Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมานวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Vimānavatthu-aṭṭhakathā

    ๑. อิตฺถิวิมานํ

    1. Itthivimānaṃ

    ๑. ปีฐวโคฺค

    1. Pīṭhavaggo

    ๑. ปฐมปีฐวิมานวณฺณนา

    1. Paṭhamapīṭhavimānavaṇṇanā

    ตตฺถ ปฐมวตฺถุสฺส อยํ อฎฺฐุปฺปตฺติ – ภควติ สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม รญฺญา ปเสนทินา โกสเลน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สตฺตาหํ อสทิสทาเน ปวตฺติเต ตทนุรูเปน อนาถปิณฺฑิเกน มหาเสฎฺฐินา ตโย ทิวเส, ตถา วิสาขาย มหาอุปาสิกาย มหาทาเน ทิเนฺน อสทิสทานสฺส ปวตฺติ สกลชมฺพุทีเป ปากฎา อโหสิฯ อถ มหาชโน ตตฺถ ตตฺถ กถํ สมุฎฺฐาเปสิ ‘‘กิํ นุ โข เอวํ อุฬารวิภวปริจฺจาเคเนว ทานํ มหปฺผลตรํ ภวิสฺสติ, อุทาหุ อตฺตโน วิภวานุรูปปริจฺจาเคนาปี’’ติฯ ภิกฺขู ตํ กถํ สุตฺวา ภควโต อาโรเจสุํฯ ภควา ‘‘น, ภิกฺขเว, เทยฺยธมฺมสมฺปตฺติยาว ทานํ มหปฺผลตรํ ภวิสฺสติ, อถ โข จิตฺตปสาทสมฺปตฺติยา จ เขตฺตสมฺปตฺติยา จ, ตสฺมา กุณฺฑกมุฎฺฐิมตฺตมฺปิ ปิโลติกามตฺตมฺปิ ติณปณฺณสนฺถารมตฺตมฺปิ ปูติมุตฺตหรีตกมตฺตมฺปิ วิปฺปสเนฺนน เจตสา ทกฺขิเณยฺยปุคฺคเล ปติฎฺฐาปิตํ, ตมฺปิ มหปฺผลตรํ ภวิสฺสติ มหาชุติกํ มหาวิปฺผาร’’นฺติ อาหฯ ตถา หิ วุตฺตํ สเกฺกน เทวานมิเนฺทน –

    Tattha paṭhamavatthussa ayaṃ aṭṭhuppatti – bhagavati sāvatthiyaṃ viharante jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme raññā pasenadinā kosalena buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sattāhaṃ asadisadāne pavattite tadanurūpena anāthapiṇḍikena mahāseṭṭhinā tayo divase, tathā visākhāya mahāupāsikāya mahādāne dinne asadisadānassa pavatti sakalajambudīpe pākaṭā ahosi. Atha mahājano tattha tattha kathaṃ samuṭṭhāpesi ‘‘kiṃ nu kho evaṃ uḷāravibhavapariccāgeneva dānaṃ mahapphalataraṃ bhavissati, udāhu attano vibhavānurūpapariccāgenāpī’’ti. Bhikkhū taṃ kathaṃ sutvā bhagavato ārocesuṃ. Bhagavā ‘‘na, bhikkhave, deyyadhammasampattiyāva dānaṃ mahapphalataraṃ bhavissati, atha kho cittapasādasampattiyā ca khettasampattiyā ca, tasmā kuṇḍakamuṭṭhimattampi pilotikāmattampi tiṇapaṇṇasanthāramattampi pūtimuttaharītakamattampi vippasannena cetasā dakkhiṇeyyapuggale patiṭṭhāpitaṃ, tampi mahapphalataraṃ bhavissati mahājutikaṃ mahāvipphāra’’nti āha. Tathā hi vuttaṃ sakkena devānamindena –

    ‘‘นตฺถิ จิเตฺต ปสนฺนมฺหิ, อปฺปิกา นาม ทกฺขิณา;

    ‘‘Natthi citte pasannamhi, appikā nāma dakkhiṇā;

    ตถาคเต วา สมฺพุเทฺธ, อถ วา ตสฺส สาวเก’’ติฯ (วิ. ว. ๘๐๔);

    Tathāgate vā sambuddhe, atha vā tassa sāvake’’ti. (vi. va. 804);

    สา ปเนสา กถา สกลชมฺพุทีเป วิตฺถาริกา อโหสิฯ มนุสฺสา สมณพฺราหฺมณกปณทฺธิกวณิพฺพกยาจกานํ ยถาวิภวํ ทานานิ เทนฺติ, เคหงฺคเณ ปานียํ อุปฎฺฐเปนฺติ, ทฺวารโกฎฺฐเกสุ อาสนานิ ฐเปนฺติฯ เตน จ สมเยน อญฺญตโร ปิณฺฑปาตจาริโก เถโร ปาสาทิเกน อภิกฺกเนฺตน ปฎิกฺกเนฺตน อาโลกิเตน วิโลกิเตน สมิญฺชิเตน ปสาริเตน โอกฺขิตฺตจกฺขุ อิริยาปถสมฺปโนฺน ปิณฺฑาย จรโนฺต อุปกเฎฺฐ กาเล อญฺญตรํ เคหํ สมฺปาปุณิฯ ตเตฺถกา กุลธีตา สทฺธา ปสนฺนา เถรํ ปสฺสิตฺวา สญฺชาตคารวพหุมานา อุฬารปีติโสมนสฺสํ อุปฺปาเทตฺวา เคหํ ปเวเสตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา อตฺตโน ปีฐํ ปญฺญาเปตฺวา ตสฺส อุปริ ปีตกํ มฎฺฐวตฺถํ อตฺถริตฺวา อทาสิฯ อถ เถเร ตตฺถ นิสิเนฺน ‘‘อิทํ มยฺหํ อุตฺตมํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ อุปฎฺฐิต’’นฺติ ปสนฺนจิตฺตา ยถาวิภวํ อาหาเรน ปริวิสิ, พีชนิญฺจ คเหตฺวา พีชิฯ โส เถโร กตภตฺตกิโจฺจ อาสนทานโภชนทานาทิปฎิสํยุตฺตํ ธมฺมิํ กถํ กเถตฺวา ปกฺกามิฯ สา อิตฺถี ตํ อตฺตโน ทานํ ตญฺจ ธมฺมกถํ ปจฺจเวกฺขนฺตี ปีติยา นิรนฺตรํ ผุฎฺฐสรีรา หุตฺวา ตํ ปีฐมฺปิ เถรสฺส อทาสิฯ

    Sā panesā kathā sakalajambudīpe vitthārikā ahosi. Manussā samaṇabrāhmaṇakapaṇaddhikavaṇibbakayācakānaṃ yathāvibhavaṃ dānāni denti, gehaṅgaṇe pānīyaṃ upaṭṭhapenti, dvārakoṭṭhakesu āsanāni ṭhapenti. Tena ca samayena aññataro piṇḍapātacāriko thero pāsādikena abhikkantena paṭikkantena ālokitena vilokitena samiñjitena pasāritena okkhittacakkhu iriyāpathasampanno piṇḍāya caranto upakaṭṭhe kāle aññataraṃ gehaṃ sampāpuṇi. Tatthekā kuladhītā saddhā pasannā theraṃ passitvā sañjātagāravabahumānā uḷārapītisomanassaṃ uppādetvā gehaṃ pavesetvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā attano pīṭhaṃ paññāpetvā tassa upari pītakaṃ maṭṭhavatthaṃ attharitvā adāsi. Atha there tattha nisinne ‘‘idaṃ mayhaṃ uttamaṃ puññakkhettaṃ upaṭṭhita’’nti pasannacittā yathāvibhavaṃ āhārena parivisi, bījaniñca gahetvā bīji. So thero katabhattakicco āsanadānabhojanadānādipaṭisaṃyuttaṃ dhammiṃ kathaṃ kathetvā pakkāmi. Sā itthī taṃ attano dānaṃ tañca dhammakathaṃ paccavekkhantī pītiyā nirantaraṃ phuṭṭhasarīrā hutvā taṃ pīṭhampi therassa adāsi.

    ตโต อปเรน สมเยน อญฺญตเรน โรเคน ผุฎฺฐา กาลํ กตฺวา ตาวติํสภวเน ทฺวาทสโยชนิเก กนกวิมาเน นิพฺพตฺติฯ อจฺฉราสหสฺสํ จสฺสา ปริวาโร อโหสิ, ปีฐทานานุภาเวน จสฺสา โยชนิโก กนกปลฺลโงฺก นิพฺพตฺติ อากาสจารี สีฆชโว อุปริ กูฎาคารสณฺฐาโน, เตน ตํ ‘‘ปีฐวิมาน’’นฺติ วุจฺจติฯ ตญฺหิ สุวณฺณวณฺณํ วตฺถํ อตฺถริตฺวา ทินฺนตฺตา กมฺมสริกฺขตํ วิภาเวนฺตํ สุวณฺณมยํ อโหสิ, ปีติเวคสฺส พลวภาเวน สีฆชวํ, ทกฺขิเณยฺยสฺส จิตฺตรุจิวเสน ทินฺนตฺตา ยถารุจิคามี , ปสาทสมฺปตฺติยา อุฬารตาย สพฺพโสว ปาสาทิกํ โสภาติสยยุตฺตญฺจ อโหสิฯ

    Tato aparena samayena aññatarena rogena phuṭṭhā kālaṃ katvā tāvatiṃsabhavane dvādasayojanike kanakavimāne nibbatti. Accharāsahassaṃ cassā parivāro ahosi, pīṭhadānānubhāvena cassā yojaniko kanakapallaṅko nibbatti ākāsacārī sīghajavo upari kūṭāgārasaṇṭhāno, tena taṃ ‘‘pīṭhavimāna’’nti vuccati. Tañhi suvaṇṇavaṇṇaṃ vatthaṃ attharitvā dinnattā kammasarikkhataṃ vibhāventaṃ suvaṇṇamayaṃ ahosi, pītivegassa balavabhāvena sīghajavaṃ, dakkhiṇeyyassa cittarucivasena dinnattā yathārucigāmī , pasādasampattiyā uḷāratāya sabbasova pāsādikaṃ sobhātisayayuttañca ahosi.

    อเถกสฺมิํ อุสฺสวทิวเส เทวตาสุ ยถาสกํ ทิพฺพานุภาเวน อุยฺยานกีฬนตฺถํ นนฺทนวนํ คจฺฉนฺตีสุ สา เทวตา ทิพฺพวตฺถนิวตฺถา ทิพฺพาภรณวิภูสิตา อจฺฉราสหสฺสปริวารา สกภวนา นิกฺขมิตฺวา ตํ ปีฐวิมานํ อภิรุยฺห มหติยา เทวิทฺธิยา มหเนฺตน สิริโสภเคฺคน สมนฺตโต จโนฺท วิย สูริโย วิย จ โอภาเสนฺตี อุยฺยานํ คจฺฉติฯ เตน จ สมเยน อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เทวจาริกํ จรโนฺต ตาวติํสภวนํ อุปคโต ตสฺสา เทวตาย อวิทูเร อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ อถ สา เทวตา ตํ ทิสฺวา สมุปฺปนฺนพลวปสาทคารวา สหสา ปลฺลงฺกโต โอรุยฺห เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห นมสฺสมานา อฎฺฐาสิฯ เถโร กิญฺจาปิ ตาย อเญฺญหิ จ สเตฺตหิ ยถูปจิตํ กุสลากุสลํ อตฺตโน ยถากมฺมูปคญาณานุภาเวน หตฺถตเล ฐปิตอามลกํ วิย ปญฺญาพลเภเทน ปจฺจกฺขโต ปสฺสติ, ตถาปิ ยสฺมา เทวตานํ อุปปตฺติสมนนฺตรเมว ‘‘กุโต นุ โข อหํ จวิตฺวา อิธูปปนฺนา, กิํ นุ โข กุสลกมฺมํ กตฺวา อิมํ สมฺปตฺติํ ปฎิลภามี’’ติ อตีตภวํ ยถูปจิตญฺจ กมฺมํ อุทฺทิสฺส เยภุเยฺยน ธมฺมตาสิทฺธา อุปธารณา , ตสฺสา จ ยาถาวโต ญาณํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ตาย เทวตาย กตกมฺมํ กถาเปตฺวา สเทวกสฺส โลกสฺส กมฺมผลํ ปจฺจกฺขํ กาตุกาโม –

    Athekasmiṃ ussavadivase devatāsu yathāsakaṃ dibbānubhāvena uyyānakīḷanatthaṃ nandanavanaṃ gacchantīsu sā devatā dibbavatthanivatthā dibbābharaṇavibhūsitā accharāsahassaparivārā sakabhavanā nikkhamitvā taṃ pīṭhavimānaṃ abhiruyha mahatiyā deviddhiyā mahantena sirisobhaggena samantato cando viya sūriyo viya ca obhāsentī uyyānaṃ gacchati. Tena ca samayena āyasmā mahāmoggallāno heṭṭhā vuttanayeneva devacārikaṃ caranto tāvatiṃsabhavanaṃ upagato tassā devatāya avidūre attānaṃ dassesi. Atha sā devatā taṃ disvā samuppannabalavapasādagāravā sahasā pallaṅkato oruyha theraṃ upasaṅkamitvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ paggayha namassamānā aṭṭhāsi. Thero kiñcāpi tāya aññehi ca sattehi yathūpacitaṃ kusalākusalaṃ attano yathākammūpagañāṇānubhāvena hatthatale ṭhapitaāmalakaṃ viya paññābalabhedena paccakkhato passati, tathāpi yasmā devatānaṃ upapattisamanantarameva ‘‘kuto nu kho ahaṃ cavitvā idhūpapannā, kiṃ nu kho kusalakammaṃ katvā imaṃ sampattiṃ paṭilabhāmī’’ti atītabhavaṃ yathūpacitañca kammaṃ uddissa yebhuyyena dhammatāsiddhā upadhāraṇā , tassā ca yāthāvato ñāṇaṃ uppajjati, tasmā tāya devatāya katakammaṃ kathāpetvā sadevakassa lokassa kammaphalaṃ paccakkhaṃ kātukāmo –

    .

    1.

    ‘‘ปีฐํ เต โสวณฺณมยํ อุฬารํ, มโนชวํ คจฺฉติ เยนกามํ;

    ‘‘Pīṭhaṃ te sovaṇṇamayaṃ uḷāraṃ, manojavaṃ gacchati yenakāmaṃ;

    อลงฺกเต มลฺยธเร สุวเตฺถ, โอภาสสิ วิชฺชุริวพฺภ กูฎํฯ

    Alaṅkate malyadhare suvatthe, obhāsasi vijjurivabbha kūṭaṃ.

    .

    2.

    ‘‘เกน เตตาทิโส วโณฺณ, เกน เต อิธ มิชฺฌติ;

    ‘‘Kena tetādiso vaṇṇo, kena te idha mijjhati;

    อุปฺปชฺชนฺติ จ เต โภคา, เย เกจิ มนโส ปิยาฯ

    Uppajjanti ca te bhogā, ye keci manaso piyā.

    .

    3.

    ‘‘ปุจฺฉามิ ตํ เทวิ มหานุภาเว,

    ‘‘Pucchāmi taṃ devi mahānubhāve,

    มนุสฺสภูตา กิมกาสิ ปุญฺญํ;

    Manussabhūtā kimakāsi puññaṃ;

    เกนาสิ เอวํ ชลิตานุภาวา,

    Kenāsi evaṃ jalitānubhāvā,

    วโณฺณ จ เต สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ อาห –

    Vaṇṇo ca te sabbadisā pabhāsatī’’ti. āha –

    .

    4.

    ‘‘สา เทวตา อตฺตมนา, โมคฺคลฺลาเนน ปุจฺฉิตา;

    ‘‘Sā devatā attamanā, moggallānena pucchitā;

    ปญฺหํ ปุฎฺฐา วิยากาสิ, ยสฺส กมฺมสฺสิทํ ผลํ’’ฯ

    Pañhaṃ puṭṭhā viyākāsi, yassa kammassidaṃ phalaṃ’’.

    .

    5.

    ‘‘อหํ มนุเสฺสสุ มนุสฺสภูตา, อพฺภาคตานาสนกํ อทาสิํ;

    ‘‘Ahaṃ manussesu manussabhūtā, abbhāgatānāsanakaṃ adāsiṃ;

    อภิวาทยิํ อญฺชลิกํ อกาสิํ, ยถานุภาวญฺจ อทาสิ ทานํฯ

    Abhivādayiṃ añjalikaṃ akāsiṃ, yathānubhāvañca adāsi dānaṃ.

    .

    6.

    ‘‘เตน เมตาทิโส วโณฺณ, เตน เม อิธ มิชฺฌติ;

    ‘‘Tena metādiso vaṇṇo, tena me idha mijjhati;

    อุปฺปชฺชนฺติ จ เม โภคา, เย เกจิ มนโส ปิยาฯ

    Uppajjanti ca me bhogā, ye keci manaso piyā.

    .

    7.

    ‘‘อกฺขามิ เต ภิกฺขุ มหานุภาว, มนุสฺสภูตา ยมกาสิ ปุญฺญํ;

    ‘‘Akkhāmi te bhikkhu mahānubhāva, manussabhūtā yamakāsi puññaṃ;

    เตนมฺหิ เอวํ ชลิตานุภาวา, วโณฺณ จ เม สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ

    Tenamhi evaṃ jalitānubhāvā, vaṇṇo ca me sabbadisā pabhāsatī’’ti.

    . ตตฺถ ปีฐนฺติ ยํกิญฺจิ ตาทิสํ ทารุกฺขนฺธมฺปิ อาปณมฺปิ พลิกรณปีฐมฺปิ เวตฺตาสนมฺปิ มสารกาทิวิเสสนามํ ทารุมยาทิอาสนมฺปิ วุจฺจติฯ ตถา หิ ‘‘ปาทปีฐํ ปาทกถลิก’’นฺติ (มหาว. ๒๐๙; จูฬว. ๗๕) เอตฺถ ปาทฐปนโยคฺคํ ปีฐาทิกํ ทารุกฺขนฺธํ วุจฺจติ, ‘‘ปีฐสปฺปี’’ติ (มิ. ป. ๕.๓.๑) เอตฺถ หเตฺถน คหณโยคฺคํฯ ‘‘ปีฐิกา’’ติ ปน เอกเจฺจสุ ชนปเทสุ เทสโวหาเรน อาปณํฯ ‘‘ภูตปีฐิกา เทวกุลปีฐิกา’’ติ เอตฺถ เทวตานํ พลิกรณฎฺฐานภูตํ ปีฐํฯ ‘‘ภทฺทปีฐ’’นฺติ เอตฺถ เวตฺตลตาทีหิ อุปริ วีตํ อาสนํ, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ภทฺทปีฐํ อุปานยี’’ติ ฯ ‘‘สุปญฺญตฺตํ มญฺจปีฐํฯ มญฺจํ วา ปีฐํ วา การยมาเนนา’’ติ (ปาจิ. ๕๒๒) จ อาทีสุ มสารกาทิเภทํ ทารุมยาทิอาสนํฯ อิธ ปน ปลฺลงฺกาการสณฺฐิตํ เทวตาย ปุญฺญานุภาวาภินิพฺพตฺตํ โยชนิกํ กนกวิมานํ เวทิตพฺพํฯ

    1. Tattha pīṭhanti yaṃkiñci tādisaṃ dārukkhandhampi āpaṇampi balikaraṇapīṭhampi vettāsanampi masārakādivisesanāmaṃ dārumayādiāsanampi vuccati. Tathā hi ‘‘pādapīṭhaṃ pādakathalika’’nti (mahāva. 209; cūḷava. 75) ettha pādaṭhapanayoggaṃ pīṭhādikaṃ dārukkhandhaṃ vuccati, ‘‘pīṭhasappī’’ti (mi. pa. 5.3.1) ettha hatthena gahaṇayoggaṃ. ‘‘Pīṭhikā’’ti pana ekaccesu janapadesu desavohārena āpaṇaṃ. ‘‘Bhūtapīṭhikā devakulapīṭhikā’’ti ettha devatānaṃ balikaraṇaṭṭhānabhūtaṃ pīṭhaṃ. ‘‘Bhaddapīṭha’’nti ettha vettalatādīhi upari vītaṃ āsanaṃ, yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘bhaddapīṭhaṃ upānayī’’ti . ‘‘Supaññattaṃ mañcapīṭhaṃ. Mañcaṃ vā pīṭhaṃ vā kārayamānenā’’ti (pāci. 522) ca ādīsu masārakādibhedaṃ dārumayādiāsanaṃ. Idha pana pallaṅkākārasaṇṭhitaṃ devatāya puññānubhāvābhinibbattaṃ yojanikaṃ kanakavimānaṃ veditabbaṃ.

    เตติ เต-สโทฺท ‘‘น เต สุขํ ปชานนฺติ, เย น ปสฺสนฺติ นนฺทน’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๑, ๒๒๖) ต-สทฺทสฺส วเสน ปจฺจตฺตพหุวจเน อาคโตฯ ‘‘นโม เต ปุริสาชญฺญ, นโม เต ปุริสุตฺตม (ที. นิ. ๓.๒๗๘; สุ. นิ. ๕๔๙)ฯ นโม เต พุทฺธ วีรตฺถู’’ติ (สํ. นิ. ๑.๙๐) จ อาทีสุ ตุมฺห-สทฺทสฺส วเสน สมฺปทาเน, ตุยฺหนฺติ อโตฺถฯ ‘‘กิํ เต ทิฎฺฐํ กินฺติ เต สุตํฯ อุปธี เต สมติกฺกนฺตา, อาสวา เต ปทาลิตา’’ติ (ม. นิ. ๒.๔๐๐; สุ. นิ. ๕๕๑) จ อาทีสุ กรเณฯ ‘‘กิํ เต วตํ กิํ ปน พฺรหฺมจริย’’นฺติอาทีสุ (วิ. ว. ๑๒๕๑; ชา. ๑.๑๐.๙๒) สามิอเตฺถฯ อิธาปิ สามิอเตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตวาติ หิ อโตฺถฯ

    Teti te-saddo ‘‘na te sukhaṃ pajānanti, ye na passanti nandana’’ntiādīsu (saṃ. ni. 1.11, 226) ta-saddassa vasena paccattabahuvacane āgato. ‘‘Namo te purisājañña, namo te purisuttama (dī. ni. 3.278; su. ni. 549). Namo te buddha vīratthū’’ti (saṃ. ni. 1.90) ca ādīsu tumha-saddassa vasena sampadāne, tuyhanti attho. ‘‘Kiṃ te diṭṭhaṃ kinti te sutaṃ. Upadhī te samatikkantā, āsavā te padālitā’’ti (ma. ni. 2.400; su. ni. 551) ca ādīsu karaṇe. ‘‘Kiṃ te vataṃ kiṃ pana brahmacariya’’ntiādīsu (vi. va. 1251; jā. 1.10.92) sāmiatthe. Idhāpi sāmiatthe daṭṭhabbo. Tavāti hi attho.

    โสวณฺณมยนฺติ เอตฺถ สุวณฺณ-สโทฺท ‘‘สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๔๘) จ ‘‘สุวณฺณตา สุสรตา’’ติ (ขุ. ปา. ๘.๑๑) จ เอวมาทีสุ ฉวิสมฺปตฺติยํ อาคโตฯ ‘‘กากํ สุวณฺณา ปริวารยนฺตี’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๑.๗๗) ครุเฬฯ ‘‘สุวณฺณวโณฺณ กญฺจนสนฺนิภตฺตโจ’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๒๐๐) ชาตรูเปฯ อิธาปิ ชาตรูเป เอว ทฎฺฐโพฺพฯ ตญฺหิ พุทฺธานํ สมานวณฺณตาย โสภโน วโณฺณ เอตสฺสาติ สุวณฺณนฺติ วุจฺจติฯ สุวณฺณเมว โสวณฺณํ ยถา ‘‘เวกตํ เวสม’’นฺติ จฯ มย-สโทฺท จ ‘‘อนุญฺญาตปฎิญฺญาตา, เตวิชฺชา มยมสฺมุโภ’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๕๙๙; ม. นิ. ๒.๔๕๕) อสฺมทเตฺถ อาคโตฯ ‘‘มยํ นิสฺสาย เหมาย, ชาตมโณฺฑ ทรี สุภา’’ติ เอตฺถ ปญฺญตฺติยํฯ ‘‘มโนมยา ปีติภกฺขา สยํปภา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๓๙; ๓.๓๘) นิพฺพตฺติอเตฺถ, พาหิเรน ปจฺจเยน วินา มนสาว นิพฺพตฺตาติ มโนมยาติ วุตฺตาฯ ‘‘ยํนูนาหํ สามํ จิกฺขลฺลํ มทฺทิตฺวา สพฺพมตฺติกามยํ กุฎิกํ กเรยฺย’’นฺติอาทีสุ (ปารา. ๘๔) วิการเตฺถฯ ‘‘ทานมยํ สีลมย’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๐๕) ปทปูรณมเตฺตฯ อิธาปิ วิการเตฺถ, ปทปูรณมเตฺต วา ทฎฺฐโพฺพฯ ยทา หิ สุวเณฺณน นิพฺพตฺตํ โสวณฺณมยนฺติ อยมโตฺถ, ตทา สุวณฺณสฺส วิกาโร โสวณฺณมยนฺติ วิการเตฺถ มย-สโทฺท ทฎฺฐโพฺพ, ‘‘นิพฺพตฺติอเตฺถ’’ติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติเยวฯ ยทา ปน สุวเณฺณน นิพฺพตฺตํ โสวณฺณนฺติ อยมโตฺถ, ตทา โสวณฺณเมว โสวณฺณมยนฺติ ปทปูรณมเตฺต มย-สโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ

    Sovaṇṇamayanti ettha suvaṇṇa-saddo ‘‘suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate’’ti (ma. ni. 1.148) ca ‘‘suvaṇṇatā susaratā’’ti (khu. pā. 8.11) ca evamādīsu chavisampattiyaṃ āgato. ‘‘Kākaṃ suvaṇṇā parivārayantī’’tiādīsu (jā. 1.1.77) garuḷe. ‘‘Suvaṇṇavaṇṇo kañcanasannibhattaco’’tiādīsu (dī. ni. 3.200) jātarūpe. Idhāpi jātarūpe eva daṭṭhabbo. Tañhi buddhānaṃ samānavaṇṇatāya sobhano vaṇṇo etassāti suvaṇṇanti vuccati. Suvaṇṇameva sovaṇṇaṃ yathā ‘‘vekataṃ vesama’’nti ca. Maya-saddo ca ‘‘anuññātapaṭiññātā, tevijjā mayamasmubho’’tiādīsu (su. ni. 599; ma. ni. 2.455) asmadatthe āgato. ‘‘Mayaṃ nissāya hemāya, jātamaṇḍo darī subhā’’ti ettha paññattiyaṃ. ‘‘Manomayā pītibhakkhā sayaṃpabhā’’tiādīsu (dī. ni. 1.39; 3.38) nibbattiatthe, bāhirena paccayena vinā manasāva nibbattāti manomayāti vuttā. ‘‘Yaṃnūnāhaṃ sāmaṃ cikkhallaṃ madditvā sabbamattikāmayaṃ kuṭikaṃ kareyya’’ntiādīsu (pārā. 84) vikāratthe. ‘‘Dānamayaṃ sīlamaya’’ntiādīsu (dī. ni. 3.305) padapūraṇamatte. Idhāpi vikāratthe, padapūraṇamatte vā daṭṭhabbo. Yadā hi suvaṇṇena nibbattaṃ sovaṇṇamayanti ayamattho, tadā suvaṇṇassa vikāro sovaṇṇamayanti vikāratthe maya-saddo daṭṭhabbo, ‘‘nibbattiatthe’’tipi vattuṃ vaṭṭatiyeva. Yadā pana suvaṇṇena nibbattaṃ sovaṇṇanti ayamattho, tadā sovaṇṇameva sovaṇṇamayanti padapūraṇamatte maya-saddo daṭṭhabbo.

    อุฬารนฺติ ปณีตมฺปิ เสฎฺฐมฺปิ มหนฺตมฺปิฯ อุฬาร-สโทฺท หิ ‘‘ปุเพฺพนาปรํ อุฬารํ วิเสสํ อธิคจฺฉตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๓๗๖) ปณีเต อาคโตฯ ‘‘อุฬาราย ขลุ ภวํ วจฺฉายโน สมณํ โคตมํ ปสํสาย ปสํสตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๘๘) เสเฎฺฐฯ ‘‘อุฬารโภคา อุฬารยสา โอฬาริก’’นฺติ จ อาทีสุ (ธ. ส. ๘๙๔, ๘๙๖; ม. นิ. ๑.๒๔๔) มหเนฺตฯ ตมฺปิ จ วิมานํ มนุญฺญภาเวน อุปภุญฺชนฺตานํ อติตฺติกรณเตฺถน ปณีตํ, สมนฺตปาสาทิกตาทินา ปสํสิตตาย เสฎฺฐํ, ปมาณมหนฺตตาย จ มหคฺฆตาย จ มหนฺตํ, ตีหิปิ อเตฺถหิ อุฬารเมวาติ วุตฺตํ อุฬารนฺติฯ

    Uḷāranti paṇītampi seṭṭhampi mahantampi. Uḷāra-saddo hi ‘‘pubbenāparaṃ uḷāraṃ visesaṃ adhigacchatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.376) paṇīte āgato. ‘‘Uḷārāya khalu bhavaṃ vacchāyano samaṇaṃ gotamaṃ pasaṃsāya pasaṃsatī’’tiādīsu (ma. ni. 1.288) seṭṭhe. ‘‘Uḷārabhogā uḷārayasā oḷārika’’nti ca ādīsu (dha. sa. 894, 896; ma. ni. 1.244) mahante. Tampi ca vimānaṃ manuññabhāvena upabhuñjantānaṃ atittikaraṇatthena paṇītaṃ, samantapāsādikatādinā pasaṃsitatāya seṭṭhaṃ, pamāṇamahantatāya ca mahagghatāya ca mahantaṃ, tīhipi atthehi uḷāramevāti vuttaṃ uḷāranti.

    มโนชวนฺติ เอตฺถ มโนติ จิตฺตํฯ ยทิปิ มโน-สโทฺท สเพฺพสมฺปิ กุสลากุสลาพฺยากตจิตฺตานํ สาธารณวาจี, ‘‘มโนชว’’นฺติ ปน วุตฺตตฺตา ยตฺถ กตฺถจิ อารมฺมเณ ปวตฺตนกสฺส กิริยมยจิตฺตสฺส วเสน เวทิตพฺพํฯ ตสฺมา มนโส วิย ชโว เอตสฺสาติ มโนชวํ ยถา โอฎฺฐมุโขติ, อติวิย สีฆคมนนฺติ อโตฺถฯ มโน หิ ลหุปริวตฺติตาย อติทูเรปิ วิสเย ขเณเนว นิปตติ, เตนาห ภควา – ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกธมฺมมฺปิ สมนุปสฺสามิ ยํ เอวํ ลหุปริวตฺตํ, ยถยิทํ, ภิกฺขเว, จิตฺต’’นฺติ (อ. นิ. ๑.๔๘) ‘‘ทูรงฺคมํ เอกจร’’นฺติ (ธ. ป. ๓๗) จฯ คจฺฉตีติ ตสฺสา เทวตาย วสนวิมานโต อุยฺยานํ อุทฺทิสฺส อากาเสน คจฺฉติฯ

    Manojavanti ettha manoti cittaṃ. Yadipi mano-saddo sabbesampi kusalākusalābyākatacittānaṃ sādhāraṇavācī, ‘‘manojava’’nti pana vuttattā yattha katthaci ārammaṇe pavattanakassa kiriyamayacittassa vasena veditabbaṃ. Tasmā manaso viya javo etassāti manojavaṃ yathā oṭṭhamukhoti, ativiya sīghagamananti attho. Mano hi lahuparivattitāya atidūrepi visaye khaṇeneva nipatati, tenāha bhagavā – ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekadhammampi samanupassāmi yaṃ evaṃ lahuparivattaṃ, yathayidaṃ, bhikkhave, citta’’nti (a. ni. 1.48) ‘‘dūraṅgamaṃ ekacara’’nti (dha. pa. 37) ca. Gacchatīti tassā devatāya vasanavimānato uyyānaṃ uddissa ākāsena gacchati.

    เยนกามนฺติ เอตฺถ กาม-สโทฺท ‘‘กามา หิ จิตฺรา มธุรา มโนรมา, วิรูปรูเปน มเถนฺติ จิตฺต’’นฺติอาทีสุ (สุ. นิ. ๕๐; เถรคา. ๗๘๗) มนาปิเย รูปาทิวิสเย อาคโตฯ ‘‘ฉโนฺท กาโม ราโค กาโม’’ติอาทีสุ (วิภ. ๕๖๔; มหานิ. ๑; จูฬนิ. ๘ อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส) ฉนฺทราเคฯ ‘‘กิเลสกาโม กามุปาทาน’’นฺติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๒๑๙; มหานิ. ๒) สพฺพสฺมิํ โลเภฯ ‘‘อตฺตกามปาริจริยาย วณฺณํ ภาเสยฺยา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๒๙๑) คามธเมฺมฯ ‘‘สเนฺตตฺถ ตโย กุลปุตฺตา อตฺตกามรูปา วิหรนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๒๕; มหาว. ๔๖๖) หิตจฺฉเนฺทฯ ‘‘อตฺตาธีโน อปราธีโน ภุชิโสฺส เยนกามํคโม’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๒๑; ม. นิ. ๑.๔๒๖) เสริภาเวฯ อิธาปิ เสริภาเว เอว ทฎฺฐโพฺพ, ตสฺมา เยนกามนฺติ ยถารุจิ, เทวตาย อิจฺฉานุรูปนฺติ อโตฺถฯ

    Yenakāmanti ettha kāma-saddo ‘‘kāmā hi citrā madhurā manoramā, virūparūpena mathenti citta’’ntiādīsu (su. ni. 50; theragā. 787) manāpiye rūpādivisaye āgato. ‘‘Chando kāmo rāgo kāmo’’tiādīsu (vibha. 564; mahāni. 1; cūḷani. 8 ajitamāṇavapucchāniddesa) chandarāge. ‘‘Kilesakāmo kāmupādāna’’ntiādīsu (dha. sa. 1219; mahāni. 2) sabbasmiṃ lobhe. ‘‘Attakāmapāricariyāya vaṇṇaṃ bhāseyyā’’tiādīsu (pārā. 291) gāmadhamme. ‘‘Santettha tayo kulaputtā attakāmarūpā viharantī’’tiādīsu (ma. ni. 1.325; mahāva. 466) hitacchande. ‘‘Attādhīno aparādhīno bhujisso yenakāmaṃgamo’’tiādīsu (dī. ni. 1.221; ma. ni. 1.426) seribhāve. Idhāpi seribhāve eva daṭṭhabbo, tasmā yenakāmanti yathāruci, devatāya icchānurūpanti attho.

    อลงฺกเตติ อลงฺกตคเตฺต, นานาวิธรํสิชาลสมุชฺชลวิวิธรตนวิโชฺชติเตหิ หตฺถูปคปาทูปคาทิเภเทหิ สฎฺฐิสกฎภารปริมาเณหิ ทิพฺพาลงฺกาเรหิ วิภูสิตสรีเรติ อโตฺถฯ สโมฺพธเน เจตํ เอกวจนํฯ มลฺยธเรติ กปฺปรุกฺขปาริจฺฉตฺตกสนฺตานกลตาทิสมฺภเวหิ, สุวิสุทฺธจามีกรวิวิธรตนมยปตฺตกิญฺชกฺขเกสเรหิ, สมนฺตโต วิโชฺชตมานวิปฺผุรนฺตกิรณนิกรรุจิเรหิ ทิพฺพกุสุเมหิ สุมณฺฑิตเกสหตฺถาทิตาย มาลาภารินีฯ สุวเตฺถติ กปฺปลตานิพฺพตฺตานํ, นานาวิราควณฺณวิเสสานํ สุปริสุทฺธภาสุรปฺปภานํ นิวาสนุตฺตริยปฎิจฺฉทาทีนํ ทิพฺพวตฺถานํ วเสน สุนฺทรวเตฺถฯ โอภาสสีติ วิโชฺชตสิฯ วิชฺชุริวาติ วิชฺชุลตา วิยฯ อพฺภกูฎนฺติ วลาหกสิขเรฯ ภุมฺมเตฺถ หิ เอตํ อุปโยควจนํฯ โอภาสสีติ วา อโนฺตคธเหตุอตฺถวจนํ, โอภาเสสีติ อโตฺถฯ อิมสฺมิํ ปเกฺข ‘‘อพฺภกูฎ’’นฺติ อุปโยคเตฺถ เอว อุปโยควจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Alaṅkateti alaṅkatagatte, nānāvidharaṃsijālasamujjalavividharatanavijjotitehi hatthūpagapādūpagādibhedehi saṭṭhisakaṭabhāraparimāṇehi dibbālaṅkārehi vibhūsitasarīreti attho. Sambodhane cetaṃ ekavacanaṃ. Malyadhareti kapparukkhapāricchattakasantānakalatādisambhavehi, suvisuddhacāmīkaravividharatanamayapattakiñjakkhakesarehi, samantato vijjotamānavipphurantakiraṇanikararucirehi dibbakusumehi sumaṇḍitakesahatthāditāya mālābhārinī. Suvattheti kappalatānibbattānaṃ, nānāvirāgavaṇṇavisesānaṃ suparisuddhabhāsurappabhānaṃ nivāsanuttariyapaṭicchadādīnaṃ dibbavatthānaṃ vasena sundaravatthe. Obhāsasīti vijjotasi. Vijjurivāti vijjulatā viya. Abbhakūṭanti valāhakasikhare. Bhummatthe hi etaṃ upayogavacanaṃ. Obhāsasīti vā antogadhahetuatthavacanaṃ, obhāsesīti attho. Imasmiṃ pakkhe ‘‘abbhakūṭa’’nti upayogatthe eva upayogavacanaṃ daṭṭhabbaṃ.

    อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – ยถา นาม สญฺฌาปภานุรญฺชิตํ รตฺตวลาหกสิขรํ ปกติยาปิ โอภาสมานํ สมนฺตโต วิโชฺชตมานา วิชฺชุลตา นิจฺฉรนฺตี วิเสสโต โอภาเสติ, เอวเมวํ สุปริสุทฺธตปนียมยํ นานารตนสมุชฺชลํ ปกติปภสฺสรํ อิมํ วิมานํ ตฺวํ สพฺพาลงฺกาเรหิ วิภูสิตา สพฺพโส วิโชฺชตยนฺตีหิ อตฺตโน สรีรปฺปภาหิ วตฺถาภรโณภาเสหิ จ วิเสสโต โอภาเสสีติฯ

    Ayañhettha attho – yathā nāma sañjhāpabhānurañjitaṃ rattavalāhakasikharaṃ pakatiyāpi obhāsamānaṃ samantato vijjotamānā vijjulatā niccharantī visesato obhāseti, evamevaṃ suparisuddhatapanīyamayaṃ nānāratanasamujjalaṃ pakatipabhassaraṃ imaṃ vimānaṃ tvaṃ sabbālaṅkārehi vibhūsitā sabbaso vijjotayantīhi attano sarīrappabhāhi vatthābharaṇobhāsehi ca visesato obhāsesīti.

    เอตฺถ หิ ‘‘ปีฐ’’นฺติ นิทเสฺสตพฺพวจนเมตํ , ‘‘อพฺภกูฎ’’นฺติ นิทสฺสนวจนํฯ ตถา ‘‘เต’’ติ นิทเสฺสตพฺพวจนํฯ ตญฺหิ ‘‘ปีฐ’’นฺติ อิทํ อเปกฺขิตฺวา สามิวจเนน วุตฺตมฺปิ ‘‘อลงฺกเต มลฺยธเร สุวเตฺถ โอภาสสี’’ติ อิมานิ ปทานิ อเปกฺขิตฺวา ปจฺจตฺตวเสน ปริณมติ, ตสฺมา ‘‘ตฺว’’นฺติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘วิชฺชุริวา’’ติ นิทสฺสนวจนํฯ ‘‘โอภาสสี’’ติ อิทํ ทฺวินฺนมฺปิ อุปเมยฺยุปมานานํ สมฺพนฺธทสฺสนํฯ ‘‘โอภาสสี’’ติ หิ อิทํ ‘‘ตฺว’’นฺติ ปทํ อเปกฺขิตฺวา มชฺฌิมปุริสวเสน วุตฺตํ, ‘‘ปีฐ’’นฺติ อิทํ อเปกฺขิตฺวา ปฐมปุริสวเสน ปริณมติฯ จ-สโทฺท เจตฺถ ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐ ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘คจฺฉติ เยนกามํ โอภาสสี’’ติ จ ‘‘วิชฺชุลโตภาสิตํ อพฺภกูฎํ วิยา’’ติ ปจฺจตฺตวเสน เจตํ อุปโยควจนํ ปริณมติฯ ตถา ‘‘ปีฐ’’นฺติ วิเสสิตพฺพวจนเมตํ, ‘‘เต โสวณฺณมยํ อุฬาร’’นฺติอาทิ ตสฺส วิเสสนํฯ

    Ettha hi ‘‘pīṭha’’nti nidassetabbavacanametaṃ , ‘‘abbhakūṭa’’nti nidassanavacanaṃ. Tathā ‘‘te’’ti nidassetabbavacanaṃ. Tañhi ‘‘pīṭha’’nti idaṃ apekkhitvā sāmivacanena vuttampi ‘‘alaṅkate malyadhare suvatthe obhāsasī’’ti imāni padāni apekkhitvā paccattavasena pariṇamati, tasmā ‘‘tva’’nti vuttaṃ hoti. ‘‘Vijjurivā’’ti nidassanavacanaṃ. ‘‘Obhāsasī’’ti idaṃ dvinnampi upameyyupamānānaṃ sambandhadassanaṃ. ‘‘Obhāsasī’’ti hi idaṃ ‘‘tva’’nti padaṃ apekkhitvā majjhimapurisavasena vuttaṃ, ‘‘pīṭha’’nti idaṃ apekkhitvā paṭhamapurisavasena pariṇamati. Ca-saddo cettha luttaniddiṭṭho daṭṭhabbo. ‘‘Gacchati yenakāmaṃ obhāsasī’’ti ca ‘‘vijjulatobhāsitaṃ abbhakūṭaṃ viyā’’ti paccattavasena cetaṃ upayogavacanaṃ pariṇamati. Tathā ‘‘pīṭha’’nti visesitabbavacanametaṃ, ‘‘te sovaṇṇamayaṃ uḷāra’’ntiādi tassa visesanaṃ.

    นนุ จ ‘‘โสวณฺณมย’’นฺติ วตฺวา สุวณฺณสฺส อคฺคโลหตาย เสฎฺฐภาวโต ทิพฺพสฺส จ อิธาธิเปฺปตตฺตา ‘‘อุฬาร’’นฺติ น วตฺตพฺพนฺติ? น, กิญฺจิ วิเสสสพฺภาวโตฯ ยเถว หิ มนุสฺสปริโภคสุวณฺณวิกติโต รสวิทฺธํ เสฎฺฐํ สุวิสุทฺธํ, ตโต อากรุปฺปนฺนํ, ตโต ยํกิญฺจิ ทิพฺพํ เสฎฺฐํ, เอวํ ทิพฺพสุวเณฺณปิ จามีกรํ, จามีกรโต สาตกุมฺภํ, สาตกุมฺภโต ชมฺพุนทํ, ชมฺพุนทโต สิงฺคีสุวณฺณํฯ ตญฺหิ สพฺพเสฎฺฐํฯ เตนาห สโกฺก เทวานมิโนฺท –

    Nanu ca ‘‘sovaṇṇamaya’’nti vatvā suvaṇṇassa aggalohatāya seṭṭhabhāvato dibbassa ca idhādhippetattā ‘‘uḷāra’’nti na vattabbanti? Na, kiñci visesasabbhāvato. Yatheva hi manussaparibhogasuvaṇṇavikatito rasaviddhaṃ seṭṭhaṃ suvisuddhaṃ, tato ākaruppannaṃ, tato yaṃkiñci dibbaṃ seṭṭhaṃ, evaṃ dibbasuvaṇṇepi cāmīkaraṃ, cāmīkarato sātakumbhaṃ, sātakumbhato jambunadaṃ, jambunadato siṅgīsuvaṇṇaṃ. Tañhi sabbaseṭṭhaṃ. Tenāha sakko devānamindo –

    ‘‘มุโตฺต มุเตฺตหิ สห ปุราณชฎิเลหิ, วิปฺปมุโตฺต วิปฺปมุเตฺตหิ;

    ‘‘Mutto muttehi saha purāṇajaṭilehi, vippamutto vippamuttehi;

    สิงฺคีนิกฺขสวโณฺณ, ราชคหํ ปาวิสิ ภควา’’ติฯ (มหาว. ๕๘);

    Siṅgīnikkhasavaṇṇo, rājagahaṃ pāvisi bhagavā’’ti. (mahāva. 58);

    ตสฺมา ‘‘โสวณฺณมย’’นฺติ วตฺวาปิ ‘‘อุฬาร’’นฺติ วุตฺตํฯ อถ วา ‘‘อุฬาร’’นฺติ อิทํ น ตสฺส เสฎฺฐปณีตภาวเมว สนฺธาย วุตฺตํ, อถ โข มหนฺตภาวมฺปีติ วุโตฺตวายมโตฺถ ฯ เอตฺถ จ ‘‘ปีฐ’’นฺติอาทิ ผลสฺส กมฺมสริกฺขตาทสฺสนํฯ ตตฺถาปิ ‘‘โสวณฺณมย’’นฺติ อิมินา ตสฺส วิมานสฺส วตฺถุสมฺปทํ ทเสฺสติ, ‘‘อุฬาร’’นฺติ อิมินา โสภาติสยสมฺปทํ, ‘‘มโนชว’’นฺติ อิมินา คมนสมฺปทํฯ ‘‘คจฺฉติ เยนกาม’’นฺติ อิมินา สีฆชวตาย ปีฐสมฺปตฺติภาวสมฺปทํ ทเสฺสติฯ

    Tasmā ‘‘sovaṇṇamaya’’nti vatvāpi ‘‘uḷāra’’nti vuttaṃ. Atha vā ‘‘uḷāra’’nti idaṃ na tassa seṭṭhapaṇītabhāvameva sandhāya vuttaṃ, atha kho mahantabhāvampīti vuttovāyamattho . Ettha ca ‘‘pīṭha’’ntiādi phalassa kammasarikkhatādassanaṃ. Tatthāpi ‘‘sovaṇṇamaya’’nti iminā tassa vimānassa vatthusampadaṃ dasseti, ‘‘uḷāra’’nti iminā sobhātisayasampadaṃ, ‘‘manojava’’nti iminā gamanasampadaṃ. ‘‘Gacchati yenakāma’’nti iminā sīghajavatāya pīṭhasampattibhāvasampadaṃ dasseti.

    อถ วา ‘‘โสวณฺณมย’’นฺติ อิมินา ตสฺส ปณีตภาวํ ทเสฺสติ, ‘‘อุฬาร’’นฺติ อิมินา เวปุลฺลมหตฺตํฯ ‘‘มโนชว’’นฺติ อิมินา อานุภาวมหตฺตํฯ ‘‘คจฺฉติ เยนกาม’’นฺติ อิมินา วิหารสุขตฺตํ ทเสฺสติฯ ‘‘โสวณฺณมย’’นฺติ วา อิมินา ตสฺส อภิรูปตํ วณฺณโปกฺขรตญฺจ ทเสฺสติ, ‘‘อุฬาร’’นฺติ อิมินา ทสฺสนียตํ ปาสาทิกตญฺจ ทเสฺสติ, ‘‘มโนชว’’นฺติ อิมินา สีฆสมฺปทํ, ‘‘คจฺฉติ เยนกาม’’นฺติ อิมินา กตฺถจิ อปฺปฎิหตจารตํ ทเสฺสติฯ

    Atha vā ‘‘sovaṇṇamaya’’nti iminā tassa paṇītabhāvaṃ dasseti, ‘‘uḷāra’’nti iminā vepullamahattaṃ. ‘‘Manojava’’nti iminā ānubhāvamahattaṃ. ‘‘Gacchati yenakāma’’nti iminā vihārasukhattaṃ dasseti. ‘‘Sovaṇṇamaya’’nti vā iminā tassa abhirūpataṃ vaṇṇapokkharatañca dasseti, ‘‘uḷāra’’nti iminā dassanīyataṃ pāsādikatañca dasseti, ‘‘manojava’’nti iminā sīghasampadaṃ, ‘‘gacchati yenakāma’’nti iminā katthaci appaṭihatacārataṃ dasseti.

    อถ วา ตํ วิมานํ ยสฺส ปุญฺญกมฺมสฺส นิสฺสนฺทผลํ, ตสฺส อโลภนิสฺสนฺทตาย โสวณฺณมยํ, อโทสนิสฺสนฺทตาย อุฬารํ, อโมหนิสฺสนฺทตาย มโนชวํ คจฺฉติ เยนกามํฯ ตถา ตสฺส กมฺมสฺส สทฺธานิสฺสนฺทภาเวน โสวณฺณมยํ, ปญฺญานิสฺสนฺทภาเวน อุฬารํ, วีริยนิสฺสนฺทภาเวน มโนชวํ, สมาธินิสฺสนฺทภาเวน คจฺฉติ เยนกามํฯ สทฺธาสมาธินิสฺสนฺทภาเวน วา โสวณฺณมยํ, สมาธิปญฺญานิสฺสนฺทภาเวน อุฬารํ, สมาธิวีริยนิสฺสนฺทภาเวน มโนชวํ, สมาธิสตินิสฺสนฺทภาเวน คจฺฉติ เยนกามนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Atha vā taṃ vimānaṃ yassa puññakammassa nissandaphalaṃ, tassa alobhanissandatāya sovaṇṇamayaṃ, adosanissandatāya uḷāraṃ, amohanissandatāya manojavaṃ gacchati yenakāmaṃ. Tathā tassa kammassa saddhānissandabhāvena sovaṇṇamayaṃ, paññānissandabhāvena uḷāraṃ, vīriyanissandabhāvena manojavaṃ, samādhinissandabhāvena gacchati yenakāmaṃ. Saddhāsamādhinissandabhāvena vā sovaṇṇamayaṃ, samādhipaññānissandabhāvena uḷāraṃ, samādhivīriyanissandabhāvena manojavaṃ, samādhisatinissandabhāvena gacchati yenakāmanti veditabbaṃ.

    ตตฺถ ยถา ‘‘ปีฐ’’นฺติอาทิ วิมานสมฺปตฺติทสฺสนวเสน ตสฺสา เทวตาย ปุญฺญผลวิภวสมฺปตฺติกิตฺตนํ, เอวํ ‘‘อลงฺกเต’’ติอาทิ อตฺตภาวสมฺปตฺติทสฺสนวเสน ปุญฺญผลวิภวสมฺปตฺติกิตฺตนํฯ ยถา หิ สุสิกฺขิตสิปฺปาจริยวิรจิโตปิ รตฺตสุวณฺณาลงฺกาโร วิวิธรํสิชาลสมุชฺชลมณิรตนขจิโต เอว โสภติ, น เกวโล, เอวํ สพฺพงฺคสมฺปโนฺน จตุรสฺสโสภโนปิ อตฺตภาโว สุมณฺฑิตปสาธิโตว โสภติ, น เกวโลฯ เตนสฺสา ‘‘อลงฺกเต’’ติอาทินา อาหริมํ โสภาวิเสสํ ทเสฺสติ, ‘‘โอภาสสี’’ติ อิมินา อนาหริมํฯ ตถา ปุริเมน วตฺตมานปจฺจยนิมิตฺตํ โสภาติสยํ ทเสฺสติ, ปจฺฉิเมน อตีตปจฺจยนิมิตฺตํฯ ปุริเมน วา ตสฺสา อุปโภควตฺถุสมฺปทํ ทเสฺสติ, ปจฺฉิเมน อุปภุญฺชนกวตฺถุสมฺปทํฯ

    Tattha yathā ‘‘pīṭha’’ntiādi vimānasampattidassanavasena tassā devatāya puññaphalavibhavasampattikittanaṃ, evaṃ ‘‘alaṅkate’’tiādi attabhāvasampattidassanavasena puññaphalavibhavasampattikittanaṃ. Yathā hi susikkhitasippācariyaviracitopi rattasuvaṇṇālaṅkāro vividharaṃsijālasamujjalamaṇiratanakhacito eva sobhati, na kevalo, evaṃ sabbaṅgasampanno caturassasobhanopi attabhāvo sumaṇḍitapasādhitova sobhati, na kevalo. Tenassā ‘‘alaṅkate’’tiādinā āharimaṃ sobhāvisesaṃ dasseti, ‘‘obhāsasī’’ti iminā anāharimaṃ. Tathā purimena vattamānapaccayanimittaṃ sobhātisayaṃ dasseti, pacchimena atītapaccayanimittaṃ. Purimena vā tassā upabhogavatthusampadaṃ dasseti, pacchimena upabhuñjanakavatthusampadaṃ.

    เอตฺถาห ‘‘กิํ ปน ตํ วิมานํ ยุตฺตวาหํ, อุทาหุ อยุตฺตวาห’’นฺติ? ยทิปิ เทวโลเก รถวิมานานิ ยุตฺตวาหานิปิ โหนฺติ ‘‘สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถ’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๒๖๔) อาทิวจนโต, เต ปน เทวปุตฺตา เอว กิจฺจกรณกาเล วาหรูเปน อตฺตานํ ทเสฺสนฺติ ยถา เอราวโณ เทวปุโตฺต กีฬนกาเล หตฺถิรูเปนฯ อิทํ ปน อญฺญญฺจ เอทิสํ อยุตฺตวาหํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Etthāha ‘‘kiṃ pana taṃ vimānaṃ yuttavāhaṃ, udāhu ayuttavāha’’nti? Yadipi devaloke rathavimānāni yuttavāhānipi honti ‘‘sahassayuttaṃ ājaññaratha’’nti (saṃ. ni. 1.264) ādivacanato, te pana devaputtā eva kiccakaraṇakāle vāharūpena attānaṃ dassenti yathā erāvaṇo devaputto kīḷanakāle hatthirūpena. Idaṃ pana aññañca edisaṃ ayuttavāhaṃ daṭṭhabbaṃ.

    ยทิ เอวํ กิํ ตสฺส วิมานสฺส อพฺภนฺตรา วาโยธาตุ คมเน วิเสสปจฺจโย, อุทาหุ พาหิราติ? อพฺภนฺตราติ คเหตพฺพํฯ ยถา หิ จนฺทวิมานสูริยวิมานาทีนํ เทสนฺตรคมเน ตทุปชีวีนํ สตฺตานํ สาธารณกมฺมนิพฺพตฺตํ อติวิย สีฆชวํ มหนฺตํ วายุมณฺฑลํ ตานิ เปเลนฺตํ ปวเตฺตติ, น เอวํ ตํ เปเลตฺวา ปวเตฺตนฺตี พาหิรา วาโยธาตุ อตฺถิฯ ยถา จ ปน จกฺกรตนํ อโนฺตสมุฎฺฐิตาย วาโยธาตุยา วเสน ปวตฺตติฯ น หิ ตสฺส จนฺทวิมานาทีนํ วิย พาหิรา วาโยธาตุ เปเลตฺวา ปวตฺติกา อตฺถิ รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส จิตฺตวเสน ‘‘ปวตฺตตุ ภวํ จกฺกรตน’’นฺติอาทิวจนสมนนนฺตรเมว ปวตฺตนโต, เอวํ ตสฺสา เทวตาย จิตฺตวเสน อตฺตสนฺนิสฺสิตาย วาโยธาตุยา คจฺฉตีติ เวทิตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘มโนชวํ คจฺฉติ เยนกาม’’นฺติฯ

    Yadi evaṃ kiṃ tassa vimānassa abbhantarā vāyodhātu gamane visesapaccayo, udāhu bāhirāti? Abbhantarāti gahetabbaṃ. Yathā hi candavimānasūriyavimānādīnaṃ desantaragamane tadupajīvīnaṃ sattānaṃ sādhāraṇakammanibbattaṃ ativiya sīghajavaṃ mahantaṃ vāyumaṇḍalaṃ tāni pelentaṃ pavatteti, na evaṃ taṃ peletvā pavattentī bāhirā vāyodhātu atthi. Yathā ca pana cakkaratanaṃ antosamuṭṭhitāya vāyodhātuyā vasena pavattati. Na hi tassa candavimānādīnaṃ viya bāhirā vāyodhātu peletvā pavattikā atthi rañño cakkavattissa cittavasena ‘‘pavattatu bhavaṃ cakkaratana’’ntiādivacanasamananantarameva pavattanato, evaṃ tassā devatāya cittavasena attasannissitāya vāyodhātuyā gacchatīti veditabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘manojavaṃ gacchati yenakāma’’nti.

    . เอวํ ปฐมคาถาย ตสฺสา เทวตาย ปุญฺญผลสมฺปตฺติํ กิเตฺตตฺวา อิทานิ ตสฺสา การณภูตํ ปุญฺญสมฺปทํ วิภาเวตุํ ‘‘เกน เตตาทิโส วโณฺณ’’ติอาทิ คาถาทฺวยํ วุตฺตํฯ ตตฺถ เกนาติ กิํ-สโทฺท ‘‘กิํ ราชา โย โลกํ น รกฺขติ, กิํ นุ โข นาม ตุเมฺห มํ วตฺตพฺพํ มญฺญถา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๔๒๔) ครหเณ อาคโตฯ ‘‘ยํกิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔๔; สํ. นิ. ๓.๕๙) อนิยเมฯ ‘‘กิํ สูธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฎฺฐ’’นฺติอาทีสุ (สุ. นิ. ๑๘๓; สํ. นิ. ๑.๗๓) ปุจฺฉายํฯ อิธาปิ ปุจฺฉายเมว ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘เกนา’’ติ จ เหตุอเตฺถ กรณวจนํ, เกน เหตุนาติ อโตฺถฯ เตติ ตวฯ เอตาทิโสติ เอทิโส, เอตรหิ ยถาทิสฺสมาโนติ อโตฺถฯ วโณฺณติ วณฺณ-สโทฺท ‘‘กทา สญฺญูฬฺหา ปน เต, คหปติ, อิเม สมณสฺส โคตมสฺส วณฺณา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๗) คุเณ อาคโตฯ ‘‘อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส วณฺณํ ภาสติ, ธมฺมสฺส วณฺณํ ภาสติ, สงฺฆสฺส วณฺณํ ภาสตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔) ถุติยํฯ ‘‘อถ เกน นุ วเณฺณน, คนฺธเถโนติ วุจฺจตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๓๔; ชา. ๑.๖.๑๑๖) การเณฯ ‘‘ตโย ปตฺตสฺส วณฺณา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๖๐๒) ปมาเณฯ ‘‘จตฺตาโรเม, โภ โคตม, วณฺณา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๑๑๕; ม. นิ. ๒.๓๗๙-๓๘๐) ชาติยํฯ ‘‘มหนฺตํ หตฺถิราชวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา’’ติอาทีสุ สณฺฐาเนฯ ‘‘สุวณฺณวโณฺณสิ ภควา, สุสุกฺกทาโฐสิ วีริยวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๓๙๙; สุ. นิ. ๕๕๓) ฉวิวเณฺณฯ อิธาปิ ฉวิวเณฺณ เอว ทฎฺฐโพฺพฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – เกน กีทิเสน ปุญฺญวิเสเสน เหตุภูเตน เทวเต, ตว เอตาทิโส เอวํวิโธ ทฺวาทสโยชนานิ ผรณกปฺปโภ สรีรวโณฺณ ชาโตติ?

    2. Evaṃ paṭhamagāthāya tassā devatāya puññaphalasampattiṃ kittetvā idāni tassā kāraṇabhūtaṃ puññasampadaṃ vibhāvetuṃ ‘‘kena tetādiso vaṇṇo’’tiādi gāthādvayaṃ vuttaṃ. Tattha kenāti kiṃ-saddo ‘‘kiṃ rājā yo lokaṃ na rakkhati, kiṃ nu kho nāma tumhe maṃ vattabbaṃ maññathā’’tiādīsu (pārā. 424) garahaṇe āgato. ‘‘Yaṃkiñci rūpaṃ atītānāgatapaccuppanna’’ntiādīsu (ma. ni. 1.244; saṃ. ni. 3.59) aniyame. ‘‘Kiṃ sūdha vittaṃ purisassa seṭṭha’’ntiādīsu (su. ni. 183; saṃ. ni. 1.73) pucchāyaṃ. Idhāpi pucchāyameva daṭṭhabbo. ‘‘Kenā’’ti ca hetuatthe karaṇavacanaṃ, kena hetunāti attho. Teti tava. Etādisoti ediso, etarahi yathādissamānoti attho. Vaṇṇoti vaṇṇa-saddo ‘‘kadā saññūḷhā pana te, gahapati, ime samaṇassa gotamassa vaṇṇā’’tiādīsu (ma. ni. 2.77) guṇe āgato. ‘‘Anekapariyāyena buddhassa vaṇṇaṃ bhāsati, dhammassa vaṇṇaṃ bhāsati, saṅghassa vaṇṇaṃ bhāsatī’’tiādīsu (dī. ni. 1.4) thutiyaṃ. ‘‘Atha kena nu vaṇṇena, gandhathenoti vuccatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.234; jā. 1.6.116) kāraṇe. ‘‘Tayo pattassa vaṇṇā’’tiādīsu (pārā. 602) pamāṇe. ‘‘Cattārome, bho gotama, vaṇṇā’’tiādīsu (dī. ni. 3.115; ma. ni. 2.379-380) jātiyaṃ. ‘‘Mahantaṃ hatthirājavaṇṇaṃ abhinimminitvā’’tiādīsu saṇṭhāne. ‘‘Suvaṇṇavaṇṇosi bhagavā, susukkadāṭhosi vīriyavā’’tiādīsu (ma. ni. 2.399; su. ni. 553) chavivaṇṇe. Idhāpi chavivaṇṇe eva daṭṭhabbo. Ayañhettha attho – kena kīdisena puññavisesena hetubhūtena devate, tava etādiso evaṃvidho dvādasayojanāni pharaṇakappabho sarīravaṇṇo jātoti?

    เกน เต อิธ มิชฺฌตีติ เกน ปุญฺญาติสเยน เต อิธ อิมสฺมิํ ฐาเน อิทานิ ตยิ ลพฺภมานํ อุฬารํ สุจริตผลํ อิชฺฌติ นิปฺผชฺชติฯ อุปฺปชฺชนฺตีติ นิพฺพตฺตนฺติ, อวิเจฺฉทวเสน อุปรูปริ วตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ โภคาติ ปริภุญฺชิตพฺพเฎฺฐน ‘‘โภคา’’ติ ลทฺธนามา วตฺถาภรณาทิวิตฺตูปกรณวิเสสาฯ เยติ สามเญฺญน อนิยมนิเทฺทโส, เกจีติ ปการเภทํ อามสิตฺวา อนิยมนิเทฺทโส, อุภเยนาปิ ปณีตปณีตตราทิเภเท ตตฺถ ลพฺภมาเน ตาทิเส โภเค อนวเสสโต พฺยาเปตฺวา สงฺคณฺหาติฯ อนวเสสพฺยาปโก หิ อยํ นิเทฺทโส ยถา ‘‘เย เกจิ สงฺขารา’’ติฯ มนโส ปิยาติ มนสา ปิยายิตพฺพา, มนาปิยาติ อโตฺถฯ

    Kena te idha mijjhatīti kena puññātisayena te idha imasmiṃ ṭhāne idāni tayi labbhamānaṃ uḷāraṃ sucaritaphalaṃ ijjhati nipphajjati. Uppajjantīti nibbattanti, avicchedavasena uparūpari vattantīti attho. Bhogāti paribhuñjitabbaṭṭhena ‘‘bhogā’’ti laddhanāmā vatthābharaṇādivittūpakaraṇavisesā. Yeti sāmaññena aniyamaniddeso, kecīti pakārabhedaṃ āmasitvā aniyamaniddeso, ubhayenāpi paṇītapaṇītatarādibhede tattha labbhamāne tādise bhoge anavasesato byāpetvā saṅgaṇhāti. Anavasesabyāpako hi ayaṃ niddeso yathā ‘‘ye keci saṅkhārā’’ti. Manaso piyāti manasā piyāyitabbā, manāpiyāti attho.

    เอตฺถ จ ‘‘เอตาทิโส วโณฺณ’’ติ อิมินา เหฎฺฐา วุตฺตวิเสสา ตสฺสา เทวตาย อตฺตภาวปริยาปนฺนา วณฺณสมฺปทา ทสฺสิตาฯ ‘‘โภคา’’ติ อิมินา อุปโภคปริโภควตฺถุภูตา ทิพฺพรูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพเภทา กามคุณสมฺปทาฯ ‘‘มนโส ปิยา’’ติ อิมินา เตสํ รูปาทีนํ อิฎฺฐกนฺตมนาปตาฯ ‘‘อิธ มิชฺฌตี’’ติ อิมินา ปน ทิพฺพอายุวณฺณยสสุขอาธิปเตยฺยสมฺปทา ทสฺสิตาฯ ‘‘เย เกจิ มนโส ปิยา’’ติ อิมินา ยานิ ‘‘โส อเญฺญ เทเว ทสหิ ฐาเนหิ อธิคฺคณฺหาติ ทิเพฺพน อายุนา ทิเพฺพน วเณฺณน ทิเพฺพน สุเขน ทิเพฺพน ยเสน ทิเพฺพน อาธิปเตเยฺยน ทิเพฺพหิ รูเปหิ ทิเพฺพหิ สเทฺทหิ ทิเพฺพหิ คเนฺธหิ ทิเพฺพหิ รเสหิ ทิเพฺพหิ โผฎฺฐเพฺพหี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๑) สุเตฺต อาคตานิ ทส ฐานานิฯ เตสํ อิธ อนวเสสโต สงฺคโห ทสฺสิโตติ เวทิตโพฺพฯ

    Ettha ca ‘‘etādiso vaṇṇo’’ti iminā heṭṭhā vuttavisesā tassā devatāya attabhāvapariyāpannā vaṇṇasampadā dassitā. ‘‘Bhogā’’ti iminā upabhogaparibhogavatthubhūtā dibbarūpasaddagandharasaphoṭṭhabbabhedā kāmaguṇasampadā. ‘‘Manaso piyā’’ti iminā tesaṃ rūpādīnaṃ iṭṭhakantamanāpatā. ‘‘Idha mijjhatī’’ti iminā pana dibbaāyuvaṇṇayasasukhaādhipateyyasampadā dassitā. ‘‘Ye keci manaso piyā’’ti iminā yāni ‘‘so aññe deve dasahi ṭhānehi adhiggaṇhāti dibbena āyunā dibbena vaṇṇena dibbena sukhena dibbena yasena dibbena ādhipateyyena dibbehi rūpehi dibbehi saddehi dibbehi gandhehi dibbehi rasehi dibbehi phoṭṭhabbehī’’ti (saṃ. ni. 4.341) sutte āgatāni dasa ṭhānāni. Tesaṃ idha anavasesato saṅgaho dassitoti veditabbo.

    . ปุจฺฉามีติ ปญฺหํ กโรมิ, ญาตุมิจฺฉามีติ อโตฺถฯ กามเญฺจตํ ‘‘เกน เตตาทิโส วโณฺณ, เกน เต อิธ มิชฺฌติฯ กิมกาสิ ปุญฺญํ, เกนาสิ เอวํ ชลิตานุภาวา’’ติ จ กิํ-สทฺทคฺคหเณเนว อตฺถนฺตรสฺส อสมฺภวโต ปุจฺฉาวเสน คาถาตฺตยํ วุตฺตนฺติ วิญฺญายติฯ ปุจฺฉาวิเสสภาวญาปนตฺถํ ปน ‘‘ปุจฺฉามี’’ติ วุตฺตํฯ อยญฺหิ ปุจฺฉา อทิฎฺฐโชตนา ตาว น โหติ เอทิสสฺส อตฺถสฺส มหาเถรสฺส อทิฎฺฐภาวาภาวโต, วิมติเจฺฉทนาปิ น โหติ สพฺพโส สมุคฺฆาติตสํสยตฺตา, อนุมติปุจฺฉาปิ น โหติ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ ราชญฺญา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๔๑๓) วิย อนุมติคหณากาเรน อปฺปวตฺตตฺตา, กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาปิ น โหติ ตสฺสา เทวตาย กเถตุกมฺยตาวเสน เถเรน อปุจฺฉิตตฺตาฯ วิเสเสน ปน ทิฎฺฐสํสนฺทนาติ เวทิตพฺพาฯ สฺวายมโตฺถ เหฎฺฐา อฎฺฐุปฺปตฺติกถายํ ‘‘เถโร กิญฺจาปี’’ติอาทินา วิภาวิโต เอวฯ นฺติ ตฺวํฯ ตยิทํ ปุพฺพาปราเปกฺขํ, ปุพฺพาเปกฺขตาย อุปโยเคกวจนํ, ปราเปกฺขตาย ปน ปจฺจเตฺตกวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    3.Pucchāmīti pañhaṃ karomi, ñātumicchāmīti attho. Kāmañcetaṃ ‘‘kena tetādiso vaṇṇo, kena te idha mijjhati. Kimakāsi puññaṃ, kenāsi evaṃ jalitānubhāvā’’ti ca kiṃ-saddaggahaṇeneva atthantarassa asambhavato pucchāvasena gāthāttayaṃ vuttanti viññāyati. Pucchāvisesabhāvañāpanatthaṃ pana ‘‘pucchāmī’’ti vuttaṃ. Ayañhi pucchā adiṭṭhajotanā tāva na hoti edisassa atthassa mahātherassa adiṭṭhabhāvābhāvato, vimaticchedanāpi na hoti sabbaso samugghātitasaṃsayattā, anumatipucchāpi na hoti ‘‘taṃ kiṃ maññasi rājaññā’’tiādīsu (dī. ni. 2.413) viya anumatigahaṇākārena appavattattā, kathetukamyatāpucchāpi na hoti tassā devatāya kathetukamyatāvasena therena apucchitattā. Visesena pana diṭṭhasaṃsandanāti veditabbā. Svāyamattho heṭṭhā aṭṭhuppattikathāyaṃ ‘‘thero kiñcāpī’’tiādinā vibhāvito eva. Tanti tvaṃ. Tayidaṃ pubbāparāpekkhaṃ, pubbāpekkhatāya upayogekavacanaṃ, parāpekkhatāya pana paccattekavacanaṃ daṭṭhabbaṃ.

    เทวีติ เอตฺถ เทว-สโทฺท ‘‘อิมานิ เต เทว จตุราสีติ นครสหสฺสานิ กุสวตีราชธานิปมุขานิ, เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ กโรหิ ชีวิเต อเปกฺข’’นฺติ จ อาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๖๖) สมฺมุติเทววเสน อาคโต, ‘‘ตสฺส เทวาติเทวสฺส, สาสนํ สพฺพทสฺสิโน’’ติอาทีสุ วิสุทฺธิเทววเสนฯ วิสุทฺธิเทวานญฺหิ ภควโต อติเทวภาเว วุเตฺต อิตเรสํ วุโตฺต เอว โหตีติฯ ‘‘จาตุมหาราชิกา เทวา ทีฆายุกา วณฺณวโนฺต สุขพหุลา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๓๗) อุปปตฺติเทววเสนฯ อิธาปิ อุปปตฺติเทววเสเนว เวทิตโพฺพฯ ปทตฺถโต ปน – ทิพฺพติ อตฺตโน ปุญฺญิทฺธิยา กีฬติ ลฬติ ปญฺจหิ กามคุเณหิ รมติ, อถ วา เหฎฺฐา วุตฺตนเยน โชตติ โอภาสติ, อากาเสน วิมาเนน จ คจฺฉตีติ เทวีฯ ‘‘ตฺวํ เทวี’’ติ สโมฺพธเน เจตํ เอกวจนํฯ มหานุภาเวติ อุฬารปฺปภาเว, โส ปนสฺสานุภาโว เหฎฺฐา ทฺวีหิ คาถาหิ ทสฺสิโตเยวฯ

    Devīti ettha deva-saddo ‘‘imāni te deva caturāsīti nagarasahassāni kusavatīrājadhānipamukhāni, ettha, deva, chandaṃ karohi jīvite apekkha’’nti ca ādīsu (dī. ni. 2.266) sammutidevavasena āgato, ‘‘tassa devātidevassa, sāsanaṃ sabbadassino’’tiādīsu visuddhidevavasena. Visuddhidevānañhi bhagavato atidevabhāve vutte itaresaṃ vutto eva hotīti. ‘‘Cātumahārājikā devā dīghāyukā vaṇṇavanto sukhabahulā’’tiādīsu (dī. ni. 3.337) upapattidevavasena. Idhāpi upapattidevavaseneva veditabbo. Padatthato pana – dibbati attano puññiddhiyā kīḷati laḷati pañcahi kāmaguṇehi ramati, atha vā heṭṭhā vuttanayena jotati obhāsati, ākāsena vimānena ca gacchatīti devī. ‘‘Tvaṃ devī’’ti sambodhane cetaṃ ekavacanaṃ. Mahānubhāveti uḷārappabhāve, so panassānubhāvo heṭṭhā dvīhi gāthāhi dassitoyeva.

    มนุสฺสภูตาติ เอตฺถ มนสฺส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสา, สติสูรภาวพฺรหฺมจริยโยคฺยตาทิคุณวเสน อุปจิตมานสา อุกฺกฎฺฐคุณจิตฺตาฯ เก ปน เต? ชมฺพุทีปวาสิโน สตฺตวิเสสาฯ เตนาห ภควา –

    Manussabhūtāti ettha manassa ussannatāya manussā, satisūrabhāvabrahmacariyayogyatādiguṇavasena upacitamānasā ukkaṭṭhaguṇacittā. Ke pana te? Jambudīpavāsino sattavisesā. Tenāha bhagavā –

    ‘‘ตีหิ, ภิกฺขเว, ฐาเนหิ ชมฺพุทีปกา มนุสฺสา อุตฺตรกุรุเก มนุเสฺส อธิคฺคณฺหนฺติ เทเว จ ตาวติํเสฯ กตเมหิ ตีหิ? สูรา, สติมโนฺต, อิธ พฺรหฺมจริยวาโส’’ติ (อ. นิ. ๙.๒๑)ฯ

    ‘‘Tīhi, bhikkhave, ṭhānehi jambudīpakā manussā uttarakuruke manusse adhiggaṇhanti deve ca tāvatiṃse. Katamehi tīhi? Sūrā, satimanto, idha brahmacariyavāso’’ti (a. ni. 9.21).

    ตถา หิ พุทฺธา ภควโนฺต ปเจฺจกพุทฺธา อคฺคสาวกา มหาสาวกา จกฺกวตฺติโน อเญฺญ จ มหานุภาวา สตฺตา เอเตฺถว อุปฺปชฺชนฺติฯ เตหิ สมานรูปาทิตาย ปน สทฺธิํ ปริตฺตทีปวาสีหิ อิตรมหาทีปวาสิโนปิ ‘‘มนุสฺสา’’เตฺวว ปญฺญายิํสูติ เอเกฯ

    Tathā hi buddhā bhagavanto paccekabuddhā aggasāvakā mahāsāvakā cakkavattino aññe ca mahānubhāvā sattā ettheva uppajjanti. Tehi samānarūpāditāya pana saddhiṃ parittadīpavāsīhi itaramahādīpavāsinopi ‘‘manussā’’tveva paññāyiṃsūti eke.

    อปเร ปน ภณนฺติ – โลภาทีหิ อโลภาทีหิ จ สหิตสฺส มนสฺส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสาฯ เย หิ สตฺตา มนุสฺสชาติกา, เตสุ วิเสสโต โลภาทโย อโลภาทโย จ อุสฺสนฺนา, เต โลภาทิอุสฺสนฺนตาย อปายมคฺคํ, อโลภาทิอุสฺสนฺนตาย สุคติมคฺคํ นิพฺพานคามิมคฺคญฺจ ปูเรนฺติ, ตสฺมา โลภาทีหิ อโลภาทีหิ จ สหิตสฺส มนสฺส อุสฺสนฺนตาย ปริตฺตทีปวาสีหิ สทฺธิํ จตุมหาทีปวาสิโน สตฺตวิเสสา ‘‘มนุสฺสา’’ติ วุจฺจนฺตีติฯ

    Apare pana bhaṇanti – lobhādīhi alobhādīhi ca sahitassa manassa ussannatāya manussā. Ye hi sattā manussajātikā, tesu visesato lobhādayo alobhādayo ca ussannā, te lobhādiussannatāya apāyamaggaṃ, alobhādiussannatāya sugatimaggaṃ nibbānagāmimaggañca pūrenti, tasmā lobhādīhi alobhādīhi ca sahitassa manassa ussannatāya parittadīpavāsīhi saddhiṃ catumahādīpavāsino sattavisesā ‘‘manussā’’ti vuccantīti.

    โลกิยา ปน ‘‘มนุโน อปจฺจภาเวน มนุสฺสา’’ติ วทนฺติฯ มนุ นาม ปฐมกปฺปิโก โลกมริยาทาย อาทิภูโต หิตาหิตวิธายโก สตฺตานํ ปิตุฎฺฐานิโย, โย สาสเน ‘‘มหาสมฺมโต’’ติ วุจฺจติฯ ปจฺจกฺขโต ปรมฺปราย จ ตสฺส โอวาทานุสาสนิยํ ฐิตา สตฺตา ปุตฺตสทิสตาย ‘‘มนุสฺสา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตโต เอว หิ เต มาณวา ‘‘มนุชา’’ติ จ โวหรียนฺติฯ มนุเสฺสสุ ภูตา ชาตา, มนุสฺสภาวํ วา ปตฺตาติ มนุสฺสภูตาฯ

    Lokiyā pana ‘‘manuno apaccabhāvena manussā’’ti vadanti. Manu nāma paṭhamakappiko lokamariyādāya ādibhūto hitāhitavidhāyako sattānaṃ pituṭṭhāniyo, yo sāsane ‘‘mahāsammato’’ti vuccati. Paccakkhato paramparāya ca tassa ovādānusāsaniyaṃ ṭhitā sattā puttasadisatāya ‘‘manussā’’ti vuccanti. Tato eva hi te māṇavā ‘‘manujā’’ti ca voharīyanti. Manussesu bhūtā jātā, manussabhāvaṃ vā pattāti manussabhūtā.

    กิมกาสิ ปุญฺญนฺติ กิํ ทานสีลาทิปฺปเภเทสุ กีทิสํ ปุชฺชภาวผลนิพฺพตฺตนโต, ยตฺถ สยํ อุปฺปนฺนํ, ตํ สนฺตานํ ปุนาติ วิโสเธตีติ จ ‘‘ปุญฺญ’’นฺติ ลทฺธนามํ สุจริตํ กุสลกมฺมํ อกาสิ, อุปจินิ นิพฺพเตฺตสีติ อโตฺถฯ ชลิตานุภาวาติ สพฺพโส วิโชฺชตมานปุญฺญิทฺธิกาฯ

    Kimakāsi puññanti kiṃ dānasīlādippabhedesu kīdisaṃ pujjabhāvaphalanibbattanato, yattha sayaṃ uppannaṃ, taṃ santānaṃ punāti visodhetīti ca ‘‘puñña’’nti laddhanāmaṃ sucaritaṃ kusalakammaṃ akāsi, upacini nibbattesīti attho. Jalitānubhāvāti sabbaso vijjotamānapuññiddhikā.

    กสฺมา ปเนตฺถ ‘‘มนุสฺสภูตา กิมกาสิ ปุญฺญ’’นฺติ วุตฺตํ, กิํ อญฺญาสุ คตีสุ ปุญฺญกิริยา นตฺถีติ? โน นตฺถิฯ ยสฺมา นิรเยปิ นาม กามาวจรกุสลจิตฺตปวตฺติ กทาจิ ลพฺภเตว, กิมงฺคํ ปนญฺญตฺถ, นนุ อโวจุมฺหา ‘‘ทิฎฺฐสํสนฺทนา ปุจฺฉา’’ติฯ ตสฺมา มหาเถโร มนุสฺสตฺตภาเว ฐตฺวา ปุญฺญกมฺมํ กตฺวา อุปฺปนฺนํ ตํ ทิสฺวา ภูตตฺถวเสน ปุจฺฉโนฺต ‘‘มนุสฺสภูตา กิมกาสิ ปุญฺญ’’นฺติ อโวจฯ

    Kasmā panettha ‘‘manussabhūtā kimakāsi puñña’’nti vuttaṃ, kiṃ aññāsu gatīsu puññakiriyā natthīti? No natthi. Yasmā nirayepi nāma kāmāvacarakusalacittapavatti kadāci labbhateva, kimaṅgaṃ panaññattha, nanu avocumhā ‘‘diṭṭhasaṃsandanā pucchā’’ti. Tasmā mahāthero manussattabhāve ṭhatvā puññakammaṃ katvā uppannaṃ taṃ disvā bhūtatthavasena pucchanto ‘‘manussabhūtā kimakāsi puñña’’nti avoca.

    อถ วา อญฺญาสุ คตีสุ เอกนฺตสุขตาย เอกนฺตทุกฺขตาย ทุกฺขพหุลตาย จ ปุญฺญกิริยาย โอกาโส น สุลภรูโป สปฺปุริสูปนิสฺสยาทิปจฺจยสมวายสฺส สุทุลฺลภภาวโตฯ กทาจิ อุปฺปชฺชมาโนปิ ยถาวุตฺตการเณน อุฬาโร วิปุโล น จ โหติ, มนุสฺสคติยํ ปน สุขพหุลตาย ปุญฺญกิริยาย โอกาโส สุลภรูโป สปฺปุริสูปนิสฺสยาทิปจฺจยสมวายสฺส เยภุเยฺยน สุลภภาวโตฯ ยญฺจ ตตฺถ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ, ตมฺปิ วิเสสโต ปุญฺญกิริยาย อุปนิสฺสโย โหติฯ ทุกฺขูปนิสฺสยา หิ สทฺธาติฯ ยถา หิ อโยฆเนน สตฺถเก นิปฺผาทิยมาเน ตสฺส เอกนฺตโต น อคฺคิมฺหิ ตาปนํ อุทเกน วา เตมนํ เฉทนกิริยาสมตฺถตาย วิเสสปจฺจโย, ตาเปตฺวา ปน ปมาณโยคโต อุทกเตมนํ ตสฺสา วิเสสปจฺจโย, เอวเมว สตฺตสนฺตานสฺส เอกนฺตทุกฺขสมงฺคิตา ทุกฺขพหุลตา เอกนฺตสุขสมงฺคิตา จ ปุญฺญกิริยาย น วิเสสปจฺจโย โหติฯ สติ ปน ทุกฺขสนฺตาปเน ปมาณโยคโต สุขูปพฺรูหเน จ ลทฺธูปนิสฺสยา ปุญฺญกิริยา อุปฺปชฺชติ, อุปฺปชฺชมานา จ มหาชุติกา มหาวิปฺผารา ปฎิปกฺขเฉทนสมตฺถา จ โหติ, ตสฺมา มนุสฺสภาโว ปุญฺญกิริยาย วิเสสปจฺจโย ฯ เตน วุตฺตํ ‘‘มนุสฺสภูตา กิมกาสิ ปุญฺญ’’นฺติฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Atha vā aññāsu gatīsu ekantasukhatāya ekantadukkhatāya dukkhabahulatāya ca puññakiriyāya okāso na sulabharūpo sappurisūpanissayādipaccayasamavāyassa sudullabhabhāvato. Kadāci uppajjamānopi yathāvuttakāraṇena uḷāro vipulo na ca hoti, manussagatiyaṃ pana sukhabahulatāya puññakiriyāya okāso sulabharūpo sappurisūpanissayādipaccayasamavāyassa yebhuyyena sulabhabhāvato. Yañca tattha dukkhaṃ uppajjati, tampi visesato puññakiriyāya upanissayo hoti. Dukkhūpanissayā hi saddhāti. Yathā hi ayoghanena satthake nipphādiyamāne tassa ekantato na aggimhi tāpanaṃ udakena vā temanaṃ chedanakiriyāsamatthatāya visesapaccayo, tāpetvā pana pamāṇayogato udakatemanaṃ tassā visesapaccayo, evameva sattasantānassa ekantadukkhasamaṅgitā dukkhabahulatā ekantasukhasamaṅgitā ca puññakiriyāya na visesapaccayo hoti. Sati pana dukkhasantāpane pamāṇayogato sukhūpabrūhane ca laddhūpanissayā puññakiriyā uppajjati, uppajjamānā ca mahājutikā mahāvipphārā paṭipakkhachedanasamatthā ca hoti, tasmā manussabhāvo puññakiriyāya visesapaccayo . Tena vuttaṃ ‘‘manussabhūtā kimakāsi puñña’’nti. Sesaṃ suviññeyyameva.

    . เอวํ ปน เถเรน ปุจฺฉิตา สา เทวตา ปญฺหํ วิสฺสเชฺชสิฯ ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘สา เทวตา อตฺตมนา’’ติ คาถา วุตฺตาฯ เกน ปนายํ คาถา วุตฺตา? ธมฺมสงฺคาหเกหิฯ ตตฺถ สาติ ยา ปุเพฺพ ‘‘ปุจฺฉามิ ตํ เทวิ มหานุภาเว’’ติ วุตฺตา, สาฯ เทวตาติ เทวปุโตฺตปิ พฺรหฺมาปิ เทวธีตาปิ วุจฺจติฯ ‘‘อถ โข อญฺญตรา เทวตา อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺณา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑; ขุ. ปา. ๕.๑) หิ เทวปุโตฺต ‘‘เทวตา’’ติ วุโตฺต เทโวเยว เทวตาติ กตฺวาฯ ตถา ‘‘ตา เทวตา สตฺตสตา อุฬารา, พฺรหฺมวิมานา อภินิกฺขมิตฺวา’’ติอาทีสุ พฺรหฺมาโนฯ

    4. Evaṃ pana therena pucchitā sā devatā pañhaṃ vissajjesi. Tamatthaṃ dassetuṃ ‘‘sā devatā attamanā’’ti gāthā vuttā. Kena panāyaṃ gāthā vuttā? Dhammasaṅgāhakehi. Tattha ti yā pubbe ‘‘pucchāmi taṃ devi mahānubhāve’’ti vuttā, sā. Devatāti devaputtopi brahmāpi devadhītāpi vuccati. ‘‘Atha kho aññatarā devatā abhikkantāya rattiyā abhikkantavaṇṇā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.1; khu. pā. 5.1) hi devaputto ‘‘devatā’’ti vutto devoyeva devatāti katvā. Tathā ‘‘tā devatā sattasatā uḷārā, brahmavimānā abhinikkhamitvā’’tiādīsu brahmāno.

    ‘‘อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, ยา ตฺวํ ติฎฺฐสิ เทวเต;

    ‘‘Abhikkantena vaṇṇena, yā tvaṃ tiṭṭhasi devate;

    โอภาเสนฺตี ทิสา สพฺพา, โอสธี วิย ตารกา’’ติฯ (วิ. ว. ๗๕) –

    Obhāsentī disā sabbā, osadhī viya tārakā’’ti. (vi. va. 75) –

    อาทีสุ เทวธีตาฯ อิธาปิ เทวธีตา เอว ทฎฺฐพฺพาฯ อตฺตมนาติ ตุฎฺฐมนา ปีติโสมนเสฺสหิ คหิตมนาฯ ปีติโสมนสฺสสหคตญฺหิ จิตฺตํ โทมนสฺสสฺส อโนกาสโต เตหิ ตํ สกํ กตฺวา คหิตํ วิย โหติฯ อตฺตมนาติ วา สกมนาฯ อนวชฺชปีติโสมนสฺสสมฺปยุตฺตญฺหิ จิตฺตํ สมฺปติ อายติญฺจ ตํสมงฺคิโน หิตสุขาวหโต ‘‘สก’’นฺติ วตฺตพฺพตํ ลภติ, น อิตรํฯ

    Ādīsu devadhītā. Idhāpi devadhītā eva daṭṭhabbā. Attamanāti tuṭṭhamanā pītisomanassehi gahitamanā. Pītisomanassasahagatañhi cittaṃ domanassassa anokāsato tehi taṃ sakaṃ katvā gahitaṃ viya hoti. Attamanāti vā sakamanā. Anavajjapītisomanassasampayuttañhi cittaṃ sampati āyatiñca taṃsamaṅgino hitasukhāvahato ‘‘saka’’nti vattabbataṃ labhati, na itaraṃ.

    โมคฺคลฺลาเนนาติ โมคฺคลฺลานโคตฺตสฺส พฺราหฺมณมหาสาลสฺส ปุตฺตภาวโต โส มหาเถโร โคตฺตวเสน ‘‘โมคฺคลฺลาโน’’ติ ปญฺญาโต, เตน โมคฺคลฺลาเนน ฯ ปุจฺฉิตาติ ทิฎฺฐสํสนฺทนวเสน ปุจฺฉิตา, อตฺตมนา สา เทวตา ปญฺหํ พฺยากาสีติ โยชนาฯ อตฺตมนตา จสฺสา ‘‘ตมฺปิ นาม ปริตฺตกมฺปิ กมฺมํ เอวํ มหติยา ทิพฺพสมฺปตฺติยา การณํ อโหสี’’ติ ปุเพฺพปิ สา อตฺตโน ปุญฺญผลํ ปฎิจฺจ อนฺตรนฺตรา โสมนสฺสํ ปฎิสํเวเทติ, อิทานิ ปน ‘‘อญฺญตรสฺส เถรสฺส กโตปิ นาม กาโร เอวํ อุฬารผโล, อยํ ปน พุทฺธานํ อคฺคสาวโก อุฬารคุโณ มหานุภาโว , อิมมฺปิ ปสฺสิตุํ นิปจฺจการญฺจ กาตุํ ลภามิ, มม ปุญฺญผลปฎิสํยุตฺตเมว จ ปุจฺฉํ กโรตี’’ติ ทฺวีหิ การเณหิ อุปฺปนฺนาฯ เอวํ สญฺชาตพลวปีติโสมนสฺสา สา เถรสฺส วจนํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปญฺหํ ปุฎฺฐา พฺยากาสิฯ

    Moggallānenāti moggallānagottassa brāhmaṇamahāsālassa puttabhāvato so mahāthero gottavasena ‘‘moggallāno’’ti paññāto, tena moggallānena . Pucchitāti diṭṭhasaṃsandanavasena pucchitā, attamanā sā devatā pañhaṃ byākāsīti yojanā. Attamanatā cassā ‘‘tampi nāma parittakampi kammaṃ evaṃ mahatiyā dibbasampattiyā kāraṇaṃ ahosī’’ti pubbepi sā attano puññaphalaṃ paṭicca antarantarā somanassaṃ paṭisaṃvedeti, idāni pana ‘‘aññatarassa therassa katopi nāma kāro evaṃ uḷāraphalo, ayaṃ pana buddhānaṃ aggasāvako uḷāraguṇo mahānubhāvo , imampi passituṃ nipaccakārañca kātuṃ labhāmi, mama puññaphalapaṭisaṃyuttameva ca pucchaṃ karotī’’ti dvīhi kāraṇehi uppannā. Evaṃ sañjātabalavapītisomanassā sā therassa vacanaṃ sirasā sampaṭicchitvā pañhaṃ puṭṭhā byākāsi.

    ปญฺหนฺติ ญาตุํ อิจฺฉิตํ ตํ อตฺถํ วิยากาสิ กเถสิ วิสฺสเชฺชสิฯ กถํ ปน พฺยากาสิ? ปุฎฺฐาติ ปุฎฺฐาการโต, ปุจฺฉิตากาเรเนวาติ อโตฺถฯ เอตฺถ หิ ‘‘ปุจฺฉิตา’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘ปุฎฺฐา’’ติ วจนํ วิเสสตฺถนิยมนํ ทฎฺฐพฺพํฯ สิเทฺธ หิ สติ อารโมฺภ วิเสสตฺถญาปโกว โหติฯ โก ปเนโส วิเสสโตฺถ? พฺยากรณสฺส ปุจฺฉานุรูปตาฯ ยญฺหิ กมฺมผลํ ทเสฺสตฺวา ตสฺส การณภูตํ กมฺมํ ปุจฺฉิตํ, ตทุภยสฺส อญฺญมญฺญานุรูปภาววิภาวนาฯ เยน จ อากาเรน ปุจฺฉา ปวตฺตา อตฺถโต จ พฺยญฺชนโต จ, ตทาการสฺส พฺยากรณสฺส ปุจฺฉานุรูปตา, ตถา เจว วิสฺสชฺชนํ ปวตฺตํฯ อิติ อิมสฺส วิเสสสฺส ญาปนตฺถํ ‘‘ปุจฺฉิตา’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘ปุฎฺฐา’’ติ วุตฺตํฯ

    Pañhanti ñātuṃ icchitaṃ taṃ atthaṃ viyākāsi kathesi vissajjesi. Kathaṃ pana byākāsi? Puṭṭhāti puṭṭhākārato, pucchitākārenevāti attho. Ettha hi ‘‘pucchitā’’ti vatvā puna ‘‘puṭṭhā’’ti vacanaṃ visesatthaniyamanaṃ daṭṭhabbaṃ. Siddhe hi sati ārambho visesatthañāpakova hoti. Ko paneso visesattho? Byākaraṇassa pucchānurūpatā. Yañhi kammaphalaṃ dassetvā tassa kāraṇabhūtaṃ kammaṃ pucchitaṃ, tadubhayassa aññamaññānurūpabhāvavibhāvanā. Yena ca ākārena pucchā pavattā atthato ca byañjanato ca, tadākārassa byākaraṇassa pucchānurūpatā, tathā ceva vissajjanaṃ pavattaṃ. Iti imassa visesassa ñāpanatthaṃ ‘‘pucchitā’’ti vatvā puna ‘‘puṭṭhā’’ti vuttaṃ.

    ‘‘ปุจฺฉิตา’’ติ วา ตาย เทวตาย วิเสสนมุเขน ปุฎฺฐภาวสฺส ปญฺหพฺยากรณสฺส จ การณกิตฺตนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘เกน เตตาทิโส วโณฺณ’’ติอาทินา เถเรน ปุจฺฉียตีติ ปุจฺฉา, ตาย เทวตาย กตกมฺมํ, ตสฺสา ปุจฺฉาย การิตา อาจิกฺขิตา วาติ สา เทวตา ‘‘ปุจฺฉิตา’’ติ วุตฺตาฯ ยสฺมา ปุจฺฉิตา ปุจฺฉิยมานสฺส กมฺมสฺส การิตา, ตสฺมา ปญฺหํ ปุฎฺฐาฯ ยสฺมา จ ปุจฺฉิตา ปุจฺฉิยมานสฺส กมฺมสฺส อาจิกฺขนสภาวา, ตสฺมา ปญฺหํ พฺยากาสีติฯ ยสฺส กมฺมสฺสิทํ ผลนฺติ อิทํ ‘‘ปญฺห’’นฺติ วุตฺตสฺส อตฺถสฺส สรูปทสฺสนํฯ อยํ เจตฺถ อโตฺถ – อิทํ ปุจฺฉนฺตสฺส ปุจฺฉิยมานาย จ ปจฺจกฺขภูตํ อนนฺตรํ วุตฺตปฺปการํ ปุญฺญผลํ, ยสฺส กมฺมสฺส ตํ ญาตุํ อิจฺฉิตตฺตา ปญฺหนฺติ วุตฺตํ ปุญฺญกมฺมํ พฺยากาสีติฯ

    ‘‘Pucchitā’’ti vā tāya devatāya visesanamukhena puṭṭhabhāvassa pañhabyākaraṇassa ca kāraṇakittanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘kena tetādiso vaṇṇo’’tiādinā therena pucchīyatīti pucchā, tāya devatāya katakammaṃ, tassā pucchāya kāritā ācikkhitā vāti sā devatā ‘‘pucchitā’’ti vuttā. Yasmā pucchitā pucchiyamānassa kammassa kāritā, tasmā pañhaṃ puṭṭhā. Yasmā ca pucchitā pucchiyamānassa kammassa ācikkhanasabhāvā, tasmā pañhaṃ byākāsīti. Yassa kammassidaṃ phalanti idaṃ ‘‘pañha’’nti vuttassa atthassa sarūpadassanaṃ. Ayaṃ cettha attho – idaṃ pucchantassa pucchiyamānāya ca paccakkhabhūtaṃ anantaraṃ vuttappakāraṃ puññaphalaṃ, yassa kammassa taṃ ñātuṃ icchitattā pañhanti vuttaṃ puññakammaṃ byākāsīti.

    . อหํ มนุเสฺสสูติอาทิ ปญฺหสฺส พฺยากรณากาโรฯ ตตฺถ อหนฺติ เทวตา อตฺตานํ นิทฺทิสติฯ ‘‘มนุเสฺสสู’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘มนุสฺสภูตา’’ติ วจนํ ตทา อตฺตนิ มนุสฺสคุณานํ วิชฺชมานตาทสฺสนตฺถํฯ โย หิ มนุสฺสชาติโกว สมาโน ปาณาติปาตาทิํ อกตฺตพฺพํ กตฺวา ทณฺฑารโห ตตฺถ ตตฺถ ราชาทิโต หตฺถเจฺฉทาทิกมฺมการณํ ปาปุณโนฺต มหาทุกฺขํ อนุภวติ, อยํ มนุสฺสเนรยิโก นามฯ อปโร มนุสฺสชาติโกว สมาโน ปุเพฺพกตกมฺมุนา ฆาสจฺฉาทนมฺปิ น ลภติ, ขุปฺปิปาสาภิภูโต ทุกฺขพหุโล กตฺถจิ ปติฎฺฐํ อลภมาโน วิจรติ, อยํ มนุสฺสเปโต นามฯ อปโร มนุสฺสชาติโกว สมาโน ปราธีนวุตฺติ ปเรสํ ภารํ วหโนฺต ภินฺนมริยาโท วา อนาจารํ อาจริตฺวา ปเรหิ สนฺตชฺชิโต มรณภยภีโต คหนนิสฺสิโต ทุกฺขพหุโล วิจรติ หิตาหิตํ อชานโนฺต นิทฺทาชิฆจฺฉาทุกฺขวิโนทนาทิปโร, อยํ มนุสฺสติรจฺฉาโน นามฯ โย ปน อตฺตโน หิตาหิตํ ชานโนฺต กมฺมผลํ สทฺทหโนฺต หิโรตฺตปฺปสมฺปโนฺน ทยาปโนฺน สพฺพสเตฺตสุ สํเวคพหุโล อกุสลกมฺมปเถ ปริวเชฺชโนฺต กุสลกมฺมปเถ สมาจรโนฺต ปุญฺญกิริยวตฺถูนิ ปริปูเรติ, อยํ มนุสฺสธเมฺม ปติฎฺฐิโต ปรมตฺถโต มนุโสฺส นามฯ อยมฺปิ ตาทิสา อโหสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘มนุเสฺสสุ มนุสฺสภูตา’’ติฯ มนุเสฺส สตฺตนิกาเย มนุสฺสภาวํ ปตฺตา มนุสฺสธมฺมญฺจ อปฺปหาย ฐิตาติ อโตฺถฯ

    5.Ahaṃ manussesūtiādi pañhassa byākaraṇākāro. Tattha ahanti devatā attānaṃ niddisati. ‘‘Manussesū’’ti vatvā puna ‘‘manussabhūtā’’ti vacanaṃ tadā attani manussaguṇānaṃ vijjamānatādassanatthaṃ. Yo hi manussajātikova samāno pāṇātipātādiṃ akattabbaṃ katvā daṇḍāraho tattha tattha rājādito hatthacchedādikammakāraṇaṃ pāpuṇanto mahādukkhaṃ anubhavati, ayaṃ manussanerayiko nāma. Aparo manussajātikova samāno pubbekatakammunā ghāsacchādanampi na labhati, khuppipāsābhibhūto dukkhabahulo katthaci patiṭṭhaṃ alabhamāno vicarati, ayaṃ manussapeto nāma. Aparo manussajātikova samāno parādhīnavutti paresaṃ bhāraṃ vahanto bhinnamariyādo vā anācāraṃ ācaritvā parehi santajjito maraṇabhayabhīto gahananissito dukkhabahulo vicarati hitāhitaṃ ajānanto niddājighacchādukkhavinodanādiparo, ayaṃ manussatiracchāno nāma. Yo pana attano hitāhitaṃ jānanto kammaphalaṃ saddahanto hirottappasampanno dayāpanno sabbasattesu saṃvegabahulo akusalakammapathe parivajjento kusalakammapathe samācaranto puññakiriyavatthūni paripūreti, ayaṃ manussadhamme patiṭṭhito paramatthato manusso nāma. Ayampi tādisā ahosi. Tena vuttaṃ ‘‘manussesu manussabhūtā’’ti. Manusse sattanikāye manussabhāvaṃ pattā manussadhammañca appahāya ṭhitāti attho.

    อพฺภาคตานนฺติ อภิอาคตานํ, สมฺปตฺตอาคนฺตุกานนฺติ อโตฺถฯ ทุวิธา หิ อาคนฺตุกา อติถิ อพฺภาคโตติฯ เตสุ กตปริจโย อาคนฺตุโก อติถิ, อกตปริจโย อพฺภาคโตฯ กตปริจโย อกตปริจโยปิ วา ปุเรตรํ อาคโต อติถิ, โภชนเวลายํ อุปฎฺฐิโต สมฺปติ อาคโต อพฺภาคโตฯ นิมนฺติโต วา ภเตฺตน อติถิ, อนิมนฺติโต อพฺภาคโตฯ อยํ ปน อกตปริจโย อนิมนฺติโต สมฺปติ อาคโต จ, ตํ สนฺธายาห ‘‘อพฺภาคตาน’’นฺติ, ครุกาเรน ปเนตฺถ พหุวจนํ วุตฺตํฯ อาสติ นิสีทติ เอตฺถาติ อาสนํฯ ยํกิญฺจิ นิสีทนโยคฺคํ, อิธ ปน ปีฐํ อธิเปฺปตํ, ตสฺส จ อปฺปกตฺตา อนุฬารตฺตา จ ‘‘อาสนก’’นฺติ อาหฯ อทาสินฺติ ‘‘อิทมสฺส เถรสฺส ทินฺนํ มยฺหํ มหปฺผลํ ภวิสฺสติ มหานิสํส’’นฺติ สญฺชาตโสมนสฺสา กมฺมํ กมฺมผลญฺจ สทฺทหิตฺวา ตสฺส เถรสฺส ปริโภคตฺถาย อทาสิํ, นิรเปกฺขปริจฺจาควเสน ปริจฺจชินฺติ อโตฺถฯ

    Abbhāgatānanti abhiāgatānaṃ, sampattaāgantukānanti attho. Duvidhā hi āgantukā atithi abbhāgatoti. Tesu kataparicayo āgantuko atithi, akataparicayo abbhāgato. Kataparicayo akataparicayopi vā puretaraṃ āgato atithi, bhojanavelāyaṃ upaṭṭhito sampati āgato abbhāgato. Nimantito vā bhattena atithi, animantito abbhāgato. Ayaṃ pana akataparicayo animantito sampati āgato ca, taṃ sandhāyāha ‘‘abbhāgatāna’’nti, garukārena panettha bahuvacanaṃ vuttaṃ. Āsati nisīdati etthāti āsanaṃ. Yaṃkiñci nisīdanayoggaṃ, idha pana pīṭhaṃ adhippetaṃ, tassa ca appakattā anuḷārattā ca ‘‘āsanaka’’nti āha. Adāsinti ‘‘idamassa therassa dinnaṃ mayhaṃ mahapphalaṃ bhavissati mahānisaṃsa’’nti sañjātasomanassā kammaṃ kammaphalañca saddahitvā tassa therassa paribhogatthāya adāsiṃ, nirapekkhapariccāgavasena pariccajinti attho.

    อภิวาทยินฺติ อภิวาทนมกาสิํ, ปญฺจปติฎฺฐิเตน ทกฺขิเณยฺยปุคฺคเล วนฺทินฺติ อโนฺตฯ วนฺทมานา หิ ตํ ตาเยว วนฺทนกิริยาย วนฺทิยมานํ ‘‘สุขินี โหหิ, อโรคา โหหี’’ติอาทินา อาสิวาทํ อตฺถโต วทาเปสิ นามฯ อญฺชลิกํ อกาสินฺติ ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ สิรสิ ปคฺคณฺหนฺตี คุณวิสิฎฺฐานํ อปจายนํ อกาสินฺติ อโตฺถฯ ยถานุภาวนฺติ ยถาพลํ, ตทา มม วิชฺชมานวิภวานุรูปนฺติ อโตฺถฯ อทาสิ ทานนฺติ อนฺนปานาทิเทยฺยธมฺมปริจฺจาเคน ทกฺขิเณยฺยํ โภเชนฺตี ทานมยํ ปุญฺญํ ปสวิํฯ

    Abhivādayinti abhivādanamakāsiṃ, pañcapatiṭṭhitena dakkhiṇeyyapuggale vandinti anto. Vandamānā hi taṃ tāyeva vandanakiriyāya vandiyamānaṃ ‘‘sukhinī hohi, arogā hohī’’tiādinā āsivādaṃ atthato vadāpesi nāma. Añjalikaṃ akāsinti dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ sirasi paggaṇhantī guṇavisiṭṭhānaṃ apacāyanaṃ akāsinti attho. Yathānubhāvanti yathābalaṃ, tadā mama vijjamānavibhavānurūpanti attho. Adāsi dānanti annapānādideyyadhammapariccāgena dakkhiṇeyyaṃ bhojentī dānamayaṃ puññaṃ pasaviṃ.

    เอตฺถ จ ‘‘อห’’นฺติ อิทํ กมฺมสฺส ผลสฺส จ เอกสนฺตติปติตตาทสฺสเนน สมฺพนฺธภาวทสฺสนํ, ‘‘มนุเสฺสสุ มนุสฺสภูตา’’ติ อิทํ ตสฺสา ปุญฺญกิริยาย อธิฎฺฐานภูตสนฺตานวิเสสทสฺสนํ, ‘‘อพฺภาคตาน’’นฺติ อิทํ จิตฺตสมฺปตฺติทสฺสนเญฺจว เขตฺตสมฺปตฺติทสฺสนญฺจ ทานสฺส วิย ปฎิคฺคหณสฺส จ กิญฺจิ อนเปกฺขิตฺวา ปวตฺติตภาวทีปนโตฯ ‘‘อาสนกํ อทาสิํ ยถานุภาวญฺจ อทาสิ ทาน’’นฺติ อิทํ โภคสารทานทสฺสนํ, ‘‘อภิวาทยิํ อญฺชลิกํ อกาสิ’’นฺติ อิทํ กายสารทานทสฺสนํฯ

    Ettha ca ‘‘aha’’nti idaṃ kammassa phalassa ca ekasantatipatitatādassanena sambandhabhāvadassanaṃ, ‘‘manussesu manussabhūtā’’ti idaṃ tassā puññakiriyāya adhiṭṭhānabhūtasantānavisesadassanaṃ, ‘‘abbhāgatāna’’nti idaṃ cittasampattidassanañceva khettasampattidassanañca dānassa viya paṭiggahaṇassa ca kiñci anapekkhitvā pavattitabhāvadīpanato. ‘‘Āsanakaṃ adāsiṃ yathānubhāvañca adāsi dāna’’nti idaṃ bhogasāradānadassanaṃ, ‘‘abhivādayiṃ añjalikaṃ akāsi’’nti idaṃ kāyasāradānadassanaṃ.

    . เตนาติ เตน ยถาวุเตฺตน ปุเญฺญน เหตุภูเตนฯ เมติ อยํ เม-สโทฺท ‘‘กิเจฺฉน เม อธิคตํ, หลํ ทานิ ปกาสิตุ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๖๕; ม. นิ. ๑.๒๘๑; สํ. นิ. ๑.๑๗๒) กรเณ อาคโต, มยาติ อโตฺถฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๑๘๒; อ. นิ. ๔.๒๕๗) สมฺปทาเน, มยฺหนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ปุเพฺพว เม, ภิกฺขเว, สโมฺพธา อนภิสมฺพุทฺธสฺส โพธิสตฺตเสฺสว สโต’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๐๖; สํ. นิ. ๔.๑๔; อ. นิ. ๓.๑๐๔) สามิอเตฺถ อาคโต, อิธาปิ สามิอเตฺถ เอว, มมาติ อโตฺถฯ สฺวายํ เม-สโทฺท เตน เม ปุเญฺญนาติ จ เม เอตาทิโสติ จ อุภยตฺถ สมฺพนฺธิตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    6.Tenāti tena yathāvuttena puññena hetubhūtena. Meti ayaṃ me-saddo ‘‘kicchena me adhigataṃ, halaṃ dāni pakāsitu’’ntiādīsu (dī. ni. 2.65; ma. ni. 1.281; saṃ. ni. 1.172) karaṇe āgato, mayāti attho. ‘‘Sādhu me, bhante, bhagavā saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.182; a. ni. 4.257) sampadāne, mayhanti attho. ‘‘Pubbeva me, bhikkhave, sambodhā anabhisambuddhassa bodhisattasseva sato’’tiādīsu (ma. ni. 1.206; saṃ. ni. 4.14; a. ni. 3.104) sāmiatthe āgato, idhāpi sāmiatthe eva, mamāti attho. Svāyaṃ me-saddo tena me puññenāti ca me etādisoti ca ubhayattha sambandhitabbo. Sesaṃ vuttanayameva.

    เอวํ ตาย เทวตาย ปเญฺห พฺยากเต อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน วิตฺถาเรน ธมฺมํ เทเสสิฯ สา เทสนา สปริวาราย ตสฺสา เทวตาย สาตฺถิกา อโหสิฯ เถโร ตโต มนุสฺสโลกํ อาคนฺตฺวา สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ ภควโต อาโรเจสิฯ ภควา ตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ คาถา เอว ปน สงฺคหํ อารุฬฺหาติฯ

    Evaṃ tāya devatāya pañhe byākate āyasmā mahāmoggallāno vitthārena dhammaṃ desesi. Sā desanā saparivārāya tassā devatāya sātthikā ahosi. Thero tato manussalokaṃ āgantvā sabbaṃ taṃ pavattiṃ bhagavato ārocesi. Bhagavā taṃ aṭṭhuppattiṃ katvā sampattaparisāya dhammaṃ desesi. Gāthā eva pana saṅgahaṃ āruḷhāti.

    ปฐมปีฐวิมานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamapīṭhavimānavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / วิมานวตฺถุปาฬิ • Vimānavatthupāḷi / ๑. ปฐมปีฐวิมานวตฺถุ • 1. Paṭhamapīṭhavimānavatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact