Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā

    ๑๐. ปฐมสงฺฆเภทสิกฺขาปทวณฺณนา

    10. Paṭhamasaṅghabhedasikkhāpadavaṇṇanā

    ๔๐๙. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควาติ สงฺฆเภทสิกฺขาปทํฯ ตตฺถ อถ โข เทวทโตฺตติอาทีสุ โย จ เทวทโตฺต, ยถา จ ปพฺพชิโต, เยน จ การเณน โกกาลิกาทโย อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เอถ มยํ อาวุโส สมณสฺส โคตมสฺส สงฺฆเภทํ กริสฺสาม จกฺกเภท’’นฺติ อาหฯ ตํ สพฺพํ สงฺฆเภทกฺขนฺธเก (จูฬว. ๓๔๓) อาคตเมวฯ ปญฺจวตฺถุยาจนา ปน กิญฺจาปิ ตเตฺถว อาคมิสฺสติฯ อถ โข อิธาปิ อาคตตฺตา ยเทตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ วตฺวาว คมิสฺสามฯ

    409.Tenasamayena buddho bhagavāti saṅghabhedasikkhāpadaṃ. Tattha atha kho devadattotiādīsu yo ca devadatto, yathā ca pabbajito, yena ca kāraṇena kokālikādayo upasaṅkamitvā ‘‘etha mayaṃ āvuso samaṇassa gotamassa saṅghabhedaṃ karissāma cakkabheda’’nti āha. Taṃ sabbaṃ saṅghabhedakkhandhake (cūḷava. 343) āgatameva. Pañcavatthuyācanā pana kiñcāpi tattheva āgamissati. Atha kho idhāpi āgatattā yadettha vattabbaṃ, taṃ vatvāva gamissāma.

    สาธุ ภเนฺตติ อายาจนาฯ ภิกฺขู ยาวชีวํ อารญฺญิกา อสฺสูติ อารญฺญิกธุตงฺคํ สมาทาย สเพฺพปิ ภิกฺขู ยาว ชีวนฺติ ตาว อารญฺญิกา โหนฺตุ , อรเญฺญเยว วสนฺตุฯ โย คามนฺตํ โอสเรยฺย วชฺชํ นํ ผุเสยฺยาติ โย เอกภิกฺขุปิ อรญฺญํ ปหาย นิวาสตฺถาย คามนฺตํ โอสเรยฺย, วชฺชํ ตํ ผุเสยฺย นํ ภิกฺขุํ โทโส ผุสตุ, อาปตฺติยา นํ ภควา กาเรตู’’ติ อธิปฺปาเยน วทติฯ เอส นโย เสสวตฺถูสุปิฯ

    Sādhu bhanteti āyācanā. Bhikkhū yāvajīvaṃ āraññikā assūti āraññikadhutaṅgaṃ samādāya sabbepi bhikkhū yāva jīvanti tāva āraññikā hontu , araññeyeva vasantu. Yo gāmantaṃ osareyya vajjaṃ naṃ phuseyyāti yo ekabhikkhupi araññaṃ pahāya nivāsatthāya gāmantaṃ osareyya, vajjaṃ taṃ phuseyya naṃ bhikkhuṃ doso phusatu, āpattiyā naṃ bhagavā kāretū’’ti adhippāyena vadati. Esa nayo sesavatthūsupi.

    ๔๑๐. ชนํ สญฺญาเปสฺสามาติ ชนํ อมฺหากํ อปฺปิจฺฉตาทิภาวํ ชานาเปสฺสาม, อถ วา ปริโตเสสฺสาม ปสาเทสฺสามาติ วุตฺตํ โหติฯ

    410.Janaṃ saññāpessāmāti janaṃ amhākaṃ appicchatādibhāvaṃ jānāpessāma, atha vā paritosessāma pasādessāmāti vuttaṃ hoti.

    อิมานิ ปน ปญฺจ วตฺถูนิ ยาจโต เทวทตฺตสฺส วจนํ สุตฺวาว อญฺญาสิ ภควา ‘‘สงฺฆเภทตฺถิโก หุตฺวา อยํ ยาจตี’’ติฯ ยสฺมา ปน ตานิ อนุชานิยมานานิ พหูนํ กุลปุตฺตานํ มคฺคนฺตรายาย สํวตฺตนฺติ, ตสฺมา ภควา ‘‘อลํ เทวทตฺตา’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘โย อิจฺฉติ อารญฺญิโก โหตู’’ติอาทิมาหฯ

    Imāni pana pañca vatthūni yācato devadattassa vacanaṃ sutvāva aññāsi bhagavā ‘‘saṅghabhedatthiko hutvā ayaṃ yācatī’’ti. Yasmā pana tāni anujāniyamānāni bahūnaṃ kulaputtānaṃ maggantarāyāya saṃvattanti, tasmā bhagavā ‘‘alaṃ devadattā’’ti paṭikkhipitvā ‘‘yo icchati āraññiko hotū’’tiādimāha.

    เอตฺถ ปน ภควโต อธิปฺปายํ วิทิตฺวา กุลปุเตฺตน อตฺตโน ปติรูปํ เวทิตพฺพํฯ อยเญฺหตฺถ ภควโต อธิปฺปาโย – ‘‘เอโก ภิกฺขุ มหชฺฌาสโย โหติ มหุสฺสาโห, สโกฺกติ คามนฺตเสนาสนํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อรเญฺญ วิหรโนฺต ทุกฺขสฺสนฺตํ กาตุํฯ เอโก ทุพฺพโล โหติ อปฺปถาโม อรเญฺญ น สโกฺกติ, คามเนฺตเยว สโกฺกติฯ เอโก มหพฺพโล สมปฺปวตฺตธาตุโก อธิวาสนขนฺติสมฺปโนฺน อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ สมจิโตฺต อรเญฺญปิ คามเนฺตปิ สโกฺกติเยวฯ เอโก เนว คามเนฺต น อรเญฺญ สโกฺกติ ปทปรโม โหติฯ

    Ettha pana bhagavato adhippāyaṃ viditvā kulaputtena attano patirūpaṃ veditabbaṃ. Ayañhettha bhagavato adhippāyo – ‘‘eko bhikkhu mahajjhāsayo hoti mahussāho, sakkoti gāmantasenāsanaṃ paṭikkhipitvā araññe viharanto dukkhassantaṃ kātuṃ. Eko dubbalo hoti appathāmo araññe na sakkoti, gāmanteyeva sakkoti. Eko mahabbalo samappavattadhātuko adhivāsanakhantisampanno iṭṭhāniṭṭhesu samacitto araññepi gāmantepi sakkotiyeva. Eko neva gāmante na araññe sakkoti padaparamo hoti.

    ตตฺร ยฺวายํ มหชฺฌาสโย โหติ มหุสฺสาโห, สโกฺกติ คามนฺตเสนาสนํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อรเญฺญ วิหรโนฺต ทุกฺขสฺสนฺตํ กาตุํ, โส อรเญฺญเยว วสตุ, อิทมสฺส ปติรูปํฯ สทฺธิวิหาริกาทโยปิ จสฺส อนุสิกฺขมานา อรเญฺญ วิหาตพฺพเมว มญฺญิสฺสนฺติฯ

    Tatra yvāyaṃ mahajjhāsayo hoti mahussāho, sakkoti gāmantasenāsanaṃ paṭikkhipitvā araññe viharanto dukkhassantaṃ kātuṃ, so araññeyeva vasatu, idamassa patirūpaṃ. Saddhivihārikādayopi cassa anusikkhamānā araññe vihātabbameva maññissanti.

    โย ปน ทุพฺพโล โหติ อปฺปถาโม คามเนฺตเยว สโกฺกติ ทุกฺขสฺสนฺตํ กาตุํ, น อรเญฺญ โส คามเนฺตเยว วสตุ, ยฺวายํ มหพฺพโล สมปฺปวตฺตธาตุโก อธิวาสนขนฺติสมฺปโนฺน อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ สมจิโตฺต อรเญฺญปิ คามเนฺตปิ สโกฺกติเยว, อยมฺปิ คามนฺตเสนาสนํ ปหาย อรเญฺญ วิหรตุ, อิทมสฺส ปติรูปํ สทฺธิวิหาริกาปิ หิสฺส อนุสิกฺขมานา อรเญฺญ วิหาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติฯ

    Yo pana dubbalo hoti appathāmo gāmanteyeva sakkoti dukkhassantaṃ kātuṃ, na araññe so gāmanteyeva vasatu, yvāyaṃ mahabbalo samappavattadhātuko adhivāsanakhantisampanno iṭṭhāniṭṭhesu samacitto araññepi gāmantepi sakkotiyeva, ayampi gāmantasenāsanaṃ pahāya araññe viharatu, idamassa patirūpaṃ saddhivihārikāpi hissa anusikkhamānā araññe vihātabbaṃ maññissanti.

    โย ปนายํ เนว คามเนฺต น อรเญฺญ สโกฺกติ ปทปรโม โหติฯ อยมฺปิ อรเญฺญเยว วสตุฯ อยํ หิสฺส ธุตงฺคเสวนา กมฺมฎฺฐานภาวนา จ อายติํ มคฺคผลานํ อุปนิสฺสโย ภวิสฺสติฯ สทฺธิวิหาริกาทโย จสฺส อนุสิกฺขมานา อรเญฺญ วิหาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺตีติฯ

    Yo panāyaṃ neva gāmante na araññe sakkoti padaparamo hoti. Ayampi araññeyeva vasatu. Ayaṃ hissa dhutaṅgasevanā kammaṭṭhānabhāvanā ca āyatiṃ maggaphalānaṃ upanissayo bhavissati. Saddhivihārikādayo cassa anusikkhamānā araññe vihātabbaṃ maññissantīti.

    เอวํ ยฺวายํ ทุพฺพโล โหติ อปฺปถาโม คามเนฺตเยว วิหรโนฺต สโกฺกติ ทุกฺขสฺสนฺตํ กาตุํ น อรเญฺญ, อิมํ ปุคฺคลํ สนฺธาย ภควา ‘‘โย อิจฺฉติ คามเนฺต วิหรตู’’ติ อาหฯ อิมินา จ ปุคฺคเลน อเญฺญสมฺปิ ทฺวารํ ทินฺนํฯ

    Evaṃ yvāyaṃ dubbalo hoti appathāmo gāmanteyeva viharanto sakkoti dukkhassantaṃ kātuṃ na araññe, imaṃ puggalaṃ sandhāya bhagavā ‘‘yo icchati gāmante viharatū’’ti āha. Iminā ca puggalena aññesampi dvāraṃ dinnaṃ.

    ยทิ ปน ภควา เทวทตฺตสฺส วาทํ สมฺปฎิเจฺฉยฺย, ยฺวายํ ปุคฺคโล ปกติยา ทุพฺพโล โหติ อปฺปถาโม, โยปิ ทหรกาเล อรญฺญวาสํ อภิสมฺภุณิตฺวา ชิณฺณกาเล วา วาตปิตฺตาทีหิ สมุปฺปนฺนธาตุโกฺขภกาเล วา นาภิสมฺภุณาติ, คามเนฺตเยว ปน วิหรโนฺต สโกฺกติ ทุกฺขสฺสนฺตํ กาตุํ, เตสํ อริยมคฺคุปเจฺฉโท ภเวยฺย, อรหตฺตผลาธิคโม น ภเวยฺย, อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ วิโลมํ อนิยฺยานิกํ สตฺถุ สาสนํ ภเวยฺย, สตฺถา จ เตสํ อสพฺพญฺญู อสฺส ‘‘สกวาทํ ฉเฑฺฑตฺวา เทวทตฺตวาเท ปติฎฺฐิโต’’ติ คารโยฺห จ ภเวยฺยฯ ตสฺมา ภควา เอวรูเป ปุคฺคเล สงฺคณฺหโนฺต เทวทตฺตสฺส วาทํ ปฎิกฺขิปิฯ เอเตเนวูปาเยน ปิณฺฑปาติกวตฺถุสฺมิมฺปิ ปํสุกูลิกวตฺถุสฺมิมฺปิ อฎฺฐ มาเส รุกฺขมูลิกวตฺถุสฺมิมฺปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ จตฺตาโร ปน มาเส รุกฺขมูลเสนาสนํ ปฎิกฺขิตฺตเมวฯ

    Yadi pana bhagavā devadattassa vādaṃ sampaṭiccheyya, yvāyaṃ puggalo pakatiyā dubbalo hoti appathāmo, yopi daharakāle araññavāsaṃ abhisambhuṇitvā jiṇṇakāle vā vātapittādīhi samuppannadhātukkhobhakāle vā nābhisambhuṇāti, gāmanteyeva pana viharanto sakkoti dukkhassantaṃ kātuṃ, tesaṃ ariyamaggupacchedo bhaveyya, arahattaphalādhigamo na bhaveyya, uddhammaṃ ubbinayaṃ vilomaṃ aniyyānikaṃ satthu sāsanaṃ bhaveyya, satthā ca tesaṃ asabbaññū assa ‘‘sakavādaṃ chaḍḍetvā devadattavāde patiṭṭhito’’ti gārayho ca bhaveyya. Tasmā bhagavā evarūpe puggale saṅgaṇhanto devadattassa vādaṃ paṭikkhipi. Etenevūpāyena piṇḍapātikavatthusmimpi paṃsukūlikavatthusmimpi aṭṭha māse rukkhamūlikavatthusmimpi vinicchayo veditabbo. Cattāro pana māse rukkhamūlasenāsanaṃ paṭikkhittameva.

    มจฺฉมํสวตฺถุสฺมิํ ติโกฎิปริสุทฺธนฺติ ตีหิ โกฎีหิ ปริสุทฺธํ, ทิฎฺฐาทีหิ อปริสุทฺธีหิ วิรหิตนฺติ อโตฺถฯ เตเนวาห – ‘‘อทิฎฺฐํ, อสุตํ, อปริสงฺกิต’’นฺติฯ ตตฺถ ‘‘อทิฎฺฐํ’’ นาม ภิกฺขูนํ อตฺถาย มิคมเจฺฉ วธิตฺวา คยฺหมานํ อทิฎฺฐํฯ ‘‘อสุตํ’’ นาม ภิกฺขูนํ อตฺถาย มิคมเจฺฉ วธิตฺวา คหิตนฺติ อสุตํฯ ‘‘อปริสงฺกิตํ’’ ปน ทิฎฺฐปริสงฺกิตํ สุตปริสงฺกิตํ ตทุภยวิมุตฺตปริสงฺกิตญฺจ ญตฺวา ตพฺพิปกฺขโต ชานิตพฺพํฯ กถํ? อิธ ภิกฺขู ปสฺสนฺติ มนุเสฺส ชาลวาคุราทิหเตฺถ คามโต ว นิกฺขมเนฺต อรเญฺญ วา วิจรเนฺต, ทุติยทิวเส จ เนสํ ตํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐานํ สมจฺฉมํสํ ปิณฺฑปาตํ อภิหรนฺติฯ เต เตน ทิเฎฺฐน ปริสงฺกนฺติ ‘‘ภิกฺขูนํ นุโข อตฺถาย กต’’นฺติ อิทํ ทิฎฺฐปริสงฺกิตํ, นาม เอตํ คเหตุํ น วฎฺฎติฯ ยํ เอวํ อปริสงฺกิตํ ตํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน เต มนุสฺสา ‘‘กสฺมา ภเนฺต น คณฺหถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา ‘‘นยิทํ ภเนฺต ภิกฺขูนํ อตฺถาย กตํ, อเมฺหหิ อตฺตโน อตฺถาย วา ราชยุตฺตาทีนํ อตฺถาย วา กต’’นฺติ วทนฺติ กปฺปติฯ

    Macchamaṃsavatthusmiṃ tikoṭiparisuddhanti tīhi koṭīhi parisuddhaṃ, diṭṭhādīhi aparisuddhīhi virahitanti attho. Tenevāha – ‘‘adiṭṭhaṃ, asutaṃ, aparisaṅkita’’nti. Tattha ‘‘adiṭṭhaṃ’’ nāma bhikkhūnaṃ atthāya migamacche vadhitvā gayhamānaṃ adiṭṭhaṃ. ‘‘Asutaṃ’’ nāma bhikkhūnaṃ atthāya migamacche vadhitvā gahitanti asutaṃ. ‘‘Aparisaṅkitaṃ’’ pana diṭṭhaparisaṅkitaṃ sutaparisaṅkitaṃ tadubhayavimuttaparisaṅkitañca ñatvā tabbipakkhato jānitabbaṃ. Kathaṃ? Idha bhikkhū passanti manusse jālavāgurādihatthe gāmato va nikkhamante araññe vā vicarante, dutiyadivase ca nesaṃ taṃ gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭhānaṃ samacchamaṃsaṃ piṇḍapātaṃ abhiharanti. Te tena diṭṭhena parisaṅkanti ‘‘bhikkhūnaṃ nukho atthāya kata’’nti idaṃ diṭṭhaparisaṅkitaṃ, nāma etaṃ gahetuṃ na vaṭṭati. Yaṃ evaṃ aparisaṅkitaṃ taṃ vaṭṭati. Sace pana te manussā ‘‘kasmā bhante na gaṇhathā’’ti pucchitvā tamatthaṃ sutvā ‘‘nayidaṃ bhante bhikkhūnaṃ atthāya kataṃ, amhehi attano atthāya vā rājayuttādīnaṃ atthāya vā kata’’nti vadanti kappati.

    นเหว โข ภิกฺขู ปสฺสนฺติ; อปิจ สุณนฺติ, มนุสฺสา กิร ชาลวาคุราทิหตฺถา คามโต วา นิกฺขมนฺติ, อรเญฺญ วา วิจรนฺตี’’ติฯ ทุติยทิวเส จ เนสํ ตํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐานํ ‘‘ภิกฺขูนํ นุโข อตฺถาย กต’’นฺติ อิทํ ‘‘สุตปริสงฺกิตํ’’ นามฯ เอตํ คเหตุํ น วฎฺฎติ, ยํ เอวํ อปริสงฺกิตํ ตํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน เต มนุสฺสา ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, น คณฺหถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา ‘‘นยิทํ, ภเนฺต, ภิกฺขูนํ อตฺถาย กตํ, อเมฺหหิ อตฺตโน อตฺถาย วา ราชยุตฺตาทีนํ อตฺถาย วา กต’’นฺติ วทนฺติ กปฺปติฯ

    Naheva kho bhikkhū passanti; apica suṇanti, manussā kira jālavāgurādihatthā gāmato vā nikkhamanti, araññe vā vicarantī’’ti. Dutiyadivase ca nesaṃ taṃ gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭhānaṃ ‘‘bhikkhūnaṃ nukho atthāya kata’’nti idaṃ ‘‘sutaparisaṅkitaṃ’’ nāma. Etaṃ gahetuṃ na vaṭṭati, yaṃ evaṃ aparisaṅkitaṃ taṃ vaṭṭati. Sace pana te manussā ‘‘kasmā, bhante, na gaṇhathā’’ti pucchitvā tamatthaṃ sutvā ‘‘nayidaṃ, bhante, bhikkhūnaṃ atthāya kataṃ, amhehi attano atthāya vā rājayuttādīnaṃ atthāya vā kata’’nti vadanti kappati.

    นเหว โข ปน ภิกฺขู ปสฺสนฺติ, น สุณนฺติ; อปิจ โข เตสํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐานํ ปตฺตํ คเหตฺวา สมจฺฉมํสํ ปิณฺฑปาตํ อภิสงฺขริตฺวา อภิหรนฺติ, เต ปริสงฺกนฺติ ‘‘ภิกฺขูนํ นุโข อตฺถาย กต’’นฺติ อิทํ ‘‘ตทุภยวิมุตฺตปริสงฺกิตํ’’ นามฯ เอตํ คเหตุํ น วฎฺฎติฯ ยํ เอวํ อปริสงฺกิตํ ตํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน เต มนุสฺสา ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, น คณฺหถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา ‘‘นยิทํ, ภเนฺต, ภิกฺขูนํ อตฺถาย กตํ อเมฺหหิ อตฺตโน อตฺถาย วา ราชยุตฺตาทีนํ อตฺถาย วา กตํ ปวตฺตมํสํ วา กปฺปิยเมว ลภิตฺวา ภิกฺขูนํ อตฺถาย สมฺปาทิต’’นฺติ วทนฺติ กปฺปติฯ มตานํ เปตกิจฺจตฺถาย มงฺคลาทีนํ วา อตฺถาย กเตปิ เอเสว นโยฯ ยํ ยญฺหิ ภิกฺขูนํเยว อตฺถาย อกตํ, ยตฺถ จ นิเพฺพมติโก โหติ, ตํ สพฺพํ กปฺปติฯ

    Naheva kho pana bhikkhū passanti, na suṇanti; apica kho tesaṃ gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭhānaṃ pattaṃ gahetvā samacchamaṃsaṃ piṇḍapātaṃ abhisaṅkharitvā abhiharanti, te parisaṅkanti ‘‘bhikkhūnaṃ nukho atthāya kata’’nti idaṃ ‘‘tadubhayavimuttaparisaṅkitaṃ’’ nāma. Etaṃ gahetuṃ na vaṭṭati. Yaṃ evaṃ aparisaṅkitaṃ taṃ vaṭṭati. Sace pana te manussā ‘‘kasmā, bhante, na gaṇhathā’’ti pucchitvā tamatthaṃ sutvā ‘‘nayidaṃ, bhante, bhikkhūnaṃ atthāya kataṃ amhehi attano atthāya vā rājayuttādīnaṃ atthāya vā kataṃ pavattamaṃsaṃ vā kappiyameva labhitvā bhikkhūnaṃ atthāya sampādita’’nti vadanti kappati. Matānaṃ petakiccatthāya maṅgalādīnaṃ vā atthāya katepi eseva nayo. Yaṃ yañhi bhikkhūnaṃyeva atthāya akataṃ, yattha ca nibbematiko hoti, taṃ sabbaṃ kappati.

    สเจ ปน เอกสฺมิํ วิหาเร ภิกฺขู อุทฺทิสฺส กตํ โหติ, เต จ อตฺตโน อตฺถาย กตภาวํ น ชานนฺติ, อเญฺญ ชานนฺติฯ เย ชานนฺติ, เตสํ น วฎฺฎติ , อิตเรสํ วฎฺฎติฯ อเญฺญ น ชานนฺติ, เตเยว ชานนฺติ, เตสํเยว น วฎฺฎติ, อเญฺญสํ วฎฺฎติฯ เตปิ อมฺหากํ อตฺถาย กตนฺติ ชานนฺติ, อเญฺญปิ เอเตสํ อตฺถาย กตนฺติ ชานนฺติ, สเพฺพสมฺปิ น วฎฺฎติ, สเพฺพ น ชานนฺติ, สเพฺพสมฺปิ วฎฺฎติฯ ปญฺจสุ หิ สหธมฺมิเกสุ ยสฺส วา ตสฺส วา อตฺถาย อุทฺทิสฺส กตํ, สเพฺพสํ น กปฺปติฯ

    Sace pana ekasmiṃ vihāre bhikkhū uddissa kataṃ hoti, te ca attano atthāya katabhāvaṃ na jānanti, aññe jānanti. Ye jānanti, tesaṃ na vaṭṭati , itaresaṃ vaṭṭati. Aññe na jānanti, teyeva jānanti, tesaṃyeva na vaṭṭati, aññesaṃ vaṭṭati. Tepi amhākaṃ atthāya katanti jānanti, aññepi etesaṃ atthāya katanti jānanti, sabbesampi na vaṭṭati, sabbe na jānanti, sabbesampi vaṭṭati. Pañcasu hi sahadhammikesu yassa vā tassa vā atthāya uddissa kataṃ, sabbesaṃ na kappati.

    สเจ ปน โกจิ เอกํ ภิกฺขุํ อุทฺทิสฺส ปาณํ วธิตฺวา ตสฺส ปตฺตํ ปูเรตฺวา เทติ, โส จ อตฺตโน อตฺถาย กตภาวํ ชานํเยว คเหตฺวา อญฺญสฺส ภิกฺขุโน เทติ, โส ตสฺส สทฺธาย ปริภุญฺชติ, กสฺส อาปตฺตีติ? ทฺวินฺนมฺปิ อนาปตฺติฯ ยญฺหิ อุทฺทิสฺส กตํ ตสฺส อภุตฺตตาย อนาปตฺติ, อิตรสฺส อชานนตายฯ กปฺปิยมํสสฺส หิ ปฎิคฺคหเณ อาปตฺติ นตฺถิฯ อุทฺทิสฺส กตญฺจ อชานิตฺวา ภุตฺตสฺส ปจฺฉา ญตฺวา อาปตฺติเทสนากิจฺจํ นาม นตฺถิ, อกปฺปิยมํสํ ปน อชานิตฺวา ภุเตฺตน ปจฺฉา ญตฺวาปิ อาปตฺติ เทเสตพฺพา, อุทฺทิสฺส กตญฺหิ ญตฺวา ภุญฺชโตว อาปตฺติฯ อกปฺปิยมํสํ อชานิตฺวา ภุญฺชนฺตสฺสาปิ อาปตฺติเยวฯ ตสฺมา อาปตฺติภีรุเกน รูปํ สลฺลเกฺขเนฺตนปิ ปุจฺฉิตฺวาว มํสํ ปฎิคฺคเหตพฺพํฯ ปริโภคกาเล ปุจฺฉิตฺวา ปริภุญฺชิสฺสามีติ วา คเหตฺวา ปุจฺฉิตฺวาว ปริภุญฺชิตพฺพํฯ กสฺมา? ทุวิเญฺญยฺยตฺตาฯ อจฺฉมํสํ หิ สูกรมํสสทิสํ โหติ, ทีปิมํสาทีนิปิ มิคมํสาทิสทิสานิ, ตสฺมา ปุจฺฉิตฺวา คหณเมว วตฺตนฺติ วทนฺติฯ

    Sace pana koci ekaṃ bhikkhuṃ uddissa pāṇaṃ vadhitvā tassa pattaṃ pūretvā deti, so ca attano atthāya katabhāvaṃ jānaṃyeva gahetvā aññassa bhikkhuno deti, so tassa saddhāya paribhuñjati, kassa āpattīti? Dvinnampi anāpatti. Yañhi uddissa kataṃ tassa abhuttatāya anāpatti, itarassa ajānanatāya. Kappiyamaṃsassa hi paṭiggahaṇe āpatti natthi. Uddissa katañca ajānitvā bhuttassa pacchā ñatvā āpattidesanākiccaṃ nāma natthi, akappiyamaṃsaṃ pana ajānitvā bhuttena pacchā ñatvāpi āpatti desetabbā, uddissa katañhi ñatvā bhuñjatova āpatti. Akappiyamaṃsaṃ ajānitvā bhuñjantassāpi āpattiyeva. Tasmā āpattibhīrukena rūpaṃ sallakkhentenapi pucchitvāva maṃsaṃ paṭiggahetabbaṃ. Paribhogakāle pucchitvā paribhuñjissāmīti vā gahetvā pucchitvāva paribhuñjitabbaṃ. Kasmā? Duviññeyyattā. Acchamaṃsaṃ hi sūkaramaṃsasadisaṃ hoti, dīpimaṃsādīnipi migamaṃsādisadisāni, tasmā pucchitvā gahaṇameva vattanti vadanti.

    หโฎฺฐ อุทโคฺคติ ตุโฎฺฐ เจว อุนฺนตกายจิโตฺต จ หุตฺวาฯ โส กิร ‘‘น ภควา อิมานิ ปญฺจ วตฺถูนิ อนุชานาติ, อิทานิ สกฺขิสฺสามิ สงฺฆเภทํ กาตุ’’นฺติ โกกาลิกสฺส อิงฺคิตาการํ ทเสฺสตฺวา ยถา วิสํ วา ขาทิตฺวา รชฺชุยา วา อุพฺพนฺธิตฺวา สตฺถํ วา อาหริตฺวา มริตุกาโม ปุริโส วิสาทีสุ อญฺญตรํ ลภิตฺวา ตปฺปจฺจยา อาสนฺนมฺปิ มรณทุกฺขํ อชานโนฺต หโฎฺฐ อุทโคฺค โหติ; เอวเมว สงฺฆเภทปจฺจยา อาสนฺนมฺปิ อวีจิมฺหิ นิพฺพตฺติตฺวา ปฎิสํเวทนียํ ทุกฺขํ อชานโนฺต ‘‘ลโทฺธ ทานิ เม สงฺฆเภทสฺส อุปาโย’’ติ หโฎฺฐ อุทโคฺค สปริโส อุฎฺฐายาสนา เตเนว หฎฺฐภาเวน ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    Haṭṭho udaggoti tuṭṭho ceva unnatakāyacitto ca hutvā. So kira ‘‘na bhagavā imāni pañca vatthūni anujānāti, idāni sakkhissāmi saṅghabhedaṃ kātu’’nti kokālikassa iṅgitākāraṃ dassetvā yathā visaṃ vā khāditvā rajjuyā vā ubbandhitvā satthaṃ vā āharitvā maritukāmo puriso visādīsu aññataraṃ labhitvā tappaccayā āsannampi maraṇadukkhaṃ ajānanto haṭṭho udaggo hoti; evameva saṅghabhedapaccayā āsannampi avīcimhi nibbattitvā paṭisaṃvedanīyaṃ dukkhaṃ ajānanto ‘‘laddho dāni me saṅghabhedassa upāyo’’ti haṭṭho udaggo sapariso uṭṭhāyāsanā teneva haṭṭhabhāvena bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi.

    เต มยํ อิเมหิ ปญฺจหิ วตฺถูหิ สมาทาย วตฺตามาติ เอตฺถ ปน ‘‘อิมานิ ปญฺจ วตฺถูนี’’ติ วตฺตเพฺพปิ เต มยํ อิเมหิ ปญฺจหิ วตฺถูหิ ชนํ สญฺญาเปสฺสามาติ อภิณฺหํ ปริวิตกฺกวเสน วิภตฺติวิปลฺลาสํ อสลฺลเกฺขตฺวา อภิณฺหํ ปริวิตกฺกานุรูปเมว ‘‘เต มยํ อิเมหิ ปญฺจหิ วตฺถูหี’’ติ อาห, ยถา ตํ วิกฺขิตฺตจิโตฺตฯ

    Te mayaṃ imehi pañcahi vatthūhi samādāya vattāmāti ettha pana ‘‘imāni pañca vatthūnī’’ti vattabbepi te mayaṃ imehi pañcahi vatthūhi janaṃ saññāpessāmāti abhiṇhaṃ parivitakkavasena vibhattivipallāsaṃ asallakkhetvā abhiṇhaṃ parivitakkānurūpameva ‘‘te mayaṃ imehi pañcahi vatthūhī’’ti āha, yathā taṃ vikkhittacitto.

    ธุตา สเลฺลขวุตฺติโนติ ยา ปฎิปทา กิเลเส ธุนาติ, ตาย สมนฺนาคตตฺตา ธุตาฯ ยา จ กิเลเส สลฺลิขติ, สา เอเตสํ วุตฺตีติ สเลฺลขวุตฺติโน

    Dhutāsallekhavuttinoti yā paṭipadā kilese dhunāti, tāya samannāgatattā dhutā. Yā ca kilese sallikhati, sā etesaṃ vuttīti sallekhavuttino.

    พาหุลิโกติ จีวราทีนํ ปจฺจยานํ พหุลภาโว พาหุลฺลํ, ตํ พาหุลฺลมสฺส อตฺถิ, ตสฺมิํ วา พาหุเลฺล นิยุโตฺต ฐิโตติ พาหุลิโกฯ พาหุลฺลาย เจเตตีติ พาหุลตฺตาย เจเตติ กเปฺปติ ปกเปฺปติฯ กถญฺหิ นาม มยฺหญฺจ สาวกานญฺจ จีวราทีนํ ปจฺจยานํ พหุลภาโว ภเวยฺยาติ เอวํ อุสฺสุกฺกมาปโนฺนติ อธิปฺปาโยฯ จกฺกเภทายาติ อาณาเภทายฯ

    Bāhulikoti cīvarādīnaṃ paccayānaṃ bahulabhāvo bāhullaṃ, taṃ bāhullamassa atthi, tasmiṃ vā bāhulle niyutto ṭhitoti bāhuliko. Bāhullāya cetetīti bāhulattāya ceteti kappeti pakappeti. Kathañhi nāma mayhañca sāvakānañca cīvarādīnaṃ paccayānaṃ bahulabhāvo bhaveyyāti evaṃ ussukkamāpannoti adhippāyo. Cakkabhedāyāti āṇābhedāya.

    ธมฺมิํ กถํ กตฺวาติ ขนฺธเก วุตฺตนเยน ‘‘อลํ, เทวทตฺต, มา เต รุจฺจิ สงฺฆเภโทฯ ครุโก โข, เทวทตฺต, สงฺฆเภโทฯ โย โข, เทวทตฺต, สมคฺคํ สงฺฆํ ภินฺทติ, กปฺปฎฺฐิกํ กิพฺพิสํ ปสวติ, กปฺปํ นิรยมฺหิ ปจฺจติ, โย จ โข, เทวทตฺต, ภินฺนํ สงฺฆํ สมคฺคํ กโรติ, พฺรหฺมํ ปุญฺญํ ปสวติ, กปฺปํ สคฺคมฺหิ โมทตี’’ติ (จูฬว. ๓๔๓) เอวมาทิกํ อเนกปฺปการํ เทวทตฺตสฺส จ ภิกฺขูนญฺจ ตทนุจฺฉวิกํ ตทนุโลมิกํ ธมฺมิํ กถํ กตฺวาฯ

    Dhammiṃ kathaṃ katvāti khandhake vuttanayena ‘‘alaṃ, devadatta, mā te rucci saṅghabhedo. Garuko kho, devadatta, saṅghabhedo. Yo kho, devadatta, samaggaṃ saṅghaṃ bhindati, kappaṭṭhikaṃ kibbisaṃ pasavati, kappaṃ nirayamhi paccati, yo ca kho, devadatta, bhinnaṃ saṅghaṃ samaggaṃ karoti, brahmaṃ puññaṃ pasavati, kappaṃ saggamhi modatī’’ti (cūḷava. 343) evamādikaṃ anekappakāraṃ devadattassa ca bhikkhūnañca tadanucchavikaṃ tadanulomikaṃ dhammiṃ kathaṃ katvā.

    ๔๑๑. สมคฺคสฺสาติ สหิตสฺส จิเตฺตน จ สรีเรน จ อวิยุตฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ปทภาชเนปิ หิ อยเมว อโตฺถ ทสฺสิโตฯ สมานสํวาสโกติ หิ วทตา จิเตฺตน อวิโยโค ทสฺสิโต โหติฯ สมานสีมายํ ฐิโตติ วทตา สรีเรนฯ กถํ? สมานสํวาสโก หิ ลทฺธินานาสํวาสเกน วา กมฺมนานาสํวาสเกน วา วิรหิโต สมจิตฺตตาย จิเตฺตน อวิยุโตฺต โหติฯ สมานสีมายํ ฐิโต กายสามคฺคิทานโต สรีเรน อวิยุโตฺตฯ

    411.Samaggassāti sahitassa cittena ca sarīrena ca aviyuttassāti attho. Padabhājanepi hi ayameva attho dassito. Samānasaṃvāsakoti hi vadatā cittena aviyogo dassito hoti. Samānasīmāyaṃ ṭhitoti vadatā sarīrena. Kathaṃ? Samānasaṃvāsako hi laddhinānāsaṃvāsakena vā kammanānāsaṃvāsakena vā virahito samacittatāya cittena aviyutto hoti. Samānasīmāyaṃ ṭhito kāyasāmaggidānato sarīrena aviyutto.

    เภทนสํวตฺตนิกํ วา อธิกรณนฺติ เภทนสฺส สงฺฆเภทสฺส อตฺถาย สํวตฺตนิกํ การณํฯ อิมสฺมิญฺหิ โอกาเส ‘‘กามเหตุ กามนิทานํ กามาธิกรณ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๖๘) วิย การณํ อธิกรณนฺติ อธิเปฺปตํฯ ตญฺจ ยสฺมา อฎฺฐารสวิธํ โหติ, ตสฺมา ปทภาชเน ‘‘อฎฺฐารส เภทกรวตฺถูนี’’ติ วุตฺตํฯ ตานิ ปน ‘‘อิธูปาลิ, ภิกฺขุ อธมฺมํ ธโมฺมติ ทีเปตี’’ติอาทินา (จูฬว. ๓๕๒) นเยน ขนฺธเก อาคตานิ, ตสฺมา ตเตฺรว เนสํ อตฺถํ วณฺณยิสฺสามฯ โยปิ จายํ อิมานิ วตฺถูนิ นิสฺสาย อปเรหิปิ กเมฺมน, อุเทฺทเสน, โวหาเรน, อนุสาวนาย, สลากคฺคาเหนาติ ปญฺจหิ การเณหิ สงฺฆเภโท โหติ, ตมฺปิ อาคตฎฺฐาเนเยว ปกาสยิสฺสามฯ สเงฺขปโต ปน เภทนสํวตฺตนิกํ วา อธิกรณํ สมาทายาติ เอตฺถ สงฺฆเภทสฺส อตฺถาย สํวตฺตนิกํ สงฺฆเภทนิปฺผตฺติสมตฺถํ การณํ คเหตฺวาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปคฺคยฺหาติ ปคฺคหิตํ อพฺภุสฺสิตํ ปากฎํ กตฺวาฯ ติเฎฺฐยฺยาติ ยถาสมาทินฺนํ ยถาปคฺคหิตเมว จ กตฺวา อเจฺฉยฺย ฯ ยสฺมา ปน เอวํ ปคฺคณฺหตา ติฎฺฐตา จ ตํ ทีปิตเญฺจว อปฺปฎินิสฺสฎฺฐญฺจ โหติ, ตสฺมา ปทภาชเน ‘‘ทีเปยฺยา’’ติ จ ‘‘นปฺปฎินิสฺสเชฺชยฺยา’’ติ จ วุตฺตํฯ

    Bhedanasaṃvattanikaṃ vā adhikaraṇanti bhedanassa saṅghabhedassa atthāya saṃvattanikaṃ kāraṇaṃ. Imasmiñhi okāse ‘‘kāmahetu kāmanidānaṃ kāmādhikaraṇa’’ntiādīsu (ma. ni. 1.168) viya kāraṇaṃ adhikaraṇanti adhippetaṃ. Tañca yasmā aṭṭhārasavidhaṃ hoti, tasmā padabhājane ‘‘aṭṭhārasa bhedakaravatthūnī’’ti vuttaṃ. Tāni pana ‘‘idhūpāli, bhikkhu adhammaṃ dhammoti dīpetī’’tiādinā (cūḷava. 352) nayena khandhake āgatāni, tasmā tatreva nesaṃ atthaṃ vaṇṇayissāma. Yopi cāyaṃ imāni vatthūni nissāya aparehipi kammena, uddesena, vohārena, anusāvanāya, salākaggāhenāti pañcahi kāraṇehi saṅghabhedo hoti, tampi āgataṭṭhāneyeva pakāsayissāma. Saṅkhepato pana bhedanasaṃvattanikaṃ vā adhikaraṇaṃ samādāyāti ettha saṅghabhedassa atthāya saṃvattanikaṃ saṅghabhedanipphattisamatthaṃ kāraṇaṃ gahetvāti evamattho veditabbo. Paggayhāti paggahitaṃ abbhussitaṃ pākaṭaṃ katvā. Tiṭṭheyyāti yathāsamādinnaṃ yathāpaggahitameva ca katvā accheyya . Yasmā pana evaṃ paggaṇhatā tiṭṭhatā ca taṃ dīpitañceva appaṭinissaṭṭhañca hoti, tasmā padabhājane ‘‘dīpeyyā’’ti ca ‘‘nappaṭinissajjeyyā’’ti ca vuttaṃ.

    ภิกฺขูหิ เอวมสฺส วจนีโยติ อเญฺญหิ ลชฺชีหิ ภิกฺขูหิ เอวํ วตฺตโพฺพ ภเวยฺยฯ ปทภาชเน จสฺส เย ปสฺสนฺตีติ เย สมฺมุขา ปคฺคยฺห ติฎฺฐนฺตํ ปสฺสนฺติฯ เย สุณนฺตีติ เยปิ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม วิหาเร ภิกฺขู เภทนสํวตฺตนิกํ อธิกรณํ สมาทาย ปคฺคยฺห ติฎฺฐนฺตี’’ติ สุณนฺติฯ

    Bhikkhūhi evamassa vacanīyoti aññehi lajjīhi bhikkhūhi evaṃ vattabbo bhaveyya. Padabhājane cassa ye passantīti ye sammukhā paggayha tiṭṭhantaṃ passanti. Ye suṇantīti yepi ‘‘asukasmiṃ nāma vihāre bhikkhū bhedanasaṃvattanikaṃ adhikaraṇaṃ samādāya paggayha tiṭṭhantī’’ti suṇanti.

    สเมตายสฺมา สเงฺฆนาติ อายสฺมา สเงฺฆน สทฺธิํ สเมตุ สมาคจฺฉตุ เอกลทฺธิโก โหตูติ อโตฺถฯ กิํ การณา? สมโคฺค หิ สโงฺฆ สโมฺมทมาโน อวิวทมาโน เอกุเทฺทโส ผาสุ วิหรตีติฯ

    Sametāyasmā saṅghenāti āyasmā saṅghena saddhiṃ sametu samāgacchatu ekaladdhiko hotūti attho. Kiṃ kāraṇā? Samaggo hi saṅgho sammodamāno avivadamāno ekuddeso phāsu viharatīti.

    ตตฺถ สโมฺมทมาโนติ อญฺญมญฺญํ สมฺปตฺติยา สฎฺฐุ โมทมาโนฯ อวิวทมาโนติ ‘‘อยํ ธโมฺม, นายํ ธโมฺม’’ติ เอวํ น วิวทมาโนฯ เอโก อุเทฺทโส อสฺสาติ เอกุเทฺทโส, เอกโต ปวตฺตปาติโมกฺขุเทฺทโส, น วิสุนฺติ อโตฺถฯ ผาสุ วิหรตีติ สุขํ วิหรติฯ

    Tattha sammodamānoti aññamaññaṃ sampattiyā saṭṭhu modamāno. Avivadamānoti ‘‘ayaṃ dhammo, nāyaṃ dhammo’’ti evaṃ na vivadamāno. Eko uddeso assāti ekuddeso, ekato pavattapātimokkhuddeso, na visunti attho. Phāsu viharatīti sukhaṃ viharati.

    อิเจฺจตํ กุสลนฺติ เอตํ ปฎินิสฺสชฺชนํ กุสลํ เขมํ โสตฺถิภาโว ตสฺส ภิกฺขุโนฯ โน เจ ปฎินิสฺสชฺชติ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ ติกฺขตฺตุํ วุตฺตสฺส อปฺปฎินิสฺสชฺชโต ทุกฺกฎํฯ สุตฺวา น วทนฺติ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ เย สุตฺวา น วทนฺติ, เตสมฺปิ ทุกฺกฎํฯ กีวทูเร สุตฺวา อวทนฺตานํ ทุกฺกฎํ? เอกวิหาเร ตาว วตฺตพฺพํ นตฺถิฯ อฎฺฐกถายํ ปน วุตฺตํ ‘‘สมนฺตา อทฺธโยชเน ภิกฺขูนํ ภาโรฯ ทูตํ วา ปณฺณํ วา เปเสตฺวา วทโตปิ อาปตฺติโมโกฺข นตฺถิฯ สยเมว คนฺตฺวา ‘ครุโก โข, อาวุโส, สงฺฆเภโท , มา สงฺฆเภทาย, ปรกฺกมี’ติ นิวาเรตโพฺพ’’ติฯ ปโหเนฺตน ปน ทูรมฺปิ คนฺตพฺพํ อคิลานานญฺหิ ทูเรปิ ภาโรเยวฯ

    Iccetaṃ kusalanti etaṃ paṭinissajjanaṃ kusalaṃ khemaṃ sotthibhāvo tassa bhikkhuno. No ce paṭinissajjati āpatti dukkaṭassāti tikkhattuṃ vuttassa appaṭinissajjato dukkaṭaṃ. Sutvā na vadanti āpatti dukkaṭassāti ye sutvā na vadanti, tesampi dukkaṭaṃ. Kīvadūre sutvā avadantānaṃ dukkaṭaṃ? Ekavihāre tāva vattabbaṃ natthi. Aṭṭhakathāyaṃ pana vuttaṃ ‘‘samantā addhayojane bhikkhūnaṃ bhāro. Dūtaṃ vā paṇṇaṃ vā pesetvā vadatopi āpattimokkho natthi. Sayameva gantvā ‘garuko kho, āvuso, saṅghabhedo , mā saṅghabhedāya, parakkamī’ti nivāretabbo’’ti. Pahontena pana dūrampi gantabbaṃ agilānānañhi dūrepi bhāroyeva.

    อิทานิ ‘‘เอวญฺจ โส ภิกฺขุ ภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน’’ติอาทีสุ อตฺถมตฺตเมว ทเสฺสตุํ ‘‘โส ภิกฺขุ สงฺฆมชฺฌมฺปิ อากฑฺฒิตฺวา วตฺตโพฺพ’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สงฺฆมชฺฌมฺปิ อากฑฺฒิตฺวาติ สเจ ปุริมนเยน วุจฺจมาโน น ปฎินิสฺสชฺชติ หเตฺถสุ จ ปาเทสุ จ คเหตฺวาปิ สงฺฆมชฺฌํ อากฑฺฒิตฺวา ปุนปิ ‘‘มา อายสฺมา’’ติอาทินา นเยน ติกฺขตฺตุํ วตฺตโพฺพฯ

    Idāni ‘‘evañca so bhikkhu bhikkhūhi vuccamāno’’tiādīsu atthamattameva dassetuṃ ‘‘so bhikkhu saṅghamajjhampi ākaḍḍhitvā vattabbo’’tiādimāha. Tattha saṅghamajjhampi ākaḍḍhitvāti sace purimanayena vuccamāno na paṭinissajjati hatthesu ca pādesu ca gahetvāpi saṅghamajjhaṃ ākaḍḍhitvā punapi ‘‘mā āyasmā’’tiādinā nayena tikkhattuṃ vattabbo.

    ยาวตติยํ สมนุภาสิตโพฺพติ ยาว ตติยํ สมนุภาสนํ ตาว สมนุภาสิตโพฺพฯ ตีหิ สมนุภาสนกมฺมวาจาหิ กมฺมํ กาตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ปทภาชเน ปนสฺส อตฺถเมว คเหตฺวา สมนุภาสนวิธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘โส ภิกฺขุ สมนุภาสิตโพฺพฯ เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, สมนุภาสิตโพฺพ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Yāvatatiyaṃ samanubhāsitabboti yāva tatiyaṃ samanubhāsanaṃ tāva samanubhāsitabbo. Tīhi samanubhāsanakammavācāhi kammaṃ kātabbanti vuttaṃ hoti. Padabhājane panassa atthameva gahetvā samanubhāsanavidhiṃ dassetuṃ ‘‘so bhikkhu samanubhāsitabbo. Evañca pana, bhikkhave, samanubhāsitabbo’’tiādi vuttaṃ.

    ๔๑๔. ตตฺถ ญตฺติยา ทุกฺกฎํ ทฺวีหิ กมฺมวาจาหิ ถุลฺลจฺจยา ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺตีติ ยญฺจ ญตฺติปริโยสาเน ทุกฺกฎํ อาปโนฺน, เย จ ทฺวีหิ กมฺมวาจาหิ ถุลฺลจฺจเย, ตา ติโสฺสปิ อาปตฺติโย ‘‘ยสฺส นกฺขมติ โส ภาเสยฺยา’’ติ เอวํ ยฺย-การปฺปตฺตมตฺตาย ตติยกมฺมวาจาย ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺติ สงฺฆาทิเสโสเยว ติฎฺฐติฯ กิํ ปน อาปนฺนาปตฺติโย ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺติ อนาปนฺนาติ? มหาสุมเตฺถโร ตาว วทติ ‘‘โย อวสาเน ปฎินิสฺสชฺชิสฺสติ, โส ตา อาปตฺติโย น อาปชฺชติ, ตสฺมา อนาปนฺนา ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺตี’’ติฯ มหาปทุมเตฺถโร ปน ลิงฺคปริวเตฺตน อสาธารณาปตฺติโย วิย อาปนฺนา ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺติ, อนาปนฺนานํ กิํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา’’ติ อาหฯ

    414. Tattha ñattiyā dukkaṭaṃ dvīhi kammavācāhi thullaccayā paṭippassambhantīti yañca ñattipariyosāne dukkaṭaṃ āpanno, ye ca dvīhi kammavācāhi thullaccaye, tā tissopi āpattiyo ‘‘yassa nakkhamati so bhāseyyā’’ti evaṃ yya-kārappattamattāya tatiyakammavācāya paṭippassambhanti saṅghādisesoyeva tiṭṭhati. Kiṃ pana āpannāpattiyo paṭippassambhanti anāpannāti? Mahāsumatthero tāva vadati ‘‘yo avasāne paṭinissajjissati, so tā āpattiyo na āpajjati, tasmā anāpannā paṭippassambhantī’’ti. Mahāpadumatthero pana liṅgaparivattena asādhāraṇāpattiyo viya āpannā paṭippassambhanti, anāpannānaṃ kiṃ paṭippassaddhiyā’’ti āha.

    ๔๑๕. ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญีติ ตเญฺจ สมนุภาสนกมฺมํ ธมฺมกมฺมํ โหติ, ตสฺมิํ ธมฺมกมฺมสญฺญีติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อิธ สญฺญา น รกฺขติ, กมฺมสฺส ธมฺมิกตฺตา เอว อปฺปฎินิสฺสชฺชโนฺต อาปชฺชติฯ

    415.Dhammakamme dhammakammasaññīti tañce samanubhāsanakammaṃ dhammakammaṃ hoti, tasmiṃ dhammakammasaññīti attho. Esa nayo sabbattha. Idha saññā na rakkhati, kammassa dhammikattā eva appaṭinissajjanto āpajjati.

    ๔๑๖. อสมนุภาสนฺตสฺสาติ อสมนุภาสิยมานสฺส อปฺปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺสาปิ สงฺฆาทิเสเสน อนาปตฺติฯ

    416.Asamanubhāsantassāti asamanubhāsiyamānassa appaṭinissajjantassāpi saṅghādisesena anāpatti.

    ปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺสาติ ญตฺติโต ปุเพฺพ วา ญตฺติกฺขเณ วา ญตฺติปริโยสาเน วา ปฐมาย วา อนุสาวนาย ทุติยาย วา ตติยาย วา ยาว ยฺย-การํ น สมฺปาปุณาติ, ตาว ปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺส สงฺฆาทิเสเสน อนาปตฺติฯ

    Paṭinissajjantassāti ñattito pubbe vā ñattikkhaṇe vā ñattipariyosāne vā paṭhamāya vā anusāvanāya dutiyāya vā tatiyāya vā yāva yya-kāraṃ na sampāpuṇāti, tāva paṭinissajjantassa saṅghādisesena anāpatti.

    อาทิกมฺมิกสฺสาติฯ เอตฺถ ปน ‘‘เทวทโตฺต สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส เภทาย ปรกฺกมิ, ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิ’’นฺติ ปริวาเร (ปริ. ๑๗) อาคตตฺตา เทวทโตฺต อาทิกมฺมิโกฯ โส จ โข สงฺฆเภทาย ปรกฺกมนเสฺสว, น อปฺปฎินิสฺสชฺชนสฺสฯ น หิ ตสฺส ตํ กมฺมํ กตํฯ กถมิทํ ชานิตพฺพนฺติ เจ? สุตฺตโตฯ ยถา หิ ‘‘อริโฎฺฐ ภิกฺขุ คทฺธพาธิปุโพฺพ ยาวตติยํ สมนุภาสนาย น ปฎินิสฺสชฺชิ, ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิ’’นฺติ ปริวาเร (ปริ. ๑๒๑) อาคตตฺตา อริฎฺฐสฺส กมฺมํ กตนฺติ ปญฺญายติ, น ตถา เทวทตฺตสฺสฯ อถาปิสฺส กเตน ภวิตพฺพนฺติ โกจิ อตฺตโน รุจิมเตฺตน วเทยฺย, ตถาปิ อปฺปฎินิสฺสชฺชเน อาทิกมฺมิกสฺส อนาปตฺติ นาม นตฺถิฯ น หิ ปญฺญตฺตํ สิกฺขาปทํ วีติกฺกมนฺตสฺส อญฺญตฺร อุทฺทิสฺส อนุญฺญาตโต อนาปตฺติ นาม ทิสฺสติฯ ยมฺปิ อริฎฺฐสิกฺขาปทสฺส อนาปตฺติยํ ‘‘อาทิกมฺมิกสฺสา’’ติ โปตฺถเกสุ ลิขิตํ, ตํ ปมาทลิขิตํฯ ปมาทลิขิตภาโว จสฺส ‘‘ปฐมํ อริโฎฺฐ ภิกฺขุ โจเทตโพฺพ, โจเทตฺวา สาเรตโพฺพ, สาเรตฺวา อาปตฺติํ โรเปตโพฺพ’’ติ (จูฬว. ๖๕) เอวํ กมฺมกฺขนฺธเก อาปตฺติโรปนวจนโต เวทิตโพฺพฯ

    Ādikammikassāti. Ettha pana ‘‘devadatto samaggassa saṅghassa bhedāya parakkami, tasmiṃ vatthusmi’’nti parivāre (pari. 17) āgatattā devadatto ādikammiko. So ca kho saṅghabhedāya parakkamanasseva, na appaṭinissajjanassa. Na hi tassa taṃ kammaṃ kataṃ. Kathamidaṃ jānitabbanti ce? Suttato. Yathā hi ‘‘ariṭṭho bhikkhu gaddhabādhipubbo yāvatatiyaṃ samanubhāsanāya na paṭinissajji, tasmiṃ vatthusmi’’nti parivāre (pari. 121) āgatattā ariṭṭhassa kammaṃ katanti paññāyati, na tathā devadattassa. Athāpissa katena bhavitabbanti koci attano rucimattena vadeyya, tathāpi appaṭinissajjane ādikammikassa anāpatti nāma natthi. Na hi paññattaṃ sikkhāpadaṃ vītikkamantassa aññatra uddissa anuññātato anāpatti nāma dissati. Yampi ariṭṭhasikkhāpadassa anāpattiyaṃ ‘‘ādikammikassā’’ti potthakesu likhitaṃ, taṃ pamādalikhitaṃ. Pamādalikhitabhāvo cassa ‘‘paṭhamaṃ ariṭṭho bhikkhu codetabbo, codetvā sāretabbo, sāretvā āpattiṃ ropetabbo’’ti (cūḷava. 65) evaṃ kammakkhandhake āpattiropanavacanato veditabbo.

    อิติ เภทาย ปรกฺกมเน อาทิกมฺมิกสฺส เทวทตฺตสฺส ยสฺมา ตํ กมฺมํ น กตํ, ตสฺมาสฺส อาปตฺติเยว น ชาตาฯ สิกฺขาปทํ ปน ตํ อารพฺภ ปญฺญตฺตนฺติ กตฺวา ‘‘อาทิกมฺมิโก’’ติ วุโตฺตฯ อิติ อาปตฺติยา อภาวโตเยวสฺส อนาปตฺติ วุตฺตาฯ สา ปเนสา กิญฺจาปิ อสมนุภาสนฺตสฺสาติ อิมินาว สิทฺธา, ยสฺมา ปน อสมนุภาสโนฺต นาม ยสฺส เกวลํ สมนุภาสนํ น กโรนฺติ, โส วุจฺจติ, น อาทิกมฺมิโกฯ อยญฺจ เทวทโตฺต อาทิกมฺมิโกเยว, ตสฺมา ‘‘อาทิกมฺมิกสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ เอเตนุปาเยน ฐเปตฺวา อริฎฺฐสิกฺขาปทํ สพฺพสมนุภาสนาสุ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวฯ

    Iti bhedāya parakkamane ādikammikassa devadattassa yasmā taṃ kammaṃ na kataṃ, tasmāssa āpattiyeva na jātā. Sikkhāpadaṃ pana taṃ ārabbha paññattanti katvā ‘‘ādikammiko’’ti vutto. Iti āpattiyā abhāvatoyevassa anāpatti vuttā. Sā panesā kiñcāpi asamanubhāsantassāti imināva siddhā, yasmā pana asamanubhāsanto nāma yassa kevalaṃ samanubhāsanaṃ na karonti, so vuccati, na ādikammiko. Ayañca devadatto ādikammikoyeva, tasmā ‘‘ādikammikassā’’ti vuttaṃ. Etenupāyena ṭhapetvā ariṭṭhasikkhāpadaṃ sabbasamanubhāsanāsu vinicchayo veditabbo. Sesaṃ sabbattha uttānameva.

    สมุฎฺฐานาทีสุ ติวงฺคิกํ เอกสมุฎฺฐานํ, สมนุภาสนสมุฎฺฐานํ นามเมตํ, กายวาจาจิตฺตโต สมุฎฺฐาติฯ ปฎินิสฺสชฺชามีติ กายวิการํ วา วจีเภทํ วา อกโรนฺตเสฺสว ปน อาปชฺชนโต อกิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ทุกฺขเวทนนฺติฯ

    Samuṭṭhānādīsu tivaṅgikaṃ ekasamuṭṭhānaṃ, samanubhāsanasamuṭṭhānaṃ nāmametaṃ, kāyavācācittato samuṭṭhāti. Paṭinissajjāmīti kāyavikāraṃ vā vacībhedaṃ vā akarontasseva pana āpajjanato akiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, dukkhavedananti.

    ปฐมสงฺฆเภทสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamasaṅghabhedasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑๐. สงฺฆเภทสิกฺขาปทํ • 10. Saṅghabhedasikkhāpadaṃ

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑๐. ปฐมสงฺฆเภทสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Paṭhamasaṅghabhedasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑๐. ปฐมสงฺฆเภทสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Paṭhamasaṅghabhedasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑๐. ปฐมสงฺฆเภทสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Paṭhamasaṅghabhedasikkhāpadavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact