpanno, tasmā sikkhāsamāpannotipi atthato veditabboti ca vatvā ‘‘yaṃ sikkhaṃ samāpanno, taṃ apaccakkhāya, yañca sājīvaṃ samāpanno, tattha dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti vuttanti ayamaṭṭhakathāya adhippāyo veditabbo. Etasmiṃ pana adhippāye adhisīlasikkhāya eva gahaṇaṃ sabbatthikattā, sīlādhikārato ca vinayassāti veditabbaṃ. Yathā ca sikkhāpadaṃ samādiyanto sīlaṃ samādiyatīti vuccati, evaṃ sikkhāpadaṃ paccakkhanto sīlaṃ paccakkhātīti vattuṃ yujjati, tasmā tattha vuttaṃ ‘‘yaṃ sikkhaṃ samāpanno, taṃ apaccakkhāyā’’ti (pārā. aṭṭha. sikkhāpaccakkhānavibhaṅgavaṇṇanā). Ettāvatā samāsato ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti ettha vattabbavinicchayo niṭṭhito hoti.
กิํ อิมินา วิเสสวจเนน ปโยชนํ, นนุ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา…เป.… อสํวาโส’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพนฺติ เจ? น วตฺตพฺพํ อนิฎฺฐปฺปสงฺคโตฯ ‘‘โย ปน สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน เถยฺยสํวาสาทิโก เกวเลน สมญฺญามเตฺตน, ปฎิญฺญามเตฺตน วา ภิกฺขุ, ตสฺสาปิ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ อตฺถิ, สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย จ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวนฺตสฺส ปาราชิกาปตฺติฯ โย วา ปจฺฉา ปาราชิกํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา น สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน, ตสฺส จ, โย วา ปกฺขปณฺฑกตฺตา ปณฺฑกภาวูปคมเนน น สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน, ตสฺส จ ตทุภยํ อตฺถีติ อาปชฺชติฯ ปณฺฑกภาวปเกฺข จ ปณฺฑโก อุปสมฺปทาย น วตฺถู’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมา อิตรสฺมิํ ปเกฺข วตฺถูติ สิทฺธํฯ ตสฺมิํ ปเกฺข อุปสมฺปโนฺน ปณฺฑกภาวปเกฺข ปณฺฑกตฺตา น สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน, โส ปริจฺจชิตพฺพาย สิกฺขาย อภาเวน สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย มุเขน ปรสฺส องฺคชาตคฺคหณนเยน เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺย, ตสฺส กุโต ปาราชิกาปตฺตีติ อธิปฺปาโยฯ อยํ นโย อปณฺฑกปกฺขํ อลภมานเสฺสว ปรโต ยุชฺชติ, ลภนฺตสฺส ปน อรูปสตฺตานํ กุสลาทิสมาปตฺติกฺขเณ ภวงฺควิเจฺฉเท สติปิ อมรณํ วิย ปณฺฑกภาวปเกฺขปิ ภิกฺขุภาโว อตฺถิฯ สํวาสํ วา สาทิยนฺตสฺส น เถยฺยสํวาสกภาโว อตฺถิ อนฺติมวตฺถุอชฺฌาปนฺนสฺส วิยฯ น จ สหเสยฺยาทิํ ชเนติ ฯ คณปูรโก ปน น โหติ อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปโนฺน วิยฯ น โส สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺนฯ อิตรสฺมิํ ปน ปเกฺข โหติ, อยํ อิมสฺส ตโต วิเสโสฯ กิมยํ สเหตุโก, อุทาหุ อเหตุโกติ? น อเหตุโกฯ ยโต อุปสมฺปทา ตสฺส อปณฺฑกปเกฺข อนุญฺญาตา สเหตุกปฺปฎิสนฺธิกตฺตาฯ ปณฺฑกภาวปเกฺขปิ กิสฺส นานุญฺญาตาติ เจ? ปณฺฑกภูตตฺตา โอปกฺกมิกปณฺฑกสฺส วิยฯ
Kiṃ iminā visesavacanena payojanaṃ, nanu ‘‘yo pana bhikkhu sikkhaṃ apaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā…pe… asaṃvāso’’ti ettakameva vattabbanti ce? Na vattabbaṃ aniṭṭhappasaṅgato. ‘‘Yo pana sikkhāsājīvasamāpanno theyyasaṃvāsādiko kevalena samaññāmattena, paṭiññāmattena vā bhikkhu, tassāpi sikkhāpaccakkhānaṃ atthi, sikkhaṃ apaccakkhāya ca methunaṃ dhammaṃ paṭisevantassa pārājikāpatti. Yo vā pacchā pārājikaṃ āpattiṃ āpajjitvā na sikkhāsājīvasamāpanno, tassa ca, yo vā pakkhapaṇḍakattā paṇḍakabhāvūpagamanena na sikkhāsājīvasamāpanno, tassa ca tadubhayaṃ atthīti āpajjati. Paṇḍakabhāvapakkhe ca paṇḍako upasampadāya na vatthū’’ti vuttaṃ. Tasmā itarasmiṃ pakkhe vatthūti siddhaṃ. Tasmiṃ pakkhe upasampanno paṇḍakabhāvapakkhe paṇḍakattā na sikkhāsājīvasamāpanno, so pariccajitabbāya sikkhāya abhāvena sikkhaṃ apaccakkhāya mukhena parassa aṅgajātaggahaṇanayena methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyya, tassa kuto pārājikāpattīti adhippāyo. Ayaṃ nayo apaṇḍakapakkhaṃ alabhamānasseva parato yujjati, labhantassa pana arūpasattānaṃ kusalādisamāpattikkhaṇe bhavaṅgavicchede satipi amaraṇaṃ viya paṇḍakabhāvapakkhepi bhikkhubhāvo atthi. Saṃvāsaṃ vā sādiyantassa na theyyasaṃvāsakabhāvo atthi antimavatthuajjhāpannassa viya. Na ca sahaseyyādiṃ janeti . Gaṇapūrako pana na hoti antimavatthuṃ ajjhāpanno viya. Na so sikkhāsājīvasamāpanno. Itarasmiṃ pana pakkhe hoti, ayaṃ imassa tato viseso. Kimayaṃ sahetuko, udāhu ahetukoti? Na ahetuko. Yato upasampadā tassa apaṇḍakapakkhe anuññātā sahetukappaṭisandhikattā. Paṇḍakabhāvapakkhepi kissa nānuññātāti ce? Paṇḍakabhūtattā opakkamikapaṇḍakassa viya.
อปิจ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ อิมินา ตสฺส สิกฺขาสมาทานํ ทีเปตฺวา ตํ สมาทินฺนํ สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย, ตตฺถ จ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวาติ วตฺตุํ ยุชฺชติ, น อญฺญถาติ อิมินา การเณน ยถาวุตฺตานิฎฺฐปฺปสงฺคโต ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน สิกฺขํ อปจฺจกฺขายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา คามา วา อรญฺญา วา อทินฺนํ…เป.… โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา สุคตจีวรปฺปมาณํ จีวรํ การาเปยฺยา’’ติ สพฺพตฺถ โยเชตพฺพํฯ
Apica ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti iminā tassa sikkhāsamādānaṃ dīpetvā taṃ samādinnaṃ sikkhaṃ apaccakkhāya, tattha ca dubbalyaṃ anāvikatvāti vattuṃ yujjati, na aññathāti iminā kāraṇena yathāvuttāniṭṭhappasaṅgato ‘‘yo pana bhikkhu bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno sikkhaṃ apaccakkhāyā’’tiādi vuttaṃ. Yathā cettha, evaṃ ‘‘yo pana bhikkhu bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno sikkhaṃ apaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā gāmā vā araññā vā adinnaṃ…pe… yo pana bhikkhu bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno sikkhaṃ apaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā sugatacīvarappamāṇaṃ cīvaraṃ kārāpeyyā’’ti sabbattha yojetabbaṃ.
‘‘อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปี’’ติ มนุสฺสิตฺถิํ อุปาทาย วุตฺตํฯ น หิ ปเคว ปณฺฑเก, ปุริเส วาติ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ เสสํ ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตนยเมว ฯ อยํ ตาว มาติกาย วินิจฺฉโย อญฺญตฺถาปิ ยถาสมฺภวํ โยเชตฺวา ทีเปตโพฺพฯ
‘‘Antamaso tiracchānagatāyapī’’ti manussitthiṃ upādāya vuttaṃ. Na hi pageva paṇḍake, purise vāti vattuṃ yujjati. Sesaṃ tattha tattha vuttanayameva . Ayaṃ tāva mātikāya vinicchayo aññatthāpi yathāsambhavaṃ yojetvā dīpetabbo.
สาริปุตฺตเพลฎฺฐสีสานนฺทาทโยปิ สิกฺขาปทปญฺญตฺติการณตฺตา จ อาปตฺติอาปชฺชนโต จ กสฺมา มหาวิภเงฺค ญตฺติจตุตฺถอุปสมฺปทาเยว อาคตาติ? ปฎิกฺขิตฺตาย สรณคมนูปสมฺปทาย อนุญฺญาตปฺปสงฺคภยาติ อุปติสฺสเตฺถโรฯ อาปตฺติยา ภพฺพตํ สนฺธาย ตสฺมิมฺปิ วุเตฺต ปุเพฺพ ปฎิกฺขิตฺตาปิ ภควตา ปุน อนุญฺญาตาติ ภิกฺขูนํ มิจฺฉาคาโห วา วิมติ วา อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา น วุตฺตาติ วุตฺตํ โหติฯ
Sāriputtabelaṭṭhasīsānandādayopi sikkhāpadapaññattikāraṇattā ca āpattiāpajjanato ca kasmā mahāvibhaṅge ñatticatutthaupasampadāyeva āgatāti? Paṭikkhittāya saraṇagamanūpasampadāya anuññātappasaṅgabhayāti upatissatthero. Āpattiyā bhabbataṃ sandhāya tasmimpi vutte pubbe paṭikkhittāpi bhagavatā puna anuññātāti bhikkhūnaṃ micchāgāho vā vimati vā uppajjati, tasmā na vuttāti vuttaṃ hoti.
‘‘อธมฺมกมฺมํ วคฺคกมฺม’’ติ (มหาว. ๓๘๗) วจนโต กุปฺปกมฺมมฺปิ กตฺถจิ ‘‘กมฺม’’นฺติ วุจฺจติ, ตสฺมา ‘‘อกุเปฺปนา’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา อกุปฺปกมฺมมฺปิ เอกจฺจํ น ฐานารหํ, เยน อปโตฺต โอสารณํ สุโอสาริโตติ วุจฺจติ, ตสฺมา ‘‘ฐานารเหนา’’ติ วุตฺตํฯ ยทิ เอวํ ‘‘ฐานารเหนา’’ติ อิทเมว วตฺตพฺพํ อิมินา อกุปฺปสิทฺธิโตติ เจ? น, อฎฺฐานารเหน อกุเปฺปน อุปสมฺปโนฺน อิมสฺมิํ อเตฺถ น อธิเปฺปโต อนิฎฺฐปฺปสงฺคโตฯ ทฺวีหิ ปเนเตหิ เอกโต วุเตฺตหิ อยมโตฺถ ปญฺญายติ – เกวลํ เตน อกุเปฺปน อุปสมฺปโนฺน อยมฺปิ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต ภิกฺขูติ, ฐานารเหน จ อกุเปฺปน จ อุปสมฺปโนฺน อยมฺปิ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปโต ภิกฺขูติ, กุเปฺปน อุปสมฺปโนฺน นาธิเปฺปโตติฯ
‘‘Adhammakammaṃ vaggakamma’’ti (mahāva. 387) vacanato kuppakammampi katthaci ‘‘kamma’’nti vuccati, tasmā ‘‘akuppenā’’ti vuttaṃ. Yasmā akuppakammampi ekaccaṃ na ṭhānārahaṃ, yena apatto osāraṇaṃ suosāritoti vuccati, tasmā ‘‘ṭhānārahenā’’ti vuttaṃ. Yadi evaṃ ‘‘ṭhānārahenā’’ti idameva vattabbaṃ iminā akuppasiddhitoti ce? Na, aṭṭhānārahena akuppena upasampanno imasmiṃ atthe na adhippeto aniṭṭhappasaṅgato. Dvīhi panetehi ekato vuttehi ayamattho paññāyati – kevalaṃ tena akuppena upasampanno ayampi imasmiṃ atthe adhippeto bhikkhūti, ṭhānārahena ca akuppena ca upasampanno ayampi imasmiṃ atthe adhippeto bhikkhūti, kuppena upasampanno nādhippetoti.
‘‘ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย อปริปุณฺณวีสติวโสฺส’’ติ วุตฺตตฺตา โอปปาติกญฺจาติ โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา โอปปาติกา ปฎิสนฺธิโต ปฎฺฐาย อปริปุณฺณวีสติวสฺสาติ วทนฺติฯ ‘โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา โหนฺตี’ติ วุตฺตตฺตา ปุน จตฺตาริ วสฺสานิ อิจฺฉิตพฺพานิ, ‘ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐายา’ติ อิทํ คพฺภเสยฺยกานํ วเสน วุตฺต’’นฺติ เอเกฯ ‘‘เกจิ วทนฺตี’’ติ ยตฺถ ยตฺถ ลิขียติ, ตตฺถ ตตฺถ วิจาเรตฺวา อตฺถํ สุฎฺฐุ อุปลกฺขเยฯ โอปกฺกมิเก ปณฺฑกภาโว อารุฬฺหนเยน เวทิตโพฺพฯ ‘‘ปกฺขปณฺฑโก อปณฺฑกปเกฺข ปพฺพาเชตฺวา ปณฺฑกปเกฺข นาเสตโพฺพ’’ติ (วชิร. ฎี. มหาวคฺค ๑๐๙) ลิขิตํฯ
‘‘Paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya aparipuṇṇavīsativasso’’ti vuttattā opapātikañcāti soḷasavassuddesikā opapātikā paṭisandhito paṭṭhāya aparipuṇṇavīsativassāti vadanti. ‘Soḷasavassuddesikā hontī’ti vuttattā puna cattāri vassāni icchitabbāni, ‘paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāyā’ti idaṃ gabbhaseyyakānaṃ vasena vutta’’nti eke. ‘‘Keci vadantī’’ti yattha yattha likhīyati, tattha tattha vicāretvā atthaṃ suṭṭhu upalakkhaye. Opakkamike paṇḍakabhāvo āruḷhanayena veditabbo. ‘‘Pakkhapaṇḍako apaṇḍakapakkhe pabbājetvā paṇḍakapakkhe nāsetabbo’’ti (vajira. ṭī. mahāvagga 109) likhitaṃ.
‘‘พินฺทุํ อทตฺวา เจ นิวาเสติ, เถยฺยสํวาสโก น โหตี’’ติ วทนฺติ, วีมํสิตพฺพํฯ ลิงฺคานุรูปสฺสาติ สามเณรารหสฺส สํวาสสฺส สาทิตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
‘‘Binduṃ adatvā ce nivāseti, theyyasaṃvāsako na hotī’’ti vadanti, vīmaṃsitabbaṃ. Liṅgānurūpassāti sāmaṇerārahassa saṃvāsassa sāditattāti adhippāyo.
ราชภยาทีหิ คหิตลิงฺคานํ ‘‘คิหี มํ ‘สมโณ’ติ ชานนฺตู’’ติ วญฺจนจิเตฺต สติปิ ภิกฺขูนํ วเญฺจตุกามตาย จ เตหิ สํวสิตุกามตาย จ อภาวา โทโส น ชาโตติฯ ‘‘โย เอวํ ปพฺพชติ, โส เถยฺยสํวาสโก นาม โหตี’’ติ วา ‘‘เอวํ กาตุํ น ลพฺภตี’’ติ วา ‘‘เอวํ ปพฺพชิโต สามเณโร น โหตี’’ติ วา น ชานาติ, วฎฺฎติฯ ‘‘ชานาติ, น วฎฺฎตี’’ติ จ ลิขิตํฯ ‘‘ราชทุพฺภิกฺขาทิอตฺถาย จีวรํ ปารุปิตฺวา สํวาสํ สาทิยโนฺต เถยฺยสํวาสโก โหติฯ กสฺมา? อสุทฺธจิตฺตตฺตาฯ ปุน โส ‘สุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ กริสฺสามิ, กิํ เอเตนาติ วิปฺปฎิสาเรน วา ปจฺจยาทิสุลภตาย วา กริสฺสามี’ติ สุทฺธมานโส หุตฺวา ยาว โส สํวาสํ นาธิวาเสติ, ตาว เถยฺยสํวาสโก น โหติฯ เอวํ สุทฺธจิตฺตุปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย สํวาสํ สาทิยติ เจ, เถยฺยสํวาสโก โหตีติ อธิเปฺปโตฯ อิตรถา สพฺพํ วิรุชฺฌตี’’ติ เอเกฯ
Rājabhayādīhi gahitaliṅgānaṃ ‘‘gihī maṃ ‘samaṇo’ti jānantū’’ti vañcanacitte satipi bhikkhūnaṃ vañcetukāmatāya ca tehi saṃvasitukāmatāya ca abhāvā doso na jātoti. ‘‘Yo evaṃ pabbajati, so theyyasaṃvāsako nāma hotī’’ti vā ‘‘evaṃ kātuṃ na labbhatī’’ti vā ‘‘evaṃ pabbajito sāmaṇero na hotī’’ti vā na jānāti, vaṭṭati. ‘‘Jānāti, na vaṭṭatī’’ti ca likhitaṃ. ‘‘Rājadubbhikkhādiatthāya cīvaraṃ pārupitvā saṃvāsaṃ sādiyanto theyyasaṃvāsako hoti. Kasmā? Asuddhacittattā. Puna so ‘suddhaṃ brahmacariyaṃ karissāmi, kiṃ etenāti vippaṭisārena vā paccayādisulabhatāya vā karissāmī’ti suddhamānaso hutvā yāva so saṃvāsaṃ nādhivāseti, tāva theyyasaṃvāsako na hoti. Evaṃ suddhacittuppattito paṭṭhāya saṃvāsaṃ sādiyati ce, theyyasaṃvāsako hotīti adhippeto. Itarathā sabbaṃ virujjhatī’’ti eke.
‘‘นาภิปรามาสาทินา ชาโต ตถารูปํ ปิตรํ ฆาเตติ เจ, ปิตุฆาตโก โหตี’’ติ วทนฺติฯ
‘‘Nābhiparāmāsādinā jāto tathārūpaṃ pitaraṃ ghāteti ce, pitughātako hotī’’ti vadanti.
โย ปน กายสํสเคฺคน สีลวินาสํ ปาเปติ, น โส ภิกฺขุนิทูสโก ‘‘ติณฺณํ มคฺคาน’’นฺติ วจนโตฯ ภิกฺขุนิํ ปน เอกโตอุปสมฺปนฺนํ ทูเสตฺวาปิ ภิกฺขุนิทูสโก โหติ, โสปิ ปาราชิโก โหตีติ วินิจฺฉโยฯ ภิกฺขุนี ปน เถยฺยสํวาสิกา, มาตุปิตุอรหนฺตฆาติกา, โลหิตุปฺปาทิกา, ติตฺถิยปกฺกนฺติกา จ โหติ, อฎฺฐกถาสุ อนาคตํ วินยธรา สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ
Yo pana kāyasaṃsaggena sīlavināsaṃ pāpeti, na so bhikkhunidūsako ‘‘tiṇṇaṃ maggāna’’nti vacanato. Bhikkhuniṃ pana ekatoupasampannaṃ dūsetvāpi bhikkhunidūsako hoti, sopi pārājiko hotīti vinicchayo. Bhikkhunī pana theyyasaṃvāsikā, mātupituarahantaghātikā, lohituppādikā, titthiyapakkantikā ca hoti, aṭṭhakathāsu anāgataṃ vinayadharā sampaṭicchanti.
‘‘สมฺปชานมุสาวาเท ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๒) วุตฺตํ มริยาทํ อวีติกฺกมโนฺต ตสฺมิญฺจ สิกฺขาปเท สิกฺขตีติ วุจฺจติฯ สิกฺขาปทนฺติ อสภาวธโมฺม สเงฺกโตว, อิธ ปญฺญตฺติ อธิเปฺปตาฯ ‘‘เมถุนสํวรเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ สมนฺตปาสาทิกายํ วุตฺตํ, ตํ ปนตฺถํ สนฺธายาติ ลิขิตํฯ สิกฺขาติ ตํ ตํ สิกฺขาปทํ, สิกฺขนภาเวน ปวตฺตจิตฺตุปฺปาโทฯ สาชีวนฺติ ปญฺญตฺติฯ ตทตฺถทสฺสนตฺถํ ปุเพฺพ ‘‘เมถุนสํวรเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ วุตฺตํฯ ยสฺมา สิกฺขาย คุณสมฺมตาย ปุญฺญสมฺมตาย ตนฺติยา อภาวโต โลกสฺส ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ ตตฺถ น สมฺภวติฯ ปตฺถนียา หิ สา, ตสฺมา ‘‘ยญฺจ สาชีวํ สมาปโนฺน, ตสฺมิํ ทุพฺพลภาวํ อปฺปกาเสตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ อาณาย หิ ทุพฺพลฺยํ สมฺภวตีติ อุปติโสฺสฯ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมปทํ สิกฺขาปจฺจกฺขานปทสฺส พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตาย วา ปริวารกภาเวน วา เวทิตพฺพํฯ อถ วา ยสฺมา สิกฺขาปจฺจกฺขานสฺส เอกจฺจํ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ อกตํ โหติ, ตสฺมา ตํ สนฺธาย ‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขายา’’ติ ปทสฺส อตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ อาหฯ ตตฺถ สิยา ยสฺมา น สพฺพํ ทุพฺพลฺยาวิกมฺมํ สิกฺขาปจฺจกฺขานํ, ตสฺมา ‘‘ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ ปฐมํ วตฺวา ตสฺส อตฺถนิยมตฺถํ ‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขายา’’ติ วตฺตพฺพนฺติ? ตํ น, กสฺมา? อตฺถานุกฺกมาภาวโตฯ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ หิ วุตฺตตฺตา ‘‘ยํ สิกฺขํ สมาปโนฺน, ตํ อปจฺจกฺขาย, ยญฺจ สาชีวํ สมาปโนฺน, ตตฺถ ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา’’ติ วุจฺจมาเน อนุกฺกเมเนว อโตฺถ วุโตฺต โหติ, น อญฺญถา, ตสฺมา อิทเมว ปฐมํ วุตฺตนฺติฯ เตสํเยวาติ จุทฺทสนฺนํฯ
‘‘Sampajānamusāvāde pācittiya’’nti (pāci. 2) vuttaṃ mariyādaṃ avītikkamanto tasmiñca sikkhāpade sikkhatīti vuccati. Sikkhāpadanti asabhāvadhammo saṅketova, idha paññatti adhippetā. ‘‘Methunasaṃvarassetaṃ adhivacana’’nti samantapāsādikāyaṃ vuttaṃ, taṃ panatthaṃ sandhāyāti likhitaṃ. Sikkhāti taṃ taṃ sikkhāpadaṃ, sikkhanabhāvena pavattacittuppādo. Sājīvanti paññatti. Tadatthadassanatthaṃ pubbe ‘‘methunasaṃvarassetaṃ adhivacana’’nti vuttaṃ. Yasmā sikkhāya guṇasammatāya puññasammatāya tantiyā abhāvato lokassa dubbalyāvikammaṃ tattha na sambhavati. Patthanīyā hi sā, tasmā ‘‘yañca sājīvaṃsamāpanno, tasmiṃ dubbalabhāvaṃ appakāsetvā’’ti vuttaṃ. Āṇāya hi dubbalyaṃ sambhavatīti upatisso. Dubbalyāvikammapadaṃ sikkhāpaccakkhānapadassa byañjanasiliṭṭhatāya vā parivārakabhāvena vā veditabbaṃ. Atha vā yasmā sikkhāpaccakkhānassa ekaccaṃ dubbalyāvikammaṃ akataṃ hoti, tasmā taṃ sandhāya ‘‘sikkhaṃ apaccakkhāyā’’ti padassa atthaṃ vivaranto ‘‘dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti āha. Tattha siyā yasmā na sabbaṃ dubbalyāvikammaṃ sikkhāpaccakkhānaṃ, tasmā ‘‘dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti paṭhamaṃ vatvā tassa atthaniyamatthaṃ ‘‘sikkhaṃ apaccakkhāyā’’ti vattabbanti? Taṃ na, kasmā? Atthānukkamābhāvato. ‘‘Sikkhāsājīvasamāpanno’’ti hi vuttattā ‘‘yaṃ sikkhaṃ samāpanno, taṃ apaccakkhāya, yañca sājīvaṃ samāpanno, tattha dubbalyaṃ anāvikatvā’’ti vuccamāne anukkameneva attho vutto hoti, na aññathā, tasmā idameva paṭhamaṃ vuttanti. Tesaṃyevāti cuddasannaṃ.
‘‘สิกฺขํ อปจฺจกฺขายา’’ติ สพฺพสิกฺขาปทานํ สาธารณตฺถํ ‘‘อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ
‘‘Sikkhaṃ apaccakkhāyā’’ti sabbasikkhāpadānaṃ sādhāraṇatthaṃ ‘‘ayamettha anupaññattī’’ti vuttaṃ.
ปเวสนํ นาม องฺคชาตํ ปเวเสนฺตสฺส องฺคชาเตน สมฺผุสนํฯ ปวิฎฺฐํ นาม ยาว มูลํ ปเวเสนฺตสฺส วิปฺปกตกาโล วายามกาโลฯ สุกฺกวิสฎฺฐิสมเย องฺคชาตํ ฐิตํ นามฯ อุทฺธรณํ นาม นีหรณกาโลฯ วินยคณฺฐิปเท ปน ‘‘วายามโต โอรมิตฺวา ฐานํ ฐิตํ นามา’’ติ วุตฺตํ, ตํ อสงฺกรโต ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ปเวสนปวิฎฺฐอุทฺธรณกาเลสุปิ สุกฺกวิสฎฺฐิ โหติเยวฯ สาทิยนํ นาม เสวนจิตฺตสฺส อธิวาสนจิตฺตสฺส อุปฺปาทนํฯ
Pavesanaṃ nāma aṅgajātaṃ pavesentassa aṅgajātena samphusanaṃ. Paviṭṭhaṃ nāma yāva mūlaṃ pavesentassa vippakatakālo vāyāmakālo. Sukkavisaṭṭhisamaye aṅgajātaṃ ṭhitaṃ nāma. Uddharaṇaṃ nāma nīharaṇakālo. Vinayagaṇṭhipade pana ‘‘vāyāmato oramitvā ṭhānaṃ ṭhitaṃ nāmā’’ti vuttaṃ, taṃ asaṅkarato dassanatthaṃ vuttaṃ. Pavesanapaviṭṭhauddharaṇakālesupi sukkavisaṭṭhi hotiyeva. Sādiyanaṃ nāma sevanacittassa adhivāsanacittassa uppādanaṃ.
อุภโตวิภเงฺค เอว ปญฺญตฺตานิ สนฺธาย ‘‘อิทญฺหิ สพฺพสิกฺขาปทานํ นิทาน’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘วินยธรปญฺจเมน คเณน อุปสมฺปทา’’ติ (มหาว. ๒๕๙) วุตฺตตฺตา อิธ ตติยา สหโยเคน วุตฺตาฯ ตสฺมา วีสติปิ ภิกฺขู เจ นิสินฺนา, ปญฺจโม วินยธโรว อิจฺฉิตโพฺพ, เอวํ สติ ปาราชิโก เจ วินยธโร, อุปสมฺปทากมฺมํ โกเปตีติ เจ? น, ปริวาราวสาเน กมฺมวเคฺค (ปริ. ๔๘๒ อาทโย) ยํ กมฺมวิปตฺติลกฺขณํ วุตฺตํ, ตสฺส ตสฺมิํ นตฺถิตายฯ ‘‘กถํ วตฺถุโต วา ญตฺติโต วา อนุสฺสาวนโต วา สีมโต วา ปริสโต วา’’ติ เอตฺตกํ วุตฺตํ, นนุ อยํ ‘‘ปริสโต วา’’ติ วจเนน สงฺคหิโตติ เจ? น, ‘‘ทฺวาทสหิ อากาเรหิ ปริสโต กมฺมานิ วิปชฺชนฺตี’’ติ (ปริ. ๔๘๗) สุตฺตสฺส หิ วิภเงฺค ตสฺส อนามฎฺฐตฺตาติ อยมโตฺถ ยสฺมา ตตฺถ ตตฺถ สรูเปน วุตฺตปาฬิวเสเนว สกฺกา ชานิตุํ, ตสฺมา นยมุขํ ทเสฺสตฺวา สํขิโตฺตติ ลิขิตํฯ ‘‘องฺค’’นฺติ ปทํ อุทฺธริตฺวา ‘‘สพฺพสิกฺขาปเทสุ อาปตฺตีนํ องฺคานงฺคํ เวทิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ, อิธ ปน ‘‘องฺค’’นฺติ วุตฺตํ, กสฺมา? สมุฎฺฐนาทีนํ ปริวาราทีสุ สเงฺขเปน อาคตตฺตา ตตฺถ คเหตฺวา อิธาปิ นิทฺทิฎฺฐานํ อนงฺคานํ ววตฺถานาภาวโต, สพฺพตฺถ สเงฺขปโต จ วิตฺถารโต จ อนงฺคเตฺต วุจฺจมาเน อติวิตฺถารตาย ตสฺมิํ ตสฺมิํ สิกฺขาปเท อนูนํ วตฺตพฺพโต จาติ เวทิตโพฺพ, สพฺพาปตฺตีนํ สงฺคาหกวเสนาติ อโตฺถฯ
Ubhatovibhaṅge eva paññattāni sandhāya ‘‘idañhi sabbasikkhāpadānaṃ nidāna’’nti vuttaṃ. ‘‘Vinayadharapañcamena gaṇena upasampadā’’ti (mahāva. 259) vuttattā idha tatiyā sahayogena vuttā. Tasmā vīsatipi bhikkhū ce nisinnā, pañcamo vinayadharova icchitabbo, evaṃ sati pārājiko ce vinayadharo, upasampadākammaṃ kopetīti ce? Na, parivārāvasāne kammavagge (pari. 482 ādayo) yaṃ kammavipattilakkhaṇaṃ vuttaṃ, tassa tasmiṃ natthitāya. ‘‘Kathaṃ vatthuto vā ñattito vā anussāvanato vā sīmato vā parisato vā’’ti ettakaṃ vuttaṃ, nanu ayaṃ ‘‘parisato vā’’ti vacanena saṅgahitoti ce? Na, ‘‘dvādasahi ākārehi parisato kammāni vipajjantī’’ti (pari. 487) suttassa hi vibhaṅge tassa anāmaṭṭhattāti ayamattho yasmā tattha tattha sarūpena vuttapāḷivaseneva sakkā jānituṃ, tasmā nayamukhaṃ dassetvā saṃkhittoti likhitaṃ. ‘‘Aṅga’’nti padaṃ uddharitvā ‘‘sabbasikkhāpadesu āpattīnaṃ aṅgānaṅgaṃ veditabba’’nti vuttaṃ, idha pana ‘‘aṅga’’nti vuttaṃ, kasmā? Samuṭṭhanādīnaṃ parivārādīsu saṅkhepena āgatattā tattha gahetvā idhāpi niddiṭṭhānaṃ anaṅgānaṃ vavatthānābhāvato, sabbattha saṅkhepato ca vitthārato ca anaṅgatte vuccamāne ativitthāratāya tasmiṃ tasmiṃ sikkhāpade anūnaṃ vattabbato cāti veditabbo, sabbāpattīnaṃ saṅgāhakavasenāti attho.
ยานิ สิกฺขาปทานิ ‘‘กิริยานี’’ติ วุจฺจนฺติ, เตสํ วเสน กายวาจา สห วิญฺญตฺติยา เวทิตพฺพา, อกิริยานํ วเสน วินา วิญฺญตฺติยา เวทิตพฺพาฯ จิตฺตํ ปเนตฺถ อปฺปมาณํ ภูตาโรจนสมุฎฺฐานสฺส กิริยตฺตา, อจิตฺตกตฺตา จฯ ตตฺถ กิริยา อาปตฺติยา อนงฺคนฺตรจิตฺตสมุฎฺฐานา เวทิตพฺพาฯ อวิญฺญตฺติชนกมฺปิ เอกจฺจํ พาหุลฺลนเยน ‘‘กิริย’’นฺติ วุจฺจติ ยเถว ปฐมปาราชิกํฯ วิญฺญตฺติยา อภาเวปิ ‘‘โส เจ สาทิยติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺส, น สาทิยติ, อนาปตฺตี’’ติ หิ วุตฺตํ, วิญฺญตฺติสงฺขาตาปิ กิริยา วินา เสวนจิเตฺตน น โหติ วุตฺตจิตฺตชตฺตา, วิการรูปตฺตา, จิตฺตานุปริวตฺติกตฺตา จฯ ตสฺมา กิริยาสงฺขาตมิทํ วิญฺญตฺติรูปํ, อิตรํ จิตฺตชรูปํ วิย ชนกจิเตฺตน วินา น ติฎฺฐติ, อิตรํ สทฺทายตนํ ติฎฺฐติ, ตสฺมา กิริยาย สติ เอกนฺตโต ตชฺชนกํ เสวนจิตฺตํ อตฺถิ เอวาติ กตฺวา น สาทิยติ, อนาปตฺตีติ น ยุชฺชตีติฯ ยสฺมา วิญฺญตฺติชนกมฺปิ สมานํ เสวนจิตฺตํ น สพฺพกาลํ วิญฺญตฺติํ ชเนติ, ตสฺมา วินาปิ วิญฺญตฺติยา สยํ อุปฺปชฺชตีติ กตฺวา ‘‘สาทิยติ, อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ นุปฺปชฺชติ เจ, น สาทิยติ นาม, ตสฺส อนาปตฺติฯ เตเนว ภควา ‘‘กิํจิโตฺต ตฺวํ ภิกฺขู’’ติ (ปารา. ๑๓๕) จิเตฺตเนว อาปตฺติํ ปริจฺฉินฺทติ, น กิริยายาติ เวทิตพฺพํฯ
Yāni sikkhāpadāni ‘‘kiriyānī’’ti vuccanti, tesaṃ vasena kāyavācā saha viññattiyā veditabbā, akiriyānaṃ vasena vinā viññattiyā veditabbā. Cittaṃ panettha appamāṇaṃ bhūtārocanasamuṭṭhānassa kiriyattā, acittakattā ca. Tattha kiriyā āpattiyā anaṅgantaracittasamuṭṭhānā veditabbā. Aviññattijanakampi ekaccaṃ bāhullanayena ‘‘kiriya’’nti vuccati yatheva paṭhamapārājikaṃ. Viññattiyā abhāvepi ‘‘so ce sādiyati, āpatti pārājikassa, na sādiyati, anāpattī’’ti hi vuttaṃ, viññattisaṅkhātāpi kiriyā vinā sevanacittena na hoti vuttacittajattā, vikārarūpattā, cittānuparivattikattā ca. Tasmā kiriyāsaṅkhātamidaṃ viññattirūpaṃ, itaraṃ cittajarūpaṃ viya janakacittena vinā na tiṭṭhati, itaraṃ saddāyatanaṃ tiṭṭhati, tasmā kiriyāya sati ekantato tajjanakaṃ sevanacittaṃ atthi evāti katvā na sādiyati, anāpattīti na yujjatīti. Yasmā viññattijanakampi samānaṃ sevanacittaṃ na sabbakālaṃ viññattiṃ janeti, tasmā vināpi viññattiyā sayaṃ uppajjatīti katvā ‘‘sādiyati, āpatti pārājikassā’’ti vuttaṃ. Nuppajjati ce, na sādiyati nāma, tassa anāpatti. Teneva bhagavā ‘‘kiṃcitto tvaṃ bhikkhū’’ti (pārā. 135) citteneva āpattiṃ paricchindati, na kiriyāyāti veditabbaṃ.
เอตฺถ สมุฎฺฐานคฺคหณํ กตฺตพฺพโต วา อกตฺตพฺพโต วา กายาทิเภทาเปกฺขเมว อาปตฺติํ อาปชฺชติ, น อญฺญถาติ ทสฺสนปฺปโยชนํฯ เตสุ กิริยาคฺคหณํ กายาทีนํ สวิญฺญตฺติกาวิญฺญตฺติกเภททสฺสนปฺปโยชนํฯ สญฺญาคฺคหณํ อาปตฺติยา องฺคานงฺคจิตฺตวิเสสทสฺสนปฺปโยชนํฯ เตน ยํ จิตฺตํ กิริยลกฺขเณ วา อกิริยลกฺขเณ วา สนฺนิหิตํ, ยโต วา กิริยา วา อกิริยา วา โหติ, น ตํ อวิเสเสน อาปตฺติยา องฺคํ วา อนงฺคํ วา โหติฯ กินฺตุ ยาย สญฺญาย ‘‘สญฺญาวิโมกฺข’’นฺติ วุจฺจติ, ตาย สมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ องฺคํ, อิตรํ อนงฺคนฺติ ทสฺสิตํ โหติฯ อิทานิ เยน จิเตฺตน สิกฺขาปทํ สจิตฺตกํ โหติ, ตทภาวา อจิตฺตกํ, เตน ตสฺส อวิเสเสน สาวชฺชตาย ‘‘โลกวชฺชเมวา’’ติ วุตฺตํฯ กินฺตุ สาวชฺชํเยว สมานํ เอกจฺจํ โลกวชฺชํ, เอกจฺจํ ปณฺณตฺติวชฺชนฺติ ทสฺสนปฺปโยชนํ จิตฺตโลกวชฺชคฺคหณํฯ จิตฺตเมว ยสฺมา ‘‘โลกวชฺช’’นฺติ วุจฺจติ, ตสฺมา มโนกมฺมมฺปิ สิยา อาปตฺตีติ อนิฎฺฐปฺปสงฺคนิวารณปฺปโยชนํ กมฺมคฺคหณํฯ
Ettha samuṭṭhānaggahaṇaṃ kattabbato vā akattabbato vā kāyādibhedāpekkhameva āpattiṃ āpajjati, na aññathāti dassanappayojanaṃ. Tesu kiriyāggahaṇaṃ kāyādīnaṃ saviññattikāviññattikabhedadassanappayojanaṃ. Saññāggahaṇaṃ āpattiyā aṅgānaṅgacittavisesadassanappayojanaṃ. Tena yaṃ cittaṃ kiriyalakkhaṇe vā akiriyalakkhaṇe vā sannihitaṃ, yato vā kiriyā vā akiriyā vā hoti, na taṃ avisesena āpattiyā aṅgaṃ vā anaṅgaṃ vā hoti. Kintu yāya saññāya ‘‘saññāvimokkha’’nti vuccati, tāya sampayuttaṃ cittaṃ aṅgaṃ, itaraṃ anaṅganti dassitaṃ hoti. Idāni yena cittena sikkhāpadaṃ sacittakaṃ hoti, tadabhāvā acittakaṃ, tena tassa avisesena sāvajjatāya ‘‘lokavajjamevā’’ti vuttaṃ. Kintu sāvajjaṃyeva samānaṃ ekaccaṃ lokavajjaṃ, ekaccaṃ paṇṇattivajjanti dassanappayojanaṃ cittalokavajjaggahaṇaṃ. Cittameva yasmā ‘‘lokavajja’’nti vuccati, tasmā manokammampi siyā āpattīti aniṭṭhappasaṅganivāraṇappayojanaṃ kammaggahaṇaṃ.
ยํ ปเนตฺถ อกิริยลกฺขณํ กมฺมํ, ตํ กุสลตฺติกวินิมุตฺตํ สิยาติ อนิฎฺฐปฺปสงฺคนิวารณปฺปโยชนํ กุสลตฺติกคฺคหณํฯ ยา ปเนตฺถ อพฺยากตาปตฺติ, ตํ เอกจฺจํ อเวทนมฺปิ นิโรธํ สมาปโนฺน อาปชฺชตีติ เวทนาตฺติกํ เอตฺถ น ลพฺภตีติ อนิฎฺฐปฺปสงฺคนิวารณตฺถํ เวทนาตฺติกคฺคหณํฯ สิกฺขาปทญฺหิ สจิตฺตกปุคฺคลวเสน ‘‘ติจิตฺตํ ติเวทน’’นฺติ ลทฺธโวหารํ อจิตฺตเกนาปนฺนมฺปิ ‘‘ติจิตฺตํ ติเวทน’’มิเจว วุจฺจติฯ ตตฺริทํ สาธกสุตฺตํ – ‘‘อตฺถาปตฺติ อจิตฺตโก อาปชฺชติ อจิตฺตโก วุฎฺฐาติ (ปริ. ๓๒๔), อตฺถาปตฺติ กุสลจิโตฺต อาปชฺชติ กุสลจิโตฺต วุฎฺฐาตี’’ติอาทิ (ปริ. ๔๗๐)ฯ ‘‘สจิตฺตกํ อาปตฺติทีปนํ, สญฺญาวิโมกฺขํ อนาปตฺติทีปนํ, อจิตฺตกํ วตฺถุอชานนํ, โนสญฺญาวิโมกฺขํ วีติกฺกมนาชานนํฯ อิทเมว เตสํ นานาตฺต’’นฺติ (วชิร. ฎี. ปาราชิก ๖๑-๖๖ ปกิณฺณกกถาวณฺณนา) ลิขิตํฯ
Yaṃ panettha akiriyalakkhaṇaṃ kammaṃ, taṃ kusalattikavinimuttaṃ siyāti aniṭṭhappasaṅganivāraṇappayojanaṃ kusalattikaggahaṇaṃ. Yā panettha abyākatāpatti, taṃ ekaccaṃ avedanampi nirodhaṃ samāpanno āpajjatīti vedanāttikaṃ ettha na labbhatīti aniṭṭhappasaṅganivāraṇatthaṃ vedanāttikaggahaṇaṃ. Sikkhāpadañhi sacittakapuggalavasena ‘‘ticittaṃ tivedana’’nti laddhavohāraṃ acittakenāpannampi ‘‘ticittaṃ tivedana’’miceva vuccati. Tatridaṃ sādhakasuttaṃ – ‘‘atthāpatti acittako āpajjati acittako vuṭṭhāti (pari. 324), atthāpatti kusalacitto āpajjati kusalacitto vuṭṭhātī’’tiādi (pari. 470). ‘‘Sacittakaṃ āpattidīpanaṃ, saññāvimokkhaṃ anāpattidīpanaṃ, acittakaṃ vatthuajānanaṃ, nosaññāvimokkhaṃ vītikkamanājānanaṃ. Idameva tesaṃ nānātta’’nti (vajira. ṭī. pārājika 61-66 pakiṇṇakakathāvaṇṇanā) likhitaṃ.
สจิตฺตกปเกฺขติ เอตฺถ อยํ ตาว คณฺฐิปทนโย – สจิตฺตกปเกฺขติ สุราปานาทิอจิตฺตเก สนฺธาย วุตฺตํฯ สจิตฺตเกสุ ปน ยํ เอกนฺตมกุสเลเนว สมุฎฺฐาติ, ตญฺจ อุภยํ โลกวชฺชํ นามฯ สุราปานสฺมิญฺหิ ‘‘สุรา’’ติ วา ‘‘ปาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วา ชานิตฺวา ปิวเน อกุสลเมวาติฯ ตตฺถ ‘‘น วฎฺฎตีติ ชานิตฺวา’’ติ วุตฺตวจนํ น ยุชฺชติ ปณฺณตฺติวชฺชสฺสปิ โลกวชฺชตาปสงฺคโตฯ อิมํ อนิฎฺฐปฺปสงฺคํ ปริหริตุกามตาย จ วชิรพุทฺธิเตฺถเรน ลิขิตํ – ‘‘อิธ ‘สจิตฺตก’นฺติ จ ‘อจิตฺตก’นฺติ จ วิจารณา วตฺถุวิชานเน เอว โหติ, น ปญฺญตฺติวิชานเนฯ ยทิ ปญฺญตฺติวิชานเน โหติ , สพฺพสิกฺขาปทานิ โลกวชฺชาเนว สิยุํ, น จ สพฺพสิกฺขาปทานิ โลกวชฺชานิฯ ตสฺมา วตฺถุวิชานเน เอว โหตีติ อิทํ ยุชฺชติฯ กสฺมา? ยสฺมา เสขิเยสุ ปญฺญตฺติวิชานนเมว ปมาณํ, น วตฺถุมตฺตวิชานน’’นฺติฯ อยํ ปเนตฺถ อโตฺถ สิกฺขาปทสีเสน อาปตฺติํ คเหตฺวา ยสฺส สิกฺขาปทสฺส สจิตฺตกสฺส จิตฺตํ อกุสลเมว โหติ, ตํ โลกวชฺชํ, สจิตฺตกาจิตฺตกสงฺขาตสฺส อจิตฺตกสฺส จ สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมว โหติ, ตมฺปิ สุราปานาทิโลกวชฺชนฺติ อิมมตฺถํ สนฺธาย ‘‘ยสฺสา สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมว โหติ, อยํ โลกวชฺชา นามา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘สจิตฺตกปเกฺข’’ติ หิ อิทํ วจนํ อจิตฺตกํ สนฺธายาหฯ น หิ เอกํสโต สจิตฺตกาย ‘‘สจิตฺตกปเกฺข’’ติ วิเสสเน ปโยชนํ อตฺถีติ, เอวํ สเนฺตปิ อนิยเมน วุตฺตญฺจ นิยมวเสน เอว คเหตพฺพนฺติ อโตฺถฯ
Sacittakapakkheti ettha ayaṃ tāva gaṇṭhipadanayo – sacittakapakkheti surāpānādiacittake sandhāya vuttaṃ. Sacittakesu pana yaṃ ekantamakusaleneva samuṭṭhāti, tañca ubhayaṃ lokavajjaṃ nāma. Surāpānasmiñhi ‘‘surā’’ti vā ‘‘pātuṃ na vaṭṭatī’’ti vā jānitvā pivane akusalamevāti. Tattha ‘‘na vaṭṭatīti jānitvā’’ti vuttavacanaṃ na yujjati paṇṇattivajjassapi lokavajjatāpasaṅgato. Imaṃ aniṭṭhappasaṅgaṃ pariharitukāmatāya ca vajirabuddhittherena likhitaṃ – ‘‘idha ‘sacittaka’nti ca ‘acittaka’nti ca vicāraṇā vatthuvijānane eva hoti, na paññattivijānane. Yadi paññattivijānane hoti , sabbasikkhāpadāni lokavajjāneva siyuṃ, na ca sabbasikkhāpadāni lokavajjāni. Tasmā vatthuvijānane eva hotīti idaṃ yujjati. Kasmā? Yasmā sekhiyesu paññattivijānanameva pamāṇaṃ, na vatthumattavijānana’’nti. Ayaṃ panettha attho sikkhāpadasīsena āpattiṃ gahetvā yassa sikkhāpadassa sacittakassa cittaṃ akusalameva hoti, taṃ lokavajjaṃ, sacittakācittakasaṅkhātassa acittakassa ca sacittakapakkhe cittaṃ akusalameva hoti, tampi surāpānādilokavajjanti imamatthaṃ sandhāya ‘‘yassā sacittakapakkhe cittaṃ akusalameva hoti, ayaṃ lokavajjā nāmā’’ti vuttaṃ. ‘‘Sacittakapakkhe’’ti hi idaṃ vacanaṃ acittakaṃ sandhāyāha. Na hi ekaṃsato sacittakāya ‘‘sacittakapakkhe’’ti visesane payojanaṃ atthīti, evaṃ santepi aniyamena vuttañca niyamavasena eva gahetabbanti attho.
ติรจฺฉานานํ ปนาติ ปน-สเทฺทน ถุลฺลจฺจยาทิการํ นิวเตฺตติฯ กิริยาติ เอตฺถ ‘‘ฐิตํ สาทิยตี’’ติ (ปารา. ๕๘) วุตฺตตฺตา ตํ กถนฺติ เจ? ‘‘สาทิยตี’’ติ วุตฺตตฺตา กิริยา เอวฯ เอวํ สเนฺต ‘‘กายกมฺมํ มโนกมฺม’’นฺติ วตฺตพฺพนฺติ เจ? น, ปจุรโวหารวเสน ‘‘กายกมฺม’’นฺติ วุตฺตตฺตาฯ อุพฺภชาณุมณฺฑลิกาย ลพฺภติ เอวาติ ลิขิตํฯ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน สํสเนฺทตฺวา คเหตพฺพํฯ ‘‘ทุนฺนิกฺขิตฺตสฺส, ภิกฺขเว, ปทพฺยญฺชนสฺส อโตฺถปิ ทุนฺนโย โหตี’’ติ (อ. นิ. ๒.๒๐) วทเนฺตนาปิ อตฺถสฺส สุขคฺคหณตฺถเมว ปทพฺยญฺชนสฺส สุนิกฺขิตฺตภาโว อิจฺฉิโต, น อกฺขรวจนาย, ตสฺมา อาห ‘‘อตฺถญฺหิ นาโถ สรณํ อโวจา’’ติอาทิฯ
Tiracchānānaṃ panāti pana-saddena thullaccayādikāraṃ nivatteti. Kiriyāti ettha ‘‘ṭhitaṃ sādiyatī’’ti (pārā. 58) vuttattā taṃ kathanti ce? ‘‘Sādiyatī’’ti vuttattā kiriyā eva. Evaṃ sante ‘‘kāyakammaṃ manokamma’’nti vattabbanti ce? Na, pacuravohāravasena ‘‘kāyakamma’’nti vuttattā. Ubbhajāṇumaṇḍalikāya labbhati evāti likhitaṃ. Pubbe vuttanayena saṃsandetvā gahetabbaṃ. ‘‘Dunnikkhittassa, bhikkhave, padabyañjanassa atthopi dunnayo hotī’’ti (a. ni. 2.20) vadantenāpi atthassa sukhaggahaṇatthameva padabyañjanassa sunikkhittabhāvo icchito, na akkharavacanāya, tasmā āha ‘‘atthañhi nātho saraṇaṃ avocā’’tiādi.
ปฐมปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.