Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๒. สารณียวโคฺค
2. Sāraṇīyavaggo
๑. ปฐมสารณียสุตฺตวณฺณนา
1. Paṭhamasāraṇīyasuttavaṇṇanā
๑๑. ทุติยสฺส ปฐเม สารณียาติ สริตพฺพยุตฺตกาฯ เมตฺตํ กายกมฺมนฺติ เมเตฺตน จิเตฺตน กาตพฺพํ กายกมฺมํฯ วจีกมฺมมโนกเมฺมสุปิ เอเสว นโยฯ อิมานิ จ ปน ภิกฺขูนํ วเสน อาคตานิ, คิหีสุปิ ลพฺภนฺติฯ ภิกฺขูนญฺหิ เมเตฺตน จิเตฺตน อาภิสมาจาริกธมฺมปูรณํ เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ คิหีนํ เจติยวนฺทนตฺถาย โพธิวนฺทนตฺถาย สงฺฆนิมนฺตนตฺถาย คมนํ, คามํ ปิณฺฑาย ปวิเฎฺฐ ภิกฺขู ทิสฺวา ปจฺจุคฺคมนํ, ปตฺตปฎิคฺคหณํ, อาสนปญฺญาปนํ, อนุคมนนฺติ เอวมาทิกํ เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ
11. Dutiyassa paṭhame sāraṇīyāti saritabbayuttakā. Mettaṃ kāyakammanti mettena cittena kātabbaṃ kāyakammaṃ. Vacīkammamanokammesupi eseva nayo. Imāni ca pana bhikkhūnaṃ vasena āgatāni, gihīsupi labbhanti. Bhikkhūnañhi mettena cittena ābhisamācārikadhammapūraṇaṃ mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Gihīnaṃ cetiyavandanatthāya bodhivandanatthāya saṅghanimantanatthāya gamanaṃ, gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭhe bhikkhū disvā paccuggamanaṃ, pattapaṭiggahaṇaṃ, āsanapaññāpanaṃ, anugamananti evamādikaṃ mettaṃ kāyakammaṃ nāma.
ภิกฺขูนํ เมเตฺตน จิเตฺตน อาจารปณฺณตฺติสิกฺขาปนํ, กมฺมฎฺฐานกถนํ, ธมฺมเทสนา, เตปิฎกมฺปิ พุทฺธวจนํ เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ คิหีนํ ‘‘เจติยวนฺทนาย คจฺฉาม, โพธิวนฺทนาย คจฺฉาม, ธมฺมสฺสวนํ กริสฺสาม, ทีปมาลาปุปฺผปูชํ กริสฺสาม, ตีณิ สุจริตานิ สมาทาย วตฺติสฺสาม, สลากภตฺตาทีนิ ทสฺสาม, วสฺสาวาสิกํ ทสฺสาม, อชฺช สงฺฆสฺส จตฺตาโร ปจฺจเย ทสฺสาม, สงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา ขาทนียาทีนิ สํวิทหถ, อาสนานิ ปญฺญาเปถ, ปานียํ อุปฎฺฐาเปถ, สงฺฆํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา อาเนถ, ปญฺญตฺตาสเน นิสีทาเปตฺวา อุสฺสาหชาตา เวยฺยาวจฺจํ กโรถา’’ติอาทิวจนกาเล เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ
Bhikkhūnaṃ mettena cittena ācārapaṇṇattisikkhāpanaṃ, kammaṭṭhānakathanaṃ, dhammadesanā, tepiṭakampi buddhavacanaṃ mettaṃ vacīkammaṃ nāma. Gihīnaṃ ‘‘cetiyavandanāya gacchāma, bodhivandanāya gacchāma, dhammassavanaṃ karissāma, dīpamālāpupphapūjaṃ karissāma, tīṇi sucaritāni samādāya vattissāma, salākabhattādīni dassāma, vassāvāsikaṃ dassāma, ajja saṅghassa cattāro paccaye dassāma, saṅghaṃ nimantetvā khādanīyādīni saṃvidahatha, āsanāni paññāpetha, pānīyaṃ upaṭṭhāpetha, saṅghaṃ paccuggantvā ānetha, paññattāsane nisīdāpetvā ussāhajātā veyyāvaccaṃ karothā’’tiādivacanakāle mettaṃ vacīkammaṃ nāma.
ภิกฺขูนํ ปาโตว อุฎฺฐาย สรีรปฎิชคฺคนํ เจติยงฺคณวตฺตาทีนิ จ กตฺวา วิวิตฺตาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร ภิกฺขู สุขี โหนฺตุ อเวรา อพฺยาปชฺฌา’’ติ จินฺตนํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ คิหีนํ ‘‘อยฺยา สุขี โหนฺตุ อเวรา อพฺยาปชฺฌา’’ติ จินฺตนํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ
Bhikkhūnaṃ pātova uṭṭhāya sarīrapaṭijagganaṃ cetiyaṅgaṇavattādīni ca katvā vivittāsane nisīditvā ‘‘imasmiṃ vihāre bhikkhū sukhī hontu averā abyāpajjhā’’ti cintanaṃ mettaṃ manokammaṃ nāma. Gihīnaṃ ‘‘ayyā sukhī hontu averā abyāpajjhā’’ti cintanaṃ mettaṃ manokammaṃ nāma.
อาวิ เจว รโห จาติ สมฺมุขา จ ปรมฺมุขา จฯ ตตฺถ นวกานํ จีวรกมฺมาทีสุ สหายภาวคมนํ สมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นาม, เถรานํ ปน ปาทโธวนทานาทิเภทํ สพฺพมฺปิ สามีจิกมฺมํ สมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ อุภเยหิปิ ทุนฺนิกฺขิตฺตานํ ทารุภณฺฑาทีนํ เตสุ อวญฺญํ อกตฺวา อตฺตนา ทุนฺนิกฺขิตฺตานํ วิย ปฎิสามนํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ ‘‘เทวเตฺถโร ติสฺสเตฺถโร’’ติ เอวํ ปคฺคยฺห วจนํ สมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ วิหาเร อสนฺตํ ปน ปฎิปุจฺฉนฺตสฺส ‘‘กหํ อมฺหากํ เทวเตฺถโร, กหํ อมฺหากํ ติสฺสเตฺถโร, กทา นุ โข อาคมิสฺสตี’’ติ เอวํ มมายนวจนํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ เมตฺตาสิเนหสินิทฺธานิ ปน นยนานิ อุมฺมีเลตฺวา ปสเนฺนน มุเขน โอโลกนํ สมฺมุขา เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ ‘‘เทวเตฺถโร ติสฺสเตฺถโร อโรโค โหตุ อปฺปาพาโธ’’ติ สมนฺนาหรณํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ
Āvi ceva raho cāti sammukhā ca parammukhā ca. Tattha navakānaṃ cīvarakammādīsu sahāyabhāvagamanaṃ sammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma, therānaṃ pana pādadhovanadānādibhedaṃ sabbampi sāmīcikammaṃ sammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Ubhayehipi dunnikkhittānaṃ dārubhaṇḍādīnaṃ tesu avaññaṃ akatvā attanā dunnikkhittānaṃ viya paṭisāmanaṃ parammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma. ‘‘Devatthero tissatthero’’ti evaṃ paggayha vacanaṃ sammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma. Vihāre asantaṃ pana paṭipucchantassa ‘‘kahaṃ amhākaṃ devatthero, kahaṃ amhākaṃ tissatthero, kadā nu kho āgamissatī’’ti evaṃ mamāyanavacanaṃ parammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma. Mettāsinehasiniddhāni pana nayanāni ummīletvā pasannena mukhena olokanaṃ sammukhā mettaṃ manokammaṃ nāma. ‘‘Devatthero tissatthero arogo hotu appābādho’’ti samannāharaṇaṃ parammukhā mettaṃ manokammaṃ nāma.
ลาภาติ จีวราทโย ลทฺธปจฺจยาฯ ธมฺมิกาติ กุหนาทิเภทํ มิจฺฉาชีวํ วเชฺชตฺวา ธเมฺมน สเมน ภิกฺขาจริยวเตฺตน อุปฺปนฺนาฯ อนฺตมโส ปตฺตปริยาปนฺนมตฺตมฺปีติ ปจฺฉิมโกฎิยา ปตฺตปริยาปนฺนํ ปตฺตสฺส อโนฺตคตํ ทฺวตฺติกฎจฺฉุภิกฺขามตฺตมฺปิฯ อปฺปฎิวิภตฺตโภคีติ เอตฺถ เทฺว ปฎิวิภตฺตานิ นาม อามิสปฎิวิภตฺตํ ปน ปุคฺคลปฎิวิภตฺตญฺจฯ ตตฺถ ‘‘เอตฺตกํ ทสฺสามิ, เอตฺตกํ น ทสฺสามี’’ติ เอวํ จิเตฺตน ปฎิวิภชนํ อามิสปฎิวิภตฺตํ นามฯ ‘‘อสุกสฺส ทสฺสามิ, อสุกสฺส น ทสฺสามี’’ติ เอวํ จิเตฺตน วิภชนํ ปน ปุคฺคลปฎิวิภตฺตํ นามฯ ตทุภยมฺปิ อกตฺวา โย อปฺปฎิวิภตฺตํ ภุญฺชติ, อยํ อปฺปฎิวิภตฺตโภคี นามฯ สีลวเนฺตหิ สพฺรหฺมจารีหิ สาธารณโภคีติ เอตฺถ สาธารณโภคิโน อิทํ ลกฺขณํ – ยํ ยํ ปณีตํ ลภติ, ตํ ตํ เนว ลาเภนลาภํ-นิชิคีสนตามุเขน คิหีนํ เทติ, น อตฺตนา ปริภุญฺชติ, ปฎิคฺคณฺหโนฺต จ ‘‘สเงฺฆน สาธารณํ โหตู’’ติ คเหตฺวา ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํ สงฺฆสนฺตกํ วิย ปสฺสติฯ
Lābhāti cīvarādayo laddhapaccayā. Dhammikāti kuhanādibhedaṃ micchājīvaṃ vajjetvā dhammena samena bhikkhācariyavattena uppannā. Antamaso pattapariyāpannamattampīti pacchimakoṭiyā pattapariyāpannaṃ pattassa antogataṃ dvattikaṭacchubhikkhāmattampi. Appaṭivibhattabhogīti ettha dve paṭivibhattāni nāma āmisapaṭivibhattaṃ pana puggalapaṭivibhattañca. Tattha ‘‘ettakaṃ dassāmi, ettakaṃ na dassāmī’’ti evaṃ cittena paṭivibhajanaṃ āmisapaṭivibhattaṃ nāma. ‘‘Asukassa dassāmi, asukassa na dassāmī’’ti evaṃ cittena vibhajanaṃ pana puggalapaṭivibhattaṃ nāma. Tadubhayampi akatvā yo appaṭivibhattaṃ bhuñjati, ayaṃ appaṭivibhattabhogī nāma. Sīlavantehi sabrahmacārīhi sādhāraṇabhogīti ettha sādhāraṇabhogino idaṃ lakkhaṇaṃ – yaṃ yaṃ paṇītaṃ labhati, taṃ taṃ neva lābhenalābhaṃ-nijigīsanatāmukhena gihīnaṃ deti, na attanā paribhuñjati, paṭiggaṇhanto ca ‘‘saṅghena sādhāraṇaṃ hotū’’ti gahetvā ghaṇṭiṃ paharitvā paribhuñjitabbaṃ saṅghasantakaṃ viya passati.
อิมํ ปน สารณียธมฺมํ โก ปูเรติ, โก น ปูเรติ? ทุสฺสีโล ตาว น ปูเรติฯ น หิ ตสฺส สนฺตกํ สีลวนฺตา คณฺหนฺติฯ ปริสุทฺธสีโล ปน วตฺตํ อขเณฺฑโนฺต ปูเรติฯ ตตฺริทํ วตฺตํ – โย หิ โอทิสฺสกํ กตฺวา มาตุ วา ปิตุ วา อาจริยุปชฺฌายาทีนํ วา เทติ, โส ทาตพฺพํ เทติฯ สารณียธโมฺม ปนสฺส น โหติ, ปลิโพธชคฺคนํ นาม โหติฯ สารณียธโมฺม หิ มุตฺตปลิโพธสฺส วฎฺฎติฯ เตน ปน โอทิสฺสกํ เทเนฺตน คิลานคิลานุปฎฺฐากอาคนฺตุกคมิกานเญฺจว นวปพฺพชิตสฺส จ สงฺฆาฎิปตฺตคฺคหณํ อชานนฺตสฺส ทาตพฺพํฯ เอเตสํ ทตฺวา อวเสสํ เถราสนโต ปฎฺฐาย โถกํ โถกํ อทตฺวา โย ยตฺตกํ คณฺหาติ, ตสฺส ตตฺตกํ ทาตพฺพํฯ อวสิเฎฺฐ อสติ ปุน ปิณฺฑาย จริตฺวา เถราสนโต ปฎฺฐาย ยํ ยํ ปณีตํ, ตํ ตํ ทตฺวา เสสํ ภุญฺชิตพฺพํฯ ‘‘สีลวเนฺตหี’’ติ วจนโต ทุสฺสีลสฺส อทาตุมฺปิ วฎฺฎติฯ
Imaṃ pana sāraṇīyadhammaṃ ko pūreti, ko na pūreti? Dussīlo tāva na pūreti. Na hi tassa santakaṃ sīlavantā gaṇhanti. Parisuddhasīlo pana vattaṃ akhaṇḍento pūreti. Tatridaṃ vattaṃ – yo hi odissakaṃ katvā mātu vā pitu vā ācariyupajjhāyādīnaṃ vā deti, so dātabbaṃ deti. Sāraṇīyadhammo panassa na hoti, palibodhajagganaṃ nāma hoti. Sāraṇīyadhammo hi muttapalibodhassa vaṭṭati. Tena pana odissakaṃ dentena gilānagilānupaṭṭhākaāgantukagamikānañceva navapabbajitassa ca saṅghāṭipattaggahaṇaṃ ajānantassa dātabbaṃ. Etesaṃ datvā avasesaṃ therāsanato paṭṭhāya thokaṃ thokaṃ adatvā yo yattakaṃ gaṇhāti, tassa tattakaṃ dātabbaṃ. Avasiṭṭhe asati puna piṇḍāya caritvā therāsanato paṭṭhāya yaṃ yaṃ paṇītaṃ, taṃ taṃ datvā sesaṃ bhuñjitabbaṃ. ‘‘Sīlavantehī’’ti vacanato dussīlassa adātumpi vaṭṭati.
อยํ ปน สารณียธโมฺม สุสิกฺขิตาย ปริสาย สุปูโร โหติ, สุสิกฺขิตาย หิ ปริสาย โย อญฺญโต ลภติ, โส น คณฺหาติฯ อญฺญโต อลภโนฺตปิ ปมาณยุตฺตเมว คณฺหติ, น อติเรกํฯ อยํ ปน สารณียธโมฺม เอวํ ปุนปฺปุนํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ลทฺธํ ลทฺธํ เทนฺตสฺสาปิ ทฺวาทสหิ วเสฺสหิ ปูเรติ, น ตโต โอรํฯ สเจ หิ ทฺวาทสเม วเสฺส สารณียธมฺมปูรโก ปิณฺฑปาตปูรํ ปตฺตํ อาสนสาลายํ ฐเปตฺวา นฺหายิตุํ คจฺฉติ, สงฺฆเตฺถโร จ ‘‘กเสฺสโส ปโตฺต’’ติ วตฺวา ‘‘สารณียธมฺมปูรกสฺสา’’ติ วุเตฺต ‘‘อาหรถ น’’นฺติ สพฺพํ ปิณฺฑปาตํ วิจาเรตฺวาว ภุญฺชิตฺวา ริตฺตปตฺตํ ฐเปติฯ อถ โข โส ภิกฺขุ ริตฺตปตฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยฺหํ อเสเสตฺวาว ปริภุญฺชิํสู’’ติ โทมนสฺสํ อุปฺปาเทติ, สารณียธโมฺม ภิชฺชติ, ปุน ทฺวาทส วสฺสานิ ปูเรตโพฺพ โหติฯ ติตฺถิยปริวาสสทิโส เหส, สกิํ ขเณฺฑ ชาเต ปุน ปูเรตโพฺพวฯ โย ปน ‘‘ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม, ยสฺส เม ปตฺตคตํ อนาปุจฺฉาว สพฺรหฺมจารี ปริภุญฺชนฺตี’’ติ โสมนสฺสํ ชเนติ, ตสฺส ปุโณฺณ นาม โหติฯ
Ayaṃ pana sāraṇīyadhammo susikkhitāya parisāya supūro hoti, susikkhitāya hi parisāya yo aññato labhati, so na gaṇhāti. Aññato alabhantopi pamāṇayuttameva gaṇhati, na atirekaṃ. Ayaṃ pana sāraṇīyadhammo evaṃ punappunaṃ piṇḍāya caritvā laddhaṃ laddhaṃ dentassāpi dvādasahi vassehi pūreti, na tato oraṃ. Sace hi dvādasame vasse sāraṇīyadhammapūrako piṇḍapātapūraṃ pattaṃ āsanasālāyaṃ ṭhapetvā nhāyituṃ gacchati, saṅghatthero ca ‘‘kasseso patto’’ti vatvā ‘‘sāraṇīyadhammapūrakassā’’ti vutte ‘‘āharatha na’’nti sabbaṃ piṇḍapātaṃ vicāretvāva bhuñjitvā rittapattaṃ ṭhapeti. Atha kho so bhikkhu rittapattaṃ disvā ‘‘mayhaṃ asesetvāva paribhuñjiṃsū’’ti domanassaṃ uppādeti, sāraṇīyadhammo bhijjati, puna dvādasa vassāni pūretabbo hoti. Titthiyaparivāsasadiso hesa, sakiṃ khaṇḍe jāte puna pūretabbova. Yo pana ‘‘lābhā vata me, suladdhaṃ vata me, yassa me pattagataṃ anāpucchāva sabrahmacārī paribhuñjantī’’ti somanassaṃ janeti, tassa puṇṇo nāma hoti.
เอวํ ปูริตสารณียธมฺมสฺส ปน เนว อิสฺสา น มจฺฉริยํ โหติ, มนุสฺสานํ ปิโย โหติ, อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ, สุลภปจฺจโยฯ ปตฺตคตมสฺส ทิยฺยมานมฺปิ น ขียติ, ภาชนียภณฺฑฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ลภติ, ภเย วา ฉาตเก วา ปเตฺต เทวตา อุสฺสุกฺกํ อาปชฺชนฺติฯ
Evaṃ pūritasāraṇīyadhammassa pana neva issā na macchariyaṃ hoti, manussānaṃ piyo hoti, amanussānaṃ piyo hoti, sulabhapaccayo. Pattagatamassa diyyamānampi na khīyati, bhājanīyabhaṇḍaṭṭhāne aggabhaṇḍaṃ labhati, bhaye vā chātake vā patte devatā ussukkaṃ āpajjanti.
ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – เสนคิริวาสี ติสฺสเตฺถโร กิร มหาคิริคามํ อุปนิสฺสาย วสติ, ปญฺญาส มหาเถรา นาคทีปํ เจติยวนฺทนตฺถาย คจฺฉนฺตา คิริคาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา กิญฺจิ อลทฺธา นิกฺขมิํสุฯ เถโร ปวิสโนฺต เต ทิสฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ลทฺธํ, ภเนฺต’’ติ? วิจริมฺหา, อาวุโสติฯ โส อลทฺธภาวํ ญตฺวา อาห – ‘‘ภเนฺต, ยาวาหํ อาคจฺฉามิ, ตาว อิเธว โหถา’’ติฯ มยํ, อาวุโส, ปญฺญาส ชนา ปตฺตเตมนมตฺตมฺปิ น ลภิมฺหาติฯ ภเนฺต, เนวาสิกา นาม ปฎิพลา โหนฺติ, อลภนฺตาปิ ภิกฺขาจารมคฺคสภาคํ ชานนฺตีติฯ เถรา อาคเมสุํฯ เถโร คามํ ปาวิสิฯ ธุรเคเหเยว มหาอุปาสิกา ขีรภตฺตํ สเชฺชตฺวา เถรํ โอโลกยมานา ฐิตา เถรสฺส ทฺวารํ สมฺปตฺตเสฺสว ปตฺตํ ปูเรตฺวา อทาสิฯ โส ตํ อาทาย เถรานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘คณฺหถ , ภเนฺต’’ติ สงฺฆเตฺถรํ อาหฯ เถโร ‘‘อเมฺหหิ เอตฺตเกหิ กิญฺจิ น ลทฺธํ, อยํ สีฆเมว คเหตฺวา อาคโต, กิํ นุ โข’’ติ เสสานํ มุขํ โอโลเกสิฯ เถโร โอโลกนากาเรเนว ญตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ธเมฺมน สเมน ลโทฺธ, นิกฺกุกฺกุจฺจา คณฺหถา’’ติ อาทิโต ปฎฺฐาย สเพฺพสํ ยาวทตฺถํ ทตฺวา อตฺตนาปิ ยาวทตฺถํ ภุญฺชิฯ
Tatrimāni vatthūni – senagirivāsī tissatthero kira mahāgirigāmaṃ upanissāya vasati, paññāsa mahātherā nāgadīpaṃ cetiyavandanatthāya gacchantā girigāme piṇḍāya caritvā kiñci aladdhā nikkhamiṃsu. Thero pavisanto te disvā pucchi – ‘‘laddhaṃ, bhante’’ti? Vicarimhā, āvusoti. So aladdhabhāvaṃ ñatvā āha – ‘‘bhante, yāvāhaṃ āgacchāmi, tāva idheva hothā’’ti. Mayaṃ, āvuso, paññāsa janā pattatemanamattampi na labhimhāti. Bhante, nevāsikā nāma paṭibalā honti, alabhantāpi bhikkhācāramaggasabhāgaṃ jānantīti. Therā āgamesuṃ. Thero gāmaṃ pāvisi. Dhurageheyeva mahāupāsikā khīrabhattaṃ sajjetvā theraṃ olokayamānā ṭhitā therassa dvāraṃ sampattasseva pattaṃ pūretvā adāsi. So taṃ ādāya therānaṃ santikaṃ gantvā ‘‘gaṇhatha , bhante’’ti saṅghattheraṃ āha. Thero ‘‘amhehi ettakehi kiñci na laddhaṃ, ayaṃ sīghameva gahetvā āgato, kiṃ nu kho’’ti sesānaṃ mukhaṃ olokesi. Thero olokanākāreneva ñatvā, ‘‘bhante, dhammena samena laddho, nikkukkuccā gaṇhathā’’ti ādito paṭṭhāya sabbesaṃ yāvadatthaṃ datvā attanāpi yāvadatthaṃ bhuñji.
อถ นํ ภตฺตกิจฺจาวสาเน เถรา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กทา, อาวุโส, โลกุตฺตรธมฺมํ ปฎิวิชฺฌี’’ติ? นตฺถิ เม, ภเนฺต, โลกุตฺตรธโมฺมติฯ ฌานลาภีสิ, อาวุโสติฯ เอตมฺปิ, ภเนฺต, นตฺถีติ? นนุ, อาวุโส, ปาฎิหาริยนฺติฯ สารณียธโมฺม เม, ภเนฺต, ปูริโต, ตสฺส เม ปูริตกาลโต ปฎฺฐาย สเจปิ ภิกฺขุสตสหสฺสํ โหติ, ปตฺตคตํ น ขียตีติฯ สาธุ สาธุ, สปฺปุริส, อนุจฺฉวิกมิทํ ตุยฺหนฺติฯ อิทํ ตาว ปตฺตคตํ น ขียตีติ เอตฺถ วตฺถุฯ
Atha naṃ bhattakiccāvasāne therā pucchiṃsu – ‘‘kadā, āvuso, lokuttaradhammaṃ paṭivijjhī’’ti? Natthi me, bhante, lokuttaradhammoti. Jhānalābhīsi, āvusoti. Etampi, bhante, natthīti? Nanu, āvuso, pāṭihāriyanti. Sāraṇīyadhammo me, bhante, pūrito, tassa me pūritakālato paṭṭhāya sacepi bhikkhusatasahassaṃ hoti, pattagataṃ na khīyatīti. Sādhu sādhu, sappurisa, anucchavikamidaṃ tuyhanti. Idaṃ tāva pattagataṃ na khīyatīti ettha vatthu.
อยเมว ปน เถโร เจติยปพฺพเต คิริภณฺฑมหาปูชาย ทานฎฺฐานํ คนฺตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ ทาเน กิํ วรภณฺฑ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ เทฺว สาฎกา, ภเนฺตติฯ เอเต มยฺหํ ปาปุณิสฺสนฺตีติ? ตํ สุตฺวา อมโจฺจ รโญฺญ อาโรเจสิ – ‘‘เอโก ทหโร เอวํ วทตี’’ติฯ ‘‘ทหรสฺส เอวํ จิตฺตํ, มหาเถรานํ ปน สุขุมสาฎกา วฎฺฎนฺตี’’ติ วตฺวา ‘‘มหาเถรานํ ทสฺสามี’’ติ ฐเปสิฯ ตสฺส ภิกฺขุสเงฺฆ ปฎิปาฎิยา ฐิเต เทนฺตสฺส มตฺถเก ฐปิตาปิ เต สาฎกา หตฺถํ นาโรหนฺติ, อเญฺญว อาโรหนฺติฯ ทหรสฺส ทานกาเล ปน หตฺถํ อารุฬฺหาฯ โส ตสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา อมจฺจสฺส มุขํ โอโลเกตฺวา ทหรํ นิสีทาเปตฺวา ทานํ ทตฺวา สงฺฆํ วิสฺสเชฺชตฺวา ทหรสฺส สนฺติเก นิสีทิตฺวา ‘‘กทา, ภเนฺต, อิมํ ธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิตฺถา’’ติ อาหฯ โส ปริยาเยนปิ อสนฺตํ อวทโนฺต ‘‘นตฺถิ มยฺหํ, มหาราช, โลกุตฺตรธโมฺม’’ติ อาหฯ นนุ, ภเนฺต, ปุเพฺพว อวจุตฺถาติฯ อาม, มหาราช, สารณียธมฺมปูรโก อหํ, ตสฺส เม ธมฺมสฺส ปูริตกาลโต ปฎฺฐาย ภาชนียภณฺฑฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ปาปุณาตีติฯ ‘‘สาธุ สาธุ, ภเนฺต, อนุจฺฉวิกมิทํ ตุมฺหาก’’นฺติ วตฺวา ปกฺกามิฯ อิทํ ภาชนียภณฺฑฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ปาปุณาตีติ เอตฺถ วตฺถุฯ
Ayameva pana thero cetiyapabbate giribhaṇḍamahāpūjāya dānaṭṭhānaṃ gantvā ‘‘imasmiṃ dāne kiṃ varabhaṇḍa’’nti pucchi. Dve sāṭakā, bhanteti. Ete mayhaṃ pāpuṇissantīti? Taṃ sutvā amacco rañño ārocesi – ‘‘eko daharo evaṃ vadatī’’ti. ‘‘Daharassa evaṃ cittaṃ, mahātherānaṃ pana sukhumasāṭakā vaṭṭantī’’ti vatvā ‘‘mahātherānaṃ dassāmī’’ti ṭhapesi. Tassa bhikkhusaṅghe paṭipāṭiyā ṭhite dentassa matthake ṭhapitāpi te sāṭakā hatthaṃ nārohanti, aññeva ārohanti. Daharassa dānakāle pana hatthaṃ āruḷhā. So tassa hatthe ṭhapetvā amaccassa mukhaṃ oloketvā daharaṃ nisīdāpetvā dānaṃ datvā saṅghaṃ vissajjetvā daharassa santike nisīditvā ‘‘kadā, bhante, imaṃ dhammaṃ paṭivijjhitthā’’ti āha. So pariyāyenapi asantaṃ avadanto ‘‘natthi mayhaṃ, mahārāja, lokuttaradhammo’’ti āha. Nanu, bhante, pubbeva avacutthāti. Āma, mahārāja, sāraṇīyadhammapūrako ahaṃ, tassa me dhammassa pūritakālato paṭṭhāya bhājanīyabhaṇḍaṭṭhāne aggabhaṇḍaṃ pāpuṇātīti. ‘‘Sādhu sādhu, bhante, anucchavikamidaṃ tumhāka’’nti vatvā pakkāmi. Idaṃ bhājanīyabhaṇḍaṭṭhāne aggabhaṇḍaṃ pāpuṇātīti ettha vatthu.
พฺราหฺมณติสฺสภเย ปน ภาตรคามวาสิโน นาคเตฺถริยา อนาโรเจตฺวาว ปลายิํสุฯ เถรี ปจฺจูสสมเย ‘‘อติวิย อปฺปนิโคฺฆโส คาโม, อุปธาเรถ ตาวา’’ติ ทหรภิกฺขุนิโย อาหฯ ตา คนฺตฺวา สเพฺพสํ คตภาวํ ญตฺวา อาคมฺม เถริยา อาโรเจสุํฯ สา สุตฺวา ‘‘มา ตุเมฺห เตสํ คตภาวํ จินฺตยิตฺถ, อตฺตโน อุเทฺทสปริปุจฺฉาโยนิโสมนสิกาเรสุเยว โยคํ กโรถา’’ติ วตฺวา ภิกฺขาจารเวลายํ ปารุปิตฺวา อตฺตทฺวาทสมา คามทฺวาเร นิโคฺรธรุกฺขมูเล อฎฺฐาสิฯ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา ทฺวาทสนฺนมฺปิ ภิกฺขุนีนํ ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา, ‘‘อเยฺย, อญฺญตฺถ มา คจฺฉถ, นิจฺจํ อิเธว อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ อาหฯ เถริยา ปน กนิฎฺฐภาตา นาคเตฺถโร นาม อตฺถิฯ โส ‘‘มหนฺตํ ภยํ, น สกฺกา ยาเปตุํ, ปรตีรํ คมิสฺสามี’’ติ อตฺตทฺวาทสโมว อตฺตโน วสนฎฺฐานา นิกฺขโนฺต ‘‘เถริํ ทิสฺวา คมิสฺสามี’’ติ ภาตรคามํ อาคโตฯ เถรี ‘‘เถรา อาคตา’’ติ สุตฺวา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ อยฺยา’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ สา ‘‘อชฺช เอกทิวสํ วิหาเรว วสิตฺวา เสฺว คมิสฺสถา’’ติ อาหฯ เถรา วิหารํ อคมิํสุฯ
Brāhmaṇatissabhaye pana bhātaragāmavāsino nāgattheriyā anārocetvāva palāyiṃsu. Therī paccūsasamaye ‘‘ativiya appanigghoso gāmo, upadhāretha tāvā’’ti daharabhikkhuniyo āha. Tā gantvā sabbesaṃ gatabhāvaṃ ñatvā āgamma theriyā ārocesuṃ. Sā sutvā ‘‘mā tumhe tesaṃ gatabhāvaṃ cintayittha, attano uddesaparipucchāyonisomanasikāresuyeva yogaṃ karothā’’ti vatvā bhikkhācāravelāyaṃ pārupitvā attadvādasamā gāmadvāre nigrodharukkhamūle aṭṭhāsi. Rukkhe adhivatthā devatā dvādasannampi bhikkhunīnaṃ piṇḍapātaṃ datvā, ‘‘ayye, aññattha mā gacchatha, niccaṃ idheva āgaccheyyāthā’’ti āha. Theriyā pana kaniṭṭhabhātā nāgatthero nāma atthi. So ‘‘mahantaṃ bhayaṃ, na sakkā yāpetuṃ, paratīraṃ gamissāmī’’ti attadvādasamova attano vasanaṭṭhānā nikkhanto ‘‘theriṃ disvā gamissāmī’’ti bhātaragāmaṃ āgato. Therī ‘‘therā āgatā’’ti sutvā tesaṃ santikaṃ gantvā ‘‘kiṃ ayyā’’ti pucchi. So taṃ pavattiṃ ārocesi. Sā ‘‘ajja ekadivasaṃ vihāreva vasitvā sve gamissathā’’ti āha. Therā vihāraṃ agamiṃsu.
เถรี ปุนทิวเส รุกฺขมูเล ปิณฺฑาย จริตฺวา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อิมํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชถา’’ติ อาหฯ เถโร ‘‘วฎฺฎิสฺสติ เถรี’’ติ วตฺวา ตุณฺหี อฎฺฐาสิฯ ธมฺมิโก, ตาต, ปิณฺฑปาโต, กุกฺกุจฺจํ อกตฺวา ปริภุญฺชถาติ ฯ วฎฺฎิสฺสติ เถรีติ? สา ปตฺตํ คเหตฺวา อากาเส ขิปิ, ปโตฺต อากาเส อฎฺฐาสิฯ เถโร ‘‘สตฺตตาลมเตฺต ฐิตมฺปิ ภิกฺขุนีภตฺตเมว เถรี’’ติ วตฺวา ‘‘ภยํ นาม สพฺพกาลํ น โหติ, ภเย วูปสเนฺต อริยวํสํ กถยมาโน, ‘โภ ปิณฺฑปาติก, ภิกฺขุนีภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา วีตินามยิตฺถา’ติ จิเตฺตน อนุวทิยมาโน สนฺถมฺภิตุํ น สกฺขิสฺสามิ, อปฺปมตฺตา โหถ เถริโย’’ติ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ
Therī punadivase rukkhamūle piṇḍāya caritvā theraṃ upasaṅkamitvā ‘‘imaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjathā’’ti āha. Thero ‘‘vaṭṭissati therī’’ti vatvā tuṇhī aṭṭhāsi. Dhammiko, tāta, piṇḍapāto, kukkuccaṃ akatvā paribhuñjathāti . Vaṭṭissati therīti? Sā pattaṃ gahetvā ākāse khipi, patto ākāse aṭṭhāsi. Thero ‘‘sattatālamatte ṭhitampi bhikkhunībhattameva therī’’ti vatvā ‘‘bhayaṃ nāma sabbakālaṃ na hoti, bhaye vūpasante ariyavaṃsaṃ kathayamāno, ‘bho piṇḍapātika, bhikkhunībhattaṃ bhuñjitvā vītināmayitthā’ti cittena anuvadiyamāno santhambhituṃ na sakkhissāmi, appamattā hotha theriyo’’ti maggaṃ paṭipajji.
รุกฺขเทวตาปิ ‘‘สเจ เถโร เถริยา หตฺถโต ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิสฺสติ, น ตํ นิวเตฺตสฺสามิฯ สเจ น ปริภุญฺชิสฺสติ, นิวเตฺตสฺสามี’’ติ จินฺตยมานา ฐตฺวา เถรสฺส คมนํ ทิสฺวา รุกฺขา โอรุยฺห ‘‘ปตฺตํ, ภเนฺต, เทถา’’ติ วตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา เถรํ รุกฺขมูลํเยว อาเนตฺวา อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา ทฺวาทส ภิกฺขุนิโย ทฺวาทส จ ภิกฺขู สตฺต วสฺสานิ อุปฎฺฐหิฯ อิทํ เทวตา อุสฺสุกฺกํ อาปชฺชนฺตีติ เอตฺถ วตฺถุฯ ตตฺร หิ เถรี สารณียธมฺมปูริกา อโหสิฯ
Rukkhadevatāpi ‘‘sace thero theriyā hatthato piṇḍapātaṃ paribhuñjissati, na taṃ nivattessāmi. Sace na paribhuñjissati, nivattessāmī’’ti cintayamānā ṭhatvā therassa gamanaṃ disvā rukkhā oruyha ‘‘pattaṃ, bhante, dethā’’ti vatvā pattaṃ gahetvā theraṃ rukkhamūlaṃyeva ānetvā āsanaṃ paññāpetvā piṇḍapātaṃ datvā katabhattakiccaṃ paṭiññaṃ kāretvā dvādasa bhikkhuniyo dvādasa ca bhikkhū satta vassāni upaṭṭhahi. Idaṃ devatā ussukkaṃ āpajjantīti ettha vatthu. Tatra hi therī sāraṇīyadhammapūrikā ahosi.
อขณฺฑานีติอาทีสุ ยสฺส สตฺตสุ อาปตฺติกฺขเนฺธสุ อาทิมฺหิ วา อเนฺต วา สิกฺขาปทํ ภินฺนํ โหติ, ตสฺส สีลํ ปริยเนฺต ฉินฺนสาฎโก วิย ขณฺฑํ นามฯ ยสฺส ปน เวมเชฺฌ ภินฺนํ, ตสฺส ฉิทฺทสาฎโก วิย ฉิทฺทํ นาม โหติฯ ยสฺส ปฎิปาฎิยา เทฺว ตีณิ ภินฺนานิ, ตสฺส ปิฎฺฐิยํ วา กุจฺฉิยํ วา อุฎฺฐิเตน วิสภาควเณฺณน กาฬรตฺตาทีนํ อญฺญตรวณฺณา คาวี วิย สพลํ นาม โหติฯ ยสฺส อนฺตรนฺตรา ภินฺนานิ, ตสฺส อนฺตรนฺตรา วิสภาคพินฺทุวิจิตฺรา คาวี วิย กมฺมาสํ นาม โหติฯ ยสฺส ปน สเพฺพน สพฺพํ อภินฺนานิ, ตสฺส ตานิ สีลานิ อขณฺฑานิ อจฺฉิทฺทานิ อสพลานิ อกมฺมาสานิ นาม โหนฺติฯ ตานิ ปเนตานิ ตณฺหาทาสพฺยโต โมเจตฺวา ภุชิสฺสภาวกรณโต ภุชิสฺสานิ, พุทฺธาทีหิ วิญฺญูหิ ปสตฺถตฺตา วิญฺญุปฺปสตฺถานิ, ตณฺหาทิฎฺฐีหิ อปรามฎฺฐตฺตา ‘‘อิทํ นาม ตฺวํ อาปนฺนปุโพฺพ’’ติ เกนจิ ปรามฎฺฐุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา จ อปรามฎฺฐานิ, อุปจารสมาธิํ อปฺปนาสมาธิํ วา สํวตฺตยนฺตีติ สมาธิสํวตฺตนิกานีติ วุจฺจนฺติฯ
Akhaṇḍānītiādīsu yassa sattasu āpattikkhandhesu ādimhi vā ante vā sikkhāpadaṃ bhinnaṃ hoti, tassa sīlaṃ pariyante chinnasāṭako viya khaṇḍaṃ nāma. Yassa pana vemajjhe bhinnaṃ, tassa chiddasāṭako viya chiddaṃ nāma hoti. Yassa paṭipāṭiyā dve tīṇi bhinnāni, tassa piṭṭhiyaṃ vā kucchiyaṃ vā uṭṭhitena visabhāgavaṇṇena kāḷarattādīnaṃ aññataravaṇṇā gāvī viya sabalaṃ nāma hoti. Yassa antarantarā bhinnāni, tassa antarantarā visabhāgabinduvicitrā gāvī viya kammāsaṃ nāma hoti. Yassa pana sabbena sabbaṃ abhinnāni, tassa tāni sīlāni akhaṇḍāni acchiddāni asabalāni akammāsāni nāma honti. Tāni panetāni taṇhādāsabyato mocetvā bhujissabhāvakaraṇato bhujissāni, buddhādīhi viññūhi pasatthattā viññuppasatthāni, taṇhādiṭṭhīhi aparāmaṭṭhattā ‘‘idaṃ nāma tvaṃ āpannapubbo’’ti kenaci parāmaṭṭhuṃ asakkuṇeyyattā ca aparāmaṭṭhāni, upacārasamādhiṃ appanāsamādhiṃ vā saṃvattayantīti samādhisaṃvattanikānīti vuccanti.
สีลสามญฺญคโต วิหรตีติ เตสุ เตสุ ทิสาภาเคสุ วิหรเนฺตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สมานภาวูปคตสีโล วิหรติฯ โสตาปนฺนาทีนญฺหิ สีลํ สมุทฺทนฺตเรปิ เทวโลเกปิ วสนฺตานํ อเญฺญสํ โสตาปนฺนาทีนํ สีเลน สมานเมว โหติ, นตฺถิ มคฺคสีเล นานตฺตํฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ
Sīlasāmaññagatoviharatīti tesu tesu disābhāgesu viharantehi bhikkhūhi saddhiṃ samānabhāvūpagatasīlo viharati. Sotāpannādīnañhi sīlaṃ samuddantarepi devalokepi vasantānaṃ aññesaṃ sotāpannādīnaṃ sīlena samānameva hoti, natthi maggasīle nānattaṃ. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.
ยายํ ทิฎฺฐีติ มคฺคสมฺปยุตฺตา สมฺมาทิฎฺฐิฯ อริยาติ นิโทฺทสาฯ นิยฺยาตีติ นิยฺยานิกาฯ ตกฺกรสฺสาติ โย ตถาการี โหติฯ ทุกฺขกฺขยายาติ สพฺพทุกฺขกฺขยตฺถํฯ ทิฎฺฐิสามญฺญคโตติ สมานทิฎฺฐิภาวํ อุปคโต หุตฺวา วิหรตีติฯ
Yāyaṃ diṭṭhīti maggasampayuttā sammādiṭṭhi. Ariyāti niddosā. Niyyātīti niyyānikā. Takkarassāti yo tathākārī hoti. Dukkhakkhayāyāti sabbadukkhakkhayatthaṃ. Diṭṭhisāmaññagatoti samānadiṭṭhibhāvaṃ upagato hutvā viharatīti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑. ปฐมสารณียสุตฺตํ • 1. Paṭhamasāraṇīyasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑. ปฐมสารณียสุตฺตวณฺณนา • 1. Paṭhamasāraṇīyasuttavaṇṇanā